เรียนรู้อดีต เพื่อสอนปัจจุบัน ให้ใช้อนาคตอย่างเหมาะสม
 
เป้เดี่ยว...เที่ยวหมื่นไมล์ ตอนลุยทราย...ตะกายพีระมิด 9 (ตอนจบ)

ตอนสุดท้าย กลับบ้านเรารักรออยู่

ตลอดสิบสามชั่วโมงของการเดินทาง ผมหลับสบายไม่มีกลิ่นบุหรี่รบกวน มีตื่นบ้างเพื่อพลิกตัวแก้เมื่อยล้า ราวเก้านาฬิกาเศษ พวกเราก็มาถึงสถานีรถไฟรามเซสที่เราคุ้นเคย

พวกผมนำกระเป๋าไปฝากที่รับกระเป๋าแห่งเดิมด้วยความชำนาญ จากนั้นก็เดินไปซื้อตั๋วรถเมโทรเดินทางไปยังสถานีกีซ่า เพื่อไปชมพีระมิดและสฟิงซ์ที่กีซ่าเก็บตกจากวันแรก

ตอนแรกผมเตรียมธนบัตรสิบปอนด์ไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องทอนเงิน แต่พอรับตั๋วขณะจะเดินไป ปรากฏว่าคนขายตั๋วเรียกให้หยุดพร้อมทั้งส่งเงินทอนให้ หกปอนด์
อ้าว ที่แท้ตั๋วราคาเพียงคนละหนึ่งปอนด์นี่ งั้นวันแรกที่ขึ้นก็ถูกโกงสิ ผมคิด


เส้นทางเมโทรสองสาย ซึ่งกำลังขยายเส้นทางไปถึงสนามบิน

จากนั้นเราทั้งสี่ก็มารอที่ชานชลาเพื่อขึ้นรถเมโทรไปยังกีซ่า แม้ว่าจะสายแล้วแต่คนยังแน่นเหมือนเดิม หวานใจหลบมุมตามเดิมจวบจนผ่านไปห้าสถานี คนก็น้อยลงมากจนหวานใจได้ที่นั่ง แต่ผมยินดียืนต่อเพราะสละที่ให้คุณลุงผู้สูงอายุนั่ง (สุภาพบุรุษที่สุดในโลกเลย หุหุ)

ราวสิบห้านาทีพวกผมก็มายืนหน้าสถานีกีซ่า เมื่อมาถึงแทบจะทันทีที่ออกจากชานชลาก็มีโชเฟอร์แท็กซี่ เข้ามาสอบถามว่าจะไปไหน ผมบอกว่าไปพีระมิด เขาแจ้งว่า ยี่สิบปอนด์ แต่ต่อไปต่อมาได้ในราคาสิบปอนด์ พวกเราจึงตกลงและเดินไปขึ้นรถ

ระหว่างทาง โชเฟอร์สอบถามคำถามเดิมๆ ว่าผมมาจากไหน จะตอบว่ามาจากไคโรก็ไม่ได้แล้วสิ จึงบอกตามจริงว่ามาจากเมืองไทย พอบอกว่าจากเมืองไทย คนขับเขาก็รู้จักดี บอกว่า “เมืองไทยสวย คนไทยนิสัยดี” เขาฝันอยากไปแต่เงินไม่มี ทำเอาเรายิ้มกันใหญ่ (น่าภูมิใจไหมครับ ที่เขาชมประเทศเรา) ตลอดทางเขาชวนคุยเรื่องต่างๆ ที่เราไปเที่ยวกันมาอย่างเป็นมิตรและสนิทสนม

ขับมาได้สักพักเห็นพีระมิดไกลๆ เขาก็ถามอีกว่า อยากไปชมพีระมิดแบบไหน แบบนักท่องเที่ยว แต่ราคาแพง หรือแบบชาวอียิปต์ที่ราคาถูกกว่า แน่นอนผมแทบจะตอบทันทีว่า แบบชาวอียิปต์ เขาก็พยักหน้ารับรู้

ไม่นานนักเขาก็เลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พร้อมทั้งจอดที่หน้าร้านเช่าอูฐ แล้วบอกว่าชมพีระมิดแบบชาวอียิปต์คือขี่อูฐชม พร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของร้านเช่าอูฐ คุณเจ้าของฯ รีบเข้ามาจะแนะนำเส้นทางการชม แต่พวกเราปฏิเสธ ไม่ว่าเขาจะเสนอแพคเก็จอย่างไร เพราะหนึ่งไม่อยากเสียเวลาขี่อูฐ (เพราะยังมีพิพิธภัณฑ์อียิปต์ที่ยังไม่ได้ไปอีก และวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเหลือเวลาไม่มากนัก)

