สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

สุขสันต์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง ตอนสัมมนาโต๊ะกลม...ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม




สัมมนาโต๊ะกลม..ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม



เมื่อวาน ดิฉันพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองท่าน
ได้จูงมือพาคุณสามีและว่าที่สามีในอนาคตออกไป dinner กัน
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งบนถนนที่ดิฉันเรียกเองว่า
“ถนนแห่งความหลงระเริง”

อย่าคิดเชียวว่าเป็นแถว RCA แต่อย่างใด
แถวนั้นมันเกินวัย เอ้ย! ไม่ใช่ วัยเกิน ไปมากแล้วค่ะ
กลัวไปหลงระเริงแถวนั้นเด็กมันจะเรียกเอาว่า “ป้า”

ถนนแห่งความหลงระเริงที่ดิฉันกล่าวถึงนั้นอยู่ในกรุงเทพมหานคร
ใกล้ความเจริญ มีทางด่วนพาดยาวอยู่บนเหนือศีรษะ
ส่วนมากจะใช้เป็นแหล่งนัดพบรับประทานอาหาร
เคล้าคลอเสียงเพลงของกลุ่มคนตั้งแต่วัยทำงานขึ้นไป
ค่ะ ก็ร้านอาหารแถวเรียบด่วน (รามอินทรา)ไงละคะ
ที่ผุดขึ้นกันแข่งกับดอกเห็ดในหน้าฝน

เหล่าเราสาวน้อยใหญ่ หลงไปแถวนั้นก็มีแต่ระเริงละคะ
ระเริงกับเสียงเพลง ระเริงกับบรรยากาศ
แถมเมื่อคืนฝนตกอีกต่างหาก บรรยากาศแสนจะเป็นใจ
อย่างกับหนังไทยในอดีต แต่ขอโทษทีคะ
ไม่มีฉาก love scene เหมือนในหนังให้ดูอย่างที่คิด

ดิฉันและคุณสามีเลือกร้านนี้เนื่องจากชอบบรรยากาศ
และรสชาตของอาหาร
ช่างแสนเหมาะเจาะกับการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจริงๆ
จะมีใครซะอีกละคะ
ก็ว่าที่สามีในอนาคตของเพื่อนสาวทั้งสองคนของดิฉันยังไง
(ต้องแอบขออภัยหากว่าวันหนึ่งวันใดไม่เป็นอย่างที่ว่าไว้
..แต่จากที่คุณนายอาร์โนลด์ดูไว้ไม่น่าจะพลาด)

แขกบ้านแขกเมืองคนแรก...ชายญี่ปุ่นที่หลงเข้ามาในบ่วงกรรม
เอาอีกแล้ว..ไม่ใช่! บ่วงของความรักของเพื่อนรูมเมทสาวของดิฉัน
ว่าก็ว่าไปหลงมาก็เกือบสองปีแล้วเมื่อไหร่จะแต่งกันสักทีน้า ดิฉันก็ได้แต่ลุ้น

ส่วนแขกคนต่อมา...ไม่น่าเชื่อ..คุณขา
อย่างกับโคลนนิ่งเรื่องราวสุขสันต์ หรรษา กับสามีฝรั่งของมิสซิสอาร์โนลด์
แต่นี่เป็นภาคสอง คือ ชายฝรั่งคนนี้ แกเป็นคนอเมริกัน
แฉกเช่นเดียวกันกับสามีที่น่ารักของดิฉัน
เราเรียกเค้าสั้นๆว่า Nick
แกอยู่ที่เมืองเดียวกัน เรียนจบที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
ผ่านชีวิตครอบครัวมาเหมือนกันกับคุณสามีของดิฉัน แป๊ะ
สุดท้ายเป็นไงละคะ ก็ต้องมาหลงในมายารักของสาวไทย
ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันแบบนี้

สถานการณ์เดียวกันอย่างไรหรือ
อธิบายคร่าวๆ คือเจ้าเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นแฟนของหนุ่มมะกันคนนี้
ดิฉันขอเรียกเธอว่า Oily ละกัน
แม่นางน้องเป็นนักเรียนทุนรุ่นที่สองรองจากรุ่นของมิสซิสอาร์โนลด์
เราทั้งสองคนบินไปเรียนในสหรัฐอเมริกาในปีติดๆ กัน

และแล้วเธอผู้นี้ก็มาตกอยู่ในสถานการณ์นั่งไม่ติดคาน
เหมือนกับมิสซิสอาร์โนลด์ที่เคยเป็นมา
แต่ความแตกต่างมันอยู่ที่ตอนนี้มิสซิสอาร์โนลด์ถูกเขี่ยลงตกจากคาน
เจ็บมาแล้วจึงได้เดินงงๆ จนมาค้นพบทางเดินชีวิตของตัวเอง
เลยไม่ได้คิดอะไรมาก

ส่วนแม่นางน้องตอนนี้ต้องนั่งหมิ่นเหม่อย่างไม่ติดคานสักเท่าไหร่นัก
จะกระโดดลงมาเลยก็กลัวเจ็บอย่างคุณพี่
จะไม่นั่งเฉยๆ ก็สงสารหัวใจตัวเองและสงสารเจ้าหนุ่มมะกันตาน้ำข้าว
ที่ยืนรอความหวังอยู่ด้านล่างอย่างตั้งใจ

แหม! คุณขา มันเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจกันอย่างใหญ่หลวง
ที่ผู้หญิงไทยอย่างเราจะตัดสินใจแต่งงาน
เลือกที่จะเชื่อความรักในระหว่างเรียนท่ามกลางเสียงครหานินทา
ขอเรียกเป็นเสียงคิดดังๆ ของใครๆ ดีกว่าเนอะ ดูดีขึ้นมาหน่อย
แต่เอาเถอะดิฉันเข้าใจความรู้สึกของแม่นางน้องดี
ว่าไอ้ตอนสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเข้าไป
ก่อนตัดสินใจก้าวกระโดดลงมามันสาหัสแค่ไหน

สาหัสจนขนาดว่าที่สามีของคุณนายน้อง
สรรเสริญว่าดิฉันเป็นเหมือน “Martin Luther King”
ฮีโร่ผิวเข้มที่เป็นตัวตั้งตัวตี เป็น Rule breaker ตัวยงจนทำให้
กระแสการเหยียดสีผิวหมดสิ้นไปจากผืนดินอเมริกา
เป็นยังไงละ กล้าหาญไหมล่ะ
“มิสซิสอาร์โนลด์ สาวแหกกฎ”
แต่งงานก่อนเรียนจบ แล้วฉันจะไปถูกบันทึกไว้บนสมุดเล่มไหน
บนแผ่นดินนี้หนา..

พูดไปพูดมาเกือบลืมเรื่องของเพื่อนสาวอีกคน
คนนั้นแกพร้อมนานแล้วค่ะ
รอชายหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัยเอ่ยมาคำเดียวเท่านั้น
จะถลาล่องลมลงไปหา
แต่มันก็ดันไม่เอ่ยปากขอสักที
จนเธอเริ่มลังเลใจเข้าร่วมก่อตั้งสมาคม
“แก๊งค์โกล์เดน” รอไปพลางๆ กับเพื่อนที่ยังไม่แต่งงานทั้งหลาย
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม จึงเหมือนเป็นหัวข้อสำคัญ
ของบทสนทนาเมื่อคืนไปโดยปริยาย
จากตัวอย่างของดิฉัน เพื่อนสาวและแม่นางน้อง
ท่านจะเห็นได้ว่า “วัฒนธรรมอันว่าด้วยการครองเรือน”
ของชาวตะวันตกและตะวันออกนี้แสนจะแตกต่างกัน

ชาวตะวันตกส่วนใหญ่อย่างที่เรารู้ๆ กัน
สังคมเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางความคิด
การตัดสินใจทำอะไรก็เป็นไปอย่างอิสระ
อายุ เข้าวัยรุ่นเขาก็ออกมาทำงานหาเงิน
ส่งเสียตัวเองเรียน ซื้อรถ เช่าบ้าน

