4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

จอห์น เอริค อาร์มสตรอง : นักฆ่าโสเภณีเจ็ดย่านน้ำ

การค้าประเวณี คือการขายบริการทางเพศ รวมทั้งการร่วมเพศหรือการทำออรัลเซ็กส์เพื่อแลกกับเงิน การค้าประเวณีมักจะถูกเรียกว่า เป็นอาชีพหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เชื่อว่าการค้าประเวณีเกิดขึ้นหลังจากระบบการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือเงินกำเนิดขึ้น ที่มาหนึ่งของการกำเนิดโสเภณีเชื่อว่าเกิดจากเหตุผลทางความเชื่อของชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลน โดยให้ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น (นอกจากคู่สมรส) เพื่อเหตุผลทางศาสนา รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์กับชาวต่างแดนแสดงถึงการมีจิตใจโอบอ้อมต้อนรับผู้มาเยือน แสดงถึงคุณค่าของการเป็นเจ้าเมือง

สำหรับการค้าประเวณีในประเทศไทยถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 โดยไม่ได้ถูกนำเข้ามาจากชาติตะวันตกตามเรื่องเล่ากัน การค้าประเวณีในไทยเริ่มเป็นที่แพร่หลายกับชาวตะวันตก ในช่วงที่มีการติดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับชาวตะวันตก มีหลักฐานเป็นศัพท์ในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกว่า รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ใน ประมวลกฎหมายตรา 3 ดวง – บทพระไอยการลักษณะผัวเมีย มีการบัญญัติผู้ค้าประเวณีว่า หญิงนครโสเภณี และสมัยสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีสถานประกอบการเรียกว่า โรงหญิงนครโสเภณี โดยทั่วไปมีโคมสีเขียวตั้งข้างหน้า จึงเรียกกันว่า สำนักโคมเขียว ทั้งนี้ก่อนปี พ.ศ. 2499 การค้าประเวณีไม่ถือว่า ผิดกฎหมาย แต่เริ่ม พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 กำหนดว่าการค้าประเวณีเป็นความผิดอย่างชัดเจน แต่ในสังคมยุคใหม่เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในช่วงสงครามเวียดนาม โดยในช่วงนั้นการค้าประเวณีจะเป็นการลักลอบค้าประเวณี และปัจจุบันธุรกิจค้าประเวณีในประเทศไทยเป็นธุรกิจแอบแฝง นอกจากนั้นโสเภณียังเป็นอาชีพที่ต้องระวังตัวและอันตรายมากที่สุดอีกด้วย เนื่องจากโสเภณีนั้นง่ายต่อการเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องมากที่สุด ดังที่เห็นจากตัวอย่างจากแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยทั่วไป เรามักโยนความผิดให้แก่ฆาตกร แต่ความเป็นจริงเราก็ควรยอมรับด้วยว่าเหยื่อก็มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดอาชญากรรม เราเรียกเหยื่อพวกนี้ว่า Provocative Victims เหยื่อประเภทนี้จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่จะยั่วยุ ขัดใจ กระตุ้น ให้ฆาตกรลงมือกระทำก่อน เช่น โกง หลอกลวง หนีไปหาคนรักใหม่ กลั่นแกล้ง เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีเหยื่อบางประเภทที่ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการก่ออาชญากรรม แต่จูงใจให้เกิดอาชญากรรม พวกนี้เรียกว่า Precipitative Victims เหยื่อไม่ได้ทำอะไรพิเศษต่อตัวฆาตกร แต่พฤติกรรมของเหยื่ออาจล่อให้ฆาตกรมาฆ่าโดยไม่รู้ตัว เช่น แต่งตัวยั่วยวน หน้าเหมือนแฟนฆาตกร เป็นต้น เหยื่ออีกประเทศหนึ่งคือเหยื่อที่มีความอ่อนแอทางชีวภาพ หรือ Biologically Weak Victims หมายถึงเหยื่อมีความด้วยทางร่างกายและจิตใจ เช่น คนแก่ ผู้หญิง คนขาดความสามารถ และเด็ก ซึ่งง่ายต่อการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องมาก ถ้าเราจะเปรียบเทียบโสเภณีกับประเภทของเหยื่อจะพบว่าโสเภณีนั้นมีครบทุกประเภทของเหยื่อที่กล่าวมาทั้งหมด


จอห์น เอริค อาร์มสตรอง 
เกิด 23 พฤศจิกายน 1973 
ฉายา The model Sailer ฆ่าเหยื่อ 5 ราย (แต่เขาบอกมากกว่า 16+ ราย) สถานที่ออกอาละวาดสหรัฐอเมริกา และสถานที่อื่น ๆ ที่เป็นไปได้รอบโลก 
ช่วงออกอาละวาด 1992 – 2000 (คาดว่า)

เมื่อปี 2000 ไม่นานมานี้เอง ทางการสหรัฐฯ ได้จับกุมตัว จอห์น เอริค อาร์มสตรอง วัย 26 ปี (ขณะก่อเหตุ) อาชีพทหารเรือ เขาเป็นชายร่างสูงหนา น้ำหนักกว่า 300 ปอนด์ ราวกับหมียักษ์ ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ถูกตำรวจจับกุมเพราะเขาทำพลาดเองโดยเหยื่อที่รอดมาได้ในขณะที่เขากำลังลงมือ และเหยื่อรายนี้ได้ให้รูปพรรณสัณฐานและรถยนต์พาหนะของเขากับตำรวจเมืองดีทรอยส์ จนสามารถตามตัวจับกุมจอห์นมาได้ในที่สุด

จากการสอบสวนอย่างหนักของตำรวจ ทำให้จอห์นสารภาพในที่สุด แต่สิ่งที่ตำรวจเมืองดีทรอยด์รัฐมิชิแกนกับตกตะลึงคือ เขาสารภาพว่าเขาฆ่าคนมาแล้วทั่วโลก!! จอห์นอ้างว่าเขาฆ่าผู้หญิงมาแล้วทั่วโลก ครบ 7 ทวีป จะมีแต่สาวประเภทสองรายเดียวเท่านั้นที่เป็นชาย (ไม่แท้) ที่ตกเป็นเหยื่อของเขา สาเหตุที่ฆ่าก็เพราะความผิดหวังจากสาวคนรักขณะเรียนหนังสืออยู่ในช่วงมัธยมปลาย ซึ่งเขาคบกับเธอมานาน แต่เธอกลับเลิกกับเขาเพื่อไปคบกับแฟนใหม่ที่รวยกว่าหล่อกว่า มันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาอาฆาตแค้นสาว ๆ ใจง่ายพวกนั้น เมื่อจอห์นคิดอย่างนั้นแล้ว จอห์นจึงจัดการแก้แค้นสาว ๆ ใจง่ายเหล่านั้นด้วยการลงมือฆ่าโสเภณีทุกคนที่ร่วมรักหลับนอนกับเขาอย่างเลือดเย็น จนกระทั่งเป็นนิสัยสันดานส่วนตัวของเขาไปในที่สุด


จากประวัติจอห์นเกิดที่เมืองนิวเบิร์น ในมลรัฐนอร์ธ แคโรไลน่า ในขณะที่เขา 5 ขวบ พ่อแม่ก็แยกทางกัน ทิ้งเขากับมารดาและน้องชายต้องผจญชีวิตด้วยความลำบากเพียงลำพัง ต่อมาจอห์นก็สูญเสียน้องวัยทารกด้วยโรคปัจจุบันทันด่วนที่ไม่อาจเยียวยาได้ทัน และด้วยความรัดทดใจรุนแรงของจอห์นทำให้เขาตัดสินใจขี่รถจักรยานคันเล็ก ๆ ไปกลางถนนท่ามกลางจราจรคับคั่งโดยหวังว่าจะมีรถคนใดคันหนึ่งวิ่งมาทับให้เขาตายเพื่อพ้นจากโลก ครั้นแม่ถามจอห์นว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ จอห์นตอบว่า เขาต้องการตายเพื่อจะได้ไปอยู่กับน้องชาย และเมื่อเติบโตขึ้นมาเขาเข้าเรียนที่ไฮสคูล และมีความรักกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนสาวสวย ก่อนที่จะโดนหักมุมในตอนสุดท้ายจนกระทั่งเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้จอห์นเป็นฆาตกรต่อเนื่องในที่สุดโดยสมบูรณ์ในเวลาต่อมา

ด้วยความที่จอห์นทำงานอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินรบ “ยูเอสเอสนิมัทช์” เป็นเรือรบราชนาวีแห่งสหรัฐอเมริกานิมิทซ์ ทำให้จอห์นมีโอกาสเดินทางไปรอบโลก และทุกครั้งที่เรือจอดเทียบท่าลูกเรือจะได้ผ่อนคลายกัน จอห์นเลือกกิจกรรม “หาความสำราญทางเพศ” กับพวกโสเภณีของประเทศนั้น ๆ และเมื่อมีเซ็กส์ก็ฆ่าทิ้งเป็นแบบนี้เรื่อยมา จอห์นสารภาพว่า เขาฆ่าสาว ๆ ที่มาขายบริการทางเพศตามท่าเรือต่าง ๆ ทั่วโลก ประมาณ 17 ราย แต่นอกเหนือจากนั้นยังต้องมีเหยื่ออีกหลายคนแน่ ๆ แต่ตำรวจไม่มีหลักฐานพอที่จะเอาผิดกับจอห์น โสเภณีที่ตกเป็นเหยื่อของจอห์นนั้นมีกระจัดกระจายไปทั่วโลก ไล่ตั้งแต่ ท่าเรือเวอร์จีเนีย นอร์ธแคโรไลน่า วอชิงตัน ฮาวาย ประเทศไทย (?!!) สิงคโปร์ จากการสอบสวนของ FBI และหน่วยสอบสวนราชนาวีเชื่อว่ายังมีเหยื่อที่จอห์นฆ่าอีกที่ท่าเรือญี่ปุ่น เกาหลี และอิสราเอลอีกด้วย


