Hed003

"ฟัง"อย่างไรให้"ได้ยิน"



สัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์ลูกสาววัยขวบแปดเดือนของฉันละเมอกลางดึกทุกคืน
บางวันตีสาม บางวันตีสี่....
ร้องไห้ แล้วพร่ำพูดว่า"อุ้ง อุ้ง อุ้ง..."(หมายถึงให้อุ้ม)ซ้ำไปซ้ำมา
ปลอบยังไงก็ไม่ฟัง..ไม่หยุด
พออุ้มแล้วก็ชี้ให้เดินไปนอกบ้าน(ให้แม่อุ้มคนเดียวเท่านั้น)
เรียกหาคนนั้นคนนี้ที่ชอบไปเล่นด้วยตอนกลางวัน
สองคืนแรกก็ยังพอไหว...อุ้มเดินออกนอกบ้านพาไปดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อยจนกว่าจะหยุดร้อง (ใช้เวลาหลายชั่วโมง)

พอวันที่สามฉันเริ่มไม่ไหว...คราวนี้ไม่ยอมทำตามคำขอแล้ว
ไม่อุ้ม ไม่พาเดิน...
ลูกกลับร้องหนักกว่าเดิม...นานกว่าเดิม........

คืนที่สี่...ตอนตีสี่
เหมือนเดิม...ร้องไห้ให้อุ้ม..ชี้มือไปนอกบ้านจะไปหาคนโน้นคนนี้ที่เล่นด้วยตอนกลางวัน
ฉันเพลียจากอดนอนหลายคืน...จึงปฏิเสธลูก
ก็ยิ่งร้อง....ดิ้นรน...พ่อสงสารจะช่วยอุ้มแทนแต่ลูกไม่ยอม
ฉันตั้งสติ..สลัดความง่วง
พูดกับลูกดีๆนุ่มนวลที่สุด
"เดี๋ยวแม่อุ้มลูกไปก็ได้นะ แต่ลูกต้องเงียบก่อน คนเก่งไม่ร้องไห้นะ"
ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ...ลูกหยุดร้องหยุดดิ้น
"รอแม่แป๊บนะ เดี๋ยวแม่หยิบเสื้อคลุมก่อน แล้วไปกัน"
ลูกหยุดรออย่างสงบ....
ฉันอุ้มลูกพาออกไปข้างนอกบ้านที่ยังมืดและเงียบอยู่
"ลูกเห็นมั้ย มันยังมืดอยู่เลย เค้านอนกันหมดเลย"
ลูกชี้มือไปอีกบ้าน ฉันพาไปดู
"บ้านนี้ก็นอน มืดแล้ว นอนนะ"
ไปอีกบ้าน ก็พูดเหมือนเดิม
"บ้านนี้ก็นอน มืดแล้ว นอนนะ"
ซักพักลูกหันมาบอกฉันว่า"นอน นอน.."แล้วชี้ให้กลับไปนอนบนห้อง
พอพาขึ้นห้องนอนฉันบอกลูกอีกครั้งว่า
"มืดแล้ว ลูกนอนนะ เช้าแล้วค่อยไปเล่นกัน นอนนะคนเก่ง"
ลูกก็นอน กินนมแล้วหลับอย่างรวดเร็ว......
ฉันกับสามีทึ่งมากที่ตัวเองทำให้ลูกสงบลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
เรื่องเกิดและจบภายในสิบนาที
จากการฟังกันและกัน

ก่อนหน้านี้....ฉันไม่ได้ฟังลูกอย่างแท้จริง...
ความเหนื่อยความง่วงทำให้ฉันไม่อยากฟังความต้องการของลูก
ถึงจะอุ้มเดินไป..หรือทำตามที่ลูกขอ
ก็ทำแบบไร้จุดหมาย
แต่พอฉัน"ฟัง"ถึงได้รู้ว่า ลูกแค่เพียงละเมอแล้วอยากออกไปหาเพื่อนเล่น
พอฉัน"ฟัง"... เขาก็"ฟัง"ตอบ แล้วจึงเข้าใจว่าฉันพูดอะไร.......
เหมือนที่ฉันเข้าใจเขา

สำหรับเด็กเล็กๆเราไม่จำเป็นต้องพูดยาวๆ
พยายามหาคำหลักที่สื่อสารกันได้
พยายามให้เขาจำและเข้าใจความหมายนั้น

มีเพื่อนบางคนอยากให้ลูกพูดได้เร็วๆจึงพยายามสอนให้ลูกพูดทั้งวัน
พูดให้ลูกฟังทั้งวัน พอลูกจะพูดก็รีบตอบรับโดยยังไม่ได้ฟัง
หลังๆลูกก็เลยไม่ยอมพูด(เพราะไม่มีใครฟัง)
ตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม

อีกคน...อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษเก่งๆก็ให้ฟังหนังsoundtrackตั้งแต่อยู่ในท้อง
จนคลอดออกมาก็อัดภาษาอังกฤษให้ฟังตลอดเวลา
ปรากฏว่าตอนนี้ต้องพาลูกไปคลีนิคฝึกพูด เพราะลูกพูดไม่รู้เรื่อง....
กรณีนี้ฟังเกินขอบเขต...เกินความต้องการของเด็ก

.....................................................................................................