ผมจึงปฏิเสธอีกครั้งด้วยความนุ่มนวล พร้อมทั้งขอให้โชเฟอร์แท็กซี่ช่วยพาไปทางเข้าพีระมิดด้วย คราวนี้ความน่ารักของโชเฟอร์หายไปหมด เขาบ่นกระปอดกระแปดตลอดทาง คงเพราะเสียดายค่านายหน้าที่อดได้ พอมาถึงใกล้ทางเข้าก็บอกให้พวกเราลง เขาบอกว่าถ้าเข้าไปรถจะติดมากและไม่มีที่จอดรถ พวกเราจึงตัดความรำคาญด้วยการลงรถ แล้วเดินไปซื้อตั๋วเข้าชมพีระมิดสมใจ

หลังจากที่ถ่ายรูปกับพีระมิด และสฟิงซ์สมใจแล้ว เราตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปชมภายในพีระมิดคูฟู เพราะต้องซื้อตั๋วเพิ่ม (แหะๆ...งกครับ) จากนั้นจึงเดินออกมาหาแท็กซี่ไปสถานีเมโทรกีซ่า เพื่อเดินทางกลับ ระหว่างทางรถติดเป็นระยะๆ มองเห็นร้านฟาสฟู๊ดตะวันตก จำพวกเคเอฟซี แมคฯ เป็นระยะๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีนักเพราะใกล้เวลาอาหารกลางวันแล้ว


ในที่สุดก็ได้จิ้มหัวสฟิงซ์สมใจ

ไม่นานนักเราก็มาถึงสถานีเมโทรเพื่อขึ้นรถเมโทรอีกครั้งหนึ่ง ขบวนไม่แน่นมากเหมือนขามา ที่หมายของพวกเราคราวนี้คือสถานีซาแดส ซึ่งถึงก่อนมูบารักสามสถานี เพราะสถานีนี้อยู่ไม่ห่างจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ เมื่อลงจากสถานี เราก็แวะร้านฮ็อตด็อกสไตล์อียิปต์ข้างทางเช่นเคย สนนราคาชิ้นละหนึ่งปอนด์เหมือนเดิม แต่รสชาติสู้ที่อเล็กซานเดรียไม่ได้เราเลยหม่ำกันแค่คนละชิ้น เมื่อเติมพลังเสร็จก็เดินต่อไปพิพิธภัณฑ์อียิปต์ต่อ

พิพิธภัณฑ์อียิปต์สร้างขึ้นในปี 1902 อยู่ไม่ห่างจาก เมย์ดานอัล-ตาห์รีร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมมีรามีสที่เราพักกันในคืนแรกเท่าใดนัก เป็นที่รวบรวมโบราณวัตถุของอียิปต์มากที่สุด และมีการตรวจค้นมากที่สุดในการเข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวของอียิปต์ กล้องถ่ายรูปจะถูกสั่งให้เก็บห้ามถือเด็ดขาด บางคนต้องฝากกระเป๋าไว้ที่บริเวณตรวจค้นทางเข้า แต่พวกผมรอด


พิพิธภัณฑ์อียิปต์

เมื่อเราเข้าไปภายใน ผมเริ่มต้นโดยเลี้ยวขวาเพื่อไปชม โบราณวัตถุในยุคปโตเลมีก่อน ยุคนี้ใหม่ที่สุดเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ และแฝงกลิ่นอายกรีกและโรมันค่อนข้างมาก จากนั้นผมก็เดินตรงขึ้นชั้นสองเพื่อชมกรุสมบัติของตุตานคาเมนฟาโรห์องค์ดัง ซึ่งเห็นแล้วต้องตะลึงกับความงดงามของสมบัติของใช้ส่วนตัวของพระองค์ ที่ประดับหินมีค่าและปิดทองอร่ามตา แต่ที่หวานใจชอบที่สุดเห็นจะเป็นพระเก้าอี้ ที่สลักเป็นรูปพระมเหสีอเคเซนามุนกำลังทาน้ำมันเครื่องหอมถวายแด่องค์ฟาโรห์ตุตานคาเมน ซึ่งเป็นการแสดงความรักและภักดีที่มีให้ของพระนางอย่างชัดเจน