แม้จอห์นจะเป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่ด้านชีวิตส่วนตัวนั้นไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาเป็นพ่อบ้านที่ดีคนหนึ่งที่ให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัว ไม่มีเศษเสี้ยวความโหดร้ายของฆาตกรโรคจิตแต่อย่างใด ในช่วงที่จอห์นอยู่กับบ้านเขาจะเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายวัย 14 เดือน และใช้เวลาว่างพาสุนัขที่เลี้ยงไว้ไปเดินเล่น หลายฝ่ายต่างสงสัยว่าในเมื่อเขาชอบสังหารผู้หญิงแต่ทำไมเขาไม่ฆ่าเมียตนเองบ้างล่ะ คำตอบก็ง่าย ๆ จอห์นบอกว่า "ภรรยาของเขาไม่ได้หลับนอนหรือมีเซ็กส์กับเขาเพราะ “ขอเงินค่าตัว” แบบโสเภณีนี่นา ก่อนที่จอห์นจะโดนตำรวจจับกุม จอห์นได้รับการอนุมัติให้พักผ่อนได้เป็นเวลาหลายเดือน ที่ท่าเรือยูเอเอ นิมิตซ์ ที่เขาเทียบท่านั่นเอง ในช่วง 3 เดือนที่เขาพักผ่อนนั้น จอห์นฆ่าสาว ๆ ไปถึง 4 คนด้วยกัน โดยใช้วิธีเชิญสาว ๆ นั่งรถจิ๊ปเล่นเซ็กส์ก่อนที่เขาจะรัดคอสาว ๆ เหล่านั้นจนขาดใจตาย โดยเหยื่อ 4 คนประกอบด้วย เคลลี่ ฮู๊ด อายุ 34 ปี ร็อบบิ้น บราวน์ อายุ 20 ปี โรส เฟลท์ อายุ 32 ปี และโมนิก้า จอห์นสัน อายุ 31 ปี ศพทั้งหมดถูกค้นพบในป่าเช้าของวันที่ 10 มกราคม ปี 2000 ในสภาพเน่าเปื่อย ตำรวจไม่สามารถรวบรวมและประกอบร่างเหล่านี้ได้หมด จากการสอบสวนพบว่าเรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับจอห์น เอริค อาร์มสตรอง ต่อมาจอห์นพลาดท่าเมื่อ 12 เมษายน 2000 เขารับโสเภณีประจำถิ่นคนหนึ่งและกระเทยอีกคนมาหลับนอนด้วยและเขายังไม่ทันได้ลงมือฆ่าเหยื่อ ทั้งสองกลับหนีรอดมาได้ และแจ้งตำรวจจนมีการจับกุมตัวจอห์นในที่สุด จากการสอบสวนตำรวจสามารถเอาผิดจอห์นได้ในคดีของ เวนดี้ จอร์แดน ซึ่งพบศพเมื่อวันที่ 2 มกราคม ปี 2000 ตำรวจได้รับแจ้งจากชายคนหนึ่งว่าพบค้นพบศพลอยอยู่ในแม่น้ำรูจ มันเป็นศพของผู้หญิงที่ถูกรัดคอและขึ้นอืดมาแล้วหลายวัน หลังจากตรวจสอบหลักฐานตำรวจสามารถระบุได้ว่านี่คือศพของ เวนดี้ จอร์แดน หญิงติดยาและโสเภณี ซึ่งมีหลักฐานแน่นหนาคือ DNA และเส้นใยในรถของเขา ซึ่งตรงกับศพเหยื่อ


มีนาคม 2001 จอห์น เอริค อาร์มสตรอง ถูกดำเนินคดีในคดีฆ่าเวนดี้ จอร์แดน ทนายของเขาใช้เหตุผลความบกพร่องทางจิตเข้าสู้ แต่คณะลูกขุนไม่เชื่อ ผลคือจอห์นถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต เรื่องราวการฆาตกรรมของจอห์นยังมีออกมาเรื่อย ๆ ตราบใดที่การสอบสวนไม่จบสิ้น ตำรวจเชื่อว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานับจากที่เขาโดนหญิงหักอกนั้น เขาน่าจะลงมือสังหารสตรีอีกหลายคนนอกเหนือจากนั้น และปัจจุบันเขายังมีชีวิตอยู่......








 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 14:27:54 น.
Counter : 1134 Pageviews.  

จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม : เที่ยวบินสุดท้ายของแม่ผม

ปัจจุบันคดีที่เกี่ยวข้องกับการสังหารบิดามารดายังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุนั้นก็แตกต่างกันออกไป แต่ช่วงหลัง ๆ เริ่มมีประเด็นเรื่องลูกต้องการเงินมรดกเงินประกันมาใช้จ่ายเพื่อบำเรอความสุขของตนเองมากขึ้น อันเนื่องมาจากความอบอุ่นในครอบครัวลดน้อยถอยลง ดังนั้น เมื่อลูก ๆ เกิดความต้องการอะไรบางอย่างมาก ๆ พวกเขาอาจสามารถทำอะไรทุกอย่างไม่ว่าอะไรก็ตามเพื่อให้พวกเขาสมปรารถนา......

เวลา 6:52 ของวันที่ 1 พฤศจิกายน1955 เที่ยวบินสายยูไนเต็ดแอร์ 629 เครื่องบิน DC-6B กับคนขึ้นเครื่องอีก 44 คน ได้ออกจาก สนามบินเดนเวอร์ มลรัฐโคโลราโด เสียงเครื่องบินทะยานฟ้าคำรามก้อง ล้อหน้าล้อหลังถูกยกขึ้นเตรียมขึ้นฟ้าสูงกว่า 4,000 ฟุต เป้าหมายคือพอร์ทแลนด์ ออเรกอน เครื่องบินนี้มีห้องโดยสารขนาดเล็กมาตรฐานที่ 39 ผู้โดยสารสามารถสูบบุหรี่ได้ กัปตันหอประกาศ ประกาศให้ผู้โดยสารทราบว่าเครื่องบินจะถึงจุดหมายประมาณสามชั่วโมง และแนะนำให้ผู้โดยสารระมัดระวังและอยู่ในความสงบในเที่ยวบินเที่ยวนี้ เครื่องบินเดินทางอยู่เหนือเมืองเล็ก ๆ ลองมอนต์ในโคโลราโด กัปตันผู้มีประสบการณ์ในการบินในห้องควบคุมเครื่องบินกำลังสบายใจ งานนี้หมูเป็นบ้าสบายใจถึงขั้นจิบกาแฟไป ดูเส้นทางการบินไป อากาศสดใส ทุกอย่างปกติ โลกนี้สงบสุขเสียจริง แต่แล้ว พวกเขาก็เริ่มระแคะระคายถึงสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นจากใต้ด้านล่างเครื่องด้านหลังเมื่อกัปตันได้ยินเสียงและแรงสะเทือนจากบริเวณนั้น พวกเขาเตรียมลุกขึ้นเพื่อตรวจสอบที่มาแต่สายไปแล้ว จู่ ๆ พื้นที่ดังกล่าวเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น โลหะเพดานโดนแรงระเบิดพังทลายจนหลุดออกจากกัน เครื่องบินมโหฬารระเบิดเหนือน่านฟ้า กระเป๋าผู้โดยสารและร่างของผู้โดยสารถูกแรงระเบิดฉีกร่าง ชิ้นส่วนปลิวว่อน ตามด้วยแรงระเบิดรอบสองจากถังเชื้อเพลิง เครื่องบินสูญเสียการควบคุมสภาพเวิ้งว้างสิ้นหวังก่อนที่จะตกที่ฟาร์มใกล้ ๆ ลองมอนต์ มลรัฐโคโลราโด อย่างย่อยยับ


หลังจากนั้น 11 นาทีต่อมา ชาวอเมริกันทั้งประเทศก็ช็อกกับข่าวที่เกิดขึ้น เมื่อเครื่องบิน DC-6B เกิดระเบิดอย่างลึกลับขึ้นกลางอากาศ ส่งผลให้ผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่รวม 44 คนบนเครื่องบินตายทันที (30 คนเป็นผู้ใหญ่ 9 คนเป็นทารก และอีก 5 คนเป็นลูกเรือ) และซากเครื่องบินตกไฟลุกท่วม

จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมารถดับเพลิง ตำรวจ หน่วยกู้ภัย รีบรุดไปที่เกิดเหตุ โชคดีบริเวณที่เครื่องบินตกเป็นฟาร์มโล่งไม่ใช่บ้านเรือน ทำให้การเสียหายโดยรอบในขณะเครื่องบินตกไม่รุนแรงมากนัก ไม่มีเหยื่อจากลูกหลงในครั้งนี้ พวกเขาทำการดับไฟที่ลุกท่วมเครื่องบิน พร้อมหาผู้รอดชีวิตในเครื่องไปด้วย แต่กระนั้นก็แทบหมดหวัง เพราะถึงที่สุดแล้วก็ไม่พบผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้แม้แต่คนเดียว ตลอดทั้งวันทั้งคืนตำรวจ อาสาสมัครและแพทย์ทำงานไม่หยุด พวกเขาทำการบันทึกสิ่งที่พบทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นซากตำแหน่งเครื่องบินที่กระเด็นไปหลายไมล์ เศษชิ้นส่วนกระเป๋าและร่างกายของผู้เคราะห์ร้ายนับร้อยผสมกับโลหะที่กระจัดกระจายถูกบันทึกลงแผ่นฟิล์มหลายพันรูป โดยหวังว่านี้จะช่วยสามารถไขปริศนาเครื่องบินตกครั้งนี้ได้



ความรู้เพิ่มเติม:-
สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (United Airlines) เป็นหนึ่งในสายการบินชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1926 โดยในปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ โดยมีสนามบินหลักคือท่าอากาศยานนานาชาติโอแฮร์ เป็นหนึ่งในสมาชิกของสตาร์อัลไลแอนซ์ เป็นสายการบินที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอเมริกา และเป็นสายการบินที่เป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายเป็นอันดับ 1 ด้วย โดยเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือ เหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ที่ สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 93 ได้ประสบกับวินาศกรรม 11 กันยายน ซึ่งมีเครื่องบินทั้งหมด 4 ลำที่ประสบกับวินาศกรรมครั้งนี้ โดยมีผู้โดยสารทั้งหมด 40 รายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น)