ก็ไม่แปลกอะไรที่จะตัดสินใจแต่งงานกันตั้งแต่ยังเด็กๆ
แต่งไปแต่งมา มารู้ตัวอีกทีก็เข้ากันไม่ได้เสียแล้ว
เข้ากันไม่แล้ว มีปัญหา แล้วไง!
ก็ต้องหย่าร้างกันไปตามระเบียบ

คือถ้าให้นับๆ กันจริงๆ สาวไทยที่มีสามีฝรั่ง
มีคนไหนบ้างที่ไม่ผ่านวิถีชีวิตการแต่งงานมาแล้วบ้างล่ะ
ถ้ามี พวกแรกก็อาจเป็นพวกโชคดีได้หนุ่มบริสุทธิ์
ที่เผอิญเจอกันแล้วรักคุณเป็นคนแรกของชีวิต
อีกพวกหนึ่งก็อาจเป็นพวก play boy แค่คิด fun แล้วหนี
แต่ดันมาทำท้องเลยต้องจนใจยอมรับ
อย่างหลังเป็นพวกทรมานใจสุดๆ คือเป็นเกย์
แล้วมาแต่งงานบังหน้า คือจะตุ๊ดจะแต๋วก็เอาออกมาเลย
ไม่ต้องมาแอบๆ ซ่อนๆ หลอกให้แต่งงาน
แล้วหนีไปนอนกับผู้ชายอื่นเนี่ยนะ..เซ็งเป็ดเลยเจ้าค่ะ...

ก่อนที่อารมณ์จะกระเจิงไปกว่านี้
มาเข้าเรื่องชาวตะวันออกกันต่อ
ตัวอย่างง่ายๆ ก็คุณพ่อหนุ่มโกโบริของเพื่อนสาวของดิฉันยังไงคะ
รอมานานสองนานก็ไม่ได้แต่งกันสักที
จริงๆ ก็คงคล้ายๆ กับคนไทย
สังคมชาวเอเชียด้วยกันที่เราจะต้องรอเรียนจบ
เก็บเงิน เก็บทอง ซื้อบ้าน ซื้อรถ
พ่อแม่อนุญาตแล้วจึงจะแต่งงานได้
อย่างคนไทยหลายคู่คบกัน 7 ปี 8 ปี 12 ปี ถึงจะได้แต่ง

ความคิดเห็นของดิฉันเอง
ไม่ได้ว่ากล่าวหรืออวดอ้างว่าวัฒนธรรมไหนดีกว่ากัน
แต่ถือว่าเป็นโชคดีของตัวเองที่ยืนอยู่กึ่งกลางระหว่างวัฒนธรรมของสองโลก
ข้อดีของวัฒนธรรมของฝรั่งก็ทำให้ดิฉันรู้ว่า
เวลาไม่ได้เป็นเครื่องตัดสินใจแทนเราเสมอไป
คนเราถ้าลองรักกันแล้ว คบกันไม่ถึงปีก็แต่งงานกันได้
เงินทองก็ค่อยไปช่วยกันเก็บช่วยกันหา
เกิดแต่งแล้วเข้ากันไม่ได้ก็หย่า
ดีกว่ามาค้างๆ คาๆ คบหาดูกิ๊กกันไปเรื่อย

แต่ข้อดีของวัฒนธรรมไทยก็ทำให้ฉันรู้ว่า
แต่งงานเมื่อพร้อมเราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยหนักมากกับการทำงานเก็บเงินเก็บทอง
เพราะใช้เวลาเก็บกันมานานมากแล้ว
ไอ้ที่เก็บก็ไม่ได้ไปไหน ออกมาเป็นบ้าน เป็นรถและ
เป็นเงินก้นถุงก้นถังที่แม่เจ้าสาวมอบคืนให้กับครอบครัวไปตั้งตัวนั่นแหละค่ะ
(แต่ในกรณีแม่เจ้าสาวเอาไปไม่คืนก็ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ)

ส่วนต่อของวัฒนธรรมการครองเรือน
ก็คงหนีไม่พ้นกับ “วัฒนธรรมการใช้จ่าย”
ไอ้เรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่เข้าใครออกใครนี่แหละค่ะ
วัฒนธรรมด้านการเงินของไทยในอดีต
เรานิยมการเก็บเล็กผสมน้อย มีเงินมีทองเอาไปซ่อนในตุ่มในไห
ได้เงินก้อนใหญ่มาเมื่อไหร่ก็ค่อยเอาไปลงทุน
ซื้อบ้าน ซื้อรถเป็นวัฒนธรรมที่ดิฉันบัญญัติเองว่า “วัฒนธรรมการเก็บสะสมอนาคต”

ส่วนฝรั่งวัฒนธรรมด้านการเงินของเขาจะแตกต่างไป
อาจเป็นเพราะราคาข้าวของมันแสนแพง
เค้าแทนที่จะเก็บสะสมแล้วค่อยซื้อ แต่กลับเป็นวัฒนธรรมแบบที่ดิฉันเรียกว่า
“วัฒนธรรมการผ่อนส่งอนาคต”
หรือการใช้เครดิตต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน
หาหมอ ซื้อยา แล้วค่อยมาผ่อนจ่ายส่งวันหลัง

“วัฒนธรรมการเก็บสะสมอนาคต” ของไทย
ถือคติที่ว่า “ลำบากวันนี้เพื่อสบายในวันหน้า”

แต่ “วัฒนธรรมการผ่อนส่งอนาคต” ของฝรั่ง
เค้าก็คิดว่า “Life is too short!”
คือ ชีวิตมันแสนสั้น ดังนั้นให้คิดถึงความสุขในวันนี้แล้วอนาคตว่ากันทีหลัง

ในเรื่องนี้ดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นลูกครึ่งนะคะ
อาจเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง
คุณบัว แม่ของดิฉัน แกเป็นคนที่ยึดติด
กับวัฒนธรรมการเก็บสะสมอนาคตมาก
จนบางครั้งมากเกินไป คือเก็บๆๆๆ แล้วก็เก็บ
ไม่เที่ยว ไม่เล่น ไม่ซื้อ ไม่หา ไม่กล้าลงทุน อันนั้นมันก็เกินไป

แต่อย่างฝรั่งสามีดิฉัน เมื่อก่อนก็คิดแต่ว่า อยากทำอะไร อยากใช้อะไร
มันก็จำเป็นต้องใช้ อย่างการไปหาหมอฟัน สมัครเข้าฟิตเนส
ก็ใช้เครดิตรูดๆ ไปแล้วเป็นยังไงละคะ ก็ส่งผลมายังอนาคต
ที่เรายังคง “เช็ดฉี่...เช็ดอึ...” คอยตามผ่อนส่งค่าหมอค่ายากัน
เป็นค่าอนาคตที่ดึงมาใช้ก่อนไปแล้วยังไงละคะ

ดิฉัน เลยได้ข้อคิดสำหรับการครองเรือน
และการเป็นแม่ของลูกในอนาคตว่า
ควรใช้สติและควบคุมในตนเองดำเนินตามทางสายกลาง
แบบชาวพุทธ ให้ balance ระหว่างสองวัฒนธรรมทางการเงิน
ซึ่งถ้าทำได้ชีวิตคงอยู่อย่างมีความสุข

อีกวัฒนธรรมหนึ่งที่อยากกล่าวถึงก็คือ
“วัฒนธรรมทางด้านการแสดงความรัก”
ฝรั่งเค้ามีวัฒนธรรมการแสดงออกความรักกันอย่างเปิดเผย
เค้าถือว่าการแสดงความรักไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอาย
นอกจากนั้นสาวไทยมักจะได้ยินคำหวานๆ
พร้อมลูกหยอดสายตาโรแมนติกจากคุณสามีและว่าที่สามีต่างชาติอยู่บ่อยครั้ง

ในวงโต๊ะกลมของเราพ่อสองหนุ่มมะกันของดิฉันและคุณนายน้อง
ต่างเห็นพ้องต้องกันเถียงกันจนเอ็นคอปูดว่า

“ผิดตรงไหนหา! ถ้าไออยากกอด หอมแก้ม ภรรยาและว่าที่ภรรยาในที่สาธารณะชน”

