4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
ตำนานการระบาดของกาฬโรคในยุโรปยุคกลาง

 

ในระหว่าง พ.ศ.1891-1893 (รัชสมัยพระเจ้าลือไทย แห่งอาณาจักรสุโขทัย) ได้เกิดเหตุการณ์ กาฬโรค ระบาดอย่างรุนแรงในยุโรป จนประชากรล้มตายไปประมาณ 25% การไม่รู้สาเหตุทำให้ผู้คนไม่มีวิธีป้องกัน และแพทย์ไม่มีวิธีรักษา ดังนั้น กคนในสมัยนั้นจึงมีชีวิตอยู่ภายใต้เงามัจจุราชตลอดเวลา



ภาพ เดอะ เพลก (The Plague) ของราฟาเอล แสดงการระบาดของกาฬโรค 
ส่วนขวาแสดงเหตุการณ์กลางคืน และส่วนซ้ายแสดงเหตุการณ์กลางวัน



จนกระทั่งปี 2437 แพทย์จึงรู้ว่า กาฬโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ Baicllus pestis และคนที่เป็นโรคนี้ออกอาการได้ 3 รูปแบบ คือ กาฬโรคปอด (peneumonic) กาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (bubonic) และกาฬโรคเลือด (septicemic) ซึ่งกาฬโรคทั้ง 3 ชนิดนี้ สามารถทำให้คนที่เป็นตายได้ภายใน 5-6 วัน หลังจากที่ถูกหมัดจากหนูกัด ทำให้มีไข้สูง รู้สึกเจ็บตามตัวและอ่อนเพลีย หลังจากนั้นตัวจะมีตุ่มเป็นจ้ำดำ ต่อมน้ำเหลืองบวม ใต้ท้องน้อย ต้นขา และรักแร้จะบวม การมีตุ่มดำ ก่อนเสียชีวิตเล็กน้อย ผู้คนจึงเรียกการตายด้วยโรคนี้ว่า "ความตายสีดำ" (Black Death) แพทย์ยังได้พบอีกว่า การแพร่เกิดจากการไอ จาม และการระบาดมักอุบัติในที่ที่แออัด หรือที่ที่สาธารณสุขไม่ดี

นักบุญร็อค (Roch) แห่งเมืองม็องปิลิเยร์ (Montpellier) ในฝรั่งเศส
ผู้อุทิศตนรักษาคนเป็นกาฬโรค จนตัวเองสิ้นบุญด้วยกาฬโรค

ในการศึกษาประวัติการระบาดของโรคนี้ นักประวัติศาสตร์ได้พบว่า อาณาจักรโรมันได้เคยประสบเหตุการณ์กาฬโรคระบาดตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 11 แล้วได้สงบไป จนกระทั่งอีก 900 ปีต่อมา เมื่อเหล่าทหารในสงครามครูเสดเดินทางกลับจากตะวันออกกลาง กาฬโรคก็ได้ระบาดอีก โดยเฉพาะในปี 1991 นั้น มีผู้คนล้มป่วยมากมายในอิตาลี สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ สแกนดิเนเวีย และยุโรปตอนกลาง การระบาดมักเริ่มในเมืองที่มีประชากรหนาแน่น ในยามหน้าร้อน ซึ่งเป็นเวลาที่หนูในเมืองมีเกลื่อนกลาด แต่เมื่อถึงหน้าหนาว ความรุนแรงของโรคก็ลดลง และเริ่มระบาดใหม่อีกในฤดูใบไม้ผลิต่อมา

ในปี 2208 (รัชสมัยพระนารายณ์มหาราช) สถิติการเสียชีวิตของคนอังกฤษในลอนดอนเท่ากับ 10% (50,000 คน) คนอิตาลีที่เมืองฟลอเรนซ์เสียชีวิต 45,000 คน คนเยอรมันที่เมืองฮัมบูร์กเสียชีวิตเพราะกาฬโรค 60% คนฝรั่งเศสที่เมืองมาร์แซย์ เสียชีวิต 40,000 คน