พระเก้าอี้


อเคเซนามุนทาน้ำมันหอมถวายตุตานคาเมน

จากนั้นผมเดินผ่านห้องมัมมี่หลวงไปชมมัมมี่ขุนนางแทน เพราะห้องมัมมี่หลวงต้องจ่ายค่าชมเพิ่มต่างหากอีกหนึ่งร้อยปอนด์ (งกครับ) ในห้องนี้เก็บมัมมี่จำนวนมากหลายสิบร่าง ทั้งเด็ก สตรีและบุรุษ ที่ทราบเพราะเขาจะวาดหน้าของเจ้าของร่างหรือไม่ก็ทำส่วนศีรษะติดไว้ให้ทราบ บางร่างคาดว่าน่าจะเป็นยุคปโตเลมีเพราะหน้าตาละม้ายคล้ายชาวกรีกมากกว่าชาวอียิปต์

ดูมัมมี่ไปหลายสิบร่างชักมึนๆ เราจึงเลี้ยวเข้าไปชมห้องเครื่องประดับ ซึ่งแน่นอนส่วนใหญ่มักเป็นเครื่องทองที่ทำได้วิจิตรสวยงาม ผิดกับเครื่องประดับที่พบเห็นในพิพิธภัณฑ์นูเบีย ที่ส่วนใหญ่ทำจากเงิน และฝีมือหยาบกว่ากันมาก
เพราะมีวัฒนธรรมที่ด้อยกว่ากระมัง แม้ว่าราชวงศ์ที่25 จะมีเชื้อสายนูเบีย แต่วัฒนธรรมนูเบียกลับไม่ค่อยได้ได้รับการส่งเสริม และถูกอียิปต์กลืนได้ง่าย ผมคิด

จากนั้นพวกเราจึงลงบันไดอีกฟากเพื่อชมหินสลักและโลงต่างๆในยุคราชวงศ์ใหม่ กลาง และเก่าตามลำดับ ดูไปดูมาเห็นแล้วอดคิดไม่ได้ว่า ชาวอียิปต์โบราณวันๆคงคิดแต่เรื่องความตายอย่างเดียวกระมัง ถึงได้สร้างสรรค์ศิลปะที่เกี่ยวข้องกับงานศพได้มากมายขนาดนี้

เดินชมอยู่สองสามชั่วโมงหวานใจคงเหนื่อย โชคดีที่ชั้นล่างไม่ห่างจากห้องน้ำมีโซฟาตั้งอยู่ หวานใจและพี่สาวไม่รีรอ เดินไปนั่งยิ้มฟันขาวรอผมและพี่ชายเข้าห้องน้ำ มาทราบทีหลังว่าเป็นที่นั่งพักของคุณตำรวจที่คอยสอดส่องอยู่ภายใน จากนั้นเราก็ออกมาด้านนอกพิพิธภัณฑ์ถ่ายรูปนิดหน่อยจากนั้นก็ไปหาของอร่อยลองท้อง

ร้านอาหารเป้าหมายของพวกเรา คือภัตตาคารเฟลเฟล่าที่เขาแนะนำ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพิพิธภัณฑ์นัก
เงินเหลือและเป็นมื้อสุดท้ายที่จะหม่ำกันในอียิปต์แล้ว งานนี้ต้องภัตตาคารเท่านั้น หุหุ ผมคิด

อาหารที่เฟลเฟล่า ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังทั้งในรสชาติ บริการและราคาที่คุ้มกับเงินที่จ่าย มื้อนี้ผมเริ่มด้วยเมสเซสลัดที่ทานแกล้มกับโรตีสดใหม่ ตามด้วยสปาเก็ตตี้มีทซ๊อส ทานคู่กับไส้กรอกเนื้อลูกวัวแสนนุ่ม และตบท้ายด้วยไอศกรีมสุดอร่อยอีกหนึ่งถ้วย จากนั้นพวกเราก็เดินเบากระเป๋าแต่หนักพุงกลับไปขึ้นเมโทรย้อนกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ณ สถานีรถไฟรามเซสตั้งแต่เช้า



อาหารคาว


บานาน่าสปลิท สุดอร่อย

เมื่อได้กระเป๋าแล้ว เราก็ตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปสนามบินแทนที่จะขึ้นรถประจำทางสาย356 ที่เรามาตั้งแต่วันแรก เพราะเป็นเวลาเลิกงานรถค่อนข้างติด ถ้าต้องยืนโหนเป็นชั่วโมงพร้อมเป้ใบใหญ่คงไม่ไหว

