4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

อาถรรพ์วังเก่า พระตำหนักพระองค์เจ้าหญิงอัพภันตรีปชา





ตึกเขียวตำหนักอาถรรพณ์ ของพระองค์เจ้าหญิงอัพภันตรีปชา พระองค์เจ้าหญิงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ ๕ กับเจ้าจอมมารดาแส ตำหนัก สองชั้นที่มีต้นปาล์มสองต้นโดดเด่นอยู่ด้านหน้า ยามค่ำคืนมีเสียงลมพัดกิ่งใบไหวซู่ซ่าน่าวังเวงใจ เดี๋ยวมีเสียงผู้หญิงร้องไห้กลางดึก เล่นน้ำพลางหยอกล้อกันเกรียวกราว แต่เมื่อชวนกันออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย แถมบางคืนก็ไฟสว่างโร่ขึ้นที่ชั้นบน ทั้ง ๆ ที่ตัดไฟไปนมนานแล้ว

ตำหนักแห่งนี้มีตำนานลี้ลับร่ำลือว่ามีอาถรรพ์และเฮี้ยนจัด เรื่องมีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนงานและชาวบ้านที่อยู่ใกล้ข้างตำหนัก มักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมาจากตำหนักในช่วงกลางคืนทุกๆคืน พวกชาวบ้านสงสัยที่มาของเสียง จึงชวนกันพามาดูก็ไม่เห็นมีใครทั้งๆที่ใครก็รู้ว่าตำหนักองค์นี้ถูกปิดตาย ไม่มีใครอยู่ในนั้น บางคนเคยเห็นเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนสีแดง นั่งยิงฟันขาวให้ อีกเรื่อง มีชาวบ้านหลายคนเคยได้ยินเสียงดนตรีไทยอันไพเราะทำนองแสนเยือกเย็น เป็นเพลงไทยเดิมโบราณดังลอดมาจากพระตำหนักองค์นี้บ่อย ๆ

เรื่องใหญ่สุดของความเฮี้ยนพระตำหนักนี้ เมื่อครั้งหนึ่งมีคนงานขี้เมาไปนอนหลับในพระตำหนักชั้นล่างใกล้ๆกับพระฉายาลักษณ์ของพระองค์เจ้าหญิงอัปภันตรีปชา ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นกลายเป็นศพ สาเหตุการตายไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา คนงานบางคนยังเคยเล่าให้ฟังว่า เคยเห็นหญิงสาวแต่งชุดไทยห่มสไบแดงเดินอยู่หน้าตำหนัก พอเธอรู้ว่ามีคนมองอยู่ก็หันมายิ้มแสยะเยือกเย็นให้ เล่นเอาคนงานคนนั้นถึงกับเขาอ่อน พนมมือตัวสั่น เช้าวันรุ่งขึ้นก็จับไข้หัวโกร๋น รีบเก็บเสื้อผ้าเผ่นหนีทันที แม้แต่เงินค่าแรงที่ยังไม่ได้รับ ก็ไม่เอา

ส่วนตำหนักของพระองค์เจ้าหญิงอัปภันตรีปชา ผู้เป็นพระราชธิดาตั้ยพระทัยจะมีโครงการจัดตั้งเป็นหอสมุด เพื่อให้ความรู้และความบันเทิงแก่ประชาชนทั่วไป ต่อมาได้มีการบูรณะซ่อมแซมตำหนักทั้งสองให้เรียบร้อยแข็งแรง ก่อนจะนำมาใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายต่อไป ระหว่างการบูรณะตำหนักเก่าแก่ทั้งสองนั้น ก็เกิดเรื่องที่ชวนให้ขนหัวลุกโดยไม่คาดฝันอุบัติขึ้นมา

โดยเฉพาะตำหนักของพระองค์เจ้าหญิงอัพภัณตรีปชา มีเรื่องราวแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับขนลุกขนพอง ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน ความหวาดหวั่นของบรรดาคนงานทำให้การบูรณะตำหนักทั้งสองสะดุดขลุกขลักจนถึงหยุดชะงัก เพราะไม่กล้าทำงานต่อบ้าง ลาออกไปบ้าง เนื่องจากสุดจะทนทานต่อความสยดสยองที่ประสบพบเห็น ร่ำลือกันปากต่อปากว่าเป็นเพราะอาถรรพณ์สุดเฮี้ยนของวังเก่าแก่ อายุเกือบ ๑๐๐ ปี นั่นคือ วันดีคืนดีก็มีคนงานได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ สะอึกสะอื้นกลางดึกมาจากตำหนัก เล่นเอาต้องคลุมโปงตัวสั่นเทาเป็นลูกนกต้องลมหนาว ใครจะมาร้องห่มร้องไห้บนตำหนักร้างดึก ๆ ดื่น ๆ นั่นล่ะ ถ้าไม่ใช่ผี

บางคืนก็ได้ยินเสียงสาวๆ เล่นน้ำพลางหยอกล้อกันสนุกสนาน เสียงหัวเราะระริกคิกคักดังมาจากหน้าตำหนัก คนงานใจกล้าชักชวนกันไปดูให้รู้แน่ แต่ก็ไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว แถมที่พื้นก็ไม่เปียกน้ำอีกต่างหาก ค่ำหนึ่ง ลูกคนงานหายไปทำให้พ่อแม่ออกเดินหา จนไปพบที่ข้างตำหนักร่มครึ้มกำลังหัวเราะร่วนสนุกสนาน หอบหายใจถี่เร็วคล้ายเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา ถามเข้าก็ได้ความว่า หนูกำลังเล่นกับเพื่อนใหม่ เป็นเด็กผมจุก นั่นไงมันยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ แม่นั่นไง พ่อแม่หันไปดูก็ไม่เห็นอะไร ได้แต่ร้องวี้ดว้าย จูงแขนลูกจ้ำอ้าวกลับห้องพักคนงาน กำชับว่าอย่าไปเล่นที่นั่นเด็ดขาด ลูกชายย้อนถามว่า ทำไมล่ะแม่ ก็หนูไปวิ่งเล่นกับไอ้จุกมาตั้งหลายวันแล้ว

