สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

Destiny ไม่ใช่ มะมานี่



Destiny ไม่ใช่ มะมานี่



ขึ้นบทมาผู้อ่านอาจจะงง ว่าอะไรคือ “Destiny”
และอะไรคือ “มะมานี่” ของมิสซิสอาร์โนลด์

Destiny ดิฉันหมายถึง พรหมลิขิต โชคชะตา
ที่ดิฉันเชื่อว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางของชีวิต

ถ้าเปรียบชีวิตของคนเหมือนดังเช่นเรือ ที่ล่องลอยในมหาสมุทร
เจ้า Destiny ก็เปรียบเสมือนดังลมและคลื่นในทะเลที่เป็นแรงขับหลัก
ในการบังคับทิศทางของเรือ

ดังเช่นเดียวกันกับชีวิตคน โชคชะตาและพรหมลิขิต ได้กำหนดมาแล้ว
ว่าชีวิตของแต่ละคนจะดำเนินไปในทิศทางใด
ต้องเจอกับอุปสรรคและความสำเร็จใดบ้าง

แต่ในขณะเดียวกัน อย่าลืมว่าเรือในหมาสมุทรไม่ได้ถูกบังคับด้วย
กระแสคลื่นและลมเท่านั้น แต่คนบังคับเรือก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในกำหนดทิศทาง
คอยชักใบเรือและบังคับให้เรือวิ่งต้านหรือตามกระแสคลื่นลม

เปรียบได้กับเจ้าของชีวิต ถึงแม้โชคชะตาจะกำหนดมาให้ชีวิตมุ่งหน้าไปทางไหน
การบังคับให้ตัวเองมีชีวิตลู่ไปตามกระแสโชคชะตาหรือไม่
ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่บุคคลที่เป็นเจ้าของชีวิต

ที่เกริ่นนำมานานเพราะดิฉันได้รับคำถามและการขอคำแนะนำ(มาจำนวนไม่น้อย)
หลังจากหนังสือเล่มแรกออกวางจำหน่าย
ว่าทำอย่างไรจะหาสามีฝรั่งดีๆสักคน...คือนั่นไงคะ..
ว่าทำไมดิฉันจึงตั้งชื่อบทว่า.. “Destiny ไม่ใช่ มะมานี่”

คืออยากจะบอกว่า เรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา พรหมลิขิต
หรือที่เคยได้ยินผู้ใหญ่ใช้คำว่า บุพเพสันนิวาส
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงไทยทั้งร้อยจะเจอกับชายชาวต่างชาติที่จริงใจ
และตกลงใจที่จะอยู่ดูแลกันจนชีวิตจะหาไม่

และแฟนฝรั่งก็ไม่ใช่ว่าเป็นของที่หาซื้อขายกันง่ายๆ ตามท้องตลาด
บางทีจะเจอมันก็เจอเองค่ะบางคนยิ่งหามันก็ยิ่งจะไม่เจอเอานะคะ

อย่างเพื่อนสาวของดิฉัน บางคนชีวิตเธอก็ผ่านมรสุมชีวิตกับฝรั่งมามากมายหลายประเภท
คือมีทั้งแบบไม่จริงใจ แบบจริงใจแต่ไม่จริงจัง
และสุดท้ายเธอก็ได้พบกับที่ทั้งจริงใจและจริงจัง

ส่วนเพื่อนสาวอีกคนหนึ่ง destiny เธอก็ไม่เคยบันดาลให้ได้เจอกับฝรั่ง
ถึงแม้การศึกษาและภาษาเธอจะดีขนาดไหนก็ตาม
เธอผ่านมรสุมชีวิตมากับชายไทย ล้มเหลวมาบ้าง
จนในที่สุดเธอก็ได้พบเจอชายไทยที่ให้ความรักและ
พร้อมจะดูแลชีวิตของเธออย่างแท้จริง

ตัวอย่างที่ยกมา เพื่อจะบอกว่าหนังสือของดิฉันเล่มแรก
ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ ดึงสาวไทยให้ไปเสียดุลการค้ากับต่างประเทศ
แต่เป็นการเสนอแง่มุมน่ารักๆ ของชายฝรั่งคนหนึ่ง
ที่บังเอิญเป็นคนน่ารัก รักจริง
และดันบังเอิญที่โชคชะตาทำให้มิสซิสอาร์โนลด์และพี่ดี้เดินทางมาพบกัน

จริงๆ ชายไทยอีกหลายคน เค้าก็มีแง่มุมน่ารักและโรแมนติกแบบสามีฝรั่งนะคะ
อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ทิ้งชายไทยกันไปเสียหมดก่อนค่ะคุณสาวๆ

ลองดูนะคะ หาก destiny พาให้ชีวิตคุณพบรักกับหนุ่มไทย
ก็ไม่ต้องไปพยายาม “มะมานี่” กวักมือเรียกฝรั่ง
คุณสาวๆ ที่มีแฟนหนุ่มชาวไทย ก็สามารถนำไปเป็นตัวอย่างปฏิบัติให้กับแฟนได้

บางวัฒนธรรมที่ดีของฝรั่งบางอย่างก็รับมาปรับให้เข้ากับตัวเองได้
เพื่อเติมเต็มความรักให้กับชีวิตคู่ เช่น หยิกแขนแฟนเบาๆแล้วบอกว่า
“เธอๆ เขียนโน้ตน่ารักๆ ให้ฉันบ้างสิ..ครอบครัวเราจะได้รักกันมากขึ้นทุกวัน”
หรือ “เอ๊ะ วันนี้คุณบอกรักฉันหรือยังนะ” อะไรทำนองนี้

