STAR WARS : SHADOW OF THE EMPIRE [01]

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว
ณ กาแลกซีอันไกลแสนไกล


STAR WARS
SHADOW EMPIRE TRILOGY

EPISODE I
SHADOW OF THE EMPIRE


หลังจากที่กองทัพกบฏอันนำโดยเจ้าหญิงเลอา ออร์กานา และ ฮัน โซโล ได้บุกเข้าทำลายดาวมรณะเป็นผลสำเร็จ และสองอัศวินเจไดพ่อลูก ลุคและอนาคิน สกายวอล์คเกอร์ ได้โค่นล้มจักรพรรดิลง จักรวรรดิที่ขาดผู้นำก็ระส่ำระสาย ยังความหวังมาให้เหล่าผู้คนว่านี่จะเป็นวาระสุดทายของจักรวรรดิ

แต่โชคร้ายที่จักรวรรดิได้คาดเดาเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อจักรวรรดิล่มสลาย จักรวรรดิเงาซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งโดยจักรวรรดิก็เข้าครอบครองกาแลกซีแทนในทันที และเริ่มดำเนินการสำเร็จโทษกองทัพกบฏ กองทัพกบฏทั้งหมดถูกประหารชีวิต จักรวรรดิเงาดำเนินการนำตัวลุค สกายวอล์คเกอร์ เจไดคนสุดท้าย มาไว้ในความครอบครอง ด้วยหวังว่าจะสามารถก่อตั้งกองทัพอัศวินเจไดอันทรงพลานุภาพมาไว้ในครอบครองด้วย

ด้วยเหตุผลบางประการ ลุคยอมรับข้อเสนอนี้ของจักรวรรดิเงา และเริ่มฝึกสอนเหล่าพาดาวัน ทีละคน ทีละคน จนถึงทุกวันนี้ ที่เข้าสู่ยุครุ่งเรืองของลัทธิเจไดอีกครั้งหนึ่ง และบัดนี้ สองอาจารย์ และสองศิษย์ กำลังปฏิบัติการโค่นล้มมหาอำนาจแห่งทาทูอีน ... ทิงกิส เดอะ ฮัทท์





บทที่หนึ่ง
ภารกิจ ณ ทาทูอีน


ยานพิฆาตดาราลำมหึมาลอยลำอย่างเงียบอยู่ท่ามกลางอวกาศอันมืดมิดและคลาคล่ำไปด้วยประกายแห่งหมู่ดาราอันไกลโพ้น ยานลำนี้มีอายุมากทีเดียว นาทีที่มันได้ทะยานขึ้นสู่เวิ้งอวกาศครั้งแรกนั้นก็เป็นเวลากว่าห้าร้อยปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐ และยืนหยัดมาจนถึงยุคจักรวรรดิ จนตราบเข้าสู่ยุคของจักรวรรดิเงา มันก็ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่อย่างไม่เคยหยุดพัก

พื้นใต้ท้องยานเปิดออก มันคือท่ายาน มองเข้าไปภายในช่องเปิดนั้นสามารถมองเห็นม่านแสงกันอากาศสีเขียวกางเปิดอยู่ และที่ออกมาจากช่องเปิดนั้นก็คือยานอวกาศ มันเป็นกระสวยอวกาศไทดิเรียม ปีกข้างทั้งสองของมันที่พับเสมอกับปีกกลางค่อยกางลงมาอย่างสมดุล และเคลื่อนตัวตรงไปยังดวงดาวเบื้องหน้า ทิ้งยานพิฆาตดาราไว้เบื้องหลัง

กระสวยลำนั้นมุ่งตรงไปยังดาวทาทูอีนที่อยู่เบื้องหน้า ฝ่าชั้นบรรยากาศร้อนระอุสู่เมืองมอส เอสปา โดยปกติแล้ว มอส เอสปา เป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านเป็นปกติมาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐแล้ว แม้ผ่านมากว่าห้าร้อยปี ความจริงนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำในวันนี้กลับจะพลุกพล่านมากยิ่งขึ้น เหตุอาจเป็นเพราะวันนี้มีการจัดแข่งขันเจบีเรซนั่นเอง

กระสวยลำนั้นร่อนลงจอดตรงมุมสงบนอกเขตเมืองอย่างเงียบเชียบ ไม่กี่อึดใจต่อมา ประตูท้องยานก็เปิดออก มีร่างในชุดคลุมดำร่างหนึ่งออกมาจากประตูนั้น ร่างนั้นสูงใหญ่ ทว่าด้วยชุดคลุมสีดำและเงามืดที่เกิดจากแสงแดดจ้าและร้อนระอุนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าภายใต้ฮูดคลุมนั้นได้ หากแต่ถ้ามีผู้ใดมาเห็นภาพนี้ ผู้นั้นย่อมรู้สึกได้ชัดเจนว่าใบหน้านั้นจ้องเขม็งไปยังสนามแข่งที่อยู่ห่างออกไปด้วยจิตประสงค์ที่ไม่เป็นที่ปรารถนา

