เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
เป้เดี่ยว...เที่ยวหมื่นไมล์ ตอนลุยทราย...ตะกายพีระมิด 2

ตอนที่2 เหินฟ้าสู่ไคโร

สามทุ่มเศษ ของอีกเจ็ดวันต่อมา เราทั้งสี่ก็มาพร้อมหน้ากันที่ สุวรรณภูมิ มาก่อนเวลาเกือบชั่วโมง หวังว่าจะได้เลือกที่นั่งก่อน เพราะตั๋วเครื่องบินที่พี่ชายไปรับมาเป็น ตั๋วอิเล็กโทรนิค ที่ยังไม่ระบุที่นั่ง แถมเขาบอกว่าผู้โดยสารเต็มลำพอดีเสียด้วย เดี๋ยวต้องนั่งห่างจากหวานใจ ก็เหงาแย่เลยสิ ผมนึก ว่าแล้วก็ชักชวนลูกทีมไปต่อแถวซึ่งมี ต่างชาติสี่ห้าคนยืนรอ ที่เคาเตอร์อยู่แล้ว

ข้างหน้าเรา มีสองหนุ่มหน้าตาอาหรับแต่แต่งตัวสุดฮิพ สไตร์วัยรุ่นอเมริกัน แถมมีรอยสักแบบแบงค์ วงแครช ที่แขนและหลัง ทั้งที่หน้าก็ออกวัยสี่สิบกว่า พร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สี่ใบ ขณะเข้าไปต่อแถวใกล้ๆ ผมก็ได้กลิ่นแปลกๆ คล้ายปลาเค็มโชยมา
หวานใจสะกิด และกระซิบ “ได้กลิ่นอะไรไหม คล้ายๆปลาเค็ม”
ผมพยักหน้า แล้วส่งสายตาไปที่เท้าของหนุ่มทั้งสองที่ใส่รองเท้าแตะ หวานใจพยักหน้ารับรู้ แล้วค่อยๆเว้นระยะพวกเราให้ห่างออกจากสองหนุ่ม เราหวังว่า คงไม่ได้นั่งใกล้สองหนุ่มปลาเค็มนั่น

สักพัก ฝรั่งกลุ่มใหญ่ค่อยๆเข้ามาต่อแถว ทำให้แถวยาวขึ้นๆ ไม่นานนักก็ได้เวลา เจ้าหน้าที่สายการบินก็มาประจำที่เคาเตอร์ ผู้โดยสารค่อยๆทยอยเข้าไปรับตั๋ว และแล้วก็ถึงคิวพวกเรา ปัญหาที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนามสกุลของหวานใจ ในตั๋วอิเล็กโทรนิคผิด ต้องรอเจ้าหน้าที่อาวุโสของสายการบินมาแก้ไข ทำให้เสียเวลาสักพัก ผมกังวลใจเล็กน้อยเพราะกลัวต้องนั่งแยกกัน (ก็อุตส่าห์มาเร็วแล้วนี่) แต่ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วเรียบร้อย ผมกับหวานใจได้ที่นั่งริมหน้าต่างด้วยกัน หลังที่นั่งคุณพี่ทั้งสอง ซึ่งอยู่ถัดไปสองแถวข้างหน้า

หลังได้ตั๋วเรียบร้อย สองสาวก็ผ่านตม. เข้าไปเพลิดเพลินกับการดูสินค้า โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ ดิวตีฟรี โดยมีสองหนุ่มเดินตามต้อยๆ หวานใจเลือกโน่นเลือกนี่ สุดท้ายก็เลือกเพียงลิปติกของบ๊อบบี้ บราวน์เล็กๆอันหนึ่ง เพราะเธอไม่ได้เตรียมมา (เธอตั้งใจจะมาซื้อที่ ดิวตีฟรีอยู่แล้ว) ส่วนพี่สาวเธอ จะซื้ออะไรบ้างนั้น ผมไม่ได้สังเกต

