4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

รักจำพรากหลังวังมังกร

คนที่เป็นถึงสมเด็จพระมเหสี น่าจะมีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่ จนสามารถแผ้วถางทางเดินชีวิตของตนเองให้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่สำหรับสมเด็จพระมเหสีเจิน แห่งราชวงศ์แมนจู ตำแหน่งมเหสีกลับเป็นเพียงสายลมวูบเดียวที่ผ่ผิดสมัยานมาแล้วก็ผ่านไป ความผิดหนึ่งเดียวของพระนางอยู่ที่เลือกเกิดผิดยุคผิดสมัยไปเกิดในสมัยที่ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงชื่อ พระนางซูสีไทเฮา



จักรพรรดิกวางซวี่ : พระสนมเจินเฟย



พระสนมเจินเฟย ประสูติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 ทรงเป็นพระสนมตั้งแต่มีชันษาได้เพียง 13 ปี พร้อมกับน้องสาวอีกคนหนึ่งชื่อว่าพระสนมจินเฟย สภาพการของราชวงศ์ชิงในเวลานั้น มีซูสีไทเฮาทรงกุมอำนาจการปกครองเอาไว้ทั้งหมด หลังจากที่จักรพรรดิถงจื้อ จักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ลง พระนางซูสีก็ได้เลือกองค์ชายกวางซวี่ หลานชายแท้ ๆ ของตัวเองซึ่งอายุเพียง 3 ขวบ มาสถาปนาเป็นจักรพรรดิ โดยมีตัวพระนางเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์



ภาพซ้าย : พระสนมเจินเฟย  ภาพขวา : พระสนมจินเฟย (น้องสาว)




จนกระทั่งจักรพรรดิกวางซวี่มีพระชนมายุ 16 พรรษา ตามราชประเพณีถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้ว พระนางซูสีไม่มีทางเลือก จึงจำต้องยอมให้มีพิธีขึ้นครองราชย์สมบัติอย่างเป็นทางการ แต่ลับหลังก็ยังไม่วายกุมบังเหียนอำนาจไว้คนเดียวเหมือนเดิม อำนาจของพระนางซูสีที่มีเหนือองค์จักรพรรดิ กินความไปถึงทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือการมุ้ง อย่างเมื่อองค์จักรพรรดิจะถึงวัยที่จะมีฮองเฮา พระนางไทเฮาก็ทรงจัดแจงคัดเลือกกุลสตรีไฮโซจากตระกูลสูง 3 นางที่พระนางซูสีเลือกมา คนหนึ่งเป็นหลานสาวของพระนางเอง หรือก็คือลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิกวางสีนั่นล่ะ นามว่าคุณหนูหรงยู่ ส่วนอีกสองคนเป็นคุณหนูจากสกุลตาตาลา ได้แก่ พระสนมเจิน และพระสนมจิน สองศรีพี่น้อง


จักรพรรดิกวางซวี่ทรงพอพระทัยในความงามของสนมเจินมาก แต่ก็จำต้องเลือกหรงยู่เป็นฮองเฮาตามใบสั่งของพระนางซูสี แต่เมื่ออภิเษกเรียบร้อยแล้ว องค์จักรพรรรดิก็แทบไม่ได้เสด็จไปหาฮองเฮาเลย เพราะความรักทั้งหมดของพระองค์มีให้สนมจินเพียงคนเดียว พระสนมเจินนั้นทรงมีสิริโฉมงดงามมากถึงขนาดมีชื่อเรียกติดปากชาวบ้านว่า พระสนมไข่มุก แต่เสน่ห์ที่แท้จริงของนางอยู่ที่ความฉลาด มีหัวคิดก้าวหน้า สนใจการศึกษาแผนใหม่ของตะวันตก นางกลายเป็นแรงผลักดันให้จักรพรรดิกวางซวี่ ทรงหันมาเรียนรู้วิชาการปกครองของตะวันตกไปด้วย ในวังต้องห้ามที่ไม่เคยต้อนรับชาวต่างชาติ ก็เริ่มมีชาวตะวันตกเข้ามาสอนวิทยาการใหม่ ๆ ให้องค์จักรพรรดิ ผ่านการแนะนำของพระสนม

แต่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ โดยเฉพาะเสือสาวที่ต้องใช้สามีร่วมกัน เมื่อฮ่องเต้ไปขลุกอยู่กับเมียอื่นทั้งวัน ไม่หันมาสนใจไยดีตัวเองเลย ฮองเฮาหรงยู่ก็ทนอกไหม้ไส้ขมอยู่ไม่ไหว จึงเสด็จไปฟ้องพระนางซูสีไทเฮา พร้อมกับไส่ไฟเมียน้อยไปชุดใหญ่ หารู้ไม่ว่าพระนางซูสีนั้นทรงรอเวลาจะยุยงให้ผัวเมียเขาแตกคอกันอยู่แล้ว เมื่อฮองเฮาเอาโอกาสใส่พานมาถวายถึงที่ พระนางไทเฮาก็รีบสานต่อ จัดการปั่นหัวจนฮองเฮาหรงยู่น้อยเนื้อต่ำใจ คิดชิงชังความลำเอียงของพระสวามี จนตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ภักดีกับผู้ชายใจดำคนนี้อีกต่อไป


ที่ซูสีไทเฮาทรงทำอย่างนี้เพราะรู้ดีว่าอำนาจอันหอมหวานที่เชยชมอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นของพระนางอย่างแท้จริง วันไหนจักรพรรดิกวางสีปีกกล้าขาแข็ง ก็อาจจะร่วมแรงร่วมใจกับฮองเฮา ลุกขึ้นมาทวงบัลลังก์มังกรคืนไปก็ได้ พระนางจึงต้องหาทางริดรอนแขนขาขององค์จักรพรรดิเสียก่อน ด้วยการยุแยงตะแคงรั่วให้ผัวเมียเป็นศัตรูกัน หลังจากนั้น หรงยู่ฮองเฮาก็กลายเป็นหอกข้างแคร่ของพระสวามี คอยเอาความเคลื่อนไหวขององค์จักรพรรดิไปทูลพระนางซูสีไทเฮาอยู่ทุกฝีก้าว

แต่ด้วยความที่เป็นเมีย จะอย่างไรก็อดหึงผัวไม่ได้ เวลาจักรพรรดิกวางสีไม่อยู่ ฮองเฮาหรงยู่ก็มักจะเสด็จไปกระแนะกระแหนพระสนมเจิน เพื่อระบายไฟแค้นที่สุมอกอยู่เป็นประจำ แต่ปะเหมาะเคราะห์ร้าย วันหนึ่งทนงมัวแกล้งเพลินจนลืมเวลา บังเอิญจักพรรดิกวางสีเสด็จมาหาสนมสุดที่รักพอดี จึงได้เห็นเหตุการณ์เมียหลวงปะทะเมียน้อยเข้าเต็มสองตา ปกติจักรพรรดิกวางสีเกรงใจฮองเฮามาก ในฐานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและเป็นคนโปรดของพระนางซูสีไทเฮาด้วย แต่คราวนี้ทรงกริ้วจัดที่คนรักถูกรังแก เลยลืมตัวตบฮองเฮาไปฉาดหนึ่ง เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฮองเฮาทรงหมดเยื่อใยในพระสวามี และเข่นเขี้ยวว่าจะเป็นศัตรูกับองค์จักรพรรดิให้ถึงที่สุด

มาถึงปี 1894 จักรพรรดิกวางสีทรงมีพระชนมายุ 18 ชันษาแล้ว แต่ซูสีไทเฮาก็ยังกดพระองค์ไว้ใต้ฝ่าเท้าไม่เลิก องค์จักรพรรดิกับพระสนมเจินจึงแอบคิดกันว่าจะก่อรัฐประหารแย่งอำนาจการปกครองกลับมาเสียที แต่ความลับในวังมังกรไม่เคยเป็นความลับ แผนการดำเนินไปได้แค่ 100 วัน ก็ถูกหูตาสับปะรดของพระนางซูสีไทเฮาพบเข้าจนได้ ซูสีไทเฮารีบเสด็จมาตำหนักของพระสนมเจิน ด่าทอบริภาษต่างๆ นานา ในข้อหาที่บังอาจยุยงให้จักรพรรดิแข็งข้อกับพระาง จากนั้นก็รับสั่งให้ขันทีโบยสนมเจินจนแตกยับทั้งตัว แล้วจับไปขังไว้ในตำหนักเย็น ให้ประทับอยู่ในห้องเล็ก ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีช่องให้ส่งข้าวส่งน้ำพอไม่ให้อดตายช่องเดียวเท่านั้น นับตั้งแต่นั้น สนมเจินกับจักรพรรดิกวางซวี่ีก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยตราบชั่วชีวิต

