4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 

บ้านอมิตี้วิลล์ สยองขวัญ ผีทวงบ้าน (Amityville House)







จากเนื้อเรื่องในหนัง

วันที่ 13 พฤศจิกายน 1974 สถานีตำรวจซัฟโฟล์คเคาน์ตี้ได้รับโทรศัพท์สยอง ที่นำพวกเขาสู่บ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว ในเอมิตี้วิลล์ ลองไอซ์แลนด์ ภายในบ้านทรงดัตช์โบราณ บรรดาตำรวจพบเหตุอาชญากรรมสุดสยอง ที่เขย่าขวัญชุมชนแสนสงบแห่งนี้ ครอบครัวหนึ่งถูกสังหารหมู่ บนเตียงแสนสบายของตนเอง ไม่กี่วันถัดมา โรนัลด์ เดเฟโอ จูเนียร์ ได้รับสารภาพว่า ได้ยิงพ่อแม่และพี่น้องของเขาตายด้วยปืนไรเฟิล ขณะที่พวกเขานอนหลับ และอ้างว่า "เสียง" ในบ้าน ทำให้เขาก่อเหตุฆาตกรรมสยองดังกล่าว

1 ปีต่อมา จอร์จ (ไรอัน เรโนลด์) และ แคธี่ ลัทซ์ (เมลิสสา จอร์จ) และลูกๆ ได้ย้ายเข้ามาในบ้านที่พวกเขาคิดว่าคือบ้านในฝัน แต่หลังจากย้ายเข้ามาไม่นาน เหตุการณ์ประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้น นั่นคือ ภาพสยองและเสียงหลอนจากปีศาจ ที่ยังคงสิงสู่อยู่ในบ้าน แคธี่ผู้เป็นแม่ พยายามทุกวิถีทางให้ครอบครัวของเธอกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อลูกสาว เชลซี (โคล มอเร็ตซ์) พูดคุยกับเพื่อนที่มองไม่เห็นชื่อ โจดี้ และจอร์จผู้เป็นห้วหน้าครอบครัวมีพฤติกรรมประหลาด เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องใต้ดิน ที่ซึ่งไม่นานเขาได้พบทางสู่ "ห้องแดง" อันลึกลับและน่าขนลุก ด้วยภาพหลอนอันแจ่มชัด และเสียงปีศาจที่ดังก้องอยู่ในหัวของจอร์จ บ้านทั้งหลังก็กลับกลายมีชีวิต นำไปสู่จุดไคลแม็กซ์อันน่าสะพรึง ดังที่รู้จักกันดีในนาม The Amityville Horror และนี่คือเรื่องจากภาพยนตร์เรื่องผีทวงบ้าน

แล้วรู้หรือไม่ว่าเรื่องบ้านสยองขวัญนี้เป็นเรื่องจริง เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์เป็นเรื่องจริงที่สร้างจากการบันทึกของจอร์จน่ะครับ เขาทำเรื่องนี้เป็นหนังสือออกมาตีพิมพ์ในปี 1977 จนมันดังเป็นพลุแดงจนสร้างเป็นหนังภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 1979 และสร้างอีกหลายภาคในเวลาต่อมา เรื่องมีอยู่ว่า

เมืองอมิตี้วิลล์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1965-1976
บ้านอมิตี้วิลล์ โอเชี่ยนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง และมันมีหน้าต่างสองบานใหญ่คล้ายตาขนาดใหญ่สองตา มันตั้งอยู่ทางโค้งแม่น้ำอมิตี้วิลล์ มีเรือนแพริมน้ำ สระน้ำอุ่น โรงจอดรถ 2 คน ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ และห้องนอน 6 ห้อง

บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ มันถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 โดยจอห์น โมนาแฮนและครอบครัวต่อมาย้ายและมีครอบครัวอื่นมาเช่าต่อกันไปอีก 6 ครอบครัวด้วยกัน ดู ๆ ไปบ้านนี้น่าอยู่อย่างยิ่ง แต่........................


ค.ศ.1965 โรนัลด์ เดเฟโอและครอบครัว พากันย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ โรนิลด์ชอบที่นี้มากและติดป้ายท้ายสวนว่า "สุดยอดแห่งความหวัง (High Hopes)" ครอบครัวเดเฟโอเป็นครอบครัวที่เคร่งศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของครอบครัวที่อยู่ ในละแวกนั้น พวกเขาดูเป็นครอบครัวธร
รมดามีความสุข ครอบครัวหนึ่งพฤศจิกายน ค.ศ. 1965 นางและนายเดเฟโอยังอาศัยบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว กับลูกถึง 5 คน พวกเขาน่าจะมีความสุข ถ้าไม่เป็นเพราะรอนนี่ ลูกชายคนโต ทำเรื่องขึ้น รอนนี่เป็นแกะดำของครอบครัว เป็นคนติดยาเสพย์ติดขนาดหนักประเภทเฮโรอีน ยาบ้าและยากล่อมประสาท ชอบทำเรื่องเสียๆ หายๆ เขาต้องมีเรื่องขึ้นโรงพักมากกว่า 1 ครั้ง โดยข้อหาเป็นขโมย แม้ฐานะการเงินในครอบครัวมีกินพอใช้ก็ตาม

ครั้งหนึ่งรอนนี่เคยเอาปืนจ่อหัวพ่อและลั่นไก แต่ว่ากระสุนด้านไปเสียก่อน และต่อมาตอนต้นเดือนเขาถูกสงสัยว่ามีส่วนร่วมในการปล้นเงิน 19000 ดอลลาร์และนี้เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ผู้เป็นพ่อเหลือดอดต้องไล่เขาออกจากบ้าน 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 รอนนี่ร้องตะโกนในบาร์ "พ่อกับแม่ผมถูกยิง!" ผู้ชายในบาร์พากันยกพลไปที่บ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว ภายในบ้านทางขวาจะเป็นทางเข้าสู่ห้องนอนขนาดใหญ่ ที่นั้นได้พบร่างของนายโดนัลด์ และนางหลุยส์ เดอฟีโอ อายุ 43 ปี และ 42 ปี ทั้งคู่ถูกยิงในขณะหลับด้วยปืนยาวยี่ห้อมาร์ลีน ขนาด 35 มม. ฝั่งตรงข้ามของห้องนอนเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ที่สอง ที่นั้นพบร่างของจอห์น เดฟฟีโอ อายุ 9 ขวบ และมาร์ค เดอฟีโอ อายุ 11 ขวบ ลูกของโรนิลด์ ทั้งคู่อยู่ในชุดนอน ถูกยิงเข้าที่กลางหลังในระยะประชิด ส่วนห้องนอนชั้นล่างมีศพของแอลลิสัน เดอฟีโอ อายุ 13 ปี และดอว์น เดอฟีโอ อายุ 18 ปี ทั้งคู่อยู่ในสภาพเดียวกับศพคนอื่นๆ คือนอนคว่ำหน้า และถูกยิงกลางหลัง เหตุการณ์ณ์ทั้งหมดน่าจะเกิดในเวลา 3.16 นาฬิกา เจ้าหน้าที่พบว่า เหยื่อทั้งหมดถูกวางยาในอาหารมื้อค่ำเมื่อคืนวาน ฆาตกรใช้วิธีนี้ในการฆ่าเขาโดยไม่มีใครรู้ คนที่ทำรื่องเหี้ยมนี้ได้มันจะต้องเป็นคนในครอบครัว ตำรวจพบอาวุธที่ใช้ในการฆาตกรรม รอนนี่ถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมในครอบครัว 6 ศพ

18 พฤศจิกายน ค.ศ.1974 รอนนี่ เดเฟโอถูกฟ้องข้อหาฆาตกรรมคน 6 คนกันยายน ค.ศ.1975 รอนนี่ เดเฟโอ ถูกนำตัวมาพิจารณาคดีที่ศาล เป็นการพิจารณาคดีที่ยาวที่สุดเท่าที่เมืองอมิตี้วิลล์เคยมีมา เขาให้การว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมเขาเพื่อให้การรับสารภาพ แต่เขาแสดงความเสียใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

4 ธันวาคม ค.ศ. 1975 ศาลพิพากษาจำคุกรอนนี่ เดเฟโร 150 ปี ผลสุดท้ายรอนนี่ก็เอ่ยปากสารภาพ "ผม............ได้ยินเสียงกระซิบและเสียงฝีเท้าในบ้าน อยู่ๆ ก็มีมือสีดำยืนปืนให้ผม ผมได้ยินเสียงคนทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มันบอกให้ผมฆ่า ในหัวมีแต่เสียงดังเต็มไปหมด มันเพิ่งเริ่มต้น" เขาพูด "แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเร็วมาก ผมหยุดไม่ได้"

18 ธันวาคม ค.ศ.1974 ระหว่างนั้นเอง ครอบครัวใหม่ก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว จอร์จ ลัทซ์กับภรรยาแคธลีน และลูก ๆ ที่เป็นลูกติดของแคธลีน เป็นเด็กชายสองคนชื่อ คริสและแดนนี่ และเด็กหญิงอีกหนึ่งคนชื่อเมลิสสา หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มิสซี่

ครอบครัวลัทซ์รู้เรื่องการฆาตกรรมครอบครัวเดเฟโอ แต่เพราะเหตุนี้นี่เอง พวกเขาจึงซื้อบ้านหลังนี้ได้ด้วยราคาถูกแสนถูกและเพื่อความสบายใจพวกเขาได้นิมนต์บาทหลวงแฟรงค์ แมนคูโซ มาสวดที่บ้าน ในขณะที่บาทหลวงแมนคูโซ่เดินพรมน้ำมนต์ไปรอบๆ บ้านนั้นเอง มีเสียงห้าวลูกว่า "ออกไป" บาทหลวงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่นึกกังวล....