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

“ไม่ได้งั้นหรือ?” ชายสี่คนพูดขึ้นพร้อมกัน ที่ตรงนั้นคือบริเวณรับสมัครผู้เข้าแข่งขันเจบีเรซในครั้งนี้ และเบื้องหน้าของทั้งสี่คนนั้นคือดรอยด์ล่ามร่างสีทองที่ดูเอ๋อ ๆ อ๋า ๆ ราวกับเพิ่งเข้ารับงานเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก

“ครับ ไม่ได้ครับ กฎการแข่งขันระบุไว้ว่า ผู้เข้าร่วมแข่งขันต้องมีอายุไม่เกินสามสิบปีเมรานุส เพราะฉะนั้นสองท่านตรงนั้นหมดสิทธิ์ครับ” ดรอยด์ล่ามตนนั้นชี้ไปยังชายร่างใหญ่สองคนในหมู่นั้น คนหนึ่งเป็นชาวฮิวมานอยด์ นามเคิร์ธ คาธาร์น ใบหน้ามีเคราขึ้นพอครึ้ม แต่ประกายตาสดใส และอีกหนึ่งเป็นชาวโบธาน นามคูนาฮา ไลโอ ใบหน้าสง่างามเยี่ยงราชสีห์ตามเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ และมีประกายตามุ่งมั่น ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดคลุมตามแบบอัศวินเจได “แต่ท่านชายอีกสองท่านนั้น สามารถเข้าร่วมแข่งขันได้ครับ” ครั้งนี้ดรอยด์ล่ามตนนั้นชี้ไปยังชายหนุ่มฮิวมานอยด์อีกสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เคิร์ธกับคูนาฮา คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มหน้าตาสดใส ผมทอง ถักเปียที่ศีรษะด้านขวาตามขนบของเจได นัยน์ตาสีทองเปล่งประกายวิบวับ เขาคือลิวมัส ลอสการ์ด พาดาวันของเคิร์ธที่เพิ่งจะได้ออกงานภารกิจสำคัญแบบนี้ได้ไม่กี่ครั้ง ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นพาดาวันของคูนาฮา ผมสีดำสนิท ถักเปียลวก ๆ ดูรุ่งริ่งแบบพอดูได้ ชื่อของเขาคือออร์พ แอราล ริมฝีปากออกเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นหลังจากที่ได้ยินว่าอาจารย์ของเขาไม่มีสิทธิ์ลงแข่งเจบีเรซ ซึ่งนั่นหมายความว่าเขานั่นแหละ ที่จะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์เสียที

“ปีที่แล้วที่ผมมาไม่เห็นมีกฎแบบนี้เลย” ลิวมัสพูด เขายกมือขึ้นโบกตรงหน้าดรอยด์ล่ามตนนั้น “กฎนี้เพิ่งมีขึ้นปีนี้หรือ? ผมคิดว่าน่าจะอนุโลมกันได้นะ”

“เขาเป็นดรอยด์นะ!” เคิร์ธกระซิบใส่หูของลิวมัส ดรอยด์ตนนั้นทำท่างง

“ผมแค่ลองดูน่ะครับ อาจารย์” ลิวมัสเก็บมือลง

“งี่เง่าเอ๊ย ถึงจะไม่ใช่ดรอยด์ก็เถอะ แต่ระดับนายน่ะเรอะ จะไปดลใจอะไรใครได้?” ออร์พพูดกลั้วรอยยิ้มมาทางลิวมัส

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ออร์พ” คูนาฮาดุ “คนเรามันก็มีผิดพลาดกันได้ จะไปซ้ำเติมเขามันควรเสียที่ไหน” เขาหันมาทางดรอยด์ล่าม “ถ้างั้นขอเราไปปรึกษากันก่อนนะครับ มันผิดแผนเสียแล้ว เดี๋ยวคนข้างหลังเขาจะว่าเอาได้”

ดรอยด์ล่ามตนนั้นโค้งตัวลงแล้วพูดว่า “ด้วยความยินดีครับ” หลังจากนั้นจึงยืดตัวตรงอีกครั้ง ผายมือออกมาข้างหน้า แล้วกล่าวว่า “เชิญท่านต่อไปด้านนี้เลยครับ”

ร่างในชุดคลุมดำเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าดรอยด์ล่ามตนนั้น แล้วยกมือขึ้นโบก

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

“แบบนี้ไม่เป็นไปตามแผนเสียแล้ว” คูนาฮาพูดขึ้น “แทนที่ข้ากับเคิร์ธจะเป็นคนลงมือเอง กลับกลายเป็นว่าเขาเพิ่งเปลี่ยนกฎ ไม่สามารถเข้าแข่งได้”

“ไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าใกล้ตัวของทิงกิสได้เลยหรือครับ?” ลิวมัสถามขึ้น

“ไม่มีหรอก พาดาวันข้า” เคิร์ธตอบ “ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของที่นี่ เป็นบิ๊กบอส เป็นหัวหน้า เป็นมาเฟีย เขามีผู้คุ้มกันเต็มตัวไปหมด แม้ตอนมอบรางวัลที่ผู้ชนะจะได้รับจากมือของทิงกิสเองนั้นก็เถอะ คงไม่พ้นจะมีการเตรียมการอารักขาไว้อย่างดีแน่”