ละลึกไว้นะคะชีวิตของเราเป็นเหมือนเรือที่นอกจากจะขึ้นกับกระแสลมและคลื่นแล้ว
ยังขึ้นกับการบังคับของคน อย่าปล่อยให้ให้ลมหรือกระแสะคลื่นพัดไปอย่างเดียว
แต่ก็ไม่ใช่ออกแรงบังคับต้านทั้งลมและกระแสคลื่นจนกระทั่งเรือล่มลงในทะเล ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ของอย่างนี้มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยดูกันไป
ไม่ใช่เห็นฝรั่งมาปุ๊บ จะตีหน้าว่าดี เลิศเลอ perfect (เพอร์เฟก) เสมอไป
อย่าลืมว่าฝรั่งเค้าก็มีวัฒนธรรมที่มีอิสระ เสรีในชีวิต
หากคุณไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ เดี๋ยวเรือจะล่มก่อนถึงฝั่งนะคะ
Destiny ค่ะ รอดู Destiny ของคุณด้วยว่าเนื้อคู่เป็นฝรั่งหรือเปล่า
เกิดรีบร้อนไปเรียก มะมานี่ ชีวิตอาจพลาดพลั้งจากการเจอเนื้อคู่ดีๆ
ที่เป็นชายไทยไป แล้วจะหาว่าดิฉันไม่เตือนนะคะ

----------------------------------------

ด้วยความปรารถนาดี
จากใจ...มิสซิสอาร์โนลด์





 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2550 22:08:02 น.
Counter : 417 Pageviews.  

ความรู้สึกแบบนี้..เคยมีกันบ้างไหม



ความรู้สึกแบบนี้..เคยมีกันบ้างไหม



จากคนที่เคยนั่งคุยกับตัวเองผ่านตัวหนังสือจากปลายดินสอ ปากกา
ที่ขีดๆ เขียนๆ ลงบนหน้าสมุดไดอารี
ดิฉันยังจำได้ดีถึงสมุดไดอารีเล่มแรก ที่คุณนายบัว ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด
หน้าปกแข็งสีเหลืองสด แต้มไปด้วยจุดสีชมพูสดใส
อาจเป็นเพราะว่าตอนเด็กๆ ดิฉันเหมือนเป็นเด็กมีปัญหา เก็บกด
เคยวิ่งเล่นเฮฮากับญาติพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวกันนับสิบคนมาตั้งแต่จำความได้...

แต่แล้ววันหนึ่งต้องแยกตัวออกมาอยู่คนละจังหวัด
ในหมู่บ้านจัดสรรที่เพิ่งเกิดใหม่ รอบๆ บริเวณยังไม่มีแม้สิ่งมีชีวิตใด
เข้ามาอยู่ร่วมชุมชน
ในบ้านมีแต่ดิฉันกับแม่...พูดคุยกับแม่ นอนกับแม่ กินข้าวกับแม่
เวลาไหนที่ทะเลาะกับแม่ ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปคุยกับใคร
แม่เลยสงสาร ซื้อสมุดบันทึกให้มันคุยไปพลางๆ เวลาโกรธกัน

แต่จะมีใครรู้บ้างล่ะ นั่นแหละเป็นต้นกำเนิด
ทำให้ฉันมีนิสัยรักการเขียนเพื่อเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ

จากจุดเริ่มต้นที่สมุดไดอารีจนมาถึงช่วงรุ่งโรจน์ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ด้วยความรักการเรียนรู้ รักการอ่านของดิฉัน
อินเตอร์เน็ตจึงเป็นอีกแหล่งเรียนรู้
ที่มิสซิสอาร์โนลด์เข้าไปศึกษาทุกวันอย่างขาดไม่ได้

จนกระทั่งมีเพื่อนแนะนำให้รู้จักสังคมออนไลน์
เว็บไซท์ที่มีนักเขียน นักอ่านเข้ามาแลกเปลี่ยนเรื่องราว
ผลัดกันอ่าน ผลัดกันเขียน เรียนรู้และพัฒนาตนเองร่วมกันไป
จนในที่สุดก็เริ่มรู้จักวิธีการสร้างบล็อกที่เป็นเหมือนไดอารีส่วนตัว
เอาไว้บันทึกเรื่องราว บันทึกภาพประสบการณ์ในชีวิต

พอเริ่มเขียน เริ่มมีคนมาอ่านและเสนอความคิดเห็น
ความรู้สึกแรกที่มี คือ มีกำลังใจอยากเขียนต่อ...
อาจเป็นธรรมดาของมนุษย์ทุกคน ที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น
ณ บัดนั้น จุดเริ่มต้นของความฝันในการเป็นนักเขียนจึงเกิดขึ้น

ดิฉันไล่ล่าความฝันของตัวเอง ด้วยการเขียน เขียนไปวันแล้ว วันเล่า
ถึงแม้การเรียนจะยุ่งหนักหนาแค่ไหน แต่ถ้าวันไหนใจอยากเขียน
ดิฉันก็จะลุกขึ้นมาเขียน
จริงๆ งานเขียนก็เป็นศิลปะประเภทหนึ่งที่ต้องการช่วงเวลา
อารมณ์และสภาพจิตใจที่เหมาะสม
ตอนที่มีอารมณ์อยากเขียนก็ต้องลงมือเขียน
เพราะถ้าขืนเก็บไว้รอเวลา ชักช้าไปก็ลืมหมดกันพอดี

จากหัวข้อบล็อก “สุขสันต์หรรษากับคุณสามีฝรั่ง”
วันหนึ่งฝันที่เคยเป็นแค่ฝันก็มีโอกาสเปลี่ยนรูปแบบออกมาเป็นชื่อหนังสือ
บนเวทีของสำนักพิมพ์นกฮูก

ความรู้สึกนั้นดีใจอย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ
ใครหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนักเขียนอาจไม่เคยรับรู้ความรู้สึก
แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบความรู้สึกของการมีหนังสือเล่มแรกในชีวิต
ที่มีชื่อของตัวเองเป็นผู้แต่ง มิสซิสอาร์โนลด์ขอเปรียบกับความรู้สึกนั้น
เหมือนกับ....การมีความรักครั้งแรก...