แหม! คุณพี่ขา ไอ้เรามันก็เป็นสาวไทย
ก็ต้องสำรวมกริยา แค่เดินกับฝรั่งก็มีสายตาแปลกๆ
แจกมาให้ระหว่างทางแล้ว
ถ้าเกิดพ่อคุณนึกอยากกอด อยากจูจุ๊บขึ้นมากลางถนน
คนเค้าจะได้ว่าสาวไทยคนนี้ไม่รักษาความเป็นไทยซะเลย ทำอะไรน่าเกลียด
ไม่ได้ค่ะไม่งาม

ยังไม่พอแค่นั้น คุณ Nick แฟนหนุ่มคุณนายน้อง
หันไปถามพ่อหนุ่มญี่ปุ่นของเพื่อนสาวว่า
ญี่ปุ่นเค้าถือวัฒนธรรมกันอย่างนี้บ้างหรือเปล่า

หนุ่มญี่ปุ่นว่าวัฒนธรรมเอเชียก็คล้ายๆกัน เกือบทุกประเทศ
ไม่คุ้นกับการแสดงความรักกันออกหน้าออกตา
แต่สมัยนี้ยุคสมัยก็เปลี่ยนไปอาจจะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นกันมากขึ้น

แต่สำหรับคำหวานๆ กับสายตาโรแมนติกน่ะ
น้อยครั้งนักที่จะได้รับจากเขา ชายหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัย ในที่สาธารณชนเช่นนี้
พูดจบแถมปรายตามามองเพื่อนสาวอย่างเป็นนัยๆ อีกนะ

“แหม! ฉันเองก็อยากได้ฝรั่งอยู่
คำหวานๆ ใครๆ ก็อยากฟัง แต่....ดั๊น...ไปได้ญี่ปุ่น”

เพื่อนสาวสบถเหน็บแฟนหนุ่มเล็กๆ เป็นภาษาไทย
เพราะเธอมั่นใจว่าเขาไม่เข้าใจอย่างแน่นอน

อันนี้ทำเอาดิฉันและคุณนายน้องขำกลิ้ง
ได้แต่แซวเธอว่า “แน่จริง อย่าพูดภาษาไทยสิเจ๊”
ทำเอาต่างชาติสามคนนั่งงงว่า มันหัวเราะอะไรกัน

นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายวัฒนธรรม
ที่หลุดออกมาจากปาก Nick ชายหนุ่มแปลกหน้าของคนไทย
หลังจากแวะมาเยือนดินแดนสยามเป็นครั้งแรก
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดนั้น
จะมีคุณสามีดิฉันเป็นเพื่อนคุยเสมอ

เพราะกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่ทำให้ว่าที่สามีของคุณนายน้องตกกะใจ
ล้วนเป็นเรื่องที่คุณสามีของคุณพี่ตกกะใจมาหมดแล้ว
จึงทำให้หนุ่มมะกันทั้งคู่เข้ากันได้อย่างดี

คุ๊ย...คุย...แล้วก็คุย จนดิฉันและคุณนายน้องเกือบหลับคาโต๊ะกลม
ดีนะที่คุณเพื่อนสาวพาแฟนหนุ่มญี่ปุ่นกลับบ้านไปก่อน
ไม่งั้นคงมีอีกคู่ที่นั่งหลับ
เพิ่งจะรู้ค่ะว่าสุภาษิตไทยโบราณก็ใช้ได้กับฝรั่งเหมือนกัน
“คุยจนลิงหลับ”




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2550    
Last Update : 3 กันยายน 2550 8:32:43 น.
Counter : 317 Pageviews.  

เรื่องสั้นสุขสันต์ หรรษากับคุณสามีฝรั่ง (เมื่อหมูตอน...on diet....)






เมื่อหมูตอน...on diet....


(ตอนที่เท่าไหร่ไม่รู้ค่ะ จำไม่ได้ เขียนเก็บไว้เยอะจัด)

เอาละนะ อยู่เมืองไทยมาก็นานนม
เจ้าหุ่นที่เคยหล่อเหลาเอาการแบบตอนที่ยังหนุ่มๆ ก็ยังไม่กลับมาสักที
แถมคุณภรรยาสุดที่รักยังตะโกนปาวๆ เรียกสามีฝรั่งอย่างผมว่า

"Moo-Torn...Moo-Torn"
ตอนแรกผมก็ ไม่ เข้าใจหรอกครับว่าหมายถึงอะไร
พอได้สอบถามศรีภรรยา ถึงกระจ่างชัดว่า

"Moo" หมายถึง "Pig"
"Torn" หมายถึง กริยาอาการของการกระทำกับเจ้า pig ให้ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้

รวมความหมาย "Moo-Torn" หมายความว่า

"Pig with no penis!!"

เธอบอกผมว่า มันหมายถึงหมูที่ไม่สามารถทำกิจกรรมอย่างว่าได้
เลยทำให้วันๆ เบื่อและเซ็งชีวิตได้แต่กินกับนอน
เลยทำให้อ้วนเอ๊า อ้วนเอา

ผมเลยตั้งใจว่าจะต้องดำเนินการ diet กันเสียที
--------------------------------------------

นี่เป็นความในใจ ของคุณสามีฝรั่ง
ที่ฉันเอามาแปลให้เข้าใจอย่างทั่วกัน
และนี่ก็เป็นที่มาว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ชื่อว่า
เมื่อหมูตอน...on diet....

ตอนเช้าของทุกวันหยุด อันหน้าที่ภรรยาที่ดีนั้น
ก็ต้องแสดงเสน่ห์ปลายจวักให้กับคุณสามีได้รับทาน
ดิฉันที่เคยทำ American Breakfast
อันประกอบไปด้วย ไข่คน เบคอนและขนมปัง

ก็ต้องเปลี่ยนสูตรมาเป็นแค่กาแฟ 1 แก้วตอนตื่นนอนกับซีเรียลบาร์ อีกแท่งหนึ่ง
สัก 11 โมงเมื่อเราสองคนเริ่มหิว ดิฉันก็ปรุงอาหาร
ที่ดิฉันเรียกเอาเองว่า "โจ๊กฝรั่ง" หรือ Oatmeat ด้วยนม Zero fat
มื้อเย็น จากที่เคยรับประทานอาหารกันสามสี่ทุ่ม
เนื่องจากเวลาประมาณ หนึ่งทุ่ม คุณสามีมีอันต้องเดินลงไปข้างล่าง
พร้อมหิ้วเบียร์ขวดใหญ่ขึ้นบ้านมาอีก 2-3 ขวด
วันนี้ครอบครัวเราเปลี่ยนนิสัยการกินแล้วค่ะ

เบียร์ก็ไม่เคยเห็นคุณสามีซื้อ
แถมเวลาอาหารก็เลื่อนขึ้นมาเป็น 6 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม
หลังอาหารเย็นคุณสามียังชักชวนภรรยาไปเดินออกกำลังกาย
อีกประมาณ 20 นาที...แหม อิฉันมันก็ขี้เกียจนะคะ
แต่จะปล่อยให้ไปคนเดียวก็กะไรอยู่
ก็ต้องไปด้วยกันสิคะ
รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ เดี๋ยวนานไปดิฉันจะซวย
เกิดคุณสามีคุ้นชินกับการทำอะไรโดยไม่มีภรรยา ก็จบเห่กันพอดี

----------------------------------------------

แต่ดิฉันก็ยังสงสัยนะคะ...ว่าทำไม๊ ทำไม...
นี่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว คุณสามียังบ่นๆ ว่าน้ำหนักไม่ลดลงสักที
จนกระทั่งกลางดึกคืนหนึ่ง ระหว่างที่ดิฉันลุกงัวเงียออกมาเข้าห้องน้ำ