เมื่อผู้คนล้มตายกันมากมาย และหมอช่วยอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งมาตรการป้องกันโรคที่บ้านเมืองกำหนดให้ทุกคนปฏิบัติ ก็ป้องกันอะไรไม่ได้ ดังนั้น ชาวเมืองจึงพากันคิดว่ากาฬโรคเป็นโรคที่พระเจ้าส่งลงมาฆ่าคนที่ทำบาป หลายคนคิดว่าคนยิวลอบเอายาพิษใส่ในบ่อน้ำ ทำให้คนที่ดื่มน้ำจากบ่อล้มตาย บางคนไปโบสถ์เพื่อสวดขอให้พระแม่มาเรียคุ้มครอง บ้างก็ไปพบนักบุญเซบาสเตียน และนักบุญรอชเพื่อไถ่บาป บางคนใช้วิธีเปลื้องบาปโดยโบยตีตนด้วยแส้จนเลือดอาบ แต่ถึงจะใช้วิธีใด กาฬโรคก็ยังระบาด และผู้คนก็ยังล้มตายต่อไป ดังนั้น วิธีเอาตัวรอดวิธีต่อไปคือหนี โดยใช้รถม้า เกวียน รถเข็น หรือเรือหนีออกนอกเมืองทันทีที่รู้ว่ากาฬโรคระบาด บรรดาคนที่มีฐานะดี เช่น กษัตริย์ นักบวช พ่อค้า ทนาย ครู อาจารย์ ทหาร และแม้แต่แพทย์เองก็หนี ทิ้งคนจนที่ไม่มีปัจจัยป้องกันตัวเองเผชิญมัจจุราชตามลำพัง ส่วนคนรวยเมื่อหนีไปแล้วก็ไปพำนักในบ้านนอกเมือง โดยปิดประตูบ้านไม่รับแขกใดๆ เพราะเชื่อว่าคนที่มาเยือนคือยมบาลที่มาเรียกตัว

ดังในปี 2106 ที่กาฬโรคระบาดในลอนดอน สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 1 ทรงเสด็จหนีกาฬโรคไปประทับที่พระราชวังวินเซอร์นอกเมือง และพระองค์ทรงบัญชาให้ฆ่าทุกคนที่หนีมาจากลอนดอน เพื่อจะมาพักพิงในพระราชวังของนาง ส่วนรัฐบาลก็ได้กำหนดมาตรการสกัดการระบาด โดยส่งทหารไปล้อมเมืองที่มีการระบาดไม่ให้ใครเข้า-ออก และให้คนในเมืองปิดประตูบ้านของตนไม่ให้ใครไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็น สำหรับคนที่ป่วยก็ให้กักตัวอยู่ในบ้านของตน และตามจัตุรัสในเมืองมีการติดตั้งตะแลงแกงขู่ฆ่าคนที่ขัดขืนหรือไม่เชื่อคำสั่ง

สำหรับวิธีการรักษากาฬโรคในสมัยนั้น แพทย์ใช้ทากดูดเลือดที่เชื่อว่าเป็นเลือดเสีย แพทย์บางคนรักษาไข้โดยการปล่อยเลือดให้ไหลออกจากร่างกาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยคนไข้แล้ว ยังทำให้คนไข้ตายเร็วด้วย และแพทย์บางคนให้คนไข้สูบบุหรี่ เพราะเชื่อว่าไอร้อนจากควันบุหรี่รักษากาฬโรคได้

ในปี 2111 ศัลยแพทย์อองบรวส ปาร์ (Ambroise Pare) แห่งฝรั่งเศสได้บันทึกว่า เวลาสมาชิกของครอบครัวคนหนึ่งคนใดล้มป่วยด้วยกาฬโรค สถาบันครอบครัวจะล่มสลายทันที สามีจะทิ้งภรรยาที่เป็น ลูกจะทิ้งพ่อแม่ที่เป็น และพ่อแม่ก็จะทิ้งลูกที่เป็นกาฬโรคเช่นกัน ทำให้คนที่ถูกทอดทิ้งกลัวจนเสียสติ และฆ่าตัวตายกลางถนนในเวลาต่อมา ดังภาพ "กาฬวิบัติ" (La Peste) ที่ราฟาเอลวาด ซึ่งขณะนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อุฟฟีซี ในเมืองฟลอเรนซ์