คืนหนึ่ง จู่ ๆ บนตำหนักมืดครึ้มก็เกิดสว่างจ้าขึ้นมา พวกคนงานพากันไปดูให้รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนจะชะงักงัน ตำหนักนี่ตัดไฟไปตั้งนมนานมา ต่างคนต่างมองสบตากัน อ้าว? ชายแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งนุ่งผ้าเตี่ยวกำลังล้อมวงกินเหล้ากันอยู่ที่ข้างฝา หันมายิ้มกว้างแต่นัยน์ตาแดงจ้า เสียงร้องเอะอะโวยวายดังลั่นตำหนักเมื่อบรรดาคนงานเผ่นกระเจิงลงมาแทบแข้งขาหักไปตามๆกัน คนงานหลายๆ คนถึงกับเก็บข้าวของเสื้อผ้า ขออำลาไปหางานใหม่ทำ อ้างว่าลูกเต้ายังเล็กอยู่ไม่อยากช็อกตายคาที่เพราะโดนผีหลอก คนงานที่เหลือก็กล้าๆ กลัวๆ ทำให้งานบูรณะตำหนักทั้งสองล่าช้าตลอดมา

สำหรับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชา เป็นพระเจ้าลูกเธอในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และเจ้าจอมมารดาแส โรจนดิศ (เป็นธิดาของพระยาอัพภันตริกามาตย์ (ดิศ) และขรัวยายบาง) ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๘ ค่ำ ปีฉลู เอกศก จ.ศ. ๒๑๕๑ ตรงกับวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๒

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอัพภันตรีปชา ได้ประชวรพระโรคไตประมาณ ๒๕ ปี มีพระอาการมากบ้างน้อยบ้างตลอดมา ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ก็เริ่มมีพระอาการมากขึ้น ในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันมีพระอาการประชวรไข้หวัดใหญ่และการอักเสบที่พระทนต์และพระศอเข้าผสม พระอาการทางไตก็กำเริบขึ้นโดยลำดับ จนเป็นเหตุสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๗ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๔ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีระกา เบญจศก จ.ศ.๑๒๙๕ ตรงวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗ พระชนมายุ ๔๕ ชันษา

ปัจจุบันพระตำหนักองค์เจ้าหญิงอัปภันตรีปชาแห่งใหม่ ถูกบูรณะให้เป็นหอสมุดการเมืองเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าไปศึกษาอ่านหนังสือหาความรู้และใช้เป็นที่ทำการพรรคชาติไทยในปัจจุบัน......



ที่มา : //www.appgeji.com/เจ้าหญิงอัพภันตรีปชา2128/

อ้างอิง : ชมรมประวัติศาสตร์สยาม
รูปภาพสวย ๆ จาก : TNews
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji







 

Create Date : 26 สิงหาคม 2560    
Last Update : 26 สิงหาคม 2560 16:24:55 น.
Counter : 2929 Pageviews.  

จุดจบหมอผี

เหตุการณ์ต่อไปนี้เคยเป็นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อ 13 ปีที่แล้ว (2543) คดีนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง มีหลักฐานชัดเจน หมอผีผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้มีชื่อว่า "โล" เป็นชาวพม่า ชื่อนามสกุลจริงนั้นไม่เคยมีใครสนใจไต่ถาม คะเนอายุว่าประมาณ 50 ปี ก็เรียกกันแบบสะดวกปากตามแบบฉบับของท้องิ่นว่า "ตาโล"

ตาโลคนนี้มีอาชีพเป็นหมอไสยเวท งานหลักก็เป็กนารทำเสน่ห์เกี่ยวกับเรื่องชู้สาว เรียกผัวเรียกเมีย ชาวพม่าด้วยกันเองนั้นนับถืออยู่มาก สมุทรสาครแถวบ้านผมนั้นมีชาวพม่ามาทำงานอยู่นับแสนคน ห้างร้านเป็นตลาดยังต้องมีภาษาพม่ากำกับควบคู่ภาษาไทย จนใครหลายคนขนานนามที่นี่เป็นเมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งของพม่า อาชีพของตาโลก็คงจะเฟื่องอยู่ไม่เบา ตาโลแวะเวียนมาแถวสมุทรสาครอยู่บ่อยครั้ง ด้วยว่ามีโรงงานอยู่แห่งหนึ่งที่ชาวพม่ามาทำงานกันอยู่มาก ก็คงจะมาหาลูกค้านั่นเอง


อยู่มาวันหนึ่ง กลางดึกมีเสียงคนทะเลาะกันเอะอะที่ปลายสวนกล้วยไม้ของอาผม แต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไร พอเช้าอาผู้หญิงของผม ชื่อ "อาสาน" เดินออกไปที่ปลายสวนซึ่งติดกับถนนใหญ่ เห็นรอยเลือดเปรอะอยู่ที่พื้นดิน และมีรอยเลือดหยดไปเป็นทาง อาสานเดินตามรอยเลือดนั้นไปจนถึงกองขยะก็เห็นร่างคนเปลือยเปล่านอนจมกองเลือด เป็นศพไร้หัว!

อาสานตกใจมากรีบไปบอกสามีคืออาเทพ และคนอื่น ๆ แล้วได้แจ้งตำรวจให้มาดำเนินการด้วย จากนั้นการค้นหาในขั้นต่อมาจึงพบหัวของศพถุกทิ้งอยู่ริมสวนกล้วยไม้ ห่างจากศพประมาณสิบกว่าเมตร ทำให้ทราบว่าศพนั้นคือตาโล หมอไสยเวทชาวพม่า ในบริเวณที่เกิดเหตุยังพบผ้าถุงและรองเท้าผู้หญิงท่อนไม้สี่เหลี่ยมยาวแบบที่ใช้ทำร้านปลูกกล้วยไม้ ย่ามใส่ของหมกทิ้งอยู่อีกทางหนึ่ง เมื่อค้นดูภายในมีหนังหน้าผากเสือ ก้อนเทียนปั้นสำหรับทำพิธี ขวดน้ำมันจันทน์และของอื่น ๆ อีกเล็กน้อย คาดว่าย่ามนี่ต้องเป็นของตาโลก ซึ่งปกติก็เคยเห็นใช้สะพายติดตัวอยู่เสมอ


