มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

เราเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อโลกได้



เริ่มต้นด้วยเพลงเด็กอนุบาลเพื่อลดความตึงเครียด ผมเพิ่งเกิดปัญญาขึ้นมาเองว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก ปัญหาล้วนเกิดจากทัศนคติของเราทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ รอบตัวมันก็เป็นไปตามวิถึของมัน มันไม่ได้ทำให้เราเป็นทุกข์เป็นสุข เราเองนี่แหละที่ไปทุกข์กับมัน หรือบางทีก็อาจเป็นสุขกับมัน แล้วแต่ว่าเรามีทัศนคติต่อเรื่องนั้นอย่างไร

ผมเคยได้ยินนางงามคนหนึ่งพูดว่า เธอคิดบวก นั่นคือทัศนคติที่ถูกต้อง แต่ปัญหาก็คือเราแกล้งคิดบวกไม่ได้ มันต้องคิดบวกจริงๆ มันจึงจะได้ผล ซึ่งอาจต้องฝึกกันพอสมควร แต่คิดว่าการฝึกฝนนี้ คุ้มค่าและเกิดประโยชน์กับชีวิต อย่างแท้จริง

ในทางพุทธศาสนา สอนให้พิจารณา สิ่งต่างๆรอบตัว ในมุมมองที่ปราศจากอคติ เช่นเมื่อเห็นคนเดินผ่านมา ก็ให้รับรู้เพียงแต่ว่าคนเดินมา ไม่ต้องไปวิพากษ์ วิจารณ์ อะไรต่อไปให้จิตใจฟุ้งไป พูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องไปเจาะลึกเช่น แต่งตัวเป็นเด็กแว้นแบบนี้ไม่ชอบ หน้าตาเหมือนโจรไม่ชอบ เดินยกไหล่หน้ายึ่นแบบนี้ไม่ชอบ หรือ หน้าสวยแบบนี้ชอบ หุ่นดีแบบนี้ชอบ แต่งตัวแบบนี้ชอบ เพราะความสุข ความทุกข์ มันจะเกิดก็อีตอนชอบ กับไม่ชอบนี่แหละ ถ้าชอบก็เป็นสุข และถ้าไม่ชอบก็เป็นทุกข์ เห็นไหมว่ามันเกิดปัญหาตรงนี้นี่เอง

เราไปห้ามว่าคนหน้าตากวนๆ ห้ามเดินผ่านมาให้เราเห็นนะ ก็คงไม่ได้
เราจะไปบังคับให้คนหน้าตาน่ารัก เดินผ่านมาตลอดเวลา ก็คงไม่ได้
มันจะเป็นอย่างไรก็เพราะมันเป็นอย่างนั้น สิ่งที่เราทำได้คือปรับทัศนคติให้ถูกต้อง เราจะพ้นโลก อยู่เหนือความทุกข์ความสุข เกิดสันติอย่างแท้จริงได้




 

Create Date : 09 เมษายน 2553   
Last Update : 9 เมษายน 2553 9:48:58 น.   
Counter : 1226 Pageviews.  

หลังประกาศใช้พรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน

เมื่อวานตอนทานอาหารเย็นก็เจอข่าวว่า รัฐบาลประกาศใช้พรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน เรียบร้อยแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะคาดไว้แล้วว่าพอความรุนแรงมากขึ้นก็คงต้องประกาศใช้แน่ๆ

ที่นี้มาเดากันว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แน่นอนว่าเลิกพูดคำว่าสันติกันได้แล้ว ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจรัฐมีกฎหมายมีสื่อต่างๆเป็นเครื่องมือ อีกฝ่ายมีมวลชนกับความเชื่อและเงินทุนเป็นเครื่องมือ ผมเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มั่นใจในอำนาจของตัวเอง ซึ่งตรงนี้แหละปัญหาลองนึกดูว่า สมมุติมีแมวตัวนึงเดินไปเจอเสือตัวนึง ถามว่าแมวจะกล้าท้าทายอำนาจเสือหรือไม่ คำตอบคือไม่มีทาง นั่นเพราะอำนาจมันไม่เท่าเทียมกัน ตรงกันข้ามหากเปลี่ยนเป็นเสือเจอกับสิงโต กรณีนี้อาจมีการต่อสู้อาจเกิดขึ้นได้

