ในอดีตกาล..นานมาแล้วยังมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อว่าเมือง จำปากนาคบุรี มีพญาครองเมืองชื่อว่า พญาพรหมทัต มีมเหสีชื่อ พระนางจันทราเทวี มีลูกสาวชื่อว่า นางแสนสี และมีหลานสาวชื่อว่า นางคำแพง ทั้งสองได้ชวนกันไปเล่นน้ำที่ทะเลหลวงกว้างใหญ่ (ทุ่งกุลาร้องไห้ในปัจจุบัน) โดยมีผู้อารักขาชื่อว่า จ่าแอ่น มีชายหนุ่มสองคนชื่อ ท้าวฮาดคำโปง และ ท้าวทอน ทั้งสองได้ไปศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมกับพระฤาษีที่ป่าหิมพานต์ เมื่อเรียนจบจึงได้เดินทางกลับมายังบ้านเมืองของตน เมื่อมาถึงฝั่งทะเลหลวงไม่มีเรือข้ามจึงได้ใช้คาถาเสกเป่าฟางให้เป็นเรือสำเภา ทั้งสองได้แล่นเรือมาท่ามกลางเสียงคลื่นและลมด้วยความสุขใจ
กล่าวถึงเมืองจำปากนาคบุรี มีนาคตนหนึ่งเป็นพญานาคเฝ้าดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองให้ ประชาชนอยู่ด้วยความสงบตลอดมา ส่วนนางแสนสี และนางคำแพง กับจ่าแอ่นได้ไปเล่นน้ำที่แม่น้ำทะเลหลวงกว้างใหญ่ บังเอิญท้าวฮาดคำโปง และท้าวทอน ได้นั่งสำเภามาพบจึงเกิดความรักต่อนางแสนสีและนางคำแพงผู้เป็นหลาน จึงได้เกี้ยวพาราสี และทั้งหมดได้ตกลงปลงใจพากันขึ้นสำเภาหนีไปพญาพรหมทัต ทราบข่าวจากทหารว่ามีคนเก่งกล้าสามารถมาลักลูกสาวหนีไป จึงได้ไปบอกพญานาคให้ช่วยเหลือ พญานาคจึงเห็นว่าถ้าไม่อยากให้สำเภาแล่นไปได้ก็ต้องทำให้น้ำทะเลเหือดแห้ง ดังนั้นพญานาคจึงดูดน้ำทะเลออกหมดทำให้ทะเลเหือดแห้งไป เมื่อทะเลแห้งแล้วท้าวฮาดและท้าวทอนได้พานางแสนสีและนางคำแพงพร้อมด้วยจ่าแอ่นเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง และพักอยู่ที่นั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านแสนสี (ปัจจุบันบ้านแสนสีอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย)
จากนั้นจึงได้พากันเดินทางต่อจนมาถึงริมป่าลำธารแห่งหนึ่ง และได้ข้ามลำธารไปยังโนนบ้านแห่งหนึ่ง จ่าแอ่นเกิดความเมื่อยล้าจึงไม่ขอเดินทางไปกับนางแสนสีและนางคำแพง ขอพักอยู่บ้านแห่งนั้นต่อมาจ่าแอ่นได้เสียชีวิตลงชาวบ้านจึงได้ช่วยกันฝังร่างของจ่าแอ่นไว้ที่บ้านแห่งนั้น และตั้งชื่อว่า บ้านจ่าแอ่น (ปัจจุบันคือบ้านแจ่มอารมณ์ อำเภอเกษตรวิสัย) เมื่อทั้งสี่คนเดินทางมาถึงเขตป่าดง ท้าวฮาดคำโปงกับท้าวทอนได้ต่อสู้กันเองเพราะรักนางแสนสีคนเดียวกัน ท้าวฮาดคำโปงจึงได้ถูกท้าวทอนฆ่าตาย ที่กลางทุ่งจึงได้เรียกหมู่บ้านในที่นั้นว่า บ้านฮาด (ต่อมาเป็นบ้านฮาด อำเภอเกษตรวิสัย) ด้วยความอาฆาตวิญญาณของท้าวฮาดจึงได้เป็นผีโป่ง (ผีหัวแสง) ตามไล่ท้าวทอนในเวลากลางคืน ท้าวทอนพานางแสนสี และนางคำแพงหนีไปบริเวณทางตะวันตกที่เป็นทุ่งกว้างใหญ่ ด้วยความอ่อนเพลียทั้งสามได้นอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท้าวทอนและนางแสนสีตื่นก่อนจึงได้ปล่อยให้นางคำแพงอยู่เพียงลำพัง และ
ต่อมาจึงได้เรียกชื่อทุ่งนี้ว่า ทุ่งป๋าหลาน (อำเภอพยัคฆภูมิพิสัยในปัจจุบัน) ฝ่าย พระอินทร์ ได้ออกมาส่องญาณวิเศษดูโลกมนุษย์ ได้มองเห็นทะเลหลวงแห้งเหือด และพวกปลา หอย กุ้ง และ สัตว์น้ำนานาชนิดได้ตายเน่าเหม็น จึงได้บอกนกอินทรีย์มากินปลาที่ทะเลหลวง นกอินทรีย์ได้กินปลา หอย ถ่ายออกเป็นก้อนขนาดใหญ่มีอยู่ทั่วไปตามทุ่ง ชาวบ้านเรียกว่าขี้นกอินทรีย์ นกอินทรีย์กินปลา หอย ในทะเลหลวงหมดแล้วก็ไม่มีอาหารกินจึงได้ไปขอรางวัลจากพระอินทร์ๆ จึงให้ช้างเป็นอาหารและรางวัล นกอินทรีย์ต่างแย่งกันกินเป็นพัลวัน หมู่หนึ่งคาบตัวไปกินทิ้งหัวไว้กลายเป็นป่าดง ต่อมาเรียกว่า ดงหัวช้าง (ปัจจุบันคือบ้านหัวช้างในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน) ส่วนอีกหมู่หนึ่งคาบได้เท้าช้างไปกินแถวดงแห่งหนึ่งชื่อว่า ดงเท้าสาร (เขตอำเภอสุวรรณภูมิในปัจจุบัน) และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเขตดงช้าง มีช้าง มากมาย (ปัจจุบันคือบ้านดงช้าง อำเภอปทุมรัตต์)
เมื่อ ท้าวทอน และ นางแสนสี ได้กลับมายังเมือง จำปากนาคบุรี พบแต่เมืองร้างเพราะประชาชนพากันหนีไป เนื่องจากกลัวนกอินทรีย์ พญานาคก็ดำดินหนีไปอยู่ที่แดนไกลเขตแม่น้ำโขงพญาพรหมทัต กับ นางจันทราเทวี ก็สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดถึงลูกมาก ท้าวทอนและนางแสนสีได้รวมไพร่พล และประชาชนที่เหลืออยู่ มาบูรณะสร้างเมืองจำปากนาคบุรี ขึ้นใหม่ และสร้าง พระธาตุพันขัน ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับบิดา มารดา และไถ่บาปให้กับตนเอง ทั้งสองก็ได้ครองเมืองสืบต่อมาอย่างมีความสุขตราบจนสิ้นชีวิต ปัจจุบัน พระธาตุพันขัน ประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระธาตุพันขัน อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งองค์พระธาตุพันขันสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ภายในองค์พระธาตุมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ประดิษฐานอยู่ภายใน
ขอบคุณรูปภาพและที่มาจาก : //www.lifenewonline.com |