“และนั่นก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเรา ถ้าต้องการให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด” คูนาฮาสนับสนุน

“แล้วถ้าเราไม่ได้ต้องการให้เกิดปัญหาน้อย ๆ ล่ะครับ อาจารย์” ออร์พพูดขึ้นบ้าง “อย่างเช่น เราสี่คนบุกเข้าไปในวังของทิงกิสเลย แล้วสังหารทุกคนให้เกลี้ยง มันจะไม่ง่ายกว่าหรือครับ”

“นั่นต้องเป็นวิธีสุดท้ายของสุดท้าย” เคิร์ธพูด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “การใช้กำลังแต่เพียงอย่างเดียวไม่ใช่วิธีของเรา”

“ถ้างั้นก็ให้ผมลงแข่งสิ” ออร์พร้อง “ถ้าผมชนะ แล้วผมก็ทำตามแผนเดิมทุกอย่าง เจรจากับทิงกิส ถ้าไม่ได้ผลก็สังหาร แล้วหลบหนีออกมาอย่างเร็ว ผมทำได้อยู่แล้ว”

“ข้าเชื่อ ข้าเชื่อ ออร์พ ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้” คูนาฮาพูด “แต่มันยังไม่ถึงเวลา เจ้ายังต้องฝึกอีกมาก ถ้าเป็นอย่างลิวมัสละพอไหว เขาพอจะผ่านงานมาบ้างนิดหน่อย แต่เจ้าไม่เคยทำงานใด ๆ เลย”

“นี่ไง โอกาส” ออร์พแย้ง “ผมมีโอกาส แต่อาจารย์ไม่ให้ ถ้าอาจารย์ไม่ให้โอกาสผมเลยแบบนี้ ผมก็จะไม่ได้ทำงานอะไรเลยสักทีน่ะสิ ใครจะไปเหมือนลิวมัสเขาล่ะ อะไรก็ลิวมัส เอะอะก็ลิวมัส อาจารย์เป็นอาจารย์ของใครกันแน่? ของผม หรือของลิวมัส”

คูนาฮาแทบสะอึก

ลิวมัสลำบากใจ

เคิร์ธมีสีหน้าเคร่งเครียด

ในที่สุดลิวมัสก็โพล่งขึ้นว่า “ให้ผมกับออร์พทำเถอะครับ”

“ลิวมัส!” คูนาฮาหันขวับ

“ยิ่งถ้ามีผู้เข้าแข่งขันมากขึ้น โอกาสที่จะชนะเข้าถึงสามอันดับสุดท้ายและได้ไปเจอกับทิงกิสก็จะมากขึ้นไม่ใช่เหรอครับ”

“ใช่เลย ลิวมัส ฉันเพิ่งเห็นนายพูดถูกก็วันนี้แหละ” ออร์พร้อง

“แต่ว่า...” คูนาฮาพยายามพูด

“ข้าว่าก็ไม่เลวหรอกนะ” เคิร์ธพูดออกมา “นายลองปล่อยให้ออร์พได้ลงงานนี้ดูสิ มันคงไม่เสียหายมากนักหรอก ลิวมัสก็ด้วย ครั้งนี้เจ้าพูดถูก เจ้าสองคนลงแข่งขัน โอกาสที่จะมีคนไปถึงสามคนสุดท้ายก็ยิ่งมาก”

คูนาฮานิ่งลง

“งั้นก็ได้”

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

“สวัสดีครับท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ! ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่เจ็ดสิบหกแล้วสำหรับการแข่งขัน ‘เจบีเรซซิง’ จึงจัดขึ้นต่อเนื่องทุก ๆ สี่ปีเมรานุสที่มอส เอสปา ณ ทาทูอีนแห่งนี้ของเรานั่นเอง ประธานจัดการแข่งขันในครั้งนี้ก็คือท่านผู้เดียวกับครั้งที่แล้วมา และเป็นท่านเดียวกับที่เป็นจ้าวชีวิตแห่งทาทูอีนด้วย ท่านทิงกิส เดอะ ฮัทท์!”

เสียงปรบมือดังกึกก้องสนามแข่งขัน อัฒจันทร์สูงใหญ่มหึมาตระหง่านอยู่สองข้างทางวิ่ง ที่อยู่เบื้องล่างนั้นคือเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่กำลังปรับแต่งเจ็ทบอร์ดของตนเองอยู่อย่างเร่งรีบ ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันเจบีเรซซิงนี้มีมาจากแทบทุกมุมของกาแลกซี แม้ทาทูอีนจะเป็นพิภพเล็ก ๆ ที่สุดขอบจักรวาลเช่นนี้ก็ตาม แต่การแข่งขันที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีเช่นนี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ยิ่งตั้งแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันจากพอดเรซซิงมาเป็นเจบีเรซซิงเช่นนี้ กลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็กว้างขึ้นมาก ในทุกวันนี้-แม้แต่ในวันนี้-ผู้เข้าแข่งขันที่มีนั้นมีตั้งแต่เด็กตัวเล็กไปจนถึงผู้คร่ำหวอดในวงการ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการจำกัดอายุผู้เข้าแข่งขันในปีนี้ แต่แม้กระนั้นจำนวนผู้เข้าแข่งขันก็ยังมีจำนวนมากถึงกว่าร้อยคน

