มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

สิ้นปีงบประมาณ2554 ลองสรุปดูแล้วพบว่า ใช้เงินเกินงบไปมากมาย

พอดีเมื่อวานเห็นเพื่อนขึ้นหัวเอ็มว่า ขึ้นปีงบประมาณใหม่ ผมก็เลยลองสรุปรายรับรายจ่ายของตัวเองดูเล่นๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง นั่งคิดไปคิดมาแล้วก็ตกใจ เพราะปีนี้ทั้งปีผมใช้เงินเกินงบประมาณไปมากมาย เรียกได้ว่าปีนี้ทั้งปีผมไม่มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นเลย หรือจะพูดว่ามีเท่าไหร่ใช้หมดเรียบก็ว่าได้

มาลองคิดๆ ดูว่า ซื้ออะไรไปบ้าง ก็จึงรู้ว่า ผมใช้เงินไปมากมาย ที่หนักๆ เลยก็กีตาร์ไฟฟ้า สองหมื่นกว่า แว่นสองอันหมื่นกว่า ที่นอนแปดพัน ทีวีแปดพัน เครื่องดูดฝุ่นสี่พันห้า ไมโครเวฟสองพัน ฮาร์ดดิสก์สามพัน รวมคร่าวๆ ทั้งหมดนี่ก็หกหมื่นกว่าเข้าไปแล้วมั้ง

ก็ได้แต่ให้เหตุผลไปว่า หลายอย่างมันจำเป็นต้องใช้ แต่อย่างกีตาร์ไฟฟ้านี่ไม่จำเป็น แต่มันเป็นความฝันสมัยเด็ก มันไม่ผิดใช่ไหมที่เราจะไล่ตามความฝันของตัวเอง ( ฟังดูดีมีเหตุผล ) แต่บางอย่างก็ต้องยอมรับว่าผมใช้เงินอย่างไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องแว่น แต่ก็มีเหตุผลแก้ตัวว่า ก็ตอนนั้นมันเครียดไม่มีใครให้ปรึกษา ก็เลยใช้เงินแก้ปัญหา ถึงแม้จะแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ( ปัญหาคือตัดแว่นมาแล้วก็ไม่ใส่ เวรกรรม )

วางแผนไว้ว่าในปีงบประมาณหน้านี้จะไม่ใช้เงินเกินงบอีก เพราะอะไรที่อยากได้ปีนี้ก็ซื้อไปหมดแล้ว เท่ากับว่าผมต้องใช้เวลาเก็บเงินเพิ่มขึ้น อีกหนึ่งปีจากที่ตั้งเป้าไว้ ก็ไม่เป็นไรไม่รีบ ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ( จำคำนี้มาจากเพื่อนคนนึง ) ถึงเงินเก็บไม่เพิ่มแต่หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาก็ลดลง ถ้าคิดในแง่บวกก็พูดได้ว่าถึงไม่รวยขึ้นแต่หนี้ลดลงก็ถือว่าใช้ได้แล้วละ




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2554   
Last Update : 4 ตุลาคม 2554 9:44:56 น.   
Counter : 887 Pageviews.  

ครั้งแรกในการใส่คอนแทคเลนส์

ได้แว่นมาใส่แค่ไม่กี่วันก็มีปัญหาซะแล้วคือ ภาพมันชัดเกินไป รับไม่ได้ ประมาณว่าตัวอยู่กรุงเทพแต่มองเห็นชัดไปยันเชียงใหม่ มันชัดเกินความจำเป็น ก็เลยลองซื้อคอนแทคเลนส์มาใส่โดยลดค่าสายตาลงมาจาก -1.00 เหลือ -0.75 เพราะอยากให้มันลดความชัดลงมาหน่อย จะได้สบายตา ว่าแต่เกิดมาไม่เคยใส่คอนแทคเลนส์เลยสักครั้ง มันจึงเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นพอควร