องค์จักรพรรดิทรงขมขื่นพระทัยมากที่ต้องพรากจากคนรัก ทรงโทษตัวเองที่เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์ แต่กลับเป็นได้แค่เสือกระดาษไม่มีอำนาจจะไปบังคับบัญชาใคร แม้แต่ผู้หญิงที่ทรงรักสุดหัวใจก็ยังปกป้องคุ้มครองไม่ได้ และตัวพระองค์เอง หลังจากแผนการล่มก็ถูกซูสีไทเฮากักให้อยู่แต่ในตำหนักมีสภาพไม่ต่างจากนักโทษชั้นดีคนหนึ่งเท่านั้น สองหนุ่มสาวถูกขังอยู่อย่างนั้นถึง 6 ปีเต็ม จนกระทั่งปี 1900 ราชวงศ์ชิงต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองรอบด้าน ทั้งจากประชาชนที่ทนระบบการปกครองหัวโบราณไม่ไหว และจากรุกรานของชาติตะวันตก ในที่สุดพระนางซูสีก็จำต้องเสด็จหนีจากเมืองหลวงไปประทับที่เมืองซีอานชั่วคราว แต่ก่อนจะไปก็ทรงไม่วายคิดถึงอดีตเสี้ยนหนามที่ชื่อสนมเจินขึ้นมาได้ จึงรับสั่งให้เบิกตัวนางมา ตรัสว่า "เมื่อแรก เราตั้งใจจะนำเจ้าไปกับเราด้วย แต่เจ้านั้นยังอ่อนวัยและจิ้มลิ้มนัก เกรงว่าจะถูกพวกทหารต่างชาติกระทำทารุณข่มขืนเอาได้ ดังนั้น เราเชื่อว่าเจ้าคงเข้าใจว่า ควรทำเช่นไรต่อไป"

คำที่คนที่มีชีวิตอยู่ในวังต้องห้ามทุกคนกลัวที่สุด ก็คือคำว่า "เจ้าคงเข้าใจว่าควรทำเช่นไรต่อไป" นี่ล่ะ พอพระสนมเจินได้ยินรับสั่งก็เข้าใจได้ทันทีว่า พระนางซูสีต้องการให้นางฆ่าตัวตายเสียเอง ให้หมดเรื่องหมดราว เหตุการณ์ตอนนี้ในบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเขียนไว้ไม่อยจะตรงกันนัก บ้างก็ว่าพระสนมเจินยอมรับชะตากรรมอย่างสงบ แต่ก่อนจะตายนางได้ขอร้องให้พระนางซูสีทรงปล่อยจักรพรรดิกวางซวี่เป็นอิสระ ทำให้พระนางกริ้วมาก มีรับสั่งให้ขันทีจับสนมเจินโยนลงไปในบ่อน้ำนอกตำหนักหนิงเซี่ย แต่บางบันทึกก็บอกว่า สนมเจินไม่ยอมตายง่าย ๆ ทรงลุกขึ้นมาด่าว่าพระนางซูสีเสียไม่มีดี และยังตะโกนร้องหาจะพบหน้าจักรพรรดิกวางซวี่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกขันทีรุมจับตัวโยนลงบ่อไป


ขันทีขุ้ยหยู่กุ้ย

ก่อนจะถูกทิ้งลงบ่อ สนมเจินได้ตรัสอาลัยถึงชายคนรักว่า "ฝ่าบาท หม่อมฉันในชาติหน้าขอมีวาสนาให้พบพระองค์อีก" ส่วนองค์จักรพรรดิก็เป็นนักโทษของพระนางซูสีไทเฮาอีกหลายปี และในที่สุดก็ถูกพระนางวางยาพิษสิ้นพระชนม์ในตำหนักความรักของสองหนุ่มสาวที่เกิดมาอย่างสูงส่ง แต่อาภัพวาสนาจึงต้องจบลงอย่างแสนเศร้า แต่ยืนยงในฐานะตำนานรักที่ลูกหลานจีนรุ่นหลังยังเล่าขานกันมาถึงทุกวันนี้


บ่อน้ำเจินเฟย 
หากเพื่อน ๆได้ไปเที่ยวพระราชวังกู้กง หากมีเวลาแล้ว ลองแวะไปดูสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นมุมเล็ก ๆ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง เป็นบ่อน้ำเก่าบ่อหนึ่ง ตั้งอยู่ในหมู่พระตำหนักเจียงจี้เจ๋อ ซึ่งดัดแปลงเป็นหมู่พระที่นั่งสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง เพื่อใช้เป็นที่ประทับเมื่อพระองค์ไม่บริหารงานแผ่นดินแล้ว


พิกัดของบ่อน้ำในวงกลมขาวบน ตั้งอยู่ด้านเหนือของพระราชวัง

แถวนั้นจะมีห้องจัดแสดงรำรึกถึงพระนางในมุมเล็ก ๆ ถัดมาเป็นบ่อน้ำ พร้อมป้ายติดไว้ที่ผนังอธิบายไว้ว่า พระนางอันเป็นที่รักของจักรพรรดิกวางสู และสนับสนุนในการปฏิรูปการเมืองใหม่ ซึ่งไม่เป็นที่พอใจแก่พระนางซูสีไทเฮา และได้จับจักรพรรดิกักบริเวณไว้ พร้อมทั้งสนมเจิน ก็ถูกกักบริเวณไปด้วย และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังทหารสัมพันธมิตรบุกยึดกรุงปักกิ่ง จนทำให้พระนางและจักรพรรดิหนีไปยังซีอานชั่วคราว ก่อนที่จะหนีออกจากพระราชวังหลวงในคืนวันที่ 15 สิงหาคมนั้น พระนางฯ สั่งให้เหล่านางกำนัลบางส่วน ไม่ให้ตามเสด็จไปด้วย ทั้งนี้พระนางฯ เห็นได้เวลาพอเหมาะ จึงได้ให้ขันทีมือซ้าย ขุ่ยหยู่กุ้ย จับนางโยนลงในบ่อน้ำเสียในคืนนั้นเอง



ห้องจัดแสดง เพื่อรำลึกถึงพระสนมเจิน


ภายในห้องรำลึก มีป้ายบูชาและกระถางธูปตั้งไว้


ค่ำในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1900 นางถูกนำตัวเดินผ่านทางเดิน 

ผ่านห้องต่าง ๆ เพื่อมายังบ่อน้ำ


ลักษณะของบ่อน้ำดั้งเดิม


ลักษณะของบ่อน้ำในสภาพปัจจุบัน




ที่มา : //www.anyapedia.com
ที่มา : //topicstock.pantip.com/…/20…/08/K8198639/K8198639.html









 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2558    
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2558 14:37:04 น.
Counter : 6558 Pageviews.  

ลีโอ ตอลสตอย : เมื่อความรักฆ่านักปราชญ์



นักเขียน นักคิด นักปฏิวัติสังคม ขุนนางผู้มั่งคั่ง และนักรักเสเพล นั่นคือหลายบทบาทที่ทับซ้อนกั
นอยู่ในตัวของ ลีโอ ตอลสตอย ยอดนักประพันธ์เอกของโลก แต่บทบาทที่ปวดร้าวที่สุดในชีวิตของเขาเห็นจะได้แก่การเป็นสามีของโซฟี 
อันเดรเยฟน่าเบอร์ส

เคานท์ ลีโอ นิโคเลเยวิช ตอลสตอย เกิดในปี 1828 ครอบครัวของเขาเป็นตระกูลขุนนางที่สืบทอดตำแหน่งท่านเคานท์กันมาหลายชั่วคน เด็กน้อยตอลสตอยจึงมีชีวิตที่หรูหรา ฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ไม่ต่างอะไรกับลูกเทวดา ซึ่งตอลสตอยก็ทำตัวเป็นเทวดาจริงๆ เขาไม่ยอมเรียนหนังสือหนังหา เอาแต่เสเพลเที่ยวเตร่กินเหล้าาเคล้านารีไปวัน ๆ ในบันทึกอัตชีวประวัติของเขาเล่าว่า ตอลสตอยเสียพรหมจรรย์ให้กับหญิงโสเภณีตั้งแต่อายุเพียง16 ปี เพราะถูกรุ่นพี่ลากตัวไป "ครั้งแรกที่พี่ฉุดตัวผมไปเที่ยวซ่องและบังคับให้ร่วมเพศ ผมนั่งลงแทบเท้าเธอคนนั้นแล้วร้องไห้"






แต่น้ำตาในคืนนั้นเป็นความตกใจของเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยลิ้มรสรักเท่านั้น หลังจากผ่านประสบการณ์เรียนรู้ความรัญจวนไปแล้ว ตอลสตอยก็มีอาการที่เรียกว่า อดสเน่หาจากสตรีไม่ได้ จนเจ้าตัวยังยอมรับตัวเองว่าไม่รู้จักพอ ซ่องโสเภณีกลายเป็นที่เที่ยวประจำของตอลสตอยแม้แต่สาวใช้ในบ้านสองคนก็เป็นคู่นอนของเขา ตอลสตอยหัวหกก้นขวิดอยู่อย่างนี้จนเข้ามหาวิทยาลัย แต่แล้วจู่ๆเขาก็ถอดใจกับการเรียนขึ้นมาจึงลาออกแล้วไสมัครเป็นทหาร ชีวิตในกองทัพทำให้เขาเห็นความไม่เป็นโล้เป็นพายของตัวเอง เขาจึงเริ่มอุทิศตัวเพื่อสังคมด้วยการสร้างโรงเรียนให้กับลูกชาวนาที่บ้านเกิด และเป็นจุดเริ่มต้นของงานเขียนของเขา



