บลอกของคนตัวเล็กๆ h blog
Google
Group Blog
 
All blogs
 

ความเจ็บปวด

วันนี้ไปโรงพยาบาลมา เหมือนเดิมเป็นหนังซ้ำ ชื่อเรื่องว่า "การฟอกไตของแม่"
เวลาเราเห็นแม่ที่แก่ๆของเรา ยังต้องมานอนฟอกไต หมุนเวียนเลือดตัวเองผ่านตู้อะไรก็ไม่รู้แบบนี้ ครั้งละ 5-6 ชม. นั้น ความรู้สึกของเรามัน...

มันเหมือนเจ็บปวดนะ แต่เป็นความเจ็บปวดที่ผมพยายามเข้าใจมัน อยู่กับมันให้ได้ แบบที่เตียงข้างแม่ผมบอกว่า อย่าไปคิดมาก ฉันฟอกมา 6 ปีแล้ว

6 ปีเหรอ นานมากนะ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ5-6 ชม. ครั้งละประมาณ เห้อ... ไม่อยากคิด ลองสมมุติตัวเราไปเป็นแม่สิ เขาก็ต้องรู้สึกเสียใจเหมือนกันที่ตัวเองต้องมาป่วยแบบนี้ แม่ยังทำงานได้ดีมากๆ คิดคำด่าได้เร็ว จำเบอร์โทรศัพท์คนได้ประมาณ เขตนึงมั้ง โดยไม่ต้องเมมในมือถือ ถ้าเป็น ram ต้องประมาณ 512 เลยทีเดียว
เราปล่อยให้แม่นอนอยู่อย่างนั้นไปก่อน ผมจะออกไปเดินเล่น ใน รพ. ก่อนไปถามแม่ว่าอยากกินอะไรไหม แม่บอกว่า น้ำ เออ ง่ายจังแม่

เราไม่เคยสนิทกับแม่ เพราะเราเป็นผู้ชาย การที่จะให้อุ้ม พยุง ป้อนน้ำนั้น เป็นเรื่องใหม่ สำหรับเราจริงๆ แต่พอทำแล้ว ทำได้นะ สบายมากๆ สบายใจมากๆด้วย

ออกมานั่งดูบอลที่หน้า tv ของ รพ. ไทยเจอสิงค์โปร เหอะๆ บอลไทยจะแพ้ใครก็ได้ แพ้ปท.ไหนก็ได้ แต่ห้ามแพ้ปท.นี้นะ ไม่รู้ทำไม เราไม่ชอบประเทศที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก แบบปท.นี้เลย

ระหว่างพักครึ่ง ในรพ.เอกชนหุ่นยนต์จ๋าแห่งนี้ ทุกอย่างดูสวยงามเป็นระเบียบ โต๊ะ tv ร้านกาแฟ ยูนิฟอร์ม นางพยาบาล หรือแม้แต่คนไข้ ทุกคนดูดีจัง

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผู้หญิงกรี๊ดออกมาดังมากๆ เป็นเสียงร้องไห้ในเวลาต่อมา ผมหันไปมอง เห็นเป็นผู้หญิงอายุราว 40 ตัดผมทรงนักเรียนผู้หญิงประถม เธอร้องไห้โดยมีพ่อแก่ๆ ตะโกนอยู่ข้างๆว่า อย่าร้องๆ แม่แก่ๆของเธอก็เดินมา อย่าร้องนะ ร้องทำไม เงียบ ทุกคนหันไปมอง เธอร้องดังมากขึ้นผสมการพูดแบบที่พอเราได้ยินแล้วถึงรู้ว่า เธอสมองไม่สมประกอบ คนแถวนั้นค่อยๆลุกไปทีละคนๆ คงเพราะรำคาญ

ทุกคนได้แต่ยืนมอง เธอนั่งก้มหน้าร้องไห้ แล้วพูดว่า อยากกินข้าวข้างนอก ทำไมต้องบังคับด้วย หนูอยากกลับศิริราช แม่เธอบอกทำไม มีอะไรอีกเล่า ปั๊ดโธ่ อย่าร้องๆๆๆๆ

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ฮือๆๆ หนูเจ็บปวดมากเลยนะ เธอพูดอย่างนี้จริงๆนะ
ผมไม่รู้ว่าที่เธอเจอมามันคือเรื่องอะไร หรือที่เธอพูดมามันหมายถึงอะไร แต่ผมรับรู้ได้นะ ถึงความอึดอัดความเจ็บปวดของเธอ และก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของผัวเมียแก่ๆนั้นด้วย ที่ต้องรับกับเหตุการณ์แบบนี้ ผมเชื่อว่ามันมีบ่อยด้วย

อยากร้องไห้ไปด้วยจริงๆ ไม่รู้ทำไม




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2550    
Last Update : 12 ธันวาคม 2550 2:13:00 น.
Counter : 406 Pageviews.  

