กาลครั้งหนึ่งในสมัยโบราณ ยังมีเศรษฐีผู้หนึ่งเจริญด้วยทรัพย์มหาศาล แต่ไร้บุตรสืบสกุล วันหนึ่งท่านเศรษฐีได้พบชายผู้หนึ่งเมาสุราเที่ยวกล่าววาจาระรานผู้อื่น ท่านเศรษฐีจึงเข้าไปต่อว่าตักเตือน แต่กลับถูกชายผู้นั้นกล่าวคำหยาบช้าโต้ตอบว่า
ถึงแม้เราจักเป็นนักเลงสุรา แต่เราก็หาได้เป็นคนมีกรรมหนักดังเช่นท่านไม่
ท่านเศรษฐีจึงกล่าวว่า เหตุใดท่านจึงต่อว่าเราเช่นนั้น
นักเลงสุราได้ตอบกลับว่า ถึงแม้ท่านเป็นผู้มีสมบัติมาก แต่ท่านก็ไม่มีบุตรชายสืบสกุล เมื่อเสียชีวิตแล้ว สมบัติเหล่านี้ก็สูญเปล่า ส่วนเรานั้นมีบุตรชายถึงสามคน ไว้สืบสกุลย่อมประเสริฐกว่าท่านผู้ไร้บุตรมากนัก
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านเศรษฐีจึงเกิดกลุ้มใจเป็นอันมาก และได้ไปปรึกษานักบวชผู้รู้ ซึ่งได้ให้คำแนะนำให้เศรษฐีจัดพิธีบวงสรวงขอบุตรจากพระอาทิตย์ และพระจันทร์ ทว่าแม้ทำพิธีแล้ว ผ่านไปนานถึงสามปี ก็ยังมิได้เกิดบุตร จนเมื่ออาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีจึงพาบริวารไปบวงสรวงขอบุตรจากพระไทร พระไทรมีความเมตตาสงสารเศรษฐี จึงได้ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์และกราบทูลขอบุตรจากพระอินทร์ให้แก่เศรษฐีผู้นั้น พระอินทร์จึงรับสั่งให้ธรรมบาลกุมารเทวบุตรลงมาเกิดเป็นบุตรของท่านเศรษฐี ต่อมา เมื่อภรรยาของท่านเศรษฐีคลอดบุตรแล้ว ท่านเศรษฐีได้ปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้บุตรชายอยู่ยังใต้ต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำและตั้งชื่อบุตรของตนว่า ธรรมบาลกุมาร
ธรรมบาลกุมารเป็น เด็กที่เฉลียวฉลาดอย่างมาก โดยสามารถเรียนรู้ไตรเทพจบเมื่ออายุ ๗ ขวบ ทั้งยังสามารถเรียนรู้ภาษานกได้อีกด้วย ด้วยความสามารถของธรรมบาลกุมารนี้เอง ทำให้ผู้คนพากันนับถือว่าเป็นผู้รอบรู้ในทุกสรรพสิ่ง
จนเมื่อคำรำลือดังกล่าวได้ล่วงรู้ถึงท้าวกบิลพรหม ท่านท้าวจึงวคิดว่า มานพน้อยผู้นี้คิดจะมาแข่งวิชาความรูกับเทพยดา ท้าวกบิลพรมจึงต้องการที่จะทดสอบปัญญาของธรรมบาลกุมาร จึงได้เสด็จลงมายังโลกมนุษย์ และถามปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อคือ
ข้อที่ ๑ ยามเช้า ราศีแห่งมนุษย์สถิตอยู่ ณ ที่ใด
ข้อที่ ๒ ยามเที่ยง ราศีแห่งมนุษย์สถิตอยู่ ณ ที่ใด
ข้อที่ ๓ ยามค่ำราศีแห่งมนุษย์สถิตอยู่ ณ ที่ใด
โดยในการพนันประลองปัญญานี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่า ถ้าธรรมบาลกุมาร สามารถตอบปัญหาได้ ภายใน ๗ วัน ท้าวกบิลพรหมจะตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบปัญหาได้ ธรรมบาลกุมารก็จะต้องตัดศีรษะของตนเช่นกัน
เวลาล่วงเลยไปถึง ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังหาคำตอบไม่ได้ และด้วยความกลัดกลุ้มใจ ธรรมบาลกุมาร จึงได้ไปนอนก่ายหน้าผากอยู่ใต้ต้นตาล และที่บนต้นตาลนั้นมีนกอินทรี ๒ ตัว ผัวเมียทำรังอยู่ ในวันนั้น นกอินทรีทั้งสองได้คุยกันเรื่องการออกไปหากินในวันพรุ่งนี้ โดยนางนกอินทรีได้ถามผัวว่า พรุ่งนี้เราจะไปหากินที่ไหนกันดี
นกอินทรีตัวผู้จึงตอบว่า พรุ่งนี้เราไม่ต้องออกไปหากินไกลหรอก ด้วยพรุ่งนี้ธรรมบาลกุมารจะต้องตัดศีรษะบูชาท้าวกบิลพรหม เนื่องจากตอบปัญหาไม่ได้และเราก็จะได้กินเนื้อของธรรมบาลกุมารกัน
น่าสงสารกุมารน้อยยิ่งนัก ท้าวกบิลพรหมก็ช่างกระไร จึงถามปัญหาที่มนุษย์เกินจะตอบได้เช่นนี้นางนกว่าก่อนจะถามผัวอีกแล้วพี่ท่านรู้คำตอบของปริศนานั้นหรือไม่เล่า
ปัญหาเพียงเท่านี้ เหตุใดข้าจักมิรู้เล่าเจ้านกอินทรีตัวผู้พูดก่อนเฉลยให้เมียรักฟังว่า อันราศีแห่งมนุษย์นั้นจะสถิตอยู่ที่ร่างกายต่างวาระกัน คือ เวลาเช้าจะสถิตอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงต้องล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีสถิตอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องปะพรมน้ำที่หน้าอก และเวลาค่ำสถิตอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้า จึงจะพ้นอัปรีย์จัญไรทั้งปวง
ครั้นเมื่อธรรมบาลกุมารเมื่อได้ยินดังนั้น ก็จดจำคำตอบและนำไปบอกแก่ท้าวกบิลพรหม เมื่อการณ์กลับเป็นดังนี้ ท้าวกบิลพรหมจึงจำต้องตัดเศียรของตนบูชาธรรมบาลกุมาร เนื่องด้วยแพ้พนัน ทว่าเศียรของท้าวกบิลพรหมนั้นมีพิษร้ายมาก คือ หากตัดแล้วตั้งไว้บนแผ่นดิน แผ่นดินก็จะลุกเป็นไฟ ถ้าโยนขึ้นสู่ท้องฟ้าฝนก็จะตกไม่ถูกต้องตามฤดูกาล และถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำก็จะเหือดแห้ง
ท้าวกบิลพรหมจึงรับสั่งเรียกธิดาทั้ง ๗ เพื่อให้นำเศียรของท้าวกบิลพรหมไปแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วจึงนำไปเก็บไว้ในมณฑปถ้ำธุลีเขาไกรลาศ ครั้นครบกำหนด ๓๖๕ วัน (โลกสมมุติว่าเป็น ๑ปี) เป็นสงกรานต์ ซึ่งหมายถึงขึ้นปีใหม่นั้นเอง โดยนางสงกรานต์จะต้องนำเศียรของท้าวกบิลพรหมแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุเป็นประจำทุกปี และนี่ก็คือ ตำนานแห่งวันสงกรานต์