ในปี 1862 ตอลสตอยได้พบรักกับสาวงามโซฟี อันเดรเยฟน่า เบอร์สก่อนจะแต่งงานกัน ตอลสตอยบังคับให้โซฟีอ่านบันทึกส่วนตัว ซึ่งเขาได้บรรยายชีวิตรักและกามารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อให้เธอเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของเขา และตัดสินใจว่าจะอยู่กินด้วยได้หรือเปล่า ถ้าเป็นสมัยนี้การกระทำของตอลสตอยก็เรียกได้ว่าแฟร์มากทีเดียว แต่บังเอิญโซฟีเป็นผู้หญิงในศตวรรษที่ 18 ทั้งหัวเก่าเคร่งศาสนาและยังไม่เคยผ่านประสบการณ์รัก ๆ ใคร่ ๆ มาก่อน เธอจึงตีความไปว่า ว่าที่เจ้าบ่าวแต่งงานกับเธอก็เพียงเพื่อเชยชมร่างกาย จิตใจของสาวน้อยจึงเริ่มมีอคติกับเรื่องโลกีย์นับตั้งแต่นั้น

โซฟีสารภาพว่าเธอไม่เคยมีความสุขกับการร่วมรักของสามีเลย และเพศสัมพันธ์ก็เป็นการแสดงออกทางกายที่น่าสะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง เมื่อเมียสาวหน่ายเซ็กซ์ต้องมาร่วมชายคากับสามีผู้ไม่เคยอิ่มในกาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ชีวิตคู่ของทั้งสองจะไม่ราบรื่น ตอลสตอยต้องแอบไปเริงรักกับสาว ๆ ชาวนาในละแวกนั้นอยู่เป็นประจำ แต่ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่วายทำให้เมียท้องได้ถี่ยิบ ทั้งคู่มีลูกด้วยกันถึง 13 คน 

แม้โซฟีจะเป็นคู่นอนที่ไม่ได้ความแต่สำหรับหน้าที่ภรรยาเธอก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เธอปรนนิบัติสามี ดูแลลูก ๆ ทำงานบ้าน และยังเป็นผู้ช่วยตอลสตอยในการผลิตงานเขียนทุกชิ้น เมื่อครั้งที่ตอลสคอยแต่งวรรณกรรมอมตะเรื่องสงครามและสันติภาพ(War And Peace) นิยายความยาว7 แสนคำ หนา 1400 หน้า ซึ่งส่งให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็ได้โซฟีนี่ล่ะ ที่นั่งหลังขดหลังแข็งคัดลอกต้นฉบับจากลายมือยุ่งๆ ของเขาถึง 7 เที่ยวกว่าจะส่งไปโรงพิมพ์ ทว่าความทุ่มเทของโซฟีกลับถูกแฟนๆ ของตอลสตอยมองข้ามไปสิ้น เพราะความทุกข์ทรมานที่เธอหยิบยื่นให้กับสามี มีปริมาณมหาศาลเทียบเท่ากับความทุ่มเทช่วยเหลือสามีเรื่องานเช่นกัน

โซฟีเป็นผู้หญิงปากร้าย จู้จี้ และพร้อมจะบ่นได้ตลอดเวลา กิจกรรมที่เธอโปรดปรานที่สุดก็คือการคะยั้นคะยอให้สามีเขียนหนังสือ และจะคอยจ้ำจี้จ้ำไชด้วยถ้อยคำระคายหูหากตอลสตอยไม่ยอมทำงาน หรือทำสิ่งที่เธอเห็นว่าไร้สาระขัดต่อความเป็นคริสตศาสนิกชนที่ดี ความเคร่งศาสนาของเธอสวนทางกับนิสัยเสเพลปล่อยเนื้อปล่อยตัวของสามีราวขางกับดำ โซฟีทำให้ตอลสตอยเกิดความรู้สึกว่าเซ็กซ์เป็นสิ่งสกปรก และเป็นที่มาของผลงานเรื่อง บทเพลงแห่งกลกาม (The Kreutzer Sonata) ที่มีเนื้อหาประณามการร่วมรักและเรียกร้องให้คนละเว้นการร่วมประเวณี ขณะเดียวกันตัวตอลสตอยเองกลับห้ามความต้องการตามธรรมชาติไม่ได้ เขาจึงทั้งรักทั้งเกลียดโซฟีที่เป็นต้นเหตุให้เขาตกอยู่ในสภาพที่ขัดกับแนวคิดของตัวเองเช่นนี้ ฝ่ายโซฟีก็ดูถูกสามีว่ามือถือสากปากถือศีล เขียนบทความประณามเซ็กซ์แต่กลับมรไฟราคะไม่รู้จักจบสิ้น ใต้หลังคาบ้านของสองผัวเมียจึงเหมือนมีเสือสองตัวมาอาศัยอยู่ร่วมกัน จนหาความสุขไม่ได้

7 ปีต่อมาหลังจาก บทเพลงแห่งกลกามถูกตีพิมพ์ สถานการณ์ในบ้านของพวกเขาเลวร้ายถึงขีดสุด เมื่อโซฟีไปหลงรักเซอเกรี่ ทานาเยฟ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของสามีเข้า เซอเกรีนั้นเป็นนักเปียโนเจ้าสำอาง แต่งตัวปราณีต ท่าทางกรีดกรายผู้ดีจ๋า ถูกต้องตรงรสนิยมของโซฟีทุกอย่าง ผิดกับนักเขียนสุดเซอร์น้ำท่าไม่อาบอย่างสามีของเธอ เธอมักจะด่าเขาว่า ตัวเหม็นเหมือนแพะ แต่สุดท้ายโซฟีก็ตัดใจจากเซอเกรีได้หลังจากหลงใหลเขาหัวปักหัวปำอยู่ถึงหนึ่งปี

พอภรรยากลับมาเข้ารูปเข้ารอยก็ถึงทีของตอลสตอยที่จะนอกใจบ้างโซฟีโวยวายว่าตอลสตอยกับเซอร์ตคอฟ ลูกศิษย์คนโปรดเป็นคู่รักร่วมเพศกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีหลักฐานยืนยัน และขณะนั้นโซฟีก็บังเอิญไปรู้ว่าตอลสตอยกำลังให้เซอร์ตคอฟช่วยร่างพินัยกรรมยกลิขสิทธิ์งานเขียนของเขาให้เป็นสมบัติสาธารณะ จึงเป็นไปได้ว่าเธออาจจะแกล้งกล่าวหาสามีเพื่อให้พินัยกรรมฉบับนั้นเป็นโมฆะ (หลังตอลสตอยเสียชีวิต โซฟีได้ฟ้องเรียกลิขสิทธิ์ในงานของเขาคืนมา) การที่โซฟีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพินัยกรรมทำให้ตอลสตอยยิ่งหมดความไว้ใจในตัวภรรยาทั้งคู่มีปากเสียงกันบ่อยเสียจน เธอเคยขู่ว่าจะหนีออกจากบ้าน แต่ก็ไม่ทำจริงดังปากว่าเสียที เพราะจากบันทึกของเดล เคเนกี เพื่อนสนิทคนหนึ่งของตอลสตอย โซฟีเป็นผู้หญิงประเภทที่ไม่มีวันผละจากความมั่งคั่งของสามีไปแน่นอน

"เธอชอบชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย กระหายความมีหน้ามีตาและการยกยอปอปั้นในวงสังคม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายต่อตอลสตอย เธอชอบความร่ำรวย แต่เขาเชื่อว่าทรัพย์สินเงินทองล้วนแต่เป็นบาป เธอเชื่อในการปกครองด้วยอำนาจ แต่เขาเชื่อในการปกครองด้วยความรัก" ยิ่งไปกว่านั้นโซฟียังเป็นคนอารมณ์ร้าย พร้อมจะโมโหกระฟัดกระเฟียดได้ตลอดเวลา ความหัวสูงทำให้เธอรังเกียจเพื่อนๆ นักประพันธ์ซอมซ่อของตอลสตอย ทั้งยังแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกด้วย ครั้งหนึ่งโซฟีมีเรื่องกับลูกสาว เธอโกรธมากถึงกับไล่ลูกออกจากบ้าน จากนั้นก็หันไปคว้าปืนลมของตอลสตอยมายิงรูปถ่ายลูกสาวคนนี้เสียกระจุย ยามใดที่ทะเลาะกัน เธอจะเอ็ดตะโรแช่งด่าตอลสตอย จนบ้านเปรียบเสมือนนรกบนดินสำหรับเขา

ชีวิตของตอลสตอยต้องพลิกผันอีกครั้งเมื่อถึงวัยไม้ใกล้ฝั่ง เขามีความเชื่อเสมอว่ามนุษย์ไม่ควรยึดติดกับวัตถุที่ไม่จีรัง นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่จึงบริจาคทรัพย์สมบัติมหาศาลที่มีให้กับสาธารณะ ถึงแม้โซฟีจะไม่เดือดร้อนเพราะตอลสตอยยังกันเงินพร้อมบ้านหลังหนึ่งไว้ให้เธอและลูกๆ แต่เธอก็ไม่พอใจอย่างแรง เธอด่าว่า ประณามเขาอย่างสาดเสียเทเสีย จนตอลสตอยซึ่งอดทนมานานถึง 48 ปีทนความบีบคั้นต่อไปไม่ไหว เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่างพเนจรเร่ร่อนไปบนถนนท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก และแล้วเพียง 20 วันหลังจากนั้น ชายชราวัย 82 ปี คนนี้ก็เสียชีวิตอย่างเดียวดายด้วยโรคปอดบวมที่สถานีรถไฟเล็ก ๆ ในเมืองแอสตาโปโว ก่อนสิ้นใจตอลสตอยได้ทิ้งถ้อยคำสุดท้ายไว้ว่า"สัจธรรม คือสิ่งที่ข้าแสวงหา"

ตลอดเวลา 14 ปีหลังการตายของตอลสตอย โซฟีต้องตกเป็นจำเลยของสังคม ในฐานะเมียใจยักษ์ที่ผลักไสผัวออกไปพบจุดจบที่ไม่ดี แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอหรือตอลสตอยกันแน่ที่สร้างความทรมานให้อีกฝ่ายมากกว่ากัน เพราะชีวิตคู่ของคนทั่งสอง ก็เป็นดั่งเช่นข้อความที่ตอลสตอยเขียนไว้ในนิยายเรื่องหนึ่งของเขา

"หลายครอบครัวซ้ำซากอยู่ที่เดิม ทั้ง ๆ ที่สามีภรรยาแสนจะเบื่อหน่ายกัน นั่นก็เพราะทั้งคู่ไม่กลมเกลียวกันอย่างแท้จริง"


จากนิตยสาร LIVE คอลัมน์ คู่รักบันลือโลก








 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2557 13:45:28 น.
Counter : 1661 Pageviews.  