สายในวันนั้นเอง รถของบาทหลวงเกือบจะพลิกคว่ำเมื่อฝากระโปรงและประตูรถเปิดออกมาเอง รถสตาร์ทไม่ติด พอดีมีบาทหลวงท่านหนึ่งผ่านมาช่วย แต่ภายหลังบาทหลวงคนนั้นก็ประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรง จอร์จ ลัทซ์พบว่าเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของครอบครัวผู้ตายถูกนำไปขายอยู่ที่ร้านตั้งแต่การตายหมู่ เขาสนใจจะซื้อมันกลับมา บ้านนี้จึงคืนสู่สภาพเดิมเหมือนกับยามเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองครั้งนั้น เขาล่ามโซ่สุนัขไว้ที่คอกนอกบ้านเพื่อเฝ้าบ้าน เมื่อรัตติกาลมาเยือน จอร์จได้ยินมันหอนโหยหวน มีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันตกใจกลัวมากเสียจนมันพยายามดิ้นรนออกจากคอก จนโซ่เกือบจะรัดคอมัน จอร์จจึงตัดโซ่ให้สั้นลง

19 ธันวาคม ค.ศ.1974 เมื่อทั้งหมดขึ้นนอนหลับสนิทยกเว้นจอร์จ ลัทซ์ที่ตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงกุกกักดังตอนตีสาม 3.15 น. เวลาเดียวกันที่ครอบครัวเดเฟโอถูกฆ่าบนเตียง จอร์จมองไปที่หน้าต่าง สุนัขตั้งต้นเห่าอย่างเอาเป็นเอาตาย มันเห่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่บริเวณเรือนแพ บ้านริมน้ำ จอร์จคิดว่าตัวเองเห็นคนหายไปในเรือนแพ เมื่อเขาลงไปตรวจสอบดูก็พบว่า ประตูเรือนแพเปิดอ้าอยู่ท่ามกลางลมอันหนาวเหน็บ ทั้งที่เขาปิดมันก่อนข้าวนอนแล้ว

20 ธันวาคม ค.ศ.1974 ทุกอย่างเริ่มจะไม่ค่อยดีสำหรับครอบครัวลิทซ์เสียแล้ว จอร์จตื่นขึ้นตอนตี 3.15 น.ทุกคืน เขากลายเป็นคนหงุดหงิด ลงมือลงไม้กับพวกเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน เขาหอบฟืนเพื่อให้ตัวอบอุ่น บ้านร้อนเหมือนเตาอบ แต่จอร์จกลับหนาวเย็นจนเกือบแข็ง

22 ธันวาคม ค.ศ.1974 มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นในห้องน้ำ กล่าวคือมันเกิดรอยคราบประหลาดสีดำที่ขัดไม่ออก มันมีกลิ่นหอมเอียนๆ อบอวล อยู่ในอากาศ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นนั้นออกไป เขาเห็นแมลงวันนับร้อยนับพันเกาะอยู่เต็มไปหมด ในขณะที่หน้าต่างบานอื่นใส่สะอาด แต่มีเพียงบานเดียวเท่านั้นที่แมลงวันเกาะจนดำมืด มันคือหน้าต่างที่หัวหน้าออกสู่เรือนแพ คืนนั้นเอง พอเวลาตี 3.15 น. จอร์จก็ตกใจตื่นขึ้นด้วยเสียงดังโครม เขารีบรุดลงไปยังชั้นล่าง แล้วพบว่าประตูหน้าบ้านเปิดอ้าห้อยอยู่กับบานพับตัวหนึ่ง

24 ธันวาคม ค.ศ.1974 เป็นวันคริสต์มาส บาทหลวงแมนคูโซ่ป่วยเป็นไข้สูง จอร์จโทรศัพท์ไปหาท่าน แล้วเริ่มต้นพูดถึงเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้น บาทหลวงได้พยายามเตือนจอร์จ แต่สายโทรศัพท์ขาดไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ค่ำวันนั้นเองแมลงวันกลับมาอีกครั้งมันเกาะหน้าต่างบานที่หันไปทางเรือนแพอีก จอร์จรู้สึกไม่จำเป็นจะต้องไปตรวจดูเรือนแพ ขณะที่หันกลับไปดูบ้านนั้นเอง เขาแลเห็นมิสซี่จ้องมองเขาอยู่ที่หน้าต่าง เบื้องหลังเด็กหญิงคือหมูตัวหนึ่ง กำลังมองข้ามไหล่ของเธอมา ดวงตาของหมูตัวนั้นมีสีแดงวาว ชายหนุ่มวิ่งกลับไปยังห้องนอน แต่แล้วกลับพบว่าเด็กหญิงนอนหลับอยู่

24 ธันวาคม ค.ศ.1974 อีกครั้งจอร์จตื่นขึ้นในเวลา 3.15 น. แคธี่ภรรยาของเขานอนเอาแขนหนุนศีรษะอยู่ในท่าเดียวกับคนตาย เขาแตะตัวเธอ แล้วเธอก็ตื่นตกใจกรีดร้องออกมา "เธอถูกยิงที่หัว! คุณนายเดโฟถูกยิงที่หัว! ฉันได้ยินเสียงปืน!" หลังจากนั้นจอร์จปลอบจนแคธีก็หลับต่อ สุนัขเริ่มต้นเห่า จอร์จเดินไปนอนบ้าน เมื่อเขามองมาที่ห้องนอนของมิสซี่ เขาเห็นเด็กผู้หญิงมิสซี่จ้องมองที่เขา และเบื้องหลังของเธอ มีหมูตัวเดิมจองเขม็งด้วยนัยน์ตาแดงวาว จอร์จรีบเข้าไปตรวจห้องของเด็กน้อย พบว่าเธอนอนหลับคว่ำหน้าเอาศีรษะวางบนแขน คืนวันคริสต์มาส มิสซี่เริ่มคุยถึงเรื่องเพื่อนใหม่ เป็นหมูชื่อโจดี้ แต่พีชายของเธอบอกว่า หมูตัวนั้นเป็นจินตนาการของเธอ คืนนั้นแคธี่ได้ยินเสียงมิสซี่พูดกับใครบางคนในห้อง "ลูกพูดกับใครจ๊ะมิสซี่ นางฟ้าหรือจ๊ะ" "เปล่าค่ะแม่ เพื่อนของหนู โจดี้ค่ะ เด็กน้อยตอบเธอ"

26 ธันวาคม ค.ศ.1974 วันบ็อกซิ่งเดย์ ครอบครัวลัทธ์ค้นพบห้องลับ ซ่อนอยู่ข้างหลังตู้โชว์ ห้องนั้นมีกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียน มันคือกลิ่นเลือด! ก่อนจะถึงปีใหม่ จอร์จ เริ่มสืบค้นประวัติของบ้านและสถานที่แห่งนี้ สมาคมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกล่าวว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ค่ายสำหรับอินเดียแดง มีทั้งคนป่วย คนบ้า คนใกล้ตาย แต่ไม่มีการฝังคนตายไว้ เพราะที่นี้มีปีศาจชุกชุม

1 มกราคม ค.ศ.1975 แคธี่เห็นร่างปีศาจอยู่ในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในเคาผิง เมื่อไฟมอดลงปรากฏเป็นรูปศีรษะทีมีเขาเป็นรอยสีขาวอยู่บนคราบเขม่าที่ปล่องไฟ คืนนั้นลมกรรโชกพัดผ่านเข้ามาในบ้าน มันพัดเอาผ้าคลุมเตียงปลิวหลุดไปจากเตียงของจอร์จและแคธี่ หน้าต่างบานที่หันหน้าไปทางเรือนแพเปิดออก

2 มกราคม ค.ศ.1975 พบรอยเท้าอยู่บนหิมะบริเดียวกับเรือนแพ เป็นรอยเท้าที่คล้ายกับปีศาจทิ้งเอาไว้

6 มกราคม ค.ศ.1975 จอห์นตื่นขึ้นกลางดึก เขามองภรรยาแต่เธอไม่อยู่ที่นั้น เขาเอื้อมมือไปเปิดไฟ แล้วก็เห็นเธอลอยอยู่บนเตียง..................แต่ใบหน้าเธอกลายเป็นใบหน้าของหญิงชราอายุสัก 90 ปี เขาจับผมเธอดึงลงมา เธอตื่นขึ้นดูหน้าตัวเองในกระจกแล้วร้องกรีดออกมา เพราะใบหน้านั้นค่อย ๆ กลับเป็นปกติ.... แต่ทว่ามีรอยย่นที่ไม่เคยเห็นปรากฏขึ้นแทน

10 มกราคม ค.ศ. 1975 แคธี่ตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองมีริ้วรอย ขีดข่วนเต็มตัว แต่พอถึงตอนค่ำ รอยนั้นกับหายไปอย่างลึกลับ คำสาปแช่งของวิญญาณในบ้านเริ่มออกฤทธิ์กับด้านอื่นของชีวิตในครอบครัว ธุรกิจของจอร์จกำลังตกต่ำถึงขั้นล้มละลาย

11 มกราคม ค.ศ. 1975 วันนี้เป็นวันที่เลวร้ายที่สุด พายุฝนพัดกระหน่ำพังประตูและหน้าต่างจนแตกเกลื่อน ขณะที่น้ำฝนไหลเข้านองพื้น พายุพัดต้นไม้ในสวนของบ้านเลขที่ 112 โอเชี่ยนเวนิวล้มลง แต่ต้นไม้อื่นบนถนนนั้นกลับไม่เป็นอะไร จอร์จกับแคธี่นำสุนัขเข้าบ้าน เพื่อดูว่ามันสังเกตเห็นอะไรบ้าง ผลปรากฏว่ามันไม่ยอมเข้าไปในห้องของเมลซี่

12 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นขึ้นจากฝันร้าย เมื่อตื่นขึ้น เขาตัวสั้นเทา แล้วมิสซี่ร้องเรียกเขา "พ่อลงมาหาหนูหน่อยสิค่ะ โจดี้อยากคุยกับคุณพ่อ"  

"ใครคือโจดี้จ๊ะ" โจดี้เป็นเพื่อนหนูค่ะ เป็นหมูตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณพ่อเคยเห็นมาเลยค่ะ" จอห์นวิ่งเข้าไปในห้อง เขาไม่เห็นหมูสักตัว

"อยู่ตรงนั้นไงค่ะ คุณพ่อ!" มิสซี่ร้องออกมา แล้วชี้ไปที่หน้าต่าง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องเข้ามา ไม่มีหมู ไม่มีแม้หน้าตา มีเพียงดวงตาสีแดงคู่นั้น "นั่นไง โจอี้"เด็กผู้ร้อง "เขาอยากเข้ามา" แคธี่ก้าวพรวดผ่านตัวจอร์จไป เธอหยิบเก้าอี้ขึ้นแล้วขว้างไปที่หน้าต่าง กระจกแตกกระจาย มีเสียงร้องโหยหวน เป็นเสียงคล้ายหมูกำลังเจ็บปวด ดวงตาคู่นั้นหายไปแล้ว แต่เมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างบานที่แตกไป จะยังได้ยินเสียงร้องโหยหวน มันค่อยๆ แผ่วไปทางเรือนแพ

13 มกราคม ค.ศ. 1975 มิสซี่คุยกับโจดี้ที่ใต้โต๊ะอาหาร "ใครคือโจอี้น่ะลูก" แคธี่คาดคั้น "เขาเป็นเทวดาค่ะ" มิสซี่กล่าว "เขาเล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่เคยอยู่ห้องหนู เด็กคนนั้นตายแล้วแม่รู้ไหมค่ะ" ห้องนอนของมิสซี่เคยเป็นห้องของลูกชายคนเล็กของครอบครัวเดเฟโอที่ถูกฆ่าตาย "โจอี้บอกว่า เขาจะอยู่ที่นี้ต่อไปค่ะ" มิสซี่พูดอย่างภาคภูมิใจ แต่ความอดทนของครอบครัวลัทซ์หมดลง พวกเขาเชื่อว่ามีบางอย่างอยู่ร่วมบ้านกับพวกเขา บาทหลวงคูโซ่แนะนำว่า "ปล่อยให้เขาอยู่ในที่ของเขาเถอะ ส่วนพวกลูกๆ จงไปเสีย" แต่ก่อนพวกเขาจะไป พายุร้ายกลับมาอีกแล้ว บ้านร้อนขึ้นแม้จะปิดเครื่องทำความร้อนก็ตาม ยกเว้นห้องของมิสซี่ที่เย็นเฉียบ จอร์จเดินไปเปิดหน้าต่าง เขามองไปที่ประตูห้องนั่งเล่น เห็นอะไรบางอย่างที่เป็นเมือกสีเขียว เจ้าเมือกสีเขียวเริ่มไหลย้อยไปตามขั้นบันได เขาพยายามหยุดมันโดยใช้ผ้าปิดไว้