หลังจากตำรวจชันสูตรพลิกศพ ตรวจที่เกิดเหตุ สอบปากคำผู้พบศพและพยานแวดล้อม เรียกรถมูลนิธิมาเก็บศพไปเรียบร้อยแล้ว ก็ออกตามจับตัวผู้ก่อเหตุ โดยเริ่มสืบสวนสอบสวนจากกลุ่มคนงานชาวพม่าที่โรงงานใกล้เคียงที่เกิดเหตุ ซึ่งก้ได้เบาะแสอย่างรวดเร็วและตามจับตัวคนร้ายได้ภายในวันนั้นเอง




คนร้ายเป็นหนุ่มชาวพม่าจำนวน 3 คน อาศัยอยู่ในตำบลอื่น แต่ก็เคยไปมาหาสู่กับเพื่อนชาวพม่าในละแวกนั้นอยู่หลายครั้ง ทั้ง 3 สารภาพโดยไม่สะทกสะท้านว่าร่วมกันลงมือสังหารตาโล เพราะความแค้น เนื่องจากชาย 1 ใน 3 คนร้าย มีภรรยาและหนีไปหาชายอื่นด้วยถูกน้ำมันจันทน์และเวทมนตร์ของตาโลก ชายหนุ่มผู้ถูกเพลิงแค้นเร้ารุมสุมอกจึงชวนเพื่อนอีก 2 คน มาดักซุ่มรออยู่ในเวลากลางคืนที่ตาโลจะต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ และเรื่องที่น่าสนใจก็คือเหตุการณ์ตอนลงมือสังหารหมอผีรายนี้นี่ล่ะ เพราะจะแสดงให้ประจักษ์ชัดว่า วิชาไสยศาสตร์และความขลังนั้นมีจริง!

3 หนุ่มเล่าเหตุการณ์ประกอบการทำแผนประกอบคำสารภาพว่า หลังจากพวกตนซุ่มรออยู่นาน ตาโลก็เดินผ่านมาพวกเขาเข้ารุมล้อมด่าทอและเตรียมจะทำร้ายตาโลด้วยความแค้นใจ แต่ตาโลหาได้สะทกสะท้านแต่อย่างใดไม่ เขาจึงยิงปืนใส่ตาโลก กะว่าจะให้ตายดับดิ้นไปในทันใด แต่ไม่น่าเชื่อ...ยิงเท่าไรก็ไม่ลั่น พวกเขาตกใจไม่น้อย แต่ความแค้นย่อมต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น เขาเก็บปืนแล้วปรี่เข้าไปแทงเสียเต็มรัก

และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกใจหนักกว่าเดิมก็เกิดขึ้น เขาจ้วงแทงเข้าไปกี่ครัเ้งก็หาได้ระคายผิวหมอผีผู้นี้ไม่ พวกเขาร้องบอกกันด้วยความตกใจ ฝ่ายตาโลก็สู้สุดฤทธิ์ ตาดลกนั้นแม้จะไม่สูงมากแต่ก็ร่างใหญ่หนาบึกบึนดำทะมึนราวกับยักษ์ ส่วน 3 หนุ่มนั้นร่างเล็กผิวขาวหน้าตาดีกันทุกคน สู้กันด้วยหมัดมวยต่อให้ 3 รุม 1 ก็ไม่มีทางชนะ อาวุธชนิดที่ 3 ที่เตรียมไว้จึงถูกนำมาใช้ นั่นคือไม้เหลี่ยมเนื้อแข็งท่อนยาว หนุ่มพม่าโดดเข้าไปหวดไม้ลงบนหัวตาโลเต็มเหนี่ยว หวดซ้ำ ๆ ลงไปสุดแรงหมายจะให้ตายสมใจ แต่หมอผีคงกระพันอย่างตาโลก็ยังไม่ยอมตาย แม้ว่าหัวจะมีแผลแตกเกิดขึ้นบ้างแต่ร่างปานยักษ์ปักหลั่นก็ยังต่อสู้ดิ้นรนไม่ได้หยุด ไม้ตายสุดท้ายที่เตรียมไว้จึงถูกนำมาใช้สยบจอมขมังเวทย์ นั่นคือเอาผ้าถุงผู้หญิงครอบหัวแล้วจับตาโลเปลื้องผ้า ถอดหมดทั้งเสื ้อทั้งกางเกง ไม่ให้เหลือของขลังติดกา เพื่อนสองคนช่วยกันจับจึดแขนตาโลไว้ ขนาดโดนตีเข้าไปหลายดอกตาโลก็ยังไม่หมดแรง อีกหนุ่มหนึ่งคว้ามีดจ้วงแทงตาโลเข้าไปหลายแผล คราวนี้หมอไสยเลือดท่วมสิ้นฤทธิ์ มนต์ขลังที่เคยคุ้มกายสิ้นสลาย พาให้เจ้าของร่างสิ้นลมหายใจ

3 หนุ่มเชื่อว่าวิญญาณหมอผีต้องเฮี้ยนผิดคนธรรมดา จึงแก้เคล็ดด้วยการตัดหัวหมอผีโยนข้ามท้องร้องไปอีกทางหนึ่ง ลากร่างไร้หัวเอาไปทิ้งไว้ในกองขยะ (กองขยะในที่นี้หมายถึงขยะจากสวน เป็นพวกเศษไม้ ไม่ใช่ขยะจากครัวเรือน) ย่ามใส่ของก็เอาไปหมกไว้ในที่รก ส่วนมีดที่ใช้ฆ่าและตัดหัวนั้นโยนทิ้งลงไปในท้องร่อง แต่มีดเล่มนี้เจ้าหน้าที่าเท่าไรก็ไม่พบ

3 หนุ่มทำแผนและเล่าเหตุการณ์ต่อหน้าผู้คนที่ไปมุงดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีทีท่าหวั่นกลัว ไม่ก้มหน้างุดทำตาเศร้าอย่างผู้ต้องหาทั่วไป พวกเขาคงตัดใจแน่แล้ว และสมใจในสิ่งที่ทำ ไม่ต้องหวั่นเกรงชะตากรรมและโทษทัณฑ์ในอนาคต หลาย ๆ คนที่มาดูการทำแผน บ่นเสียดายของขลังในย่ามที่ถูกยึดไปเป็นของกลาง และผ่านมาถึงปัจจุบันนี้ก็ไม่รู้ว่าถูกเก็บไว้อย่างไร้ค่าในกรุของกลางของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือจะมีใครบางคนใช้อำนาจหรือกลวิธีบางอย่างมางาบเอาไปเป็นของส่วนตัวเสียแล้วก็ไม่รู้...