มาร์กาเร็ต & โคซิโม คู่รักคู่แค้นแห่งทัสคานี




เจ้าหญิงในศตวรรษที่ 17 ถูกสอนว่าพระสวามีคือฉัตรกั้นเกศ แม้ว่าพระสวามียุคนั้นจะเจ้าชู้เป็นไฟ ปลาไฟเรียกว่า นิยมมั่วดะทั้งโสเภณี สาวใช้นางระบำ แต่พระชายาก็ต้องทนหน้าชื่นอกตรมอดทนจนถึงที่สุด ยกเว้นคู่ของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับเจ้าชายโคซิโม ที่ฝ่ายหญิงก็ร้ายฝ่ายชายก็แรง การอยู่กินของสองหนุ่มสาวจึงก่อให้เกิดสงครามย่อยๆ ในพระราชวังทัสคานี



เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงเป็นพระญาติสนิทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศสไม่เพียงแต่จะร่ำรวยเงินทอง มาร์กาเร็ตทรงมีสิริโฉมงดงามมาก ทรงมีพระวรกายเล็กบาง รูปร่างเย้ายวน พระเนตรสีฟ้าอมเขียว พระเกศาสีน้ำตาลเข้ม เรียกว่าทั้งสวยทั้งรวยครบสูตรผู้หญิงเพอร์เฟ็คท์ พอพระชนมายุ 13 ชนษา เจ้าหญิงก็หมั้นหมายกับเจ้าชายโคซิโม รัชทายาทแห่งแคว้นทัสคานีซึ่งถูกมองว่าเหมาะสมกับพระองค์ราวกับกิ่งทองใบหยก วันอภิเษกถูกกำหนดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า เมื่อเจ้าหญิงมีอายุ 16 ชันษา

แต่ยังไม่ทันจะถึงวันแต่งงาน พรหมลิขิตก็เล่นตลก ชักพาให้เจ้าหญิงไปตกหลุมรักเจ้าชายชาร์ลส์แห่งลอเรนซ์ พระญาติหนุ่มหล่อเข้าจังเบ้อเร่อ เจ้าชายชาร์ลส์ทรงเป็นนักรบที่ตะลุยทำสงครามมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จึงขนาดถูกจับเป็นเชลยก็เคยมาแล้ว จึงเป็นเหมือนฮีโร่สุดเท่ในสายตาสาวน้อยอย่างมาร์กาเร็ต พอได้ขวัญใจคนใหม่เจ้าหญิงก็หมดเยื่อใยกับพระคู่หมั้น จึงทรงฟาดงวงฟาดงาจะขอยกเลิกการอภิเษกขึ้นมาทันที ทว่าเจ้าชายแห่งทัสคานี ไม่ใช่ผู้ชายกระจอกงอกง่อย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาว จึงยอมให้มีการฉีกสัญญาทิ้งเหมือนเด็กเล่นขายของไม่ได้ เพราะเรื่องอาจเลยเถิดถึงขั้นเกิดสงครามหรือไม่ฝ่ายเจ้าสาวก็ถูกปรับค่าสินไหมกันจนอ่วมอรทัย

ตั้งแต่เกิดมาน่าจะเรียกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงต้องการอะไรแล้วไม่ได้ ซ้ำยังเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเสียด้วย จึงทรงอาละวาดเสียจนนางกำนัลแทบจะลาออกกันสามเวลาหลังอาหาร พอถึงฤกษ์งามยามเหมาะที่ว่าที่เจ้าสาวจะต้องเดินทางไปเข้าพิธีอภิเษกสมรสยังแคว้นทัสคานี มาร์กาเร็ตก็แกล้งสั่งให้ขบวนแวะพักผ่อนเสียทุกเมือง เพื่อยืดเวลาแต่งงานออกไปให้นานที่สุด แต่ไม่ว่าจะถ่วงเวลาอย่างไรในที่สุดขบวนเจ้าสาวก็ไปถึงบ้านเจ้าบ่าวจนได้ เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตจำต้องเข้าพิธีอภิเษกกับเจ้าชายโคซิโม ชายที่ทรงเคยเห็นหน้าจากรูปวาดเท่านั้น

ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าหญิงก็บอกตัวเองว่าพระองค์คิดถูกแล้วที่ไม่ยอมแต่งงาน เพราะเจ้าชายโคซิโมพระคู่หมั้นผู้หล่อเหลาในรูปวาดนั้น ตัวจริงเป็นผู้ชายขี้เหร่อย่างหาติไม่ได้ เจ้าชายมีพระวรกายอ้วนเตี้ย ตาโปน คางยื่น ใบหูใหญ่ผิดปกติโผล่ออกมาจากผมหยิกยาวรุงรัง อีกทั้งอุปนิสัยยังจืดชืดไร้เสน่ห์ เจ้าชายโคซิโมทรงเป็นคนจริงจังเคร่งขรึม ชอบนั่งสวดมนต์วันละหลายชั่วโมง ผิดกับเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่ใจร้อน ขี้โมโห โปรดปรานงานเต้นรำ งานเลี้ยง และความสนุกทุกรูปแบบ

ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน เจ้าชายโคซิโมพยายามเอาใจเจ้าสาวเต็มที่ แต่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็ทำปากเบ้ส่งสายตาดูถูกทุกอย่างในวังทัสคานี จนคุณท้าวนางในหมั่นไส้ไปตามๆ กัน ความก้าวร้าวของพระชายาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับเจ้าชายโคซิโมจนหมดปํญญาจะเอาใจ ที่ร้ายไปกว่านั้นเจ้าหญิงยังดูถูกไปถึงฝีมือบนเตียงของพระสวามีด้วย หยามเรื่องอื่นยังพอว่า แต่เมื่อดูถูกกันถึงความภูมิใจของลูกผู้ชาย โคซิโมก็หมดความอดทน หลังจากงานอภิเษกผ่านพ้นไปแค่เดือนเดียว น้ำผึ้งพระจันทร์ที่ควรจะหวานเจี๊ยบของสองบ่าวสาวจึงกลายเป็นขม เจ้าชายแทบจะเลิกเสด็จมาบรรทมในห้องพระชายา ในหนึ่งเดือนโคซิโมจะเสด็จท่ทำหน้าที่พระสวามีเพียง 3 คืนเท่านั้น สำหรับคืนอื่นๆ จะทรงส่งคนรับใช้มาทูลว่าไม่ปรารถนาการปรนนิบัติของพระชายา ทิ้งให้เจ้าหญิงต้งนอนว้าเหว่เอกาอยู่ในวังอันกว้างใหญ่เพียงองค์เดียว

พอถูกพระสวามีทิ้งให้ตกเป็นเป้านินทาอย่างสมน้ำหน้าของคนทั้งวัง สาวแสบมาร์กาเร็ตก็เอาคืนพระสวามีบ้างด้วยการถลุงเงินของเจ้าชายโคซิโมเป็นว่าเล่น คนครัวได้รับคำสั่งให้สรรหาเนื้อที่ดีและแพงที่สุดมาเป็นพระกระยาหารของเจ้าหญิง ในแต่ละวันต้องมีเมนูขึ้นโต๊ะเกินหนึ่งร้อยจานขึ้นไป เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายสหรับเครื่องเสวยเพียงวันเดียวแพงกว่าที่พระสวามีเสวยถึงสิบวัน เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตยังตัดเสื้อผ้าใหม่ประดับด้วยไข่มุก เพชรนิลจินดาทั้งตัวหลายสิบชุด ครั้งหนึ่งทรงเรียกพ่อค้าให้เอาผ้าไหมราคาแพงหลายพับเข้ามาให้ทอดพระเนตร จากนั้นก็รับสั่งอย่างเบื่อๆว่า ทรงรับซื้อทั้งหมด แล้วให้พ่อค้าไปเก็บเงินที่พระสัสสุระ(พ่อสามี) ของพระองค์เอาเอง