การปลุกปั่นให้มวลชนเกลียดกัน เป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ถ้าใครไม่รู้ว่าว่าเลวร้ายอย่างไร ไปค้นข้อมูลเหตุการณ์ 16 ตุลาคม 2519 ดูจะพบว่าประชาชนทำร้ายประชาชนเพราะได้รับข้อมูลที่บิดเบือน คนเราธรรมดาจะไม่ใช้ความรุนแรงแบบนั้น ที่เป็นแบบนั้นเพราะเขาเชื่อว่าการกระทำของเขาถูกต้อง เขาเชื่อว่า เขาทำเพื่อสิ่งที่ดีงาม เขาเชื่อว่า เขากำลังทำลายสิ่งชั่วร้าย หารู้ไม่ว่าตัวเขาเองนั่นแหละกำลังทำสิ่งชั่วร้าย แต่ผู้ที่ชั่วร้ายจริงๆคือคนที่อยู่เบื้องหลังการบิดเบือน ผู้ที่บงการให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นต่างหาก

ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ผมมองว่ามันไม่แตกต่างกัน มีมวลชนสองกลุ่มที่เชื่อในข้อมูลที่บิดเบือนในทางตรงกันข้ามกัน และพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่าย แบบเดียวกับที่เคยทำกับนักศึกษาธรรมศาสตร์ในตอนนั้น หลักฐานความคิดนี้เห็นได้จากที่ กลุ่มคนเสื้อชมพูทำร้ายเสื้อแดงที่สวนลุมพินี

ทางออกที่ผมเห็นคือ ต้องมีคนกลางที่เชื่อถือได้ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้กับประชาชน ในสื่อที่ทุกฝ่ายทุกคนเเข้าถึงได้ ทั้งรัฐบาล และนปช อย่าพยายามบิดเบือนความจริง ต้องทำให้ข้อมูลต่างๆ ชัดเจน พูดง่ายเนอะ แต่ทำยาก เพราะธรรมชาติแล้วเรามักเข้าข้างตัวเอง เข้าข้างฝ่ายของตัวเองเสมอ และเป็นธรรมชาติอีกอย่างก็คือสื่อมักเข้าข้างผู้มีอำนาจ บางส่วนทำเพื่อผลประโยชน์ บางส่วนทำเพราะกลัวจะโดนกลั่นแกล้ง ส่วนสื่อออนไลน์ต่างๆ ถ้าเข้าข้างรัฐบาลก็อยู่ได้ ถ้าตรงกันข้ามก็โดนปิด(เวรกรรม)

เมื่อเช้าผมพยายามหาข่าว ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสถานการณ์ล่าสุด แต่กลับพบว่าเว็บที่อยู่ฝั่ง นปช. โดนปิดไปแล้วหลายเว็บไซด์ แล้วผมจะเปรียบเทียบข้อมูลจากสองฝ่ายได้ยังไง กลายเป็นว่า ผมจะได้รับข้อมูลฝ่ายเดียวแบบนี้จะเชื่อเถือได้อย่างไรกัน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า สิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลโดนปิดกั้นบิดเบือนโดยรัฐบาล

ผมจึงเลือกไม่เชื่อข้อมูลเหล่านั้นดีกว่า เพราะไม่อยากให้เหมือนกับกรณี

*** ละครแขวนคอ ***




 

Create Date : 08 เมษายน 2553   
Last Update : 8 เมษายน 2553 11:44:56 น.   
Counter : 829 Pageviews.  

แยกความจริงออกจากความเชื่อ แล้วความแตกแยกจะหมดไปได้

เมื่อวานไปตัดผมที่ร้านแถวๆ บ้านฟังคนตัดผมวิพากษ์วิจารณ์ข่าวการชุมนุมประท้วง แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ในเมื่อข้อมูลเข้ามาโดยการบิดเบือน ความคิดเห็นที่เกิดจากการับชมรับฟัง ก็จะผิดทิศผิดทางไปด้วย สังคมเรายังขาดสื่อมวลชนที่เป็นอิสระจากอำนาจรัฐและการเมือง ทำให้สังคมเราขาดข้อมูลที่สามารถใช้ตัดสินใจได้อย่างยุติธรรม