หลังจากนายโลตายไป คนละแวกนั้นพากันหวั่นผวากับเหตุการณ์สยองขวัญ และที่หวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ผีตาโล หลายคนที่เคยออกไปทำงานแต่เช้ามืดก็คล้ายจะเกียจคร้าน ต้องรอจนฟ้าแจ้งถึงเดินทาง คนที่เคยกลับบ้านยามค่ำคืนก็เร่งเข้าบ้านตั้งแต่ยังไม่มืด คนที่เคยออกท่องราตรีก็งดโดยปริยาย บางคนจำเป็นต้องเดินทางยามราตรีก็ลงทุนอ้อมไปไกลอีกหลายเท่าขอเพียงไม่ต้องผ่านทางนี้ ครอบครัวอาสาน-อาเทพซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุยิ่งน่าสยองยิ่งกว่าใคร พกตกค่ำก็ลุ้นกันใจหายไม่รู้ว่าผีหัวขาดจะโผล่มาเขย่าขวัญตอนไหน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครเจอผีตาโล หรือการตัดหัวล้างอาถรรพณ์ของ 3 หนุ่มพม่าจะประสพผลก็เป็นไปได้ มีเพียงรายเดียวที่อ้างว่าเจอผีตาโลกคือ คนขายไอศกรีม เขาขับมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างด้วยถังไอศกรีม พอผ่านปลายสวนอาสาน เขาเห็นเงาดำวิ่งตัดหน้ารถ จึงหักหลบด้วยความตกใจทำให้รถตกลงไปข้างทาง แต่ก็โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมาย

ทว่า ชาวบ้านก็ไม่มีใครเชื่อถือเรื่องผีตาโลของพ่อค้าไอศกรีมเท่าไร และนอกจากรายนี้ก็ไม่มีใครเคยเจอเหตุสยองจากตาโล เรื่องราวของตาโลในด้านความเฮี้ยนของวิญญาณจึงไม่มี แต่ที่มีจริงและยังจำกันแม่นยำในหมู่พวกเรามาจนถึงวันนี้คือความขลังและหนังเหนียวของหมอผีต่างแดน รวมถึงการทำลายล้างความขลังด้วยผ้านุ่งของสตรีแบบที่เราเคยได้ยินได้ฟังจากคำโบร่ำโบราณนั้นมันมีจริง เป็นจริง และอีกสิ่งหนึ่งที่พึงระลึกไว้ก็คือ แม้จะมีอาคมขลัง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มภัยสักเพียงใด ถ้าไม่ปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรม มุ่งแต่จะใช้วิชาอาคมหาประโยชน์จนไม่คิดถึงบาปกรรม ทำโดยไม่สนว่าลูกเขาเมียใครแบบตาโลจอมขมังเวทย์คนนี้ สุดท้ายแล้ว ก็หนีกรรมที่ตนก่อไว้ไม่พ้นหรอก.

Cr : "รายทาง" /// ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ 39 ฉบับที่ 463 เดือนกันยายน 2556









 

Create Date : 22 มกราคม 2558    
Last Update : 22 มกราคม 2558 15:41:23 น.
Counter : 1874 Pageviews.  

เรื่องราวอัศจรรย์แห่งพระเจ้าตาก





เป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาถึงตำนานความอัศจรรย์ของพระเจ้าตากสินตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)


มีบันทึกสำคัญเกี่ยวกับเหตุมหัศจรรย์ในวันเกิดของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ก็คือ ในวันที่คลอดจากครรภ์มารดานั้น เกิดเหตุอสุนีบาตฟาดลงมาที่เสาเรือนตอนกลางวัน ทั้งที่ไม่มีฝนตกหรือฟ้าคะนอง คลอดมาได้ ๑ วัน ก็เกิดมหัศจรรย์อีกที่ว่า ปรากฏว่ามีงูเหลือมตัวใหญ่เข้ามาขดเป็นทักษิณาวรรตรอบกระด้งที่ใช้รองกายของพระองค์


เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจและพิศวงแก่พ่อแม่และบรรดาญาติพี่น้องเป็นอันมาก จีนไหฮองนั้นเป็นคนเชื่อถือในเรื่องโชคลาง คิดได้สถานเดียวว่าคือลางร้ายของทารก ก็เกิดปริวิตกนำเรื่องราวเข้าไปบอกกล่าวเจ้าพระยาจักรี ซึ่งเจ้าพระยาจักรีได้ฟังเรื่องแล้ว ก็เกิดอาการปีติต่างกับจีนไหฮอง รีบรุดมาที่เรือนของจีนไหฮองโดยทันที เมื่อไปพิเคราะห์ดูทารก ก็เห็นมีลักษณะหลายประการที่จะเป็นทรชนในอนาคต และเห็นว่าทั้งจีนไหฮองและนางนกเอี้ยงก็ไม่พึงประสงค์ที่จะเลี้ยงทารกนี้ต่อไป จึงเอ่ยปากขอต่อจีนไหฮองว่า ถ้ามิพึงปราราถนาแล้วก็ขอรับไปเลี้ยงดูเอง ซึ่งจีนไหฮองก็รีบยกทารกนั้นมอบแก่เจ้าพระยาจักรีโดยทันที ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าประหลาดที่ว่า หลังจากที่เจ้าพระยาจักรีรับทารกนั้นไปเลี้ยงดูแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นลางดี ทำให้บังเกิดลาภยศเงินทองไหลมาเทมา และบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ เจ้าพระยาจักรีจึงตั้งชื่อทารกนั้นว่า "สิน"


เรื่องกฤษฎาภินิหารของเด็กชายสินได้ปรากฏอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ ๙ ขวบ ครั้งนั้น เจ้าพระยาจักรี นำเด็กชายสินบุตรบุญธรรมไปฝากให้เรียนหนังสือกับสำนักพระอาจารย์ทองดีที่วัดโกษาวาส (คือวัดเชิงท่า ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังพระนครศรีอยุธยา) เมื่อเข้าไปเรียนหนังสือที่สำนักนี้ เด็กชายสินมีความเฉลียวฉลาด เรียนเก่ง สามารถอ่านเขียนภาษาไทย ภาษาขอม และภาษาบาลี ได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นศิษย์ที่พระอาจารย์ทองดีโปรดปรานมาก