ช่วงเวลาที่รอคำตอบจากสำนักพิมพ์
ดิฉันว่ามันรู้สึกเหมือนกับตอนที่เราตัดสินใจบอกชายหนุ่มที่เราหลงรักออกไป
ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเค้า มันช่างรู้สึกทั้งลุ้น ทั้งกลัวว่าจะผิดหวัง
รู้สึกอุ่นขึ้นมาบนใบหน้าแต่ก็แอบมีความสุข
แอบฝันเล็กๆ ว่าจะดีแค่ไหนนะหากเค้ารู้สึกเช่นเดียวกันกับเรา

ณ วินาทีที่รับโทรศัพท์ และบก.บอกว่า “ตกลงพิมพ์ครับ”
ดิฉันรู้สึกว่าหัวใจพองโต ใบหน้ากว้างขึ้นอีกประมาณ 3 นิ้ว
เพราะแรงดันจากรอยยิ้มที่มุมปาก
ความรู้สึกอุ่นบนใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกร้อน
หัวใจที่เคยเต้นอย่างปกติ เต้นเร็วขึ้น และดังขึ้นจนเราสัมผัสได้

มันเหมือนตอนที่ชายหนุ่มอันเป็นที่รัก
ตอบเรากลับมาว่า
“ผมก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับคุณ..เราเป็นแฟนกันนะ”

....หลายคนอาจคิดว่าโอเว่อร์...
แต่มันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดกับดิฉันค่ะ
ดีใจมากจริงๆ บอกไม่ถูก กลัวว่าถ้าไม่รีบบันทึกเก็บเอาไว้
วันหนึ่งอาจจะหลงลืมไปว่า วันนี้เคยรู้สึกอย่างไร

และหลังจากที่หนังสือออกวางแผงดิฉันได้รับผลตอบกลับมา
ยิ่งทำให้รู้สึกว่า งานของตัวเองมีคุณค่าเพียงใด

มีพี่คนหนึ่งซึ่งดิฉันไม่เคยรู้จัก อีเมลล์มาแนะนำตัวเอง
แล้วบอกกับดิฉันว่าชอบงานเขียนของดิฉัน
พร้อมสอบถามถึงร้านที่วางขายหนังสือ

พออีกวันหนึ่งเพื่อนนักเขียนที่ดิฉันเคยขอความช่วยเหลือ
โทรมาบอกว่าหนังสือที่ดิฉันส่งไปให้ถูกใจพี่ข้างบ้านของเขามากมาก
จนอยากขอคุยด้วยเพื่อบอกความรู้สึก...
คุณเชื่อไหมคะว่าดิฉันดีใจมากขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน

ไม่น่าเชื่อว่า ว่าความฝันชิ้นเล็กๆ ที่ตัวเองเก็บสะสมมา
มันจะมีค่ามากมายขนาดนี้
ความรู้สึกการได้เป็นนักเขียนเหมือนเป็นรางวัลชีวิตอีกชิ้นหนึ่งที่ดิฉันได้รับ

การได้รับรู้ความรู้สึกที่มีต่องานที่คุณตั้งใจทำจากใครบางคนที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต
มันจะมีค่ามากมายขนาดนี้

การเคยมีความรู้สึกแบบนี้ ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า
จงอย่ากลัวที่จะแสดงความรู้สึกต่อผลงานของใครๆ
หากงานของใครที่เราประทับใจ ก็บอกกับคนที่สร้างสรรค์ผลงาน
ว่าเราชอบงานเขามากแค่ไหน
เขาคงดีใจไม่น้อยเชียวละที่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น

แต่หากงานที่คุณคิดว่ามีจุดบกพร่อง ก็จงบอกเขาไปตามตรง
จงติเพื่อก่อให้เจ้าของผลงานได้มีโอกาสในการปรับปรุงชิ้นงานของตัวเอง
แต่อย่าติเขาเพื่อทำลาย ได้โปรดคิดถึงใจเขาใจเรา

ดิฉันเชื่อว่าสุดท้ายแล้วโลกที่เราอยู่ร่วมกัน
ก็จะมีสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆออกมาให้บันเทิงอารมณ์กันอีกมากมาย
เพราะว่าพวกพวกเราทุกคนช่วยกันค่ะ

อยากขอบคุณกับทุกความรู้สึกที่มอบให้ รวมทั้งอยากถามเพื่อนๆ ว่า
เคยรู้สึกแบบนี้กันบ้างไหมคะ



จากใจ
มิสซิสอาร์โนลด์







 

Create Date : 15 พฤศจิกายน 2550    
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2550 17:34:52 น.
Counter : 258 Pageviews.  