เมื่อเดือนก่อนฉันได้ฟังดร.สุเมธ ตันติเวชกุล พูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
อาจารย์สุเมธบ่นหลายรอบว่าคนไทยเอาแต่ "ฟัง" แต่กลับ "ไม่ได้ยิน" ที่ในหลวงตรัส
ในหลวงตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาตั้งนานแล้ว คนไทยเพิ่งมาตื่นตัว แถมยังเอาไปใช้กันแบบผิดๆ
พอพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง..ก็พาลจะไปทำเกษตรกันหมด
อาชีพอะไรก็พอเพียงได้
ฐานะแบบไหนก็พอเพียงได้
ไม่ต้องไปทำไร่ทำสวนก็พอเพียงได้เหมือนกัน

เหมือนเรื่องเสื้อเหลือง"เรารักในหลวง"
ใส่กันทั้งบ้านทั้งเมือง
พร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองนับแสนนับล้านคนเข้าเฝ้าในหลวงถวายความจงรักภักดี
แต่พอลุกขึ้นกลับบ้านก็ทิ้งขยะไว้คนละชิ้นสองชิ้น
เหยียบเท้ากันนิดชนกันหน่อยก็ด่ากัน ทะเลาะกัน
เอารัดเอาเปรียบ
เห็นแก่ตัวกันสารพัด
ตกลง"ได้ยิน"กันหรือเปล่าว่าในหลวงทรงตรัสว่าอะไร
หรือแค่"ฟัง"เฉยๆก็พอ....

เรื่องเสื้อเหลืองนี่เป็นความคิดส่วนตัวของฉันเอง
ไม่เกี่ยวกับอาจารย์สุเมธแต่อย่างใด
.................................................................................................

สุ จิ ปุ ลิ "หัวใจนักปราชญ์" หลักการเรียนแต่โบร่ำโบราณ
หรือแม้แต่วิชา ภาษาเพื่อการสื่อสาร (ที่ฉันสอน)
ถึงจะพูดเรื่อง ฟัง พูด อ่าน เขียน
แต่ตำรา/เอกสารน้อยเหลือเกินที่จะพูดเรื่อง"การฟัง"ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ด้านอื่น
ฉันต้องมานั่งค้นข้อมูลและเรียบเรียงใหม่พร้อมทั้งเตรียมแบบฝึกหัดเรื่องการฟังใหม่เอง

ว่ากันว่า..คนสมัยนี้ "ฟังน้อยลง"เอาแต่พูด
ไม่มีใครฟังใคร
เรื่องของฉันสำคัญกว่า..ขอฉันพูดก่อนเถอะ
เลยไม่รู้ว่าอีกคนต้องการอะไร

....................................................................................................

ได้อ่านเรื่องการฟังอย่างไรให้ได้ยินจากเว็บไวต์ของ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ฯ แล้วน่าสนใจ เลยเอามารวบรวมไว้ในเรื่องของทักษะการฟัง

อาจารย์อู่ทอง ประศาสน์วินิจฉัยได้เรียบเรียงข้อมูลจากการสัมภาษณ์
อาจารย์วัจนินทร์ โรหิตสุขสาขาวิชาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่*หมายเหตุสังคม
......................................................................................................
บทความจากหมายเหตุสังคม

ในชีวิตประจำวันของเรานั้น ฝรั่งเคยทำวิจัยแล้วพบว่าคนทั่วไปใช้เวลาในการพูดประมาณ 30% เท่านั้น แต่ใช้เวลาในการฟังถึง 70% ของเวลาทั้งหมด ที่น่าแปลกใจก็คือทั้งที่การฟังเป็นกิจกรรมส่วนใหญ่ที่เราทำ เรากลับไม่เคยได้รับการฝึกให้ ‘ฟังเป็น’

เวลาเรียนภาษา เราจะพูดถึงการฟัง พูด อ่าน เขียนให้แตกฉาน แต่ในการจัดการเรียนการสอนจริงๆ ไม่ว่าภาษาอะไร จะเห็นว่าเราให้ความสำคัญกับ 3 อย่างหลังมากในขณะที่เราไม่ได้ฝึกการฟังเลย ถ้าจะมีวิชา Listening บ้าง ก็เป็นการฝึกให้ฟังภาษาต่างประเทศออกว่าเขาพูดคำว่าอะไรเท่านั้น (ในขณะที่ไม่มีวิชาการฟังในการเรียนภาษาไทย)

ในประสบการณ์การสอนกว่า 20 ปี ทุกครั้งที่ทดลองทำ ‘การฟัง’ กว่าร้อยละ 90 ของนักศึกษาจะล้มเหลว เราได้ยินเสียงหัวใจตัวเองว่าอยากได้ยินหรือคิดว่าได้ยินอะไร มากกว่าจะได้ยินเสียงหัวใจของคนพูดว่าเขาอยากบอกอะไรกับเรา

เก็บตกเดือนนี้จึงอยากเก็บเอาแนวทางหนึ่งของการ ‘ฟัง’ ที่เชื่อกันว่าเป็นการฟังที่มีประสิทธิภาพสูงมาเล่าสู่กันฟัง แนวทางนี้มีชื่อว่า Active Listening (AL)