“กร๊อบ...แกร๊บ..กร๊อบ...แกร๊บ.”
เสียงอะไรน่ะ นี่มันก็ปาเข้าไปตีสองกว่าแล้ว
มันไม่ควรมีเสียงดังมาจากนอกห้องนอนของเราสองคนนี่นา
ดิฉันคิดในใจว่าถ้าไม่ใช่ “ผี” ก็ต้องเป็น “โจร” แน่นอน...เอาไงดี
ถ้าเป็น “ผี” ดิฉันก็กลัว
แต่ถ้าเป็น “โจร” มันจะมีมีดหรือปืนล่ะ...ตายแน่...
แต่...จะคิดทำไมเนี่ย ไม่ว่าเป็นอะไร ดิฉันก็ไม่กล้าออกไปเผชิญอยู่ดี
ทำได้ทางเดียวก็คือ ค่อยๆ ย่องเบา
ปรี่ไปยังเตียงนอนเพื่อปลุกคุณสามีมาร่วมด้วยช่วยกัน
บอกแล้วนี่คะ “รวมกันเราอยู่ แต่ถ้าแยกหมู่ คราวนี้ดิฉันค่ะ ที่ตาย”
ทันทีที่ถึงปลายเตียง ดิฉันก็พบว่าเตียงนั้นว่างเปล่า
มีแค่รอยยับๆ ของผ้าปูที่นอน ที่แตะดูยังรู้ว่าอุ่นอยู่
เหมือนชายผู้นั้นเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน

อันนั่นแน้...ดิฉันรู้แล้วค่ะ ผลักประตูห้องนอนออกไป และถามเลยว่า

“Honey! what are you doing here!”
(ที่รัก คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ)

สามีสุดที่รักสะดุ้งโหยง ขนมปังแผ่นที่ซื้อมาเป็นอาหารเช้ายังคาอยู่ในปาก
นมในมือที่ถืออยู่เกือบจะหกรดพื้นอพาร์เม้นท์
พร้อมอมยิ้ม ตอบว่า “Sorry honey, I am so hungry”

ฮ่าๆๆ ตกใจเกือบสำลักนมตาย
คุณสามีฝรั่งของดิฉัน แอบออกมาขโมยของกินดึกๆ ดื่นๆ
ถ้าเป็นในชนบทคงนึกว่าเป็นปอบหรือกระสือ

และจากการสืบสวนอย่างละเอียดแล้วพบว่า
พฤติกรรมการตื่นมาคุ้ยของกินในตู้เย็นของคุณสามีดิฉันนั้น
ทำมานาน ตั้งแต่เริ่มแผนการ diet

แหม! พ่อคุณ อย่างนี้มันจะไปลดลงได้อย่างไรน้ำหนักน่ะ
ชอคโกแลตเอย ขนมขบเคี้ยวเอย ไม่เว้นแม้แต่ขนมปังแผ่นอาหารเช้า
พ่อคุณแอบออกมาเก็บซะเลียบ ตอนตีสองกว่าเนี่ยนะ
แถมยังทำให้ภรรยาตกใจกลัวคิดว่าเป็นผีฝรั่ง
“น่าสงสารจริง จริ๊ง...สามีดิฉัน”

ดิฉันเลยต้องเดินไปตบไหล่คุณสามีเบาๆ
พร้อมปลอบไปว่า
“Honey, I say…yes I do...because you are like this”
(ที่รัก...ฉันตอบตกลงแต่งงานกับคุณเพราะคุณเป็นคุณแบบนี้แหละ)

คุณสามียิ้มตอบ พร้อมกลืนขนมปังแผ่นก้อนสุดท้ายลงคอก่อนบอกว่า
“I don’t wanna be a pig with no penis”
(ก็ผมไม่อยากเป็นหมูที่ขาดน้องจุ๊ดจู๋ไปนี่ครับ...คุณภรรยา)

แหม! ที่ดิฉันเรียกว่า “หมูตอน” เพราะเคยมีหนังเรื่องหนึ่ง
ที่พี่ติ๊ก เจษฎาพร เล่นเป็นพระเอกชื่อว่า “หมูตอน”
ก็ดูน่ารักดี ก็เลยเอามาเรียกหยอกคุณสามี
ไม่คิดว่า ฝรั่งถึงหัวยังไม่ล้านก็ใจน้อยเหมือนกันเนอะ...กรรรม...

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดิฉันเลยได้เรียนรู้ว่า
อย่าคิดจะนำคำไทยที่ดูน่ารัก ไปใช้เรียกในบริบทฝรั่งของคุณสามีก่อนได้รับอนุญาตเป็นอันขาด
มิฉะนั้น...อาจเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นนี้อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้







 

Create Date : 27 สิงหาคม 2550    
Last Update : 27 สิงหาคม 2550 12:48:34 น.
Counter : 573 Pageviews.  

บทที่ 13: ภาษาอังกฤษวันละคำ สองคำ





บทที่ 13 ภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ



A B C D E F G....ภาษาอังกฤษถือเป็นทักษะจำเป็นอีกด้านหนึ่ง
ที่ควรส่งเสริมให้กับเด็กและเยาวชนชาวไทยรุ่นหลัง
เห็นได้อย่างชัดเจนที่ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับการดำรงชีวิตในสังคมไทย เพื่อผันจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนา
ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว

ดิฉันเมื่อเข้ามาเรียนในโปรแกรมนี้ ได้พิสูจน์ความคิดแล้วว่า
ภาษาอังกฤษ ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจังจากผู้ใหญ่ของประเทศ
เมื่อดิฉันมีโอกาสเดินทางไปศึกษาถึงเมืองนอกเมืองนา
ก็ต้องรีบไขว่คว้า ประสบการณ์ต่างๆ กลับมาให้มากที่สุด
แล้วดิฉันก็พบว่าระบบการศึกษาของต่างประเทศ แหล่งข้อมูล
สื่อการเรียนการสอนมีความก้าวล้ำนำสมัย น่าสนใจและง่ายต่อการเรียนรู้
โดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องบางเรื่อง เกิดขึ้นกันระดับโมเลกุล
ไม่มีทางศึกษาด้วยตาเปล่า ก็ได้เทคโนโลยีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้เรื่องยากกลับเป็นเรื่องง่ายได้

แต่ อนิจจัง แหล่งข้อมูลและสื่อต่างๆ เค้าทำขึ้นโดยใช้ภาษาอังกฤษ
ไอ้เราเห็นก็อยากจะให้เด็กไทยของเราได้รู้ ได้เห็น ได้เรียนแบบนั้นบ้าง
แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าให้เด็กนักเรียนของเราไม่รู้ภาษาอังกฤษ

เห็นไหมคะว่า แรงขับด้านการศึกษา หรือแม้แต่การท่องเที่ยว
บีบรัดให้ชาวไทยต้องหัด Speak Read Write listen
(พูด อ่าน เขียน ฟัง) ภาษาอังกฤษมากขึ้น เหตุนี้
กระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนของไทยจึงเปลี่ยนไป
เริ่มเน้นด้านภาษาอังกฤษที่สอนโดยครูไทย หรือตอนนี้ในหลายโรงเรียน
ลงทุนจ้างฝรั่งมาสอนซะเลย ที่เค้าเรียกกันว่าโรงเรียนอินเตอร์นั่นแหละค่ะ

อย่าว่าแต่กระบวนการเรียนการสอนที่เปลี่ยนไปเลย
แม้แต่กระบวนการดำรงชีวิตในสังคม ก็มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง
เมื่อเดือนแรกๆ ที่ดิฉันกลับถึงเมืองไทย เห็นว่าพี่แท็กซี่
เดี๋ยวนี้มีม่านบังแดด ติดกระจก กิ๊บเก๋ เขียนไว้ว่า
I(รูปหัวใจ) Farang , I can speak English ซะด้วย