-------สามีฝรั่งขี้เห่อ------มิสซิสอาร์โนลด์



สามีฝรั่งขี้เห่อ



จะว่าไปแล้วก็เหมือนนินทาสามี..
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของคุณสามีฝรั่งของดิฉัน
พี่ดี้ เป็น “ฝรั่งขี้เห่อ” โดยเฉพาะกับคุณภรรยา
ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามแต่ คุณสามีจะเห่อมากเป็นพิเศษ
เห่อจนออกนอกหน้า เห่อจนบางครั้งบางคราวเพื่อนแอบอิจฉา
ดิฉันขอยกตัวอย่างของความเห่อของฝรั่งนายนี้ให้ฟังกัน

หลังจากวันแรกที่ บก. โทรมาว่าหนังสือจะได้รับการพิมพ์
พี่ดี้ก็ดีใจเป็นหมูน้อยเริงระบำ ถือโทรโข่งป่าวประกาศให้เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง
รวมถึงนักเรียนได้รับรู้ถึงข่าวดีของภรรยาสุดที่รัก





คืนหนึ่งดิฉัน พี่ดี้ อาจารย์ Sim และน้องแนน สาวน้อยร่วมชมรม
ได้นัดไปรับประทานอาหารเวียดนามกันเพื่อฉลองความสำเร็จ
แถมตบท้ายด้วยผับเล็กๆ ที่เพิ่งเปิดใหม่แถวย่านเกษตร

ตามปกติแล้ว ถ้ามี meeting กัน มักจะเป็นทางใครทางมัน
คือเหล่าสามีฝรั่งก็จะล้อมวง speaking English
ส่วนคุณภรรยาท่านฝรั่งทั้งหลาย ก็นั่งเม้าท์มันส์ในภาษาต้นกำเนิด
แหม ก็เวลาเม้าท์กัน ภาษาอังกฤษจะไปมันส์อะไรคะ
พอได้โอกาสสาวไทยรวมตัวกันละก้อ เป็นเรื่องค่ะ

ดิฉันนั่งเมาท์กับน้องแนนอยู่ไม่นาน ได้ยินเสียงอะไรแว้บๆ เข้าหู
“มิสซิสอาร์โนลด์ มิสซิสอาร์โนลด์”
จึงเหลือบไปหาคุณสามี

“อุ้ยตายว้ายกรี๊ด!! สามีฉันไปทำอะไรอยู่บนเวทีนักดนตรีอ่ะ”
อาจารย์ Sim กับน้องแนนคนสวย ได้แต่นั่งขำ

คือคุณพี่ดี้ สามีฝรั่งขี้เห่อ เดินเอาหนังสือที่เพิ่งออกจากโรงพิมพ์มาสดๆ ร้อนๆ
ไปยื่นให้นักดนตรีชมบนเวที ซะงั้น...อายมั๊ยละฉานนนนน





ถึงแม้อารมณ์จะกึ่มๆ เล็กน้อง เพราะเบียร์หมดไปสองเหยือก
แต่ดิฉันยังรู้สึกถึงความร้อนวูบบนใบหน้าของตนเองได้เป็นอย่างดี
เวลาที่สายตาของคนในร้านจดจ้องมาที่ดิฉัน

มิสซิสอาร์โนลด์จะทำอย่างไรได้ละคะ
ก็ได้แต่หัวเราะแบบอายๆแก้เก้อ พร้อมกับบอกทุกคนไปว่า

“พบกันที่แผงหนังสือทั่วประเทศเร็วๆ นี้ค่ะ”

ประชาสัมพันธ์กันซะเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว

นอกจากคืนนั้นแล้ว คุณสามีดิฉันก็ยังไม่เลิกเห่อ
เราสองคนนัดกันไปเจิมหนังสือเล่มแรกที่งานมหกรรมหนังสือ
ออกจากบ้าน ขึ้นรถไฟใต้ดิน โผล่อีกทีที่ศูนย์สิริกิตต์
เราสองคนแวะไปซื้อหนังสือเล่มแรก ในวันแรกของบูธ สนพ. นกฮูก





หลังจากกลับมาดิฉันก็ได้เดินทางไปนำเสอนงานวิชาการที่ต่างจังหวัดทันที
ยุ่งอยู่เสียนาน มารู้ตัวอีกที

"พี่พีท" เพื่อนชายหน้ามนคนสุพรรณ อันแสนสนิทกับสามีของดิฉัน
เล่าข่าวว่า “สามีเธอส่งเมลล์มาชื่นชมหนังสือใหญ่เลยแถมมีภาพประกอบอีกด้วย”

ดิฉันก็งุ่นง่าน อยากรู้ว่า สามีดิฉันไปเม้าท์อะไรลับหลัง
เลยอ้อนวอนให้พี่พีท forward mail มาให้

ทันทีที่เปิดอ่าน...อ่านไปก็อมยิ้มไปค่ะ
คือ แกเล่าถึงหนังสือเล่มแรกของดิฉันว่าได้วางแผงแล้วที่งานสัปดาห์หนังสือ
แถมเน้นย้ำสถานที่ และวิธีการเดินทางไป
แหม! ประชาสัมพันธ์กันสุดฤทธิ์ แถมมีภาพประกอบ
สงสัยกลัวหนังสือภรรยาขายไม่ออก

จาก forward email ดิฉันพบว่าคุณสามีแอบเก็บภาพถ่ายมุมต่างๆ
จากมือถือของเจ้าตัว บันทึกภาพเบื้องหลังแห่งวันแรกของการเจิมหนังสือ
ของมิสซิสอาร์โนลด์ และการแจกลายเซ็นต์ให้เพื่อนสนิทมิตรสหาย
จะมีก็แค่บางรูปที่บันทึกขณะดิฉันรู้ตัว