AL เป็นการฟังอย่าง active เพราะไม่ได้ฟังเฉยๆ แต่มีการโต้ตอบกลับเพื่อตรวจสอบว่าเราเข้าใจสิ่งที่เขาพูดมาตรงกับที่เขาต้องการหรือเปล่า โดยการพูดทวนสิ่งที่ได้ยินโดยใช้คำพูดของตัวเอง (paraphrase) การโต้ตอบกลับแบบนี้จึงไม่ใช่การถามเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมและไม่ใช่การพูดซ้ำสิ่งที่เขาเพิ่งพูดมา แต่เป็นการใช้คำพูดของตัวเองเรียบเรียงความเข้าใจของเราออกมาว่าเราคิดว่าเขาพูดอะไร

AL อาจทำได้ 2 แบบคือ

1. การสะท้อนธรรมดา (simple reflection) สะท้อนเฉพาะสิ่งที่เขาพูดออกมาโดยใช้คำพูดของเราเองเรียบเรียงสิ่งที่เขาพูดใหม่

2. การสะท้อนแบบตีความ (interpretative reflection) สะท้อนสิ่งที่เราตีความว่าเขาอยากจะบอก ซึ่งมี 2 แบบด้วยกันคือ 1) สรุปสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดว่าเราคิดว่าประเด็นต่างๆ ที่เขาพูดถึงนั้นมีอะไรบ้าง และ 2) ตีความแล้วระบุแก่นของเรื่องว่าเราฟังแล้วคิดว่าประเด็นที่แท้จริงของเขาอยู่ตรงไหนกันแน่

แบบหลังนี้เหมือนจะวิเคราะห์แทนเขา (จึงดีสู้แบบแรกไม่ได้) แต่ต่างจากการวิเคราะห์ตรงที่เราพยายามประมวลประเด็นต่างๆ จากการฟังไม่ใช่จากฐานการคิดของเราเอง และต้องเผื่อใจเสมอว่าเราอาจประมวลผิด เพราะท่าทีของการใช้ AL คือการแชร์ความคิดร่วมกัน ไม่ใช่ “ฉันบอกหรือสอนคุณ” การสะท้อนจึงควรอยู่ในรูปของ ‘อาจจะ’ มากกว่า ‘ต้อง’

ปัจจุบัน มีการนำ AL มาใช้ในการรับฟังเพื่อแก้ปัญหากันมาก (เช่น ในการรับปรึกษาปัญหาครอบครัว) การฟังแบบ AL นั้นดีตรงที่เราใช้ตัวเองเข้าไปตัดสินแทนเขาน้อยมากเพราะไม่ได้เสนอทางออกให้เขา แค่ทวนว่าเราคิดว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอะไรเท่านั้น

ข้อดีที่สุดของการใช้ AL คือมันช่วยให้ผู้ที่มาปรึกษาได้พัฒนาความคิดและหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองแทนที่จะมองหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น และฝึกให้เขารู้จักรับผิดชอบการตัดสินใจด้วยตัวเองด้วย

..................................................................................................

ป.ล. ลอง"ฟัง"คนข้างๆดูสิคะ จะได้รู้ว่า"หัวใจของเขาพูดว่าอะไร"







 

Create Date : 20 กันยายน 2550    
Last Update : 20 กันยายน 2550 16:10:17 น.
Counter : 511 Pageviews.  

น้ำนมหยดสุดท้าย

อีกไม่กี่วันก็ต้องเริ่มงานใหม่แล้ว
ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้เจ้ากุนหย่านมก่อนไปทำงานใหม่
แต่พอกุนไม่สบายและเจ็บตัวบ่อยๆก็เลยสงสาร
ยอมให้กินต่อไปก่อน
ตอนแรกประชุมกันในครอบครัวแล้วว่าจะใช้วิธีทาบอระเพ็ดที่นม(แม่)แล้วบอกว่านมเสีย..กินไม่ได้แล้วนะ
เพราะถ้าใช้วิธีไม่ให้กินเฉยๆ โดยบอกเหตุผล ลูกก็ยังไม่เข้าใจอยูดี เพราะลูกยังเล็กเกินไป..
แต่ก็ยังไม่ทันได้ใช้ซักที...

เจ้ากุนอายุขวบครึ่งแล้ว
แต่ยังกินนมแม่เป็นเด็กโข่ง
ความจริงก็ตั้งใจว่าจะให้กินไปเรื่อยๆเพราะคนรอบๆตัวก็ยังให้กินถึงสองสามขวบแน่ะ ก็เลยไม่มีแรงกดดันว่า"ลูกโตแล้ว ทำไมยังให้กินนมแม่อยู่ได้"
ก็แหม..ในชีวิตหนึ่ง เด็กคนนึงจะกินนมแม่ได้นานซักเท่าไหร่กันเชียว ฉะนั้นกินได้นานแค่ไหนก็กินไปเถอะ ไม่ได้เดือนร้อนใคร จะมีก็แต่คนเป็นแม่จะเหนื่อยหน่อยก็เท่านั้น เพราะนมขวด..คนอื่นก็ยังช่วยชง ช่วยถือขวดให้เวลาลูกหลับได้
แต่นมแม่..ใครจะมาชงแทนได้นั้นไม่มี! ฮ่าๆๆๆ