ผมต่อลองราคาแท็กซี่จาก70ปอนด์ เหลือ50ปอนด์ แต่เขาบอกว่าขออีกสิบปอนด์ เป็นค่าผ่านทางเข้าสนามบินด้วย ผมก็ตกลงว่าถ้าต้องจ่ายค่าผ่านจะจ่ายให้ด้วยความงงๆ
แค่ขับรถเข้าสนามบินแต่ไม่จอดก็ต้องจ่ายด้วยหรือ ผมคิด

เราใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงสนามบิน เห็นแท็กซี่รับบัตรผ่านเข้าสนามบิน และเขาบอกว่าต้องจ่ายสิบปอนด์ตอนออกและคืนบัตรนี้ หวานใจสงสัยจึงขอดู แต่ไม่เห็นตัวเลขใดๆระบุไว้ (ถึงตอนนี้พวกเราสามารถอ่านตัวเลขอาหรับได้อย่างสบาย แม้ว่าจะอ่านอักษรอาหรับไม่ออก) จึงคิดว่าแท็กซี่น่าจะมั่วแน่จึงจะจ่ายแค่50 แต่เมื่อถึงเทอร์มินอลทู ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ พอคุณแท็กซี่รับเงินผมหกสิบปอนด์ กลับไม่ยอมทอนรีบขับออกไปทันที
ช่างเขา เงินเหลือก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ผมคิด

พวกเราใจเย็นเดินมานั่งรอบริเวณที่นั่งด้านหน้าสักพัก เพราะยังเหลือเวลาอีกเกือบสามชั่วโมงก่อนได้เวลาขึ้นเครื่อง และเกรงว่าถ้าเข้าไปด้านในเร็วไปอาจจะหาที่นั่งไม่ได้ ระหว่างนั่งรอผมก็มองดูหมายเลขเที่ยวบินต่างๆที่จะมาถึงและออกเดินทาง ในช่วงสองสามชั่วโมงข้างหน้า มองไปมองมาไม่เห็นหมายเลขเที่ยวบินที่เราจะเดินทางกลับเลย และยิ่งสังเกต ก็ไม่เห็นรหัสของสายการบินอียิปต์แอร์เลยแม้แต่เที่ยวเดียว ผมชักเอะใจจึงค้นตั๋วอิเล็กโทรนิคจากพาสปอร์ตดูอีกครั้ง ปรากฏว่า เขาแจ้งว่าอยู่ที่เทอร์มินอลวัน ซึ่งเป็นของสายการบินภายในประเทศ!! เพื่อความมั่นใจผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เขาก็ยืนยันแจ้งว่า เที่ยวบินของสายการบินอียิปต์แอร์จะอยู่รวมกับสายการบินภายในประเทศที่เทอร์มินอลวัน
ตายล่ะ จะทำอย่างไรดีมาผิดที่ ผมหวั่นใจ พลางสอบถามเจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าให้ไปยืนรอชัทเทิลบัสด้านหน้า จะมีรถไปส่งที่เทอร์มินอลวัน ผมจึงรีบเดินมาบอกทุกคนแล้วพาออกมารอรถด้านหน้า

ดังนั้นถ้าคุณจะเดินทางกลับด้วยอียิปต์แอร์ คุณต้องมาที่เทอร์มินอลวัน แต่ถ้าหากคุณกลับสายการบินชาติอื่นๆ คุณก็ต้องไปที่เทอร์มินอลทู

ยืนรออยู่พักใหญ่ เห็นแต่ชัทเทิลบัสไปกลับที่จอดรถและเทอร์มินอลทูที่เรายืนกันอยู่ ไม่เห็นรถที่จะไปเทอร์มินอลวันเสียที ยิ่งหวั่นใจเพราะเวลางวดเข้ามาทุกทีๆ เหลียวมองไปเห็นป้ายชี้ทางไปเทอร์มินอลวัน จึงปรึกษาทุกคนว่าจะเอาไงดี ทุกคนตัดสินใจที่จะเดินไปเทอร์มินอลวันแทนที่จะยืนดมควันรถที่ด้านหน้าสนามบินอย่างไร้จุดหมาย เราจึงออกเดินกันอีกครั้ง
จะกลับแล้วยังเหนื่อยอีกตู ผมถอนใจแล้วออกเดิน