เจ้าชายโคซิโมอาจมีท่าทีเนือยๆ ชวนง่วงนอน คล้ายเป็นคนหัวอ่อนถูกบงการได้ง่าย แต่ที่จริงทรงเป็นคนประเภทแข็งนอกอ่อนใน เมื่อพระชายามาไม้แข็งพระองค์ก็พร้อมจะแรงกลับ สึกในวังทัสคานีจึงปะทุขึ้นทันที เจ้าชายทรงดัดหลังพระชายาด้วยการส่งคณะนางข้าหลวงที่ตามเสด็จเจ้าหญิงมาจากฝรั่งเศสกลับบ้านไปทั้งคณะ เล่นเอามาร์กาเร็ตโกรธหน้าดำหน้าแดงที่เหนี่ยวรั้งคนของตนไว้ไม่ได้ เจ้าหญิงก็แก้ลำด้วยการให้บริวารเอาเครื่องเพชรล้ำค่าประจำราชวงศ์พระสวามีกลับฝรั่งเศสไปด้วย กว่าเจ้าชายโคซิโมจะตามสมบัติประจำตระกูลคืนมาได้ คณะทูตทัสคานีก็ตองทำงานกันตัวเป็นเกลียวอยู่หลายปี

การชิงไหวชิงพริบระหว่างเจ้าหญิงและพระสวามีดำเนินต่อไปท่ามกลางความเกลียดชังที่เพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลาของทั้งคู่ เช่นเมื่อเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงรู้เวลาเจ้านายจะเสด็จออกจากวังจะต้องแจ้งต่อสำนักพระราชวังก่อนเพื่อให้เตรียมทหารรักษาความปลอดภัย จู่ๆเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็ทรงขี่ม้าพุ่งจี๋ออกไปเฉยๆ แล้วหายตัวไปหลายชั่วโมง เพื่อให้ทางวังทัสคานีปั่นป่วนเล่น ฝ่ายเจ้าชายก็ตอบโต้ด้วยการกักบริเวณพระชายาให้อยู่แต่ในตำหนัก ให้ทหารปิดประตูหน้าต่างหมดทุกบาน และส่งสายลับเข้าไปปะปนอยู่ในหมู่นางกำนัลประจำพระองค์ของเจ้าหญิง เพื่อจับตาดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตตกเป็นนักโทษของพระสวามีอยู่หลายเดือน แต่คนอย่างพระองค์ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทรงรอโอกาสจนกระทั่งราชสำนักมีราชพิธีสำคัญ ซึ่งเจ้าหญิงในฐานะพระชายาของเจ้าชายรัชทายาทต้องเสด็จด้วย ขณะที่ทุกคนกำลังชะล่าใจ เจ้าหญิงก็ลุกพรวดขึ้นมาด่าว่าพระสวามีต่อหน้าธารกำนัลว่าทรงเป็นคนไม่เอาถ่าน อย่าว่าแต่จะเป็นเจ้าชายเลย แค่เป็นเด็กเลี้ยงม้าก็ยังเป็นไม่ได้ และพระองค์ยอมให้ไฟนรกแผดเผาเสียยังจะดีกว่าขึ้นไปประทับร่วมกับเจ้าชายโคซิโมบนสวรรค์ การฉีกหน้าพระสวามีในวันนั้นทำให้เจ้าหญิงถูกส่งไปกักบริเวณที่กระท่อมในชนบท โดยมีทหารยามควบคุมตัวถึง 46 คน

ต่อมาแกรนด์ดยุคเฟอร์ดินาน พระบิดาของเจ้าชายโคซิโมทรงสิ้นพระชนม์ลง เจ้าชายจึงได้ครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็กลายเป็นราชินีองค์ใหม่ของทัสคานี แต่ชื่อเสียงเงินทองกองเท่าภูเขาก็ช่วยชีวิตสมรสที่เหมือนนรกบนดินของสองพระองค์ไม่ได้ หลังจากนั่งตำแหน่งราชินีไปได้ 2 ปี เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็เขียนจดหมายไปอ้อนวอนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ให้ยอมให้พระองค์เสด็จกลับไปอยู่ที่ฝรั่งเศสตามเดิม โดยให้หตุผลว่าใครๆ เขาก็รู้กันทั้งสำนักราชวังแล้วว่าพระองค์ทรงคบชู้สู่ชายเป็นว่าเล่น ส่วนพระสวามีเองก็มีเมียเล็กเมียน้อยนับไม่ถ้วน การแต่งงานนี้จึงหมดความศักดิ์สิทธิ์ไปนานแล้ว จะยื้อต่อไปให้ได้อะไรขึ้นมา

ตอนแรกพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง ทรงบัญชาให้สังฆราชมีจดหมายไปถึงเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต ขู่จะตัดพระองค์ออกจากศาสนาหากยังดื้อดึงที่จะหย่า แต่มาร์กาเร็ตก็สวนกลับไปว่า "คิดหรือว่าฉันจะสนใจที่ต้องตกนรกหรือไม่ ในเมื่อทุกวันนี้ฉันก็อยู่ในนรกอยู่แล้ว"

หลังจากส่งจดหมายโต้กันจนอ่อนใจ ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ก็จำต้องอนุโลมตามที่เจ้าหญิงร้องขอ โดยมีข้อแม้ว่าเมื่อมาอยู่ฝรั่งเศสแล้วเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะต้องไปประทับเงียบๆ ในสำนักนางชี ห้ามออกมาเพ่นพ่านให้ผู้คนนินทา แต่พอได้กลับฝรั่งเศสเข้าจริงๆ สาวซ่าส์มาร์กาเร็ตก็แอบหนีจากคอนแวนต์ไปร่วมงานเลี้ยงแทบทุกคืน ทรงประณามเจ้าชายโคซิโมให้ขุนนางฝรั่งเศสฟังอย่างขบขัน และพยายามผลาญเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากบิลค่าใช้จ่ายทุกใบจะถูกส่งไปเก็บเงินจากท้องพระคลังของทัสคานี

ถึงแม้จะได้ใช้ชีวิตอิสระแล้ว เจ้าหญิงก็ไม่เคยลืมความเกลียดชังที่มีต่อพระสวามี จดหมายฉบับสุดท้ายที่ทรงส่งไปถวายเจ้าชายโคซิโมมีใจความว่า "ทุกๆ วันไม่มีแม้แต่ชั่วโมงเดียวที่ผ่านไปโดยข้าไม่สาปแช่งให้ท่านตาย ข้าขอภาวนาให้ท่านถูกแขวนคอ นับจากนี้ข้าจะใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยอย่างที่ข้าต้องการเพื่อให้ท่านจมอยู่กับความทุกข์ ไม่มีวันที่ข้าจะกลับไปทัสคานีอีก หรือถ้าข้าจะกลับไปจริงๆ ก็จงระวังตัวให้ดี เพราะเมื่อถึงวันนั้นท่านจะไม่ตายด้วยมือใคร นอกจากข้าคนเดียว

กิ่งทองใบหยกคู่นี้ไม่เคยได้กลับมาเห็นหน้ากันอีกเลย แต่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตก็ยังไม่วายด่าว่าพระสวามี และแคว้นทัสคานีไปตลอดชีวิต จนสิ้นพระชนม์ในวัย 76 ชันษา ท่ามกลางความโล่งใจของประชาชนทัสคานีที่ได้หลุดพ้นจากหนี้สินแห่งความเกลียดชังของพระองค์เสียที








 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 16:52:48 น.
Counter : 810 Pageviews.  

จักรพรรดิเนโร ที่โหดก็เพราะรัก

ถ้าจะบอกว่า "เนโรจอมโหด " หรือจักรพรรดิลูเซียส คลอดิอุส เนโร เลือกเกิดผิดเวลาก็คงจะได้ เพราะยุคทองของโรมมีตั้งมากมาย แต่เนโรกลับไพล่มาเกิดในสมัยที่โรมอยู่ใต้การปกครองของจักรพรรดิคาลิกูล่า ต้นแบบความเหี้ยมที่โลกไม่เคยลืม ความกระหายเลือดทำให้คาลิกูล่าไม่เคยไว้ใจใคร และพร้อมจะฆ่าทุกคนที่พระองค์สงสัยว่ากำลังวางแผนชิงบัลลังก์ ไม่เว้นแม้แต่ อะฮีโนบาบัส น้องเขยของตัวเอง




ปฏิบัติการฆ่าอะฮีโนบาบัสทำกันสดๆ ต่อหน้าลูกเมีย ซึ่งได้แก่อะกริปปิน่าและเนโร น้องสาวและหลานชายของคาลิกูล่า ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเพียงเด็กชายวัย 6 ขวบ จากนั้นคาลิกูล่าก็ส่งอะกริปปิน่าไปเป็นทาสบนเกาะแห่งหนึ่ง ส่วนเด็กน้อยเนโรก็ถูกเนรเทศไปใช้แรงงานในถิ่นทุรกันดารอีกแห่ง เนโรจักรพรรดิผู้มั่งคั่ง จึงเติบโตมาไม่ต่างจากขอทาน ต้องอดมื้อกินมื้อ ขาดไร้ไปเสียทุกสิ่งแม้แต่สิทธิความเป็นคน