เริ่มตั้งแต่ตอนไปซื้อ ไม่รู้จะบอกว่ายังไงเพราะไม่รู้เสป็คลูกตาของตัวเองว่ามีเสป็คเป็นยังไง เท่าที่รู้มา มันจะมีค่าความโค้งของลูกตาที่เขาเรียกว่า base curve หรือค่า B.C. ที่ถ้าไม่พอดีใส่แล้วจะหลวมหรือแน่นเกินไป แต่เนื่องจากไม่เคยวัดก็เลยตามใจคนขายหยิบค่าเท่าไหร่มาก็เอาเท่านั้น คนขายหยิบ ยี่ห้อ maxim รุ่น XC60 ค่า B.C. 8.5 ขนาด 14.2 ม.ม. มาให้ ซึ่งต้องลองใส่ดูถึงจะรู้ว่าเข้ากับตาผมไหม แต่อย่างน้อยก็ได้ค่าสายตาตามต้องการคือ -0.75 ที่เหลือก็คือลองใส่

การใส่คอนแทคเลนส์ครั้งแรก มันไม่ง่าย มันทั้งน่าโมโหและน่าหวาดเสียวไปพร้อมๆ กัน เปิดกล่องมาดูอ้าวคู่มือก็ไม่มี ไอ้เราก็ไม่เคยใส่ และก็ไม่ได้ถามคนขายว่าใส่ยังไง ก็เดาเอาว่าก็แค่เอาไปแปะที่ลูกตาก็น่าจะได้ แต่มันไม่ง่ายขนาดขนาดนั้น เพราะพอเอาเลนส์ไปใกล้ตาปุ๊บ ตาก็หลับปั๊บ (เวรกรรม) ก็เลยต้องใช้นิ้วถ่างตาไว้ คราวนี้จิ้มปุ๊บคอนแทคเลนส์มันพับกลับด้านมาติดนิ้วแทน (เวรกรรม อีกรอบ) และด้วยความไม่รู้ว่ามันใส่กลับด้านไม่ได้ ก็เลยใส่ใหม่ทั้งๆที่มันกลับด้าน

ใส่ตาขวาเสร็จก็ถึงคราวตาซ้าย ใช้เวลาพอควรเพราะมันเล็งยาก มันอยู่ด้านซ้ายไม่ถนัด แต่ใส่แล้วจึงรู้ว่าข้างขวาใส่ผิดเพราะข้างซ้ายใส่แล้วไม่ระคายเคืองเท่าข้างขวา ก็เลยต้องถอดข้างขวาใส่ใหม่ ( ว่าแต่เขาถอดยังไงหว่า )

ผมก็ค่อยๆ เขี่ยมันมาที่หางตา พอจะหยิบตาเกิดกระพริบขึ้นมา คอนแทคเลนส์ก็กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม ( เพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามันกลับเข้าที่เองได้ ) ผมก็เลยต้องค่อยๆ เขี่ยมันอีกหลายรอบ สุดท้ายก็เอาออกมาได้ รู้สึกว่าถอดง่ายกว่าใส่เยอะเลย แต่มันก็ยากอยู่ดี เพราะตามันไม่ไว้ใจมือ มือเข้าใกล้ปุ๊บ ตาหลับปั้บ คงต้องค่อยๆ ฝึกกันไป

ลองเอาคอนแทคเลนส์ มาเพ่งพิจารณาก็พบว่า ถ้าเรากลับคอนแทนเลนส์ไปด้านหนึ่ง ขอบจะบานเหมือนระฆัง ส่วนถ้ากลับไปอีกด้านมันจะโค้งปกติ ก็เดาว่าฝั่งนี้น่าจะเป็นฝั่งที่ถูกเพราะ เวลาใส่เข้าไปแล้วขอบของคอนแทคเลนส์ก็จะไม่บานออกมาขูดกับเปลือกตา ก็บรรจงใส่เข้าไปใหม่คราวนี้เข้าที่ดี ไม่ระคายเคืองตาอีกต่อไป

พอใส่เสร็จแล้วลองไปมองแผ่นทดสอบสายตาที่ผมติดไว้ที่ประตูห้อง ก็เห็นชัดเจนดี อาจไม่คมเท่าแว่นแต่ก็ชัดเจนภาพไม่เบลอ มองไปรอบๆห้องก็เห็นทุกอย่างชัดเจนเหมือนตอนตายังไม่สั้น เรียกว่าเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ออกไปมองวิวที่ระเบียงก็มองเห็นไฟตามตึกต่างๆ ชัดเจนไม่เบลอไม่ซ้อน ชัดพอๆ กับแว่นเลย แต่ถ้ามองไปไกลสุดขอบฟ้าโน้น จะเห็นไฟของทางด่วนหรือสะพานอะไรสักอย่าง เป็นสองดวงซ้อนกัน ไม่คมชัดเท่าตอนใส่แว่น แต่ผมพอใจแบบนี้มากกว่า เพราะส่วนใหญ่ผมก็มองแต่อะไรใกล้ๆตัว ไม่ได้มองไกลขนาดนั้นทั้งวันซะหน่อย