ทางเลือกหนึ่งซึ่งค่อนข้างเสรีกว่าช่องทางอื่นก็คือ *** อินเตอร์เนต *** แม้แต่ในประเทศคอมมิวนิสต์อย่างจีนเอง ก็ยังควบคุมอินเตอร์เนตได้ไม่สมบูรณ์ เห็นได้จากข่าวที่มีปัญหากับ google เชื่อเถอะว่าไม่มีอะไรปกปิดความจริงไว้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งความจริงต้องปรากฎออกมาในที่สุด เคยดูสารคดีเกี่ยวกับการทำสงครามคลูเสต ขนาดผ่านมา 800 กว่าปีแล้ว ยังสามารถสืบสวนหาข้อเท็จจริงได้เลย ฉะนั้นสรุปได้เลยว่า

*** ไม่มีทางปกปิดบิดเบือนความจริงได้ตลอดกาล ***

เมื่อหันกลับมามองไทยเรา และเมื่อเห็นใบไม้ไอซีที ก็อดคิดไม่ได้ว่า สิทธิเสรีภาพในการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดนปิดกั้นโดยอำนาจรัฐ เชื่อผมเถอะว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ มันเหมือนกับการท้าทาย การที่ไอซีทีบล็อคเว็บเหมือนเป็นการโปรโมทเว็บนั้นไปในตัว ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็นว่า เว็บที่ถูกบล็อคนั้นมีอะไร ทำไมต้องบล็อค และสุดท้ายก็หาทางเปิดดูเว็บนั้นได้อยู่ดี (วิธีการคุณคงรู้กันอยู่แล้ว)

ผมมีแนวคิดว่าประเทศเราควรมีองกรค์อิสระ ที่ทำงานเกี่ยวกับการให้ข้อมูลที่เป็นจริง ที่สามารถเชื่อถือได้ เพื่อเป็นการป้องกันการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ว่ากรณีใดทั้งสิ้น แต่เชื่อเถอะว่าองค์กรแบบนี้ไม่มีทางได้เกิด เพราะมันเป็นอุปสรรคในการทำงานของนักการเมือง การปกครอง แต่ถ้ามีได้เกิดได้ มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับสังคมไทย มันจะทำให้ความข้ดแย้งต่างๆ ลดลงเพราะเมื่อเอาความจริงมาพูดกันโดยมองข้ามความเชื่อเสีย ต่างฝ่ายก็จะยอมรับไปเอง ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดตอนที่มีการเจรจาของรัฐบาล กับ นปช มีการยกเรื่องคลิปเสียง / เรื่องเมษาเลือด มาพูดกัน ถ้ามีองค์กรที่ผมว่านี้มาทำหน้าที่ตีแผ่ความจริง เรื่องนี้จะจบจะไม่มีใครเอาไปพูดไปใช้อ้างได้อีก แต่ขอย้ำว่า

*** องกรค์นี้ต้องเป็นอิสระอย่างแท้จริง ***

ถ้าผู้ชุมนุม ได้รับข้อมูลที่เป็นจริง ความรุนแรงจะไม่เกิด

ถ้าประชาชน ได้รับข้อมูลที่เป็นจริง จะเข้าใจสถานการณ์และตัดสินใจได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ การยุบสภา

ถ้าทุกคน ได้รับข้อมูลที่เป็นจริง ความสุขสงบของสังคมไทยจะกลับคืนมา และประชาธิปไตยของเราจึงจะพัฒนาต่อไปได้

จบซะงั้น




 

Create Date : 05 เมษายน 2553   
Last Update : 5 เมษายน 2553 10:09:43 น.   
Counter : 686 Pageviews.  

กำเนิดการเมือง การปกครอง ตามแนวคิดของผมเอง

สมมุติว่าโลกนี้มีคนอยู่ 10 คน ประกอบด้วยผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 5 คน แน่นอนว่าถ้าไม่คิดมากเกินไป จะสามารถจับเป็นคู่ได้ 5 คู่ นั่นเท่ากับว่ามี 5 ครอบครัวเกิดขึ้นมาด้วย

ในเบื้องต้นทุกคน มีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจหรือทำตัวเป็นผู้นำ แต่หลังจากที่จับคู่กันแล้ว ในแต่ละครอบครัวก็จะมีผู้นำและผู้ตามเกิดขึ้น บางครอบครัวฝ่ายสามีเป็นผู้นำ ในตรงกันข้ามบางครอบครัวฝ่ายหญิงเป็นผู้นำ ขึ้นอยู่กับว่าใครเก่งกว่าใคร