ป้าเหมียว.....

ป้าเหมียว คือแมว แมวดำล้วน ไม่มีสีอื่นใดเลย นอกจากดำล้วน ป้าเหมียวเป็นแมวหยิ่ง ยะโส ขี้รำคาญ หลายครั้งที่เราเอื้อมมือเพื่อจะไปลูบคอมัน แต่มันไม่ยอม มันสะบัด เชิดหน้ามองไปทางอื่นซะงั้น มันไม่ชอบให้มือหยาบๆของเราไปลูบบนตัวมัน

แต่มือของพ่อหยาบกว่ามือเรา ทำไมมันชอบจัง ไม่เข้าใจ หรือ มันอาจจะไม่ชอบเรา ที่เราอย่างอื่นหยาบมากกว่า

ตอนเราเจอกัน มันเป็นเรื่องของโชคชะตา คืนนั้นฝนตกหนัก ที่หลังบ้านมีเสียงลูกแมวร้องอยู่ พ่อหรือแม่นี่แหละ ไปเปิดบ้านรับมันเข้าในชีวิตของเราตั้งแต่คืนนั้น ตอนนั้นผมป.6
ผ่านอะไรในชีวิตมาด้วยกันเกือบ 20 ปี ตอนนี้มันแก่มากๆไม่กินอะไรเลย นอกจากน้ำหรือบางวันมันก็ไม่กินอะไรเลย 10 กว่าวัน มันเอาแต่นั่งในห้องน้ำ ด้วยความที่มันกลัวว่ามันจะฉี่ราดออกมาตอนไหนก็ไม่รู้มั้ง มันคงกลัวโดนเราด่า มันเลยไปนั่งอยู่ในนั้นตลอด
เอามันไปหาหมอ อยากรู้มันเป็นอะไร ไม่กินข้าวกินน้ำเลย เป็น 10 วันแล้ว หมอให้น้ำเกลือมัน แล้วบอกว่า มันหมดสภาพแล้ว รู้สึกโมโหหมอมากๆ เกลียดความรู้สึกของคนที่เห็นความตายเป็นเรื่องธรรมชาติมากๆแบบนี้
แมวของผมไม่ใช่ถ่านไปฉาย ไม่ใช่อาหารแช่แข็ง มันมีชีวิต ที่ใกล้จะแตกดับเท่านั้น ที่ผมมาหาหมอเพราะอยากรู้ว่ามันเป็นอะไร และเราจะทำอย่างไร ให้มันพ้นจากความเจ็บปวดมากกว่า

วันนี้เข้าวันที่ 15 ที่เราเอามันมานอนด้วย เรากลัวมันตาย กลัวมันจะตายแบบโดดเดี่ยว ไม่มีคนเห็น วันนี้ผมไปวิ่งมา เหนื่อยมาก หลับตั้งแต่ 3 ทุ่มครึ่ง

สะดุ้งตื่นแบบไม่มีเหตุผล ผมลุกขึ้นทันทีแบบไม่มีการงัวเงีย มองนาฬิกา อีก 5 นาทีเที่ยงคืน รู้สึกแปลกๆในใจ เดินไปหาป้าเหมียว เห็นมันอ้าปากลืมตาโพลง สะดุดในลมหายใจแรงๆ ผมนั่งลงข้างๆมัน บอกมันว่า ผมมาแล้ว ไปได้เลย ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องทรมาน ไปได้เลย แล้วชาติหน้าเกิดมาให้พี่เอ็มเลี้ยงดูแลแบบนี้ไปอีกละกัน มันสะดุดในลมหายใจหนักๆ อีก 2-3 ที ผมเอามือลูบมันเบาๆ จำความรู้สึกสุดท้ายของมันเอาไว้ นั่งเงียบๆ ทำไมน้ำตามันไหลออกมาแบบนี้นะ ผมร้องไห้ เสียใจ แต่เข้าใจ แต่ก็เสียใจอยู่ดี

มันจากเราไปแบบสงบ ผมนั่งอยู่กับมันสักครู่ เรียบเรียงอะไรบางอย่างในใจสักครู่ เดินขึ้นไปบอกพ่อ แบบเข้มแข็งว่า เหมียวตายแล้วนะ พ่อผมตื่นทันทีที่ผมเรียก ผมเรียกไม่ดังแต่พ่อขานรับทันทีว่า เหรอ