อ่านไปดูไปประทับใจอยู่ดีๆ
แหม! เจอกับรูปสุดท้ายเข้าไป เป็นรูปของคืนแรกที่ดิฉันได้หนังสือมา
และด้วยความดีใจ เลยติดตัวเข้าไปอ่านในห้องนอน
แต่เพราะความอ่อนล้า จึงทำให้เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว



คุณสามีขี้เห่อตัวดี เลยแอบเก็บภาพ แถม forward รูปและเรื่องราวทั้งหมด
ไปให้เพื่อนอีกแสนคน (โอเวอร์ไปนิดนึง)

อายไหมละจ๊ะ รูปหลับน้ำลายไหลออกสู่สายตาประชาชี...
คุณสามีขี้เห่อตัวดี เดี๋ยวจะโดนดี..แน่นอน

แต่พอลองมานั่งคิดทบทวน...
ทุกภาพถ่าย ทุกเรื่องราวในอีเมลล์ ที่ถ่ายทอดสู่ทุกๆ อีเมลล์ของเพื่อน
และญาติพี่น้องของเขา ทำให้ฉันรู้สึกว่า

ผู้ชายคนนี้ ใส่ใจในรายละเอียดของตัวดิฉันมากแค่ไหน
และนั่นก็หมายถึงว่า เขารักเรามากแค่ไหน...


ประทับใจค่ะ ไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจแต่งงานกับเขา

“สามีฝรั่งขี้เห่อของฉัน”....

ก่อนจบขอแถมท้าย ถ้อยคำท้ายอีเมลล์นั้น
มาให้ทุกท่านรับฟัง ว่าสามีดิฉันขี้เห่อแค่ไหน…

ฝากถามสาวๆ ที่มีคนใกล้ชิดเป็นฝรั่ง เคยเจอบ้างไหมคะ “ฝรั่งขี้เห่อ”
---------------------------------------------------------------------------------

She will be happy to sign any book that you buy.

See pictures attached!

Please send this e-mail to a friend or two and help us spread the word!

Many heartfelt thanks....
Speedy
Proud Husband
------------------------------



Love you my Farang husband!!




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2550    
Last Update : 21 ตุลาคม 2550 13:05:15 น.
Counter : 553 Pageviews.  

---เมื่อคุณฝรั่งกลับใจ----โดยมิสซิสอาร์โนลด์



เมื่อคุณฝรั่งกลับใจ



ดังที่ทราบกันถ้วนหน้าว่าสมาชิกชมรม Ilovefarang ส่วนมากจะเป็นสมาชิกประเภทที่ 2
ประเภทพำนักอยู่ต่างประเทศมากกว่าสมาชิกภายในประเทศ
สาวๆ ส่วนใหญ่จะย้ายตามคุณสามีหนึมิสซิสอาร์โนลด์กันไปหมด

แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคำถามเกิดขึ้นในชมรมว่า
“ถ้าหากคุณฝรั่งของฉันเกิดกลับใจอยากมาอยู่เมืองไทยล่ะ จะทำได้ไหม”

คำถามนี้ดิฉันถือว่าเป็นคำถามยอดฮิตของสาวไทยหลายคนที่มีสามีเป็นชาวต่างชาติ
ซึ่งดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นเพราะว่า การที่มีสามีเป็นคนต่างดาว
เอ้ย! ต่างด้าว ต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง VISA, รายงานตัวอยู่เกิน 90 วัน ดังที่เคยเล่าให้ทุกท่านรับฟังไปบ้างแล้ว

“ดิฉันเองก็อยากให้ คุณสามีได้เป็น Thai residence บ้างสิคะ”

มิสซิสอาร์โนลด์ เองก็ไม่ใช่ผู้รู้ หรือมีประสบการณ์การมีสามีฝรั่งมาก่อน
นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิต เลยถือเป็นโอกาสดีในการเรียนรู้ซะเลย
life long learning ยังไงละคะ

เพื่อนๆ ที่เคยติดตามอ่านเรื่อง “กว่าจะได้มาเป็น Mrs.Arnold”
คงได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการจดทะเบียนสมรสจากต่างประเทศ
จนกระทั่งเข้ามารับรองฐานนะครอบครัวและเปลี่ยนนามสกุลของสาวไทยสามีฝรั่งนางนี้

สำหรับบทนี้ “เมื่อคุณฝรั่งกลับใจ” ดิฉันขอเสนออีกมุมหนึ่งเพื่อ
ตอบคำถามที่ว่า

“หากคุณสามีฝรั่ง อยากมาลงหลักปักฐานในเมืองไทยล่ะ
จะมาอยู่ได้หรือไม่ แล้วต้องทำอย่างไร”

จากการเดินทางท่องโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อเสาะหาคำตอบ
ดิฉันก็ได้ไปพบประกาศของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง
ที่จะช่วยไขคำตอบคาใจของเหล่าเราชาวสามีฝรั่ง

มาค่ะ มาร่วมค้นคว้าหาความรู้ไปพร้อมกับมิสซิสอาร์โนลด์กันเลย

ก่อนอื่นเลยต้องสำรวจก่อนว่า
คุณสามีถือวีซ่าประเภท NON-IMMIGRANT VISA หรือวีซ่าชั่วคราว
มาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือเปล่า
ถ้าใช่ก็ถือว่าข้อนี้ผ่าน

แหม! มาข้อแรกสามีของดิฉันก็สอบไม่ผ่านซะแล้ว
เพิ่งอยู่ยังไม่ถึง 2 ปี เลยค่ะตอนนี้

ข้อต่อมา คุณสามีฝรั่งต้องมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
จึงจะสามารถยื่นเรื่องขออยู่พำนักในประเทศไทยถาวรได้