วันที่ 2 พฤศจิกายน FBI และกองทะเบียนตรวจสอบศพรีบรุดไปที่เกิดเหตุทันที จากวอชิงตันไปยังโคโลราโด โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถหาสาเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้เพื่อตอบคำถามจากประชาคมโลกได้ ร่างผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมถูกลำเลียงออกจากซากเครื่องบิน และถูกนำไปวางในโรงเก็บศพชั่วคราว เมื่อ FBI และผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือมาถึง พวกเขาสามารถชี้ตัวผู้ตายได้ 9 ศพเพราะสภาพยังไม่เละเกินไปทำให้ญาติ ๆ และเพื่อนจำหน้าได้ ส่วนอีก 35 คนไม่สามารถระบุได้เพราะศพไหม้เกรียม ตำเป็นตอตะโก จนไม่เหลือสภาพเค้าโครงเดิม ทางด้านการสอบสวนผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ถูกเข้าไปทำการตรวจสอบซากเครื่องบินที่ตก ส่วนหางของเครื่องบินยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ทำให้สามารถกู้กล่องดำซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญได้ไม่ยาก แต่ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบินนั้นพังยับ เครื่องยนต์เสียหาย ปีกทั้งสองด้านฉีกขาดจนแยกออกกัน ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ข้าวของ กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นที่บริเวณนั้น การตรวจสอบใช้เวลานานประมาณ 6 วัน จึงสามารถสรุปสาเหตุเครื่องบินระเบิดได้

ความรู้เพิ่มเติม:-
ความจริงแล้ว “กล่องดำ” ที่เราพูดถึงกันบ่อย ๆ นั้นไม่ได้มีสีดำดังชื่อ เพราะบ้างก็เป็นสีแดง หรือสีส้ม แต่ที่เรียกเช่นนั้นอาจเป็นเพราะหลังเกิดอุบัติเหตุกล่องนี้จะถูกไฟไหม้ทำให้กลายเป็นสีดำ รวมถึงการที่กล่องดังกล่าว เป็นกล่องที่บันทึกความลับของเครื่องบินลำประสบเหตุ ซึ่งเป็นปริศนาที่เราต้องค้นหาคำตอบ จึงนิยมเรียกกันว่า "กล่องดำ" กล่องดำ คือกล่องที่บรรจุอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยในการลำดับเหตุการณ์ของอุบัติเหตุทางการบิน โดยข้อกำหนดขององค์การการบินระหว่างประเทศระบุว่า เครื่องบินโดยสารทุกลำที่มีตั้งแต่ 19 ที่นั่งขึ้นไปจะต้องติดตั้งกล่องดำ เพื่อช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลของการเกิดอุบัติเหตุ ภายในกล่องดำจะบรรจุอุปกรณ์สำคัญ 2 ส่วน คือ “Flight Data Recorder (FDR)” แถบบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการบิน พิกัด ความเร็ว ระดับความสูง การเร่งผ่อนคันบิดปิดเปิดน้ำมัน แรงขับของเครื่อง ฯลฯ และ “Cockpit Voice Recorder (CVR)” อุปกรณ์ทำหน้าที่บันทึกเสียงการสนทนาภายในห้องนักบิน การติดต่อระหว่างนักบินกับหอบังคับการบิน รวมทั้งเสียงของลูกเรือที่เข้ามาในห้องนักบิน การทำหน้าที่ของกล่องดำ จะเริ่มบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่าง นับตั้งแต่นักบินติดเครื่องไปจนถึงดับเครื่อง แต่หากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ข้อความที่สำคัญที่สุดจะอยู่ในช่วง 30 วินาทีสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงที่นักบินจะทราบว่ามีอะไรผิดพลาดก่อนที่เครื่องจะตก ลักษณะโครงสร้างของกล่องดำ ทำจาก โลหะพิเศษที่ทนทาน ทนต่อแรงกระแทกอย่างรุนแรง ทนน้ำทนไฟ เวลาที่เครื่องบินตก และเกิดระเบิดอย่างรุนแรงกล่องดำมักจะไม่ได้รับความเสียหาย ตำแหน่งที่ติดตั้งกล่องดำจะอยู่บริเวณส่วนหางของเครื่องบิน เพราะเป็นบริเวณที่แข็งแรงและเมื่อเครื่องบินตก ส่วนหางจะได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด

ในระหว่างวันที่ 2 และ 5 พฤศจิกายน 1955 มีการสอบถามพยาน 200 ปาก ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อยู่บริเวณ 140 ตารางไมล์ตรงที่เครื่องบินตก พยานบางคนให้การว่ามันเหมือนแสงจันทร์ในตอนกลางวัน มันวูบวาบจนคิดว่าเป็นดาวตกเสียมากกว่าจะเป็นเครื่องบิน วันที่ 7 พฤศจิกายน 1955 ประธานสอบสวนได้ออกมาแถลงข่าวสรุปเหตุการณ์เครื่องบินระเบิดนี้ว่า "มันเป็นการก่อวินาศกรรมมากกว่าจะเป็นอุบัติเหตุ โดยหลักฐานชี้ให้เห็นว่าเครื่องบินดังกล่าวถูกวางระเบิด" จากนั้นประธานสอบสวนก็แจกแจงว่าเครื่องบินโดนระเบิดอย่างไร ขั้นแรกเมื่อเครื่องบินบนขึ้นไปในระดับ 10,800 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล หรือ 5,782 ฟุตเหนือพื้นดินในระยะหนึ่งระเบิดก็ทำงาน ซึ่งน่าจะเป็นระเบิดแบบตั้งเวลาหรือจุดชนวน และใช้ไดนาไมต์หรือไม่ก็ระเบิดพลุทำ แรงระเบิดนี้มีอนุภาพมากพอที่ทำให้เครื่องบินเสียหาย จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้เครื่องบินจนเป็นทางยาว เครื่องบินลดระดับในการตก จากนั้นก็มีการระเบิดครั้งที่ 2 ซึ่งน่ามาจากถังเก็บน้ำมันระเบิด ผู้โดยสารทั้งหมดตายทันทีจากการระเบิดครั้งที่ 2

วันที่ 8 พฤศจิกายน การสอบสวนคืบหน้า เมื่อมีการกู้ซากปรับหักพังและกู้สัมภาระเพื่อหาหลักฐาน จนพบว่าที่มาของระเบิดนั้นมาจากกระเป๋าใบที่อยู่ตรงช่องที่ 4 เพราะพบซากระเบิดติดในเศษผ้าของกระเป๋า ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสารเครื่องบินทั้งหมดต้องสอบสวน จากการตรวจสอบที่มาของกระเป๋าใบนั้น มีการส่งสำเนาเศษซากกระเป๋าไปให้ทางยูไนเต็ดแอร์ทันที การระบุไม่ยากเพราะช่อง 4 เป็นช่องที่ใช้สำหรับเก็บกระเป๋าของผู้โดยสารและสินค้าอื่น ๆ ทำให้สามารถระบุเจ้าของกระเป๋านี้ได้คือ "นางเดซีย์ คิง" การสอบสวนคืบหน้า และใกล้สิ้นสุด เพราะการตรวจสอบเริ่มแคบลง แคบลง ครอบครัวของนางคิงถูกนำมาสอบสวน สื่อมวลชนเริ่มตีข่าวภูมิหลังของนางคิง โดยบอกว่าเธอเป็นคนร่ำรวย มีลูกชายอยู่คนหนึ่งชื่อ จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม ในตอนเดินทางเธอบอกกับครอบครัวเธอว่าเธอจะไปอลาสก้าเพื่อเยี่ยมลูกสาวที่กำลังจะแต่งงาน เขาจะทำแบบนี้เพื่ออะไร ทำแล้วได้อะไร?? ตอนแรกเจ้าหน้าที่เดาว่า นางคิงจะเป็นผู้ก่อการร้ายแบบระเบิดพลีชีพหรือเปล่า เพราะว่าไม่มีใครบ้าพอที่จะระเบิดเครื่องบินแบบไม่มีมูลแน่ๆ หรืออาจมีคนนอกจากคุณนายคิงเอาระเบิดซุกในกระเป๋าหวังให้มันระเบิดกลางอากาศเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นฝีมือก่อการร้าย แต่กระนั้นก็ไม่มีกลุ่มก่อการร้ายไหนๆ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ และดูเหมือนว่าเหตุระเบิดเครื่องบินในครั้งนี้ไม่น่าจะใช่เพื่ออุดมการณ์อะไรทั้งสิ้น เพราะสาเหตุการระเบิดเครื่องบินในครั้งนี้คือ “เงินล้วน ๆ” โดยสิ่งที่น่าจะเอาเฉลยเรื่องนี้ได้ คงเป็นหลักฐานการทำเงินประกันชีวิตแก่สนามบินก่อนออกเดินทาง ซึ่งมีการเปิดเผยภายหลังว่า มีผู้โดยสาร 6 คน ทำเงินประกันถึง $62,500, 4 คนทำเงินประกัน $ 50,000 ที่เหลือก็ลดหลั่นลงไป โดยนางคิงทำเงินประกันสูงสุดไว้ที่ $37,500 โดยให้ลูกชายจอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮมได้รับผลประโยชน์หากเธอตายเพราะเที่ยวบินเครื่องบินเที่ยวนี้ (เขาตรวจสอบจากเครื่องทำประกันภัยอัตโนมัติซึ่งมีข้อมูลซื้อและผู้ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด) และนางคิงก็ตายเพราะเครื่องบินระเบิดในที่สุด ส่งผลให้จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮมได้มรดกมหาศาลจากการตายของแม่ในครั้งนี้เต็ม ๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือ หรือว่า.......!?


จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม หรือแจ๊ค กิลเบิร์ต เกรแฮม
เกิด 23 มกราคม 1932
ตาย 11 มกราคม 1967 
สังหารคนกว่า 44 คนด้วยการวางระเบิด

จะเรียกเขาว่าอะไรดีละฆาตกรฆ่าสนุกหรือผู้ก่อการร้ายดี เอาเป็นว่าขอเรียก “นักฆ่า” แล้วกัน เขาฆ่าคนกว่า 44 ราย (ในจำนวนนั้นมีแม่ของเขาด้วย โดยการซุกระเบิดไว้ในกระเป๋าของแม่ซึ่งถูกนำขึ้นไปบนเครื่องบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ 629 สายการบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ3ของสหรัฐ โดยหวังให้เครื่องบินระเบิดกลางอากาศทำให้ดูเหมือนก่อการร้าย เพื่อให้เขาได้มรดกจำนวนมหาศาลของแม่ โดยอีก 43 ผู้บริสุทธิ์ที่อยู่บนเครื่องต้องรับเคราะห์ตายพร้อมกับแม่ด้วย ซึ่งเขาไม่สนหรอก ขอให้ฆ่าแม่เขาได้ก็พอใจแล้ว.....