ในสังคมของเด็กวัดที่มารวมกันอยู่มาก ๆ มาจากหลายครอบครัวหลากพื้นฐาน ทุกยุคทุกสมัยก็จะมีการมั่วสุมชุมนุมกันกระทำการใดการหนึ่งที่ไม่ค่อยจะดีนัก นั่นคือ การแอบเล่นการพนันถั่วโปกัน เด็กวัดโกษาวาสในยุคนั้นก็เช่นกัน เด็กชายสินนั้นตั้งตัวเป็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความเฉลียวฉลาดกว่า วันหนึ่งเด็กชายสินก็ถูกพระอาจารย์ทองดีจับได้ว่าเป็นหัวโจกในการนำเด็กวัดเล่นการพนันกำถั่วกันที่ลานหลังวัด เด็กคนอื่นๆต้องอาญาวัดเพียงถูกเฆี่ยนด้วยหวายคนละ 2 ทีพอหลาบจำ แต่เด็กชายสินในฐานะลูกศิษย์คนโปรดนั้น พระอาจารย์ทองดีโกรธมาก จนถึงขั้นเมื่อเฆี่ยนแล้ว ก็ให้พระลูกวัดนำไปผูกเชือกมัดติดบันไดวัด ประจานชาวเรือชาวแพทั่วไปด้วยว่าอย่าเอาเยี่ยงอย่าง


พระลูกวัดเอาตัวเด็กชายสินไปผูกไว้ที่บันไดหน้าวัด ที่ระยะขั้นสุดที่น้ำลงไป (ที่อยุธยานั้นน้ำทะเลขึ้นถึงเหมือนในกรุงเทพมหานครปัจจุบัน) ผูกแล้วก็ไม่ใส่ใจว่าเป็นอย่างไร ส่วนพระอาจารย์ทองดีนั้น เมื่อสั่งพระลูกวัดแล้วก็หันไปทำกิจสงฆ์ ทำวัตรสวดมนต์จนค่ำ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เอาเด็กชายสินไปมัดติดบันไดไว้ ตอนนั้นน้ำท่วมบันไดมิดขั้นขึ้นมาอย่างน้อยก็ ๓ - ๔ ขั้น และแน่นอนว่า เด็กชายสินต้องจมน้ำไม่แน่ว่าจะเป็นหรือตาย จึงตกใจและรีบนำพระลูกวัดและลูกศิษย์วัดกรูกันไปที่บันไดหน้าวัด เมื่อไปถึงปรากฏว่าน้ำกำลังท่วมถึงพื้นศาลาและมองไม่เห็นบันไดก็ตกใจยิ่งนัก ร้องเอะอะให้พระลูกวัดและลูกศิษย์ช่วยกันจุดคบเพลิงออกไปช่วยกันค้นหา ในที่สุดก็พบบันไดที่มีร่างเด็กชายสินมัดติดอยู่ ลอยไปติดอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ พระอาจารย์ทองดีนั้นถึงกับขนลุกซู่ที่เห็นปรากฏอย่างนั้น เพราะบันไดท่าน้ำนั้นแข็งแรงมาก ทั้งยังถูกตรึงไว้กับศาลาท่าน้ำอย่างแน่นหนา แต่กลับหลุดออกไปเหมือนมีแรงมหายักษ์ฉุดกระชากลากไป จึงนับว่าเป็นปาฏิหาริย์


มีเกร็ดประวัติศาสตร์เล่าถึงปาฏิหาริย์ตรงนี้ว่า เมื่อน้ำขึ้นมาถึงระดับคอนั้น เด็กชายสินได้ตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่เนื่องจากเป็นเวลาค่ำ และย่านนั้นก็เป็นย่านเปลี่ยว ไม่มีเรือผ่าน จึงไม่มีผู้ใดได้ยินแม้กระทั่งพระหรือศิษย์วัด เพราะทุกคนต่างก็ไม่กล้าเยื้องกรายไปที่ศาลาท่าน้ำ เนื่องจากมีบัญชาจากพระอาจารย์ทองดีว่า ถ้าพบว่าผู้ใดช่วยเหลือแก้มัดเด็กชายสิน จะถูกลงอาญาวัดขั้นหนัก (โทษขั้นหนักคือเฆี่ยนสามยก และไม่รับอุปสมบท ซึ่งเรื่องหลังนี้ผู้ชายทุกคนกลัวมากว่าถ้าไม่ได้บวชเรียนให้พ่อแม่ ตัวเองตกนรก)


เมื่อน้ำท่วมสูงขึ้นมิดศีรษะจึงอธิษฐานว่า แม้ตนเองจะได้เข้าสู่ร่มพระศาสนา ได้สนองคุณบิดามารดาและบิดาบุญธรรมแล้วไซร้ ขอให้ตนรอดจากการจมน้ำตายในครั้งนี้ หลังจากอธิษฐานแล้ว ก็ปรากฏเหมือนมีแรงมหายักษ์จากที่แห่งใดไม่ปรากฏ มากระชากบันไดให้หลุดจากศาลา แล้วลากเอาบันไดที่มีร่างของเด็กชายสินไปไว้ที่ฝั่งตรงข้าม (ปัจจุบันคือที่ตั้งตลาดสดเทศบาลเมืองพระนครศรีอยุธยา) และวัดเชิงท่าแห่งนี้ เมื่อนายสินโตเป็นผู้ใหญ่ เจ้าพระยาจักรีก็ให้บวชอยู่วัดแห่งนี้ และได้จำพรรษาอยู่ถึง ๓ พรรษา (๓ ปี)


และที่วัดแห่งนี้ในตอนเช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช ๒๒๙๙ ภิกษุสิน กับภิกษุบุญมา (รัชกาลที่ ๑) เดินบิณฑบาตสวนทางกับซินแสที่ประตูวัด ซินแสนั้นมาแต่ใดไม่ปรากฏ เอ่ยปากร้องทักแล้วว่าจะดูโชคชะตาให้ ภิกษุทั้งสองไม่ยอมให้ดูเพราะผิดหลักศาสนา ซินแสจึงขอดูโหงวเฮ้งให้ แล้วทำนายว่า ภิกษุทั้งสององค์จะได้เป็นกษัตริย์ ซึ่งภิกษุทั้งสองถึงกับหัวเราะแล้วพูดว่าเรื่องอย่างนี้ตายไปสิบชาติก็เป็นไปมิได้ ซินแสก็ยังยืนยันอีกครั้งว่า เมื่อใดที่มีเหตุการณ์ปรากฏ ก็จะพบว่าสัมพันธภาพของทั้งสองท่านจะจางหายไป ภิกษุทั้งสองรูปก็เดินเข้าวัดแต่เมื่อภิกษุสินหันกลับมามองก็ปรากฏว่าซินแสตนนั้นหายไปแล้ว