14 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จตื่นนอน เขาเหน็ดเหนื่อยกับการสู้ก้อนเมือกนั้น แต่ต้องตื่นขึ้นเพราะถูกผีอำ มันขึ้นอยู่บนตัว มีบางอย่างที่เท้าเป็นกีบ พวกเด็ก ๆ ตื่นขึ้นพร้อมแผดเสียงร้องว่า มีตัวประหลาดไร้หน้าบุกเข้ามาในห้อง เมื่อจอร์จไปตรวจดู เขาก็พบร่างที่มีผ้าคลุมขนาดใหญ่นั้นอีก ร่างนั้นขวางทางเขาแล้วชี้มือไปทางชายหนุ่ม จอร์จรวบรวมสติสมาชิกในบ้าน แล้วย้ายออกจากบ้านหลังนั้น หลังจากที่ย้ายมาอยู่ได้เพียง 28 วัน จอร์จกับครอบครัวย้ายไปบ้านของแม่แคธี่ หวังว่าเรื่องนี้คงจะสงบได้เสียที"

15 มกราคม ค.ศ. 1975 จอร์จถูกภรรยาปลุกให้ตื่น "จอร์จค่ะตัวคุณกำลังลอยอยู่เหนือเตียง เราจะต้องออกจากห้องนี้แล้วค่ะ!" ขณะที่พาเขาลงมาชั้นสองนั้นเอง ทั้งคู่ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นก้อนเมือกสีเขียวคืบคลานขึ้นตามขั้นบันได........................"

บ้านอมิตี้วิลล์เรื่องจริงหรือมั่วนิ่ม
มีหลายคนสงสัยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่ มันอาจเป็นเรื่องครอบครัวลัทซ์แต่งขึ้นก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจและเพื่อเพิ่มรายได้ อย่าลืมน่ะว่าธุรกิจของจอร์จกำลังล่มจม ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่สนับสนุนกับเรื่องจริงที่จับผิดบางประการเกี่ยวกับเรื่องของจอร์จ อันนี้สนับสนุนว่าเป็นของจริง

· หลังจากที่ครอบครัวลัทซ์ย้ายออกไป ครอบครัวใหม่ก็เข้ามาอยู่แทน ลูกชายเจ้าของบ้านนอนอยู่ในห้องรอนนี่เดเฟโอ แต่เขาเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจในขณะที่อายุยังน้อย

· เจย์ แอนสันเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งจัดเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่ง เขาขายเรื่องให้กับนักสร้างภาพยนตร์รายหนึ่ง แต่ระหว่างเขียนบทเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น

· สุภาพสตรีคนหนึ่งขอยืมต้นฉบับไป 2-3 บท บ้านของเธอเกิดระเบิดลุกไหม้ มีสิ่งเดียวไม่เสียหายคือ ต้นฉบับ

· ชายคนหนึ่งขับรถโดยวางต้นฉบับไว้ท้ายรถ รถเกิดไหลลงไปคูน้ำลึก หลังจากเจ้าหน้าที่กู้รถในวันถัดมา มีสิ่งเดียวที่แห้งคือต้นฉบับ

· เมื่อนำเรื่องฉบับสมบูรณ์ส่งโรงพิมพ์ รถเกิดไฟไหม้ และพบว่าน็อตทุกตัวที่เครื่องยนต์หลวมหลุด

· แอนสันมีอาการหายใจวาย

· ลูกชายของแอนสันเสียชีวิตในอุบัติเหตุรถชน

· ช่างภาพมาหาเจย์ที่บ้าน เพื่อถ่ายภาพผู้เขียน แต่ด้วยไม่ทราบสาเหตุ รถเขาเกิดไฟไหม้ทั้งที่จอดเฉย ๆ

· แอนสันก้าวมามีชื่อเสียง เขาได้รับเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สำหรับหนังสือเรื่องต่อไป หลังจากได้รับเช็คจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ไม่นานนัก เขาก็เสียชีวิตด้วยอาการหายใจวาย

· นักข่าวพอล ฮอฟแมนเขียนถึงเรื่องนี้เป็นคนแรก เมื่อมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น เขาเสียชีวิตอีกไม่นาน จากนั้นด้วยลักษณะอันแปลกประหลาด

- เจมส์ โบรสัน ผู้สวมบทเป็นจอร์จ ลัทซ์อ้างว่าเขาถูกโชคร้ายเล่นงานมาโดยตลอดในทันทีที่เขาเริ่มถ่ายภาพยนต์ วันแรกติดอยู่กับลิฟต์ วันที่สองในขณะที่ถ่ายไปดพียง 1 นาทีเท่านั้นก็สะดุดจนขาแพลง ทำให้บริษัทต้องเสียงเงินจำนวนมากเพราะความล่าช้าในการถ่ายทำ

· ผู้สร้างภาพยนตร์กลัวว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงจึงไม่กล้าใช้สถานที่จริงในการถ่ายทำ

ในอีกแง่หนึ่งมีคนอีกมากมายโต้แย้งว่า เรื่องบ้านอมิตี้วิลล์สยองขวัญเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะ..................
· ไม่มีพยานรู้เห็นเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น นอกจากคนในครอบครัวและบาทหลวงที่ป่วยไข้

· ข้ออ้างที่ว่าบ้านหลังนั้นสร้างอยู่ข้างของชาวอินเดียแดงที่ป่วย เป็นบ้าและใกล้ตาย ไม่เป็นความจริงเพราะอินเดียนแดงเผ่าซินเนอค็อธซึ่งอาศัยอยู่ที่นี้มาก่อนผิวขาวที่จะมาตั้งรกรากบอกว่าไม่เคยมีค่ายที่ว่าอยู่ที่ไหนทั้งสิ้น

· สถาบันไสยศาสตร์แห่งอเมริกาได้รับเชื้อเชิญจากจอร์จ ลัทซ์ แต่เขากลับเลิกนัดหรืออาจเป็นเพราะเขากลัวถูกจับได้ว่าเป็นเท็จ จนผู้อำนวยการสถาบันต้องมุ่งหน้าไปตรวจสอบบ้านหลังนั้นด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าเป็นเรื่องโกหก (แต่ในขณะนั้นบ้านหลังนี้เป็นที่นิยมสูงมากขึ้นมาก จนไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเรื่องโกหก

· เจ้าของบ้านคนต่อมาคือครอบครัวโครมาร์ตี้ พวกเขานำเรื่องนี้มาเล่นสนุก แม้จะรำคานที่ชาวบ้านคอยจ้องดู (คงหวังดี) แต่ไม่วายยังจัดงานฮัลโลวีนเพื่อล่อผีมาปรากฏตัว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

· ล่าสุดการถ่ายทำหนังเรื่องผีทวงบ้านก็ไม่เกิดเหตุประหลาดเกิดขึ้นเช่นกัน.....














 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2558    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 16:42:50 น.
Counter : 2236 Pageviews.  

เรื่องพิศวงของผีทวงแค้น






ป้ายบอกสถานที่พบศพมาเรีย.


เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1827 ที่หมู่บ้านโพลสเตด (Palstead) ในประเทศอังกฤษ เมื่อหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งชื่อ มาเรีย มาร์เตน (Maria Marten) ถูกยิงเสียชีวิตโดยคนรักของเธอ ศพถูกฝังในโรงนาเพื่ออำพรางคดี และเมื่อฝังเสร็จเขาก็หนีไปใช้ชีวิตในลอนดอน พร้อมสวมรอยเขียนจดหมายส่งกลับไปเพื่อให้ดูเหมือนว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

กระทั่ง 1 ปีผ่านไป นางมัวร์แม่เลี้ยงของผู้ตายได้เกิดฝันประหลาดเข้า เธอฝันว่าเห็นวิญญาณมาเรียมาบอกว่าโดนฆ่า ขอให้แม่เลี้ยงเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตัวเธอ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นคดีฆาตกรรมแห่งโรงนาสีแดง (Red Barn Murder) อันลือลั่นในอังกฤษ

มาเรีย มาร์เตน อายุ 24 ปี เป็นลูกสาวของนายโธมัส มาร์เตน ชาวบ้านธรรมดาที่ทำอาชีพจับตุ่น ฐานะค่อนข้างยากจน ความจนทำให้เธอหวังที่จะแต่งงานกับคนรวยเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น เมื่อพบกับวิลเลียม เธอรีบโดดคว้าโอกาสแสนงามไว้โดยไม่สนประวัติ หรือนิสัยที่ไม่ดีของเขาเลยแม้แต่น้อย วิลเลียม คอร์เดอร์ เป็นบุตรชายคนที่ 3 ของครอบครัวเกษตรกร ฐานะร่ำรวยพอสมควร หน้าตาดีมีสาว ๆ ในหมู่บ้านติดพันหลายคน มีชื่อเสียงด้านลบว่าเป็นเสือผู้หญิง ชาวบ้านตั้งฉายาเขาว่า “จิ้งจอก” เพราะนิสัยกลับกลอก เจ้าเล่ห์ขี้โกง โกงแม้กระทั่งพ่อตัวเอง ภายหลังเขาถูกจับได้ว่าปลอมแปลงเอกสารและโกงผลผลิตจากชาวบ้าน จึงเป็นเหตุทำให้ทางครอบครัวขายหน้าจึงต้องส่งตัวเขาไปอยู่ลอนดอน อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักวิลเลียมก็ถูกเรียกกลับเมื่อพี่ชายของเขาจมน้ำเสียชีวิต และในเวลาต่อมาพ่อกับพี่ชายอีกคนของเขาก็เสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำ มรดกและฟาร์มพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ จึงตกอยู่ในมือของเขาทั้งหมด



ยามว่าง ทั้งสองมักไปพลอดรักกันในโรงนาขนาดใหญ่บนเนินเขาบาร์นฟิลด์ (Barnfield Hill) ไกลจากบ้านเธอประมาณครึ่งไมล์ โรงนาขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้องสีแดง เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องเข้ามาเหมือนโรงนาอาบไปด้วยสีแดงทั้งหลัง ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านมักเรียกติดปากว่า “โรงนาสีแดง” เมื่อมาเรียตั้งท้อง เธอกดดันให้เขาแต่งงานด้วย แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังนิ่งเฉย กระทั่งเธอคลอดเด็กทารกและเด็กเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ มาเรียกล่าวโทษว่าเขาทำให้ลูกตาย (ต่อมามีการพิสูจน์ว่าเด็กทารกถูกฆาตกรรม) วิลเลียมนั้นไม่เคยคิดแต่งงานด้วยเลย เพราะมาเรียเป็นเพียงลูกสาวชาวบ้านจน ๆ ซึ่งไม่มีวันเข้าสังคมของเขาได้ ทว่าเมื่อโดนบีบหนักเข้า เขาจึงเริ่มมองหาทางออก ทางออกสุดท้ายที่เขาคิดไว้คือ ฆ่าเธอซะเพื่อตัดปัญหา!!

