เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
เป้เดี่ยว...เที่ยวหมื่นไมล์ ตอนลุยทราย...ตะกายพีระมิด 4

ตอนที่4 ตากฝนที่อเล็กซานเดรีย

6 นาฬิกาเช้าวันใหม่ ผมตื่นนอนด้วยความสดชื่น พร้อมทั้งเอ่ยปากให้พี่ชายใช้ห้องน้ำก่อน พี่ชายปฏิเสธเพราะยังไม่อยากนำตัวเองออกจากความอบอุ่นใต้ผ้าห่ม เนื่องจากคาดว่าอุณหภูมิเช้านี้คงราว 10 เซลเซียส ผมไม่ว่ากระไร รีบเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักก็เรียบร้อย จากนั้นพี่ชายก็ใช้ห้องน้ำต่อ ส่วนผมรีบแต่งตัวแล้วเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมเช็คเอาท์

ราว 6.45น. ทุกคนก็มาพร้อมกันที่เคาเตอร์โรงแรม พบพนักงานซุกตัวหลับอยู่และตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพวกเรา ผมคืนกุญแจห้องเช็คเอาท์ จากนั้นก็ลงไปขึ้นแท็กซี่เดินทางไปสถานีรามเซส

เมื่อถึงสถานี เรานำกระเป๋าเดินทางไปฝากไว้ ณ ที่ฝากกระเป๋าเพราะจะได้ไม่ต้องลำบากในการเดินทาง ค่าเช่าล็อคเกอร์ไม่แพงแค่ 2.5 ปอนด์ (15 บาท)ต่อวัน ล็อคเกอร์เดียวใส่กระเป๋าพวกเราได้ครบทุกใบ เหลือกระเป๋าถือใบเล็กเก็บของกระจุกกระจิกคนละใบเท่านั้น

เนื่องจากเหลือเวลาเกือบชั่วโมง พวกเราจึงคิดหาอะไรรองท้อง มองไปมองมาเห็นร้านกาแฟจัดร้านน่ารักร้านหนึ่งอยู่ภายในสถานี จึงมุ่งหน้าเข้าไป เห็นเขาโชว์แซนวิช และครัวซองท่าทางน่ากิน จึงพากันนั่งและเรียกขอเมนูสั่งอาหาร ปรากฏว่าบริกรซึ่งพูดภาษาอังกฤษฟังยาก บอกว่าที่ร้านไม่มีเมนูอยากทานอะไร ให้ชี้ที่โชว์ในตู้โชว์ได้เลย
แปลกจัง ร้านออกจะใหญ่ ทำไมไม่มีเมนู หรือมีแต่ไม่ให้ดู ผมคิดระแวง

หวาานใจสังเกตว่าโต๊ะ แขกฝรั่งมีกระดาษที่หน้าตาเหมือนเมนูวางอยู่ จึงทำท่าชี้ไป แล้วเรียกขอเมนู บริกรเขาก็ยืนยันว่าไม่มี ผมจึงถามราคาว่ากาแฟแก้วละเท่าไหร่ ฟังแล้วตกใจเพราะราคาพอๆกับ สตาร์บัคเลย พวกเราจึงพร้อมใจกันเดินออกจากร้าน
โห...ร้านกาแฟพื้นๆธรรมดา อะไรจะแพงขนาดนั้น ผมคิด ไม่ทานก็ได้

จากนั้นพวกเราจึงเดินมาที่ร้านขายเครื่องดื่มของว่างที่ชานชลา เลือกได้แซนวิชไส้เนยคนละชิ้น ราคาหนึ่งปอนด์แสนอร่อย พร้อมกับน้ำแร่คนละขวดราคาสองปอนด์ จากนั้นก็มานั่งหม่ำกันบนราว เคาเตอร์ tourist information ซึ่งไม่นานนักก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกสองคน มานั่งกินอาหารเช้าลักษณะเดียวกับผมที่ราวนี้เป็นเพื่อน กลายเป็นว่าแทนที่พวกผมจะต้องจ่ายเงินค่ากาแฟคนละหลายสิบปอนด์ เลยจ่ายแค่คนละสามปอนด์เท่านั้นสำหรับมื้อเช้าแสนอร่อย