พ่อเปิดประตูออกมาพูดกับผมว่า ตอนมันตายผมอยู่กับมันหรือเปล่า ผมบอก จนนาทีสุดท้ายเลยพ่อ

ลงมาปิดตามัน พ่ออุ้มมันขึ้นมาบอกว่า ตัวมันยังอุ่นๆ ผมบอก อืม.....
แม่เดินลงมาเงียบๆ เราไปฝังมันที่หลังบ้านใต้ต้นมะม่วง

ลมหนาวผ่านมาวันนี้คืนแรกพอดี มันพัดเบาๆบางๆนะ แต่เหงาจัง เมื่อรู้ว่า หลังจากคืนนี้ไปเราจะไม่เจอกันอีกแล้ว น้ำตาก็คลอขึ้นมาอีก ท่ามกลางความมืด กลิ่นดินหอมๆลอยขึ้นมา การขุดของเราก็เงียบๆไม่มีเสียงใดเลย ยกเว้นเสียงแม่ร้องไห้เบาๆ ผมรีบเดินไปดีกว่า อย่างน้อยวันที่ป้าเหมียวตายวันนี้ ก็เป็นวันที่เราอยู่กันครบครอบครัวพอดี เหมือนมันรอเรากลับมาพร้อมหน้ากันก่อน พ่อ แม่ ลูกชาย และน้องสาวทั้ง2

สู่สุขคตินะ.....




 

Create Date : 01 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2550 1:40:27 น.
Counter : 307 Pageviews.  

เต่าป้า บ้าเลือด


โห สุดยอด ...

วันนี้นะ ไม่รู้จะพูดไงอ่ะ เอารถเต่าไปวางเครื่องมาใหม่ จากเครื่อง 1300 กลายเป็น 1600 เรียกง่ายๆคือ ไปทำให้รถมันวิ่งเร็วขึ้น ไปทำให้มันไม่เต่าเหมือนชื่อมัน หรือเหมือนเจ้าของมันนั่นเอง คือเจ้าของมันเต่ามากพอแล้ว อยากได้อะไรที่มันเร็วๆเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตบ้าง แค่นั้น

รถเต่าของผมนะ เป็นรถเต่าปี 68 มือเดียว เจ้าของเก่าใช้เป็นรถตอนสมัยยังหนุ่ม เป็นรถที่ใช้ประจำตำแหน่ง ใช้ในราชการ ต่อมา เขาเป็นอัมพาษหรือไรนี่แหละ ขับรถอีกไม่ได้ จอดมันทิ้งไว้ใน ..เอ่อ ในป่า หลายปี ใช่ จอดรถเต่าของเขาทิ้งไว้ในป่าหลายปี สงสัยจอดนานไปมั้ง เลยมีนางไม้มาสิง 55 พูดแอบเอาจริงนะ

ครั้งแรกที่เห็นเต่าคันนี้นะ มันเป็นเศษเหล็กเก่าๆ ที่วิ่ง และปล่อยควันดำได้แค่นั้น ไม่มีอะไรเลย แม้แต่แอร์ ผุ พัง ไปหมด เบาะขาด พวงมาลัยหลวม ช่วงล่างเน่ามากๆ แตรไม่ดัง ไฟหน้าไม่ติด กระจกไขลงไม่ได้ บลาๆๆๆ อาการแบบ แย่มากๆ

แต่ถูกใจ

เหมือนผมเลย ผู้ชายเต่าๆ ไม่มีใครเชื่อถือ ไม่มีใครเอา อยากอยู่ห่างๆ บุคคลิกของรถเต่ากับผม เหมือนกันจังเลย

ผมจึงซื้อมัน ท่ามกลางเสียงทัดทาน ของพ่อแม่ เพื่อน น้องสาว แอบคิดในใจ วันไหนรถเต่าวิ่งได้ วันนั้นกูก็จะวิ่งไปข้างหน้าด้วย วันไหนที่รถเก่าๆคันนี้สวยขึ้นมาได้ กูก็ต้องดีขึ้นมาได้เหมือนกัน