แต่ก็นั่นล่ะนะ..เวลาลูกดูดนมเราๆก็จะได้เห็นหน้าลูกในมุมเดียวที่ไม่มีใครในโลกได้เห็น เป็นมุมเฉพาะของเราแม่ลูกเท่านั้น...จู๋จี๋กันสองคนเนอะ

อีกเหตุผลที่เริ่มอยากให้ลูกหย่านมก็คือ น้ำนมเริ่มแห้งแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เต้า เอ๊ย! ข้างเดียวที่ยังพอมีน้ำนมให้จุ๊บจิ๊บ จุ๊บจิ๊บพออุ่นใจได้

"ไม่หวังจะอิ่ม
แค่อยากจะอุ่น"
ก็เท่านั้น



ย้อนกลับไปเมื่อ 20 มกราคม 2549(แหม..เป็นทางการเชียว) การให้นมลูก..ภาษาหมอเขาเรียก"การป้อมนมลูก" สำหรับเรามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย
หลังจากผ่าคลอด เพราะเจ้ากุนไม่ยอมเอาหัวลง
หมอก็รีบเอาตัวอ่อน(ก็หน้าตามันเหมือนตัวอ่อนเอเลี่ยนเลย! ยึ๋ย!!)มาให้ดูดนมแม่ทันที ตามนโยบายของโครงการ"นมแม่สิแน่จริง!"
1.ดูดเร็ว หมายถึงรีบให้ทารกดูดนมแม่ทันทีหลังคลอด เพื่อกระตุ้นให้น้ำนมออกมาเยอะๆ
2.ดูดแรง(ไม่รู้จำผิดรึเปล่านะคะ) คือให้ทารกดูดกระตุ้นแรงๆอย่างถูกวิธี ถูกท่า
3.ดูดบ่อย ถ้าไม่ดูดบ่อยๆน้ำนมจะแห้งได้ง่ายค่ะ

แต่พอเอาเข้าจริง..ทั้งแม่นม เอ๊ย! มือใหม่
กับลูกมือใหม่กว่า ก็ทำได้แค่ข้อหนึ่งกับข้อสอง
อีกข้อ..ไม่ผ่านค่ะ
จนเกิดปัญหาจนได้
เพราะให้นมไม่ถูกท่าและลูกยังดูดไม่เป็น
เจ้าหล่อนเล่นงับเอาๆ แบบหิวโหยเต็มที่
ในที่สุดหัวนมก็เป็นแผลเลือดออกทั้งสองข้าง
วันที่ห้าที่กลับไปอยู่บ้านแล้ว..เลยต้องประชุมย่อยว่าเอาไงกันดี ถ้าให้นมแม่ล้วนอย่างที่ตั้งใจกันไม่ได้
เห็นทีต้องเอานมผงเข้าช่วย...

ผิดหวังค่ะ..ยอมรับว่าผิดหวังมาก
เพราะอยากให้ลูกกินนมแม่ล้วนๆอย่างน้อยสามเดือนก่อนกลับไปทำงาน
ร้องไห้โฮ...แค่นี้ก็ทำไม่ได้

"ถึงเราจะให้ลูกกินนมแม่ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรารักลูกน้อยลงนี่นา เกดก็ทำดีที่สุดแล้ว อย่าเสียใจเลย" ประโยคนี้ของพ่อหมูแหละค่ะที่ทำให้เข้มแข็งขึ้น

จากนั้นก็พยายามรักษาแผลที่หัวนม(อ่านให้เป็นวิชาการนะคะ ฮิฮิ)สลับกับให้นมแม่ไปด้วย ข้างไหนทายา ก็ให้อีกข้างแทน สลับไปสลับมา เพราะลูกไม่ค่อยยอมกินนมขวดเท่าไหร่ น้ำก็ไม่ยอมดูดจากขวดค่ะ ต้องใส่ช้อนป้อนถึงจะกิน(กุนก็ลยใช้แก้วน้ำได้เร็ว เพราะกินจากแก้วตั้งแต่เล็กๆเลย)

ตอนแรกก็น้อยใจว่าทำไมคนอื่นเขายังไม่เห็นมีปัญหาเลย
ปรากฏว่าคุยกับแม่มือใหม่หลายคนที่โรงพยาบาลก็เป็นเหมือนกัน
แล้วก็คุยกับเพื่อนสนิท..ล้วนแต่เกิดปัญหาเดียวกัน
เพื่อนเรายิ่งหนักกว่า..คือเจ็บจนเป็นลมไปเลย
สุดท้ายคือลูกอดนมแม่ไปเหอะ แม่ม่ายหวาย ฮ่าๆๆ

ผ่านไปแค่สัปดาห์เดียวแค่นั้นเอง
ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ
ลูกดูดเป็น..แม่ก็ป้อนเป็น
ต้องให้ปากลูกงับถึงลานนมนมของแม่ค่ะ..ไม่ใช่แค่ตรงหัวนมซึ่งน้ำนมก็จะไม่ออกมา
ทีนี้น้ำนมมาใหญ่เลยแหละ!
พอลูกไม่ดูดปุ๊บ
น้ำนมไหลเปียกเสื้อปั๊บเลย!
เลยต้องซื้อแผ่นซับน้ำนมเตรียมไว้เยอะเลย
มีทั้งแบบใช้แล้วซักได้กับแบบใช้แล้วทิ้งเลย
เตรียมไว้สำหรับตอนไปทำงานด้วย