ไม่นานนักก็ได้เวลา 8 นาฬิกาตรง เราทั้งสี่จึงเดินไปขึ้นในรถไฟขบวนที่จะเดินทางไปอเล็กซานเดรีย ซึ่งหาได้ไม่ยาก เพราะเมื่อวานคุณตำรวจใจดีได้บอกไว้ ( แต่ต้องเอาปากกาไปแลก) เนื่องจากเป็นที่นั่งชั้นหนึ่ง ที่นั่งจึงกว้างขวางผมเหยียดขาได้สบาย และโบกี้ก็ค่อนข้างใหม่สะอาดสะอ้านพอใช้ สักพักรถก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชลามุ่งหน้าขึ้นเหนือไปอเล็กซานเดรีย

รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงก็ถึงอเล็กซานเดรีย อเล็กซานเดรีย เป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากไคโร อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือตอนบนสุดของประเทศ อยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน สร้างโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชให้เป็นเมืองหลวงแทนเมมฟิส ครั้งได้มาปกครองอียิปต์เพื่อหวังใช้เป็นจุดเชื่อมต่อไปยังมาซีโดเนีย ศูนย์กลางมหาอาณาจักรของพระองค์

ภายหลังพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ มหาอาณาจักรของพระองค์ก็แตกเป็นแคว้นเล็กเมืองน้อย เหล่าขุนศึกของพระองค์ ต่างเข้าปกครองดินแดนต่างๆ โดยที่นายพลปโตเลมี เข้ามาครอบครองแผนดินอียิปต์และปราบดาภิเษกตนเองเป็นฟาโรห์ ตั้งราชวงศ์ปโตเลมี สืบเชื้อสายปกครองมีฟาโรห์ 12 องค์จนถึงยุคพระนางคลีโอพัตราที่7 (คลีโอพัตรามีหลายองค์ แต่พวกเราจะคุ้นเคยกับองค์ที่7 ที่เป็นชู้รักของทั้งจูเลียตซีซ่า และมาร์คแอนโทนี) เมื่อสิ้นสุดยุคพระนาง อียิปต์ก็สูญสิ้นเอกราชตกเป็นของโรมัน ออตโตมัน และเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ จวบจนได้เอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่2 เมื่ออังกฤษยอมถอนทหารออกจากคลองสุเอซ ในสมัยนายกรัฐมนตรีนัสเซอร์ผู้ยิ่งยง

เมื่อถึงอเล็กซานเดรีย ฟ้าที่เป็นสีฟ้าก็กลับมีเมฆกระจายโดยทั่วไป เมื่อมาถึงโชคดีที่ฝนเพิ่งหยุดตกไม่นานนัก ถ้ายังจำกันได้ถึงวิชาภูมิศาสตร์ ต้องไม่ลืมว่า แถบเมดิเตอเรเนียนจะมีฝนตกได้ในฤดูหนาว งานนี้หวานใจและพี่สาวไม่ประมาท ต่างพกร่มคันเล็กๆมาด้วย ( ความจริง พวกเธอตั้งใจมากันแดดต่างหาก) อเล็กซานเดรียมีความเป็นเมืองสมัยใหม่ค่อนข้างมาก รถราอาจจะน้อยกว่าไคโร แต่ก็ติดและสับสนไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