สำหรับการจัดการศพคนเป็นกาฬโรคก็มีปัญหาเพราะการหาสัปเหร่อนั้นยากสุดๆ และถ้าจะให้คนเอาศพใครไปทิ้งก็ต้องจ้างด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ซึ่งคนที่รับงานประเภทนี้มักเป็นพวกฆาตกรหรือคนจรจัดที่มีชีวิตอยู่อีกไม่นานก็ตาย และทันทีที่มีคนตาย ศพจะถูกเหวี่ยงขึ้นเกวียนเพื่อเอาไปฝังรวมกันในหลุมฝังศพขนาดใหญ่นอกกำแพงเมือง สำหรับคนที่เคร่งศาสนาเวลาญาติตายก็จะรู้สึกเศร้าเพราะไม่มีพระใดอาสามาสวดศพ ขบวนศพก็ไม่มีคนตามและถ้าให้ดูดีก็ต้องจ้างคนมาเดินร่วมขบวน

เมื่อความทุกข์มีท่วมท้นเช่นนี้ บรรดาจิตรกร เช่น Holbein,Delacroix และ Raphale ต่างก็ได้วาดภาพเหตุการณ์นี้รวมถึงนักประพันธ์ เช่น แดเนียล เดโฟ และ อัลเบิร์ต คามูส์ ก็ได้เคยเขียนเรื่อง "กาฬโรค" (The Plague) ที่เกี่ยวกับสังคมในยุคกาฬโรคระบาดด้วย ว่ามีการฆาตกรรม โจรกรรมและความรุนแรงมากมาย เพราะผู้คนไร้ศาสนา จากการไม่มีนักบวชเป็นที่พึ่งบ้านเมืองไม่มีความยุติธรรม เพราะไม่มีลูกขุน หรือผู้พิพากษามาตัดสินการขโมยเกิดทุกหัวระแหง บ้านคนที่เสียชีวิตด้วยกาฬโรคจะถูกปล้น แม้แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับศพ ก็ยังถูกฉกก่อนที่ศพจะถูกนำไปทิ้งหรือเวลาขโมยเข้าบ้านและเห็นคนที่กำลังป่วยอยู่ ก็ช่วยจัดการให้คนนั้นตายๆ ไปเพื่อจะได้เอาทรัพย์สมบัติไป ความเสื่อมทางศีลธรรมและความงมงายจึงมีอยู่ทั่วในสังคมยุคนั้น

 


การใช้ปลิงและทากดูดเลือดในการรักษาคนเป็นกาฬโรคในฝรั่งเศส เมื่อ 500 ปีก่อน



















เช่นบางคนนำของไปถวายนักบวชเพื่อให้ช่วย บางคนไปหาพ่อมดแม่มด เพราะเชื่อว่าคนประเภทนี้คือตัวแทนของ Satan และถ้าให้ Satan มีความสุขและพอใจโรคก็จะหยุดระบาด ดังนั้นคนเหล่านี้จึงปรนเปรอพ่อมด และหมอผี ด้วยบรรณาการต่างๆ บางคนเชื่อว่าระฆังโบสถ์สามารถไล่กาฬโรคได้จึงใช้วิธีสั่นระฆังจนแรงหมด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นบางคนคิดว่ายิวคือตัวแพร่เชื้อโรคจึงจับยิวมาขังรวมในอาคารไม้แล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น จนยิวกว่า 2,000 คน ถูกแขวนคอ และถูกฆ่าตายในเมืองสตาร์สบูร์ก เหตุการณ์นี้ทำให้สันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 6 ทรงออกมาแถลงว่าคนยิวไม่ได้แพร่กาฬโรคแต่ก็ไม่มีใครฟัง นอกจากยิวจะเป็นแพะของเหตุการณ์แล้ว บรรดาแพทย์ต่างๆก็ถูกกล่าวหาว่า เป็นใจไม่ช่วยผู้คนด้วย ทั้งๆ ที่ช่วยได้การคิดเช่นนี้ทำให้แพทย์ถูกชาวบ้านในฝรั่งเศสขว้างด้วยก้อนหินจนตายหลายคน