วันรุ่งขึ้นก็เลยตัดสินใจไปตัดแว่นใหม่ เปลี่ยนร้านเป็นหอแว่นที่เดอะมอลล์บางแค ที่นี่ก็วัดได้ -1.00 อยู่ดีแสดงว่าแว่นถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ไม่ถูกใจผมก็แค่นั้น ก็เลยบอกคนวัดสายตาว่ามีแว่น -1.00 แล้วแต่ใส่แล้วมันชัดเกินไป เขาก็เลยแนะนำเป็น -0.75 ซึ่งก็ตรงตามที่ผมต้องการพอดี แต่ไหนๆมาแล้วก็เลยขอลอง -0.50 ดูว่ามันจะเป็นยังไง ก็ใส่ได้นะใส่แล้วมองอะไรก็ชัดเจนดี แต่ก็เชื่อคนวัดสายตาที่บอกว่าเอา -0.75 จะดีกว่าเพราะ -0.50 มันน้อยเกินไป ก็เห็นดีด้วยตามนั้น แต่เนื่องจากเป็นกรอบแบบเจาะก็เลยเลือกเลนส์เหนียว รุ่น Excelite TVX ของ TOG วัสดุที่ทำเป็น Trivex ซึ่งเหมาะกับการใส่กรอบเจาะ ราคาประมาณ 2,000 ก็จัดไปตามนั้น ใช้เวลาสั่งเลนส์และประกอบประมาณ 3 วัน

คิดเอาไว้ว่าไหนๆ ก็ซื้อคอนแทคเลนส์มาแล้วก็จะใส่สลับกับแว่นไปสักเดือน ถ้าถูกใจแว่นใหม่ค่อยเลิกใส่คอนแทคเลนส์ ถ้าไม่ถูกใจก็ใส่คอนแทคเลนส์ต่อไปเรื่อยๆ ได้ไม่มีปัญหา




 

Create Date : 27 กันยายน 2554   
Last Update : 27 กันยายน 2554 17:30:07 น.   
Counter : 4571 Pageviews.  

สวมแว่น วันแรกในชีวิต

หลังจากรอมาห้าวัน ในที่สุดแว่นก็เสร็จ ไปรับแว่นปุ๊บก็สวมเดินออกมาเลย มองไปทางไหนก็ชัดเจนดี มีการบิดเบือนของภาพบ้างพอควร ถ้าสังเกตุจะพบว่าเวลามองอะไรที่เป็นสี่เหลี่ยมเช่น โทรทัศน์ จะเห็นว่าจอภาพไม่ได้สัดส่วนคือ ด้านซ้ายจะเล็กกว่าด้านขวาเล็กน้อย คงเป็นเพราะว่าเลนส์ที่ใส่ตาซ้ายกับตาขวาไม่เท่ากัน คือมีการแก้เอียงที่ด้านขวาด้านเดียว แต่คิดเอาเองว่าพอชินกับแว่นแล้วน่าจะหายไปเอง

สวมแว่นเดินขึ้นๆลงๆไปตามทางฟุตบาท ก็ไม่มีปัญหาอะไร เดินเร็วได้อย่างที่เคยเดิน มองป้ายร้านต่างๆ ก็เห็นชัดเจนดี ป้ายที่เคยมองไม่เห็นก็มองเห็นได้ รู้สึกโลกกว้างขึ้นออกไปอีกพอควร ก็ไม่รู้ว่าใช่เลนส์ AIRWEAR ที่สั่งไปหรือเปล่าเพราะดูไม่เป็น แต่รู้สึกว่ามองเห็นไฟตามห้างร้านต่างๆ ชัดเจนและมีสีสันสดใสดี

ออกไปมองวิวที่ระเบียงห้องพัก ก็เห็นวิวที่แปลกตาออกไป จากที่เคยเห็นดวงไฟต่างๆ ไม่ชัดเจน ก็เห็นชัดเจนมองไปได้ไกลลิบ เห็นไฟทางด่วนหรือสะพานอะไรสักอย่าง อยู่ลิบๆ ที่ขอบฟ้าโน้น ป้ายที่เคยอ่านไม่ออกก็อ่านออก สรุปว่าสวมแว่นแล้วเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้นถนัดตา