จากการสอบถามครอบครัวพบว่า เขามีความสัมพันธ์กับแม่ค่อนข้างย่ำแย่ เพราะธุรกิจร้านอาหารที่แม่ให้เขาเป็นผู้จัดการ เกิดระเบิดจนเสียหายขาดทุน จอห์น (แจ๊ค) กิลเบิร์ต เกรแฮมอดีตเคยเป็นเสมียนในเมืองเดนเวอร์มาก่อน แต่ก็ถูกไล่ออกในเดือนมีนาคม 1951 เมื่อเขาถูกจับได้ว่าเป็นคนขโมยเงินบริษัทและปลอมเช็กเงินเดือนของบริษัท และหลังจากนั้นก็เคยถูกจับเมื่อ 11 กันยายน 1951 ข้อหาเกี่ยวกับล่าสัตว์ผิดกฎหมายและมีอาวุธในครอบครอง และเมื่อถึงปี 1955 เขาก็เป็นลูกจ้างของแม่ในร้านอาหาร

จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม เกิดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 1932 ที่เดนเวอร์ รัฐโคโลราโด บิดาชื่อวิลเลี่ยมส์ เกรแฮม แต่ตายหลังเขาเกิดได้ 3 ปี โดยสาเหตุธรรมชาติ ทำให้เขาต้องอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะแม่ของเขาไม่มีปัญญาเลี้ยงดูลูก ต่อมาในปี 1941 แม่ของเขาก็แต่งงานใหม่กับคนรวยชื่อจอห์น เอิร์ล คิง, จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม จึงสามารถออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและทั้งหมดก็ย้ายมาอยู่อาศัยในฟาร์มปศุสัตว์ ใกล้โทโพนาส โคโลราโด แต่อยู่ได้ไม่กี่ปีเพราะประสบปัญหาทางการเงิน พอถึงปี 1948 แม่และพ่อเลี้ยงจึงขายกิจการฟาร์มไปปักหลักในแยมป้าเมืองเล็ก ๆ ในโคโลราโด และใช้เวลาอยู่ที่นั้นจนพ่อเลี้ยงตายเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1954 ด้วยโรคหัวใจ เมื่อพ่อเลี้ยงตาย แม่ของจอห์นก็พาลูกชายและลูกสาวไปฟลอริดา ซึ่งที่นั้นนางคิงทำกิจการเป็นเจ้าของบ้านพักในเกาะมาร์โก้ ส่วนจอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮม ขณะนั้นอายุ 23 ปีพอดี แต่งงานมีลูกสองคนและย้ายไปอยู่เดนเวอร์บ้านเกิด ธุรกิจของนางคิงประสบผลสำเร็จมากมายมหาศาล เพราะเธอเป็นหญิงที่ฉลาดมีความเป็นนักธุรกิจ เธอได้เงินมากมายจากธุรกิจร้านอาหารในเดนเวอร์ และงานอสังหาริมทรัพย์ ส่วนจอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮมหลังจากรอดพ้นคดี เขาไปโคโลราโด มาเป็นนักธุรกิจ แต่ก็โดนไล่ออกอย่างรวดเร็วเพราะโกงเงิน ในปี 1953 เขาแต่งงานและมีลูกสองคน พวกเขาอาศัยอยู่กับแม่ในบ้านหลังใหญ่ และแม่ของจอห์นก็เปิดธุรกิจร้านอาหารไดร์ฟอินที่ 581 ทางตอนใต้ของเฟเดรัล บูเลวาร์ดเดนเวอร์ซึ่งให้เขาเป็นผู้จัดการ แต่แทนที่มันจะประสบผลสำเร็จกลับกลายเป็นว่า ร้านกลับโดนระเบิดในปี 1955 เพราะอุบัติเหตุแก๊สรั่ว ทำให้ร้านเกิดความเสียหายคิดเป็นเงินจำนวนประมาณ $1,200 ซึ่งจอห์นต้องหาเงินจำนวนนี้มาคืนแม่ ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกเริ่มตึงเครียดติ่งเหวลง ข้อมูลที่น่าสนใจพบว่าสองแม่ลูกคู่นี้ชอบปืนมาก จึงไม่น่าแปลกอะไรที่จอห์นจะสามารถสร้างระเบิดด้วยวิธีง่าย ๆ ได้ ตอนแรก FBI ไม่เชื่อว่า จอห์น กิลเบิร์ต เกรแฮมจะก่อเหตุวินาศกรรม จริงอยู่เขามีแรงจูงใจในการฆ่าแม่ แต่วิธีการฆ่าของเขาเวอร์มาก ถึงกับทำให้เหมือนให้เครื่องบินระเบิดเป็นข่าวโด่งดังทั้งประเทศเพื่อให้หลายคนมองว่าเป็นก่อการร้ายแบบนี้เชียวเหรอ




11 พฤศจิกายน 1955 นางกลอเรียภรรยาของจอห์นได้ให้ปากคำ เธอเล่าว่าตอนเกิดเหตุ จอห์นบอกเธอว่า เขาจะนำ “ของขวัญคริสต์มาส” ใส่ในกระเป๋าเดินทางของแม่ของเขา ก่อนที่เธอจะออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเธอไม่รู้รายละเอียดว่า “ของขวัญ” ที่จอห์นนำมาใส่กระเป๋านั้นเป็นอะไร แต่เธอสามารถระบุได้ว่ามันอยู่ในกล่องของขวัญยาวประมาณสิบแปดนิ้ว กว้างสิบสี่นิ้ว ลึกสามนิ้ว เธอจึงคิดว่าน่าจะเป็นกล่องใส่ชุดเครื่องมือ ที่น่าสนใจตามมาคือ สมมติว่าของขวัญนั้นคือระเบิดที่จอห์นแอบซุกในกระเป๋าแม่ แล้วมันสามารถผ่านเจ้าหน้าที่แล้วขึ้นไปในสนามบินได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่าระบบรักษาความปลอดภัยเครื่องบินสหรัฐอเมริกามีปัญหาแน่ ๆ มาถึงตอนนี้ FBI รู้ตัวผู้ก่อคดีแล้วซึ่งก็คือจอห์น เกรแฮม นั่นเอง ที่ฆ่าคน 44 คนเพื่อฆ่าแม่เอาเงินประกัน แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนฉลาด กล้าเสี่ยง และไม่สนว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนแต่อย่างใด ตอนนี้พวกเขาต้องการหาหลักฐานเอาผิดจอห์น แน่นอนหลักฐานที่จะมัดตัวเขาได้ก็คือพิสูจน์ว่า “ของขวัญคริสต์มาส” นั้นคือระเบิด โดยเศษกระเป๋าของนางคิงถูกรวบรวมไปที่ FBI ทำการตรวจสอบ และเจ้าของร้านอุปกรณ์ทั่วเดนเวอร์ถูกเรียกปากคำที่สอบถามว่าจอห์นซื้ออะไร ในการทำระเบิด โชคดีเมืองเดนเวอร์เป็นเมืองเล็ก ๆ อีกทั้งจอห์นเป็นคนรวยคนดัง ทำให้หลายคนจำจอห์นได้

ต่อมาจอห์นถูกสอบสวนอย่างหนัก และเจ้าหน้าที่ก็ใช้ไม้เด็ดในการสยบจอห์นโดยบอกว่าประกันภัยของนางคิงแม่ของเขาที่ให้เขาได้รับประโยชน์นั้นเป็นโฆฆะ เพราะเธอลืมเซ็นเอกสารสำคัญให้เรียบร้อยก่อนขึ้นเครื่อง จอห์นช็อกกับเรื่องเหล่านี้ มิน่าละมันถึงขึ้นเงินไม่ได้ บวกกับภรรยาเขาที่ยอมเป็นพยานให้การเพื่อเอาผิดเขาอย่างเต็มรูปแบบ ไม่นานนักเขาก็สารภาพว่าเขาเป็นคำทำระเบิดดังกล่าวขึ้นมา แล้วแอบไปซุกกระเป๋าเดินทางของแม่ จากนั้น FBI ก็ส่งคนไปบ้านจอห์นพวก เพื่อค้นบ้าน พวกเขาพบลอวดทองแดงที่เป็นฉนวนและเชื้อปะทุขนาดใหญ่ รวมไปถึงเอกสารประกันภัยที่คุณนายคิงให้เขาได้รับผลประโยชน์ จอห์นกล่าวว่าระเบิดประกอบด้วยไดนาไมต์ที่จุดชนวนโดยขั้วไฟฟ้าแบบจับเวลา ทำงานโดยแบตเตอรี่

14 พฤศจิกายน 1955 ทางการสรุปผลคดีวินาศกรรมสายการบินยูไนเต็ดแอร์ 629 ว่าเป็นฝีมือของจอห์น กิลเบิร์ด เกรแฮม สาเหตุเพียงเพราะร้อนเงิน ฆ่าแม่เอาเงินประกัน โดยไม่สนผู้บริสุทธิ์ตายกี่คน และจอห์นถูกจับอย่างเป็นทางการ จากนั้นเรื่องราวของจอห์นก็โดนแฉ น้องสาวของจอห์นออกมาบอกว่าพี่ชายเป็นคนที่ชอบความรุนแรงตั้งแต่เด็ก เธอไม่ชอบอยู่ใกล้ๆ เขา เพราะหากอารมณ์เสียเมื่อไหร่ ก็ชอบใช้ความรุนแรงกับเธอ บางครั้งก็ตีด้วยค้อน พ่อเลี้ยงกับแม่ต้องล็อกเขาไว้ในห้องกันเขาออกมาอาละวาด