แต่นางไม้ในรถเต่าผมก็ชอบแกล้ง ชอบวัดใจผมบ่อยๆ ครั้งนึงขับรถไปดับที่สี่แยก แถวดาวคนอง คิดในใจว่ากูตายแน่ๆ จะตี 2 แล้วทำไงดี สตาร์ทไม่ติดแบบไม่มีเหตุผล ลงมานั่งริมฟุตบาท ว่าจะโทรหาเพื่อน ห่า ตังค์หมด แล้วmv ก็มา ฝนปรอยๆเย็นๆลงใส่ หูย กูไม่ได้อยากโรแมนติกตอนนี้เลย เข้าไปนั่งในรถ พูดกับมันแบบเพราะมากๆ สตาร์ทติดทีนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวพี่เอ็มจะแต่งให้สวยเลย สาบานพูดงี้จริงๆ สตาร์ท ชึ่งงงง ติดซะงั้น

การตกแต่งรถของผมผ่านไป 1 ปี สนุกดี เหตุการณืประหลาดเกี่ยวกับรถก็เกิดมาบ่อยๆเรื่อยๆ พ่อเคยเห็น และเราทั้งครอบครัวเคยเห็น ขอละไม่พูดละกัน

กลับมา ตอนที่เราไปวางเครื่องละกัน บ่าย 4 โมง ผมไปรับรถ หลังจากที่ไม่ได้ขับมันมา ร่วม 2 อาทิตย์ เมื่อสตาร์ทขับกลับบ้าน ก็พบถึงความแตกต่าง เห้ย มันแรงจริงๆ แอบเปรี้ยวแล้วกู สนุกมากๆ ขับรถเต่า ไม่รู้เหมือนกันนะ ผมว่ามันสนุกตลอดที่ขับ ไม่เหมือนขับรถอื่นๆที่ผมเคยขับมา

กลับมาถึงบ้าน ผมพูดกับแม่ว่า แต่เบาะมันเก่าไปหน่อย คงต้องเปลี่ยนแล้วแหละ

2 ทุ่มครึ่งขับรถกลับบ้าน นั่งกันเต็มรถเลย 5 คน เพื่อนสาวอยู่กัน 3 คนที่เบาะหลังเต็มๆ จู่ๆรถผมก็ดับ เอ๊ะเป็นไรอ่ะ แปปนึงมีคนนึงตะโกนจากหลังรถว่า มีควันอะไรไม่รู้ 55 เท่านั้นแหละวงแตก วิ่งกันลงมาจากรถ ผมถอดเสื้อเมื่อมองเห็นว่ามีไฟอยู่กองนึงที่เบาะหลัง เอาเสื้อตบๆๆๆๆ แบบในหนัง ชิบ ..ยิ่งตบไฟยิ่งเยอะ เปิดประตูรถออกให้กว้างมากๆ เท่าที่จะทำได้ ลมพัดมา 1 หอบ พรึ่บ ไฟติดกว่าเดิม นึกถึงยางรถยนต์ที่โดนเผาในรถเต่าเดะ ควันมันเป็นแบบนั้น เมื่อไม่ไหว ผมแหกปากตะโกนร้อง เฟาเม่าๆ เอ้ย ไฟไหม้ๆ

ยามคนนึงแถวนั้นเปิดประตูมาพร้อมกับน้ำ 1 ถังใหญ่ ผมรับมา สาดโครม ไฟยังลุกอยู่
แม่ค้าส้มตำคนนึง วิ่งเอาน้ำล้างผัก ล้างมะละกอมา เขาถามว่า ได้ไหมหนุ่ม โถ น้ำใจป้าแค่นี้ก็สุดๆ แล้ว นาทีนั้นน้ำไรมาก็เอาหมดแหละ ปากก็บอกขอบคุณ มือก็สาด ก็สาด

ได้เปลี่ยนเบาะจริงๆด้วย 555 ทีหลังอย่าทัก แม่บอก.....




 

Create Date : 27 กันยายน 2550    
Last Update : 27 กันยายน 2550 18:14:29 น.
Counter : 581 Pageviews.  

แมวดำอีกแล้ว แต่ไมอ่ะ จะเลี้ยงๆๆๆ

5โมงครึ่งแล้ว มีนัดทุกวันกับการวิ่ง วิ่งทำไม ไม่รู้ อยากวิ่ง รู้แต่ว่าวิ่งแล้วนอนหลับง่ายขึ้นมากๆ กินข้าวอร่อย สุขภาพจิตดีไม่งี่เง่า ไม่ฟุ้งซ่าน เวลาวิ่งโคตรเหนื่อย เลิกวิ่งปั๊ปมีความสุข ทำมาทุกวันจะเดือนนึงแล้วมั้ง เริ่มตอนปลายเดือน มีนา ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีวินัยได้ขนาดนี้เลยนะ ฮุๆ