18 พฤษภาคม 1827 เขานัดพบเธอที่โรงนาสีแดงแหล่งพลอดรัก บอกว่าจะพาหนีไปเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกัน เมื่อถึงเวลานัดหมาย มาเรียปลอมตัวเป็นชายเพื่ออำพรางสายตาชาวบ้าน ออกจากบ้านเร่งฝีเท้าตรงมาที่โรงนาสีแดง ซึ่งเวลานั้นเองโธมัสผู้เป็นพ่อเห็นเข้าพอดี นี่เป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นขณะเธอยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วิลเลียมสังหารมาเรียด้วยปืน และลากศพเธอไปฝังในโรงนาสีแดง ก่อนที่เขาจะหนีไปอยู่ลอนดอน



เมื่อครอบครัวของมาเรียไม่ได้ข่าวคราวหลายเดือน โธมัสพยายามติดต่อวิลเลียม พร้อมกับขู่ว่าหากไม่ตอบกลับว่า ตอนนี้มาเรียเป็นอย่างไร พวกเขาจะไปแจ้งตำรวจ ด้วยแรงกดดัน ทำให้วิลเลียมคิดแผนอย่างหนึ่ง เขาเขียนจดหมายถึงพ่อของมาเรีย โดยแสร้งทำเป็นว่าเธอเป็นคนเขียน ในจดหมายเขียนว่า ตอนนี้เราทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนเกาะไวท์ และขอโทษพ่อที่ไม่ได้ส่งจดหมายหรือส่งข่าวคราวให้ทราบ เนื้อหาในจดหมายยังระบุว่า ขณะนี้เธอกำลังป่วย เจ็บมือ ทำให้ลายมือของเธอออกจะแปลก ๆ ไม่เหมือนที่เคยเขียน ในจดหมายมีเงินสอดมาด้วยอีกปึกหนึ่ง ซึ่งโธมัสก็เชื่อจดหมายนี้อย่างสนิทใจ เวลาผ่านไป 1 ปี...กลางดึกของเดือนเมษายน 1828 เรื่องราวเหนือธรรมชาติก็ได้เกิดขึ้น แม่เลี้ยงของมาเรีย ปลุกโธมัสสามีของเธอที่กำลังหลับอยู่ข้าง ๆ ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก “โธมัส ฉันฝันร้ายค่ะ!!”



เธอฝันประหลาดว่าตนเองอยู่ในโรงนาสีแดง เห็นมาเรียในร่างที่โชกเลือด มาบอกว่าถูกวิลเลียมฆ่า และถูกฝังใกล้จุดที่เธอยืนอยู่ ขอร้องให้แม่เลี้ยงเรียกร้องความเป็นธรรมแก่ตัวเธอ ตอนแรกโธมัสไม่เชื่อ หากแต่นางมัวร์บอกว่าเธอฝันเรื่องแบบเดียวกันนี้ถึง 2 ครั้งแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อพิสูจน์ความฝันดังกล่าว วันรุ่งขึ้นโธมัสรวบรวมชาวบ้านหลายคนชวนกันถือจอบเสียมแห่ไปที่โรงนาสีแดง เมื่อถึงนางมัวร์ชี้ไปยังมุมหนึ่งของโรงนา เธอว่าตรงนั้นล่ะที่มาเรียชี้บอกว่าร่างถูกฝังอยู่ หลังจากที่พวกเขาขุดไปได้เพียง 50 เซนติเมตร ก็พบซากศพของผู้หญิงถูกยัดไว้ในกระสอบ โธมัสยืนยันว่าศพดังกล่าวเป็นมาเรียลูกสาวเขาแน่นอน เนื่องจากจำผ้าเช็ดหน้าสีเขียว และเสื้อผ้าได้ว่าเป็นของมาเรียที่สวมใส่ในวันสุดท้าย

ในเวลาไม่นานนัก วิลเลียมถูกจับกุมอย่างง่ายดายในบ้านหลังใหม่ที่ลอนดอนกับภรรยาใหม่ ตำรวจแจ้งข้อหาฐานฆาตกรรม เขาปฏิเสธ แต่จากการตรวจค้นบ้านพบปืนที่คาดว่าใช้สังหารมาเรีย ศาลถูกจัดตั้งขึ้นที่โรงแรมในโพลสเตด ท่ามกลางผู้คนที่ สนใจต่างแห่เข้ามาฟังแทบล้นศาล เจ้าหน้าที่ต้องจำกัดคนเข้าโดยใช้ตั๋วเข้าชม วิลเลียมแก้ข้อกล่าวหาว่า สาเหตุการตายของมาเรียนั้นยังไม่ระบุแน่ชัด เพราะร่างเน่าสลายจนยากที่จะระบุสาเหตุ บาดแผลที่พบอาจเกิดจากจอบเสียมที่ขุดก็เป็นได้ แต่สุดท้ายเขาก็จำนนด้วยหลักฐาน ทั้งยังมีพยานที่เห็นวิลเลียมถือปืนออกจากโรงนา



วิลเลียมยังไม่ยอมแพ้ เขาได้ออกมายอมรับว่าอยู่ในโรงนาสีแดงกับมาเรียจริง แต่มาเรียนั้นฆ่าตัวตาย เขาและมาเรียทะเลาะกันเรื่องเด็กถึงขั้นลงไม้ลงมือ พอเขาเดินออกไปข้างนอกก็ได้ยินเสียงปืน กลับมาอีกทีก็เห็นมาเรียนอนเสียชีวิต โดยมีปืนอยู่ข้างกาย เขาจำเป็นต้องฝังเธอเพราะกลัวความผิด แต่สุดท้ายคำแก้ตัวก็ฟังไม่ขึ้น วิลเลียมถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

ขณะรอวันประหาร วิลเลียมที่อยู่ในคุกเอ่ยปากสารภาพว่าเขาฆ่านางมาเรียจริง แต่เขาไม่ได้ตั้งใจ มีการโต้เถียงกันและเกิดการต่อสู้ขึ้น ปืนที่เขาพกลั่นใส่เธอจนถึงแก่ชีวิต มันเป็นอุบัติเหตุน่าเศร้าที่เขาเองก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น 11 สิงหาคม วิลเลียมถูกนำตัวไปยังตะแลงแกงในเรือนจำเบอรี่ เซนต์ เอดมันส์ (Bury St. Edmunds) แม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงอากาศร้อนอบอ้าว แต่ฝูงชนต่างแห่กันมาดูการประหารนั้นจนแน่นขนัด หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบอกว่ามีผู้ชมกว่า 7,000 คน ขณะที่อีกฉบับหนึ่งบอกว่ามีมากกว่า 20,000 คน



“ผมมีความผิด นี่คือการตัดสินยุติธรรม ผมสมควรได้รับโชคชะตาดังกล่าว และขอให้พระเจ้าเมตตาต่อจิตวิญญาณของผมด้วย” 
วิลเลียมกล่าวประโยคสุดท้ายก่อนที่เพชฌฆาตจะสวมหมวกคลุมหัวเขา ร่างของวิลเลียมถูกมอบให้สำหรับวิจัยทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเวอร์จีเนีย โครงกระดูกถูกวางจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ฮันเทเรี่ยน (Hunterian) จนกระทั่งปี 2004 ร่างกายที่เหลือของเขาก็ฌาปนกิจที่ป่าช้าโพลสเตดอันเป็นสถานที่ที่ฝังศพมาเรียคนรักด้วย มีเรื่องเล่ากันว่า ระหว่างที่กะโหลกของวิลเลียมถูกตั้งโชว์ในกรอบแก้วที่โรงพยาบาลซัฟโฟล์ค จู่ ๆ กะโหลกด้านบนเกิดยุบลงมาเหมือนมีใครมาทุบ ทำให้หลายคนเชื่อว่ามันคือคำสาปของมาเรีย

อย่างไรก็ตาม หลังการตายของวิลเลียม หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยต่อความฝันของแม่เลี้ยงมาเรียว่ามีพิรุธหลายจุด นางมัวร์แม้จะมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง แต่ความจริงแล้วเธอมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมาเรีย ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกัน หลายครั้งที่โต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน หากมาเรียเป็นวิญญาณทวงแค้นจริงล่ะ ก็น่าจะเลือกเข้าฝันบิดาแท้ ๆ มากกว่า สิ่งที่น่าสงสัยต่อมาคือจดหมายที่วิลเลียมส่งเงินมากับจดหมายด้วย เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี หลังจากเขาเลิกส่งจดหมาย จู่ ๆ นางมัวร์ก็เกิดฝันประหลาด ทำไมวิญญาณมาเรียจึงรอนานกว่า 1 ปีกว่าจะมาเข้าฝัน



มีข้อสันนิษฐานตามมามากมาย แต่ที่มีความเป็นไปได้ที่สุด คือ นางมัวร์น่าจะรู้เห็นเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้น แต่ไม่บอกให้ใครรู้ เพราะสำหรับเธอแล้วมาเรียคือหนามยอกอก ก่อนจะหัวใสใช้เรื่องนี้มาแบล็กเมล์วิลเลียมในภายหลัง เมื่อวิลเลียมหยุดส่งเงินทำให้เธอไม่พอใจ แต่หากแฉเรื่องดังกล่าวคงถูกจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดไปด้วย ดังนั้นเธอจึงใช้เรื่องเหนือธรรมชาติเป็นเครื่องมือ

คำถามต่อมาในเมื่อนางมัวร์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ทำไมวิลเลียมจึงต้องปกป้องเธอด้วย ทำให้เชื่อต่อได้ว่าเธออาจเป็นหนึ่งในคนรักของวิลเลียม อีกทั้งยังอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดวางแผนฆาตกรรมด้วยซ้ำ

เรื่องราวเรื่องผีทวงแค้นแห่งโรงนาสีแดงกลายเป็นข่าวที่โด่งดังอย่างมากในสมัยนั้น เนื่องจากมีองค์ประกอบชั้นดีอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความตาย โศกนาฏกรรม และเรื่องเหนือธรรมชาติ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่เพลงพื้นบ้าน ละครเวที และภาพยนตร์จนได้รับความนิยมเรื่อยมา โรงนาสีแดงแห่งหมู่บ้านโพลสเตดที่เป็นเวทีโศกนาฏกรรมนี้ ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ มีการขายของที่ระลึกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด แผ่นกระดานที่งัดมาจากโรงนา กระทั่งเอามาทำเป็นไม้จิ้มฟันก็มี น่าเสียดายที่โรงนาสีแดงถูกเพลิงไหม้ในปี 1842 จนไม่เหลือซากให้ใครเห็นอีกเลย.