เราเดินกันไปเรื่อยๆตามทางเดิน มีรถแท็กซี่ชะลอมาใกล้ๆถามว่าจะไปไหนเป็นระยะๆ แต่พวกเราไม่สนใจก้มหน้าก้มตาเดินย้อนไปเทอร์มินอลวันที่ห่างไปเกือบสองกิโลเมตรต่อไป

เดินได้ครึ่งทางอยู่ๆก็เห็น รถบัสคันหนึ่งมีผู้โดยสารไม่กี่คน ติดป้ายเทอร์มินอลวันขับผ่านพวกเราไป
รอด้วยยยย... ผมพยายามโบกมือ แต่คนขับคงไม่เห็น พวกเราจึงได้แต่ถอนใจและเดินต่อไป จากนั้นผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า รถชัทเทิลบัสที่จะมาเทอร์มินอลวัน จะออกทุกนาทีที่ 25 และ 55 (จำตอนที่หนึ่งที่มาถึงอียิปต์ใหม่ๆได้ไหมครับ)

ในที่สุดเราก็มาถึงเทอร์มินอลวัน และเข้าไปที่เคาเตอร์สายการบินระหว่างประเทศ เพื่อติดต่อรับตั๋วกันเสียที เจ้าหน้าที่บอกให้รอสักครู่เนื่องจากกำลังทำตั๋วให้ทัวร์หมู่คณะอยู่ เราจึงยืนต่อคิวอยู่สักพัก การออกตั๋วเป็นไปด้วยความล่าช้ามีผู้ต่อแถวอยู่หลายคน ผู้ที่ต่อแถวจากเราเป็นคุณลุงสูงวัยชาวอียิปต์มากับหลานชายวัยสามสิบจะเดินทางไปไหนไม่แน่ใจ แต่ผมเห็นหลานชายเขาเข้ามาทักเจ้าหน้าที่ขนกระเป๋าอย่างสนิทสนม

สักพักมีเจ้าหน้าที่มายืนเขียนเอกสารง่วนอยู่อีกเคาเตอร์ พี่ชายไปสอบถามเขาแจ้งว่าเคาเตอร์นี้สำหรับคณะทัวร์ ให้เราไปต่อแถวตามเดิม ผมยืนอยู่อีกพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ขนกระเป๋าพูดคุยกับหลานคุณลุงเสร็จ และเหลืออีกหนึ่งคิวจะถึงพวกเรา อยู่ๆเจ้าหน้าที่ขนกระเป๋าก็เดินมาหาพวกผมและบอกว่า ออกตั๋วคณะทัวร์เสร็จแล้ว ให้พวกเราไปรับตั๋วที่เคาเตอร์คณะทัวร์ จะได้ไม่ต้องรอ ผมมองไปเห็นเจ้าหน้าที่กำลังทำพาสปอร์ตใบสุดท้ายพอดี จึงชักชวนลูกทีมไปที่เคาเตอร์คณะทัวร์ แต่ก็ได้รับคำตอบเช่นเดิมว่าเคาเตอร์นี้สำหรับคณะทัวร์เท่านั้น

เมื่อพวกเราย้อนกลับไปที่เคาเตอร์เดิมปรากฏว่าสายไปเสียแล้ว เจ้าหน้าที่กำลังออกตั๋วให้คุณลุงและหลานแทนที่จะเป็นเรา ?
เสียรู้คนขนกระเป๋าเสียได้ -*-ผมคิด

โชคดีที่ผู้โดยสารคนต่อไปให้พวกเราแทรกคิวที่เดิม ซึ่งไม่นานนักก็ได้ตั๋ว ถัดจากนั้นเราก็โหลดกระเป๋า และเดินตัวเบาเข้าไปดิวตีฟรีภายในสนามบิน

ภายในมีร้านค้าเพียงเล็กน้อยผิดกับที่สุวรรณภูมิของพวกเรา หลังจากเดินดูสักพักเราก็มานั่งรอหน้าประตูทางออกที่3 เพื่อรอเที่ยวบินที่จะพาเรากลับบ้าน และแล้วก็ได้เวลาพวกเราก็ขึ้นเครื่อง ขากลับนี้ผมได้นั่งคู่กับหวานใจเช่นเดิม ผมค่อยๆถอดรองเท้าพลางระแวงว่าจะส่งกลิ่นส้มตำปลาร้าออกมาหรือไม่เพราะไม่ได้เปลี่ยนถุงเท้ามาสองวันแล้ว แต่หวานใจให้กำลังใจว่าไม่ได้กลิ่น ผมจึงนั่งอย่างสบายใจ ไม่นานนักราวสี่ทุ่มเครื่องบินก็เทคอ๊อฟ จากนั้นอีกแปดชั่วโมงต่อมาผมและหวานใจก็มาเหยียบแผ่นดินไทยอันเป็นที่รักยิ่งอีกครั้งหนึ่ง...จบการเดินทาง