วันนี้ขณะที่กำลังวิ่งอยู่ จู่ๆก็รู้สึก หน้ามืดขึ้นมานิดๆจึงหยุดอยู่กับที่ ก้มหน้ามองพื้นถนน ลืมบอกไปว่าวิ่งในสนามกอล์ฟแถวบ้าน บรรยากาศดีถนนสวย คนน้อย หมาน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เห็นรถกระบะคันนึงวิ่งมาตามทางที่แปลกมากๆ คือรถคันนี้เจอเนินหลังเต่าที่ใหญ่ๆมากๆขนาดนี้แต่ไม่เบรกเลย

ตึ้ง เสียงรถกระแทกเนิน เห็นวัตถุแปลกๆ 2-3 อันลอยขึ้นมาจากหลังรถที่เปิดว่าง มันลอยเคว้งคว้างในอากาศแปปนึงเหมือนภาพสโลว์โมชั่น เมื่อตกถึงพื้น 2 ใน 3 อันนั้น แตกกระจายออก

รถกระบะคันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มองว่ามีสิ่งใดตกลงมาจากรถเลย เขาคงรีบ..... ผมเดินไปดู พบว่ามันเป็นลูกแมว ตัวเล็กมากๆ 2 ตัวนั้นตายไปแล้ว หัวมันแตกกระจาย น่าสงสารมากๆ อีกหนึ่งตัวที่รอดมาได้ มันร้อง แง้วๆๆๆๆ เสียงดัง แต่ไม่พอที่คนจะสนใจ ผมหยิบมันขึ้นมา ตัวมันสั่นมากๆ

โชคดีที่มอเตอร์ไซค์คิวผ่านมา เขาเลยช่วยผมเก็บลูกแมวที่สงสาร 2 ตัวนั้นไปทิ้ง ใจจริงผมอยากบอกให้เขาฝัง แต่ดูจะรบกวนเกินไป
เก็บแมวตัวที่เหลือนั้นขึ้นรถกลับบ้าน มันเป็นโชคชะตาของผมกับมันที่ทำให้มาพบกัน ต่อไปนี้ แกมีชื่อว่า บุญทิ้ง.....

22/4/50




 

Create Date : 22 เมษายน 2550    
Last Update : 22 เมษายน 2550 19:19:21 น.
Counter : 390 Pageviews.  

ก่อนบวช เด็กวัดน้อยๆ ของผม



เช้าวันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปงานบวชญาติของผมคนนึง ตลกมากๆ ห้ามโน่นห้ามนี่ วัดดังๆนี่ข้อห้ามเยอะจริง อย่าโปรยทานนะครับ มันดูไม่ดี อย่าแห่นาคนะครับมันดูไม่ดี อย่าๆๆๆๆ
ตลกหว่ะ แต่ขอบอกกุฎิที่ญาติผมอยู่นั้นไฮโซมากๆ เป็นเหมือนหอพักเลย ซอยเป็นห้องๆ น่าสนใจมากๆ มี 3 ชั้นถ้าขึ้นไปถ่ายรูปตอนที่พระไม่อยู่กัน บอกใครว่าเป็นหอพักนักศึกษาทุกคนต้องเชื่อแน่ๆ
เพื่อนของญาติผมมากันเยอะมากๆ ราว 30 คนได้ แฟนก็มา ดูน่ารักดี ทุกอย่างในงานบวชวันนี้ไม่เหมือนงานบวชของผมเลยแม้แต่นิดเดียว งานบวชผมนั้น ไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ตัวคนเดียวลุยโลดโดดๆ แต่เชื่อมะผมรู้สึกว่าผมโชคดีจริงที่บวชในวัดเล็กๆไม่มีชื่อแบบนั้น ทุกอย่างเป็นพรหมลิขิต ให้มันเกิดขึ้น แล้วจบลงไป.....

