สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

บทที่ 12:เมื่อคุณฝรั่งป่วย





บทที่ 12 เมื่อคุณฝรั่งป่วย



“พี่ดี้ wake Up!!! พี่ดี้ wake Up!!” เสียงยายภรรยาตัวร้ายอย่างดิฉัน
เป็นนาฬิกาปลุกขั้นสุดท้าย ที่ส่งเสียงดังลั่น กรอกเข้าหูคุณฝรั่ง
นาฬิกานี้จะดังขึ้นทุกครั้งหลังจากที่เสียงนาฬิกาปลุกธรรมดาเงียบลง
แต่คุณสามียังไม่ขยับตัวลุกจากที่นอน วันนี้ก็เป็นวันทำงานทั่วไป เหตุไฉน
คุณสามีจึงไม่ยอมตื่น ดิฉันเห็นท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อวาน
ได้ยินเสียงกดน้ำชักโครกตอนกลางคืนบ่อยๆ ตอนแรกคิดว่าเค้าคงไม่เป็นอะไรมาก
ตื่นมาเข้าห้องน้ำปกติ แต่จริงๆ แล้วคุณสามีบอกว่า “I have diarrhea” (ผมท้องเสียครับ)
ดิฉันเห็นก็สงสาร หน้าตาแกดูซูบ ซีด ไม่สดใสเหมือนทุกวัน
จึงถือโอกาสลาหยุดด้วย เพื่ออยู่ดูแลคุณสามีอย่างใกล้ชิด

ดิฉันเดินออกไปปากซอยซื้อยาจากคุณเภสัช มาให้คุณสามีรับประทาน
แต่ฝรั่งเค้าแปลก เห็นว่าคนไทย นึกอยากจะซื้อยาอะไร ก็ซื้อได้ง่าย
ไม่มีการควบคุมเหมือนที่บ้านเค้า ที่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ถึงจะซื้อได้
เลยต้องรีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตให้แน่ใจก่อนกินยาแต่ละตัว
แหมหมั่นไส้จริง ป่วยแล้วยังเรื่องมากอีก สามีดิฉันเนี่ย
หลังจากรับประทานยาไปสองวันอาการไม่ดีขึ้น
ดิฉันจึงใช้วิธีเผด็จการลากไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล

คุณหมอถึงกับตกใจในความทรุดโทรมของคุณสามี
รีบส่งขึ้นนอนพักให้น้ำเกลือทันที อ้าวอะไรเนี่ย!
ดิฉันก็ไม่คิดว่าจะต้องยุ่งยาก วุ่นวายขนาดนี้
นึกว่ามาแล้วก็จะกลับบ้านได้ ต้องมานอนให้น้ำเกลือซะอย่างนั้น

ก่อนขึ้นมานอนรักษาที่ห้องพัก คุณหมอถามดิฉันว่า
ไปทานอะไรมาล่ะ ดิฉันเลยย้อนคิดกลับไปว่า
เราสองคนเพิ่งจะพากันกลับไปเยี่ยมคุณบัวที่บ้าน
ไปทานอาหารทะเล น้ำพริกปลาทู สงสัยจะใช่แน่เลย
แต่ทำไม ดิฉัน คุณบัว หรือแม้แต่พี่สาวไม่เห็นเป็นอะไรเลยล่ะ
คุณหมอจึงอธิบายว่า ภูมิต้านทานคนเราไม่เหมือนกัน
ยิ่งเราคนไทย คุ้นเคยกับเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆ ในบ้านเราอยู่แล้ว
โดนนิด โดนหน่อยไม่แสดงออกร้ายแรง
แต่ฝรั่งเค้าไม่เคย เป็นธรรมดาที่ป่วยหนักขนาดนี้
ทีหน้าทีหลังจะให้ทานอะไรต้องระวังให้ดี

นี่ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่สมาชิกสมาคมสามีฝรั่งแห่งประเทศไทยควรรู้
อันที่จริงแล้วอาหารการกินดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย
สำหรับสามีดิฉันเพราะเค้าเป็นคนทานง่าย ทานของเผ็ด รสจัดได้
เพราะคุ้นเคยกับอาหารแม็กซิกันมาก่อน
แต่ปัญหานี้ไม่น้อยอย่างที่คิด คุณภรรยาอย่างพวกเราควรระมัดระวัง
ให้กับคุณสามีฝรั่งด้วย ไม่อย่างนั้น
สามีที่รักของคุณอาจต้องมานอนป่วยให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล
เหมือนคุณฝรั่งสามีดิฉันก็เป็นได้