ขอย้อนหลังไปเมื่อเด็กชายสินอายุได้ ๑๖ ปี ต้องทำพิธีตัดเปีย งานนี้จัดโดยเจ้าพระยาจักรี วันพิธีมีผึ้งหลวงนับจำนวนหมื่นตัวมาเกาะที่เบญจารดน้ำที่ใช้ในพิธีตัดเปีย นานถึง ๗ วัน แล้วก็บินหายไป เจ้าพระยาจักรีนั้นปลื้มใจยิ่งนักที่บุตรบุญธรรมของตนเป็นผู้มีบุญมาเกิด ก่อนที่เจ้าพระยาจักรีจะนำนายสินมาบวชพระที่วัดโกษาวาสนั้น ได้นำไปบวชเณรที่วัดสามวิหาร ด้วยประสงค์ให้เรียนรู้เพิ่มเติมจาก "พระอาจารย์พัด" ที่มีวิชาแก่กล้าเชิงอาวุธ เลขยันต์ ศักดิ์สิทธิ์จนครบทุกเรื่องราว จึงมาบวชที่วัดโกษาวาสดังกล่าว


เมื่อลาสิกขาเพศออกมา เจ้าพระยาจักรีก็พานายสินเข้ารับราชการในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการจนตกมาถึงรัชกาลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น "หลวงยกกระบัตรเมืองตาก" และได้ตำแหน่ง "พระยาตาก" ครองเมืองตากในเวลาต่อมา ซึ่งชาวบ้านขนานามท่านว่า "พระยาตากสิน" ท่านได้สร้างจวนที่พักขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก เรียกว่า "ตำหนักสวนมะม่วง" ใกล้ๆกับตำหนักสวนมะม่วง มีวัดอยู่บนเนินเรียกว่า "วัดเขาแก้ว" วันหนึ่งพระยาตากได้มาทำบุญที่วัด และอธิษฐานบารมีไว้ว่า "ข้าพเจ้าจะเอาไม้สำหรับตีระฆังนี้ ขว้างไปที่ถ้วยแก้ว ถ้าบารมีจะถึงแก่บรมสุขได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน (ตามคำทำนายของซินแส) ขอให้ไม้เคาะระฆังนี้ ไปถูกเฉพาะตรงเท้าถ้วยแก้วที่คอดกิ่วนั้นให้หักออกไปแต่ตัว ถ้วยแก้วนั้นขออย่าให้เป็นอันตราย ข้าพเจ้าจะเอาถ้วยแก้วนี้มาทำพระเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและถ้าบารมีของข้าพเจ้าไม่ถึงบรมสุขแล้ว ก็ขออย่าให้ไม้นี้ไปถูกถ้วยแก้วนั้นเลย" เมื่อสิ้นอธิษฐานเสี่ยงบารมีแล้ว ก็ขว้างไม้เคาะระฆังออกไปที่ถ้วยแก้ว ไม้นั้นไปถูกเท้าถ้วยแก้วหักออกเป็นสองส่วน และถ้วยแก้วก็มิได้เป็นอันตรายใด ๆ ตามคำอธิษฐานทุกประการ ....


เรื่องในลำดับต่อไปนั้น เรา ๆ ท่าน ๆ คงทราบกันอยู่แล้วว่าคำทำนายซินแสแม่นยำหรือไม่ และคำอธิษฐานของท่านถูกต้องหรือไม่แต่ประการใด....



ข้อมูล : เรื่องเล่าชาวเมืองสยาม/ Songsak Saiyood ,
นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์/ไม่ปรากฏชื่อเอกสารอ้างอิง










 

Create Date : 20 กันยายน 2557    
Last Update : 20 กันยายน 2557 14:06:33 น.
Counter : 4303 Pageviews.  

อาถรรพ์ป่าเขาใหญ่ : ผีพรางตา

ดงพญาไฟหรือ ดงพญาเย็น ส่วนหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งเคยเป็นป่ารกทึบอันตรายเป็นที่ล่ำลือกันว่ามีทั้งสัตว์ร้ายและอาถรรพ์จากภูตผี เจ้าป่าเจ้าเขา บัดนี้ได้มีถนนตัดผ่านพื้นที่ป่าบางส่วนและเปิดเป็นสถานที่ท่องเทียวเชิงอนุรักษ์ที่มีคุณค่าแต่ก็ยังคงความลึกลับไม่เปลี่ยนแปลงทั้งยังมีผู้คนมากมายที่สูญหายเข้าไปในป่าอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครได้พบเจอพวกเขาอีกเลยบางส่วนที่รอดออกมาได้ก็มักมีเรื่องเล่าแปลกประหลาดพิศดารมาให้ได้ตื่นเต้นกันอยู่เรื่อยไป

มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่14 เมษายน 2552 ด.ญ.ณัชชา โป่งสันเที๊ยะ หรือน้องเอ๊ะวัย 7 ปี พร้อมครอบครัวพากันไปเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และได้ลงเล่นน้ำตกกรองแก้วเพราะเห็นว่าดูปลอดภัย มีนักท่องเที่ยวเยอะและอยู่ใกล้ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานไม่ห่างจากเจ้าหน้าที่อุทยานมากนัก