ซึ่งข้อนี้สามีดิฉันผ่านฉลุยค่ะ แต่ขอกระซิบเพิ่มเติมว่า
ต้องไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมใดๆ ด้วยนะคะ

ข้อที่สามผู้ขอต้องแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ สินทรัพย์ ความรู้ หรือการงานต่างๆ
รวมทั้งต้องแสดงฐานะในครอบครัวกับคุณภรรยาที่มีสัญชาติไทย
คืออันนี้ภรรยานอกกฎหมายเค้าไม่รับนะคะ

ส่วนข้อสุดท้าย ที่ดิฉันว่าหินสุดๆ คือ
ต้องพูดและฟังภาษาไทยได้เข้าใจ
เป็นอย่างไรคะ มีสามีใครผ่านบ้างคะข้อนี้

จริงๆ ดิฉันก็อยากจะทราบนะคะ ว่าพูดและฟังภาษาไทยได้อย่างเข้าใจ
นี่ต้องระดับไหน คือเอาแค่ basic หรือต้องเข้าขั้น advance
คือสามีดิฉันยังคืบคลานอยู่บริเวณลาน basic อยู่เลยค่ะ

เมื่อนับข้อจำกัดทั้งสี่ข้อแล้ว สามีของดิฉันผ่านอยู่สองข้อ คือข้อ 2 และ 3
ส่วนข้อ 1 และข้อสุดท้ายสอบตกไม่มีชิ้นดีค่ะ
อยู่ก็ยังไม่นานแถมภาษาไทยยังไม่พัฒนาอีก
เห็นทีจะยังขอให้ไม่ได้ ต้องอยู่กับแบบ non-permanent ไปพลางๆ ก่อนค่ะ

แต่ถ้าหากว่าคุณฝรั่งข้างกายของสาวใดคิดว่าสอบผ่านทั้งสี่ข้อแน่นอน
มาดูกันต่อดีกว่าค่ะ ว่ายังมีรายละเอียดยิบย่อยอะไรเพิ่มเติมอีก

การจะยื่นขออยู่อย่างถาวรได้นั้นต้องจดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องมาไม่น้อยกว่า 2 ปี
และต้องมีบุตรด้วยกันจริง คือถ้าไม่มีบุตรนี่ถึงขั้นต้องเอาคุณหมอมายืนยัน
แบบว่าใบรับรองแพทย์น่ะคะ ว่าสาเหตุใดทำไมไม่มีบุตร

นี่ถ้าเกิดน้องตัวเล็กๆ ของคุณสามีที่มีเป็นล้านๆ ตัวไม่แข็งแรง
หรือเจ้าไข่น้อยของคุณผู้หญิงมีปัญหาละก้อ
ต้องรายงานให้เจ้าพนักงานรับทราบ แบบเอาให้อายกันไปข้างนึงเลยค่ะ

แต่ถ้าครอบครัวของคุณไม่วางแผนจะมีบุตร
อย่างน้อยต้องสมรสกันไม่น้อยกว่า 5 ปีเชียวนะค่ะ

สำหรับตัวดิฉันเอง คิดว่ารีบๆ มีบุตรดีกว่านะคะ 5 ปีนานจังเลย

ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับรายได้ของครอบครัว
อย่างต่ำๆ ต้องมีเงินประทังชีวิต เฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่าเดือนละ 30,000 บาทตลอด 2 ปีติดต่อกันนะคะ
ห้ามขาดแม้แต่สลึงเดียว ไม่งั้นอด ขอไม่ได้คะ เป็นเป็นชายชาวต่างด้าวต่อไป

ข้อจำกัดสุดท้ายกล่าวไว้ว่า
“หากคณะกรรมการพิจารณาดูแล้ว ประเทศอันเป็นถิ่นฐานเดิมของคุณสามี
เกิดความไม่มั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมขึ้นมาละก้อ
อาจถูกตัดสินให้ไม่ผ่านก็ได้นะจ๊ะ”
อันนี้แล้วแต่ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ด่านค่ะ

เห็นทีดิฉันคงต้องให้คุณสามีไปกระซิบบอกคุณ ดับเบิล ยู บุช ว่า
อย่าได้ริอาจเอาประเทศไปเสี่ยงกับสงครามอิรัก
เดี๋ยวสามีดิฉันหมดสิทธิพำนักในไทยอย่างถาวร

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ คุณฝรั่งของท่านผู้อ่าน
สอบผ่านกันกี่ข้อ
สำหรับดิฉันต้องขอตัวไปฝึกฝนภาษาไทยให้กับคุณสามีให้พูดง่าย ฟังคล่อง
และก็ต้องรีบพยายามมีบุตรให้ได้ก่อนอย่างอื่นเลย
เพื่อจะได้ไม่ต้องรอนานถึง 5 ปี

สำหรับเรื่องขอให้คนต่างด้าวนายคนนี้เข้ามามีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทย
เอาไว้ทีหลังก็แล้วกันค่ะ....

ข้อมูลต่างๆ ที่เล่ามานี้เป็นแค่การอ่านแล้วเอามาถ่ายทอดสู่กันฟังเท่านั้น
อาจใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายๆ แบบไม่เป็นทางการตามสไตล์มิสซิสอาร์โนลด์
ต้องขออภัยนะคะ

หากท่านใดอยากอ่านแบบทางก๊าร ทางการ หรืออยากหาข้อมูลดีๆ เพิ่มเติมลองไปหาอ่านกันดูได้ที่เว็บไซท์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่นี่เลยค่ะ

//www.immigration.go.th/nov2004/base.php

เค้าใจดีมีข้อมูลให้เต็มที่เลยค่ะ




 

Create Date : 28 กันยายน 2550    
Last Update : 28 กันยายน 2550 8:54:42 น.
Counter : 279 Pageviews.  