เนโรคงได้เป็นทาสไปจนแก่ ถ้าคาลิกูล่าไม่บังเอิญโหดเกินงามไปหน่อย จนแม้แต่ขุนศึกคู่ใจก็ยังทนดูไม่ไหว ต้องจัดการปฏิวัติรัฐประหารส่งเสด็จซีซาห์ไปเหี้ยมต่อในนรก แล้วยกเอาคลอดิอุส เชื้อพระวงศ์ดวงแข็งที่อุตส่าห์รอดตายจากการไล่ฆ่าของคาลิกูล่ามาได้ขึ้นเป็นซีซาห์แทน หลังจากครองราชย์ คลอดิอุสก็คืนฐานะให้อะกริปปิน่าและเนโร สองแม่ลูกจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง แต่อะกริปปิน่านั้นไม่ได้เป็นน้องสาวของคาลิกูล่าเฉพาะร่างกาย นางยังรับเอานิสัยคดในข้องอในกระดูก ทะเยอทะยานบ้าอำนาจของพี่ชายมาครบถ้วน



อะกริปปิน่าเชื่อมั่นว่าผู้หญิงอย่างนางคู่ควรกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น อย่างเช่นตำแหน่งราชินีแห่งโรม เป็นต้น ถึงแม้คลอดิอุสจะมีชายาอยู่แล้ว แต่งูพิษระดับน้องสาวคาลิกูล่า เรื่องแค่นี้ไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่จัดฉากนิดหน่อย อะกริปปิน่าก็สามารถทำให้คลอดิอุสเชื่อว่ามเหสีคบชู้ได้อย่างง่ายดาย และหลังจากคลอดิอุสประหารมเหสีคู่ทุกข์คู่ยากทิ้งไป อะกริปปิน่าก็ใช้เต้าไต่ พาตัวขึ้นไปเป็นราชินีคู่ใจของกษัตริย์เฒ่าได้ในเวลาไม่นานนัก

พอแผนแรกสำเร็จ เป้าหมายต่อไปของอะกริปปิน่าก็คือการยกเนโรขึ้นเป็นรัชทายาทต่อจากคลอดิอุส ตอนแรกอะกริปปิน่าเข้าใจว่าคลอดิอุสผู้เฒ่าซึ่งนอนกอดเมียแก่มานาน จะหลงเนื้อหนังตึงเปรี๊ยะของเธอจนยอมให้จูงจมูกตามใจชอบ แต่ปรากฏว่าคลอดิอุสไม่ได้เลอะเทอะขนาดนั้น ถึงมเหสีวัยคราวลูกจะงัดจริตมารยาออกมาโอ้โลมปฏิโลมสุดฝีมือ พระองค์ก็ไม่ยอมตั้งเนโรเป็นรัชทายาท ซ้ำยังทำพินัยกรรมยกบัลลังก์ให้เจ้าชายบริทานิคัสซึ่งเหมาะสมกว่าอีกด้วย เมื่อผัวไม่อยู่ในโอวาท อะกริปปิน่าก็ไม่รู้ว่าจะเก็บคลอดิอุสไว้ทำไม ด้วยเหตุนี้วันหนึ่งระหว่างกำลังเสวยพระกระยาหาร คลอดิอุสก็เกิดแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกจนสิ้นพระชนม์ เนื่องจากเสวย "เห็ดพิเศษ" ของราชินีอะกริปปิน่าเข้าไป จากนั้นอะกริปปิน่าก็ปลอมพินัยกรรม แต่งตั้งลูกชายเป็นซีซาห์องค์ต่อไปทันที

เนโรซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าบัลลังก์ของตนได้มาอย่างไร ตั้งพระทัยจะปกครองให้สงบร่มเย็นเหมือนที่คลอดิอุสเคยทำ แต่ก่อนจะลงมือจัดการงานหลวง เนโรก็ขอสะสางงานราษฎร์เสียก่อน ด้วยการไปรับเอ็ตเต้ หญิงคนรักที่รักกันมาตั้งแต่ตอนเป็นทาสมาเป็นมเหสี ท่ามกลางความไม่พอใจของอะกริปปิน่าซึ่งแสดงอย่างโจ่งแจ้งว่ารังเกียจกำพืดโลโซของลูกสะใภ้ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ทำให้แม่ลูกขัดแย้งกันรุนแรงเท่ากับการที่อะกริปปิน่าพยายามเปลี่ยนเนโรให้เป็นซีซาห์หุ่นเชิด เพราะถือว่าตัวเองเป็นคนชิงบัลลังก์มาใส่พานถวายให้ลูกชาย โดยลืมไปว่าเลือดในอกของนางก็ย่อมจะแข็งกร้าวไม่ยอมใครเหมือนๆ กับนางนั่นเอง สองแม่ลูกจึงต้องชิงไหวชิงพริบหักเหลี่ยมโหดกันอยู่เนืองๆ นับตั้งแต่เนโรครองราชย์เป็นต้นมา

จุดแตกหักมาถึงเมื่ออะกริปปิน่าขู่เนโรว่า หากลูกชายไม่ยอมปล่อยให้นางได้เป็นซูสีไทเฮาเวอร์ชั่นโรมันล่ะก็ นางจะเอาพินัยกรรมฉบับจริงของคลอดิอุสมาเปิดโปง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเนโรก็คงไม่แคล้วหัวขาด และบัลลังก์ก็จะต้องกลับไปเป็นของบริทานิคัสทายาทตัวจริง คำขู่นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของฉายา "เนโรจอมโหด" อันลือลั่น เพราะเมื่อหลังชนฝาแล้วคนอย่างเนโรสามารถทำได้ทุกอย่าง แรกสุดเขาเชิญบริทานิคัสมากินเลี้ยง แล้วจัดการเสิร์ฟเห็ดพิเศษชนิดเดียวกับที่คลอดิอุสเคยเสวย ไม่นานบริทานิคัสก็มีอาการขี้เกียจหายใจขึ้นมาอีกคน ทิ้งบัลลังก์กรุงโรมไว้ในกำมือเนโรโดยสมบูรณ์

เสร็จจากโปรเจ็คท์บริทานิคัส เนโรก็พุ่งเป้าไปที่ขวกหนามชิ้นสำคัญที่สุด นั่นก็คือพระมารดา เนโรจัดการสั่งให้คนต่อเรือลำงามไปถวายอะกริปปิน่า แต่พอนางออกไปท่องเรือ เรือเจ้ากรรมก็รั่วอย่างกับมีใครไปเจาะรูไว้ อย่างไรก็ตามอะกริปปน่านั้นอึดเกินหญิง ยังอุตส่าห์ว่ายน้ำเข้าฝั่งเอาชีวิตรอดจนได้ เนโรจึงส่งทหารไปรับเสด็จพระมารดากลับมา เป็นเหตุให้อะกริปปิน่าประชวรพระวาโยสิ้นพระชนม์ระหว่างทางด้วยฝีมือคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

เรื่องนี้นักจิตวิทยาวิเคราะห์กันว่า เนโรนั้นพลัดพรากจากอกแม่ไปตั้งแต่เด็ก พอได้กลับมาอยู่ด้วยกันก็อยากได้ความรักความอบอุ่นเป็นการชดเชย แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความหลอกลวงจากอะกริปปิน่า ความผิดหวังโกรธแค้นมหาศาลจึงกดดันซีซาห์หนุ่มจนทนไม่ไหว ต้องทำมาตุฆาตทั้งๆ ที่ในใจก็ยังรักแม่อยู่ นับจากอะกริปปิน่าตายไป เนโรจึงต้องอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดเวลา ทำให้จักรพรรดิที่เคยตั้งพระทัยว่าจะทำสิ่งดีๆ ให้บ้านเมือง กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เนโรเริ่มคลุ้มคลั่งเลิกทำงานการ มุ่งแต่จะหาความสุขใส่ตัว เขาเขี่ยเอ็ตเต้ทิ้งแล้วไปคว้าซาบิน่า พ็อพเพียร์ สาวไฮโซชื่อเสียงฉาวโฉ่มาเป็นมเหสีแทน เนื่องจากพ็อพเพียร์มีหน้าตาคล้ายอะกริปปิน่า แต่อยู่กินกันได้ไม่นานเนโรก็เบื่อพ็อพเพียร์อีก เลยหันไปคว้าทหารหนุ่มหน้าสวยคล้ายพระมารดามาตอน แล้วให้แต่งตัวเป็นหญิงกลายเป็นมเหสีจำเป็นต่อไป ครั้นสิ้นเยื่อใยในรสสวาทเนโรก็โละทหารดวงซวยทิ้งแล้วไปอภิเษกกับทาสหนุ่มอีกคนชื่อ ไพธากอรัส

เนโรมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ตนเองมีพรสวรรค์ทางดนตรีชนิดที่หาใครในแผ่นดินทาบไม่ได้ เมื่อก่อนตอนเป็นทาสก็ไม่มีใครสนใจฟังเนโรร้องเพลง พอได้เป็นพระราชาแล้ว ซีซาห์เนโรจึงจัดงานเลี้ยง พอประชาชนทั้งเมืองนึกว่าจะได้ดื่มฟรีกินฟรีก็ดีใจ หลั่งใหลกันมามืดฟ้ามัวดิน จากนั้นเนโรก็สั่งให้ทหารปิดประตูวัง แล้วเปิดฉากแสดงดนตรีที่นิพนธ์ขึ้นเอง ใครอยากฟังไม่อยากฟังก็ต้องทนอยู่ในนั้นจนจบงาน