ดิฉันก็ไม่รีรอที่จะบอกแกมสนใจใครรู้ว่า
“พี่พูดภาษาอังกฤษด้วยเก่งจังค่ะ ไปเรียนที่ไหนมาคะ”
คุณรู้ไหมคะ พี่แท็กซี่ตอบว่าอย่างไร ...คุณพี่บอกดิฉันว่า
“โอยน้อง....ให้พี่พูดเองก็ไม่ค่อยได้หรอก รู้แต่ว่าฝรั่งเค้าจะไปไหนก็แค่นั้น...
ถ้ามันพูดอะไรมาเกินกว่านั้น ก็กดเลย โทรศัพท์มือถือ
เข้าศูนย์บริการของเครือข่ายเจ้าของค่ายที่ให้ม่านติดกระจกมา
แล้วจะมีพนักงาน Speak ให้ แค่นี้เอง ไม่ต้องไปรงไปเรียนหรอก”
แน่ะ เก๋ไก๋ ง่ายจริงแค่ปลายนิ้ว...ดิฉันก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า
ถ้าคุณพี่คนขับเกือบแบ็ตหมดขึ้นมาก็คงขับแท็กซี่หนีฝรั่งกันให้วุ่นวายเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องราวชีวิตครอบครัวของดิฉันและคุณสามีฝรั่ง
หลังจากการเข้ามาลงหลักปักฐานที่เมืองไทย
นอกจากจะนำความยุ่งยากให้กับคุณสามีในการฝึกฝนภาษาไทยแล้ว
ยังนำความมึนงงให้หมู่มวลคนไทยที่อาศัยอยู่รายรอบตัวคุณสามีอีกไม่ใช่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนครูที่โรงเรียน พนักงานทำความสะอาด
หรือแม้แต่คนค้าขายของใต้ถุนอพาทเมนท์ ล้วนแต่ต้อง speak English กันเป็นการใหญ่
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
ในตึกที่ดิฉันอยู่ กว่าครึ่งของครัวเรือนชาวสวัสดีเพลสเป็นครอบครัวคนต่างชาติแท้
หรือคนต่างชาติกับคนไทยทั้งสิ้น มีเพียงไม่กี่ห้องที่เป็นคนไทยแท้ดั้งเดิม
ดังนั้น ทางเจ้าของต้องเฟ้นหาคนที่พูดภาษาอังกฤษถึงขั้นสื่อสารกันรู้เรื่องได้
มาประจำอยู่ที่สำนักงานของอพาทเมนท์

แต่ดูเหมือนเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะฝึกหัด
หรือหาพนักงานทำความสะอาด ช่างซ่อมบำรุง
และพนักงาน รปภ ที่พูดภาษาอังกฤษได้..
หลายครั้งทีเดียวที่ พี่เต้ย ช่างซ่อมบำรุง และพี่น้อยพนักงานทำความสะอาด
โทรขึ้นมาให้ดิฉันช่วยแจ้งความจำนงในการนัดวันซ่อม
หรือทำความสะอาดกับห้องต่างๆ ที่เป็นชาวต่างชาติในช่วงเวลา
ที่ไม่มีใครอยู่ประจำในสำนักงานแล้ว
ด้วยอาจเป็นเพราะดิฉันชอบพูดคุยกับพี่เต้ย และพี่น้อยบ่อยๆ จึงทำให้เราสนิทสนมกัน

เรื่องราวขำๆ ก็เกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันที่ได้เห็นคนไทยรอบๆ ตัวเรา
หัดพูด หัดเขียนภาษาอังกฤษกันวันละคำ สองคำนั่นแหละค่ะ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพี่ดี้ (คุณสามีฝรั่ง) เค้ามีจิตวิญญาณของครูภาษาอังกฤษอย่างเต็มตัว
แบบว่า เวลาเห็นป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนโดยคนไทยทีไร
จะชอบตรวจแก้ให้ทุกที ก็แหม คนไทยเราน่ะ
ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษา ป่าป๊า มาม๊า ของเรานี่คะ
เขียนไปก็ต้องมีผิดกันบ้าง ดิฉันก็ แก้ตัวแทนทุกที
แต่บางทีก็อดขำไม่ได้กับมุมมองจากสายตาน้ำข้าวคู่นั้น
ดิฉันเลยต้องคัดเลือกบางเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในบทนี้

เย็นวันหนึ่งเราสองคนกลับจากทำงาน
ซึ่งปกติ เวลาขึ้นไปบนชั้น 8 ที่เป็นห้องพักของเรา
ดิฉันกับพี่ดี้จะชอบทอดสายตาออกไปข้างนอกผ่านกระจกของลิฟ
เพื่อมองดูสายน้ำพุที่พวยพุ่งฉ่ำเย็นตกแต่งอยู่บนบริเวณชั้นสอง
แต่วันนี้สายตาของเราถูกขัดขวางกลางคันด้วยป้ายกระดาษสีขาว
ที่ทางสำนักงานนำมาติดบดบังทัศนียภาพ ดิฉันจึงเกิดความสงสัยว่า
นี่ประกาศอะไร ก็เลยตัดสินใจอ่าน

ป้ายนั้นมีอักษรภาษาไทยความยาวประมาณ 2 บรรทัด
เนื่องจากเขียนด้วยตัวใหญ่ ใจความว่า
“ทางสำนักงานมีบริการ ผักปลอดสารพิษ ขาย สนใจติดต่อได้ที่ชั้น 1”

ถัดลงมามีการแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก 2 บรรทัด
ซึ่งดิฉันนึกในใจว่า ดีเหมือนกัน ฝรั่งเค้าจะได้เข้าใจ
เค้าเรียกว่า บริการทุกเชื้อชาติประทับใจ
รู้ว่าตึกนี้มีแต่ฝรั่งอยู่ ทำป้ายก็ทำทั้งไทยทั้งอังกฤษ
รอบแรกดิฉันอ่านทั้งไทยทั้งเทศก็ไม่ฉุกคิดอะไร
แต่เมื่อเห็นคุณสามีควักเอามือถือที่เพิ่งซื้อมาไม่นาน ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน
ก็เริ่มรู้ว่าต้องมีอะไรทะเม่งๆ แน่ๆ
จึงถาม “Why do you take the picture?” (ถ่ายรูปทำไมอ่ะ?)
เค้ายิ้มขำๆ แล้วชี้ชวนสอนภาษาอังกฤษยามเย็นให้กับดิฉัน
“Apartment has free-pesticide vegetable to sale”

ถ้าอ่านแค่ free-pesticide vegetable ฝรั่งอ่านแล้วจะเข้าใจว่า
“เป็นผักที่อุดมไปด้วยสารพิษให้คุณฟรีๆ” เหมือนประมาณว่า
“เอ้า! เร่เข้ามา ทางสำนักงานมีผักที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารพิษ
เอามาแจกกันฟรีๆ ใครคิดว่าค่าเช่ามันแพงเกินไป ก็ลงมานี่
ติดต่อที่ชั้น 1 กินผักกันให้ตายไปข้าง” อะไรทำนองนั้น

โถ คุณขา ดิฉันเองอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่รู้หรอกว่ามันผิดหลักไวยกรณ์
นี่ถ้าไม่มีฝรั่งอยู่ด้วยทั้งวันละก็คงไม่ได้ฉุกคิดอะไร
คุณสามีบอกดิฉันว่า นี่เธอ ไปบอกที่สำนักงานเค้าสิจะได้แก้ไข
ดิฉันเองก็จนปัญญา จะไปบอกก็กลัวว่าเค้าจะหาว่า ยุ่งยาก วุ่นวาย
ถูกไล่ออกจากอพาทเมนท์แล้วจะแย่ เลยปล่อยให้ผ่านเลยไป...
แต่คุณสามีสิคะ มีหรือจะปล่อยไปง่ายๆ ขึ้นลิฟทีไรก็ถามทุกทีว่าดิฉันไปบอกหรือยัง
จนในที่สุด...ดิฉันก็ไม่ได้บอก...แต่ทางอพาทเมนท์มาเอาป้ายออกไปเอง
ไม่รู้ว่าคุณสามีไปแอบบอกเองหรือว่า มันหมดช่วงโปรโมชั่นแล้วก็ไม่สามารถทราบได้

จริงๆแล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ดิฉันเองก็พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษนะคะ
ฟังได้ พูดได้ มากขึ้น แต่ไอ้ที่แก้ยาก แก้เย็นเห็นจะเป็น general problems
ที่คุณสามีบอกว่า พบได้ทั่วไปกับเด็ก international คือพวกที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ
เป็นภาษาหลัก นั่นคือ ปัญหา “S…sssss” หรือการออกเสียงตัว S
สำหรับเติมท้ายคำนามเพื่อระบุว่าเป็นสิ่งของจำนวนมาก ที่เรียกว่า พหูพจน์
คือเวลาพูดประโยค I hurt my leg ดิฉันจะออกเสียงว่า
“ไอ เฮิร์ท มาย เลค” (ลืมออกเสียง ซึ..ตบท้าย)