โดย อลิสโต และ ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน









 

Create Date : 18 ตุลาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 11:57:58 น.
Counter : 1091 Pageviews.  

ลี้ภัยวิญญาณสงครามโลก



อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

“ผี”...มีจริงหรือเปล่า ถ้ามีจริง พวกเขาจะอยู่ต่อได้นานแค่ไหนหลังหมดลมหายใจในฐานะมนุษย์ไปแล้ว จะเป็น 10 ปี 20 ปี หรือนับร้อย ๆ ปี คนถามอย่างนี้มีเยอะ แต่คนตอบได้มีน้อย และบอกได้ยากอีกต่างหากว่า คนที่ว่าตอบได้นั้น “จริง” หรือเปล่า แต่หากไปถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ (อดีต) โรงพยาบาลโอวินสก้า (Owinska Hospital) ในประเทศโปแลนด์ เห็นทีจะตอบตรงกันเป็นส่วนใหญ่ว่า ผีมีแน่ๆ และอยู่นานเสียด้วย แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่วิญญาณก็ยังไม่ยอมไปไหนว่า แล้วคนเป็น ๆ ก็เลยต้องเป็นฝ่ายไป 



รายงานจากสำนักข่าวออสเตรียน ไทม์ส (Austrian Times) กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านเมืองโอวินสก้า โดยเฉพาะที่อยู่ย่านใกล้ ๆ โรงพยาบาลที่ว่า ต่างก็เผ่นแน่บแบบว่าอยู่ไม่ไหวแล้ว เพราะผีไม่ยอมอยู่ส่วนผี วันดีคืนดีผีก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนในเวลากลางค่ำกลางคืน ทำเอาชาวบ้านร้านตลาดสยองขวัญหวั่นผวา นอนไม่หลับไปตาม ๆ กัน ตามรายงานหมู่บ้านโอวินสก้ากำลังกลายเป็นหมู่บ้านร้าง เพราะเมื่อผีไม่ยอมไปไหน คนเลยต้องเป็นฝ่ายไปอย่างที่ว่า ไม่ต้องมีน้ำท่วมหรือภัยอะไร ก็อพยพลี้ภัยกันสุดตัว จนหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านร้าง หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “เมืองผี” (Ghost Town) ไปซะแล้ว




ชาวบ้านที่เผ่นกันเป็นโขยงต่างก็บอกว่า ไอ้เสียงที่ลอยลมมายามค่ำคืนนั้น  เป็นเสียงร้องครวญครางเหมือนคนที่ทรมานแสนสาหัส ซึ่งน่าจะเป็นเสียงของวิญญาณ ผู้ตกเป็นเหยื่อการสังหารหมู่อย่างโหด เหี้ยมด้วยฝีมือนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

วิญญาณในโรงพยาบาลแห่งนี้ไม่ใช่ธรรมดา เพราะโรงพยาบาลโอวินสก้านั้นเปิดรักษาผู้ป่วยทางจิต หรือเรียกง่ายๆคือ โรงพยาบาลบ้า ดังนั้น ก่อนจะกลายเป็นผี ผู้ที่เคยอยู่ที่นี่ก็คุ้มดีคุ้มร้ายกันอยู่แล้ว พอกลายมาเป็นวิญญาณก็เลยส่งเสียงกันสารพัดแบบ ทั้งโหยหวย กรีดร้อง หัวเราะร่วน และเสียงอันน่าหวาดกลัวเหล่านี้ มักจะมาถี่ๆขึ้น เมื่อใกล้วันสำคัญ นั่นคือ ทุกวันที่ 11 พฤศจิกายน ของทุกปี ซึ่งเป็นวันครบรอบการสังหารหมู่ที่เคยเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ซึ่งในปัจจุบันเป็นสถานที่รกร้างที่ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าไปนัก

อนาสตาเซีย บอสซ์โก (Anastasia Boszko) สาววัย 26 ชาวเมืองผู้ หวาดหวั่น บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ถึงตอนนี้ก็รับไม่ไหวแล้วกับการรังควานของผีสงครามโลกเหล่านี้ เลยต้องจำใจทิ้งบ้านช่องไปเหมือนกับชาวเมืองคนอื่นๆ ที่เผ่นแน่บไม่หันหลัง แม่สาวบอกว่า โดยปกติแล้ว ในช่วงวันครบรอบเหตุการณ์อันน่าสลดนั้น ไม่เพียงแต่เสียงร้อง เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่มาเป็นประจำเท่านั้น แต่จะมีองค์ประกอบอื่นๆ ของวิญญาณมากันครบ ไม่ว่าจะเป็นเงา หรือรูปร่างอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ เคลื่อนที่ไปมาผ่านกำแพง และทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองที่ถูกหลอน โอวินสก้าเป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกของกรุงวอร์ซอ เมืองหลวงโปแลนด์ ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร และโรงพยาบาลโอ วินสก้า ก็เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิตที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคย่านนี้




กองทัพนาซีเข้าครอบครองโอวินสก้าในช่วงกลางเดือนกันยายน ปีค.ศ. 1939  แล้วก็ส่งกองกำลังมาคุมโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย ผู้ป่วยทั้งหมดถูกสั่งกักบริเวณ ห้ามออกนอกเขตที่รักษา ทีแรกพวกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้พยายามขอร้องกองทัพนาซีว่า ไหนๆคนไข้ในโรงพยาบาลก็ทำอะไรให้ไม่ได้อยู่แล้ว ก็น่าจะย้ายผู้ป่วยไปอยู่ที่อื่น  แต่หน่วยเอสเอสอันทรงอิทธิพลของนาซีก็มีคำประกาศิตมาว่า ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เมื่อไม่เป็นประโยชน์แล้วก็ตายมันอยู่ซะที่นี่แหละ

ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 1939 พวกนาซีก็ทยอยขนคนไข้ของโอวินสก้าออกไปทีละ 2-3 คันรถ ไปแล้วไปลับไม่กลับมา พวกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ได้แต่ยืนมอง จนกระทั่ง 11 พฤศจิกายน 1939 คนที่ยังเหลืออยู่ก็ถูกสังหารหมู่เสียที่นี่  ส่วนใหญ่ของผู้เสียชีวิตสิ้นใจจากการถูกรมแก๊สพิษ เรียกว่าฆ่าคนยังไม่ยอมเปลืองกระสุน แถมยังเชือดได้ทีละมาก ๆ อีกด้วย นี่แหละสันดานนาซีโดยแท้

หากลองจินตนาการดูว่า ทำไมวิญญาณเหล่านี้ยังอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่า 7 ทศวรรษ ก็อาจจะมีเหตุผลได้หลายอย่าง เช่น ยังไม่หมดกรรม ยังไม่พบญาติ ยังไม่พบความยุติธรรม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม หากอ่านเรื่องที่จะเล่าอีกเรื่องต่อจากนี้ไป ก็อาจจะพอเข้าใจได้ว่า ทำไมเหยื่อของนาซีส่วนใหญ่ตายตาไม่หลับ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ผู้บงการตัวบิ๊กเบิ้มของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น อาจจะไม่ได้สิ้นชีพในหลุมหลบภัยที่เบอร์ลิน ตามที่มีบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ แต่หลบหนีไป อยู่ดีกินดี และแก่ตายธรรมดาก็ได้

จากที่เราได้เรียนรู้กันอย่างเป็นทางการมานานว่า หลังได้รู้ตัวว่ากลายเป็นผู้แพ้ อดอล์ฟ ฮิต–เลอร์ ผู้นำนาซี ได้ตัดสินใจยิงตัวตายเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1945 เป็นการลาโลกไล่ตามไปกับ อีวา บราวน์ คู่ชีวิตที่ดื่มยาพิษปลิดชีพตัวเองไปด้วยกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม และฮิตเลอร์ได้สั่งการให้เผาศพของตนเองและภรรยาเสียให้สิ้นซาก เพราะไม่อยากให้ใครนำร่างไร้วิญญาณไปประจาน ดังนั้น จึงไม่เคยมีใครพบศพของบุรุษผู้อื้อฉาวที่สุดแห่งสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย


ตอนที่ทหารของรัสเซียบุกเข้ามาถึงสถานที่หลบภัยนี้ จึงพบเพียงร่างที่ถูกไฟไหม้ มีเหลือแต่เศษซากเล็กๆ และชิ้นส่วนของหัวกะโหลกซึ่งมีรูกระสุนปืน ตรงตามคำให้การของผู้เกี่ยวข้องที่บอกว่า ฮิตเลอร์อมปากกระบอกปืนลูกโม่ไว้ในปาก ก่อนจะกระดิกไก ทำให้เกิดเป็นรูกระสุนที่กะโหลก ซึ่งเศษกะโหลกนี้ถูกส่งไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุรัสเซียเป็นเวลานาน แต่ในปี ค.ศ.2009 ที่ผ่านมา คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอนเนกติกัต สหรัฐอเมริกา ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการตรวจสอบเศษกะโหลกชิ้นนี้ แล้วก็ประกาศลั่นโลกว่า กะโหลกที่ “เชื่อ” กันมานานว่าเป็นของ “ฮิตเลอร์” นั้น ไม่ใช่ “ฮิตเลอร์” และไม่มีทางเลยที่จะเป็นไปได้ เพราะดีเอ็นเอที่สกัดได้จากกะโหลกนี้ เป็นดีเอ็นเอของหญิงสาวนางหนึ่ง ที่น่าจะมีอายุอยู่ระหว่าง 20-40 ปี แล้วจะเป็นฮิตเลอร์ไปได้ยังไง...