เชื่อกันว่าเนโรคงจะเคยมีเหตุแค้นเคืองอะไรสักอย่างกับชาวคริสต์ เพราะความสำราญของซีซาห์มักเป็นความเจ็บตัวของคริสเตียนทั้งสิ้น เช่น โปรดให้เอาหญิงสาวคริสเตียนมาสู้กับวัวกระทิง จากนั้นก็จะนั่งยิ้มกริ่มชมวัวดุแทงสาวๆ เนื้ออ่อนจนพรุนไปทั้งร่าง บางทีนึกครึ้มขึ้นมาก็ให้จับคริสเตียนมาต้มในน้ำเดือด หรือเอาน้ำมันมาราดแล้วจุดไฟเผาทั้งเป็นในชื่อ "คบเพลิงมนุษย์" เป็นต้น

ในปี ค.ศ.64 เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายวัตถุไวไฟแห่งหนึ่งในกรุงโรม ก่อนจะลุกลามต่อไปทั่วเมืองกลืนกินบ้านเมืองและชีวิตผู้คนไปมากมาย บังเอิญว่าก่อนหน้าวันวิปโยคไม่นานนัก เนโรได้สั่งให้เวนคืนที่ดินจำนวนหนึ่งมาสร้างพระราชวัง แต่ก็ถูกประชาชนต่อต้าน พอมาเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นมา ชาวบ้านก็เริ่มสงสัยว่าชะรอยซีซาห์นี้ล่ะที่เป็นตัวการเผาเมือง เสียงนินทานี้ไม่ใช่กระซิบกันเบาๆ แค่สองสามคน แต่ดังไปทุกหย่อมหญ้า เนโรจึงต้องแก้ข้อครหาด้วยการโบ้ยว่าชาวคริสต์ต่างหากที่คิดกบฏเผากรุงโรม จากนั้นเนโรก็สั่งล้างบางชาวคริสต์ครั้งใหญ่ ด้วยการจับไปเป็นเหยื่อให้สัตว์ป่าฉีกเนื้อกินต่อหน้าผู้ชมในสนามโคลอสเซียม หรือจับมาประหารด้วยวิธีพิสดารต่างๆ สุดแต่จะนึกได้

นับวันจักรพรรดิเนโรก็ยิ่งกระหายเลือดจนกู่ไม่กลับทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งเมือง สภาสูงของโรมจึงแอบลงมติลับตัดสินกันว่าซีซาห์ทรงเป็น "ศัตรูของประชาชน" ต้องโทษประหารชีวิต พร้อมกับยกเจ้าชายกัลบ้า เชื้อพระวงศ์อีกองค์ขึ้นเป็นซีซาห์แทน พอเนโรรู้ข่าวว่าทหารกำลังมาจับตนไปฆ่าอย่างทรมานเหมือนที่ทำกับคนอื่นไว้ ก็หมดกำลังใจจะสู้ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายสิ้นพระชนม์ไป ทั้งๆ ที่อายุเพียง 30 ปีเท่านั้น

ชีวิตของเนโรถูกนักจิตวิเคราะห์ในยุคหลังมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะตอนครองราชย์ใหม่ๆ ทรงตั้งพระทัยว่าจะเป็นกษัตริย์ที่ดีของประชาชน เนโรจะไม่ต้องกลายเป็นจักรพรรดิโหดเลย ถ้าไม่เป็นเพราะความผิดหวังที่ได้รับจากอะกริปปิน่า ผู้ทำลายความรักความศรัทธาของลูกชายด้วยมือของนางเอง








 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2557 11:30:00 น.
Counter : 1881 Pageviews.  

เกรซ มูกาเบ หญิงร้ายแห่งซิมบับเว

เกรซ มูกาเบ ผู้หรูหรา



เกรซ มูกาเบ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของซิมบับเว เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2508 ก่อนจะกลายร่างเป็นดอกไม้หนามคมอย่างทุกวันนี้เกรซเป็นเพียงดอกหญ้าเล็กๆ ในเมืองชีฟวู ทางตอนกลางของซิมบับเว ชีวิตผู้หญิงในชนบทส่วนใหญ่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าหาผู้ชายสักคนแต่งงาน จากนั้นก็มีลูกแล้วเลี้ยงลูกไปจนแก่ เกรซก็หนีไม่พ้นขั้นตอนชีวิตแบบนี้ เธอแต่งงานตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกับนายสแตนลีย์ โกเรราซา นักบินของกองทัพอากาศและมีลูกด้วยกัน 1 คน

เกรซ มูกาเบ ผู้นิยมแต่ของแบรนด์เนม

ต่อมาสามีนักบินของเกรซได้ย้ายมาประจำการในเมืองหลวง เธอจึงได้พ้นไอดินกลิ่นควายเข้ามาเป็นสาวเมืองกรุงไปด้วย กรซต้อนรับชีวิตใหม่ด้วยการเข้าทำงานเป็นเลขาในสำนักงานประธานาธิบดี และเมื่อโอกาศสุกงอมเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะได้ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีมูกาเบ ซึ่งแก่กว่าเธอถึง 40 ปีเต็ม ถึงวัยที่แทบจะเป็นปู่เป็นหลานกันได้อยู่แล้ว แต่เมื่อโคแก่คิดจะเล็มหญ้าอ่อนเสียอย่าง อายุก็ไม่มีความหมายอะไร ไม่นานนักจึงเป็นที่รู้กันในหมู่นักกการเมืองขั้วรัฐบาล ว่าเกรซเป็นเมียเก็บที่ประ
ธานาธิบดีหวงนักหวงหนา จนหมู่แมลงไม่กล้ากล้ำกรายเข้าไปดอมดม


แซลลี่ มูกาเบ อดีตภรรยาประธานาธิบดีมูกาเบ

อย่างไรก็ตาม มูกาเบไม่คิดจะยกย่องเกรซมากไปกว่านั้น เพราะตัวเขาเองก็มีภรรยาอยู่แล้ว อีกทั้งนางแซลลี่ มูกาเบยังเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ชาวซิมบับเวรักมากอีกด้วย การหย่ากับแซลลี่มาคว้าโนเนมอย่างเกรซ จึงมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อคะแนนเสียงและความนิยมในตัวมูกาเบชนิดที่ต่อให้เอาเมียน้อยวัยกระเตาะสักสิบคนมาแลก ท่านประธานาธิบดีก็ไม่กล้าเสี่ยง

แต่สำหรับสแตนลีย์ โกเรราซา สามีของเกรซที่เมียกับชู้เอาเขามาสวมให้ ไม่ใช่เครื่องประดับที่มีเกียรติอะไรนัก สแตนลีย์จึงฟ้องหย่ากับเมียกากีทันทีที่มีโอกาส ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น เกรซก็มีลูกลับๆ กับประธานาธิบดีมูกาเบไปแล้วถึงสองคน ได้แก่โบนา และโบเบิร์ต ปีเตอร์ จูเนียร์ พอคุณผัวหัวแข็งที่เคยเป็นหน้าฉากอำพรางการปีต้นงิ้วให้ ไม่ยอมเล่นตามบทอีกต่อไป ประธานาธิบดีก็ใช้อิทธิพลย้ายสแตนลีย์ไปประจำการในต่างประเทศ เพื่อสั่งสอนให้คนอื่นที่อาจจะเอาอย่างได้รู้ว่า มดปลวกที่กล้างัดข้อกับพญาอินทรีย์นั้นจะได้รับผลตอบแทนเช่นไร

งานแต่งงานของเกรซกับประธานาธิบดีมูกาเบ

ในปี 2535 นางแซลลี่ มูกาเบ ภริยาของประธานาธิบดีมูกาเบได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไต แต่เกรซยังต้องรออีกนานถึง 4 ปีกว่าจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นคุณนายมูกาเบคนใหม่ วันแต่งงานของเธอกับประธานาธิบดีมีแขกเหรื่อมาร่วมงานถึง 12,000 คน พิธีจัดขึ้นอย่างหรูหราราวกับงานอภิเษกของสมาชิกราชวงศ์อย่างไรอย่างนั้น จนสื่อมวลชนขนานนามว่าเป็นงานวิวาห์แห่งศตวรรษเลยทีเดียว หลังจากได้นั่งเก้าอี้สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ ชีวิตของเกรซก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็ต้องมีนักข่าวตามหลังเป็นเงาตามตัว และยังมีฉายา "ดิส เกรซ" (Dis Grace) หรือ "ไม่สง่างาม" เนื่องจากนิสัยฟุ้งเฟ้อ รักความหรูหราฟุ่มเฟือยของเธอนั่นเอง

เกรซใช้เงินเป็นเบี้ยเหมือนกับสามีมีโรงกษาปณ์ส่วนตัว เธอเป็นขาช้อปตัวยงประจำย่านช้อปปิ้งหรูของโลก อย่างลอนดอน ปารีส กรุงโรม มิลาน และอีกหลายแห่งที่มหาเศรษฐีและคนดังๆ ชอบไปหย่อนใจกัน แถมยังเคยทำสถิติช้อปแหลกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ผลาญเงินของสามี (และของชาติ) ไปถึง 3.6 ล้านบาท ความคลั่งแบรนด์เนมของเธอ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้สามีไม่แพ้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาติ จนเมื่อสหภาพยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซิมบับเว 80 คน รวมถึงเกรซและพรรคพวก ส่งผลให้เธอกลายเป็นบุคคลต้องห้ามที่ประเทศชั้นนำของยุโรปไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ

แทนที่จะโกรธแค้นหรือเสียหน้า สมาชิกสภาซิมบับเวบางคนกลับโล่งใจ เพราะอย่างน้อยวิธีนี้ก็ช่วยให้สตรีหมายเลขหนึ่งหมดโอกาสไปช้อปปิ้งผลาญเงินภาษีของประชาชนไปได้ระยะหนึ่ง แต่คนที่คิดว่ามาตรการแค่นี้จะหยุดความบ้าช้อปปิ้งของผู้หญิงได้ คงจะมองโลกสวยเกินไปสักหน่อย เมื่อประเทศทางยุโรปไม่ให้เข้า เกรซก็หันไปผลาญเงินในประเทศแถบเอเชียที่เป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์ดังๆ อย่างสิงคโปร์ และฮ่องกงแทน ทั้งยังไปสร้างวีรกรรมฉาวจนชาวซิมบับเวต้องเอาปี๊บคลุมหัวไปตามๆ กัน เมื่อเธอบันดาลโทสะชกหน้านายริชาร์ด โจนส์ นักข่าวที่ตามทำข่าวไปถึงโรงแรมที่พักจนหน้าหงาย เท่านั้นยังไม่พอ เกรซยังตามไปตบซ้ำด้วยมือที่ใส่แหวนเพชรเม็ดเป้งหลายวง จนสองแก้มของนักข่าวหัวเห็ดถูกข่วนเป็นทางยาวเหมือนรางรถไฟ ดีที่เธอและคณะมีเอกสิทธิ์ทางการฑูตคุ้มครองอยู่ ไม่อย่างนั้นภริยาประธานาธิบดีซิมบับเวคงไม่แคล้วต้องไปอาละวาดต่อในคุก



ที่เกรซเป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักข่าวมากขนาดนี้ เพราะเธอถูกสื่อมวลชนตามจิกตามแฉพฤติกรรมฟุ้งเฟ้อ จนชาวซิมบับเวเกลียดเข้าไส้ไปทั่วทุกหัวระแหง อีกทั้งตัวเธอเองก็ไม่ฉลาดในการตอบคำถามนักข่าวเอาเสียเลย ครั้งหนึ่งนักข่าวถามเกรซว่าการใส่รองเท้าเฟอร์รากาโมราคาแพงยังกับทองที่เธอโปรดปรานนั้น จะไม่สวนทางกับความพยายามแก้ปัยหาความยากจนในซิมบับเวไปหน่อยหรือ แทนที่จะแถด้วยคำพูดสวยหรูน่าฟังเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ เกรซกลับโต้ใส่หน้าคนถามแบบใส่อารมณ์เต็มที่ว่า "ฉันมีเท้าที่แคบมาก ฉันเลยต้องใส่แต่เฟอร์รากาโม มันรับกับรูปเท้าของฉัน ตกลงไหม แล้วการช้อปปิ้งมันเป็นอาชญากรรมหรือยังไง ร้านพวกนี้มีไว้ให้คนเข้าไปซื้อของนะ"

จากการสัมภาษณ์แสบสันต์ในครั้งนั้นเกรซก็ได้ฉายาเพิ่มขึ้นมาอีกสองชื่อ นอกเหนือจาก "ดิสเกรซ" ซึ่งเป็นโลโก้ประจำตัวของเธอ ก็มี "กุชชี่เกรซ" และ "นักช้อปหมายเลขหนึ่ง" สื่อบางเจ้าแขวะว่าที่เธอบ้าซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมเป็นบ้าเป็นหลัง ก็เพื่อแต่งตัวสวยสง่าแข่งกับเจ้าหญิงไดอาน่าผู้ล่วงลับ ทั้งๆที่ชุดบางชุดทั้งหนาทั้งรุงรัง ไม่ได้เหมาะกับสภาพอากาศร้อนตับแล่บของแอฟริกาเลย ส่วนเงินที่เกรซนำมาถลุงเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตัวนั้น สื่อคาดกันว่าน่าจะเป็นดอกเบี้ยจำนวนหลายล้านดอลล่าห์จากธนาคารกลางซิมบับเว หรือก็คือเธอยักยอกเงินของชาติมาละลายกับของแบรนด์เนมนั่นเอง

ว่ากันว่าประธานาธิบดีมูกาเวก็กระอักกระอ่วนใจกับความมือเติบของเมียเด็กอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ครั้นเขาจะลุกขึ้นมาหย่ากับเกรซก็ติดที่รักเธอจนไม่ลืมหูลืมตา บวกกับเธอเป็นแม่ของลูกชายหญิงของเขาถึงสามคน (เกรซมีลูกคนที่สามหลังจากได้เป็นภริยาประธานาธิบดีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งเป็นสิ่งที่ภรรยาคนก่อนนางแซลลี่ มูกาเวให้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเกรซยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้เขาได้ในหลายๆเรื่อง เช่นเธอสนับสนุนนโยบายยึดที่ทำกินของคนผิวขาวอย่างออกหน้าออกตา เกรซลัลล้ากับโครงการนี้มากจนมีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งเธอขับรถผ่านฟาร์มแห่งหนึ่ง พอรู้ว่ามันเป็นที่ดินของคนขาว เจ้าแม่ก็สั่งหยุดรถแล้วเดินอาดๆ ผ่านเจ้าของฟาร์มที่แก่คราวปู่เข้าไปสำรวจบ้านและที่ดินราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

นอกจากเที่ยวยึดที่ดินของประชาชนแล้ว เกรซยังมีคฤหาสน์หลังงามและธุรกิจค้าเพชรขนาดใหญ่อยู่ในฮ่องกง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเนรมิตมาจากเงินที่โกงชาติไปนั่นเอง เธอสู้อุตส่าห์เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้หลายสิบปี จนกระทั่งมาถูกเปิดโปงโดยวิกีลีกส์ เว็บไซต์จอมแฉของโลก เกรซจึงจัดการฟ้องเรียกค่าปากโป้งจากวิกีลีคส์เป็นเงิน 15 ล้านดอลล่าห์ โทษฐานที่ทำให้ชื่อเสียงของผู้หญิงแถวหน้าของเธอมีมลทิน

กิจกรรมโปรดอีกอย่างหนึ่งที่เกรซเลิกไม่ได้เสียที ได้แก่นิสัยชอบสวมเขาให้สามี ไม่ต่างอะไรจากเมื่อครั้งยังเป็นสาวบ้านนอก จะผิดกันก็ตรงที่คราวนี้ผู้ชายที่เป็นชู้กับเธอมักจะหายตัวไปจากโลกเสียเฉยๆ หรือไม่ก็ถูกบีบให้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ต่างประเทศด้วยฝีมือของประธานาธิบดีมูกาเบ จึงไม่มีใครรู้เห็นพฤติกรรมสำส่อนของเธอเท่าไหร่นัก ชายชู้ที่โด่งดังที่สุดอและสร้างความเสียใจให้มูกาเบมากที่สุดได้แก่ กิเดียน โกโน ผู้ว่าการธนาคารกลางซิมบับเว ที่ปรึกษาและพันธมิตรคนสำคัญของท่านประธานาธิบดีนั่นเอง ยอดชู้คู่เชยทั้งสองแอบพบกันเดือนละ 3 ครั้ง ที่ฟาร์มโคนมของเกรซบ้าง ตามโรงแรมหรูบ้าง หรือไม่เกรซก็ใช้การเดินทางไปช้อปปิ้งในต่างประเทศบังหน้าเพื่อไปหาชายชู้ ทำให้ประธานาธิบดีมูกาเวไม่เคยสงสัย จนเมื่อได้รู้ความจริง มูกาเบถึงกับช็อคเพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่ไว้ใจที่สุดสองคนจะหักหลังกันได้ลงคอ


กิเดียน โกโน

ที่กิเดียนกล้าล้วงคองูเห่าได้หน้าตาเฉย เพราะเขาถือว่าตัวเองมีความสำคัญต่อประธานาธิบดีมูกาเบ ซ้ำยังมีชื่อเสียงทางสังคมเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนให้ อย่างไรก็คงไม่ต้องพบจุดจบเหมือนชายชู้คนอื่นๆ ของเกรซ แต่กิเดียนก็หลงลำพองอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่ จู่ๆเขาก็เสียชีวิตไปในสภาพที่คล้ายถูกวางยาพิษอก่อนที่ศพจะถูกส่งกลับไปให้ครอบครัวทำพิธีฝังเงียบๆ โดยไม่มีการชันสูตร เป็นรางวัลสำหรับเขาคู่งามที่เขาเคยอภินันทนาการให้ประธานาธิบดีเพื่อนรัก เหลือแต่เกรซที่สามีผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยให้ลอยลำเป็น "ดิสเกรซ" ของชาวซิมบับเวต่อไป...อละคงจะเป็นไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่สามีของเธอยังคงเป็นประธานาธิบดีของประเทศนี้


ที่มา : นิตยสาร LIVE
ภาพประกอบจาก : อินเทอร์เน็ต




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 9:57:22 น.
Counter : 1704 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.