ลิวมัสและออร์พเองก็อยู่เบื้องล่างนั้นเช่นกัน ทั้งสองกำลังปรับแต่งเจ็ทบอร์ดของอาจารย์ของทั้งคู่ให้เหมาะกับตัวเอง เจ็ทบอร์ดเป็นพาหนะส่วนตัวยอดนิยมอยู่แล้ว คงเป็นด้วยความใช้งานง่ายพกพาสะดวกของมัน ที่หากใช้ระบบพับเก็บแล้วสามารถนำมาสะพายหลังได้อย่างแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนัก เหล่าเยาวชนทั่วจักรวาลเห็นพ้องตรงกันว่านี่เป็นพาหนะที่เท่ที่สุดนับตั้งแต่หมดยุคของสปีดเดอร์ไบค์เป็นต้นมา

ไม่ต่างอะไรกับพอดคาร์ที่แข่งขันกันมาตั้งแต่สมัยสาธารณรัฐ ผู้ใช้เจ็ทบอร์ดแต่ละคนมีความถนัดและลักษณะของเจ็ทบอร์ดที่ชอบไม่เหมือนกัน นั่นจึงทำให้การปรับแต่งเจ็ทบอร์ดเป็นความโดดเด่นที่น่าสนใจอาจจะมากกว่าตัวการแข่งขันเองเสียอีก

เสียงกริ่งครั้งที่หนึ่งดังขึ้น มันเป็นการเตือนให้ผู้เข้าแข่งขันที่กำลังปรับแต่งเจ็ทบอร์ดอยู่รู้ตัวว่าใกล้หมดเวลาปรับแต่งครั้งสุดท้ายก่อนลงสนามแล้ว ทางลิวมัสกับออร์พนั้นไม่มีปัญหา ทางด้านเจ็ทบอร์ดแล้ว ถือได้ว่าทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญพอ ๆ กันเลยทีเดียว

เจ็ทบอร์ดของคูนาฮาที่อยู่ในมือของออร์พตอนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ เขาติดตั้งระบบเร่งความเร็วและยึดโค้งชั้นสูงสุดเท่าที่มี และตอกเข้าไปกับตัวบอร์ดอย่างไม่ปราณีปราศรัย เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ต่างกับของลิวมัสที่ติดตั้งแต่เพียงพอประมาณ แม้จะไม่มากมายอย่างออร์พ แต่ก็มีแววว่าจะสมดุลมากกว่า

ออร์พให้เหตุผลว่า “ไม่ใช่เจ็ทบอร์ดของฉันนี่”

ลิวมัสเองก็ไม่รู้ว่าจะโต้แย้งไปเพื่อการใด

เสียงกริ่งครั้งที่สองดังขึ้น หมดเวลาการปรับแต่งแล้ว ผู้เข้าแข่งขันทุกคนควรจะมาอยู่ที่จุดสตาร์ทเรียบร้อยแล้วในเวลานี้ ลิวมัสกับออร์พทำเวลาได้ดี ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ก็เช่นกัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ต้องกระหืดกระหอบวิ่งมายังจุดสตาร์ท และมีคนสองคนที่ถูกตัดสิทธิ์เพราะมาไม่ทัน

“คนชนะคงไม่พ้นเป็นฉันเสียละมั้ง” ออร์พพูดอย่างยโส

“จะเป็นใครก็ไม่เห็นต่างกันไมใช่รึ ออร์พ” ลิวมัสพูดตอบ

“อ๋อ ต่างกันแน่นอน เพราะถ้าฉันเป็นผู้ชนะ คูนาฮาก็คงจะยอมรับในตัวฉันเสียที”

ดรอยด์ตนหนึ่งถือธงมายังตำแหน่งสตาร์ท ผู้เข้าแข่งขันทุกคนสามารถได้ยินเสียงของโฆษกพูดอย่างชัดเจนถึงตอนที่ว่า “ขอเชิญประธานในพิธี ท่านทิงกิส เดอะ ฮัทท์ เปิดการแข่งขันครับ”

ลิวมัสกับออร์พแหงนหน้าขึ้นไปยังปะรำพิธี ทิงกิส เดอะ ฮัทท์ กำลังเคลื่อนตัวออกมาจากที่พัก ตามติดมาด้วยดรอยด์ล่ามร่างสีทองตนนั้น และองครักษ์อีกสองคนยืนขนาบข้าง คนหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นชายฉกรรจ์ชาวทวิเล็ก อีกคนหนึ่งเป็นฮิวมานอยด์ที่มีรอยสักเต็มตัว ดูแล้วยังหนุ่ม แต่แววตามากด้วยประสบการณ์