ซึ่งคุณสามีจะต้องถามกวนๆ ว่า “Which one, Left or Right?”
เป็นการทำตัวซื่อบื้อซื่อไข่ แหย่เรา ดิฉันจึงต้องแก้ไขด้วยตัวเองโดยการพูดซ้ำอีกทีว่า
“ไอ เฮิร์ท มาย เลคซึซซซ.....” แบบโอเว่อร์ ๆ ทุกครั้ง
ไม่รู้เป็นอะไร แก้ไม่หายสักที เคยแอบนั่งฟังเพื่อนๆ คนไทยด้วยกัน
หลายทีแล้ว มันก็ไม่เคย ซึ...เหมือนกันเลย ไม่ใช่มีแต่เราคนเดียว
แต่ในทางกลับกัน ฝรั่งทุกคนที่เป็นเพื่อนพี่ดี้ ทำไมมันมี ซึ...กันหมดเลยโดยอัตโนมัติ
เซ็งจริง ไม่รู้เค้าฝึกกันยังไง ให้มีซึ....ในสัญชาติญาณ

นอกจากตัว S แล้ว ยังมีการออกเสียงที่แตกต่างกันเห็นจะเป็นตัว V และ Th
เจ้าตัว V เราคนไทยอ่านว่า “วี” แบบทำปากจู๋ก่อนการฉีกมุมปากออกทั้งสองข้าง
เพื่อออกเสียง “วี” แต่ฝรั่งเค้าบอกว่าฟังไม่รู้เรื่อง
ต้องออกเสียงเหมือนมี ฟ ฟัน อยู่ข้างหน้า
คือเอาฟันหน้าด้านบนมาขบริมฝีปากล่างก่อนออกเสียง วี
ดังนั้นเสียงที่ออกมาจะเหมือนกับ “ฟวี”

ส่วนเจ้า Th เนี่ยดูเหมือนจะอาการหนัก
คือจะต้องเอาปลายลิ้นแตะปลายฟันบนหน้าพร้อมกับริมฝีปากบนก่อน
ออกเสียง “เธอะ” ให้ออกมา คือประมาณว่า ถ้าไม่เห็นลิ้นก่อนเนี่ย
จะไม่มีทางเข้าใจว่ากำลังพูดคำว่าอะไร
อันนี้จริงเลยนะคะ ขอบอก คือตอนไปอยู่ที่นู่น
พวกเราเป็นเด็กไทยหน้าบาง พูดอะไรออกท่าทางก็ออกมากไม่ได้
แล้วเป็นไงล่ะคะ ก็ต้องเป็นพวกกะเหรี่ยง พูดอะไรฝรั่งเค้าฟังไม่เข้าใจ
ในที่สุดต้องยอมหน้าด้านหน้าทนออกสำเนียงภาษาแบบแถมปลายลิ้น
พวกฝรั่งจึงยอมเข้าใจได้เป็นอย่างดี

กลับมาที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษ
วันนั้นดิฉันกับครอบครัวพาคุณสามี ไปรับประทานกันที่ห้างใกล้บ้าน
ซึ่งตอนนี้เย็นๆ อากาศดี มีลานเบียร์หน้าห้าง
ดิฉันจึงชี้ชวนให้คุณสามีดู จริงๆ จะให้เขาดูลานเบียร์
แต่ก็อดขำไม่ได้ เอาอีกแล้วค่ะ
ชักมือถือออกมาถ่ายรูปป้ายประกาศใหญ่ยักษ์หน้าห้างเขียนว่า
I (รูปหัวใจ) Thank you
ซึ่งอันนี้ดิฉันยืนยันค่ะ ว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่รู้จะอ่านว่าอะไร
ไม่สามารถทำความเข้าใจได้สำหรับภาษาอังกฤษวันละคำวันนี้

ไอ้เรื่องถ่ายรูปภาษาอังกฤษวันละคำในเมืองไทยของคุณสามีนั้น
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ เกิดขึ้นบ่อยๆ
เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราจะเห็นคำที่เป็นภาษาอังกฤษเยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมือง
สินค้าต่างๆ ของไทยนั้นจะมีชื่อยี่ห้อ หรือ brand เป็นภาษาอังกฤษ
ที่เด็ดสุดเลยคงจะเป็น ดิคชันนารี อิเล็คทรอนิคส์ ส่งสำเนียง ออกเสียงให้ฟังได้
เรารู้จักกันในนามของ “Talking dict”

พี่ดี้อธิบายให้ดิฉันฟังว่า คำว่า dict นั้น ออกเสียงเหมือนกับ dick
ซึ่งฝรั่งเค้าเรียกเป็นชื่อเล่นของ น้องจุ๊ดจู๋ ของคุณผู้ชายนั่นแหล่ะค่ะ
โอมายก็อด! ดังนั้น Talking dict ก็คงแปลความหมายว่า “น้องจุ๊ดจู่ ช่างเจรจา”
โอโห คิดกันไปได้เนอะคนเราชื่อดีมีตั้งมากมาย ไม่เอามาตั้งกัน..เอ๊ะ...
หรือว่าไอ้คนคิดมากอย่างเราเนี่ย มันวิปริตนะ เดาไม่ออกจริงๆ

เรื่องท้ายสุด สุดท้าย เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นผ่านไปไม่นานมานี้
เมื่อคราวที่คุณสามีเค้าป่วย ถึงกับเข้าโรงพยาบาลเลยนะคะ
แต่พอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ต้องรีบกลับมาสอนตามปกติที่โรงเรียน
และด้วยความน่ารัก ความเอาใจใส่ของทางโรงเรียน
พี่ดี้ก็ได้รับบัตรอวยพรพร้อมของขวัญเป็นรังนกสกัดให้หายป่วยเร็วๆ
ที่ถูกส่งมาจากอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน
แกให้เป็นตัวแทนของทุกคนในโรงเรียนส่งความปรารถนาดีให้

แต่ด้วยความที่แกก็อายุมากแล้วและพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ค่อยเข้มแข็งมากนัก
วันนั้นแกเจอพี่ดี้หน้าโรงเรียน แกเดินมากับเลขาพร้อมยิ้มให้อย่างอบอุ่น
พี่ดี้ก็รีบเข้าไปยกมือไหว้ แล้วกล่าวคำว่า “Thank you for your gift and card”
อาจารย์ใหญ่แกยิ้มๆ แล้วตอบกลับมาว่า “Oh! Your welcome Arjan Speedy
.........Happy Birthday!!!”
พี่ดี้ “….” และคุณเลขา “….” ถึงกับอึ้ง
พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่ได้เตรียมตัวมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้
ต้องทำหน้ายิ้มๆ แล้วเดินจากไป แต่คุณขา กลับมาบ้านด้วยความขำขัน
นำเรื่องมาเล่าให้ดิฉันฟัง
แถมบอกอีกว่า ดีนะเนี่ย อาจารย์ใหญ่แกไม่ร้องเพลง Happy Birthday to you ให้
ไม่งั้นล่ะก้อ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงเลย หรือจะร่วมร้องด้วยกับที่หายป่วย
เหมือนได้เกิดใหม่อีกทีจะดีไหม...

สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า อาจารย์แกจำผิด
หรือแกพูดผิดกันแน่ เป็นภาษาอังกฤษวันละคำสองคำ อีกเหตุการณ์ที่ค้างคาใจมาถึงปัจจุบัน
...เฮ้อ!! เหนื่อย ...ขอจบภาษาอังกฤษวันละคำสองคำไว้เพียงเท่านี้...สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 31 มกราคม 2550 23:43:19 น.
Counter : 746 Pageviews.  