จากนั้นพวกเราก็มานั่งรอเวลาเรียกขึ้นเครื่อง ซึ่งเพียงไม่นานก็ได้ขึ้น ตามเวลาแป๊ะ อีกแค่สิบชั่วโมงเท่านั้น ก็จะได้สัมผัสแผ่นดินอียิปต์แล้ว ผมนึกในใจ พร้อมทั้งรัดเข็มขัดนิรภัย ก่อนจะหันไปยิ้มให้หวานใจ อย่างมีความสุข

เครื่องบินที่จะนำผมไปอียิปต์คราวนี้คือ โบอิ้ง 777 ซีรีย์ไหนไม่แน่ใจ ตัวเครื่องกลางเก่ากลางใหม่ (สังเกตจากเบาะ) โดยชั้นประหยัดที่ผมนั่ง แถวหนึ่งมีเก้าที่นั่ง แบ่งเป็นสามบล็อก ซ้ายสุดที่ผมนั่งมีสามเก้าอี้ แถวกลางมีสี่ และแถวขวาสุดมีสองเก้าอี้ โดยส่วนตัวผมชอบ เครื่องแอร์บัสมากกว่า เนื่องจากมีทีวีเฉพาะของใครของมัน ในขณะที่โบอิ้งเป็นทีวีเครื่องใหญ่ที่ดูร่วมกัน เพราะผมเลือกภาพยนตร์ดูเองไม่ได้นั่นเอง หุหุ


สายการบินอียิปต์แอร์ ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปฮอรัส เทพเศียรเหยี่ยว

ผมนั่งสักพัก ก็มีผู้โดยสารต่างชาติมานั่งข้างๆ เป็นหนุ่มวัยกลางคนชาวอิตาเลี่ยน อายุประมาณสี่สิบปี ท่าทางดูเหมือนจะเมานิดๆ อาจจะดริ้งก่อนขึ้นเครื่อง ซึ่งผมไม่ได้ติดใจอะไร แต่ที่ต้องเอ่ยถึงคือ มาถึงท่านก็ถอดรองเท้า ส่งกลิ่นกะปิออกมาทีเดียว ท่าจะเที่ยวมาสมบุกสมบัน ทำให้ผมต้องพยายามหาเรื่องไปคุยกับหวานใจที่นั่งชิดหน้าต่างอยู่เรื่อยๆเพราะหันมาทีไร จะได้กลิ่นกะปิ
โธ่...พ้นคุณพี่ฮิพฮอพปลาเค็ม กลับต้องมาเจอน้าสปาเก็ตตี้ใส่กะปิเสียนี่ อย่างนี้ถือว่า หนีเสือปะจระเข้ได้ไหม ผมคิด โชคดีที่สักพักกลิ่นก็ค่อยๆจางไป (หรือว่าผมจะชิน?) ไม่เป็นไรๆ ถือว่าเขามาเที่ยวเมืองไทยนำเงินเข้าประเทศ ไม่ลำบากนักก็พอไหว จะได้หาเรื่องหันไปคุยกับหวานใจไปบ่อยๆ

ประมาณ10 นาทีเมื่อผู้โดยสารทุกท่านประจำที่ เครื่องก็เริ่มแท็กซี่ ผมสังเกต นอกจากทีมผมสี่คนแล้ว คนไทยที่เหลือนั่งท้ายเครื่องราวยี่สิบสามสิบคน น่าจะเป็นผู้ที่จะไปใช้แรงงาน เพราะใส่เสื้อแจ็คเก็ตบริษัทเหมือนกันหมด แถมเว้าอีสานกันโขมงโฉงเฉง แต่ไม่เห็นนักท่องเที่ยวไทยคนอื่นอีก ทั้งๆที่ช่วงนี้เป็นฤดูท่องเที่ยวของอียิปต์ ส่วนที่ดังไม่แพ้กันในแถวด้านหน้าคือ อาอี้อาแปะจากเมืองจีนที่นั่งสามสี่แถวข้างหน้าผม ส่งภาษาแมนดารินกันวุ่นวาย จนแอร์ต้องมาเตือนเบาๆว่าเครื่องจะออกแล้ว กรุณาลดเสียงหน่อยพร้อมทั้งให้เปิดม่านหน้าต่างสุดเพื่อเตรียมเทคอ๊อฟ เสียงจึงค่อยเพลาลง เมื่อเสียงเงียบและแอร์ทุกท่านประจำที่นั่งทุกคนแล้ว เครื่องก็เทคอ๊อฟเชิดหัวสูง นำผมออกจากสุวรรณภูมิ ราวๆตีหนึ่งเศษเวลาไทย