ที่นี้เรื่องความรำคาญ ที่หนักใจไว้แต่แรก เอาเข้าจริงก็ไม่รำคาญเท่าไหร่ จะมีก็เวลาจะจับหูจับตาแล้วมือไปโดนแว่นนั่นแหละ ที่นี้พอเป็นรอยนิ้วมือแล้วก็รู้สึกกังวลว่าเช็ดแล้วจะเป็นรอยไหม เพราะไม่รู้ว่าเคลือบแข็งป้องกันรอยขีดข่วนแบบ Crizal มาจริงๆ หรือเปล่า ก็ไม่มีทางรู้อีกนั่นแหละ ระวังไว้ก่อนดีที่สุด

พยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนเดิม และพยายามไม่เขินเวลาคนมอง บอกตัวเองว่าสวมแว่นแล้วก็คงไม่ดูแก่ไปกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่ ไม่อยากดูแก่ก็ไปย้อมผมซะได้ไม่ดูแก่มากเกินไป หรือไม่ก็คิดซะว่า จะสวมหรือไม่สวมแว่นก็ไม่มีใครสนใจเราอยู่แล้ว จะไปแคร์ใครทำไม แต่บอกตัวเองยังไงๆ ก็เขินอยู่ดี แถมบางคนยังโรคจิตมาแซวอีกเวรกรรมจริงๆ




 

Create Date : 23 กันยายน 2554   
Last Update : 23 กันยายน 2554 15:11:42 น.   
Counter : 797 Pageviews.  

ประสบการณ์ในการตัดแว่น

เคยสายตาสั้นชั่วคราวมา สองสามครั้ง คราวนี้สั้นจริง เอียงจริง ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สตั้นแมน ก็เลยต้องยอมใส่แว่นสายตา มันไม่ไหวจริงๆ มองอะไรมันเบลอซ้อนๆ งงๆ ไม่ชัดเจน เอาง่ายๆ หนัง Full-HD ชัดแค่ไหนก็ไม่มีค่าอะไร ผมก็มองว่ามันไม่คมชัดอยู่ดี ตั้งงบไว้ว่าไม่น่าเกินหมื่น เอาเข้าจริงเกินไปนิดนึง ไม่ว่ากัน

สมัยเรียนใครๆ ก็เรียกผมว่าเด็กเรียน ทรงผม การแต่งตัวถูกระเบียบ เสื้ออยู่ในกางเกงตลอด เอาเป็นว่าผมมีทุกอย่างที่เด็กเรียนในอุดมคติควรมี ยกเว้น แว่นสายตา อย่างเดียว ตอนนี้มีแว่นแล้ว แต่แก่เกินจะเป็นเด็กเรียน กลายเป็นลุงแว่นไปซะงั้น นี่ใครไม่รู้คงคิดว่าผมน่าจะสายตายาวตามอายุไปเสียนี่

ไม่ว่าผมเจอปัญหาอะไรที่พึ่งเดียวของผมก็คือ Google คราวนี้ก็เช่นเดียวกันพอรู้ตัวว่าต้องตัดแว่นใส่ผมก็เริ่มค้นข้อมูลทันที สำหรับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแว่นมาก่อนเลย อ่านเรื่องนี้คงพอจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง

อย่างแรกเลยคนสายตาสั้น ต้องใส่เลนส์เว้า อันนี้เรียนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ต่อมาเลนส์เดี๋ยวนี้ทำจากพลาสติกนะครับไม่ใช่กระจก เพราะกระจกมันหนัก อันนี้ความรู้ใหม่ ส่วนเลนส์ดีไม่ดีต่างกันอย่างไร อันนี้ต้องว่ากันยาว แต่ผมสรุปง่ายๆเอาเลยว่าเลนส์ที่ดีต้องน้ำหนักเบา มีดัชนีการหักเหแสงสูงๆ แข็งแรงทนทาน ไม่เป็นรอยง่ายๆ เปื้อนแล้วเช็ดง่าย ส่วนยี่ห้ออะไรนั้น อันนี้ตอบไม่ยากเพราะบ้านเรามีเลนส์ให้เลือกไม่มากที่นิยมกัน น่าจะมีอยู่แค่ HOYA กับ ESSILOR แค่นั้นมั้ง ส่วน NIKON เองก็น่าจะผลิตจากโรงงาน ESSILOR เดาจากการดูเว็บ //www.essilor.co.th/products-and-brands.html