1956 จอห์นถูกนำตัวขึ้นศาลเดนเวอร์ ท่ามกลางการอารักขาชนิดเข้มข้นจากตำรวจ และ ภรรยาของจอห์นประกาศว่าเธอจะไม่จ่ายเงินเพื่อจ้างทนายความมาช่วยว่าความให้สามี ทำให้ศาลต้องหาทนายให้จอห์นแทน แต่กระนั้นภรรยาก็แอบมาให้กำลังใจเขาในศาลแบบห่าง ๆ และแน่นอนสิ่งที่จอห์นนำมาสู้ในศาลคือ “คนบ้าไม่ผิด.....” หลักฐานต่าง ๆ นั้นมัดแน่นหนาเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ปัญญาคือทำอย่างไรให้ขณะลูกขุนยอมรับว่าจอห์นไม่ใช่คนบ้า ทนายของจอห์นใช้เหตุผลว่า จอห์นเป็นคนบ้าสงครามโลก อัยการเถียงว่าจอห์นไม่ใช่คนบ้า เขาเป็นคนฉลาด การวินาศกรรมครั้งนี้มีการวางแผนมาก่อน ดูสิเขาตัดสินใจฆ่าแม่ตัวเองกี่วัน ไม่ใช่คิดเดี๋ยวนี้ทำเดี๋ยวนี้นะ มีการจับเวลาระเบิดด้วยว่า เวลาไหนสมควรระเบิด อีกทั้งยังซื้ออุปกรณ์ทำระเบิดจนได้ประสิทธิภาพพลังทำลายสูงอีก นี่หรือคนบ้า คนฉลาดชัด ๆ จากนั้นก็มีการเบิกพยานจากสาขาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่าง นักวิเคราะห์หลักฐาน นักวิทยาศาสตร์ มีการสู้คดีอย่างเมามันจนไม่ต่างอะไรกับฉากการเฉือนคมในศาลเหมือนหนังบางเรื่อง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 1956 คณะลูกขุนใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบสองนาที มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจอห์นไม่บ้า เขามีความผิดจริงฐานก่อวินาศกรรมอย่างถี่ถ้วนและจงใจ โทษที่ได้รับคือประหาร จอห์นได้ฟังคำตัดสิน เขาทำท่าสบาย สงบ และเฉยเมยตลอดที่ศาลอ่านคำตัดสิน “ผมต้องการตาย” จอห์นบอกหลังจากที่เขาได้ยินคำตัดสิน จอห์น กิลเบิร์ด เกรแฮมถูกประหารโดยการรมแก๊สในเรือนจำโคโรลาโดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1957 เวลา 7:45 คำพูดสุดท้ายของจอห์นคือ I hope God will forgive you your sins, he said, Take it like a man. (ฉันหวังว่าพระเจ้าจะอภัยให้คุณ พัสดีเอ่ยขึ้น) Okay, Graham replied softly. Thanks Warden! he said to Tinsley (“โอเค” จอห์นตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล“ ขอบคุณผู้คุมมากครับ”)

และเมื่อจอห์นเข้าในห้องรมแก๊ส เขาก็ไม่พูดอีกเลย....ตลอดชีวิต เรื่องราวของจอห์นถูกภาพทำเป็นหนังสั้นในชุดThe FBI Storyในปี1959 ในปี2005มีการตีพิมพ์เรื่องราวของจอห์นในหนังสือเรื่อง Main liner Denver: The Bombing of Flight 629 โดยวางแผงในวันครบรอบเหตุการณ์นี้พอดี

ความรู้เพิ่มเติม:-
การประหารชีวิตด้วยการรมแก๊สนั้น ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้แก๊สพิษประหารนักโทษในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักโทษจะถูกผูกไว้กับเก้าอี้ในห้องที่ผนึกแน่นจนอากาศเข้าไม่ได้ เจ้าหน้าที่ลงมือด้วยการเปิดวาล์ว ปล่อยกรดไฮโดรคลอริกหรือซัลฟิวริก เข้าไปในถาดที่วางไว้ข้างใต้เก้าอี้ จากนั้นจึงปล่อยเกลือไซยาไนด์ราวแปดออนซ์เข้าไปในกรด จนทำให้เกิดแก๊สไฮโดรไซยานิก แก๊สตัวนี้ยับยั้งไม่ให้เฮโมโกลบินในเลือด นำออกซิเจนไปส่งให้เซลล์ในร่างกาย ผลก็คือเซลล์จะขาดออกซิเจน และนักโทษจะเสียชีวิตภายใน 2-8 นาที ในลักษณะที่ลำตัวบิดเบี้ยวเพราะขาดออกซิเจน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่ง สวมชุดและหน้ากากป้องกันแก๊สจะทำความสะอาดศพนักโทษ โดยปราศจากสารพิษ ในประเทศสหรัฐอเมริกามี 7 มลรัฐ ที่ใช้วิธีการประหารแบบนี้

หลังจากที่จอห์นสารภาพว่าเป็นคนวางระเบิดแม่ สื่อต่าง ๆ ต่างลงข่าวจอห์นไปทั่วอเมริกาจนดังกระฉ่อน เยาวชนที่ได้เห็นแทนที่จะเกลียดกลับชอบ วิธีฆ่าแม่นี้สะใจจริง ๆ ผลคือเกิดการเลียนแบบในหมู่เด็ก ที่คิดจะลองประกอบระเบิด และมีการจำหน่ายคู่มือประกอบระเบิดมาฝึกฝนด้วย (ฝึกเพื่อ???) ทำให้ทางการต้องห้ามการออกข่าวจอห์นไปพักใหญ่ และมีการฟ้องสถานีข่าวในเวลาต่อมา.....



Cr. CAMMY /// Writer.Dek-d.com









 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 13:55:07 น.
Counter : 1944 Pageviews.  

คดีฆาตกรรมสาวในชุดนอน

'ลินดา อะกอสตินี่ (ฟลอเรนซ์ ลินดา แพล็ตต์)'

ลินดา อะกอสตินี่ (12 กันยายน 1905 - 27 สิงหาคม 1934) ถูกระบุว่าเป็น "สาวในชุดนอน" เหยื่อฆาตกรรมที่พบในบนถนนสายยาวในเบอรี รัฐนิวเซาธ์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ในช่วงเดือนกันยายน ปี 1934

ลินดา อะกอสตินี่ หรือฟลอเรนซ์ ลินดา แพล็ตต์ เกิดในฟอเรสฮิลล์ชานเมืองของกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 1905 เมื่อเป็นวัยรุ่นแพล็ตต์ทำงานอยู่ที่ร้านขนมในเซอร์เรย์ก่อนที่จะเดินทางไปยังประเทศนิวซีแลนด์ตอนอายุ 19 ปี หลังจากที่มีข่าวลือว่าเธอผิดหวังในเรื่องความรัก แพล็ตต์ยังคงอยู่ในประเทศนิวซีแลนด์จนกระทั่งถึงปี 1927 เธอจึงย้ายไปอยู่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และทำงานอยู่ที่โรงละครในเมือง อาศัยอยู่หอพักแถวถนนดาร์ลิงในคิงส์ครอส ที่นี่เธอได้รับการกล่าวขานในเรื่องการเป็นแม่บุญทุ่มหากมีชายหนุ่มที่เธอสนใจ แพล็ตต์เป็นนักดื่มตัวยงและเป็นเจ้าแม่แห่งงานเลี้ยง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สงครามสงบ เข้าสู่ยุค Jazz Age (เป็นยุคของคนรุ่นใหม่และหนุ่มสาว ซึ่งขึ้นมารุ่งเรือง มีฐานะ ผู้หญิงที่เคยทำงานช่วงสงครามก็ไม่อยากกลับไปเป็นแม่บ้านอีก ยังคงทำงานต่อไป และมีอิสระเสรีมากกว่าเดิม) ประชาชนต้องลำบากในการสร้างความมั่นคงในชีวิตเนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงการปรับตัว

งานแต่งงานของเธอกับหนุ่มเชื้อสายอิตาลีชื่อ อันโตนิโอ อะกอสตินี่ เกิดขึ้นภายในสำนักงานทะเบียนซิดนี่ย์ในระหว่างปี 1930 จุดเริ่มต้นของการแต่งงานที่ล้มเหลวนั่นเห็นได้จากที่ทั้งคู่เดินทางออกจากเมลเบิร์น เป็นการแยกลินดาออกจากอิทธิพลของเพื่อน ๆ เธอในซิดนีย์โดยสิ้นเชิง

รูปภาพของ Hathairat Traithip

รูปภาพของ Hathairat Traithip

รูปภาพของ Hathairat Traithip

นางอะกอสตินี่หายตัวไปในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ปี 1934 หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะมีการพบศพหญิงสาวในชุดนอน เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1934 ศพของเธอถูกพบที่อัลบูรี่ใกล้ ๆ ธารน้ำเล็ก ๆ ที่ใช้เป็นที่ระบายน้ำอยู่ในบริเวณนิวเซาธ์เวลส์-วิคตอเรียชายแดนในชนบทของออสเตรเลีย ร่างของเธอถูกค้นพบโดยคนในพื้นที่ชื่อ ทอม กริฟฟิท ทอมซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลจากการประกวดวัวเดินทางมาตามถนนฮาวลองใกล้อัลบูรี เขาเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในท่อระบายน้ำซึ่งอยู่ข้างถนน มันเป็นศพที่ร่างกายถูกปกปิดเล็กน้อย และมีร่องรอยถูกเผาไหม้อย่างรุนแรงจนมองแทบไม่ออก ตำรวจถูกเรียกมาในที่เกิดเหตุ จากการตรวจสภาพศพ สวมใส่ชุดนอน (แบบที่มีเสื้อกางเกงเข้าชุดกัน) สีเหลืองขลิบขาว ศีรษะของเธอได้รับการป้องกันจากความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้เพราะมันถูกห่อด้วยผ้าขนหนู มีรอยแผลฉีกขาดขนาดใหญ่บนหน้าผาก และมีรอยเจาะขนาดเล็กเท่ากระสุนใต้ตาขวาของเธอ กะโหลกศีรษะด้านซ้ายแตกหัก อายุอยู่ระหว่าง 25 - 30 ปี ความจริงที่ว่าศพมีร่องรอยการถูกยิงนี้ ยังไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนจนมีการพิจารณาคดีในปี 1938 

เป็นที่ชัดเจนในไม่ช้าว่าศพที่พบนี้เป็นของหญิงรูปร่างเล็กกระทัดรัดสมกับยุค 20 แต่ตัวตนของเธอไม่สามารถระบุได้ หลังจากการตรวจสอบที่ล้มเหลวถึงที่มาของตัวตนของเธอ ศพของเธอได้ถูกนำไปแสดงในนิทรรศการที่เมืองซิดนีย์ ด้วยเหตุผลนี้ศพของเธอจึงได้รับการเก็บรักษาไว้ในอ่างบรรจุฟอร์มาลินที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ในปี 1942 จนกระทั่งถูกถ่ายโอนไปยังสำนักงานตำรวจจนถึงปี 1944 มีชื่อหลายชื่อที่ถูกนำมาเกี่ยวโยงถึงตัวตนของศพหญิงสาวที่พบ เช่น แอนนา ฟิโลมีนา มอร์แกน และลินดา อะกอสตินี่ หญิงทั้งสองหายตัวไป ทั้งคู่มีความเหมือนกันกับสาวในชุดนอน และทั้งสองคนนี้ก็ยังมีอายุที่ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามตำรวจนิวเซาธ์เวลส์มั่นใจในตัวเองว่าหญิงสาวที่หายไปทั้งคู่เป็นสาวในชุดนอนและจนแล้วจนรอดก็ยังคงไม่รู้ชื่อเธออยู่ดี