ที่นี้การออกล่าเหยื่อตัวใหญ่ๆ การต่อสู้กับสัตว์ร้าย ไม่สามารถทำได้โดยเพียงแค่ 2 คนผัวเมียได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัวอื่นด้วย วิธีการในการเลือกที่จะร่วมมือกับใครหรือไม่ร่วมมือกับใครนั้น อาศัยหลักง่ายๆ ที่ว่าเข้ากับกลุ่มไหนแล้วได้ผลประโยชน์สูงสุด ก็เลือกเข้ากับกลุ่มนั้น (ทุกวันนี้คนเราก็ยังใช้วิธีเดียวกันนี้แหละ)

ผมกำหนดเอาเองว่า มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกนิยมล่าช้าง อีกกลุ่มนิยมล่าวัว กลุ่มแรกมีสมาชิก 3 ครอบครัว แน่นอนว่าอีกกลุ่มมีแค่ 2 ครอบครัว ต่างกลุ่มก็แยกย้ายกันไปออกล่าสัตว์ที่กลุ่มตนชื่นชอบ ปรากฎว่ากลุ่มที่ล่าช้างนั้นนานๆ จึงจะล่าสำเร็จสักครั้งเพราะช้างแข็งแรง แต่ถ้าล่าได้ครั้งนึงก็จะได้เนื้อจำนวนมาก ส่วนกลุ่มที่ล่าวัวนั้นล่าได้บ่อยครั้งกว่า แต่ได้เนื้อน้อยกว่า

ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ปรากฎว่ากลุ่มที่ล่าช้างนั้นประสบเหตุร้าย มีสมาชิกโดนช้างทำร้ายถึงตาย ทำให้การล่ายิ่งยากและอันตรายขึ้น สมาชิกในกลุ่มก็เริ่มเกิดความแตกแยก เมื่อเห็นว่ากลุ่มที่ล่าวัวประสบความสำเร็จมากกว่า ทำให้เกิดความคิดแยกเป็นสองฝ่ายคือหนึ่ง เปลี่ยนไปล่าวัว หรือไม่ก็ยุบไปรวมกับกลุ่มล่าวัวมันซะเลย แต่ด้วยเหตุที่ว่าในกลุ่มนั้นไม่มีผู้นำ จึงไม่มีใครตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ปัญหาจึงเกิดขึ้น

อย่าลืมว่า ในกลุ่มแรกนั้นประกอบไปด้วย 3 ครอบครัวแต่มีสมาชิกเสียชีวิตไปบ้างทำให้เหลือแค่ 2 ครอบครัว ที่นี้ถ้าทั้ง 2 ครอบครัวคิดตรงกันก็ดีไป ถ้าคิดต่างกันก็จะเกิดปัญหา เพราะถ้าครอบครัวหนึ่งย้ายไปรวมกับอีกกลุ่ม ครอบครัวที่เหลือก็จะล่าสัตว์ไม่ได้ ต้องจำใจยอมย้ายไปด้วย ทางออกคือ ครอบครัวที่ไม่อยากยุบรวมกลุ่ม ยื่นข้อเสนอว่าจะแบ่งเนื้อจากการล่าวัว ให้กับอีกครอบครัวหนึ่งมากกว่าคือจะให้ 2/3 ส่วนขณะที่ตนจะรับแค่ 1/3 ส่วน เจอเงื่อนไขแบบนี้ก็ทำให้อีกครอบครัวยอมอยู่ต่อ