แต่ละยี่ห้ออาจเรียกชื่อต่างกันไปบ้าง แต่ก็ใช้เทคโนโลยีคล้ายกัน เช่น การเคลือบเลนส์ HOYA เรียกว่า VP ส่วน ESSILOR เรียกว่า Crizal ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดีกว่ากัน เลือกเอาตามใจชอบแล้วกัน ส่วนผมเลือก Crizal เพราะชื่อมันเท่ห์ดี ( เป็นไงเหตุผลน่าเชื่อถือไหม ) นั่นเท่ากับว่าผมต้องเลือกยี่ห้อ ESSILOR ไปโดยปริยาย

ยังไม่จบเพราะพลาสติกที่ใช้ทำเลนส์นั้นมันมีหลายชนิดของ ESSILLOR เองก็มีหลายชนิดให้เลือกแต่ผมเลือกรุ่นที่ชื่อว่า AIRWARE รุ่นนี้ทำจาก โพลีคาร์บอเนต ( มั้ง ) ข้อดีคือ เบา แข็งแรง กันรังสี UV ได้ ดูรายละเอียดตามเว็บนี้ //www.essilor.co.th/products-and-brands/airwear.html

จบเรื่องเลนส์ไป ต่อมาเรื่องใหญ่คือเรื่องกรอบแว่น ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่เชื่อไหมว่ากรอบแว่นมันเป็นอะไรที่ยุบยิบหนักว่าเลนส์ซะอีก อย่างแรกเลยคือ เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่า กรอบแว่นแบบไหนเหมาะกับหน้าเรา ในเว็บส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไว้คล้ายๆ กันว่า หน้าเหลี่ยมแว่นเหลี่ยม หน้ากลมแว่นกลม หน้ารูปไข่ใส่อะไรก็ได้ ( ว่าแต่หน้าตูเขาเรียกว่าหน้าแบบไหน ) เดาว่าหน้ารูปไข่แล้วกัน จะได้ใส่อะไรก็ได้

หมดปัญหาเรื่องลักษณะของกรอบไปแล้ว ว่าอะไรก็ได้ ที่นี้ยี่ห้ออะไรล่ะ ค้นในเว็บแล้วมึนตึบ เพราะปรากฎว่ากรอบแว่นดันมีสารพัดยี่ห้อ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเอาเป็นว่า

*** ในโลกนี้มีเสื้อผ้า กระเป๋า รถยนต์ ยี่ห้ออะไรบ้าง ทุกยี่ห้อมีกรอบแว่นยี่ห้อนั้น ***

นี่ยังไม่รวมยี่ห้อที่ทำแว่นโดยตรงอีกนะ เอาเป็นว่าผมหมดปัญญาจะเลือกไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นเหตุผลในการตัดสินใจ ไปดูด้วยตาที่ร้านแว่นเลยก็แล้วกันจบเรื่องไป

คิดว่าจะจบเรื่องกรอบแว่นเหรอ ยังครับยังไม่จบ ตอนนี้ผมไม่ระบุรูปทรง ไม่ระบุยี่ห้อ แต่วัสดุล่ะควรเลือกยังไง พลาสติก คาร์บอน ทอง ไททาเนียม ไม้ และอื่นๆ อีกมากมาย ไอ้เราก็ไม่เชื่ยวเรื่องนี้ แต่เท่าที่ค้นข้อมูลดูพบว่า ไททาเนียม น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเบากว่าเหล็ก แข็งว่าอลูมิเนียม และคนส่วนใหญ่ไม่แพ้ไททาเนียม จึงมักจะได้ยินว่ามีการฝังหมุดไททาเนียมเพื่อต่อกระดูกกันบ่อยๆ ก็ไม่ต้องคิดมากไททาเนียมนี่แหละดีที่สุดแล้ว