ความเร้าใจที่พยายามให้ถูกหลอกน้อยที่สุดในไคโร ความหนาวเย็นที่ต้องตากฝนที่อเล็กซานเดรีย ความจริงใจที่ได้รับจากเจ้าของโรงแรมที่ลักซอร์ ความรู้ที่ได้รับพร้อมกับเสียง “ โอเค๊ๆ” ที่แทรกมาเป็นระยะๆจากคุณไกด์ชุดแดง ความตระหง่านของวิหารต่างๆที่ได้ไปเที่ยวชม และความอลังการในทรัพย์สมบัติฟาโรห์ที่พบเห็นได้ในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ คุณคิดว่าทริปนี้ค่าใช้จ่ายต่อคนเท่าไหร่?

ตั๋วเครื่องบินไปกลับสายการบินอียิปต์แอร์ ราคาเกือบ 25,000 บาท ค่าวีซ่า 1,500 บาท และค่าใช้จ่ายตลอดเจ็ดวันห้าคืนที่ตะลอนเหนือจรดใต้แผ่นดินอียิปต์ รวมทั้งของฝากเล็กๆน้อยๆ อีกราว 10,000บาท ดังนั้นค่าใช่จ่ายในการแบกเป้เดี่ยวเที่ยวฯครั้งนี้ 36,500 บาท คุณล่ะสนใจจะไปเที่ยวอียิปต์แบบกระเป๋าเบาอย่างพวกผมบ้างไหมครับ




Create Date : 08 มีนาคม 2551
Last Update : 8 มีนาคม 2551 18:43:02 น. 7 comments
Counter : 1201 Pageviews.  
 
 
 
 
ง้า...อยากไปอีกๆ
ตอนนั้นไปกับทัวร์ค่ะ
รู้สึกไม่ค่อยสะใจ

ป.ล.คิดได้นะ จิ้มหัวสฟิงซ์ 555
 
 

โดย: gluhp วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:17:49:00 น.  

 
 
 
ไปมาแล้วค่ะแบกเป้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าไปสองอาทิตย์ค่ะ หมดเงินทั้งหมดทั้งสิ้นรวมค่าเครื่องค่าทุกอย่างก็ไม่เกินสามหมื่นบาทค่ะ อยู่ราว ๆ 28000 บาทค่ะ อิอิอิ ต่อสุด ๆ เลยง่ะ สนุกดีค่ะ อยากไปอีก
 
 

โดย: joy@ahmed IP: 203.158.4.151 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:21:23:53 น.  

 
 
 
อยากไปมากๆๆ เคยไปแต่ดูไบ ยังซึมซับความเป็นอาหรับไม่ค่อยจุใจเลย
 
 

โดย: fedexfc วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:22:42:55 น.  

 
 
 
แวะมาอ่านจ้ะ เขียนได้สนุกมากๆ อยากไปเที่ยวมั่ง อิจฉาจัง
 
 

โดย: เพื่อนของหวานใจ (akachan ) วันที่: 17 มีนาคม 2551 เวลา:9:23:08 น.  

 
 
 
ขอบคุณทุกท่านที่คอยติดตามจนจบ

หวังว่าคงได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนประสบการณ์เที่ยวกับท่านอื่นๆเช่นนี้อีกครับ
 
 

โดย: adept วันที่: 17 มีนาคม 2551 เวลา:15:18:57 น.  

 
 
 
สุดยอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆด
 
 

โดย: ต้นน้ำ IP: 125.25.101.253 วันที่: 24 มิถุนายน 2554 เวลา:21:05:21 น.  

 
 
 
ดีดีดีสุดยอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆด
 
 

โดย: ต้นน้ำ IP: 125.25.101.253 วันที่: 24 มิถุนายน 2554 เวลา:21:08:00 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

adept
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




แม้สายน้ำมิอาจไหลย้อนกลับ แต่เราสามารถแลหลัง เหลียวดูมันได้
[Add adept's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com