คืนนั้น ดิฉันได้รู้ว่าห่วงใยเค้ามากแค่ไหน
หลังจากที่พาให้เค้าขึ้นห้องไปพักผ่อน
ดิฉันรีบบึ่งกลับที่พักเพื่อจะนำสิ่งของจำเป็นบางอย่างไปนอนที่โรงพยาบาล
เพื่อเฝ้าไข้คุณสามี ใจตัวเองก็ห่วง เหมือนทิ้งเด็กที่เป็นใบ้ เล็กๆ
ไว้ที่ๆ เค้าไม่คุ้นเคย พูดกับใครก็ไม่ได้
แต่จะทำอย่างไรล่ะคะ ก็ได้แต่รีบให้เร็วที่สุด
กลับไปถึงห้อง ก็โล่งใจเห็นคนป่วยนั่งยิ้ม
ส่งภาษาบอกดิฉันว่า เมื่อกี้คุณพยาบาลเข้ามาถามว่า
“พูดไทยได้ไหมคะ” แล้วคุณฝรั่งก็เลยตอบว่า
“พูดได้นิดหน่อยครับ” ก็ประโยคหากินนี่คะ
ภาษาไทยที่พี่ดี้พูดได้นิดหน่อยน่ะก็เห็นจะเป็นคำนี้แหละค่ะ

หลังจากที่คุณพยาบาลตรวจสอบแล้วว่าพี่ดี้พูดไทยได้
คุณพยาบาลเลยส่งความเอ็นดู ฝรั่งพูดไทยได้ด้วยประโยคไทยอีกนับสิบประโยค
ซึ่งพี่ดี้บอกว่า เค้าพูดอะไรไม่รู้ ด้วยภาษาไทย เป็นประโยคยาวๆ
พี่ดี้ถึงกับงงเป็นฝรั่งตาแตก
ดิฉันจึงต้องออกไปถามและปรับความเข้าใจกับคุณพยาบาลว่า
จริงๆ แล้วอีตาฝรั่งคนนี้ พูดไทยได้แค่ “พูดไทยได้นิดหน่อยครับ” เท่านั้นเอง

คืนนั้น ดิฉันเองเหนื่อย แต่แทบไม่ได้นอน
เพราะการเฝ้าคนป่วยที่มีสายน้ำเกลือระโยงรยางค์ เราต้องคอยดูแล
ถือสายน้ำเกลือ พาเค้าไปห้องน้ำ ยิ่งพี่ดี้ท้องเสียด้วยแล้ว
ลุกเดินเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่นตลอดทั้งคืน

สงสารเค้าเหมือนกันนะคะที่ไม่ได้นอน ในทางกลับกันพี่ดี้เองก็สงสารดิฉัน
บอกให้ดิฉันนอนพักสักหน่อย และด้วยความเหนื่อย
ดิฉันจึงแอบงีบไปหน่อยหนึ่ง แต่ตกใจตื่นแทบไม่ทัน
ตอนคุณสามีเค้ากำลังหาทางต่อสายน้ำเกลือที่หลุดออกจากกันเป็นสองท่อน
มีน้ำเกลือในขวดที่เคยต่อเข้าเส้นเลือดหกกระจายนองเต็มพื้น
วุ่นวาย เปียกแฉะกันไปหมด กว่าจะเรียบร้อยดิฉันต้องกดปุ่มเรียกนางพยาบาลมาช่วย

การนอนบนเตียงโรงพยาบาล ถึงแม้เป็นห้องเดี่ยว
แต่ไหนเลยจะเท่าเตียงนอนที่บ้าน พี่ดี้ไม่ชินก็ต้องพลิกไปมาเป็นธรรมดา
สายน้ำเกลือก็เลยหลุดกระจายอย่างที่เห็น
จะนอนสักหน่อยก็เลยไม่ได้นอนเลยทั้งคุณสามีและคุณภรรยา