ทิงกิสก็ไม่ต่างจากพวกฮัทท์คนอื่น ๆ ร่างกายของเขาพอกพูนด้วยไขมัน คำว่ากิ้งก่าคางคกตัวอ้วนน่าเกลียดคงเป็นนิยามที่ใกล้เคียงที่สุด เป็นที่ยอมรับกันทั้งจักรวาลมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วว่านิยามนี้สามารถให้อธิบายรูปลักษณ์ของพวกฮัทท์ได้ทุกคน น่าแปลกที่ตั้งแต่โบราณกาลมา เชื้อสายของเผ่าพันธุ์ฮัทท์มักจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในดาวดวงใดดวงหนึ่งเสมอ อาจด้วยบารมีที่สั่งสมกันมานาน หรือความสามารถในการปกครองและสร้างความยำเกรงในหมู่ชนอย่างชาญฉลาดที่อยู่ในสายเลือด และสัญชาติญาณของความเป็นผู้นำ ทำให้ไม่ว่าฮัทท์จะไปอยู่ที่ใด ก็ย่อมหาทางดันตัวเองไปสู่จุดสูงสุดเสมอ

ทิงกิสยกแขนอันอ้วนสั้นทั้งสองขึ้น ปากขนาดกว้างขนาดกลืนคนลงไปได้ทั้งคนเผยอออกเปล่งคำพูดสำเนียงฮัทท์ของออกมาอย่างกึกก้องด้วยโครงสร้างของสนามแข่งที่ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด ไม่เคยมีฮัทท์ตนใดสามารถออกเสียงภาษากลางที่ใช้กันทั่วไปได้ อันเป็นเพราะความไม่เอื้ออำนวยของอวัยวะออกเสียง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฮัทท์จะฟังภาษากลางไม่ออก

การพูดไม่ได้นั่นเป็นเหตุผลที่พวกฮัทท์ต้องมีดรอยด์ล่ามประจำตัว

หลังจากทิงกิสพูดจบ ดรอยด์ล่ามตนนั้นจึงกล่ามต่อว่า “ท่านทิงกิส เดอะ ฮัทท์ ขอแสดงความยินดีต้อนรับผู้เข้าแข่งขันทุกท่านสู่สนามแข่งขันทรงเกียรตินี้ และขออวยพรให้การแข่งขันเป็นไปอย่างราบรื่นดังความมุ่งหมายทุกประการ”

สิ้นเสียงของดรอยด์ล่าม ทิงกิสก็ใช้หางอันอวบอ้วนฟาดเข้าที่ฆ้องขนาดยักษ์ บังเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องทั่วสนามแข่งขันและอัฒจันทร์ ดรอยด์ธงตรงด้านล่างนั้นก็สะบัดธงสัญญาณ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนถีบเท้าส่งตัวเองออกจากพื้น และทะยานสู่สังเวียนแห่งการประลองความเร็วเบื้องหน้า ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่ม

เพียงแค่พริบตาแรกที่เริ่มต้น ผู้เข้าแข่งขันนับสิบคนก็ชนกันเองจนล้มระเนระนาด วินาทีที่เท้าของผู้เข้าแข่งแตะพื้นก็ทำให้เขาคนนั้นแพ้จากการแข่งขันในทันที

ลิวมัสกับออร์พไม่พลาดง่ายดายเช่นนั้น

ในหมู่ผู้เข้าแข่งขันในกลุ่มนำเพียงสิบกว่าคน มีลิวมัสกับออร์พอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ความเร็วที่สูงถึงขนาดนี้ทำให้ลมตีหน้าอย่างรุนแรง หากไม่สวมที่คาดหัวแบริเออกันลมแล้วอาจทำเอาตาหลุดออกจากเบ้าได้

ออร์พหันไปมองข้างหลัง เท้าของเขายึดแน่นกับแผ่นบอร์ด ข้างหลังเขาเป็นชาวดั๊กที่กำลังเร่งความเร็วไล่ขึ้นมา ออร์พยิ้มแสยะเขาลดความเร็วลงทันควันจนตัวของเขาชนเข้ากับชาวดั๊กคนนั้น ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งตัว จึงทำเอาชาวดั๊กนั้นพร้อมเจ็ทบอร์ดเสียหลักจนล้มกระเด็นกลิ้ง

“ทำอะไรของนายน่ะ ออร์พ!” ลิวมัสตะโกนแข่งกับเสียงลม

“กำจัดศัตรูน่ะสิ โง่เอ๊ย” ออร์พหัวเราะ “ถ้าไม่ทำแบบนั้น นายน่ะแหละที่จะโดนเสียเอง”

“พูดถูกเผงเลย เจ้าหนู”

ทั้งออร์พและลิวมัสหันหน้าไปทางต้นเสียง มันมาจากร่างที่กำลังแล่นเจ็ทบอร์ดอยู่ตรงหน้า ชุดคลุมสีดำปลิวสะบัด ร่างนั้นหันมาข้างหลังเล็กน้อย พอมองเห็นรอยยิ้มบนมุมปาก แต่ชุดคลุมที่ยังกระพือตามลมนั้นก็ยังคงปกปิดมิให้เห็นใบหน้า

เบื้องหน้าร่างนั้นไม่มีผู้แข่งขันคนอื่นเลย ชายคนนี้คือผู้ที่กำลังนำอยู่ และลิวมัสกับออร์พก็เป็นสองคนที่กำลังตามมาติด ๆ