สถานที่แรกที่พวกเราไปเยี่ยมชมก็คือโบราณสถาน คอมอัล-ดิกการ์ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟไม่ไกลนัก ค้นพบโดยนักโบราณคดีโปแลนด์ เมื่อราวคศ. 1959 ประกอบไปด้วยโถงประชุมสภา หน้าตาเหมือนโรงละครกรีกขนาดเล็ก สถานที่อาบน้ำ และบ้านเรือน ตอนแรกก็สงบเงียบให้ความรู้สึกโรมันๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่นานนักก็มีกลุ่มนักเรียนมัธยม ชาวอียิปต์กลุ่มใหญ่เข้ามาเที่ยวชมด้วย พอเห็นพวกผม ก็ปรี่เข้ามาขอให้ถ่ายรูปกันใหญ่ พอหวานใจถ่ายให้ ที่นี้ทุกคนไม่ยอมหยุด ต่างยื้อแย่งเบียดเสียดกันเข้ามาจะให้พวกผมถ่ายรูปให้กันอุตลุต จนคุณครูเขาต้องมาปราม เราจึงได้โอกาสรีบเดินหนีออกมาจากที่นั่น


ห้องประชุมสภาในคอมอัล-ดิกการ์



กลุ่มเด็กมัธยมที่แสนซน

จากนั้นเราถามทางไปดูเสาหินปอมปีย์ สัญลักษณ์ของอเล็กซานเดรีย ซึ่งถ้าไม่เห็นถือว่ายังมาไม่ถึง คุณตำรวจท่องเที่ยวบอกว่า ให้นั่งแท็กซี่ไปเถอะเพราะทางซับซ้อนวกวน แต่ผมดูแผนที่แล้ว ระยะห่างจากที่ยืนอยู่ราวหนึ่งกิโลเศษเท่านั้น ด้วยอารมณ์งกและคิดว่าน่าจะไปได้ จึงอาสาเดินนำทุกคนไป ตามแผนที่ในโลนลี่ เขาบอกให้เดินไปตามทางรถรางแล้วเลี้ยวซ้ายผ่านตลาดสด ไปสักหน่อยก็ถึง ดังนั้นผมจึงเดินหารถราง ซึ่งหาไม่ยากเลย จากนั้นก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ พลางมองหาที่กินกลางวันขากลับไปในตัว ผมจึงเล็งค๊อฟฟี่ช็อพไว้สองสามที่

เดินไม่นานนักก็เลี้ยวซ้ายตามทางรถรางเข้าสู่ตลาดสด ที่นี่เขาตั้งแผงขายของคล้ายตลาดสดบ้านเรา เพียงแต่ขายสารพัดชนิด และชิดถนนเลย สักพักเดินผ่านแผงเสื้อผ้า อยู่ๆคนขายผู้ชายร่างใหญ่ ก็ยื่น “ จีสตริงสีแดงแจ๋” ผ่านหน้าผมไปให้หวานใจดู พร้อมทั้งทำท่าเสนอขายชุดชั้นในสตรีแบบอื่นๆสีอื่นๆ มากมาย มองไปแต่ละแบบเห็นวาบหวิวซีทรูทั้งนั้น ผมเหลือบไปเห็นหวานใจหน้าแดงซ่านพร้อมกับโบกมือปฏิเสธพัลวัน ทราบมาว่าสาวที่นี่ภายนอก เขาจะใส่เสื้อผ้าปิดแขนปิดขาแต่งกายมิดชิด ส่วนใหญ่จะมีผ้าคลุมผมด้วย บางรายก็คลุมมิดชิดจนกระทั่งเห็นเพียงลูกตา ตามความเชื่อศาสนา แต่ภายในกลับแต่งตัวมัดใจคุณสามีเต็มเหนี่ยว ผมดูจากชุดชั้นในแล้ว ท่าจะจริง ว่าแล้วก็แอบจินตนาการว่า ถ้าหวานใจแต่งชุดอย่างว่าจะเป็นอย่างไร หุหุหุ (ป้าบ!! อูย...โดนหวานใจตีแขน)

กลับมาที่ตลาดต่อ ไม่นานนักผมก็มองเห็นยอดเสา ปอมปีย์พิลล่าแต่ไกล จึงชี้ให้ทุกคนดูว่าไม่หลงแล้ว ทุกคนจ้ำอยู่ไม่นานนักก็ถึง ต่างตะลึงงันกับเสาหินสีชมพูสูงเด่น 30เมตร พร้อมทั้งมีสฟิงซ์ยุคปโตเลมี ที่หุ่นแบบบางกว่าที่กีซ่า หมอบคู่อยู่ด้านหน้าสองตัว เราใช้เวลาชื่นชมอยู่ได้ไม่นาน อยู่ๆก็มีเมฆทะมึนลอยเด่นเหนือศีรษะพวกเราจากนั้น ฝนก็เริ่มโปรยปรายไม่ขาดสาย