สรุปว่าตอนนี้ผมก็ได้เสป็คแว่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ เลนส์ ยี่ห้อ ESSILOR รุ่น AIRWARE เคลือบ Crizal กับกรอบแว่นอะไรก็ได้ที่เป็นไททาเนียม ต่อมาก็เลือกร้าน แถวบ้านมีร้านแว่นครบทั้งหมด ตั้งแต่ร้านหัวมุมถนน ท็อปเจริญ บิวตี้ฟูล กรุงไทยการแว่น ผมก็ไม่รู้จะเข้าร้านไหนเหมือนกัน เอาเป็นว่าเอาร้านที่ใกล้ที่สุด น่าเชื่อถือที่สุดแล้วกัน เพราะว่าเวลาเขาทำแว่นมาให้เราแล้วนี่เราไม่มีทางรู้ว่าเขาใช้เลนส์ยี่ห้อไหน ใช่ที่เราเลือกหรือเปล่า ความน่าเชื่อถือจึงต้องมาอันดับต้นๆ เลยสำหรับผม (ไปเดากันเองว่าผมเลือกร้านไหน)

ที่นี้มาเรื่องการวัดสายตา ผมก็ค้นข้อมูลอีกนั้นแหละ ว่ามีขั้นตอนโน้น นี่ นั่น เชื่อไหมพอเอาเข้าจริง ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดมีขั้นตอนเดียวคือ การทดลองมองผ่านเลนส์ขนาดต่างๆ ด้วยตาเราเอง เครื่องจะว่าอย่างไรไม่สำคัญถ้าเรามองเห็นไม่ชัด เราก็ใช้เลนส์ค่านั้นๆ ไม่ได้อยู่ดี ตรงนี้ต้องให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะความคมชัด ความสบายตาขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้ ไม่ต้องรีบ คิดซะว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงามก็แล้วกัน

พอได้เสป็คของค่าสายตาเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาต้องเลือกกรอบแว่น นี่เป็นขั้นตอนที่ผมอึดอัดใจที่สุด แต่ทำไงได้ มันต้องเลือกสักอันไม่งั้นแว่นจะเป็นแว่นได้ยังไง คือถ้าเป็นคนที่รู้จักแต่งตัวคงไม่ลำบากอะไรเท่าไหร่ แต่ผมมันพวกมีอะไรก็ใส่ไม่เคยใส่ใจอะไร ก็เลยปล่อยให้พนักงานหามาให้ลอง

อันแรกเป็นกรอบแบบเต็ม แต่ตรงบานพับมีการดัดงอๆ บอกไม่ถูกดูแล้วไม่ชอบ แถมสีก็แปลกๆ ไม่ชอบอีก ก็เลยบอกว่าเอาสีดำๆ ดีกว่าครับ

ที่นี้ได้สีดำมาอย่างที่ต้องการ แต่ตรงบานพับก็อุตส่าห์มีโลโก้แมนยูอีก ก็เลยว่าว่า เอาแบบไม่มีโลโก้อะไรแปลกๆ ดีกว่าครับ พนักงานบอกว่ามันจะดูเรียบๆ นะคะ ดีครับ เอาแบบดูเรียบๆ นั่นแหละครับ

ที่นี้ได้มาสมความปราถนา คือ สีดำ เรียบๆ ไม่มีโลโก้อะไร ทรงออกเหลี่ยมๆ ครึ่งกรอบ คือข้างล่างไม่มีกรอบมีเอ็นใสๆ คล้องอยู่แทน ดูราคาแล้วจะเป็นลม ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้จัก แต่เดาว่าน่าจะเป็นยี่ห้อเสื้อผ้านั่นแหละ แต่แอบเห็นสกรีนไว้ว่า ไททาเนียม ก็ลองถามดูว่าตัวนี้ทำจากอะไร คนขายบอกไททาเนียม ก็พอใจในระดับนึง ลองใส่แล้วดูในกระจก ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ( คนหน้าตาไม่หล่อใส่อะไรก็ไม่หล่อ กรรม...) ก็ตรงลงใจว่าเอาอันนี้แหละขี้เกียจเลือก

ตอนนี้มีโปรซื้อหนึ่งแถมหนึ่งค่ะ ไม่แปลกใจเพราะเห็นป้ายหน้าร้านตั้งแต่ตอนเดินเข้ามาแล้ว ด้วยความขี้เกียจก็เลยว่าก็เอาเหมือนกันนี่ก็ได้ คนขายบอกว่าที่ร้านมีกรอบแว่นไม่ซ้ำกันเลยสักอัน สรุปว่าต้องเลือกอีกอัน เวรกรรมเลือกอันเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว

คนขายก็เดินไปหาอันที่คล้ายๆ กันมาให้ดู แต่ก็อย่างที่เคยบอกไว้ว่ามันมีสารพัดยี่ห้อ คุ้นตาบ้าง ไม่คุ้นตาบ้าง บางอันที่เขาเอามาให้ดู ก็สวยดีแต่ดูราคา โอ้ยจะเป็นลม แพงว่าอันเดิมเกือบเท่าตัว แต่ยี่ห้อดังย่อมแพงเป็นธรรมดา แต่ไม่เอาดีกว่า ไม่รู้ว่าจะเอายี่้ห้อดังไปทำไม นี่ถ้ามันมีกรอบไททาเนียมที่ถูกกว่านี้คงจะดี เดินจนรอบร้านก็หากรอบอันที่สองไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนโจทย์ใหม่ว่างั้น ไม่ต้องเหมือนเดิมก็ได้ครับ

อันแรกมากรอบทองเลย อีกอันกรอบเต็มหนาๆ อีกอันสีโลหะบอกไม่ถูก อันสุดท้ายไม่มีกรอบ ดูบอบบางพอควร แต่ก็สวยดี ยี่ห้อจระเข้ อย่างน้อยตรงขาก็สีดำ ดูเรียบร้อยดี ก็เลยหยิบเอามาลอง คนขายก็เลยไปเอาแบบเดียวกันมาอีกอัน แต่ตรงเลนส์เล็กลงมาอีกหน่อย ลองเทียบกันแล้ว ก็ตัดใจเอาอันแรกเพราะขนาดเท่ากับ กรอบที่เลือกไว้ตอนแรก

สรุปคือ ผมเลือกกรอบแว่นได้มั่วมากเลย ไม่มีหลักวิชาการอะไรทั้งนั้น แค่ชอบสีดำ กับไม่ชอบลวดลาย ไม่ชอบหนาๆ อย่างเดียวก็ยึดเป็นหลักคือ วัสดุต้องเป็นไททาเนียม จะว่าไปแล้วผมก็ไม่รู้ว่ามันไททาเนียม 100 เปอร์เซ็นต์หรือผสม คิดซะว่ามันคือไททาเนียมแล้วก็แล้วกันไป

เสร็จเรื่องกรอบแว่น ก็มาถึงเลนส์ อันนี้ง่ายเพราะทำการบ้านมาแล้ว ก็เลยบอกไปว่าจะใส่เลนส์ ESSILOR รุ่น AIRWARE คนขายก็เปิดแคตตาล็อกดู แล้วก็บอกว่าผมต้องใช้ช่องที่ 2 นี้เพราะมีสายตาเอียงด้วย ว่าไงว่าตามกันเรากำหนดราคาเองไม่ได้นิ ลดราคาเลนส์ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วก็แพงอยู่ดี แต่คิดซะว่าจ่ายแพงแล้วได้ของดี ดีกว่าจ่ายเงินแล้วได้ของไม่ดีมา

จบเรื่องไป สำหรับการตัดแว่นครั้งแรกในชีวิต ผมมาคิดดูถ้าต้องจ่ายสักแสนเพื่อให้ดวงตากลับมาดีเหมือนเดิม ผมก็ยอม แต่ทุกอย่างย่อมเสื่อมสลายไป เป็นธรรมดา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ที่ทำได้ก็คือทะนุทะนอมสิ่งที่ยังมีอยู่ให้เสื่อมสลายช้าที่สุด ก็คงทำใด้แค่นั้นมั้ง

จบครับ...




 

Create Date : 18 กันยายน 2554   
Last Update : 18 กันยายน 2554 14:41:31 น.   
Counter : 5658 Pageviews.  

ถึงจะเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่ก็เป็นภูมิแพ้อยู่ดี



เมื่อวานซืน ผมก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ซะหน่อยแต่ตื่นเช้ามาก็พบว่ามีผื่นแดงๆ เล็กบ้าางใหญ่บ้างกระจายอยู่ตามแขน ลำตัว และใบหน้า คิดอยู่สองอย่างคือ อาจเป็นโรคผิวหนังอะไร สักอย่างกับเป็นอีสุกอีใส เพราะยังไม่เคยเป็น ก็เลยทาคาราไมแก้คันไปก่อน

มาถึงทีทำงาน เพื่อนที่ทำงานบอกว่ามันคือภูมิแพ้ให้กินยาแก้แพ้เข้าไป 1 เม็ด ชื่อยา Cetirizine ก็เหมือนจะได้ผลไม่มีผื่นใหม่ๆ ขึ้นแต่ผื่นเก่าก็ยังไม่หายไป จนตอนเย็นรู้สึกเริ่มคันและเหมือนจะมีผื่นใหม่ขึ้นมา ก็เลยไปซื้อยาแก้แพ้มากิน แต่ได้ยาอะไรมาก็ไม่อาจทราบชื่อได้ เม็ดขาวๆ ยาวๆ เล็กๆ

เมื่อวานตื่นเช้ามาอาการเลวร้ายลงอย่างมาก ตามรูปด้านบน คือแขนเป็นผื่นแดง เกือบทั้งแขน แต่แปลกใจที่ไม่ค่อยคัน ดูแล้วน่าจะคันเพราะแดงน่ากลัวมาก ก็เลยตัดสินใจไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดสะดวกที่สุด เพราะโรงพยาบาลตามสิทธิอยู่รังสิตโน้น ไปกลับก็หมดวันพอดี อาจตายกลางทางก่อนถึงโรงพยาบาลก็เป็นไปได้

เสียเงินไป 1059 บาท ฉีดยามา 1 เข็ม ได้ยามากิน 3 ชนิด และยาทาแก้คันอีก 2 ขวด อาการค่อยๆ ทุเลาลงตามลำดับ แต่ที่คาใจที่สุดคือ สรุปแล้วผมแพ้อะไร หมอพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น เท่าที่จำได้พูดประมาณนี้

มีอาการอย่างไรบ้าง ->>> ผมก็ถกแขนเสื้อให้ดู
ที่ตัวเป็นผื่นไหม ->>> มีครับ
งั้นถอดเสื้อเลย ->>> ผมก็ถอดเสื้อ
อืม ลายสวยเลย ->>> อยากมีบ้างไหมล่ะ ( อันนี้...ผมคิดในใจ )
คันไหม ->>> เวลามีเหงื่อออกถึงจะคันครับ
เป็นมานานหรือยัง ->>> สองวันครับ ตอนแรกเป็นจุดเล็กๆ ที่แขน บลา บลา บลา......ผมร่ายยาว
แพ้อาหาร ->>> ก่อนวันที่จะเป็นผมกินยำมาม่าเข้าไปครับ
ไม่เกี่ยวกับอาหารเมื้อสุดท้าย ->>> ผมเงียบแล้วรอฟังว่าหมอจะอธิบายอะไรต่อไหม แต่ก็ไม่มี
เดี๋ยวรอฉีดยาด้านนอก เดี๋ยวสั่งยาให้ไป ถ้าไม่หายเช้าวันอาทิตย์มาดูใหม่ ->>> นึกจะถามอะไรต่อ ไม่ถามดีกว่า แล้วก็เดินออกมา

ผมก็เลยไม่เข้าใจว่า สรุปแล้วผมแพ้อะไร ถ้าแพ้อาหาร อาหารที่ว่าคืออะไร เพราะผมก็กินอย่างที่เคยกินจากร้านที่เคยกินประจำ ก็เลยได้แต่สงสัยอะไรต่อมิอะไร อีกมากมาย รวมทั้งว่าปกติหมอควรจะอธิบายให้คนไข้เข้าใจ ถึงความเจ็บป่วยด้วยไม่ใช่เหรอ คนไข้จะได้สบายใจ หรือผมคิดผิด

หมออาจมองว่าเป็นแค่โรคเล็กๆน้อยๆ ไม่อันตรายอะไร ก็เลยคิดว่าไม่น่ากังวล แต่ในใจคนป่วยที่เขาเป็นโรคที่ไม่เคยเป็น ไม่เข้าใจถึงสาเหตุและผลที่จะตามมา มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

*** บางทีความเจ็บป่วยทางกายอาจไม่ทำให้เป็นทุกข์เท่ากับความทุกข์ใจก็เป็นได้นะครับ คุณ หมอ ***




 

Create Date : 16 กันยายน 2554   
Last Update : 16 กันยายน 2554 10:39:46 น.   
Counter : 7128 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]