ทีนี้พอไปทำงานก็ต้องเตรียมยาพาราแก้ปวดไปด้วย
เพราะแรกๆแทบจับไข้เพราะนมคัด
เนื่องจากว่าลูกไม่ได้ดูด..แล้วไม่มีโอกาสปั๊มนมที่ทำงาน
พอตกเย็นอยากกลับบ้านใจจะขาด
ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงลูก
แต่เป็นเพราะอยากให้ลูกดูดนมให้หายคัดซะที
! 555



สรุปว่า..ได้ให้นมแม่เต็มๆสามเดือน
จากนั้นก็ให้นมผสมตอนกลางวัน
ส่วนกลับจากทำงานกับวันหยุดก็เป็นวันหยุดของนมผงด้วยเช่นกัน...จนถึงวันนี้แหละค่ะ
แล้วก็คงให้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเหลือน้ำนมหยดสุดท้ายล่ะมั้งคะ

ใกล้วันแม่พอดีเลยเนอะ
นึกถึงเรื่องที่เคยบ่นกับแม่ว่า
"ทำไมกุนมันติดนมแม่มากขนาดนี้อ่ะแม่ เห็นลูกๆเพื่อนไม่ค่อยมีใครติดนมแม่เท่าไหร่เลย"
แม่บอกยิ้มๆว่า
"มันก็เหมือนเธอตอนเด็กๆนั่นแหละ พี่กับน้องเธอไม่เห็นเป็นขนาดนี้เลย"
ทำนองว่า..เคยทำอะไรกับแม่ไว้..ระวังกรรมจะตามทันฮ่าๆๆๆ



ภาพประกอบจาก //www2.tba.t-com.ne.jp/2beans/




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2550    
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 16:28:26 น.
Counter : 586 Pageviews.  

ผู้หญิงอีกคนบนโลก..ที่โชคดี

เรื่องนี้เขียนไว้เล่นๆตอนท้องเจ้ากุนได้สี่เดือน
สงสัยตอนนั้นจะอ่านนิยายที่ค้นจากตู้หนังสือของพ่อมามากไปหน่อย
ก็เลยนึกครึ้ม...อยากจะเขียนกับเขาบ้าง
พอเอากลับมาอ่านอีกที..ก็แปลกๆดีนะ
อืม....ได้ความรู้สึกดีๆไปอีกแบบ




ผู้หญิงอีกคนบนโลก..ที่โชคดี



นิยายเรื่องทองประกายแสดของทมยันตีเล่มที่ 2 ใกล้จะจบแล้ว ฉันต้องหานิยายเล่มต่อไปอ่านอีกอย่างไม่รู้เบื่อ กอรปกับความเงียบสงบและบรรยากาศร่มรื่นของบ้านพ่อแม่ ทำให้การอ่านยิ่งลื่นไหลและมีรสชาติ

ความจริงฉันไม่ค่อยชอบอ่านนิยายเท่าไหร่นัก ฉันชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมแปล หนังสือประเภทออกแบบตกแต่ง นิตยสารแฟชั่นสวยๆงามๆ ฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่ใครๆชอบคิดว่าแปลก โดดเด่น ไม่เหมือนใคร ถ้าหากมองแบบเข้าอกเข้าใจเสียหน่อย ก็อาจจะเรียกฉันว่า อาร์ตทิส หรือบางคนอาจลากเสียงนิดๆด้วยความหมั่นไส้ว่า “แม่ศิลปิน..” อาจจะด้วยเหตุที่ฉันร่ำเรียนภาพยนตร์ ชอบดูหนังฟังเพลง ชอบอ่านเขียนหนังสือ ชอบเดินทาง ชอบดูละครและงานศิลปะทั้งมวล ด้วยเหตุที่ฉันเป็นตัวของตัวเองสูง โรแมนติค ร่ำรวยความฝัน จินตนาการล้นเหลือและชอบจมจ่อมอยู่กับความนึกคิดส่วนตัว และสุดท้าย ด้วยเหตุที่ผู้คนรอบตัวฉันล้วนแต่เป็นพวกคนทำงานศิลปะ เพื่อนรักของฉันเป็นนักแสดงละครเวที น้องคนสนิทเป็นนักเดินทาง พี่สาวอีกคนเป็นคนทำหนังสือ เพื่อนๆหลายคนเป็นช่างภาพ คนนั้นเป็นนักออกแบบ คนโน้นเป็นนักดนตรี อีกคนเป็นครูสอนศิลปะ และก็อีกหลายต่อหลายคน ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุที่ทำให้ฉันถูกเรียกว่าสาวอาร์ตทิสมาแต่ไหนแต่ไร

แต่ก่อนแต่ไรฉันกับเพื่อนมักดื่มกินความเพ้อฝันเป็นของหวาน เรามักจะฝันเฟื่องถึงการแต่งงาน การสร้างครอบครัวและการมีลูก เพื่อนสนิท(และตัวฉันเอง)มักจะจินตนาการว่าถ้าฉันมีลูก ลูกฉันคงเป็นเด็กพิเศษ ค่าที่แม่มันไม่ใช่ผู้หญิงปกติ ตอนตั้งท้องคงต้องฟังเพลงคลาสสิค เล่านิทานก่อนนอน วาดสีน้ำเพื่อกระตุ้นจินตนาการลูก ปักเสื้อตัวจิ๋วเตรียมไว้ อ่านเจ้าชายน้อยและหนังสือวรรณกรรมแปลให้ลูกฟัง กินอาหารบำรุงตามแบบที่หนังสือสำหรับคุณแม่มือใหม่แนะนำ ทำโยคะสำหรับคนท้อง และตั้งชื่อรอไว้ทั้งเด็กชายเด็กหญิง และอื่นๆตามประสาอาร์ตทิสเขาทำกัน เพื่อนๆพากันนึกภาพฉันว่าคงเป็นแม่ที่เซอร์ที่สุดเท่าที่จะนึกได้

…………………………………………………………………………..