เสาปอมปีย์โลโก้ของอเล็กซานเดรีย


แสดงความสูงใหญ่ของเสา ก่อนฝนจะเริ่มโปรยปราย

โชคดีที่หวานใจและพี่สาวต่างพกร่มมาด้วย ผมและพี่ชายจึงได้ถือโอกาสอิงแอบแนบชิดสองสาวหลบฝนไปพลางๆ แต่ไม่วายยังเปียกครึ่งตัว เนื่องจากลมยิ่งพัดยิ่งแรงและฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกทีๆ หนาวเข้าถึงกระดูกเลย เพราะลำพังอุณหภูมิก็แค่สิบกว่าเซลเซียสแล้วยังมาเจอทั้งลมและฝน พวกเราพยายามโบกรถแท็กซี่ เพื่อจะได้หลบฝนพร้อมทั้งไม่ให้เสียเวลาเดินทางไปหอสมุดอเล็กซานเดรียเป้าหมายต่อไป แต่แท็กซี่ที่ผ่านมาทุกคัน ไม่มีรายใดพูดภาษาอังกฤษได้เลย พวกผมจึงต้องยืนหลบฝนใต้ชายคาร้านค้า ที่เป็นตลาดซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปอมปีย์พิลล่า จนฝนซา จึงสามารถเดินย้อนกลับทางเก่าไปหาอะไรหม่ำตามแผนเดิม (เพราะตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว และต่างได้ยินเสียงท้องของคนอื่นๆคร่ำครวญเป็นระยะๆ)

ผมเดินนำกลุ่มไปยังร้านที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ แต่เวรกรรม...ทุกร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษเลยแม้แต่รูปอาหารก็ไม่มี มีแต่ตัวหนังสืออารบิค สองสาวไม่แน่ใจ กลัวจะโดนโก่งราคาเกินเหตุ จึงตัดสินใจไม่หม่ำ

เราเดินย้อนกลับมาทางสถานีรถไฟ เพื่อหาแท็กซี่ที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ พร้อมทั้งหาร้านอาหารไปในตัว ฉับพลันหวานใจก็ไปหยุดกึกที่หน้าแผงขายอาหารพื้นเมือง ที่มีชาวอียิปต์เข้าคิวรอสั่งอยู่สามสี่คน รูปร่างหน้าตาเป็นขนมปังท่อนยาวผ่าซีก คล้ายขนมปังฮอตด็อก แต่ใส่ไส้ที่มีลักษณะคล้ายสตูว์ ทำจากเนื้อแกะและไข่โรยด้วย เกลือและพริกไทย (พูดแล้วกลืนน้ำลาย...เอื๊อก) กลิ่นหอมชวนทานมาก สอบถามราคาได้ความว่าชิ้นละหนึ่งปอนด์ (6 บาทเท่านั้น) พวกเราต่างไม่รีรอ รีบสั่งกันคนละชิ้น รสชาติอร่อยได้ใจเลยทีเดียว เผ็ดนิดๆเพราะใส่พริกไทย เมื่อหมดแล้วเราต่างไม่รีรอ สั่งเพิ่มกันอีกคนละชิ้น อา...อิ่มอร่อยสบายท้อง แถมถูกสุดๆ


มื้ออร่อยราคาถูก

จากนั้นเราก็โบกแท็กซี่ เพื่อเดินทางไปหอสมุดดังที่ตั้งใจ เจอโชเฟอร์หนุ่มวัยราวสามสิบหนวดเคราครึ้ม ตกลงราคาเสร็จสรรพก็ขึ้นรถเดินทาง ผมนั่งหน้าเหมือนเดิม สังเกตเห็นรูปเด็กผู้ชายวัยสองสามขวบ น่าตาน่าเอ็นดูแปะอยู่ ตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลเข้ม จึงสอบถามได้ความว่าเป็นลูกชาย ตอนนี้อายุได้สี่ปีแล้ว
หน้าตาเหมือนเด็กฝรั่งเลย สงสัยนายคนนี้คงมีเชื้อสาย มาซีโดเนียตั้งแต่สมัยปโตเลมีกระมัง ผมคิด