ชีวิตคนป่วยในโรงพยาบาลไม่ค่อยมีอะไรทำเลยนะคะ
ตอนเช้ายังไม่ทันตื่นดี ประมาณ ตีห้า ครึ่ง น้องพยาบาลฝึกหัดก็มาปลุกคนป่วย
ให้ตื่นเช็ดตัวทำความสะอาด 7 โมงเช้าก็ยกอาหารเช้ามาให้
คุณหมอก็จะมาเยี่ยมตอนเวลาอาหารเช้า หรือหลังจากรัปประทานอาหารเช้าเสร็จ
จากนั้นก็ให้คนป่วยนอนพักสักหน่อย ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันเวลาประมาณเที่ยง
ทานเสร็จก็นอนพักรอเวลาสำหรับอาหารเย็นตอน 6 โมง
แค่นี้เอง ชีวิตเป็นวงจรกิน-นอนมาก ขนาดพี่ดี้อยู่มาแค่สองคืน
บ่นอยากจะกลับบ้านอยู่ทุกวัน
สงสารก็แต่วิชาชีพ แพทย์และพยาบาลนี่แหละค่ะ
ต้องอยู่เวรกันเกือบทุกวันนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย
หมุนวงจรชีวิตอยู่อย่างนี้..ขอนับถือความอดทนและพยายามของวิชาชีพนี้จริงๆ เลยค่ะ

ระหว่างวันแรกที่ป่วย..เวลาที่พี่ดี้หลับเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับดิฉัน
ในการออกมาเดินเล่น ขยับแข้งขา อยู่ในบริเวณโรงพยาบาล
แต่ก็ต้องมาชะงักที่ป้ายในลิฟโดยสาร เดี๋ยวนี้ทันสมัยกันไปหมดแล้ว
ทำอะไรแต่ละอย่างต้องมีเป็น package
เมื่อก่อนดิฉันเห็นมาแต่ package แต่งงาน หรือ package ล้างรถ
ตอนนี้โรงพยาบาลก็มีเหมือนกันนะคะ เป็น package การตรวจสุขภาพ
เลือกได้เป็น package A , B หรือว่า C
ซึ่ง package A จะเหมาะสำหรับบุคคลธรรมดา
package B เหมาะสำหรับการเตรียมพร้อมมีบุตร
ส่วนสุดท้าย package C เหมาะกับพวก Golden Age หรือพวกรุ่นวัยทอง

เอ้อ! แนวคิดดีเหมือนกันเนอะ ทำให้ย้อนนึกอีกโรงพยาบาลหนึ่ง
ซึ่งดิฉันเคยเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งจะคลอดลูก
ที่นั่นมี package สำหรับคุณแม่มือใหม่
คือเริ่มตั้งแต่ ฝากท้อง ทำคลอด และพักผ่อนหลังคลอด
เลือกราคาได้ทุกระดับ สุดยอดจริงๆ คนเราคิดค้นกันได้ทุกวงการ..

วันที่สองผ่านไปดิฉันก็ยังอยู่เฝ้าคุณสามีผู้น่าสงสาร
ก็ไปไหนไม่ได้สิคะ เพราะคุณพยาบาลและคุณหมอพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง
จริงๆ แล้วดิฉันคิดว่า แกคงพูดได้ แต่ไม่กล้าจะพูดมากกว่า
คือถ้าเหตุการณ์บังคับแบบไม่มีคนไทยมาด้วย
แกคงต้องพูด อันนี้ก็เป็นอีกปัญหาที่สำคัญสำหรับคนไทย คือความไม่กล้านี่แหละค่ะ
ที่ทำให้พูดกันไม่คล่องสักที คนเรามันต้องกล้าค่ะ
ผิดถูกเค้าไม่ว่าเราหรอก พูดไปเถอะ
เหมือนกันกับเวลาที่ฝึกให้คุณสามีพูดไทย
ดิฉันก็จะหัดให้เค้าพูดเอง ถ้ารู้ว่าคำไหนเค้ารู้แล้ว
ก็จะกระตุ้นให้เค้าพูด ไม่พูดให้ เพราะถ้าเค้ารู้ว่าเราช่วยเค้าตลอดเวลาเค้าจะไม่ยอมพูดเอง
มันต้องลองค่ะ ผิดเป็นครู ภาษาเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
ถ้าไม่ฝึกก็อาจจะหายวับไปกับตาได้

ตลอดเวลาในการใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้
ได้รับการบริการที่ดีตลอด ต้องการอะไรขอคุณพยาบาลได้เสมอ
คุณพยาบาลเองก็ชอบคุณฝรั่ง คงดูน่ารักดีเข้ามาทีไรก็ยิ้ม
คอยสอบถามว่าอาการเป็นไงบ้าง (แต่ถามกับดิฉันนะคะ)
โดยเฉพาะวันที่คุณหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้
คุณพยาบาลถามกันใหญ่เลยว่า อ้าว จะไปแล้วเหรอ
ถามกันแบบเสียดาย ยังไม่อยากให้ไปทำนองนั้น โบกมือ บ๊าย บายกันใหญ่
ตอนที่เราสองคนเดินออกจากห้องพัก
คุณสามีเลยทิ้งท้ายว่า “We will come back again, when we have our first son”
คุณพยาบาลหัวเราะชอบใจกันใหญ่ ดิฉันได้แต่ยิ้มรับด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
อยากกลับไปนอนที่บ้านเต็มที่แล้ว