ทั้งลิวมัสและออร์พแทบไม่ต้องคิด ทั้งคู่ถีบเท้าเร่งความเร็วขึ้นไปเพื่อตามผู้ที่นำอยู่เบื้องหน้านั้นให้ทัน ดูเหมือนผู้ที่นำอยู่นั้นจะรู้ตัว จึงถีบเท้าเร่งความเร็วออกไปเช่นกัน

ผู้ที่นำอยู่นั้นเบี่ยงตัวหลบเสาหิน ลิวมัสและออร์พเบี่ยงออกซ้ายขวาหลบเช่นกัน ผ่านไปชั่วอึดใจมีเสียงเปรี้ยงดังมาจากเบื้องหลัง ดูท่าผู้เข้าแข่งขันจะหายไปอีกไม่คนก็สองคน ออร์พกับลิวมัสเร่งความเร็วติดตามผู้ที่นำอยู่นั้นไปอย่างไม่ลดละ หลบหลีกลัดเลาะไปตามซอกเขาแคบพอดีตัว ออร์พดีดตัวขึ้นข้ามเหนือหัวลิวมัสไปอยู่ระหว่างลิวมัสกับผู้ที่นำอยู่นั้น

แล้วหยุดกะทันหัน

ลิวมัสแทบไม่ได้ตั้งตัว เขาเหยียบเท้าลดความเร็วทันทีเพื่อลดแรงกระแทกให้น้อยลง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถกำจัดอาการเซได้ เขาหงายหลังไปข้างหลัง จนต้องปรับท่ายืนอย่างยากลำบากกว่าจะกลับมายืนตรงใหม่ได้ ลิวมัสเอี้ยวตัวหลบหินย้อยที่เกือบผ่าเข้ากลางหน้าของเขาแทบไม่ทัน กว่าจะตั้งตัวได้อีกที ออร์พก็นำหน้าเขาไปไกลแล้ว

เมื่อกี้เป็นอุบัติเหตุรึไงนะ

ในที่สุดทั้งสามก็หลุดออกมาจากซอกเขา อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงเส้นชัย ลิวมัสเร่งความเร็วตามไปอย่างไม่ลดละ เบื้องหลังเขาไกลลิบ ๆ มีผู้เข้าแข่งขันเหลือรอดมาสองสามราย แต่ก็ห่างไกลจนไม่น่าจะถือว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวได้ ต่างกับตัวเขาที่อยู่ห่างจากออร์พกับผู้ที่นำอยู่นั้นเพียงไม่กี่ช่วงตัว ลิวมัสเร่งความเร็วตามขึ้นไป ในชั่วจังหวะที่เลี้ยวโค้ง ลิวมัสก็สามารถตีคู่กับออร์พได้ทางด้านขวา

ออร์พเบี่ยงตัวมาทางขวาทันที ลิวมัสรีบลดความเร็วถอยหลังหลบออร์พ ถ้าเขาไม่ได้หลบละก็จะต้องโดนชนจนล้มกลิ้งอย่างแน่นอน

“ขอโทษที มันเซ” ลิวมัสได้ยินเสียงออร์พตะโกนลอยมา

มันดูจงใจเกินกว่าจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ถึงกระนั้นลิวมัสก็ถือโอกาสที่ออร์พเซไปเพราะความผิดพลาดนี้ตลบแซงซ้ายขึ้นไป ผู้นำชุดดำอยู่ตรงหน้าเขานี้เอง และเส้นชัยก็อยู่เบื้องหน้า ใกล้เกินไปกว่าที่เขาหรือออร์พจะแซงขึ้นไปได้

พริบตาเดียวตรงหน้าเส้นชัย ผู้นำชุดดำลดความเร็วลงฉับพลันจนลิวมัสกับออร์พแซงหน้าเข้าเส้นชัยไปเป็นที่หนึ่งที่สอง ก่อนที่เขาจะเร่งตามขึ้นมาเข้าเส้นชัยเป็นที่สาม ท่ามกลางเสียงโห่ร้องและความมึนงงของผู้ชมทั้งสนาม

ลิวมัสลดความเร็วลงจนเสียงลมเบาลงพอที่เขาจะได้ยินเสียงของโฆษกได้ และเสียงแรกที่เขาได้ยินก็คือเสียงประกาศว่าเขาเป็นผู้ชนะที่เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่ง

แต่มีอีกเสียงหนึ่งแทรกอยู่ในเสียงนั้น คือเสียงสบถด้วยความไม่พอใจของออร์พ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

“เยี่ยมมาก พาดาวันข้า” เคิร์ธเดินตรงเข้ามายังลิวมัสพร้อมกับรอยยิ้ม หลังจากตบไหล่แสดงความยินดีแล้ว เขาก็หันไปหาออร์พ “เจ้าเองก็ทำได้ดีเช่นกัน ถือว่ายอดเยี่ยมมาก ยิ่งถ้าถือว่าเป็นงานแรกของเจ้าแล้ว”

“ไม่เห็นจะน่าดีใจตรงไหนเลย” ออร์พพูดในลำคอ

“เตรียมตัวขึ้นรับรางวัลได้แล้ว” คูนาฮาพูด “ลิวมัสได้ที่หนึ่ง เจ้าได้ที่สอง เพราะฉะนั้นเป็นไปดียิ่งกว่าแผนเสียอีก เจ้าทั้งคู่จะได้เข้าไปพบทิงกิส ขอให้ทำการเจรจาให้ดีที่สุด โดยเฉพาะเจ้า ออร์พ ถ้าคิดว่าหาคำพูดที่ดีพอไม่ได้ คำแนะนำจากข้าคือ ให้เงียบไว้ เข้าใจนะ”