บินขึ้นไม่เท่าไหร่ ราวสามสี่พันเมตร เครื่องยังไม่ทันอยู่ในแนวระดับ อาเจ๊กสองสามคนก็ลุกขึ้นเปิดที่เก็บของรื้อของกันวุ่นวาย ทำเอาแอร์สองสามคนต้องวิ่งไปปราม ให้อยู่กับเก้าอี้ก่อน จึงค่อยยอมนั่ง (เหมือนคุณครูปรามเด็กอนุบาลเลย หุหุ)

สักพักเมื่อเครื่อง อยู่ในแนวระดับ คุณแอร์ก็เริ่มแจก นสพ.ให้อ่าน จะตีสองแล้วใครจะมีกะใจอ่านหนังสือพิมพ์หนอ ผมคิด แต่น้าฝรั่งกะปิ ก็เลือกหนังสือพิมพ์สองสามเล่มมาอ่าน (ขยันจริง) พนักงานที่ดูแลแถวผม มีสองคน คือสจ๊วตฝรั่ง วัยราวสี่สิบและแอร์สาวไทยหน้าหมวย แถมยังมีหัวหน้าแอร์อาวุโสที่หน้าตาเหมือน คุณอมรา ดารารุ่นลายครามของไทยอย่างกับแกะ แต่ผอมกว่า ที่คอยมาแนะนำน้องแอร์หมวยสองสามรอบ (คงน่าจะเพิ่งเป็นแอร์ แต่เธอพูดภาษาจีนได้เร็วและคล่องมาก) สักพักน้องแอร์ ก็นำอาหารมาเสิร์ฟ

“ fish or chicken?” เธอถามผม
หน้าตาเราไม่เหมือนคนไทยรึ หรือว่าจะเหมือนจีน แต่กับคนจีน น้องแอร์เขาก็พูดแมนดารินนี่ ผมคิด
เอาวะ อิงลิชมา ก็อิงลิชกลับ “chicken please” ผมตอบ นับแต่นั้นผมก็พูดอังกฤษกับเธอเป็นระยะๆ เมื่อเธอถาม หันมาหาหวานใจอีกที กินอิ่มก็หลับซะแล้วคนดี ผมดูนาฬิกา เกือบตีสาม โอเค นอนด้วยดีกว่า ผมหลับไปด้วยความเมื่อยล้า

เจ็ดชั่วโมงต่อมาหลังจากที่ผมหลับๆตื่นๆ ด้วยความเมื่อยและกลิ่นกะปิจากน้าฝรั่งที่นั่งด้านขวาที่โชยมาเป็นระยะๆ ไฟก็ถูกเปิดปลุกผู้โดยสารทุกคนให้ตื่นขึ้น คุณป้าอมราเดินมาจากที่นั่งผู้โดยสารชั้นหนึ่ง พร้อมสั่งให้น้องแอร์นำผ้าร้อนมาให้ผู้โดยสารเช็ดหน้าเช็ดตา โธ่จะรีบปลุกไปทำไม อีกตั้งสองชั่วโมง ผมลืมตางัวเงีย จากนั้นก็เริ่มเสิร์ฟอาหารเช้าเป็นขนมปัง และครัวซอง คราวนี้ผมขอกาแฟจากน้องแอร์เป็นภาษาไทย เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยและส่งยิ้มให้
หวานใจแซวผมที่เห็นผมเอนจอยกับมื้อเช้า ซึ่งตรงกับเวลาตีสี่ที่ไคโร หรือเก้านาฬิกาเวลาไทย
“เป็นมื้อเช้าเลยไง เผื่อเข้าที่พักช้า” ผมตอบแก้เขิน
เธอเห็นด้วย แต่หม่ำไปชิ้นหนึ่งก็เก็บขนมปังที่เหลือใส่กระเป๋า ก็งกเหมือนกัน แหมมาแซวเรา หุหุ ผมคิด

