4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
All blogs
 
หมาน้อยไม่ธรรมดา


อนุสาวรีย์ของฮาชิโกะ


เมื่อพูดถึงสัตว์เลี้ยง คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงหมาเป็นอันดับต้น ๆ เพราะหมานั้นจะมีความผูกพันกับคนเลี้ยง ไม่ว่าเจ้าของจะร้ายกับมันขนาดไหน หมาก็ยังรักเจ้าของสุดหัวใจ หมาที่ฉลาด ซื่อสัตย์ ผูกพันกับคนเลี้ยงมากๆ นั้นมีนับไม่ถ้วน  บางตัวที่รักและซื่อสัตย์ต่อคนเลี้ยง จนได้รับการยกย่อง ถึงขั้นสร้างรูปปั้นรูปหล่อไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว ถึงได้มีคนคิดคำเรียกขาน “หมา” ว่า มะหมา คือไม่ใช่หมาธรรมดา แต่เป็นสัตว์ที่มีหัวจิตหัวใจ เพราะใกล้ชิดมนุษย์นั่นเอง

 



เจ้าตูบตัวแรกที่ขอนำเสนอนั้นมีนามว่า เกรย์เฟรียส์ บ๊อบบี้ (Greyfriars Bobby) เมื่อปี ค.ศ. 1850 ชายหนุ่ม จอห์น เกรย์ ไปสมัครเป็นตำรวจ ในกรุงเอดินเบอร์ก เมืองหลวงของสกอตแลนด์ หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมายคือ เป็นสายตรวจกะกลางคืนในย่านที่เต็มไปด้วยขี้เมาและอาชญากรรม ซึ่งงานนั้นเขาต้องมีหมาติดตามด้วย 1 ตัว นั่นทำให้เขาได้พบกับเจ้าหมาน้อยพันธุ์สกาย เทอเรีย (Skye Terrier) อายุ 6 เดือน เขาเรียกมันว่า “บ๊อบบี้” จอห์นและบ๊อบบี้เป็นคู่หูที่ไปไหนไปด้วยกันตลอด บ๊อบบี้มีความเป็นมิตร กล้าหาญแต่ไม่ก้าวร้าว ภาพของมันที่มีขนยาวปิดตา กับหางเป็นพวงที่แกว่งอยู่แทบไม่หยุด คือภาพที่ผู้คนชินตา สถานที่ประจำที่ทั้งสองมักจะไปด้วยกันคือ ร้านกาแฟ  ซึ่งจอห์นกับบ๊อบบี้มีที่นั่งประจำ ขณะที่จอห์นนั่งดื่มกาแฟ บ๊อบบี้ก็จะนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยเสมอ

เดือนกันยายน ค.ศ. 1857 ท่ามกลางอากาศที่หนาวและชื้น จอห์นเริ่มมีอาการไอ  จากนั้นอาการไอก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องไปพบแพทย์ของกรมตำรวจ  ผลการตรวจพบว่าจอห์นเป็นวัณโรค อาการเขาทรุดลงเรื่อย ๆ วันที่ 8 เดือนกุมภาพันธ์ปีต่อมา จอห์นก็เสียชีวิต ร่างของเขาถูกนำไปฝังในสุสานเกรย์เฟรียส์ เคิร์คยาร์ด



วันต่อมาหลังจากงานศพของจอห์น ผู้ดูแลสุสานเจมส์ บราวน์ เห็นบ๊อบบี้นอนอยู่บนเนินดินที่ฝังศพของจอห์น มันจึงถูกไล่ออกไป แต่เช้าอีกวันเจมส์ก็พบบ๊อบบี้นอนบนหลุมศพเหมือนเมื่อวาน และวันถัดไปซึ่งทั้งหนาวทั้งแฉะมันก็มานอนที่เดิมอีก ในที่สุดด้วยความสงสารเขาจึงเอาอาหารให้มัน ทำที่นอนให้มันข้างหลุมศพ และไม่ขับไล่มันอีก