ในปี 1944 สิบปีหลังจากที่ศพถูกค้นพบ ทางนิติเวชได้ทำการตรวจสอบหาหลักฐานอีกครั้ง และผลการวิเคราะห์ทางทันตกรรมของเหยื่อที่ได้ มันถูกจับเข้าคู่กับลินดา อะกอสตินี่ ในระหว่างนั้นตำรวจได้เชิญตัวนายโทนี่ (อันโตนิโอ) อะกอสตินี่มาให้ปากคำ โทนี่สารภาพว่าเขาเป็นคนฆ่าภรรยาโดยการยิงเธอขณะทั้งคู่อยู่ที่เมลเบิร์น เขากลัวว่าจะถูกจับได้ จึงรีบขับรถนำศพไปทิ้งไว้ชายแดนของอัลเบอรี่ และโยนศพทิ้งไว้ในท่อระบายน้ำ ก่อนจะเทน้ำมันไปทั่วร่างกายและจุดไฟเผาเพื่อทำลายหลักฐาน การจับกุมนายอะกอสตินี่ทำให้ได้รู้ถึงตัวตนจริงของสาวในชุดนอน เขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมและถูกส่งตัวข้ามแดนไปยังเมลเบิร์นที่ซึ่งเขาได้ก่อคดีฆาตกรรม น่าแปลกที่เขากลับพ้นผิดจากคดีฆาตกรรม แต่มีความผิดในข้อหาฆ่าคนตายแทน และถูกตัดสินให้จำคุก 6 ปี เขาได้รับการปล่อยตัวในปี 1948 และถูกเนรเทศกลับไปยังอิตาลี จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1969 (ในข้อมูลก็ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดด้วยว่าอะไรคือเหตุจูงใจที่ทำให้นายโทนี่ต้องฆ่าลินดา)






 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 13:26:33 น.
Counter : 563 Pageviews.  

อนาโตลี อโนพรินโก : เสียงเรียกของพระเจ้า

ยูเครนเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของยุโรป หลังจากที่โซเวียตล่มสลาย ประเทศตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออก มีอาณาเขตติดกับรัสเซีย เบลารุส โปแลนด์ สโลวาเกีย ฮังการี มอนโดวา และโรมาเนีย มีประชากรกว่า 50 ล้าน ดินแดนของยูเครนส่วนใหญ่เป็นดินแดนที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ จุดเด่นคือเทือกเขาไครเทียในคาบสมุทรไครเมีย และเทือกเขาคาร์พาเทียนทางทิศตะวันตก สภาพภูมิอากาศอยู่ในระดับปานกลางและฤดูหนาวค่อนข้างหนาว พื้นที่ส่วนใหญ่เน้นการเกษตร ชาวนาปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด โซบะ และผักผลไม้หลากหลาย ยูเครนยังเป็นศูนย์ของโลกที่ผลิตน้ำตาล

นอกจากนี้ประเทศยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน แร่โลหะต่าง ๆ น้ำมัน ก๊าซ ฯลฯ และมีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่กระจุกตัวมในเมืองใหญ่ เช่น เคียฟ, ดนีโปรเปตรอฟสค์ และซาโปริจเจีย พวกเขาผลิตเครื่องบิน เรือ รถยนต์ รถโดยสาร หัวรถจักร เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการวัด เครื่องจักรการเกษตร และสินค้าอุปโภค บริโภคต่าง ๆ ณ เมืองแห่งหนึ่ง ชื่อซิตโทเมียในยูเครนตะวันตก เมืองแห่งนี้เคยเป็นฐานทัพขนาดใหญ่ของทหารโซเวียตในช่วงสงครามเย็น แต่หลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง เมืองดังกล่าวก็เงียบเหงา ฐานทัพของเมืองมีเพียงตำรวจตรวจการณ์นาน ๆ ครั้งจะออกมาดูความสงบเรียบร้อยเท่านั้นเอง 

และแล้วในวันที่ 16 เมษายน 1996 ที่เมืองแห่งนี้เองก็ได้ตำรวจธรรมดา 2 นายได้จับกุมชายคนหนึ่ง ที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่าชายคนนั้นในเวลาต่อมาได้รับการจารึกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของยูเครน


อนาโตลี อโนพรินโก เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวยูเครนที่ได้รับฉายาว่า "สัตว์ป่าแห่งยูเครน, พลเมือง O, คนเหล็ก " ที่ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1989-1996 ซึ่งสารภาพว่าฆ่าคนไปถึง 52 คน อนาโตลี อโนพรินโก เกิด 25 กรกฏาคม 1959 ในเมืองเลสิค ประเทศยูเครน มีพี่คนหนึ่ง (อายุ 13 ปี) พ่อของเขา ยูริ อโนพรินโก เคยเป็นทหารกล้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กระนั้นก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูอนาโตลีที่สูญเสียแม่ไป ตั้งแต่ 4 ขวบ เขาเลยถูกส่งให้ญาติเลี้ยงดู สุดท้ายเขาก็ถูกโยนทิ้งขว้างไปให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ายูเครนช่วยเลี้ยงดู ซึ่งอนาโตลีได้เล่าภายหลังว่าสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้านั้นถือว่าเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในอนาคตก็ว่าได้ เพราะมันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการก่ออาชญากรรมในอนาคตของเขา เขาเติบโตด้วยความเกลียดชังเพราะเป็นเขาเป็นเด็กที่ใคร ๆ ไม่ต้องการ ในปี 1989 อนาโตลีเกิดปัญหาทางจิตและเครียดจากงาน เขาเริ่มฆ่าเหยื่อครั้งแรกเมื่ออายุ 30 ปีตามมาตรฐานอายุเฉลี่ยฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีฆ่าครั้งแรก โดยเขายิงคนที่ขับรถยนต์ด้วยความรู้สึกที่ว่า "ผมเพิ่งยิงพวกเขา มันใช่ว่าผมจะมีความสุข แต่ผมก็รู้สึกว่ากระตุ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็ฆ่าคนเหมือนกับเป็นเกม"

ดูเหมือนว่าอนาโตลีจะเป็นคนที่เกลียดครอบครัวที่อบอุ่น เพราะว่ารูปแบบการฆ่าของอนาโตลี เป็นการฆ่าแบบยกครัว โดยเขาจะเลือกบ้านที่ห่างไกลจากชุมชนโดดเดี่ยว จากนั้นเขาก็บุกรุกบ้าน จัดการฆ่าผู้อยู่อาศัยในบ้านทั้งหมด เริ่มต้นฆ่าจากเพศชาย หญิง คู่สามีภรรยา และสุดท้ายก็ลงมือกับเด็กเล็กในที่สุด จากนั้นก็เก็บหลักฐาน ปกปิดร่องรอย ซ้ำบางครั้งเขายังฆ่าพยานที่โชคร้ายที่เห็นเขาระหว่างทางกลับจากการฆ่า หลายครอบครัวถูกฆ่าติด ๆ กันไม่นานในหมู่บ้านเดียวกัน เมื่อตำรวจเข้ามาตรวจและรักษาความปลอดภัยทั่วบริเวณ เขาจะหนีไปหมู่บ้านอื่น ๆ และก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องต่อไป อนาโตลีถูกจับกุมเมื่อวันที่ 1996 ในข้อหามีอาวุธปืนยาวล่าสัตว์ครอบครองแบบผิดกฎหมาย เมื่อตำรวจทำการตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้า ก็พบว่ามันตรงกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นเวลานี้ อาวุธที่ใช้หลายชนิดมีหมายเลขตรงกับรายการที่เป็นของที่หายไปของเหยื่อ ในขณะที่คุมขังอนาโตลีก็สารภาพว่าเขาได้ฆ่าคนแปดคนระหว่างปี 1989-1995 หากแต่เมื่อเขาถูกรุกหนัก ในที่สุดเขาก็สารภาพว่าเขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ถึง 52 คน ในช่วง 6 ปี โดยสาเหตุที่ฆ่าเขาได้อ้างว่าเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งเสียงภายในสมองของเขาเพื่อฆ่าคน

อนาโตลีได้เล่าว่าเขาเริ่มฆ่าคนในปี 1989 ซึ่งเขาได้ร่วมมือกับชายคนหนึ่งชื่อ เซอร์เก โรโกซิน (Serhiy Rogozin) ปล้นฆ่าคนเก้าคน ส่วนเสียงเขาได้ยินตั้งแต่อายุ 7 ปี หลังจากพี่สาวของเขาส่งเขาไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลังจากแม่ของเขาเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าเขาไม่มีความสุขในการฆ่า ศพมันน่าเกลียด เขากล่าวอย่างไม่พอใจ พวกเขาส่งกลิ่นเหม็นร้ายเกินทน ครั้งหนึ่งเมื่อผมฆ่าคนห้าคนจากนั้นก็นั่งอยู่ในรถ ผมก็ไม่พบว่าร่างกายของศพเมื่อผ่านไปสองชั่วโมง กลิ่นเหลือทนมาก อนาโตลียังคงออกอาละวาดตัวคนเดียวในปลายปี 19925 ซึ่งในหกเดือนถัดไปเขาฆ่าไปอีก 43 คน ในเดือนมีนาคม 1995 ตำรวจเริ่มหวาดกลัวกับตัวเลวของเหยื่อฆาตกรรต่อเนื่องในยูเครนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฆาตกรเริ่มอย่าเหยื่อไปทั่วทางตะวันตกของยูเครน หลังจากมี 8 ครอบครัวถูกฆ่าตายอย่างทารุณในบ้านของพวกเขา หลายคนตกเป็นเหยื่อของอนาโตลีอาศัยอยู่ในบ้านห่างไกลใกล้ชายแดนของโปแลนด์