เกือบหกนาฬิกาเวลาไคโร (ช้ากว่าบ้านเรา 5ชั่วโมง) โบอิ้ง 777 ก็แลนดิ้งสู่สนามบินนานาชาติไคโร ตรงกับเวลาพระอาทิตย์ฉายแสงขอบฟ้าพอดี เมื่อเครื่องจอดสนิทน้าฝรั่งกะปิลุกขึ้นเดินนำ ผมยิ้มส่ง คงไม่เจอกันอีกนะครับ

ผมและหวานใจลงจากเครื่อง ลมแรงและอากาศก็เย็นพอสมควร เนื่องจากกัปตันบอกก่อนลงจอดว่า อุณหภูมิอยู่ที่ 15 เซลเซียส ฟ้าที่ไคโรเป็นสีฟ้าจริงๆ ไม่มีเมฆเลย ผมกระชับแจ๊คเก็ตแล้วเดินนำหวานใจขึ้นแชตเติลบัส เพื่อนำไปส่งที่สนามบิน

คุณพี่ทั้งสองรอเราอยู่ในสนามบิน เราทั้งสี่ใช้เวลาไม่นานนักก็ผ่านตม.เรียบร้อย ซึ่งผิดกับพวกฝรั่งซึ่งใช้เวลานานกว่ามาก ส่วนพี่ๆผู้ใช้แรงงานทั้งหลาย ต้องไปต่อเครื่องเดินทางไปอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งผมไม่ได้สอบถามว่าประเทศไหน เก็บเงินให้ได้เยอะๆ นะครับพี่ลุงน้าอา ผมยิ้มส่ง

ผ่านตม. ผมก็มองหาที่แลกเงิน ซึ่งอยู่ภายในสนามบินไม่ไกลจากตม.นัก ผมเป็นคนแรกจะที่เดินเข้าไป ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่โบกมือส่ายหน้า พร้อมกับเดินออกมาจากเคาเตอร์แลกเงิน เดี๋ยวค่อยไปแลกที่อื่นก็ได้ ผมคิด ว่าแล้วก็นำสองสาวไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งอยู่ติดกับที่แลกเงิน เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดหนุ่ม รีบเดินมาเปิดประตูห้องน้ำให้ เมื่อผมทำธุระส่วนตัวเสร็จพร้อมพี่ชาย เค้าก็ฉีกกระดาษทิชชูส่งให้ (ที่จริงฉีกเองก็ได้เพราะแขวนไว้) แล้วส่งภาษาจะขอทิป เนื่องจากผมไม่มีแบงค์ย่อย และยังไม่ได้แลกเงิน บวกกับพี่ชายส่ายหน้า จึงปฏิเสธแล้วเดินมารอสองสาวหน้าห้องน้ำหญิง
ก็ไม่ได้ขอให้ช่วยนี่ ผมคิด

เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดผู้นั้นไม่ละความพยายาม เดินตามมารอจนสองสาวออกมา ก็ไม่เห็นผมให้สักที ประจวบกับมีฝรั่งสองสามคน เดินเข้าห้องน้ำไป เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจึงบ่นพึมพำ พร้อมกับยอมตัดใจจากผมไป

เราทั้งสี่เดินออกมาจนถึงทางออกก็ไม่เห็นที่แลกเงินอีก เดินไปถามตำรวจท่องเที่ยวที่อยู่หน้าประตูอาคารได้ความว่า ที่แลกเงินมีอีกอาคาร (แต่ไกลมาก) พวกเราจึงเดินย้อนกลับเข้าสนามบินใหม่เพื่อไปแลกเงินที่เดิม