บทที่ 12:เมื่อคุณฝรั่งป่วย





บทที่ 12 เมื่อคุณฝรั่งป่วย



“พี่ดี้ wake Up!!! พี่ดี้ wake Up!!” เสียงยายภรรยาตัวร้ายอย่างดิฉัน
เป็นนาฬิกาปลุกขั้นสุดท้าย ที่ส่งเสียงดังลั่น กรอกเข้าหูคุณฝรั่ง
นาฬิกานี้จะดังขึ้นทุกครั้งหลังจากที่เสียงนาฬิกาปลุกธรรมดาเงียบลง
แต่คุณสามียังไม่ขยับตัวลุกจากที่นอน วันนี้ก็เป็นวันทำงานทั่วไป เหตุไฉน
คุณสามีจึงไม่ยอมตื่น ดิฉันเห็นท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อวาน
ได้ยินเสียงกดน้ำชักโครกตอนกลางคืนบ่อยๆ ตอนแรกคิดว่าเค้าคงไม่เป็นอะไรมาก
ตื่นมาเข้าห้องน้ำปกติ แต่จริงๆ แล้วคุณสามีบอกว่า “I have diarrhea” (ผมท้องเสียครับ)
ดิฉันเห็นก็สงสาร หน้าตาแกดูซูบ ซีด ไม่สดใสเหมือนทุกวัน
จึงถือโอกาสลาหยุดด้วย เพื่ออยู่ดูแลคุณสามีอย่างใกล้ชิด

ดิฉันเดินออกไปปากซอยซื้อยาจากคุณเภสัช มาให้คุณสามีรับประทาน
แต่ฝรั่งเค้าแปลก เห็นว่าคนไทย นึกอยากจะซื้อยาอะไร ก็ซื้อได้ง่าย
ไม่มีการควบคุมเหมือนที่บ้านเค้า ที่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ถึงจะซื้อได้
เลยต้องรีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตให้แน่ใจก่อนกินยาแต่ละตัว
แหมหมั่นไส้จริง ป่วยแล้วยังเรื่องมากอีก สามีดิฉันเนี่ย
หลังจากรับประทานยาไปสองวันอาการไม่ดีขึ้น
ดิฉันจึงใช้วิธีเผด็จการลากไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล

คุณหมอถึงกับตกใจในความทรุดโทรมของคุณสามี
รีบส่งขึ้นนอนพักให้น้ำเกลือทันที อ้าวอะไรเนี่ย!
ดิฉันก็ไม่คิดว่าจะต้องยุ่งยาก วุ่นวายขนาดนี้
นึกว่ามาแล้วก็จะกลับบ้านได้ ต้องมานอนให้น้ำเกลือซะอย่างนั้น

ก่อนขึ้นมานอนรักษาที่ห้องพัก คุณหมอถามดิฉันว่า
ไปทานอะไรมาล่ะ ดิฉันเลยย้อนคิดกลับไปว่า
เราสองคนเพิ่งจะพากันกลับไปเยี่ยมคุณบัวที่บ้าน
ไปทานอาหารทะเล น้ำพริกปลาทู สงสัยจะใช่แน่เลย
แต่ทำไม ดิฉัน คุณบัว หรือแม้แต่พี่สาวไม่เห็นเป็นอะไรเลยล่ะ
คุณหมอจึงอธิบายว่า ภูมิต้านทานคนเราไม่เหมือนกัน
ยิ่งเราคนไทย คุ้นเคยกับเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆ ในบ้านเราอยู่แล้ว
โดนนิด โดนหน่อยไม่แสดงออกร้ายแรง
แต่ฝรั่งเค้าไม่เคย เป็นธรรมดาที่ป่วยหนักขนาดนี้
ทีหน้าทีหลังจะให้ทานอะไรต้องระวังให้ดี

นี่ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่สมาชิกสมาคมสามีฝรั่งแห่งประเทศไทยควรรู้
อันที่จริงแล้วอาหารการกินดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย
สำหรับสามีดิฉันเพราะเค้าเป็นคนทานง่าย ทานของเผ็ด รสจัดได้
เพราะคุ้นเคยกับอาหารแม็กซิกันมาก่อน
แต่ปัญหานี้ไม่น้อยอย่างที่คิด คุณภรรยาอย่างพวกเราควรระมัดระวัง
ให้กับคุณสามีฝรั่งด้วย ไม่อย่างนั้น
สามีที่รักของคุณอาจต้องมานอนป่วยให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล
เหมือนคุณฝรั่งสามีดิฉันก็เป็นได้

คืนนั้น ดิฉันได้รู้ว่าห่วงใยเค้ามากแค่ไหน
หลังจากที่พาให้เค้าขึ้นห้องไปพักผ่อน
ดิฉันรีบบึ่งกลับที่พักเพื่อจะนำสิ่งของจำเป็นบางอย่างไปนอนที่โรงพยาบาล
เพื่อเฝ้าไข้คุณสามี ใจตัวเองก็ห่วง เหมือนทิ้งเด็กที่เป็นใบ้ เล็กๆ
ไว้ที่ๆ เค้าไม่คุ้นเคย พูดกับใครก็ไม่ได้
แต่จะทำอย่างไรล่ะคะ ก็ได้แต่รีบให้เร็วที่สุด
กลับไปถึงห้อง ก็โล่งใจเห็นคนป่วยนั่งยิ้ม
ส่งภาษาบอกดิฉันว่า เมื่อกี้คุณพยาบาลเข้ามาถามว่า
“พูดไทยได้ไหมคะ” แล้วคุณฝรั่งก็เลยตอบว่า
“พูดได้นิดหน่อยครับ” ก็ประโยคหากินนี่คะ
ภาษาไทยที่พี่ดี้พูดได้นิดหน่อยน่ะก็เห็นจะเป็นคำนี้แหละค่ะ

หลังจากที่คุณพยาบาลตรวจสอบแล้วว่าพี่ดี้พูดไทยได้
คุณพยาบาลเลยส่งความเอ็นดู ฝรั่งพูดไทยได้ด้วยประโยคไทยอีกนับสิบประโยค
ซึ่งพี่ดี้บอกว่า เค้าพูดอะไรไม่รู้ ด้วยภาษาไทย เป็นประโยคยาวๆ
พี่ดี้ถึงกับงงเป็นฝรั่งตาแตก
ดิฉันจึงต้องออกไปถามและปรับความเข้าใจกับคุณพยาบาลว่า
จริงๆ แล้วอีตาฝรั่งคนนี้ พูดไทยได้แค่ “พูดไทยได้นิดหน่อยครับ” เท่านั้นเอง

คืนนั้น ดิฉันเองเหนื่อย แต่แทบไม่ได้นอน
เพราะการเฝ้าคนป่วยที่มีสายน้ำเกลือระโยงรยางค์ เราต้องคอยดูแล
ถือสายน้ำเกลือ พาเค้าไปห้องน้ำ ยิ่งพี่ดี้ท้องเสียด้วยแล้ว
ลุกเดินเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่นตลอดทั้งคืน

สงสารเค้าเหมือนกันนะคะที่ไม่ได้นอน ในทางกลับกันพี่ดี้เองก็สงสารดิฉัน
บอกให้ดิฉันนอนพักสักหน่อย และด้วยความเหนื่อย
ดิฉันจึงแอบงีบไปหน่อยหนึ่ง แต่ตกใจตื่นแทบไม่ทัน
ตอนคุณสามีเค้ากำลังหาทางต่อสายน้ำเกลือที่หลุดออกจากกันเป็นสองท่อน
มีน้ำเกลือในขวดที่เคยต่อเข้าเส้นเลือดหกกระจายนองเต็มพื้น
วุ่นวาย เปียกแฉะกันไปหมด กว่าจะเรียบร้อยดิฉันต้องกดปุ่มเรียกนางพยาบาลมาช่วย

การนอนบนเตียงโรงพยาบาล ถึงแม้เป็นห้องเดี่ยว
แต่ไหนเลยจะเท่าเตียงนอนที่บ้าน พี่ดี้ไม่ชินก็ต้องพลิกไปมาเป็นธรรมดา
สายน้ำเกลือก็เลยหลุดกระจายอย่างที่เห็น
จะนอนสักหน่อยก็เลยไม่ได้นอนเลยทั้งคุณสามีและคุณภรรยา