ทั้งสองกลุ่มต่างล่าวัวกันไป จนมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาจากลูกหลานของแต่ละครอบครัว แต่ครอบครัวที่ได้รับส่วนแบ่ง 1/3 มีสมาชิกเพิ่มมากกว่า และเริ่มมีอำนาจการต่อรองมากขึ้น สุดท้ายก็บังคับให้มีการแบ่งเนื้อให้กับทุกคนเท่าๆ กัน นั่นหมายถึงว่าครอบครัวที่มีสมาชิกมากคนกว่า ก็ได้เนื้อมากไปด้วย(เริ่มได้เปรียบ) ยิ่งเวลาผ่านไป การที่ได้รับเนื้อมาก ก็ทำให้ครอบครัวนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งขึ้น สุดท้ายก็มีสมาชิกมากพอจะล่าช้างได้เพียงลำพังครอบครัวเดียว อีกครอบครัวก็เลยต้องล่าวัวเพียงลำพังแต่ครอบครัวเดียว ไม่ช้าจึงขอไปรวมกับอีกกลุ่ม เพื่อความอยู่รอด แต่การเข้ากลุ่มนั้นไม่ง่ายเสียแล้ว พวกเขากลายเป็นชนชั้นที่สองในสังคมขึ้นมาทันที สิทธิ์ที่เคยมีก็ไม่มี แต่ก็ต้องยอมไม่งั้นก็อดตาย พวกนี้จึงถูกกดขี่โดยครอบครัวที่อยู่มาก่อน กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นในกลุ่มก็มุ่งรักษาประโยชน์ ของคนในกลุ่มเดิมและริดรอนผลประโยชน์ของชนชั้นสอง

ผ่านไปหลายพันปี ชนชั้นที่สองเริ่มมีจำนวนสมาชิกมากกว่า จึงเริ่มมีการแข็งข้อ และพยายามเรียกร้องความเท่าเทียม แน่นอนว่าเมื่อมีกำลังมากกว่าก็ย่อมได้เปรียบ ผลประโยชน์จึงถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมกันในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่นานกลุ่มปฏิวัตินี้ก็รู้ว่า ฝ่ายตนสามารถได้ผลประโยชน์มากกว่านี้ได้ โดยการเบียดเบียนเอาจากฝ่ายเดิม และเช่นเคยพวกมากกว่าย่อมได้เปรียบและมักจะชนะเสมอ

จบแบบงงๆ ผมหวังว่าคงพอมองเห็นภาพว่าผมต้องการสื่ออะไร ที่ผมต้องการสื่อก็คือว่า

1. อำนาจเป็นของคนที่กำลังคน กำลังอาวุธ มากกว่าเสมอ
2. ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ย่อมตกแก่ผู้มีอำนาจเสมอ
3. อำนาจสามารถเปลี่ยนข้างได้เสมอ
4. กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สร้างโดยผู้มีอำนาจก็ย่อมเป็นไปเพื่อผู้มีอำนาจเสมอ
5. ความยุติธรรมไม่เคยมีและจะไม่มีวันมีได้เลย ตราบที่ยังมีผู้มีอำนาจเหนือคนอื่น

สรุป ไม่มีระบอบการเมืองการปกครองใด ที่สามารถให้เสรีภาพและความเป็นธรรมอย่างแท้จริงได้ ตราบใดที่จิตใจของคนเรา ยังไม่ถูกยกระดับขึ้นไปจนพ้นกิเลสอันเป็นเหตุแห่งความเสื่อม




 

Create Date : 03 เมษายน 2553   
Last Update : 3 เมษายน 2553 15:30:48 น.   
Counter : 823 Pageviews.  

ทำงาน 8 ปี 4 เดือน 6 วัน ได้อะไรบ้าง

ผมเริ่มงานกับบริษัทนี้มา ตั้งแต่ วันที่ 22 เดือน ตุลาคม ปี 2544 จำได้ว่าได้รับเงินเดือนงวดแรกพันกว่าบาท เพราะคิดค่าแรงแค่ 9 วัน ตอนนั้นผมแทบไม่มีเงินเลย ตอนเข้ากรุงเทพมีเงินติดตัวมาไม่กี่พัน มาม่ากับขนมปังจึงเป็นอาหารหลัก จะพูดว่าเริ่มจากไม่มีอะไรก็น่าจะได้ แต่ถ้านับหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษาอีก แสนกว่าๆ ก็เท่ากับเริ่มจากติดลบ

ตอนนั้นเงินเดือนคนที่จบปริญญาอยู่ที่ประมาณ 7000 (ข้าราชการให้ 6450) ผมก็เริ่มจากจุดนั้น เรียกว่าถ้าไม่วางแผนให้ดีก็แทบไม่พอใช้เลยทีเดียว เพราะเนื่องจากผมไม่มีเพื่อนจึงไม่มีใครช่วยแชร์ค่าเช่าบ้าน จึงต้องจ่ายคนเดียว แถมยังต้องส่งเงินให้แม่อีก เพราะว่าผมเป็นคนเดียวในบ้านที่มีเงินเดือน เหลือใช้เองประมาณ 4000 เงินเก็บไม่ต้องพูดถึงไม่มีให้เก็บแน่นอน