ฉับพลันรถแท็กซี่หยุดกึกท่ามกลางกลุ่มนักศึกษาสาว ที่ยืนรอรถประจำทาง เจ้าโชเฟอร์ทำหน้าทะเล้น ส่งภาษาให้นักศึกษาเหล่านั้นช่วยถามผมว่า พวกเราจะไปที่ไหน (อ้าวนึกว่ารู้) เหล่าสาวน้อยทั้งหลายคงพูดภาษาอังกฤษไม่ถนัด หรือไม่ก็ไม่เข้าใจอังกฤษสำเนียงไทยเหน่อๆอย่างผม จึงพากันปฏิเสธ โชเฟอร์หนุ่ม ไม่ละความพยายาม ค่อยๆเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปยังกลุ่มนักศึกษากลุ่มอื่นที่ยืนถัดไป แต่เท่าที่สังเกต เขาเจาะจงเลือกกลุ่มนักศึกษาสาวๆ หน้าแฉล้มทั้งนั้น กลุ่มนักศึกษาชายกลับขับเลยผ่านไป (มีลูกแล้วนะคุณพี่) ผ่านไปสามกลุ่ม ผมจึงสามารถสื่อสารกับนักศึกษาสาวคนหนึ่งได้ แล้วเธอก็บอกที่หมายให้โชเฟอร์จอมหลี จากนั้นพี่โชเฟอร์ก็พาเราไปหอสมุดอเล็กซานเดรียสมความตั้งใจของพวกเรา

หอสมุดอเล็กซานเดรียเป็นหอสมุดรูปทรงทันสมัย ทดแทนหอสมุดเก่าที่สร้างตั้งแต่สมัยปโตเลมีที่เก็บหนังสือมีค่าของโลกกว่าแปดล้านเล่ม เพิ่งทำพิธีเปิดโดยท่านมูบารัคไปเมื่อปีคศ.2002 นี่เอง อาคารมีขนาดใหญ่ประดับผนังภายนอกด้วยตัวอักษรภาษาต่างๆ ทั้งยุคโบราณและปัจจุบัน ผมพยายามมองหาอักษรไทย แต่ไม่พบ อาจอยู่ในมุมที่มองไม่เห็น หรือเพราะเราเป็นชาติเล็กๆหนอเขาถึงไม่ใส่ไว้ แต่ถึงอย่างไรผมก็ภูมิใจที่ได้ใช้อักษรไทย พูดภาษาไทย


ตัวอักษรภาษาต่างๆที่ปรากฏบนผนังหอสมุด

พวกเราไม่ได้เดินเข้าไปภายในเนื่องจากต้องต่อแถวยาวเหยียด จึงถ่ายรูปอยู่แต่ด้านนอก สักพักก็มีคุณป้าฝรั่งใจดี อาสาช่วยถ่ายภาพหมู่พวกเราหน้ารูปปั้นพระเศียรพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เมื่อผมเสนอตัวถ่ายรูปให้คุณป้าบ้าง เธอรีบปฏิเสธบอกว่า ลมแรงและผมเธอไม่สวย (โห...) จากนั้นพวกเราจึงข้ามถนนเพื่อไปชมทิวทัศน์ชายทะเลเมดิเตอเรเนียน เพราะหอสมุดถูกกั้นจากอ่าวเพียงถนนกั้น