“ครับ อาจารย์” ออร์พพูดไม่มองหน้า แล้วหันหลังหมุนตัวเดินไปยังทางขึ้นสู่แท่นรับรางวัล ทิงกิสรออยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งดรอยด์ล่ามและองครักษ์ ผู้เข้าแข่งขันชุดดำที่ได้ที่สามนั่นขึ้นไปก่อนแล้ว ออร์พหันกลับไป เห็นลิวมัสเดินตามมา ยิ้มให้ ออร์พไม่ยิ้มตอบ เขาหันกลับมามองไปข้างหน้า ตอนนี้เขาขึ้นมาอยู่บนนั้นพร้อมกับทิงกิสแล้ว เห็นผู้เข้าแข่งขันชุดดำยิ้มให้ น่าแปลกที่เขารู้สึกยินดีกับรอยยิ้มนี้มากกว่ายิ้มของลิวมัสมากนัก ดวงตาคู่นั้นสะท้อนกับแสงแดดปรากฏเป็นประกายสีเหลืองแวววาบ

ออร์พมองไปตรงหน้า ที่อยู่ตรงนั้นคือทิงกิส เดอะ ฮัทท์ น่าเกลียดน่าขยะแขยง เพียงแค่ได้เห็นก็แทบอยากจะฆ่า อยากจะฟาดฟันให้บรรลัยไปต่อหน้าต่อตา

เสียงของทิงกิสดังก้อง ดรอยด์ล่ามแปลออกมาว่า “ท่านทิงกิสขอแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะทั้งสามท่าน และขอมอบถ้วยรางวัลแก่ทุกท่าน เพื่อเป็นเกียรติ”

ทิงกิสเอื้อมมือไปรับถ้วยรางวัลที่สามจากดรอยด์ล่าม แล้วยื่นให้ผู้เข้าแข่งขันชุดดำ เขาเอื้อมรับอย่างสุภาพ แล้วรับมาไว้กับตัว ถัดจากนั้นจึงเป็นออร์พ และลิวมัส ทิงกิสพูดอะไรอีกบางอย่าง แล้วดรอยด์ล่ามก็พูดว่า “ท่านทิงกิสขอเสียงปรบมือให้แก่ผู้ชนะ!” หลังจากนั้นจึงเป็นเสียงปรบมือกึกก้อง

ลิวมัสเป็นคนที่เริ่มก่อน

“ท่านทิงกิสครับ ผมใคร่ขอถาม...”

“แกตาย!” ออร์พตะโกนก้อง ชักดาบแสงขึ้นมาเปล่งแสงออกสว่างวาบเป็นลำสีเขียว ตวัดตรงเข้าใบหน้าของทิงกิสที่ผงะหงายด้วยความตกตะลึง หากแต่กลับมีลำแสงสีส้มมาขวางกั้นไว้ เกิดเป็นเสียงดังเปรี้ยง มันคือดาบแสงขององครักษ์ชาวทวิเล็ก สายตาขององครักษ์คนนั้นมองมาที่ออร์พอย่างหมายฆ่า

ทิงกิสตะโกนอะไรบางอย่าง องครักษ์อีกคนหนึ่งก็เปล่งดาบขึ้นเป็นแสงสีฟ้าสว่างวาบ ตวัดฟาดตรงเข้ามายังลิวมัส ลิวมัสตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีทางเลือก เขาชักดาบขึ้นเปล่งดาบเป็นแสงสีเหลืองเข้ากันดาบที่ตรงเข้ามาหมายปลิดชีวิตเขานั้นบังเกิดเสียงดังเปรี้ยง

ราวกับว่ามีดาบแสงพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ทั้งลิวมัสและออร์พตวัดดาบรับมือเป็นระวิง ทิงกิสตะโกนไม่หยุดหย่อน ดรอยด์ล่ามวิ่งพล่านไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันชุดดำยืนกอดอกนิ่งมองเห็นรอยยิ้มจาง ๆ

ลิวมัสรู้สึกเหมือนถูกกระแทกเข้าที่หน้าท้องจนกระเด็นตกลงไปบนพื้นสนาม ทรายฝุ่งฟุ้งกระจายบดบังสายตา มันคือ ‘พลัง’ ไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีอย่างอื่นที่ทำให้เขากระเด็นได้เยี่ยงนี้โดยไม่ถูกสัมผัส เมื่อฝุ่นจางลงลิวมัสมองเห็นองครักษ์หนุ่มคนนั้นกระโดดลงมายังเขาพร้อมด้วยมือที่เงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะ ลิวมัสกลิ้งตัวหลบลุกขึ้น ดาบสีฟ้าเล่มนั้นฟาดลงกับพื้นบังเกิดเป็นรอยไหม้แล้วเบี่ยงตรงเข้ามายังหน้าของลิวมัส ลิวมัสยกดาบขึ้นรับ เขาปัดดาบออกแล้วฟาดเข้าหา ต่างฝ่ายต่างรุกรับกันเกิดเสียงดังเปรี้ยงไม่ขาดระยะ