คราวนี้ เจ้าหน้าที่แลกเงินคนเดิมกลับมาแล้ว พร้อมกับมีแถวฝรั่งสามสี่คนยืนรอแลกเงินอยู่ ผมรับเงินจากทุกคน แล้วเข้าไปต่อแถว เราแลกเงินคนละสามร้อยยูเอส ซึ่งหนึ่งดอลเท่ากับ 5.5 อียิปต์ปอนด์ (หนึ่งอียิปต์ปอนด์ ราวเกือบ 6 บาท) แต่แบงค์ร้อยดอลใบหนึ่งของหวานใจ เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับ เพราะมีรอยฉีกเล็กๆที่หนึ่ง (เล็กมาก สักสองมิลลิเมตรกระมัง) ผมก็ไม่ว่าอะไร บอกหวานใจซึ่งยืนอยู่ด้วยข้างๆ เธอก็เก็บใบนั้นขึ้นแล้วเอาแบงค์ 20 ดอลที่มีติดตัวอีกสามใบมาแลกแทน

พอเจ้าหน้าที่นับเงินปอนด์ส่งให้ ผมสังเกตเห็นแบงค์ยี่สิบปอนด์ใบหนึ่งมีรอยขาดแบ่งครึ่ง แล้วใช้เทปใสปิดไว้ ผมจึงยื่นใบนี้คืนกลับ เจ้าหน้าที่มองหน้าผม ไม่ว่าอะไรเปลี่ยนใบใหม่ที่ดูเก่า แต่ไม่มีรอยฉีกขาดให้
เป็นไงล่ะ...เอาคืนมั่ง ผมยิ้มในใจ จากนั้นก็นำเงินมาแจกทุกคน หวานใจตีแขนผมเบาๆ แล้วว่า “เธอก็ร้ายเหมือนกันนะ”

นอกเรื่องนิดหนึ่ง เงินของอียิปต์ มีสองหน่วย คือเพียสตาร์ ซึ่งประกอบด้วย ธนบัตร 50, 25 และ 10( ซึ่งผมไม่เคยเห็นธนบัตรใบละสิบนี้เลยตลอดทริป) และอียิปต์ปอนด์ ประกอบด้วย ธนบัตร 100, 50, 20, 10, 5 และ 1 โดยหนึ่งร้อยเพียสตาร์เป็นหนึ่งปอนด์


ธนบัตรใบละหนึ่งปอนด์ ที่ของจริงสุดจะเก่า

กลับมาที่สนามบิน หลังแจกจ่ายเงินเสร็จ พวกเราก็เดินออกมานอกสนามบิน แขกอียิปต์ร่างใหญ่สามสี่คนก็กรูกันเข้ามาถาม “แท็กซี่ไหม” กันใหญ่ แน่นอน พวกเราปฏิเสธเพราะตั้งใจจะเดินทางโดยรถประจำทาง ไปดาวน์ทาวน์ ซึ่งมีทั้งรถบัสธรรมดา และปรับอากาศ พวกเราตั้งใจจะไปโดยรถประจำทางปรับอากาศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพียงคนละ 2.5 ปอนด์ ( 15 บาท) แต่ถ้านั่งแท็กซี่ราวสามร้อย บาท

เรานั่งรอที่ท่ารถอยู่พักใหญ่ โดยมีแท็กซี่วนเวียนมาถาม แทบจะทุกหนึ่งนาที หวานใจสงสัยว่าทำไม ไม่เห็นใครมานั่งรออย่างพวกเราเลย พี่ชายจึงชี้ให้ดูว่า คนอื่นๆถ้าไม่นั่งแท็กซี่ ก็มีรถบัสบริษัททัวร์มารับ แม้แต่คนอียิปต์เอง ก็มีญาติมารับไปขึ้นรถหน้าอาคาร