เรื่องราวชีวิตส่วนตัวของอนาโตลีหายไป มาโผล่อีกทีก็อยู่ในฐานะฆาตกรต่อเนื่องแล้ว แต่พออธืบายได้ว่าในช่องว่างระหว่าง 5 ปี (1989-1995) เขาได้ออกจากประเทศยูเครนและเดินทางไปยังประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรียและเยอรมัน หากแต่เขาก็ถูกเนรเทศออกจากสองประเทศ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะให้การปฏิเสธเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็ตาม อนาโตลีได้เล่าว่าเขาทำงานเป็นกรรกรใช้แรงงานในเวลานั้น แต่หลังจากเขาเป็นฆาตกรรายได้หลักเขามาจากการขโมยทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเหยื่อ ย่องเบา หรือว่าปล้น แต่เขาปฏิเสธคำรับสารภาพว่าเคยฆ่าเหยื่อนอกประเทศยุโรป

เขาได้เหยื่อ 52 คน ตามแบบของเขา เขาเลือกบ้านที่ห่างไกลจากผู้คน ลงมือก่อนฟ้าสาง เดินไปรอบ ๆ ก่อนบุกเข้าไปในบ้านและยิงพวกเขาจนหมด (รวมทั้งเด็กๆ) อาวุธส่วนใหญ่เป็นปนลูกซอง 12 บางครั้งก็ใช้ขวานหรือค้อน จากนั้นเขาก็ไฟบ้านและฆ่าพยานหรือคนที่เห็นเขาอยู่ในบริเวณนั้น เขามักจะขโมยของมีค่าจากเหยื่อของเขาติดมือไป มีอยู่ครั้งหนึ่งอนาโตลีฆ่าเหยื่อบนเตียง และเด็กหญิงคนหนึ่งเห็นเขาฆ่าพ่อแม่ของเธอทั้งสอง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจซ้ำยังทุบหัวเธออย่างโหดเหี้ยม เธอจ้องมองผมด้วยความโกรธและพูดท้าทายผม อนาโตลีเล่า นั่นคือความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ผมไม่รู้สึกว่าไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเลือดเย็นของฆาตกรได้เป็นอย่างดี เขาไม่เคยสำนึกผิดในการฆ่ายกครัวอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำยังตีเด็กและข่มขืนผู้หญิงหลังจากยิงเธอบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม อนาโตลีปฏิเสธว่าเขาไม่ได้บ้า แต่เขายืนยันว่าเขาได้ยินเสียงที่เชื่อว่าเป็นเสียงจากพระเจ้าที่สั่งให้ฆ่าคน เขาอ้างว่าเขาได้รับเลือก มีอำนาจวิเศษ พลังจิตที่แข็งแกร่ง สามารถควบคุมสัตว์ผ่านกระแสจิต


ทางยูเครนเวลานานนั้นใช่ว่าจะไม่ใส่ใจ รัฐบาลยูเครนส่งกองกำลังป้องกันดินแดนแห่งชาติ ไม่ว่ากำลังชุดเกราะหรือทหารฝีมือดีมาตามล่าฆาตกรซาดิสต์เพียงคนเดียวมาแล้ว แต่กระนั้นทหารและตำรวจยูเครนท้องถิ่นมีเพียง 2,000 คนเท่านั้น จึงไม่สามารถตามฆาตกรต่อเนื่องผู้นี้ทันเสียที ตำรวจพยายามใช้ชั้นเชิงจับตัวฆาตกร แต่อนาโตลีสามารถเล็ดรอดผ่านกับดักตำรวจได้อย่างง่ายดาย และย้ายไปหมู่บ้านใกล้เคียงและทำการฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างสนุกสนาน ลายเซ็นฆาตกรของเขาก็คือเขามักเข้าหาบ้านที่เงียบสงบและโดดเดี่ยวมากที่สุดในหมู่บ้าน อนาโตลีได้อ้างถึงคดีฆาตกรรมครั้งสุดท้ายของเขาว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 1996 เมื่อเขาเดินทางไปหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใน Bratkovichi และได้ทำการฆาตกรรมครอบครัวโนวาสาด (Novosad) ยิงทั้งสี่คนตายหมด และทำลายหลักฐาน 



อนาโตลีปรากฏตัวในชั้นศาล เขาอยู่กรงขนาดใหญ่สีน้ำตาล เพื่อป้องกันความปลอดภัยจากประชากรทั่วยูเครนต่างโกลาหลกับคดีฆาตกรรมต่างๆ ที่เขาก่อ และเปรียบเทียบเขาว่าเหมือนอันเดร ชิกาโล นักฆ่ารัสเซียจอมโหดที่นั่งอยู่ในศาลและมีกรงเหล็กเล็กๆ ล้อมรอบเช่นเดียวกับเขา ประชาชนยูเครนหลายคน โดยเพราะครอบครัวของเหยื่อที่ถูกฆ่าฆ่าตาย ล้วนโกรธและสาปแช่งอยากฆ่าฉีกเนื้อเขาทั้งสิ้น ในขณะที่พิจารณาคดีในชั้นศาลผู้หญิงจากด้านหลังตะโกนด้วยคำหยาบคานอยากให้ศาลตัดสินให้เขาตายอย่างช้าๆ และทุกข์ทรมาน ทำให้ศาลต้องมีการตรวจต้องใช้เครื่องจับโลหะแบบสนามบินมาตรวจคนก่อนเข้าศาลเพื่อความปลอดภัยทุกครั้งที่พิจารณาคดี ในขณะที่อนาโตลียังคงเยือกเย็น ไม่รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนกระทำ เขายังพูดรายละเอียด คดีที่เขาก่ออย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าเขาจะพูดถึงเสียงพระเจ้าที่เขาได้ยินในหัวเพื่อบงการเขาฆ่าคน แต่จากการตรวจสอบอาการทางจิตก็พบว่า เขาไม่มีอาการของโรคจิตเวช เขายังคงมีสติและอยู่ในการควบคุมการกระทำของเขาและไม่จำเป็นต้องตรวจสอบทางจิตเวชเสริม

อนาโตลีได้กล่าวว่าเขารู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนมานานหลายปีโดยอำนาจมืด หลังจากนั้นเขาก็เงียบหลายนาที ศาลถามว่าเขามีอะไรจะพูดหรือเปล่า เขาตอบว่า ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เขายังยอมรับว่าเตรียมที่จะฆ่าลูกชายของตนเอง เมื่อศาลถามเขาเพื่อระบุสัญชาติ เขากล่าวว่า ไม่มี เมื่อผู้พิพากษาตอบว่าเป็นไปไม่ได้ อนาโตลีก็ตอบว่า ตัดสินผมด้วยกฎหมายยูเครนได้เลย อนาโตลีพบว่ามีความผิดจริงทุกข้อกล่าวหาและถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่สุดท้ายการตัดสินประหารดังกล่าวก็ได้ถูกยกเลิก เนื่องจากยูเครนได้ทำคำมั่นสัญญาในฐานะสมาชิกคณะรัฐมนตรีของยุโรปว่าจะยกเลิกโทษประหารซึ่งจะต้องทำตาม แต่กระนั้นทางภาครัฐและการเมืองยังคงมีการถกเถียงถึงการยกเลิกโทษประหารชิวิตอนาโตลีในฐานะข้อยกเว้น หลังจากได้ยินคำตัดสิน อนาโตลียังคงไม่รู้สึกสำนึกเสียใจ 

ภายหลังเขาได้สัมภาษณ์แก่นักข่าวลอนดอนไทม์กล่าวประโยคที่ทำให้หลายฝ่ายเจ็บแค้นอีกครั้งว่า ครั้งแรกที่ผมยิงกวางในป่า ผมอยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ ผมจำได้ว่าผมรู้สึกอารมณ์เสียเป็นอย่างมากเมื่อมันตาย ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมผมถึงทำเช่นนั้นได้และผมรู้สึกเสียใจกับมัน และนับจากวันนั้นผมก็ไม่รู้สึกใด ๆ อีกเลย ผมฆ่าคนเหมือนชำแหละผ้านวม.....ผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็ก ผมไม่เคยเสียใจสำหรับคนที่ผมฆ่าเหล่านี้ ผมไม่มีความรัก มีแต่ความเกลียดชัง ไม่แยแสแม้แต่คนตาบอด ผมไม่เห็นพวกเขาเป็นคน เห็นเป็นฝูงมากกว่า ถ้าผมออกจากคุกผมก็จะเริ่มฆ่าคนอีกครั้ง" อนาโตลีกล่าวถึงท้าย ปัจจุบันเขายังคงถูกตัดสินจำคุกมากกว่า 13 ปี และช่องว่างในชีวิตระหว่างปี 1989 และปี 1995 ยังคงเป็นปริศนาว่า เขาไปพบอะไรถึงได้กลายเป็นฆาตกรหฤโหดถึงเพียงนี้.








 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 13:20:08 น.
Counter : 1312 Pageviews.  

จอห์น โรบินสัน : เจ้านายทาส

'โฉมหน้าฆาตกร'

จอห์น โรบินสัน เกิดใน 27 ธันวาคม 1943 ที่เมืองอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา ปี 1943 มีชื่อเต็มว่า จอห์น เอ็ดเวิร์ด โรบินสัน ฉายาของเขาคือ เจ้านายทาส (Slave Master) เป็นฆาตกรต่อเนื่องสังหารผู้หญิง 8 ราย ในระหว่างปี 1984-1999 ในแคสซัส อเมริกา ถูกจับเมื่อ 2 มิถุนายน 2000 ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เขาทำได้อย่างไรที่สามารถหลบหนีตำรวจมายาวนานถึง 15 ปี จอห์น โรเบิร์ตสันในอดีตนั้นเคยเป็นลูกเสือดีเด่น เขาเคยได้เข้าร่วมกิจกรรมมากมาย ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าร่วมคอนเสิร์ตของควีนอลิซาเบธที่ 2 ที่ลอนดอน และได้เรียนมหาลัยที่ชิคาโกแต่เนื่องด้วยเขายากจนและขาดวินัย ทำให้ไม่ได้ศึกษาต่อ จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มตกต่ำมีชีวิตเข้า ๆ ออก ๆ คุกประจำ ในข้อหาคดีเล็กน้อย เช่น ปลอมลายเซ็น ปลอมเอกสาร ต่อมาเขาก็มีอาการทางจิตบ่นว่าชอบหน้าอกของผู้หญิงจนต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ แม้โรบินสันจะมีงานทำ เป็นพ่อลูกสี่ แต่กระนั้นในปี 1995 โรบินสันซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเริ่มติดต่อขอผู้หญิงเป็นเพื่อน เขาใช้ชื่อ “The Slave Master” แทนชื่อจริงเพื่อใช้ในการติดต่อ โดยหัวข้อส่วนใหญ่ที่เขาคุยกับผู้หญิงทางโทรศัพท์คือประสบการณ์ BNSM ของเขา