หลังจากวันนั้น สุสานเกรย์เฟรียส์ เคิร์คยาร์ด ก็เปรียบเสมอบ้านของบ๊อบบี้หมายอดกตัญญู เจมส์พยายามจะให้มันเข้าไปในอาคารในวันที่ฝนตกหรืออากาศแย่ๆ แต่มันก็ไม่สนใจ มันอยู่ที่นั่นทุกวันจนเป็นที่รู้จักของคนแทบทั้งเมือง  แต่บ๊อบบี้ก็มีเวลาที่มันจะแว่บออกไปจากสุสานเหมือนกัน คือเมื่อมีเสียงปืนดังขึ้นเวลาราวบ่ายโมง นั่นคือเสียงเรียกให้ไปเจอกันที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ เพราะมีตำรวจใจดีคนหนึ่งซื้อสเต๊กเลี้ยงมันเป็นประจำ

ในปี ค.ศ. 1867 มีกฎหมายบังคับให้ผู้ที่เลี้ยงหมาต้องจ่ายเงินเป็นค่าใบอนุญาต  แต่บ๊อบบี้เป็นหมาไร้เจ้าของ ซึ่งตามกฎหมายเจ้าบ๊อบบี้ต้องถูกนำไปฆ่าทิ้ง แต่โชคดีที่เซอร์วิลเลียม แชมเบอร์ส ซึ่งดำรงตำแหน่งลอร์ด โพรวอส (เหมือนนายกเทศมนตรี) ในเวลานั้นยินดีเป็นผู้จ่ายค่าใบอนุญาตให้บ๊อบบี้เอง และทำปลอกคอที่มีข้อความว่า “เกรย์เฟรียส์ บ๊อบบี้ ใบอนุญาตของลอร์ด โพรวอส 1867” ให้มันสวมไว้ด้วย บ๊อบบี้อยู่เฝ้าสุสานของจอห์น เกรย์ เป็นเวลาถึง 14 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของมันเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1872

เรื่องราวของบ๊อบบี้กระทบใจของประธานสมาคมปกป้องการทำทารุณกรรมต่อสัตว์ (Royal Society  for the Prevention of Cruelty to Animals หรือ RSPCA) ในเวลานั้น ท่านประธานจึงขออนุญาตไปยังเทศบาลเมืองเอดินเบอร์ก ขอสร้างนํ้าพุไว้หน้าสุสานเกรย์เฟรียส์ เคิร์คยาร์ด โดยมีรูปปั้นเจ้าบ๊อบบี้อยู่ด้านบน และเพื่อเป็นอนุสรณ์และเตือนใจชาวเมือง บนแผ่นหินเหนือหลุมฝังศพของบ๊อบบี้มีข้อความจารึกกินใจว่า

Greyfriars Bobby
died 14 th January 1872
aged 16 year

Let his loyalty & devotion be a lesson to us all

(แกรย์เฟรียส์ บ๊อบบี้-มรณะ 14 มกราคม 1872 - อายุ 16 ปี -ขอให้เราทุกคนได้เรียนรู้ความภักดีและความอุทิศตนของเขา)

ในปี ค.ศ. 2006 เรื่องของบ๊อบบี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง Greyfriars Bobby



เพื่อนผู้ซื่อสัตย์รายต่อไปชื่อเจ้าไฟโด้  (Fido) คืนหนึ่งที่ลูโช ดิ มูเกลโล ตำบลเล็กๆ ในเมืองฟลอเรนซ์  อิตาลี ในเดือนพฤศจิกายนที่หนาวเหน็บ ค.ศ. 1941 คนงานชื่อ คาร์โล ซอริอานี พบสุนัขนอนบาดเจ็บอยู่ริมถนน เขาจึงพามันกลับบ้าน  และทำแผลให้มันจนหายเป็นปกติ และคาร์โลกับภรรยาตกลงเลี้ยงมันไว้ที่บ้าน ไฟโด้รักเจ้าของมาก ทุกเช้าจะต้องเดินไปส่งคาร์โลขึ้นรถไปทำงาน และตอนเย็นก็ไปที่ท่ารถคอยเขากลับมา ท่านผู้อ่านคงนึกออกถึงกิริยาอาการของหมาเวลามันเจอเจ้าของว่าเป็นอย่างไร ไฟโด้ก็เหมือนกัน มันจะแสดงท่าทางดีใจกระดี๊กระด๊าเมื่อเห็นเจ้าของมันลงจากรถ แล้วก็เดินกลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข เวลาที่รถยังมาไม่ถึงมันก็นั่งไม่สนใจสิ่งใดรอบตัว เฝ้าชูจมูกสูดกลิ่นหาเจ้านายมันอยู่จนกว่าเขาจะมาเป็นเช่นนี้ร่วม 2 ปี