จากหางตาวูบหนึ่ง ลิวมัสเห็นออร์พฟาดดาบใส่องครักษ์ทวิเล็กอย่างรุนแรงและหนักหน่วง องครักษ์ทวิเล็กนั้นเป็นฝ่ายรองอย่างเห็นได้ชัด

จังหวะที่มัวสนใจออร์พอยู่นี่เองที่ลิวมัสเปิดช่องว่าง องครักษ์หนุ่มสังเกตเห็นทันทีและโจมตีผ่านช่องว่างนั้นโดยลิวมัสไม่ทันตั้งตัว ดาบแสงสีฟ้าตวัดตรงมายังลำคอของเขา หากแต่จู่ ๆ มันก็หยุด องครักษ์หนุ่มคนนั้นชะงักกึกแล้วผงะหงายไปเหมือนโดยต่อยหน้า ลิวมัสหันกลับไปข้างหลังมองเห็นผู้เข้าแข่งขันในชุดดำกำลังยื่นมือขวามาทางนี้ เขาก็เป็นผู้มีพลังเหมือนกันงั้นหรือ

ลิวมัสหันกลับมา องครักษ์หนุ่มนั้นยังนอนเอามือกุมหน้าอยู่ที่พื้น ส่งเสียงครวญคราง ลิวมัสใช้ดาบของเขาตวัดดาบแสงออกจากมือขององครักษ์หนุ่ม แล้วกระแทกมือซ้ายอัดพลังลงไปตรงหน้าอกขององครักษ์หนุ่มนั้น เขาสะอึกอ๊อก แล้วแน่นิ่งไป แน่นอนว่าไม่ถึงกับชีวิต ลิวมัสจงใจให้เป็นเช่นนี้เอง

ลิวมัสหันไปทางออร์พ ออร์พยังคงต่อสู้กับองครักษ์ทวิเล็กคนนั้นอยู่ แต่ฝ่ายหลังก็ร่อแร่เต็มที ออร์พใช้พลังอัดองครักษ์ทวิเล็กจนร้องอ๊าก เจ็บปวดทรมานจนดาบแสงหลุดออกจากมือ แล้วออร์พจึงใช้พลังดึงร่างขององครักษ์ทวิเล็กนั้นเข้ามาหาตัว เสียบเข้ากับดาบแสงสีเขียวที่รอรับอยู่อย่างพอดิบพอดี องครักษ์คนนั้นเสียชีวิตคาที่ ร่างของเขาหล่นลงกับพื้นปล่อยให้ลำดาบผ่าร่างออกเป็นสองอย่างหมดสิทธิ์รักษา ออร์พหันไปทางทิงกิสด้วยสายตาที่น่าพรั่นพรึง ทิงกิสผู้กำลังตกอยู่ในความหวาดกลัวกำลังถอยหนีอย่างสุดความสามารถ แต่ร่างอันใหญ่โตเทอะทะทำให้มันเป็นไปด้วยความเชื่องช้า ออร์พวิ่งเข้าไปหาทิงกิส ตวัดดาบเข้าหาลำคอที่อวบอ้วนไปด้วยไขมันของมหาอำนาจแห่งทาทูอีน แล้วบั่นคอของทิงกิสออกจากร่าง

ออร์พยืนหอบ ปล่อยให้ศีรษะของทิงกิสหล่นลงกระทบพื้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของฝูงชน พลันพริบตานั้นมีลำแสงปืนพุ่งตรงมาจากแทบทุกทิศทุกทางตรงมายังทั้งออร์พและลิวมัส ทั้งสองใช้ดาบปัดป้อง พอดีกับที่เคิร์ธกับคูนาฮาวิ่งมาถึง ทั้งสองยกมือขึ้นวาดไปยังเหล่ามือปืนล่าสังหาร พลันทั้งหมดก็นิ่งลง เก็บปืนแสงลงสู่ซองเก็บด้วยทีท่ามึนงง เคิร์ธกับคูนาฮาวิ่งตรงเข้ามายังออร์พ คูนาฮาใช้ฝ่ามืออันใหญ่โตตบหน้าของออร์พครั้งหนึ่ง แล้วสบถด่า ออร์พได้แต่นิ่ง ในขณะที่เคิร์ธเองยังสงสัย

‘พลังดลใจของเขากับคูนาฮาไม่น่าจะได้ผลรุนแรงเช่นนี้’

ผู้เข้าแข่งขันชุดดำเก็บมือลง ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า นัยน์ตาสีเหลืองกระพริบวูบ เขาขึ้นยืนบนเจ็ทบอร์ด แล้วแล่นหนีหายไปในทะเลทราย ทิ้งสองศิษย์สองอาจารย์และเหล่าฝูงชนแห่งทาทูอีนที่หลงลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ไปจนหมดสิ้นไว้เบื้องหลัง




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2547   
Last Update : 17 ธันวาคม 2548 15:30:22 น.   
Counter : 348 Pageviews.  



มูแอน
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add มูแอน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com