อเล็กซานเดอร์มหาราช

ฟ้าหลังฝนงามเสียยิ่งกระไร ที่ชายฝั่งเมดิเตอเรเนียนนี่ ผมคิด มองเห็นป้อมโบราณแกย์เบย์ลิบๆ แต่เราตัดสินใจไม่ไปเพราะป้อมจะสวยที่สุดเมื่ออาทิตย์อัสดง แต่เราจะต้องออกจากอเล็กซานเดรียตอนบ่ายสาม เพราะเดี๋ยวจะตกรถนอนที่จะไปลักซอร์


ทิวทัศน์ปากอ่าว

หลังจากอิ่มเอิบกับบรรยากาศริมทะเลสักพัก เราก็โบกแท็กซี่ย้อนกลับไปสถานีรถไฟอเล็กซานเดรียเพื่อกลับไคโร ขากลับเรานั่งรถไฟชั้นสอง (แต่ทำไมราคาเท่าชั้นหนึ่ง) เพราะจะรอชั้นหนึ่งอีกชั่วโมงคงไม่ได้ไปลักซอร์แน่ ที่นั่งคล้ายๆชั้นหนึ่งแต่เก่ากว่า และห้องน้ำสกปรกมากกว่า ขากลับใช้เวลามากขึ้นเกือบชั่วโมง เพราะรถเริ่มหวานเย็นวิ่งช้าและจอดบ่อยกว่าขามา จนผมเริ่มกระสับกระส่ายกลัวตกรถนอน แถมมีกลิ่นบุหรี่โชยเข้ามาในโบกี้ตลอดเวลา แม้ว่าหนุ่มอียิปต์จะไปสูบกันที่รอยต่อระหว่างโบกี้แล้วแต่เนื่องจากประตูคงเก่า จึงกันกลิ่นได้ไม่ดีเท่ารถชั้นหนึ่ง แถมคนที่นี่สูบบุหรี่กันจัดมากๆ ถ้าใครแพ้กลิ่นบุหรี่อย่างผม ไม่แนะนำให้นั่งรถไฟชั้นสองที่อียิปต์นะครับ

เมื่อถึงไคโรราวหนึ่งทุ่ม พวกเราต่างรีบตรงไปที่ฝากกระเป๋า เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เราต้องไปสถานีรถไฟกีซ่า ที่ที่ขบวนรถนอนจอดอยู่ซึ่งห่างจากสถานีรามเซส ไปราวสามสิบกิโลเมตร คราวนี้ถ้านั่งแท็กซี่ไป คงไม่ทัน แต่เราวางแผนไว้แล้วว่าจะไปโดยรถไฟใต้ดิน (Metro) ที่มีสถานีอยู่ใต้สถานีรามเซสนี่เอง แถมค่าตั๋วก็คงถูกกว่าแท็กซี่แน่ๆ คุณตำรวจท่องเที่ยวคนเมื่อวาน (คนที่ขอปากกาผม...จำได้ไหม) เขาบอกว่า ค่าตั๋วราวคนละ หนึ่งถึงสองปอนด์เท่านั้นเอง และประหยัดเวลาเดินทางกว่าเยอะ แถมสถานีรถไฟเมโทรกีซ่าก็อยู่ที่เดียวกับสถานีรถไฟกีซ่าเหมือนๆกับที่สถานีรามเซส (แต่สถานีเมโทรที่รามเซส เขาเรียกว่าสถานีมูบารัก) แถมยังมีป้ายบอกทางเป็นภาษาอังกฤษให้ชาวต่างประเทศเข้าใจได้ไม่ยาก

พวกผมจึงเดินลงไปสถานีเมโทร มองหาไม่ยาก สังเกตป้ายตัว ‘ M’ ใหญ่ๆ จากนั้นผมก็เข้าไปต่อแถว ซื้อตัว ให้แบงค์สิบปอนด์ไป ได้ตั๋วมาสี่ใบ แต่เอ๊ะทำไมไม่ให้เงินทอน ผมรอสักพัก คนขายก็ไม่ยอมให้เงินทอนเสียที แถมโบกมือไล่ผม อย่ายืนขวางทางซื้อตั๋วคนอื่นๆ
เอ...หรือคุณตำรวจจะบอกราคาผิด เพราะตั๋วเมโทรก็ไม่แสดงราคาบอกไว้ ผมคิด แต่ถึงยังไงก็ถูกกว่าไปแท็กซี่และประหยัดเวลากว่ามาก