ผมบวชที่วัดเล็กๆวัดนึงในภาคใต้ เมื่อราว 3 ปี ที่แล้ว และนี่คือบันทึกช่วยจำของผม ที่ผมต้องเขียนขึ้นมาเพราะผมไม่อยากลืมช่วงเวลาที่ดี ที่สุด อีกช่วงนึงในชีวิตของผมไป ผมไม่อยากลืม…..
เมื่อคิดได้ว่าจะบวชผมก็เก็บกระเป๋าลงใต้เลย ก่อนบวชผมต้องลงไปอยู่แบบเด็กวัดก่อนถึงครึ่งเดือน จำได้ว่าตอนนั้นรู้สึกทรมานมากๆ อาหารการกินแบบคนใต้จัดๆนั้นผมกินไม่ได้ ผมเป็นลูกคนใต้ที่ไม่ชอบกินอาหารใต้มากที่สุดในประเทศไทย ผมอาจจะไม่พูดใต้แต่ใครก็ด่าผมไม่ได้เพราะผมฟังรู้เรื่อง และอีกหนึ่งความทรมานในตอนนั้นของผมเลยคือความคิดถึง ไกลบ้าน ไกลเพื่อน ไกลคนรัก แต่ก็ช่วยไม่ได้ ผมอยากมาเอง
คนที่นี่เป็นคนตรงๆ โผงผาง ไม่เก็บอาการ น้ำใจใหญ่มากๆเสียใจรุนแรงแต่น้ำตาไม่ไหล รักพี่น้อง เพื่อนฝูง ระบบสังคมเหนียวแน่นมากๆ จนไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงที่นี่แววตาแข็งกร้าวเหมือนผู้ชาย แถวนี้คนทุกคนหัวเราะกันเสียงดัง
คนใต้นี่ใจเด็ดจริงๆนะ ลงว่าถ้าตัดสินใจจากอะไรไปแล้ว แม้ว่าบางทีต้องทนกลืนเลือดไปตลอดชีวิต เขาก็จะทนกัน เมื่อก่อนพ่อผมมีโรงงานเล็กๆอยู่ที่สำเหร่ จำได้ว่าพ่อชวนน้องชายแท้ๆให้ขึ้นมาจากใต้ มาเปิดอีกโรงงานนึงแล้วพ่อผมจะช่วยทำ ช่วยหางานให้ ดูแลเครื่องจักรให้ อะไรแบบนี้ น้องชายพ่อผมก็ขึ้นมาเปิดอีกโรงงานนึงอยู่ที่ดาวคะนองใกล้ๆกัน มีอยู่คืนนึงน้องชายพ่อผมมีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องจักร เลยโทรมาหาพ่อให้ไปช่วยซ่อมเครื่องให้หน่อย แต่ปรากฏว่าพ่อผมมัวแต่ไปซ่อมเครื่องให้คนข้างบ้านอยู่ กว่าจะเสร็จก็เลยดึกมากๆ เช้าวันต่อมาน้องชายพ่อผมโทรมาที่บ้านบอกว่าไม่ต้องมาซ่อมแล้ว เพราะขายเครื่องไปหมดบ้านแล้ว และกำลังจะกลับสุราษฏร์แล้วด้วย
มันเนื่องมาจากความแค้นหรือเสียใจยังไงไม่ทราบ หรืออาจจะแค่น้อยใจที่พี่ชายแท้ๆของตัวเองเห็นคนอื่นดีกว่าคนที่คลานตามกันมา โรงงานเล็กๆโรงงานนึงที่ดาวคะนองจึงต้องปิดตัวไป
ซึ่งสำหรับผมแล้วมัน.....มันบอกไม่ถูกอ่ะ แต่คงเป็นนิสัยของตระกูลผมจริงๆ เพราะผมก็เป็นนะ ไอ้เรื่องทนกลืนเลือดเนี่ย ผมเก่งจริงๆ
กลับมาที่วัด.
หน้าที่เด็กวัดของผมก็คือคอยกวาดพื้น เป็นเด็กถือปิ่นโต ตอนเดินบิณฑบาต ล้างปิ่นโต ล้างบาตร ให้อาหารแมว ไก่ หมา ลืมบอกไปวัดที่ผมบวชทั้งวัดมีพระอยู่รูปเดียว เรียกง่ายๆคือถ้าผมบวชปั๊ป ผมเป็นรองเจ้าอาวาสในบัดดล.....
เจ้าอาวาสเป็นผู้ชายแก่ๆอายุ 60 กว่าๆ สภาพร่างกายทรุดโทรมไปบ้างตามที่คนต่างจังหวัดในอำเภอลึกๆควรจะเป็น ก่อนบวชแกมีอาชีพเป็นหัวหน้าช่างก่อสร้าง เมื่อเลิกรากับภรรยาจึงหันหน้าเข้าหาธรรม บวชมากว่า 30 พรรษา และแกอยู่วัดนี้คนเดียวมามากกว่า 3 ปีแล้ว แกบอกว่าบางทีก็มีพระรูปอื่นมาอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน.....ผมตัดสินใจไม่ถามต่อ
วัดที่ผมอยู่นี้แทบจะไม่มีอะไรเลย ศาลาก็เล็กมากๆ เป็นไม้ขัดๆกัน กุฎิยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนผมมาถึงใหม่ๆ ผมก็ต้องอาศัยนอนที่วัดนี่แหละ กิน อยู่ ที่นี่เลย หลวงพ่อบอกว่าให้เลือกว่าจะอยู่กุฎิไหน ระหว่างซ้ายกับขวา ผมชอบอันทางซ้ายนะเพราะกว้างกว่าดูสะอาดกว่าอันขวามากๆ และที่สำคัญอยู่ใต้ต้นมะพร้าว ผมชอบกุฎิที่อยู่ใต้ต้นมะพร้าว