แต่น่าแปลก หลังจากที่ฉันแต่งงานมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่เจ้าหนูในท้องของฉันอายุ 12 สัปดาห์แล้ว ฉันยังไม่ได้ทำอะไรอย่างว่าเลย ฉันได้แต่นอนอ่านนิยายโบร่ำโบราณของพ่อ ทิวาถวิลของพนมเทียนเอย กระเช้าสีดาของกฤษณา อโศกสินเอย นางเอกของทมยันตีเอย เคล้ากับเพลงลูกทุ่งรักไทยที่แม่เปิด อาหาร 3 มื้อของฉันนั่นเล่า ล้วนแต่เป็นอาหารพื้นๆฝีมือแม่ หลังจากที่แม่ไม่ได้ทำกับข้าวมานานเพราะไม่ค่อยมีใครอยู่กินข้าวบ้าน หมูทอดเอย ผัดกระเพราเอย ต้มจืดกระดูกหมูผักกาดดองเอย ฉันไม่ได้ปักเสื้อตัวน้อยๆให้ลูกเลย อย่างดีก็แค่ซ่อมแซมเสื้อผ้าตัวเองให้ใส่ได้ตอนท้องโตขึ้นกว่านี้ ฉันออกกำลังกายด้วยการทำงานบ้าน กวาดบ้านล้างจาน และไม่ได้มีชื่อลูกเตรียมไว้ ฉันเรียกเขาแค่ว่า “ไอ้หนู”

ดูเหมือนฉันจะกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาไปแล้วตั้งแต่ตั้งท้อง ทุกอย่างเรียบง่ายและสงบเสงี่ยมอย่างที่สุด ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์อ่อนไหวโรแมนติคมากมายนัก ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนรอบตัวฉันต่างหากที่ดูจะละเอียดอ่อนและโรแมนติคมากขึ้น ทั้งสามี พ่อแม่ พี่ชายน้องชายและเพื่อนๆ
นี่อาจเป็นอาการแพ้ท้องแบบหนึ่งก็ได้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ฉันกลายเป็นแม่บ้านเหมือนกับผู้หญิงทั่วๆไปอย่างที่เพื่อนๆหรือแม้แต่ตัวฉันเองก็นึกไม่ถึงมาก่อน “นึกภาพไม่ออก” เพื่อนๆบอกอย่างนั้น หรือไม่ก็ “มีอารมณ์แบบนี้ด้วยเหรอ” ฉันอยู่บ้านทำกับข้าวทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนตอนอยู่กับพ่อแม่ ฉันซักผ้ารีดผ้า ปัดฝุ่นกวาดบ้าน ซ่อมเสื้อผ้าเล็กๆน้อยๆ และอื่นๆ ทว่าฉันกลับชอบตัวฉันเองในตอนนี้ แม้จะมีบ้างที่รู้สึกเงียบๆเหงาๆในบางครั้งบางวัน ฉันกลายเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนตามวิถีชีวิตของสามี เขาเป็นคนที่เข้าใจความเป็นตัวฉันที่สุดคนหนึ่ง เขายังสนับสนุนให้ฉันทำงานหรือใช้ชีวิตในแบบเดิม แบบที่เป็นฉันด้วยซ้ำ แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันเป็นไปโดยที่ฉันไม่ได้พยายาม บางทีฉันอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน จะแค่พรุ่งนี้หรืออาจจะตลอดไป
ฉันรู้แต่ว่า..ฉันชอบตัวเองในเวลานี้ ไม่ต้องโลดโผน ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องเดินทาง ราวกับฉันรอการพักผ่อนอย่างนี้มานานเต็มที

ช่างเถอะนะ ฉันจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็ช่าง ฉันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับตัวเองมากมายนัก แค่ทำทุกอย่างไปตามธรรมชาติ ฉันเชื่อว่าธรรมชาติของฉันได้กำหนดหน้าที่มาให้ฉันอย่างเหมาะเจาะที่สุดแล้ว และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฉันแน่ใจที่สุดในตอนนี้ว่า ลูกเป็นของขวัญที่ถูกส่งมาให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงอีกคนบนโลกที่แสนโชคดี




 

Create Date : 26 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 26 กรกฎาคม 2550 14:23:48 น.
Counter : 644 Pageviews.  

สองครั้งในชีวิต..ที่แนบชิดที่สุดในโลก

ฟังดูอีโรติคมั้ยคะ?
คำว่าแนบชิด...มันดูแนบแน่นกว่าคำว่าใกล้ชิดมากมายนัก
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ตอนนอนอิงแอบกับลูกสาว...