เกร็ดความรู้
BNSM เป็นตัวย่อ โดย...
- B = ย่อมาจาก bondage มีความหมายว่า ความเป็นทาส หรือการผูกมัด พันธนาการ ศัพท์นี้น่าสนใจคือมันมีที่มาจากยุโรปยุคศตวรรษที่ 19 ที่มีความเชื่อว่าผู้ปกครองจะนิยมมัดมือของบุตรชายเพื่อไม่ให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เนื่องจากเชื่อว่าถ้าสำเร็จความใคร่จะทำให้ตาบอดและกลายเป็นคนวิกลจริต

- D = ย่อมาจาก discipline การทำให้มีระเบียบวินัย โดยการทำโทษให้อีกฝ่ายเกิดความหวาดกลัว โดยการลงโทษนี้เพื่อความเสน่หาไม่ได้ก้าวร้าวแต่อย่างใด

- S = ย่อมาจาก sadism การมีความสุขหรือพึงพอใจจากการทรมานผู้อื่นก็มีที่มาจากหนัง The 120 Days in Sodom เป็นนิยายเรื่องเอกและโด่งดังมากของมากีย์ เดอ ซาด ซึ่งต่อมามีผู้กำกับชื่อดังชาวอิตาเลียนชื่อ ปิแอร์ เปาโล รอสโซลินี นำมาทำเป็นภาพยนตร์ ในชื่อ Salo ดีขนาดที่ว่าหลังจากออกฉายได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ได้มีคนดูที่อินจัดจนต้องฆ่ารอสโซลินีให้ตายคามือ จึงทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเขา อย่างน่าเสียดาย

- M = ย่อมาจากmasochism การมีความสุขหรือพึงพอใจจากถูกทรมานหรือทำให้ความเจ็บปวด คำนี้มีที่มาจากชื่อนักเขียนที่ชื่อ ลีโอโพลด์ ฟอน ซาเซอร์-มาชอก (Leopold Von Sacher Masoch ) (1836-1905) ชาวออสเตรีย งานเขียนที่สำคัญ คือ Venus in the Furs (1846) นำเสนอเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่นชอบการยินยอมเป็นทาสในการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อคลุมขนสัตว์และมีท่าทางเหมือนราชินี

'ฟาร์มของจอห์น'

นอกจากนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ใน BDSM คืออุปกรณ์หรือรูปแบบในการทรมานเพศหญิง เช่น Bars (ที่ล่ามมือล่ามเท้า), Cages (กรงขัง) Catheters (สอดใส่....), Chains (โซ่), Collars (ปลอกคอของสุนัข) , Crucifixion (ตรึงกางเขน), Dildos (อวัยวะเพศชายเทียม), Handcuffs (กุญแ
จมือ), Hanging (การแขวนที่สูง โดยใช้เชือก), Hot Wax(น้ำตาเทียนร้อนๆ), Ropes (เชือกที่ใช้ในการมัดหรือล่าม), Vibrators (เครื่องสั่นสะเทือน) ฯลฯ และเชื่อหรือไม่การมีเพศสัมพันธ์แบบ BDSM นั้นผู้เชี่ยวชาญบอกว่าไม่ได้สามารถบอกได้เต็มคำว่ามันวิปริต เพราะว่าต้องอาศัยหลาย ๆ มุมมองในแต่ละสาขาประกอบกัน เช่น ชีววิทยา มนุษย์วิทยา เช่น สมัยก่อนมีการทำแบบนี้มาก เป็นต้น โดยความสัมพันธ์แบบ BDSM นั้นฝ่ายชายมักมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิง แต่ถ้าฝ่ายหญิงไม่ยอมนั้นฝ่ายชายจะเฆี่ยนตีหรือควบคุมจนฝ่ายหญิงยินยอม ถ้าไม่ยอมก็จะทำต่อไปจนกว่าฝ่ายหญิงจะยินยอม

ย้อนกลับมาที่จอห์น ภายหลังตำรวจพบว่าสตรีที่เป็นเพื่อนทางโทรศัพท์และมีความสัมพันธ์กับเขา ล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ ในฤดูร้อนปี 2000 มีการพบชิ้นส่วนร่างกายเน่าเปื่อยของผู้หญิงในฟาร์มของจอห์น โรบินสันใกล้เมื่องลา ซินเยอร์ แคนซัส และอีกสถานที่อีกแห่งที่พบศพคือห้องเย็นซึ่งจอห์นเช่าไว้อยู่ใน เรย์เมอร์ มิสซูรี ไม่รู้ว่าเหยื่อของโรบินสันมีกี่คนกันแน่ แต่ในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษได้ให้จำนวนเหยื่อที่โรบินสันมีส่วนเกี่ยวข้องไว้ 6 คน ดังต่อไปนี้



ปี 1984 พอล่่า ก๊อดฟรีย์ อายุ 18 ปี ออกจากบ้านและบอกว่าเธอจะไปทำงานในบริษัทที่โรบินสันทำงานอยู่ จากนั้นเธอก็ไม่กลับมาอีกเลย สิ่งที่เหลือมีเพียงจดหมายที่ถูกอ้างว่าเป็นจดหมายของเธอ หากแต่ลายเซ็นต์นั้นไม่ใช่ของเธอ


ปี 1985 ลิซ่า สเตซี อายุ 19 ปี กรณีนี้แปลกไปนิดหน่อย เนื่องจากเหยื่อมีลูก โรบินสันได้รับเด็กทารกมาให้พี่ชายและพี่สะใภ้เลี้ยงดู โดยอ้างว่าแม่ของเด็กตั้งใจฆ่าตัวตายพร้อมกับลูก เขากับองค์กรการกุศลจึงช่วยดูแลเด็ก โดยเอาเงินจากองค์กรเข้ากระเป๋าบัญชีของเขา


ปี 1987 แคทเธอรีน แคลมพิตต์ ย้ายมาอยู่เท็กซัส และทำงานร่วมกับโรบินสัน ในขณะที่เธออายุ 27 ปี และหายตัวไป แต่หลายฝ่ายคาดเดาว่าโรบินสันคงฆ่าเธอไปแล้วเหมือนคนอื่น ๆ ก่อนหน้า


ปี 1993 โรบินสันออกจากคุกและพบ เบเวอร์ลี่ บอนเนอร์ อายุ 49 ปีที่เพิ่งหย่าจากสามี เขาอาสาจะเลี้ยงดูเธอ ต่อมาตำรวจพบร่างของเธอในห้องเย็นที่เรย์เมอร์ มิสซูรี นอกจากนี้โรบินสันยังเก็บเช็คค่าส่งเสียเธอและเงินสดของเธอเข้าบัญชีของเขา


ปี 1994 โรบินสัน พบนางเชียลา เฟธ อายุ 45 ปี และ เด็บบี้ ลูกสาว อายุ 15 ปี ทางห้องสนทนาทางอินเทอร์เน็ต โรบินสันสัญญาว่าจะดูแลเธอและลูกสาวของเธอ และนางก็ย้ายไปแท็กซัส และจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวจากเธออีกเลย จนกระทั่งตำรวจพบศพของเธอในห้องเย็นที่เรย์เมอร์ มิสซูรี


ปี 1999 อิซซาเบลลา ลีวิกคา วัย 21 ปี เธอไปเท็กซัสและหายไปไม่กลับมาอีกเลย มีเพียงแต่อีเมล์ของเธอที่ส่งไปยังครอบครัวและเพื่อนบอกว่าเธอเดินทางไปทำธุระ ต่อมาตำรวจพบร่างกายของเธอในฟาร์มที่ลา ซินเยอร์ (La Cygne) แคนซัส



ปี 2000 ซูเซ็ทท์ เทราเทน อายุ 27 ปี หายสาบสูญ ไม่มีข้อมูลใด ๆ


รูปภาพของ Hathairat Traithip

จอห์น โรเบิร์ตสันถูกจับกุมและถูกกล่าวหาฆ่าผู้หญิงสามคนในเท็กซัส และถูกพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด ซึ่งปัจจุบันแคสซัสเป็นรัฐในไม่กี่รัฐยังมีโทษประหารเช่นนี้อยู่ ปัจจุบันจอห์น โรบินสันพยายามต่อสู้ให้ยกเลิกประหารชีวิต แต่ศาลยังยืนยันให้โทษประหารชีวิตเขาไว้เช่นเดิม แม้เรื่องราวของโรบินสันจะไม่โด่งดังระดับโลก แต่การกระทำของเขาทำให้เกิดอีเมล์ขยะฟอร์เวิร์ดเมล์ (Email hoax) เตือนภัยให้ระวังผู้ใช้ที่มีชื่อ SlaveMaster, SweetCaliGuy4evr, imahustlababay, Free_mumia911, Monkeyman935, Rockhard abs และล่าสุด DreamWeaverGrey. 

โดยเนื้อหาประมาณว่าตำรวจประกาศเตือนว่าชาย/ผู้หญิง เมล์นี้เป็นผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมหญิง 56 คน (เว่อร์ซะไม่มี) โปรดส่งต่อให้คนอื่นรับทราบด้วย......

นอกจากนั้นชีวิตของโรบินสันเป็นที่สนใจของนักจิตวิทยามาก โดยนักเขียนชื่อ จอห์น แกล็ตต์ ได้เขียนหนังสือชื่อ Internet Slave Master (ISBN 0-312-97927-4) วางจำหน่ายในปี 2001 ได้รับการบรรจุว่าเป็นส่วนหนึ่งของเซนต์มาร์ติน ทรู (บริษัทเผยแพร่สื่อการศึกษาโดยเฉพาะหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา) โดยเป็นหนังสือแนวฆาตกรรมต่อเนื่องประจำห้องสมุด โดยมีเนื้อหาจะเป็นเส้นทางการฆ่าของจอห์น โรบินสันในการฆ่าผู้หญิงจำนวนมาก และฝังร่างผู้หญิงที่เน่าเปื่อยเหล่านั้นในฟาร์มของเขา.







 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2558 13:05:07 น.
Counter : 1428 Pageviews.  

1  2  3  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.