หลวงตาบอกว่ามะพร้าวต้นนี้ห้ามไปเก็บกินนะเพราะมีเจ้าของ ผมนึกภาพผมใส่ผ้าเหลืองแล้วปีนต้นมะพร้าว.....อือ หลวงตาบอกว่ามีคนแก่คนนึง ตาบอด เขาชอบเดินมาเคาะต้นมะพร้าวแล้วเอาหูแนบกับต้น ถ้ามะพร้าวมันสุกกำลังดีเขาจะปีนขึ้นไปเก็บ ผมทึ่งเลย เขารู้ได้ยังไง แค่เคาะแค่นี้นะ ชักอยากเห็นหน้าตาแก่ตาบอดคนนั้นแล้วสิ หลวงตาพูดขึ้นพอดีว่า เสียดายแกเพิ่งตายไปเมื่อไม่ถึงเดือนนี่เอง ผมเลยเลือกกุฎิทางขวา
ที่นี่น่าเบื่อมากๆ ผมนึกภาพตัวเองเดือนกว่าจากนี้ เดินไปเดินมาในวัดที่ไร้คนเช่นนี้กับฝูงหมาแมว ตกเย็นนั่งคุยกับพระแก่ๆรูปหนึ่ง แค่คิด ผมแทบทนไม่ได้ ที่นี่มันป่าชัดๆ ผมคิดเบาๆ หลวงตาบอกจะพาไปดูที่อาบน้ำนะ ผมนึกอีก ทำไมไม่เรียกห้องน้ำอ่ะ
ระหว่างที่เดินผ่านลานดินกว้างๆ ผมพบว่ากองใบไม้ที่ร่วงหล่นนั้น สุมกันอยู่บนพื้นจนหนาเป็นนิ้วๆ แวบนึง ผมนึกถึงใครบางคน เขาคงชอบนะถ้ามาเดินลุยกองใบไม้แห้งนี่ด้วยกัน ตอนนี้ผมชักเริ่มชอบที่นี่แฮะ
บรรยากาศที่นี่ดีมากๆ ร่มเย็นอย่างบอกไม่ถูก ต้นไม้ใหญ่ๆยืนอยู่กันแบบสบายใจ แมวนอนอยู่บนท่าน้ำสำหรับซักผ้าริมบึงน้ำธรรมชาติเล็กๆในวัด หมานอนอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อมีนกตัวนึงร้องขึ้นมา เสียงของมันจะดังก้องไปทั่วบริเวณ
หลวงตาบอกว่าระหว่างเดินบนกองใบไม้ ให้ผมเดินดังๆ งูมันชอบนอนอยู่ในกองใบไม้ ถ้ามันได้ยินเสียงคนเดินมาดังๆ งูมันจะได้ไป.....!!!
มาถึงที่อาบน้ำ ผมรู้สึกช็อคเล็กๆ มันเป็นบ่อน้ำ แบบที่ซาดาโกะในเดอะริงตกลงไปตายอ่ะ พื้นรอบๆบ่อน้ำเป็นปูนฉาบเรียบๆ มีตระไคร่น้ำบ้างประปราย และมีต้นไม้ใหญ่ๆกิ่งใบเยอะๆอยู่รอบๆ ผมดูยังไงๆนี่ก็เป็นฉากๆนึงในนิยายผีของ เหม เวชกร หลวงตาบอกว่านี่ถังนะโยนลงไปแบบนี้แล้วตักขึ้นมีโดยใช้เชือกสาวขึ้นแบบนี้นะ..... ผมเงียบ อึ้ง หลวงตาบอกว่าอย่าไปใกล้บ่อมากนะ เดี๋ยวลื่นตกลงไป..... ผมอึ้ง เงียบ
หลวงตาบอกว่าที่นี่เขาเรียกกันว่าบ่อพัง ผมถามว่าทำไมเรียกแบบนั้น แกบอกว่าบ่อมันโบราณหลายร้อยปีมากแล้ว คนพยายามมาซ่อมมาบูรณะมันหลายครั้ง แต่มันก็พังมาอยู่ในสภาพเดิมอีก เขาเลยเรียกมันว่าบ่อพัง มีเรื่องเล่ากันว่า ปีไหนน้ำแล้งมากๆ บ่อที่อื่นจะแห้งกันหมดไม่มีน้ำเลย แต่บ่อพังนี่แหละที่น้ำไม่เคยแห้ง ชาวบ้านสามารถมาตักกันได้เรื่อยๆ หลวงตาบอกว่าที่ก้นบ่อมีปลาเจ้าตัวนึงอยู่ สีทองตัวใหญ่มากๆ น้ำมันเลยไม่แห้ง ที่บ่อพังนี้จะมีงานทุกปี ผมจำชื่องานไม่ได้ แต่คล้ายๆว่าฉลองให้บ่อพังนะ.....
เวลาผ่านไป ผมเริ่มชินกับมัน การที่แทบจะไม่ได้พูดเลยในวันๆ บางทีก็เป็นความสุขสำหรับคนที่พูดไม่หยุดอย่างผมเหมือนกัน อาจเป็นเพราะโชคชะตามากกว่าที่ทำให้เราได้มากินอยู่อาศัยหลับนอน ที่วัดแห่งนี้ ในยุคที่คนบางคนในภาคทักษิณนี้ เขาขับมอเตอร์ไซค์ไล่ตัดหัวพระสงฆ์กัน จริงๆแล้ว แม่ผมอยากให้ผมบวชที่กรุงเทพ จะได้อยู่ใกล้ๆกัน
แต่ผมอยากบวช อยากมีชีวิตอยู่ในถิ่นที่พ่อของผมเคยอยู่ อยากมีชีวิตแบบก่อนที่พ่อผมจะจากมาอยู่กรุงเทพ ตรงข้ามวัดที่ผมบวชนี้เป็นโรงเรียนที่พ่อผมเคยเรียนตอนประถม มันเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่หญ้าขึ้นรกไปหมด ไม่มีรั้ว ประตูห้องเรียนถูกเปิดอ้าออกแทบทุกห้อง ไม่มีธงชาติ และที่สำคัญ มันไม่มีเด็กมาเรียนที่นี่เกือบ 10 ปีแล้ว ใช่แล้ว มันร้าง
เวลาผมจะโทรหาคนที่กรุงเทพ ผมต้องเดินหาสัญญาณไปเรื่อยๆ และสัญญาณจะชัดที่สุดเสมอตอนผมมายืนอยู่ในโรงเรียนร้างแห่งนี้ ที่หน้าเสาธง นับว่าแปลกมาก
ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าบวชปุ๊ปผมจะไม่ใช้มือถืออีกเลย แต่ตอนนี้มันอดไม่ได้จริงๆ มันคิดถึงทุกคนที่บ้าน