โชเฟอร์หลายคนคงสงสัยว่าพวกเรามานั่งทำอะไรอยู่ จึงสอบถาม ผมตอบว่ารอรถประจำทาง เขาก็บอกว่า ถ้าจะขึ้นรถประจำทางต้องเดินไปข้างหน้า พร้อมกับชี้ไปทาง คาร์ปาร์คที่ห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร พี่สาวชักไม่มั่นใจ จึงเดินวนไปมาสักครู่ก็พบป้าย ว่าที่ตรงนี้เป็นที่รอชัตเติลบัส ซึ่งจะมีรถผ่านทุกนาทีที่ 25 และ 55 ของแต่ละชั่วโมง ซึ่งผมมองนาฬิกาข้อมือ ที่ปรับเวลาตามเวลาอียิปต์แล้ว ก็เป็นนาทีที่ 25 พอดี จึงให้ทุกคนนั่งรอต่อ

10 นาทีผ่านไป แมลงวันสักตัวก็ไม่เห็นผ่านมา โชเฟอร์แท็กซี่รวมกลุ่มมองอยู่ห่างๆ ว่ากระเหรี่ยงน้อยทั้งสี่ จะทำอะไรต่อไป พี่ชายจึงตัดสินใจว่า เราควรจะเดินไปที่คาร์ปาร์คที่ว่า ดูว่าจะมีรถประจำทางที่ว่าหรือไม่ ทุกคนจึงพร้อมใจกันเดินสะพายกระเป๋ามุ่งหน้าไป

จริงของแท็กซี่ มีรถประจำทางหลายคันวิ่งเข้ามาจอด และขับออกไปอยู่บริเวณนั้น ทั้งธรรมดา และรถปรับอากาศ ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ เพื่อดูว่าคันไหนเป็นสาย 356 ที่มุ่งหน้าไปดาวน์ทาวน์ แต่เวรกรรม! รถทุกคันใช้เลขอาหรับ ซึ่งผมดูไม่ออกเลยว่า คันไหน สายอะไร!! สอบถามคนที่ยืนรอรถ ก็ไม่มีใครสักคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ !!! จะทำยังไงดีนี่!!!!

งงเป็นไก่ตาแตกสักพัก มีคุณลุงอียิปต์คนหนึ่งมาถามว่า จะไปไหน ผมก็ตอบว่า ไปดาวน์ทาวน์ ไปพิพิธภัณฑ์อียิปต์ (เพราะโรงแรมที่เราจองอยู่ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์นัก) เขาก็บอกให้เดินตามไป ขึ้นรถประจำทางปรับอากาศคันหนึ่ง แล้วบอกว่าเขาเป็นโชเฟอร์รถคันนี้เอง ให้ขึ้นไปก่อน รอผู้โดยสารเพิ่มอีกหน่อย ก็จะออกแล้ว เราทั้งสี่จึงโล่งใจ
ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าหาไม่เจอจริงๆ คงต้องบากหน้าไปหาแท็กซี่ ให้เขาหัวเราะและชาร์ตเงินเพิ่มแน่ ผมคิด




รถประจำทางสาย356 สังเกตหมายเลขที่เป็นอารบิก

เราทั้งสี่ เป็นผู้โดยสารชุดแรกที่ขึ้นรถประจำทาง รถค่อนข้างเก่าคล้ายรถ ปอ.รุ่นเก่าบ้านเรา แต่มีทางขึ้นสองทาง ทั้งด้านหน้าและหลัง ที่นี่ใช้รถพวงมาลัยซ้าย ไม่นานนักก็มีคนอียิปต์อีกสองสามคนขึ้นมา พร้อมทั้งจ่ายเงินให้โชเฟอร์ (รถประจำทางที่อียิปต์ ไม่มีกระเป๋าคอยเก็บเงิน ทุกคนที่ขึ้นรถ ไม่ว่าจะขึ้นจากด้านหน้าหรือด้านหลัง จะมาจ่ายเงินให้คนขับทางด้านหน้า)
เป็นบ้านเราขาดทุนแน่ๆ ผมคิด