วันนั้นมีนักท่องเที่ยวมากมายเพราะเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดีเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นไปอย่างปกติ และเมื่อถึงเวลาเดินทางกลับบ้านทุกคนขึ้นรถกลับและออกรถไปจนกระทั่งออกจากตัวอุทยานปรากฎว่าลืมเด็กหญิงเอ๊ะเอาไว้ราวกับว่าทุกคนพร้อมใจกันลืมซะอย่างนั้น(มีคนทั้งหมดตั้ง 15คน) เมื่อรู้ตัวจึงรีบกลับไปรับน้องเอ๊ะตรงบริเวณเดิมที่ลงเล่นน้ำแต่เมื่อกลับมาถึง ต่างก็ไม่เจอน้องเอ๊ะอีกแล้ว พ่อแม่และญาติ ๆตกใจมากจึงรีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทันที ทุกฝ่ายต่างตกใจและเป็นห่วงเด็กเพราะยังเล็กมากนายมาโนชหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่รีบประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูจำนวน 15 นายพร้อมเกณฑ์เจ้าหน้าที่อุทยานทั้งหมดกระจายกันออกไปตามหาเด็กหญิงทันทีโดยกำชับว่าให้ค้นหาทุกซอกทุกมุมโดยเฉพาะบริเวณแหล่งน้ำกำลังส่วนหนึ่งดำน้ำค้นหาตั้งแต่น้ำตกชั้นที่ 1 ลงไปจนถึงชั้นที่3 เผื่อว่าเด็กจะพลักตกน้ำ แต่ก็ไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด

จนถึงเวลาค่ำไม่สามารถดำเนินการค้นหาได้อีก เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจหยุดการค้นหาชั่วคราวพ่อแม่และญาติของเด็กร้องไห้กันระงมราวกับเด็กเล็ก ๆ อย่างน่าเวทนาทุกคนพากันไปกราบไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่เพื่อให้คุ้มครองน้องเอ๊ะจากอันตรายและสัตว์ร้ายทั้งปวง วันที่16 ก็ยังไม่พบตัวน้องเอ๊ะ ไม่พบแม้แต่ศพ ความหวังเริ่มหมดลงทุกทีพ่อแม่เด็กเริ่มใช้วิธีทางไสยศาสตร์เข้าช่วย มีการขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขานิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีเปิดป่าต่าง ๆ นานาเจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาต่อไปแทบจะเรียกได้ว่าพลิกแผ่นดิน โดยเฉพาะตามแอ่งน้ำ ซอกหินบริเวณที่เด็กเล่นน้ำอยู่ครั้งสุดท้าย

จนกระทั่งวันที่17 อยู่ ๆ เจ้าหน้าที่ก็พบน้องเอ๊ะซึ่งสวมเสื้อยืดคอกลมสีส้มกางเกงขาสั้นสีเทานอนสลบอยู่บนโขดหินบริเวณใกล้กับที่เธอลงเล่นน้ำนั่นเองสภาพของเธออิดโรยอ่อนเพลีย เนื่องจากไม่ได้กินอาหารมาเป็นเวลาถึง 4 วัน 4 คืน ได้แต่อาศัยน้ำตามแอ่งน้ำตกประทังชีวิตตามลำตัวพบทากดูดเลือดจนตัวเป่งเกาะอยู่20 ตัวและเห็บกัดเกาะตามลำตัวอีกเป็นร้อย เจ้าหน้าที่จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที หลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์เหลือเชื่อถูกถ่ายทอดออกจากปากของเด็กหญิง ทำให้หลายคนถึงกับตกตะลึงเพราะเธอเล่าว่า เธอนั่งอยู่บริเวณโขดหินที่เดิม รอให้พ่อแม่กลับมารับไม่ได้ย้ายไปไหนเลยพอตกกลางคืนเธอก็เข้าไปหลบตามซอกหินด้วยความหวาดกลัวความมืดและสัตว์ร้ายพอรุ่งขึ้นมีคนมาเที่ยวบริเวณนั้นมากมาย เธอพยายามดิ้นรนร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่มีใครมองเห็นเธอเลยสักคน…

ทั้งพ่อแม่และเจ้าหน้าที่อุทยานเชื่อว่าเด็กหญิงไม่ได้โกหกเพราะเธอคงไม่กล้าเดินเข้าป่าลึกเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับผู้ที่มาท่องเที่ยวไม่เว้นแต่เจ้าหน้าที่อุทยานเองก็เคยหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เชื่อว่านี่คือการเล่นตลกของผีป่าหรือเจ้าที่เจ้าทางหรือที่เรียกกันว่า “ผีบังตา”นั่นเอง








 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 11:41:56 น.
Counter : 963 Pageviews.  

อาถรรพ์นรกซานติก้า ที่แห่งนี้มีตำนาน



จากที่ดินทำเลทองย่านเอกมัย เพียงชั่วข้ามคืนของวันแรกที่ย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ปี 2552 กลับกลายเป็นสุสานของเหยื่อเพลิงนรก นำมาสู่การผูกโยงถึงความเชื่อของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับ "สุสานซานติก้าผับ" ด้วยความหวาดผวา และบอกเล่าถึงเรื่องราวอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงลางร้ายบอกเหตุที่อาจจะเป็นสาเหตุที่นำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งนี้

แม้ลางร้ายบอกเหตุจะมีหลายประการ แต่ข่าวลือที่พูดกันว่า ที่ดินบริเวณนี้เคยเป็น "กุโบร์เก่า" หรือ "สถานที่ฝังศพชาวมุสลิม" มาก่อนนั้น กลับไม่ใช่เรื่องจริง!! ตามที่ "ซินแส" ท่านหนึ่งออกมาเปิดเผยต่อสังคม

"สุธี ผลทวี" ทายาทของเจ้าของที่ดินมาตั้งแต่รุ่นดั้งเดิม ออกมายืนยันว่า แม้ที่ดินแถวนี้จะเป็นชุมชนของพี่น้องมุสลิม แต่ที่ดินทั้งหมดนี้เป็นที่มีโฉนด ไม่ใช่ที่สาธารณะ จึงไม่มีทางเป็นกุโบร์เก่ามาก่อนได้

ถึงแม้จะไม่ใช่ที่กุโบร์เก่า แต่ทายาทของเจ้าของที่ดิน เล่าว่า เรื่องราวความเฮี้ยนบนที่ดินผืนนี้ มีการเล่าขานกันมาตลอด โดยเกิดขึ้นหลังจากขายที่ดินให้แก่แม่ทัพเรือที่เข้ามาอยู่เมื่อกว่า 40 ปีก่อน ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้น ชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด ต่อมาแม้จะมีความพยายามเข้ามาใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำสำเร็จ และปล่อยรกร้างว่างเปล่ามานาน ก่อนจะมาเปิดเป็นสถานบันเทิง "ซานติก้าผับ" เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว

"ที่ตรงนี้เป็นของคุณยายมาก่อน ซึ่งคุณยายขายต่อให้แม่ทัพเรือ ซึ่งท่านเป็นคนเจ้าชู้ ภรรยาจึงเกิดการหึงหวง ต่อมาแม่ทัพเรือคนนี้ถูกภรรยาฆ่าตายภายในบ้าน หลังจากนั้นชาวบ้านก็มักจะเห็นเงาของคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านร้าง จนต้องมีการทำพิธีทางศาสนากันมาตลอด แม้กระทั่งซานติก้าก็เหมือนกัน ที่ดินตรงนี้แต่เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ที่บอกว่าเป็นกุโบร์เก่านั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ดินเดิมของซานติก้าเป็นของคนญี่ปุ่นมาก่อน แต่เจ้าของคนเดิมตายไป ลูกหลานก็เลยให้ซานติก้าเช่าที่ดินผืนดังกล่าว ซานติก้าก็ยังเชิญไปอ่านบทสวดให้ประจำ โดยส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ แต่ก็ไม่ลบหลู่ แม้ทางซานติก้าไม่ได้ทำพิธีพวกเราก็ทำให้อยู่ดี เพราะอยู่ใกล้กัน ต้องช่วยเหลือกัน" ทายาทเจ้าของที่ดินกล่าว

นอกจากเรื่องราวความอาถรรพณ์ของที่ดินตามความเชื่อแล้ว ลางร้ายบอกเหตุที่เกี่ยวกับการออกแบบภายในซานติก้าผับ ก็เป็นอีกความเห็นหนึ่งที่เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามซานติก้าผับรายนี้บอกว่า การปรับโฉมใหม่ มีการตกแต่งภายในร้านด้วยไม้กางเขนขนาดใหญ่และทำเลียบแบบโลงศพ ซึ่งเขามองว่าไม่เหมาะสม เช่นเดียวกับป้ายประชาสัมพันธ์งานกู๊ดบาย และเคานท์ดาวน์ขนาดใหญ่ ที่ทางผับออกแบบให้ดีเจมีน้ำตาเป็นสายเลือดและนักร้องมีคราบน้ำตาเป็นสีดำ

"เห็นภาพที่ออกมาเห็นแล้วก็ตกใจ กลัวว่าจะเป็นการบ่งบอกถึงลางร้าย แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นขนาดนี้" สุธีกล่าวด้วยอาการสลด
ขณะเดียวกัน ชาวบ้านแถวนี้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับ พวกเขายอมรับว่า กลัวเจอผี บ้างก็ยังติดตากับภาพสลดใจที่เกิดขึ้น การแผ่เมตตา หรือแม้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายจึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้สบายใจ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า เหตุร้ายครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะอุบัติเหตุและความประมาท มากกว่าจะเป็นเพราะเรื่องราวความอาถรรพณ์ แต่ถึงจะไม่เชื่อ ชาวบ้านละแวกนี้ก็ไม่เคยหลบหลู่ โดยตั้งใจว่าจะหมั่นทำบุญให้ผู้ตายอย่างสม่ำเสมอ และหากเป็นไปได้ ที่ดินผืนนี้ไม่อยากให้มีใครมาสร้างเป็นผับอีก

"เราก็อยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาก็ปฏิบัติกับเราดี เด็กในละแวกนี้ก็มีงานทำ ถึงเวลาที่ร้านของเขาครบรอบก็มีเลี้ยงละแบร์ตามศาสนา ช่วงงานวันเด็กก็มีแจกจักรยานทำอะไรให้ ช่วยเหลือกัน ที่จริงที่ดินตรงนี้เป็นของ ผบ.ทร.เก่า สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในความรู้สึกผมปล่อยวางนะ มีฝรั่งคนหนึ่งมาจากภูเก็ต ผมก็ถามว่าญาติเสียหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามาสวดมนต์ให้ผู้เสียชีวิตชาวต่างชาติ เจ้าของเดิมตั้งใจทำเป็นคอนโด แต่ไม่ได้ทำ เพราะเจอพิษทางเศรษฐกิจ จริงๆ แล้วที่ดินตรงนี้ไม่ใช่ของซานติก้านะ แต่ทางซานติก้าเขาเช่าอยู่ ไม่ใช่ที่ของเขา" ฉลอม เพ็ชรหิน ชาวบ้านในพื้นที่ซานติก้าผับ ย้อนเรื่องราวในอดีต

ไม่ต่างไปจาก ภาณุภัทธ มีสถานทรัพย์ ชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียงซานติก้าผับ สะท้อนความเชื่อว่า ลางบอกเหตุก็ดูที่รูปดีเจภูมิ ที่มีเหมือนเลือดไหลออกจากตา แล้วพื้นหลังก็สีดำหมดเลย เห็นตั้งแต่แรกก็ว่าจะไปทักว่ามันไม่เป็นมงคลเลย ก็ไม่นึกว่าเรื่องมันจะขนาดนี้ เวลาเคานท์ดาวน์เขาก็จะจุดพลุลุกใหญ่ๆ จุดเรื่อยๆ เป็นระยะ ปกติวันที่ 31 มกราคม เขาจะเปิดถึง 6 โมงเช้า แต่ปีนี้เขาเลิกกิจการพอดี ก็เลยมีนักท่องเที่ยวแอบเอาไปจุดข้างในลูกหนึ่ง

"เขาว่าในร้านที่เพิ่งตกแต่งปรับโฉมใหม่ไม่นานนี้ ก็มีรูปเหมือนโลงศพ แล้วก็มีไม้กางเขนขนาดใหญ่อยู่อันหนึ่งข้างใน มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเจ้าของเองยังนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ แล้วคนก็ไม่รู้ว่าทางด้านหลังก็มีประตูทางออกอีกทาง ก็เลยมากรูกันอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าหมดเลย" ภาณุภัทธกล่าวในตอนท้าย ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ณ "ซานติก้าผับ" ในค่ำคืนแห่งการฉลองเทศกาลปีใหม่ จะเป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นอาถรรพณ์ ทว่าความจริงคือ เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องสังเวยด้วย 61 ชีวิต และเจ็บกว่า 2 ร้อยคน 



ขอบคุณที่มา: //pak-kad.blogspot.com/2010/02/blog-post06.html










 

Create Date : 28 สิงหาคม 2557    
Last Update : 28 สิงหาคม 2557 11:40:48 น.
Counter : 2867 Pageviews.  

1  2  3  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.