ช่วงเวลานั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อุบัติขึ้น เมืองที่คาร์โลอาศัยอยู่นั้นก็ถูกโจมตีทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตร โรงงานบ้านเรือนจำนวนมากถูกระเบิดเสียหาย มีคนตายทุกครั้งที่ระเบิดตกลงมา วันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1943 ระเบิดตกลงมาใส่โรงงานที่คาร์โลทำงาน คนงานหลายคนตายอยู่ใต้อาคารที่พังเสียหายนั้น ซึ่งหนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตก็คือคาร์โล เย็นวันนั้นไฟโด้ยังคงไปรอรับเจ้าของมันตามปกติ แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของคาร์โล  ไฟโด้คอยจนแน่ใจว่า เจ้านายไม่มาแน่แล้วมันจึงกลับบ้าน แต่วันต่อมาไฟโด้ก็กลับไปที่ท่ารถอีก มันเฝ้าทำแบบนั้นเป็นเวลาถึง 14 ปี (เท่ากับเวลาที่เจ้าบ๊อบบี้เฝ้าที่หลุมศพของจอห์น เกรย์) หรือถ้าคิดเป็นจำนวนครั้งก็มากกว่า 5,000 ครั้ง พฤติกรรมที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของไฟโด้ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในเมืองนั้นสนใจ  สื่อต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือนิตยสารหลายฉบับนำเรื่องของมันไปเขียน ชื่อเสียงของไฟโด้โด่งดังและเป็นที่รักไปทั่ว จนนายกเทศมนตรีเมืองมอบเหรียญสดุดีให้มันเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน

วันสุดท้ายที่เจ้าไฟโด้ไปคอยเจ้านายของมันที่ท่ารถคือวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 1958 ซึ่งก็เป็นวันสุดท้ายของชีวิตมันด้วย หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวหน้าหนึ่ง เพื่อเป็นเกียรติและไว้อาลัยแก่มัน บางฉบับให้ศิลปินวาดภาพมันนอนตายอยู่ริมถนนโดยมีรถประจำทางจอดอยู่เป็นฉากหลัง ศพของไฟโด้ถูกนำไปฝังข้างหลุมศพของคาร์โล ซอริอานี เจ้านายสุดที่รักของมัน

ทางเทศบาลเมืองได้ให้ประติมากรชื่อ ซัลวาโตเร ชิโพล่า ปั้นรูปเหมือนของมันตั้งเป็นอนุสรณ์ไว้ที่จัตุรัส Piazza Dante a Borgo San Lorenzo มีคำจารึกไว้ด้วยว่า “ไฟโด้, ตัวอย่างแห่งความภักดี” ไม่กี่เดือนหลังการเปิดรูปปั้นของไฟโด้ มีคนใจร้ายแอบไปทุบจนพัง แต่ทางเทศบาลก็ให้สร้างขึ้นใหม่ โดยครั้งนี้ให้หล่อเป็นสำริดแข็งแรงทนทานมาจนปัจจุบัน



ใกล้บ้านเราเข้ามาอีกหน่อยก็มีเจ้า ฮาชิโกะ ชื่อนี้คนไทยเราจะคุ้นเคยมากกว่า 2 ชื่อแรก เรื่องราวของมันก็ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นกัน ในชื่อ “Hachi : a dog’s tale ฮาชิ...หัวใจพูดได้” โดยมีดาราดังอย่างริชาร์ด เกียร์ แสดงนำ 