นับแต่นั้น ทฤษฎีที่ว่าฮิตเลอร์ไม่ได้สิ้นชีพคาหลุมหลบภัยในเบอร์ลิน ที่ถูกกล่าวขานกันมานานก็กลับมากระฉ่อนอีกหน และที่มีการพูดกันมากก็คือ ฮิตเลอร์น่าจะหนีไปอยู่อาร์เจนตินา ซึ่งเป็นประเทศที่เหล่าคนสนิทของท่านหนวดจิ๋มหลายคนหนีไปพำนักอยู่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจอร์ราด วิลเลียมส์ (Gerrard Williams) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ และไซมอน ดันสแตน (Simon Dunstan) คู่หูนักเขียนก็ประกาศเปิดตัวหนังสือที่เขียนร่วมกัน คือ Gray Wolf : The Escape Of Adolf Hitler ที่ระบุว่า การตายของฮิตเลอร์และอีวา เป็นเพียงการจัดฉาก แต่เรื่องจริง (ตามที่นักเขียนทั้งสองกล่าวอ้าง) คือ ฮิตเลอร์และแม่ยอดชู้สามารถหลบหนีออกจากเยอรมนีไปได้ และไปพำนักอยู่ที่อาร์เจนตินาอย่างเงียบๆ แต่ก็แวดล้อมด้วยพลพรรคนาซีที่หนีตามกันมาหลายคน โดยฮิตเลอร์และภรรยามีลูกสาวด้วยกัน 2 คน ก่อนที่ฮิตเลอร์จะแก่ตายในปี ค.ศ.1961 ขณะเป็นคุณตาวัย 73 ปี

อ่านแล้วอึ้งสุด ๆ ก็ตรงที่หนังสือเล่มนี้แฉว่า คนที่พาฮิตเลอร์หนีน่ะไม่ใช่หน่วยทหารนาซี แต่เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอเมริกัน หรือซีไอเอ ที่เป็นผู้พาหนี แลกกับการขอข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีสงครามของนาซี ที่ตอนนั้นเชื่อกันว่าก้าวหน้าไปมากกว่ากองทัพอื่น ๆ เจอร์ราด วิลเลียมส์ ซึ่งเป็นนักข่าวด้วย บอกว่า ได้ออกเสาะหาข้อมูลและสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากในอาร์เจน– ตินา ได้พบพยานที่เห็นคู่ผัวตัวเมียบันลือโลกนี้ กะหนุงกะหนิงกันจนมีทายาทตั้ง 2 คน อย่างที่ว่า


อย่างไรก็ตาม พอ 2 คู่หูประกาศตัวเปิดหนังสือเล่มนี้ ก็มีบรรดานักประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะนักประ วัติศาสตร์ชาวอเมริกันออกมาโวยกันใหญ่ว่า ไม่จริง...เพี้ยนไปกันหมดแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน สหรัฐอเมริกาไม่มีทางเปิดโอกาสให้ฮิตเลอร์หนี และไม่มีวันเป็นไปได้ ผู้นำหนวดจิ๋มจะไปนั่งๆนอนๆอยู่สุขสบายในอาร์เจนตินาได้อีกตั้ง 17 ปี ก่อนแก่ตายโดยไม่มีใครทำอะไรในช่วงนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  การที่ฮิตเลอร์น่าจะรอดจากเยอรมนีไปได้ และอาจจะไปแก่ตายบนเตียงที่ไหนสักแห่ง ก็คงเป็นข้อมูลที่ทำให้หลายคนน้ำตาร่วง โดยเฉพาะญาติพี่น้องของผู้สูญเสีย และผู้ที่ต้องเจอสิ่งเลวร้ายต่างๆจากความบ้าคลั่งของนาซี ที่ได้รับรู้ว่า “กรรม” ไม่ได้ติดจรวดไปกับฮิตเลอร์ด้วย ทฤษฎีนี้ต่างหาก ที่อาจจะเป็นเรื่องที่หลอก หลอนเราได้มากกว่าวิญญาณต่างๆที่อาจจะอยากเพียงแค่ทวงถามความยุติธรรม และถ้ามันจริง ก็เป็นการหลอกหลอนกันระดับโลกเลยทีเดียว.



ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/214489








 

Create Date : 18 ตุลาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 13:00:48 น.
Counter : 1326 Pageviews.  

เจาะตำนาน วิญญาณสุดเฮี้ยน



แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากสักเพียงใด แต่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ เรื่องอาถรรพณ์ วิญญาณหลอน ภูตผีปีศาจสุดเฮี้ยน ก็ยังถูกกล่าวขานถึงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน ทันสมัยไฮเทคสักเพียงใดก็ตาม เมืองไทยเรานั้นขึ้นชื่อเรื่องประเภทนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องผีสางที่คอยหลอกหลอนให้คนขวัญอ่อนได้ขนลุกขนพองกัน แต่ประเทศชั้นนำของโลกอย่างญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกานั้น เขามีเรื่องสุดยอดของความเฮี้ยนระดับโลกอย่างไรบ้าง 

ญี่ปุ่น
ที่ดินแดนปลาดิบ มีเรื่องของวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าขานกันมานานเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่ว่าเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุดของเขา เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยเอโดะ มีสตรีนางหนึ่งนามว่าโออิวะ เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มมากมาย แต่นางก็หักอกผู้ชายทั้งหลายด้วยการตัดสินใจที่จะมอบใจและกายให้กับอิเอม่อน ซามูไรหนุ่ม แต่ไม่นานความรักของทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหา เพราะไม่เพียงลำบากทางการเงิน สามีของเธอยังไปติดพันลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ในขณะที่โออิวะเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อยคนแรก แทนที่สามีของเธอจะดีใจ กลับร่วมมือกับคนรักใหม่หาทางกำจัดโออิวะให้พ้นทาง



อิเอม่อนนำเอายาพิษที่ได้จากชู้รักไปให้กับภรรยากิน บอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตร (บางครั้งก็เป็นครีมทาหน้า) ด้วยความรักที่มีต่อสามีทำให้นางหลงเชื่ออย่างง่ายดาย เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ก็ทำให้เธอเสียโฉมกลายเป็นคนอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวตาปูดโปนออกมาข้างหนึ่ง เธอจึงรู้ว่าหลงกลคนชั่วเข้าเสียแล้ว ด้วยความเสียใจเจ็บแค้นถึงที่สุดเธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในบึงน้ำ


เมื่อหมดก้างขวางคอ อิเอม่อนก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาคนใหม่ผู้มั่งคั่ง แต่วิญญาณอาฆาตของโออิวะก็ตามมาทวงแค้น เธอกรีดร้องคร่ำครวญโหยหวนดังไปทั่วบ้าน ทุกคนที่ได้ยินเกิดอาการหวั่นผวาไปทั้งสิ้น แต่อิเอม่อนนั้นเป็นซามูไรผู้เหี้ยมหาญ เมื่อเขาเห็นร่างผีภรรยาปรากฏขึ้น ก็ชักดาบแทงเข้าใส่ทันที ทว่า...เมื่อร่างนั้นล้มลงมันกลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐีชู้รักของเขาเอง

เมื่อพ่อของนางเข้าไปดูร่างไร้ชีวิตของลูกสาว อิเอม่อนกลับมองเห็นเป็นโออิวะอีกครั้ง เขาจึงใช้ดาบฟันไปที่ร่างนางปีศาจอดีตภรรยา แต่ร่างที่ล้มลงไปตายต่อหน้าต่อตาเขาก็คือเศรษฐีพ่อตาของเขาเอง อิเอม่อนเห็นเช่นนั้นจึงหนีออกจากบ้านเศรษฐีกลับไปบ้านของตนเอง เมื่อไปถึงที่บ้านอิเอม่อนถูกเชือกที่ห้อยอยู่ในบ้านพันรัดคอ เขารีบชักดาบออกมาตัดเชือก แต่กลายเป็นการเชือดคอตัวเองตายคาที่อยู่ตรงนั้น

ตามตำนานนั้น โออิวะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1636 และมีศาลชื่อ
โออิวะ ทามิยะ จินจะ (Oiwa Tamiya Jinja) อยู่ในกรุงโตเกียว ทุกครั้งที่มีการสร้างภาพยนตร์ ทีมผู้สร้างและนักแสดงจะต้องไปกราบไหว้ที่ศาลเพื่อแสดงความเคารพต่อโออิวะและขอให้การถ่ายทำสำเร็จราบรื่น

ผีโออิวะนั้น ลักษณะของเธอก็คล้ายกับผีผู้หญิงของไทย ที่มักจะปล่อยผมยาวสยาย รูปลักษณ์น่ากลัวเพราะกินยาพิษเข้าไปก่อนตายจนตาถลนออกมาข้างหนึ่ง หลายครั้งจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยของนางด้วย คล้ายกับผีแม่นากของบ้านเรา นิยายผีแม่ลูกอ่อนเรื่องนี้ถูกนำไปแสดงเป็นละครคาบูกิตั้งแต่ ค.ศ. 1825 และสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายสิบครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็คงความเป็นผีที่น่ากลัวที่สุดของญี่ปุ่นมาโดยตลอด

อังกฤษ
ประเทศอังกฤษนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี สิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆก็ยังคงยืนยงอยู่มาจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งจะว่ากันจริงๆแล้วหอคอยนี้มีลักษณะเป็นป้อมมากกว่า สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณทศวรรษที่ 6-7 ของศตวรรษที่ 11 ในสมัยของกษัตริย์วิลเลี่ยม และได้รับการต่อเติมจากกษัตริย์องค์ต่อๆมา จนขนาดใหญ่ขึ้นเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จัดเป็นหอคอยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก หอคอยแห่งนี้ผ่านเหตุการณ์ที่สำคัญๆมานับไม่ถ้วน แต่ที่โดดเด่นจนขึ้นชื่อคือ การถูกใช้เป็นที่จองจำและประหารชีวิตคนสำคัญจำนวนมาก ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นที่เกิดเหตุการณ์ “หลอน” มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน




วิญญาณหรือผีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ พระนางแอนน์ โบลีน ผู้เป็นราชินีอยู่ในช่วง ค.ศ. 1533 - 1536 พระนางถูกประหารชีวิตด้วยการตัดพระศอ โดยบัญชาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 สวามีของพระนางเอง สาเหตุก็เพราะพระนางมักจะขัดแย้งกับพระเจ้าเฮนรี่เป็นประจำ ทำให้ข้าราชบริพารแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ว่ากันว่าพระนางถูกประหารตรงบริเวณที่เรียกว่า Tower Green ดวงวิญญาณของพระนางอาจยังสิงสถิตอยู่ที่นั่น เพราะบางครั้งทหารยามเห็นสตรีนางหนึ่งมีผ้าคลุมศีรษะเดินอยู่ริมระเบียงที่ถูกปิดตาย ที่สุดสยองก็คือ สตรีผู้นั้นถือศีรษะของตนเดินไปด้วย บางครั้งมีคนได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนในห้องที่พระนางถูกประหาร ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง บ่อยครั้งที่มีคนเห็นพระนางแอนน์ โบลีน นำทหารในสมัยนั้นและเลดี้หรือสตรีระดับสูงเข้ามาในโบสถ์ที่หอคอยแห่งลอนดอน (Tower Chapel Royal) ภาพเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงโบสถ์ที่เงียบวังเวงเช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมีวิญญาณเฮี้ยนที่เคยมีคนเห็นอีกหลายครั้งคือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6, เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์, เคาน์เตสแห่งซาลิสบิวรี่, เลดี้เจน เกรย์ ฯลฯ

สหรัฐอเมริกา

แม้ว่าประเทศนี้จะมีประวัติศาสตร์มาเพียงสองร้อยกว่าปี แต่การสร้างประเทศจากแผ่นดินที่เรียกว่า “ดิบ ๆ” ผู้คนของเขาก็ต้องเสียสละเลือดเนื้อกันมานับจำนวนไม่ถ้วนเช่นกัน หลายๆแห่งในสหรัฐฯจึงขึ้นชื่อเรื่อง “ผีดุ” ไม่น้อยหน้าประเทศอื่น ๆ ที่จะยกตัวอย่างความสยองขึ้นชื่อก็คือที่อิลลินอยส์

คืนอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม พ.ศ.2460 ที่อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ หอพักแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น อิลลินอยส์ นักศึกษาสาวแมรี่ ฮอว์กกินส์ เธอนอนไม่หลับ ทั้งๆที่ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เธอจงใจไปที่ชั้นสี่ของตัวอาคารเพื่อเล่นเปียโน การกระทำของเธอไปกระทบโสตภารโรงหื่นกระหายคนหนึ่งที่คงเฝ้ารอโอกาสมานานแล้ว มันแอบย่องขึ้นไปยังห้องที่แมรี่เล่นเปียโนอยู่ เธอนั่งหันหลังให้ประตูจึงไม่รู้ว่าภารโรงใจชั่วกำลังมุ่งตรงเข้ามา มันล็อกเธอจากด้านหลัง ชกต่อยเธออย่างหนักเมื่อเธอพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แมรี่ผู้น่าสงสารถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้า แล้วข่มขืนอย่างไร้ปรานี ก่อนที่คนร้ายจะหนีไปมันยังทุบตีด้วยไม้จนมั่นใจว่าเธอตายสนิท แต่แมรี่ก็ยังไม่สิ้นใจ เธอตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานลงไปพร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอเลย จนกระทั่งเธอคลานลงไปถึงชั้นล่างสุด ที่ห้องของผู้ดูแลตึก เธอทั้งกรีดร้องและใช้เล็บตะกุยประตูให้คนข้างในรับรู้ จนในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผล เมื่อผู้ดูแลตึกได้ยินเสียงตะกุกตะกักนอกห้องจึงเปิดประตูออกมาดู แต่ช้าไปเสียแล้ว...แมรี่ผู้เคราะห์ร้ายขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งรอยเลือดตามทางที่เธอคลานลงมาไว้ให้ดูอย่างสุดสยอง




หลังการตายของแมรี่ ภารโรงใจชั่วหนีหายไร้ร่องรอยและไม่เคยถูกจับมาลงโทษแต่อย่างใด ทิ้งให้วิญญาณของแมรี่ยังคงสิงสถิตอยู่ในหอพักนั้น สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่บรรดานักศึกษาสาวที่นั่น คนจำนวนมากได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปเดินมาในอาคารและบันไดของหอพัก ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกไปจากห้องพักในยามวิกาลแม้สักก้าวเดียว หลายคนเห็นร่างของแมรี่ลอยผ่านกำแพงเข้ามาในห้องนอน บางคนเล่าว่า พวกเธอลืมปิดทีวีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วจู่ๆมันก็ปิดไปเองเหมือนมีใครมาช่วยปิด ที่ชวนขนหัวลุกหนักก็คือ บางครามีเสียงดังออกมาจากผนังห้อง ซึ่งหากเอาหูไปแนบกับผนัง จะได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงขอความช่วยเหลือดังอยู่ข้างใน ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ บางคนเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวไปตามทางเดิน แล้วก็มีรอยเท้าปรากฏขึ้นบนรอยเลือดนั้น ภาพสุดช็อกนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป

ปัจจุบันนี้อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ยังเปิดใช้งานอยู่ เช่นเดียวกับเรื่องวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นให้นักศึกษาในหอนั้นเสียวสันหลังเล่น แต่บริเวณชั้นสี่ของตัวอาคารถูกปิดตาย ห้ามนิสิตหรือผู้ใดขึ้นไปดูผีหรือไปดูเปียโนแห่งความหลังอีกต่อไป

นอกจากที่อิลลินอยส์แล้ว ยังมีอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยน เช่น คุกอัลคาทราซ, Athens Lunatic Asylum เมืองเอเธนส์ รัฐโอไฮโอ, อุโมงค์เซี่ยงไฮ้ (Shianghai Tunnels) ในเมืองพอร์ตแลนด์, โรงละคร Dock Street เมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา, อาคาร Lalaurie House เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา, Hampton Lillibridge House เมืองซาวานนา รัฐจอร์เจีย ฯลฯ

ประเทศไทย
ศูนย์รวมของผีที่น่ากลัว ๆ จำนวนมากอยู่ที่นี่ เมืองไทยเรานั้นน่าจะเป็นที่ที่มีผีหลากชนิดติดอันดับโลก ซึ่งถ้าจัดอันดับผีที่น่ากลัวที่สุดของไทยคงได้แก่ผีตายทั้งกลมและผีตายโหง ส่วนตำนานผีไทยซึ่งคลาสสิกและน่ากลัวที่สุดนั้นก็ต้องแม่นากพระโขนง (บางครั้งก็เขียนเป็นแม่นาค)


เรื่องราวของแม่นากนั้นคนรุ่นเก่าได้ยินติดหูแต่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้ละเอียดนัก เรื่องราวของแม่นากเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องมีอยู่ว่า นายมากและนางนากเป็นสามีภรรยาที่รักกันมาก ทั้งสองอยู่ที่พระโขนง ขณะที่นางนากตั้งครรภ์ได้ไม่นาน นายมากก็ได้รับหมายเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารที่บางกอก ระหว่างนั้นนางนากถึงกำหนดคลอด ซึ่งสมัยนั้นก็ต้องอาศัยหมอตำแย แต่เนื่องจากลูกในท้องไม่ยอมกลับหัว นางจึงไม่สามารถคลอดลูกได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่นาน จนกระทั่งนางทนความเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง ศพของนางถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ต่อมาเมื่อนายมากกลับจากประจำการ ก็รีบกลับแต่มาถึงบ้านตอนพลบค่ำ เขาพบนางนากคอยอยู่ในรูปลักษณ์เหมือนคนปกติธรรมดา นายมากจึงไม่รู้ว่านางนากนั้นตายไปแล้ว ผีนางนากพยายามไม่ให้ผัวของตนออกไปพบปะกับใคร เพื่อจะได้ไม่รู้ว่านางนั้นตายแล้ว แต่ในที่สุดนายมากก็รู้จนได้ และพยายามหนีออกจากบ้านจนสำเร็จ ทำให้ผีนางนากโกรธมากและออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านไปทั่ว กลายเป็นตำนานความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันมานับร้อยปี

เรื่องราวของแม่นากและนายมากถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง และเร็ว ๆ นี้ก็มีบริษัทภาพยนตร์ได้หยิบยกเอาตำนานนี้กลับมาเล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นการนำเสนอในมุมมองที่แตกต่าง กับเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครรู้ของ “พี่มาก” ชายหนุ่มที่แม่นากรักมากที่สุดและผองเพื่อนทั้งสี่ที่เดินทางกลับมาที่พระโขนงด้วยกันจนมาเจอแม่นาก ความฮาและความเฮี้ยนจึงบังเกิดกลายเป็นหนังผีคอมเมดี้โรแมนติก ที่ตั้งชื่อเก๋มากว่า “พี่มาก...พระโขนง” เปิดตำนานวิญญาณสุดเฮี้ยนกันอีกครั้งโดยทีมสร้างที่มากด้วยฝีมือมาร่วมกันสร้างสรรค์ ให้ตำนานผีไทยนั้นไม่น้อยหน้าชาติใด ๆ.


โดย : ลุงดำ ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/334290








 

Create Date : 16 ตุลาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 12:00:36 น.
Counter : 977 Pageviews.  

ยิ่งใหญ่ได้เพราะขายวิญญาณให้ปีศาจ





การจะได้ดิบได้ดี ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานา แต่ก็มีข่าวเล่าลือกันอย่างลับๆว่ามีใครบางคนที่ใช้ ทางลัดอันลี้ลับในการได้รับความสุข ความมั่งคั่ง หรืออำนาจ ด้วยการยอมขายวิญญาณของตนให้กับปีศาจ เพื่อบรรลุความปรารถนาของตน ขอนำท่านไปพบกับบรรดาคนสำคัญที่โลกแอบลือกันว่าได้เคยทำสัญญากับปีศาจมาแล้ว

 


สมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่  2 (Pope Sylvester II)



ท่านมีความรู้กว้างขวาง หลงใหลวิทยาศาสตร์ ของโลกอาหรับ รอบรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ กลศาสตร์ และท่านยังเป็นผู้ประดิษฐ์นาฬิกาลูกตุ้ม ลูกโลกดารา (armillary sphere) และยังนำเลขอารบิกไปเผยแพร่ในยุโรปตะวันตก นอกจาก นี้ ท่านยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ ดนตรี เทววิทยา และปรัชญา

หลังจากมรณะของท่านก็เริ่มมีข่าวลือแพร่กระจายว่า ท่านเป็นนักเวทมนตร์ อีกทั้งเบื้องหลังการเป็นอัจฉริยบุคคลและความสามารถในการ ประดิษฐ์ของท่านเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการทำข้อตกลงกับปีศาจ บางตำนานเล่าว่าท่านได้ทำสัญญากับปีศาจหญิงสาวที่ชื่อลาเมอริเดียนา (Meridiana) ที่ช่วยเหลือท่านให้ขึ้นครองตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา (อีกตำนานเล่าว่าท่านได้รับเลือกเป็นสันตะปาปาจากการเล่นลูกเต๋ากับปีศาจ)


นิคโคโล  ปากานินี  (Nicolo Paganini)


หนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์ไวโอลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาสามารถเล่นแมนโดลินเมื่ออายุเพียง 5 ปี และเริ่มเล่นไวโอลิน เมื่ออายุ 7 ปี ต่อมาก็เริ่ม เล่นต่อหน้าสาธารณชนในขณะอายุ 12 ปี แต่เมื่ออายุ 16 เขามีอาการเจ็บป่วยและเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ก่อนที่จะกลับมาเล่นอีกครั้งจนมีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว ด้วยเทคนิควิธีการเล่นไวโอลินแบบแปลก ๆ ชนิดที่เรียกว่าไม่มีนักไวโอลินคนไหนเหนือกว่าเขาในเวลานั้น

ด้วยภาพลักษณ์ของปากานินีที่ผอมซีดและชอบใส่ชุดสีดำ ทำให้หลายคนเชื่อว่าเขาทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกกับความสามารถ ซึ่งผู้ชมบางคนได้อ้างว่าเห็นปีศาจช่วยเหลือเขาในระหว่างการแสดง ซึ่งข่าวลือดังกล่าวอาจเป็นเพราะเขาปฏิเสธพิธีรับศีลครั้งสุดท้ายของคริสตจักร ทำให้เมื่อเขาเสียชีวิต ทางโบสถ์จึงปฏิเสธทำพิธีฝังศพทางศาสนา ซึ่งต้องใช้เวลาอุทธรณ์อีกหลายปีกว่าจะได้รับความยินยอม


โจนาธาน มอลตัน (Jonathan Moulton)