อยู่ๆเราก็เกิดความรู้สึกว่า..
ชีวิตคนเราก็มีครั้งไหนบ้างหนอที่จะแนบชิดกับใครได้เท่าที่มีกับลูก แม้แต่กับคนรักหรือสามีก็คงไม่ได้เท่านี้
ที่เขามักพูดกันว่าสามีกับภรรยาหรือผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อมีความสัมพันธ์กันแล้ว ก็เหมือนเป็นคนๆเดียวกัน แต่พอมีลูก..เราถึงได้รู้ว่า..นี่ต่างหาก คือ การเป็นคนๆเดียวกันอย่างแท้จริง

อีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในกาย หล่อเลี้ยงเลือดเนื้อไปพร้อมกับเรา
หัวใจของคนหนึ่งเต้นอยู่ในร่างกายของอีกคนหนึ่ง
ความรู้สึกที่ส่งผ่าน....
กิน อยู่ หลับ นอนไปด้วยกัน
ไม่มีเวลาไหนแยกจากกัน...
แม้กระทั่งวันที่เขาแยกออกจากร่างกายของเราแล้ว
แต่ความแนบชิดยังคงอยู่

บางคืนหายใจรดกัน
สัมผัสโอบกอด..ลูบไล้ให้นอนสบาย
ดูดนมอิ่มเอม..หลับไหล

ครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ
ที่จะแนบชิดใครซักคนได้ขนาดนี้
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเราหรอกนะคะ

ครั้งแรกคือตอนที่เราเป็นลูกนั่นต่างหาก
ในเวลานั้นเรายังไม่รู้สึกถึงความแนบชิดเหล่านี้หรอกค่ะ
คนที่รู้สึกและรู้ซึ้งคือแม่....
และเชือว่าแม่ก็ยังคงไม่ลืมความรู้สึกนั้นแม้ว่าจะผ่านมา 30 กว่าปีแล้วก็ตาม

สองครั้งแล้วค่ะในชีวิตของเรา
ช่างโชคดีเหลือเกิน...
และอาจจะมีครั้งที่ 3 อีก..

ผู้ชายไม่มีโอกาสเป็นแม่
และคงไม่มีโอกาสได้มีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับใครซักคนเหมือนคนเป็นแม่

แต่ผู้ชายก็เคยเป็นลูก...
เคยเป็นหนึ่งเดียวกับผู้หญิงคนหนึ่ง
แม้จะแค่ครั้งเดียวในชีวิตของลูกผู้ชาย
แต่นั่นก็มีค่าพอให้รักผู้หญิงคนนั้นไปจนตาย

คนที่ไม่มีโอกาสหรือยังไม่ได้เป็นแม่
อย่าคิดว่าตัวเองโชคร้ายเลยนะคะ
ต้องคิดว่าเราแสนโชคดี
ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่เรา

โชคดีที่สุดแล้วค่ะ..
อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต
ที่ได้แนบชิดกันที่สุดในโลก


ป.ล. ไม่ได้จะทำซึ้งทำโรแมนติคหรอกค่ะ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาตอนที่เจ้ากุนตัวแสบมานอนเล่นอยู่บนตัวเรา แล้วอีกเดี๋ยวก็มาขี่หลังเป็นม้าโยก ! ก็เลยคิดว่า อือ...เราคงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับลูกแหละเนอะ ทั้งห้องครัว(ดูดนมแม่) ทั้งที่นอน ทั้งสนามเด็กเล่น !!

ป.ล. ที่สอง มีรูปประกอบมาฝาก เป็นผลงานของ ANNE GEDESS ค่ะ เพื่อให้เห็นถึงความแนบชิดมากขึ้น



























 

Create Date : 25 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2550 10:44:51 น.
Counter : 741 Pageviews.  

welcome to เสาร์สโมสร..เพิ่งเปิดบล๊อกก็ปรับปรุงใหม่ซะแล้ว!




"ยินดีต้อนรับสู่เสาร์สโมสรค่ะ"

แหม...เพิ่งจะเปิดบล๊อกใหม่อิชั้นก็ทำการปรับปรุงคอลัมน์ซะแล้ว ขนาดมั่นใจว่าเตรียมการอย่างดีแล้วนะเนี่ย แต่พอพินิจพิเคราะห์ดูแล้ว บางคอลัมน์มันซ้ำซ้อนกัน แล้วชื่อก็ยังไม่ค่อยสื่อได้ชัดเจน ก็เลยปรับซะหน่อย เพื่อง่ายต่อการเขียนนั่นเอง กลัวจะไม่มีเวลาอัพบล๊อกบ่อยๆ

ทำไมต้องเสาร์สโมสร

เกิดวันเสาร์ค่ะ ฮิฮิ ง่ายดี แล้วที่เป็นสโมสรก็เพราะนึกถึงที่นั่งสบายๆ มีสาวๆหนุ่มๆนั่งจิบชากาแฟ เม้ากันสนุกสนาน ก็เลยอยากเขียนเรื่องราวด้วยอารมณ์อย่างนั้นมั่ง
เหมือนนั่งคุยกับเพื่อนสบายๆ เอาเค้ก เอาเครื่องดื่มเย็นๆมาแบ่งกันชิม...