จากนั้นพวกเราก็ไปรอรถที่ชานชลา ผมนับดูที่ป้ายบอกทาง สถานีกีซ่าอยู่ห่างไปเก้าสถานี ต้องระวังนิดหนึ่งเวลาขึ้นเมโทร เนื่องจากเขาจะมีโบกี้สำหรับสุภาพสตรีโดยเฉพาะ โดยจะมีสัญลักษณ์รูปผู้หญิงอยู่ที่เหนือประตู และมักเป็นโบกี้แรกๆ ถ้าสุภาพบุรุษอย่างผมเผลอขึ้นไปคงโดนประณาม ส่วนโบกี้หลังๆสามารถขึ้นได้ทั้งชายและหญิง แต่เขาเคยมีคำเตือนว่า ผู้หญิงต่างชาติต้องระวังหากขบวนคนแน่นๆอาจถูกลวนลามได้ ดังนั้นเมื่อขึ้นรถซึ่งมีผู้โดยสารแน่นขนัดเนื่องจากเป็นเวลาเลิกงานหวานใจจึงซุกเข้ามุมข้างประตูทันที และได้ชายหนุ่มร่างใหญ่บึกบึนอย่างผมยืนบังขวางอยู่ตลอดเส้นทาง


ชานชลาเมโทร

จะกลัวอะไรในเมื่อชายร่างสูงหกฟุตอย่างผม คอยคุ้มครองอยู่ (รูปร่างผมสูงใหญ่กว่ามาตรฐานชายอียิปต์อยู่แล้ว แม้ว่าจะผอมบางกว่ามาก) เท่าที่สังเกต แทบจะหาผู้ชายชาวอียิปต์ที่สูงเมากกว่าหรือเท่ากับผมไม่เจอเลย แต่ความกว้างลำตัวมีเยอะ เพราะอาหารประจำชาติเขาเน้นที่แป้งและเนย

เราใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็มาถึงสถานีเมโทรกีซ่า เป็นสถานีลอยฟ้าอยู่เหนือสถานีรถไฟกีซ่า (เมโทรที่นี่ ผสมผสานระหว่างรถไฟฟ้าใต้ดินกับลอยฟ้า ถ้าในเมืองจะอยู่ใต้ดินเพื่อหลบการจาจร แต่พอออกนอกเมืองจะเป็นรถไฟลอยฟ้า ทราบมาว่ารถไฟฟ้าสายใหม่ๆที่กำลังจะเปิดประมูลในบ้านเรา ก็เป็นเช่นเดียวกันคือทั้งมุดดินและลอยฟ้าในเส้นทางเดียวกัน

จากนั้นก็มานั่งรอขบวนตู้นอนเพื่อเดินทางไปลักซอร์ ซึ่งมาช้ากว่ากำหนดเสียเกือบหนึ่งชั่วโมง ส่วนเรื่องอาหารมื้อค่ำไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขาจัดเตรียมไว้ให้บนรถ รสชาติใช้ได้บวกกับหวานใจเตรียมน้ำพริกเผากระปุกเล็กๆมาด้วย พวกเราจึงเอ็นจอยกันใหญ่ และเพราะรถนอนพวกเราจึงเซฟได้ทั้งที่พักหนึ่งคืนและอาหารอีกถึงสองมื้อ คือรวมมื้อเช้าด้วย (ประหยัดอีกแล้วครับพี่น้อง)

ราวสามทุ่มเศษ ขบวนรถนอน(sleeping trains) ก็เคลื่อนที่ออกจากสถานีมุ่งหน้าลงใต้ไปลักซอร์ อดีตเมืองหลวงที่อยู่ใจกลางประเทศอียิปต์...สิ้นสุดการเดินทางวันที่สอง



Create Date : 29 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 29 กุมภาพันธ์ 2551 12:36:35 น. 0 comments
Counter : 930 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com