จากเด็กฝึกงานทำตู้ที่หันไปร่วมรบกับกองทัพ ที่นิวอิงแลนด์ ในปี 1745 เขาเข้าร่วมรบในสงครามพระเจ้าจอร์จ (King George’s War) และสงครามฝรั่งเศส-อเมริกันอินเดียน (French and Indian War) ต่อมาเขากลายเป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา


ความมั่งมีอันน่าฉงนของโจนาธาน ทำให้เกิดข่าวลือว่าเขาได้ทำสัญญากับปีศาจ ว่ากันว่าปีศาจจะปรากฏตัวเพื่อใส่เหรียญทองเต็มรองเท้าบูตของเขาที่แขวนไว้หน้าเตาผิงในวันแรกของทุกเดือนแต่โจนาธานโลภมาก เลยคิดอุบายตัดพื้นรองเท้าบูต ให้เป็นรูใหญ่เพื่อให้ปีศาจใส่เหรียญยังไงก็ไม่เต็มเสียที และเมื่อปีศาจรู้ว่าโดนโจนาธานหลอก ก็แก้แค้นด้วยการเผาคฤหาสน์ของเขาและทำให้เหรียญทองหายไป

เล่ากันว่าเมื่อโจนาธานเสียชีวิตลง ศพของเขาก็หายไปจากโลงศพและถูกแทนที่ด้วยกล่องใส่เหรียญ ประทับตรามาร ปัจจุบันนี้หลุมศพของเขาอยู่ตรงไหนก็ยังไม่มีใครทราบ

บาทหลวงเออร์เบน กรานเดียร์ (Father Urbain Gran-dier)


นักบวชคาทอลิกชาวฝรั่งเศสที่ถูกเผาทั้งเป็น หลังถูกตัดสินในข้อหาใช้เวทมนตร์คาถา เขาทำหน้าที่เป็นนักบวชในโบสถ์ เซนต์ครอย (Saint Croix) ในลูดอง (Loudun) เขาเป็นนักบวชที่มีชื่อเสียในเรื่องละเมิดคำสาบานรักษาพรหมจรรย์ ด้วยเป็นคน มักมากในกาม มีความสัมพันธ์ทางเพศกับสตรีและโด่งดังในเรื่องเจ้าชู้

ในปี 1632 เขาถูกกลุ่มแม่ชีกล่าวหา ว่า มีเวทมนตร์เรียกปีศาจอัสโมดาอี (Asmodai)  หนึ่งในปีศาจเจ็ดบาปราคะ เพื่อใช้ทำความชั่ว หลังจากเขาถูกจับและถูกนำตัวไปทรมาน ก็ได้พบหลักฐานที่เชื่อว่าเป็นใบสัญญาที่เขาทำไว้กับปีศาจหลายตัวเป็นภาษาละติน รวมถึงลายเซ็นที่เชื่อว่าเป็นของซาตาน สัญญาระบุว่า เขาจะจงรักภักดีต่อปีศาจและสละความเชื่อต่อศาสนาเพื่อบรรลุข้อตกลงเพื่อให้ได้ผู้หญิงที่ตนต้องการ รวมไปถึงความมั่งคั่งและ ชื่อเสียง ปัจจุบันใบสัญญาเหล่านั้นยังคงเก็บอยู่ในหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบัน

จูเซปเป้ ตาร์ตินี่ (Giuseppe Tartini)


นักแต่งเพลงและนักไวโอลินชาวอิตาเลียน มีผลงานประพันธ์เพลงบรรเลงกว่า 400 เพลง ส่วนใหญ่ เป็นเพลงที่ใช้ในโบสถ์ และโอเปร่า ผลงานโดดเด่นมีชื่อเสียงที่สุดคือ เพลงที่ชื่อ “เดวิด ทริล โซนาต้า” (Devil’s Trill Sonata) ที่ใช้เดี่ยวไวโอลินด้วยท่วงทำนองอันร้อนแรง

จุดเริ่มต้นของเพลงดังกล่าว จูเซปเป้ได้เล่าให้ เฌโรม ลาล็องด์ (Jérôme Lalande) นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศสฟังว่า เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากปีศาจที่ปรากฏตัวต่อเขาในความฝัน ปีศาจนั้นบรรเลงไวโอลินโซนาต้าบทหนึ่ง ซึ่งไพเราะมากจนเขาแทบลืมหายใจ แต่เมื่อตื่นขึ้นมา เขากลับไม่สามารถจดจำบทเพลงนั้นได้เลย เขาจึงลองแต่งโซนาต้า เพื่อเลียนแบบเพลงในฝัน แม้ว่าเพลงจะสร้างความประทับใจแก่ผู้ชมมากเท่าใดก็ตาม แต่จูเซปเป้ยังคงผิดหวังที่ผลงานยังห่างชั้นเพลงที่ได้ยินในความฝัน เขาถึงกับกล่าวภายหลังว่า “ผมยอมพังไวโอลินทิ้งและเลิกเล่นดนตรีตลอดไป ถ้าผมได้เป็นเจ้าของบทเพลงนั้น”

โรเบิร์ต จอห์นสัน (Robert Johnson)

นักดนตรีบลูส์ที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกัน มีตำนานเล่าว่า เขาต้องการเป็นนักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่และได้รับ คำแนะนำให้ลองไปที่สี่แยกใกล้ด็อคเคอรี่  แพลน– เทชั่น (Dockery Plan– tation) เวลาเที่ยงคืน ที่นั่นเขาได้พบปีศาจที่มาปรับจูนกีตาร์ของเขา พร้อมกับสอนการเล่นให้สองสามเพลง โดยแลกเปลี่ยน ชีวิตของจอห์นสัน หากเขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงในดนตรีเพลงบลูส์


ข่าวลือนั้นมาจากการที่ช่วงแรกๆ โรเบิร์ตเป็นเพียงนักดนตรีที่ไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย ต่อมาเขาก็ได้หายตัวไปและกลับมาพร้อมเทคนิคและการเล่นเหนือชั้นที่ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนมาจากที่ไหน อีกทั้งเนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับซาตานเป็นส่วนมาก

โรเบิร์ต จอห์นสัน เสียชีวิตด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี ด้วยอาการป่วยลึกลับที่ยังเป็นที่ถกเถียงไม่เลิก หลายคนเชื่อว่าปีศาจมาเอาวิญญาณเขาไป แต่ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือเขาถูกวางยาพิษในแก้ววิสกี้โดยภรรยาจับได้ว่าเขานอกใจ

โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ (Johann Georg Faust)


นักเล่นแร่แปรธาตุพเนจร โหราจารย์และจอมเวทจากเยอรมันยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (หรือยุคเรอเนสซองซ์) ในขณะที่เขาเรียนอยู่มหา’ลัยคราคูฟ (Krakow) สองเพื่อนสนิทของเขา มาร์ติน ลูเธอร์ (Martin Luther) และ ฟิลิป เมลแอชตัน (Philip Melachton) ได้เป็นพยานในพิธีสัญญาผูกพันเฟาสท์กับปีศาจ ทำให้เขาถูกประณามจากคริสตจักรว่าเขาดูหมิ่นศาสนาและทำสัญญาปีศาจ


ตำนานชีวิตของเขาได้รับการเขียนเป็นหนังสือ เรื่องราวมีอยู่ว่าเฟาสท์อยากมีชีวิตสุขสบายจึงศึกษาไสยศาสตร์เรียกปีศาจ เขาทำข้อตกลงกับซาตานเพื่อทำให้เขากลับมาเป็นหนุ่มวัย 24 ปีอีกครั้ง แต่ต่อมาเขาก็ไม่พอใจชีวิตที่เป็นอยู่และพยายามจะยกเลิกข้อตกลง ปีศาจจึงได้ฆ่าเขาอย่างทารุณ แต่ความเป็นจริงที่รู้กันก็คือเขาเสียชีวิตเพราะเกิดในขณะทำการทดลองเล่นแร่แปรธาตุ

นักบุญทีโอฟิลุส แห่งอาดานา (St. Theophilus of Adana)

บาทหลวงในศริสต์ศตวรรษที่ 6 ที่มีการกล่าวถึงว่าได้ทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อให้ได้รับตำแหน่ง อีกเรื่องราวของท่านยังเป็นเรื่องที่เก่าเก่าที่สุดของการทำสัญญากับปีศาจ


ทีโอฟิลุส เป็นบาทหลวงแห่งอาดานา, คิลี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตุรกีในปัจจุบัน ท่านได้รับเลือกเป็นบิชอป แต่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนท่านจึงสละตำแหน่ง จึงมีผู้อื่นได้รับเลือกแทน แต่แล้วบิชอปคนใหม่กลับถอดถอนตำแหน่งรองบิชอปของท่านออกอย่างไม่ยุติธรรม ทำให้ท่านเสียใจมาก จึงติดต่อหมอผีมาทำพิธีติดต่อกับซาตานเพื่อทำสัญญาปีศาจ โดยลงนามด้วยเลือดของตนเอง โดยแลกกับการละทิ้งพระเยซูคริสต์ และพระแม่มารี ซึ่งปีศาจก็ช่วยทำให้ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นบิชอปสมใจ

ปีต่อมา ทีโอฟิลุสเริ่มหวาดกลัวว่าปีศาจจะเอาดวงวิญญาณไป ท่านสำนึกผิดและได้อธิษฐานต่อพระแม่มารีเพื่อขออภัย หลังจากที่ 40 วันนับจากวันอดอาหาร พระแม่มารีก็ได้ปรากฏตัว และกล่าวตำหนิทีโอฟิลุสขอร้องให้อภัย ซึ่งพระแม่ มารีได้สัญญาว่าจะไกล่เกลี่ยกับพระเจ้าให้

เขาอดอาหารต่ออีก 30 วัน พระแม่มารีจึงปรากฏต่อหน้าเขาอีกครั้ง และเขาก็ได้รับการอภัยโทษ แต่ทว่า ซาตานหาได้ยินยอมเช่นนั้นไม่ สามวันต่อมาทีโอฟิลุสตื่นขึ้นมาพบคำสาปแช่งบนหน้าอกตัวเอง ท่านจึงเอาสัญญาไปให้บิชอปและสารภาพทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำลงไป บิชอปจึงทำลายเอกสารนั้นทิ้ง กล่าวกันว่า เมื่อทีโอฟิลุสหมดอายุไขลง ท่านก็ได้รับการปลดปล่อยจากภาระข้อสัญญากับปีศาจทั้งหมด

เรื่องทั้งหมดที่เล่ามานี้ เป็นตำนานความเชื่อที่เล่าลือต่อๆกันมาในหมู่ชาวตะวันตก  ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าท่านเหล่านี้ได้ทำข้อตกลงอันน่าสะพรึงกับบรรดาปีศาจซาตานทั้งหลายหรือไม่...
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?

โดย CAMMY และทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน

ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/258051






 

Create Date : 13 ตุลาคม 2557    
Last Update : 29 กรกฎาคม 2560 12:47:05 น.
Counter : 1223 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.