แนะนำตัวคนวันเสาร์

เปิดสโมสรทั้งที ก็ขอแนะนำตัวเพิ่มก่อน พระ(ที่เคยไปดูฤกษ์แต่งงาน)ท่านบอกว่า คนวันเสาร์เป็นทศกัณฐ์ ดูมีอำนาจ เป็นผู้นำ น่าเกรงขาม แต่..กว่าจะได้อะไรมาแต่ละอย่าง มักต้องเสียน้ำตาเสมอ ฮ่าๆๆๆ เห็นทีจะจริง! เป็นคนไม่มีโชคหนุน มีแต่ต้องใช้ความสามารถของตัวเองล้วนๆ ทำให้ต้องเหนื่อยอยู่บ่อยๆ

มีคนถามว่า ทำไมถึงชอบตู้ไปรษณีย์เหลือเกิน ...น่าจะเป็นเพราะที่บ้านชอบอ่านเขียนกันทุกคน แล้วพ่อก็ส่งเสริมให้เป็นคนชอบเขียน จำได้ว่าตอนเรียนประถมในวิชาที่ต้องเขียนจดหมาย ทั้งที่เป็นคนขี้เกียจเรียนเป็นที่สุด กลับชอบและรออยากเขียนจดหมาย พอได้ลองส่งและได้รับจากเพื่อนฉบับแรก ก็ยิ่งปลาบปลื้มกับการเดินทางมาของข่าวคราวในกระดาษแผ่นนึง จากนั้นก็เลยตกลงกับเพื่อนคนนั้นที่เรียอยู่ห้องเดียวกันนั่นแหละ ..ว่าเรามาแกล้งโกรธกันเถอะ ไม่ต้องพูดกัน แต่ส่งจดหมายถึงกันแทนดีกว่า เพี้ยนสนิท!! แต่ก็ได้จดหมายมาหลายฉบับในช่วงนั้น ดีที่เพื่อนยอมเพี้ยนด้วย

ส่วนอีกเหตุผลที่ยิ่งทำให้รู้สึกประทับใจกับการเขียนจดหมายก็คือ ตอนที่พ่อย้ายไปทำงานที่สงขลาเกือบสองปี สมัยนั้นการสื่อสารไม่ได้สะดวกอย่างเดี๋ยวนี้ วิธีการเดียวที่จะส่งความคิดถึงได้ ก็คือการเขียนจดหมาย เวลาที่พ่อตอบกลับมา ความสุขมันล้นเอ่อ แต่ขณะเดียวกันความคิดถึงก็ยิ่งมากขึ้น ทำให้ต้องส่งกลับไปอีก จดหมายพวกนั้นเรายังเก็บไว้ ทั้งที่เขียนไปหาพ่อ(พ่อเก็บไว้) ทั้งที่พ่อส่งมา คราวหน้าจะเอามาให้ดูขำขำ

อื่นๆเกี่ยวกับตัวเรา คงต้องรู้จักกันไปเรื่อยๆล่ะนะ ยังมีเวลาอีกเยอะนี่นา

"ขอบคุณที่อยากรู้จักกัน"




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2550 10:00:12 น.
Counter : 541 Pageviews.  

1  2  

mrs.postman
Location :
นครปฐม Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุณนายไปรษณีย์วัย(ย่าง) 37 ปี
ที่ไม่ได้ทำงานไปรษณีย์
แต่หลงรักจดหมาย/โปสการ์ด
และตู้จดหมายแบบถอนตัวไม่ขึ้น!
หลังจากที่ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ
แล้วพบเสน่ห์ของPostbox ที่แตกต่างกัน

สถานะไม่โสดมาเกือบ 6 ปี
พ่วงด้วยลูกสาวจอมป่วนสองคน
หนูณัฏวัย 4 ขวบกับหนูพิมวัยขวบครึ่ง
กับพ่อหมูสุดที่รัก
ณ บ้านหมูริมทุ่งนานครปฐม

มีความสุขกับการสอนหนังสือในมหา'ลัยเอกชน
มีโรงเรียนสอนศิลปะเล็กๆชื่อ"แตะล๊อกต๊อกแต๊ก"
และอยากเขียนหนังสืออ่านเล่นซักเล่ม
กับหนังสือนิทานที่ลูกเป็นคนวาดภาพประกอบ







หลังไมค์ถึงคุณนายไปรษณีย์



Google
บล๊อกล่าสุด

ครอบครัวตัวดี ตอนที่ 12 พี่ช่างเจรจา กับน้องภาษาต่างดาว

สนามเด็กเล่น ชวนเล่นตุ๊กตากระดาษ

กระเตงทัวร์ : หัวหินชะอำ

กระเตงทัวร์ : ครบเครื่องเรื่องเที่ยว

ครอบครัวตัวดี ตอนที่ 11 ครบรอบแต่งงานกับลมหายใจเดอะมิวสิคัล

จดหมายรักจากใครหลายคน


บล๊อกและลิ้งค์น่าสนใจ คลิ๊กได้เลย

เรื่องราวดีน่าสนใจจากบล็อกคุณ@mantras “ เรื่องของเจ..หนุ่มไทยที่ถูกประหารชีวิตในอเมริกา”

เพลงหลากหลายที่บล๊อกคุณ nilz

ขอบคุณคุณนวลกนกสำหรับcbox

Post box gallery จากคุณyyswim

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add mrs.postman's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.