ฮาชิโกะ เป็นหมาพันธุ์อาคิตะ เพศผู้ เจ้าของคือ ศาสตราจารย์ฮิเดซามุโระ อูเอโนะ สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว  ฮาชิโกะเหมือนกับเจ้าไฟโด้คือ เช้ามาก็เดินไปส่งเจ้านายที่สถานีรถไฟชิบูย่า ตอนเย็นก็ไปรอรับเขาที่เดิมแล้วก็เดินกลับบ้านด้วยกัน เป็นแบบนี้ทุกวันที่เขาไปทำงาน  จนกระทั่งวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1925 ศาสตราจารย์อูเอโนะเกิดหัวใจวายและเสียชีวิตที่มหาวิทยาลัย แต่ฮาชิโกะ ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 18 เดือน ก็ยังคงไปคอยเช่นเดิม ภรรยาของ ศาสตราจารย์อูเอโนะได้มอบฮาชิโกะให้กับญาตินำไปเลี้ยง แต่มันก็วิ่งหนีออกไปคอยที่สถานี รถไฟตามเวลาที่รถไฟขบวนเดิมมาถึงทุกวัน มันทำแบบนั้นเป็นเวลาถึง 11 ปี

ฮาชิโกะกลายเป็นที่สนใจรักใคร่ของทุกคน ชื่อของฮาชิโกะจึงโด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ เรื่องของฮาชิโกะได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ กลายเป็นต้นแบบความซื่อสัตย์กตัญญูของคนในยุคนั้น โรงเรียนต่าง ๆ ใช้เรื่องของมันเป็นตัวอย่างในการสอนเด็ก ๆ ค.ศ. 1934 ที่หน้าสถานีรถไฟชิบูย่าตรงจุดที่มันไปคอยเจ้านายของมันเป็นประจำ มีรูปหล่อสำริดของฮาชิโกะตั้งอยู่เพื่อสดุดีและยกย่องหมาดีที่เป็นตัวอย่างให้คนได้ โดยตัวฮาชิโกะเองเป็นผู้ไปทำพิธีเปิดผ้าคลุม ปีต่อมา ในวันที่ 8 มีนาคม ฮาชิโกะก็จากทุกคนไป ด้วยวัย 11 ปี ร่างของมันถูกนำไปสตัฟฟ์และเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติของญี่ปุ่น



เรื่องราวของฮาชิโกะมีผู้นำไปเขียนเป็นนวนิยาย และหนังสือสอนเด็กอีกหลายเล่ม วันที่ 8 เมษายนของทุกปี คนรักหมาหลายร้อยคนจะไปร่วมกันไว้อาลัย และระลึกถึงฮาชิโกะกันที่รูปหล่อของมันที่สถานีรถไฟชิบูย่า หมาไทยเราเองก็ขึ้นชื่อเรื่องความฉลาด และรักเจ้าของไม่น้อยกว่าหมาพันธุ์อื่น ๆ ในโลก ถึงขนาดมีผู้สร้างเป็นภาพยนตร์แล้วไปคว้ารางวัล Palm Dog Awards ในเทศกาลหนังที่เมืองคานส์มาแล้ว นั่นคือภาพยนตร์ไทยที่แสดงโดยเจ้าหมาไทย คือ มะหมา 4 ขาครับ และ “มะหมา 2” จะกลับมาสร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง ตอกยํ้าความฉลาดแสนรู้และซื่อสัตย์ของบรรดาเหล่ามะหมาทั้งหลาย ได้ดูไปยิ้มไปกันอีกครั้งแน่นอนครับ.

โดย ลุงดำ และทีมงาน นิตยสารต่วย'ตูน









Create Date : 18 ตุลาคม 2557
Last Update : 13 มิถุนายน 2558 14:32:47 น. 0 comments
Counter : 1102 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.