เรานั่งรถอยู่ราวเกือบชั่วโมง ก็มาถึงดาวน์ทาวน์ การจราจรที่นี่สับสนมาก เพราะไม่มีช่องจราจร ถนนส่วนใหญ่ขนาดเล็ก ใครอยากจะแซงซ้ายแซงขวา หรือปาดใครก็ทำได้ ไฟแดงแทบไม่มีความหมายถ้าตำรวจไม่ยืนกำกับ และที่สำคัญ เสียงบีบแตรดังลั่นตลอดเวลาเหมือนที่อินเดียและเวียดนาม!! และผมสังเกตดู ผมไม่เจอรถคันไหน ที่ไม่มีริ้วรอยเลย การกระทบสีกัน หรือชนกระจกข้างบิดไปนิดถือเป็นเรื่องธรรมดา บางคันอาจชะโงกหน้ามาบ่นเล็กน้อย แต่ไม่เห็นใครจอดรถมาดูเลย
ถ้าเป็นบ้านเราสีกันนิด คงตามประกันกันเรื่องยาวแล้ว ผมคิด

และแล้วผมก็มองเห็นพิพิธภัณฑ์อียิปต์ จึงหันไปถามผู้โดยสารข้างๆ เพื่อยืนยัน เขาพยักหน้าและบอกให้ลง ผมจึงนำลูกทีมลงรถ หลังจากเล็งแผนที่เล็กน้อย เราก็มุ่งหน้าสู่โรงแรม มีรามีส (Meramees) บริเวณ มิดาน ตาหลาด (Midan Talaat sq.) ที่หวานใจจองไว้ ซึ่งห่างจากพิพิธภัณฑ์ ตามแผนที่ในโลนลี่ แพลเนต ประมาณหนึ่งกิโลเมตร

ใช้เวลาไม่นาน ผมก็หาโรงแรมเจอโดยไม่ยากนัก ตัวโรงแรมเป็นส่วนหนึ่งของตึกเก่า โดยอยู่ชั้นที่5 ของอาคารที่มีอายุประมาณ 60 ปี แถมมีลิฟท์แบบโบราณ ที่เป็นลูกกรงเปิดโล่ง จะเข้าออก ต้องคอยปิดประตูลูกกรงให้ดี และถ้าอยู่ชั้นบนจะไม่สามารถ กดลงได้ ได้แต่กดขึ้นจากชั้นล่าง ในที่สุดเราก็มาถึงโรงแรมที่จะพักในคืนแรก เจ้าของโรงแรมให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ห้องเตียงแยก มีโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเล็ก ห้องน้ำขนาดเล็กในตัว มีน้ำร้อนน้ำเย็น แม้จะเก่าแต่ก็สะอาด แค่ 800 บาทต่อห้องและแค่คืนเดียว ผมพอใจแล้วล่ะ และแล้วสองสาวกับสองหนุ่มต่างก็แยกย้ายกันเข้าห้องพักเพื่อเตรียมตัวผจญภัยในแผ่นดินฟาโรห์ต่อ




Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 19:35:26 น. 5 comments
Counter : 1734 Pageviews.  
 
 
 
 
ตามค่ะ ตามไปดูด้วย แม้ไม่ได้ไปด้วย แต่ก้ออยากเห็นค่ะ
 
 

โดย: ann_269 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:09:27 น.  

 
 
 
อ่านแล้วเห็นภาพตามเลยค่ะ เจ้ากลิ่นกะปิ แวะมาเยี่ยมค่ะ
 
 

โดย: honto วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:36:14 น.  

 
 
 
ขอบคุณทุกท่าน ที่ให้กำลังใจครับ จะทยอยลงตอนต่อๆไปเรื่อยๆ

หวังว่าคงจะยังไม่เบื่อเสียก่อน
 
 

โดย: adept วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:49:11 น.  

 
 
 
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2551 19:35:26 น.
 
 

โดย: สา IP: 58.9.162.51 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:43:04 น.  

 
 
 
ใลขแบบนั้นทุกที่ในอียิปต์เลยหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นเลขแบบนั้นอ่านไม่ออกแน่ๆ
 
 

โดย: sandy IP: 14.207.98.179 วันที่: 16 เมษายน 2554 เวลา:15:49:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com