เราเข้ามาในโรงแรม Petra Gate แล้วจึงทราบว่า ที่นี่ก็รับแลกเงินด้วย แหมถ้ารู้ก่อน ให้ลุงแกรอสักนิดก็ไม่ต้องจ่าย ค่ารถแพง...ผมคิดด้วยความงก ผมแจ้งชื่อพร้อมกับยื่นเอกสารการจองที่พักผ่านเว็บให้ผจก.โรงแรมดู แกรับเอกสารแล้วทำหน้างงเล็กน้อย พอหวานใจบอกไปว่า เราเป็นกลุ่มคนไทยที่เคยจองห้องไว้แต่ต้องยกเลิกเพราะปัญหาที่สนามบินเมื่อเดือนธันวา แกก็จำได้ทันที พร้อมกับกล่าวยินดีต้อนรับด้วยความยิ้มแย้ม และพาเราไปเลือกดูห้องพัก ตามความพอใจ เขาบอกว่าช่วงนี้ไม่ใช่ high season และมีลูกค้าแจ้งยกเลิกหลายคน (คงเพราะเศรษฐกิจไม่ดี...ผมคิด) จึงยังมีห้องว่างหลายห้องอยู่ เราจึงมีสิทธิเลือกห้องได้
โปรดอย่าถามเลยว่าระดับริชชี่อย่างผมจะพักคืนละเท่าไหร่...โอเค ไม่ต้องขมวดคิ้ว บอกก็ได้ครับ คิดราคาหารต่อคนรวมอาหารเช้าแล้ว 420 บาทถ้วน ถ้าช่วง high season คงไม่ได้ราคานี้ ห้องสะอาด เตียงนุ่ม มีห้องน้ำในตัวพร้อมน้ำอุ่น แค่นี้ผมพอใจแล้ว แต่หากท่านใดอยากได้ที่อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ จะพักสี่ดาวหรือห้าดาวก็ตามอัธยาศัยครับ เมื่อได้ห้องตามต้องการ เราก็แยกย้ายกันทำธุระส่วนตัวกัน
แม้ว่าWadi Musa จะเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งตั้งขึ้นใหม่ ไม่ห่างจาก Petra นครโบราณ แต่ก็มีโรงแรมเป็นสิบแห่ง ตั้งแต่ห้าดาวคืนละเป็นหมื่นจนถึงดาวเดียวคืนละหลักร้อย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วสามารถจองผ่านเว็บตัวแทนได้
Wadi แปลว่า หุบเขา หากติดตามตอนต่อๆไปจะพบคำๆนี้นำหน้าสถานที่อื่นๆอีก ส่วน Musa มาจากชื่อของโมเสส ดังนั้น Wadi Musa จึงน่าจะแปลได้ว่า หุบเขาโมเสส เพราะท่านโมเสสได้นำชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ผ่านมาหุบเขาแห่งนี้
ทิวทัศน์ Wadi Musa ยามเย็น
เมื่อทุกคนทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว เราก็ลงมาที่เคาน์เตอร์โรงแรมชั้นล่าง เพื่อแจ้งผจก.ให้ช่วยจองตั๋ว Petra by night ให้หน่อย เพราะนอกจากการเที่ยวชมนคร Petra ในเวลากลางวันแล้ว ในคืนวันจันทร์ พุธ และพฤหัสฯ ก็มีการแสดงคล้าย light & sound ด้วย และคืนที่ผมไปก็เป็นคืนวันจันทร์ ผมจึงไม่พลาดโอกาสอยู่แล้ว
หลังจากที่กระเพาะเราเต็มไปด้วยอาหารแล้ว ก็ได้เวลาไปชม Petra by night เสียที คืนนี้มีคนเข้าชมราวสี่สิบคนได้ คงเพราะไม่ใช่ high season กระมัง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเข้าชม ซึ่งราคาคนละ 12 JD (ราว600 บาท)จากนั้นก็นำพวกเราเดินผ่านประตูเข้าไป (ตื่นเต้นจังจะได้เห็น Petra แล้ว...ผมคิด)
ดูขลังดี