ชีวิตคนป่วยในโรงพยาบาลไม่ค่อยมีอะไรทำเลยนะคะ
ตอนเช้ายังไม่ทันตื่นดี ประมาณ ตีห้า ครึ่ง น้องพยาบาลฝึกหัดก็มาปลุกคนป่วย
ให้ตื่นเช็ดตัวทำความสะอาด 7 โมงเช้าก็ยกอาหารเช้ามาให้
คุณหมอก็จะมาเยี่ยมตอนเวลาอาหารเช้า หรือหลังจากรัปประทานอาหารเช้าเสร็จ
จากนั้นก็ให้คนป่วยนอนพักสักหน่อย ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันเวลาประมาณเที่ยง
ทานเสร็จก็นอนพักรอเวลาสำหรับอาหารเย็นตอน 6 โมง
แค่นี้เอง ชีวิตเป็นวงจรกิน-นอนมาก ขนาดพี่ดี้อยู่มาแค่สองคืน
บ่นอยากจะกลับบ้านอยู่ทุกวัน
สงสารก็แต่วิชาชีพ แพทย์และพยาบาลนี่แหละค่ะ
ต้องอยู่เวรกันเกือบทุกวันนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย
หมุนวงจรชีวิตอยู่อย่างนี้..ขอนับถือความอดทนและพยายามของวิชาชีพนี้จริงๆ เลยค่ะ

ระหว่างวันแรกที่ป่วย..เวลาที่พี่ดี้หลับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับดิฉัน
ในการออกมาเดินเล่น ขยับแข้งขา อยู่ในบริเวณโรงพยาบาล
แต่ก็ต้องมาชะงักที่ป้ายในลิฟโดยสาร เดี๋ยวนี้ทันสมัยกันไปหมดแล้ว
ทำอะไรแต่ละอย่างต้องมีเป็น package
เมื่อก่อนดิฉันเห็นมาแต่ package แต่งงาน หรือ package ล้างรถ
ตอนนี้โรงพยาบาลก็มีเหมือนกันนะคะ เป็น package การตรวจสุขภาพ
เลือกได้เป็น package A , B หรือว่า C
ซึ่ง package A จะเหมาะสำหรับบุคคลธรรมดา
package B เหมาะสำหรับการเตรียมพร้อมมีบุตร
ส่วนสุดท้าย package C เหมาะกับพวก Golden Age หรือพวกรุ่นวัยทอง

เอ้อ! แนวคิดดีเหมือนกันเนอะ ทำให้ย้อนนึกอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ซึ่งดิฉันเคยเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งจะคลอดลูก
ที่นั่นมี package สำหรับคุณแม่มือใหม่
คือเริ่มตั้งแต่ ฝากท้อง ทำคลอด และพักผ่อนหลังคลอด
เลือกราคาได้ทุกระดับ สุดยอดจริงๆ คนเราคิดค้นกันได้ทุกวงการ..

วันที่สองผ่านไปดิฉันก็ยังอยู่เฝ้าคุณสามีผู้น่าสงสาร
ก็ไปไหนไม่ได้สิคะ เพราะคุณพยาบาลและคุณหมอพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง
จริงๆ แล้วดิฉันคิดว่า แกคงพูดได้ แต่ไม่กล้าจะพูดมากกว่า
คือถ้าเหตุการณ์บังคับแบบไม่มีคนไทยมาด้วย
แกคงต้องพูด อันนี้ก็เป็นอีกปัญหาที่สำคัญสำหรับคนไทย คือความไม่กล้านี่แหละค่ะ
ที่ทำให้พูดกันไม่คล่องสักที คนเรามันต้องกล้าค่ะ
ผิดถูกเค้าไม่ว่าเราหรอก พูดไปเถอะ
เหมือนกันกับเวลาที่ฝึกให้คุณสามีพูดไทย
ดิฉันก็จะหัดให้เค้าพูดเอง ถ้ารู้ว่าคำไหนเค้ารู้แล้ว
ก็จะกระตุ้นให้เค้าพูด ไม่พูดให้ เพราะถ้าเค้ารู้ว่าเราช่วยเค้าตลอดเวลาเค้าจะไม่ยอมพูดเอง
มันต้องลองค่ะ ผิดเป็นครู ภาษาเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
ถ้าไม่ฝึกก็อาจจะหายวับไปกับตาได้

ตลอดเวลาในการใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้
ได้รับการบริการที่ดีตลอด ต้องการอะไรขอคุณพยาบาลได้เสมอ
คุณพยาบาลเองก็ชอบคุณฝรั่ง คงดูน่ารักดีเข้ามาทีไรก็ยิ้ม
คอยสอบถามว่าอาการเป็นไงบ้าง (แต่ถามกับดิฉันนะคะ)
โดยเฉพาะวันที่คุณหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้
คุณพยาบาลถามกันใหญ่เลยว่า อ้าว จะไปแล้วเหรอ
ถามกันแบบเสียดาย ยังไม่อยากให้ไปทำนองนั้น โบกมือ บ๊าย บายกันใหญ่
ตอนที่เราสองคนเดินออกจากห้องพัก
คุณสามีเลยทิ้งท้ายว่า “We will come back again, when we have our first son”
คุณพยาบาลหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ดิฉันได้แต่ยิ้มรับด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
อยากกลับไปนอนที่บ้านเต็มที่แล้ว

เมื่อกลับถึงที่พัก พี่ดี้ก็เข้ามากอดและบอกกับดิฉันว่า
“Thank you for taking care of me” (ขอบคุณที่อยู่ดูแลผม)
ดิฉันตอบกลับไปว่า “คุณจำได้ไหมวันที่เราแต่งงานกัน
เราเอ่ยคำสัญญากันว่าอย่างไร...ภาพ และคำสัญญานั้น ดิฉันยังยึดมั่นตลอดมาไม่เคยลืม”

“I offer you my solemn vow
to be your faithful partner in sickness and in health,
in good times and in bad.
I will cherish you for as long as we both shall live”

(ฉันให้คำสัญญากับคุณว่าจะซื่อสัตย์
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วย หรือช่วงเวลาปกติสุข,
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ หรือช่วงเวลาที่ยากเย็นเพียงใด
ฉันจะร่วมสุขทุกข์ทะนุถนอมคุณตราบจนชีวิตนี้จะจบสิ้นลง)

ดิฉันเอง รู้มาบ้างว่า พิธีการแต่งงานของชาวคริสต์นั้นเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด
ถึงแม้ดิฉันจะดำเนินชีวิตโดยยึดหลักธรรมของพุทธศาสนา
แต่ดิฉันก็ตั้งมั่น และรักษาคำสัญญาที่เคยให้แก่กันไว้ในงานแต่งงานแบบคริสต์ในวันนั้น

ในชีวิตคู่หากเรามีเวลาแห่งความสุขด้วยกันเพียงอย่างเดียว
โดยไม่เคยแม้แต่จะมีช่วงเวลาทุกข์ยากเลยสักครั้งหนึ่ง
เราจะไม่เคยรู้เลยว่าเรารัก คู่ร่วมชีวิตของเรามากน้อยเพียงใด...

วันนี้ดิฉันได้รู้ว่า ดิฉัน รักและห่วงใยเค้ามากเพียงใด...
เคยแอบร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นเค้าเจ็บหรือป่วยไข้..
นี่แหละคือบทพิสูจน์เบื้องต้นของความรู้สึกที่มีต่อพี่ดี้
สามีฝรั่งของดิฉัน







 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 31 มกราคม 2550 23:43:36 น.
Counter : 295 Pageviews.  

เหตุไฉน ถึงมาตั้งหัวข้อใหม่




เนื่องจาก กลุ่ม blog เรื่องสั้นจากถนนนักเขียนของเรา
มี 11 blog แล้ว รู้สึกว่ามันเริ่มยาวน่ะ ก็เลยเอามาขี้นใหม่
ดีกว่า อ่านแล้วเรื่องเก่าๆ ก็ถูกดันลงไปด้านล่าง..เนอะ







 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2549    
Last Update : 31 มกราคม 2550 23:44:04 น.
Counter : 326 Pageviews.  

1  2  


มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.