เมื่อกลับถึงที่พัก พี่ดี้ก็เข้ามากอดและบอกกับดิฉันว่า
“Thank you for taking care of me” (ขอบคุณที่อยู่ดูแลผม)
ดิฉันตอบกลับไปว่า “คุณจำได้ไหมวันที่เราแต่งงานกัน
เราเอ่ยคำสัญญากันว่าอย่างไร...ภาพ และคำสัญญานั้น ดิฉันยังยึดมั่นตลอดมาไม่เคยลืม”

“I offer you my solemn vow
to be your faithful partner in sickness and in health,
in good times and in bad.
I will cherish you for as long as we both shall live”

(ฉันให้คำสัญญากับคุณว่าจะซื่อสัตย์
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความเจ็บป่วย หรือช่วงเวลาปกติสุข,
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาดีๆ หรือช่วงเวลาที่ยากเย็นเพียงใด
ฉันจะร่วมสุขทุกข์ทะนุถนอมคุณตราบจนชีวิตนี้จะจบสิ้นลง)

ดิฉันเอง รู้มาบ้างว่า พิธีการแต่งงานของชาวคริสต์นั้นเป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด
ถึงแม้ดิฉันจะดำเนินชีวิตโดยยึดหลักธรรมของพุทธศาสนา
แต่ดิฉันก็ตั้งมั่น และรักษาคำสัญญาที่เคยให้แก่กันไว้ในงานแต่งงานแบบคริสต์ในวันนั้น

ในชีวิตคู่หากเรามีเวลาแห่งความสุขด้วยกันเพียงอย่างเดียว
โดยไม่เคยแม้แต่จะมีช่วงเวลาทุกข์ยากเลยสักครั้งหนึ่ง
เราจะไม่เคยรู้เลยว่าเรารัก คู่ร่วมชีวิตของเรามากน้อยเพียงใด...

วันนี้ดิฉันได้รู้ว่า ดิฉัน รักและห่วงใยเค้ามากเพียงใด...
เคยแอบร้องไห้ทุกครั้งที่เห็นเค้าเจ็บหรือป่วยไข้..
นี่แหละคือบทพิสูจน์เบื้องต้นของความรู้สึกที่มีต่อพี่ดี้
สามีฝรั่งของดิฉัน







Create Date : 18 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 31 มกราคม 2550 23:43:36 น. 5 comments
Counter : 294 Pageviews.

 
เขียนได้สนุกน่าติดตามมากเลยจ้าอาร์ม
เราว่าการท้องเสียเป็นอะไรที่ทรมานน่าดูเหมือนกันเนอะ
นอนก็ไม่ได้นอน ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยๆ


โดย: เจ้าหญิงซาลาเปา-เจ้าชายโรซ่า วันที่: 18 พฤศจิกายน 2549 เวลา:20:21:17 น.  

 
ใช่จริงๆ ทรมานจริงๆ ค่ะ คุณเจ้าหญิง
ปวดท้องแล้วรู้สึกเพลียด้วย


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 20 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:42:06 น.  

 
ฮือๆๆ ซึ้งกินใจมากๆ
อาการท้องเสียเนี่ยเราชอบนะ เหนื่อยดี แหะๆโรคจิตป่าวเนี่ย


โดย: ไอ เลิฟ การ์ฟิลด์ (I love Garfield ) วันที่: 23 พฤศจิกายน 2549 เวลา:16:45:40 น.  

 
นั่นแน้ เข้ามาแล้ว คุณ ไอเลิฟ การ์ฟิลด์
รีบๆ สร้าง blog ต่อไปนะจ๊ะ จะได้มาเป็นสมาชิกเพื่อนบ้านกัน
แล้วเวลาไปเมืองนอก จะได้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันจ้า
ขอบคุณที่แวะมาเนอะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 26 พฤศจิกายน 2549 เวลา:9:14:52 น.  

 
ซึ้งจังพี่อาร์มเพิ่งเคยตามอ่านเป็นเรื่องเป็นราวก็คราวนี้แหละคะ


โดย: Nongtip วันที่: 31 สิงหาคม 2550 เวลา:22:04:58 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.