พระอาทิตย์ตอนใกล้จะลับขอบฟ้า ในต่างจังหวัดต่างกับกรุงเทพมากมาย ผมรู้สึกรักขึ้นมาอุ่นๆในใจเสมอๆ เวลาที่มองและคิดอะไรไปเรื่อยๆ
ราวๆ หกโมงเย็น ทุกวัน จะมีลูกวัวประสาทแดก วิ่งไปวิ่งมาอยู่ในวัด ให้เจ้าของวัวต้องมาตามไปเก็บทุกวัน ตลกมากๆ
ลูกไก่ป่าหลายตัว ฟักออกมาพอดีกับช่วงที่ผมมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ มันกำลังได้มองเห็นสิ่งเดียวกับผมที่ผมกำลังมองเห็น
หลายครั้งที่ผมรู้สึกขอบคุณตัวเอง ที่มาบวชในวัดที่แทบจะไม่มีอะไรเลยที่นี่ ผมไม่อยากนั่งเล่นเน็ตอยู่ในกุฏิเหมือนเพื่อนผมตอนที่บวช

ตอนที่ยืนมองลมวิ่งผ่านหน้าไปมาแบบนี้ เป็นเหมือนคำตอบจากธรรมชาติที่บอกว่าผมคิดถูก.....ที่มา

16/2/50




 

Create Date : 08 เมษายน 2550    
Last Update : 8 เมษายน 2550 2:38:09 น.
Counter : 433 Pageviews.  

1  2  3  

ความตายสีชมพู
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ไม่มีใครเลวไปกว่าใคร แค่อยากไปให้ไกลๆจากทุกคน.....

Friends' blogs
[Add ความตายสีชมพู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.