---วัฒนธรรมการ Tips---มิสซิสอาร์โนลด์



วัฒนธรรมการ Tips


วัฒนธรรมการ Tips หรือการมอบสินน้ำใจกับคนที่ทำหน้าที่บริการให้กับเรา
กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวดิฉันไปเสียแล้วตอนนี้

อาจเป็นเพราะว่าสามีฝรั่งของดิฉันมักจะสอนว่า

“เมื่อเค้าบริการเราดี เราก็ควรให้รางวัลเป็นกำลังใจในการทำงานกับพวกเค้า”

สามีดิฉันเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยตอนเป็นเด็ก เค้าเริ่มทำงาน
ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เริ่มจากตัดหญ้า ส่งหนังสือพิมพ์
จนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นก็เริ่มทำงานในร้านอาหาร
เพราะต้องเก็บเงินซื้อของต่างๆ ด้วยตัวเอง

พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังคงต้องเก็บเงินจ่ายค่าเล่าเรียน
และค่าจิปาถะอื่นอีกมากมายด้วยตนเอง
ดังนั้นอาชีพที่หล่อเลี้ยงเด็กอเมริกันส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นงานบริการ
Tips จึงยิ่งใหญ่และมีคุณค่ากับชีวิตชาวอเมริกันที่ผ่านชีวิตการทำงานบริการมาอย่างโชกโชน

หากวันใดที่เราสองคนออกไปทานข้าวนอกบ้าน และคุณสามีเกิดอาการ Tips หนักขึ้นมา
อย่าได้ไปห้ามปราม หรือถามเค้าแต่ประการใด
เพราะคำตอบที่ได้จะเหมือนกันอยู่อย่างนั้นเสมอๆ นั่นคือ

“A good Tipper used to be a good waiter”

คือเค้าบอกว่าเข้าใจหัวอกของพนักงาน เพราะเคยทำงานแบบนั้นมาก่อน

ดิฉันก็ไม่ค่อยได้ว่าอะไรสักเท่าไหร่ค่ะ เพราะตัวเองก็เป็นคนที่ติดนิสัยการ Tips เช่นเดียวกัน
ก็จะทำอย่างไรได้ละคะ ถ้าน้องเค้าตั้งใจทำงาน และบริการเราเป็นอย่างดี สินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ อาจจะทำให้เขามีกำลังใจมากยิ่งขึ้นก็ได้

แต่แล้ววันหนึ่งจุดกำเนิดเรื่องราวบทนี้ก็เริ่มขึ้นในปั๊มใกล้ที่พักของเราทั้งสอง
ด้วยทางอพาร์ทเม้นท์ไม่อนญาติให้ล้างรถเหมือนตอนอยู่บ้าน
และแถมงานช่วงนี้ก็เยอะมากมายจนกระทั่งมีโอกาสกลับบ้านได้น้อยลง
จึงทำให้พาหนะคู่ใจของครอบครัวดูหมองคล้ำไปถนัดตา

ด้วยความเป็นศรีภรรยาช่างเสาะหา
ดิฉันจึงได้ลงทุนไปซื้อคูปองล้างรถแบบโปรแกรม
ชนิดมีอายุ 1 ปีมา 1 เล่ม ประมาณ 20 ใบเห็นจะได้
คำนวณด้วยหัวสมองแม่บ้านแล้วคุ้มค่ะ ตกครั้งละประมาณ 80 บาท
แต่ถ้าจ่ายเงินสดรายครั้งนี่ก็ตกประมาณ 120 บาทแล้ว
โอโหถูกไปเกือบครึ่งเลยนะคะ

และประจวบเหมาะกับปั๊มอยู่ใกล้ที่พัก
จึงทำให้เราสองคนได้มาเป็นลูกค้าประจำของปั๊มน้ำมันแห่งนี้

โปรแกรมการล้างรถโดยปกติ
หลังจากล้างรถจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
จะยังมีหยดน้ำเกาะตามตัวถังรถอีกนิดหน่อย
ถึงแม้ว่าเครื่องล้างอัตโนมัติจะมีระบบ Vortex พ่นลมหมุนเข้าใส่ตัวถังไปแล้วก็ตาม

ดิฉันและคุณสามีก็ต้องขับรถออกมาจากเครื่องล้างรถอัตโนมัติ
และเลี้ยวไปจอดอีกด้านหนึ่งซึ่งจะมีสาวน้อยเสื้อแดงคอยโบกผ้าเช็ดรถอยู่ไหวๆ อยู่เป็นกิจวัตร

ระหว่างที่รอน้องๆ เช็ดรถ บางครั้งเราก็จะนั่งคุยกันอยู่ในรถ
บางครั้งเราก็จะฝากรถไว้กับน้อง โดยปลีกตัวออกไปนั่งจิบกาแฟในส่วนของร้านกาแฟในปั๊ม

เมื่อไหร่ก็ตาม หากน้องเช็ดรถเราเสร็จเรียบร้อย ก็จะมาเรียกให้ไปรับรถอย่างสุภาพ
ขอชมเชยว่าน้องพนักงานที่นี่ดี น่ารัก และไว้ใจได้ค่ะ
ดิฉันวางอะไรไว้ในรถไม่เคยสูญหายเลยสักครั้งเดียว
แม้แต่เหรียญสิบบาท หรือแบงก์ที่เก็บไว้จ่ายค่าทางด่วน
น้องก็ไม่เคยแตะต้อง วางไว้ที่ไหน กลับมาอีกทีก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม

นี่สิคะดิฉันและสามีจึงหยิบแบงค์สีเขียว
ส่งให้น้องเพื่อเป็นสินน้ำใจทุกครั้งไป
---------------------------------
แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นสิค่ะ
แรกๆ พนักงานที่มาเช็ดรถ จะมีอัตราส่วน 2 คน ต่อรถ 1 คัน
เช็ดรถเสร็จสรรพ ครอบครัวเราจะเสียค่าสินน้ำใจให้น้องไป 40 บาท
เราก็คิดว่าคงจะพอดีกับความตั้งใจทำงานของน้อง

แต่พอนานเข้าเราสองคนมาล้างรถบ่อยๆ จนน้องจำกันได้
อัตราส่วนประชากรบริกรเช็ดรถก็เริ่มเพิ่มขึ้น
จาก 2 ต่อ 1 เป็น 3 ต่อ 1 และ 4 ต่อ 1

คือว่า...เอ้อ...รถดิฉันก็ Toyota vios เล็กๆ ธรรมดา
มิใช่ CRV หรือ Cherokee แต่อย่างใดนะคะ คุณน้อง
ไม่ต้องร่วมมือร่วมใจกันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ

คือคุณพี่เสียค่า Tips ไปเท่าค่าล้างรถแล้วค่ะ
แต่ก็นะ...เอ้า...กลัวน้องจะเสียใจ ถ้าจะให้ไม่เท่ากัน
ดังนั้น...พนักงานทุกคนที่เดินเข้ามาก็จะได้ไปเท่าๆ กันทุกครั้งไป

ดิฉันก็อดเสียไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยแซวคุณสามีเสมอว่า

“A good Tipper used to be a good car dryer”

ขำๆ กันไปค่ะ พยายามไม่ซีเรียส เป็นกำลังใจให้น้องๆ ในการทำงาน

-------------------------------------------------------------------

ในที่สุด...วันสุดท้ายก็มาถึง
ไม่ใช่ว่าคูปองล้างรถหมดเล่มหรืออะไรหรอกนะคะ
จริงๆ แล้วยังเหลืออีก 4-5 ใบเห็นจะได้
แต่เพราะการหยั่งรู้ดินฟ้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นของดิฉันและสามีในปั๊มแห่งเดิมแห่งนี้
จึงได้แต่ภาวนาในใจว่า เพี้ยง! ขอให้วันนี้มีน้องๆ มาช่วยกันเช็ดถูสัก 2 คนก็พอเถอะ
เพราะดิฉันเสียค่า Tips มาเกือบเท่าค่าซื้อคูปองล้างรถแล้ว

เซ้นต์เราสองคนไม่เคยพลาดค่ะ กลัวอะไรมักจะได้อย่างนั้น

น้องสองคนยังคงเดินมาเช็ดรถตามปกติ
คนหนึ่งด้านซ้าย คนหนึ่งด้านขวา โดยเริ่มต้นจากด้านหน้าของรถก่อน
.......ยังเช็ดไม่ทันไร ......
ท้ายรถเริ่มไหวสะเทือนจากแรงเช็ดของน้องอีก 2 คน
อ้าว! ตายล่ะ มากันเป็น 4 ทำไงดีล่ะทีนี้...ฉัน...

ยังไม่ทันได้สติสมประดี
น้องทั้ง 4 เช็ดกันไปซักพักใหญ่
ก็มีชายหนุ่มหน้ามนอีกคนหนึ่งเดินมาทางรถของเราแล้ว
“โอ้ว! ไม่นะ”
เราสองคนพึมพำกันเบาๆ
แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย

เจ้าหนุ่มน้อย บรรจงผ้าเช็ดรถผืนน้อย ลงบนกระจกหน้ารถ
เช็ดกันแบบเอาให้เห็นกันจะๆ ชัดๆ ว่าฉันก็มาเช็ดเฉกเช่นเดียวกันกับผองเพื่อน

สรุปแล้ววันนั้น น้องมารวมกันนับได้ 5 คนพอดิบ พอดี
พี่สองคนบวกลบคูณหารแล้ว ค่า Tips รวมแล้ว 100 บาทพอดี
แพงกว่าค่าคูปองอีกนะจ๊ะหนู
ทำไงดีล่ะ...นึกอะไรไม่ออก น้องก็ยิ้ม โบกมือไหวๆ
ให้สัญญาณว่า เสร็จเรียบร้อยค่ะพี่

ดิฉันสูดหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกดกระจกลงนิดๆ
คือไม่กล้าสบตาน้องที่เช็ดรถให้เราประจำ พร้อมยื่นแบงก์ 50 บาทให้ แล้วบอกน้องไปว่า
“เอาไปแบ่งกันนะจ๊ะ”
คือในใจ รู้สึกผิดค่ะ ไม่รู้ทำไม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย
แต่เหมือนกับว่าเราทำผิดจนไม่น่าให้อภัย

คือเราดันไปสร้างให้ Tips เป็นวัฒนธรรมไปเสียแล้ว
สุดท้ายเป็นยังไงละคะ น้องๆ มาตั้งอกตั้งใจทำงานกันยกใหญ่
ดิฉันและคุณสามีจึงยังไม่ได้กลับไปล้างรถอีกเลยจนกระทั่งวันนี้
เพราะว่า ไม่มีปัญญา Tips!!!




 

Create Date : 23 กันยายน 2550    
Last Update : 23 กันยายน 2550 19:50:04 น.
Counter : 267 Pageviews.  

1  2  

มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.