สำหรับผลกระทบเชิงเศรษฐกิจนั้น ก็ได้มีการพบว่า ในปี 1891 ที่กาฬโรคระบาดหนักเมื่อประชากรลดเศรษฐกิจอยู่ในภาวะถดถอย คนที่รอดชีวิตในชนบทมักขายผลิตภัณฑ์เกษตรไม่ได้เพราะคนเมืองที่จะซื้อสินค้ามีน้อย และคนในเมืองที่รอดชีวิตซึ่งได้ที่ดินและทรัพย์สินจากคนที่ตาย ก็ไม่สามารถจะครองชีวิตดีๆ ได้เพราะไม่มีคนใช้และคนงาน ทุ่งนาต่างๆ เป็นทุ่งร้างราคาค่าเช่านาตกจนแทบไม่มีค่าใดๆนี่คือเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

ในด้านจิตวิทยา ก็มีผลกระทบรุนแรงเพราะคนทุกคนกลัวติดโรคกลัวเป็นโรค และกลัวตาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นกษัตริย์ เจ้าชาย นายทหาร อาจารย์คนยากจน คนมั่งมี หรือทาส ทุกคนมีสิทธิ์ตายทั้งนั้น เหตุการณ์นี้ทำให้ฟรานซิส กาสเก็ต นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า การที่กาฬโรคระบาดในครั้งนั้นได้ทำให้เกิดคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ เพราะชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าศาสนาที่มีคุ้มครองคนไม่ได้ เพราะแม้แต่นักบวชก็ยังหนีวัด ดังนั้นชาวบ้านจึงต้องหาที่พึ่งใหม่

ส่วนในดินแดนอื่นของโลกก็มีรายงานการระบาดของกาฬโรคเช่นกัน เช่นในปี1890 พบการระบาดในไซปรัส ในปี 1917พบที่เวนิสปี 2206 ที่ฮอลล์แลนด์มีคนตายด้วยกาฬโรค 10,000 คนในบรัสเซล, แฟลนเดอร์ส และอาร์มสเตอร์ดาม ในปี2208 มีการระบาดที่ลอนดอน และบ้านใดที่มีคนเป็นโรคนี้ประตูบ้านของคนนั้นจะมีกากบาทสีแดงทาที่บานประตูซึ่งจะถูกเจาะเป็นช่องให้ญาติส่งอาหารเข้าไป และในปี 2224 ที่ปร๊าคมีคนตายด้วยกาฬโรคถึง 85,000 คน

ในวารสาร History Today ฉบับเดือน มีนาคม 2548 โอเล เจ. เบเนดิคท์โต แห่งมหาวิทยาลัยออสโลในนอร์เวย์ได้รับรายงานว่า ในการค้นหาที่มาของเชื้อกาฬโรค เขาคิดว่าแหล่งกำเนิดของเชื้อนี้มาจากจีน ทั้งนี้โดยการตรวจ DNA ของเชื้อที่พบในแถบทะเลสาบแคสเปียน และในรัสเซีย แถบแม่น้ำโวลก้า เขาพบว่าเชื้อได้แพร่จากจีนเข้ายุโรปโดยใช้เส้นทางสายไหม เมื่อกองทัพมองโกลบุกยุโรป และเมื่อถึงปี 1890 พ่อค้าเรือชาวอิตาลีได้นำเชื้อกาฬโรคเข้าสู่กรุงคอนสแตนติโนเปิล และระบาดไปทั้งยุโรป จนคน 50 ล้านคนล้มตายจากจำนวนประชากร 80 ล้านคนที่มีซึ่งมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีกและประวัติศาสตร์ก็ยังบันทึกด้วยความระทึกกลัวว่าแม้จักรพรรดินโปเลียนจะทรงไม่พิชิตรัสเซีย และฮิตเลอร์ก็ยังยึดรัสเซียไม่ได้แต่กาฬโรคเอารัสเซียอยู่หมัด

ภาพและเรื่องโดย : สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

ที่มา : Myfirstbrain.com








Create Date : 28 สิงหาคม 2557
Last Update : 4 มีนาคม 2558 13:47:09 น. 0 comments
Counter : 2499 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.