หลังผ่านไป 3 เดือนผมก็ผ่านโปร ได้รับการเงินเดือนเพิ่มขึ้นเป็น 9000 ผมก็เลยเพิ่มเงินที่ส่งให้แม่เพิ่มมากขึ้น และเริ่มมีเงินเก็บประมาณเดือนละ 1000 บาท แต่ด้วยเหตุที่ผมเข้ามาตัวเปล่าไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ ก็เลยต้องซื้อโน่นซื้อนี่ ทำให้เก็บเงินไม่ได้เท่าที่ตั้งใจ (จำได้ว่ามาซื้อไม้แขวนเสื้อก็ช่วงนี้ ก่อนหน้านั้นเอาลวดมาดัดใช้เป็นไม้แขวนเสื้อ)

เนื่องจากบริษัทไม่มีนโยบายเกี่ยวกับความก้าวหน้าของพนักงาน จึงทำให้การปรับเงินเดือนเป็นไปอย่างเชื่องช้า และไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าที่ควร แถมตำแหน่งที่ผมทำถูกมองว่า ไม่ใช่พนักงานขายจึงไม่ได้คอมมิสชั่น ไม่ใช่ช่างจึงไม่ได้เปอร์เซ็นต์ และไม่ใช่พนักงานธุรการจึงไม่ได้โบนัส (สรุปแล้วตูอยู่แผนกไหนกันแน่) แม้แต่การจะลาก็ไม่รู้ว่าจะให้ใครเซ็นต์ สุดท้ายก็เลยไม่ลามันเสียเลย นั่นเป็นจุดเริ่มของการทำงานแบบไม่ขาด ไม่ลา ไม่สาย

ผ่านไปประมาณ 4-5 ปี ก็จึงมีความเปลี่ยนแปลง ผู้จัดการสาขาคนเก่าออกไป คนใหม่เข้ามา จากที่อยู่แบบไร้ตัวตน ไร้แผนก ก็มีคนมองเห็นความสามารถ และมีโอกาสได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าสงสารหรือเห็นคุณค่า จากนั้นไม่นานก็ได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นมาเป็น 12000 ทำให้สามารถส่งเงินให้เม่ได้มากขึ้น และมีเงินเก็บมากขึ้นมาตามลำดับ

จนในทีสุดก็ย้ายเข้ามาทำงานสำนักงานใหญ่ และได้รับการปรับเงินเดือนอีกครั้งเป็น 15000 และได้รับโบนัสเป็นครั้งแรก ถึงจุดนี้ผมก็เพิ่มเงินที่สุดให้แม่เป็น เดือนละ 5000 ซึ่งคิดว่าเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าเงินเก็บเริ่มมากขึ้น ไม่นานนักเงินในบัญชีก็ขึ้นถึงหลักแสนจนได้

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการปรับเงินเดือนเป็นพิเศษอีกเลย จะมีการปรับบ้างก็ไม่มากมาย เป็นการปรับตามปกติ แต่สองสามปีทีผ่านมาก็ไม่มีการปรับอีกเลย ส่วนโบนัสหลังจากงดมาสองสามปี ปีนี้ก็ได้มาตามปกติ แน่นอนว่าเงินเก็บเพิ่มขึ้นตามลำดับ

ตามแผนที่วางไว้คือ ผมจะเก็บเงินให้ใด้สัก้อนก่อนจะกลับไป ใช้ชีวิตอย่างสงบที่ต่างจังหวัด ผมตั้งใจไว้ว่าภายใน สี่ถึงหกปีนี้จะสามารถเก็บเงินได้ครบตามต้องการ แน่นอนว่าผมไม่ได้หวังว่าจะต้องรวย ผมอยากจนด้วยซ้ำ อยากจนอย่างมีความสุขสงบ มีคุณภาพชีวิตที่ดี อารมณ์แจ่มใจ มีอิสระในการใช้ชีวิต

เมื่อรวมยอดงเงินฝากที่มีในบัญชีต่างๆ แล้ว ตอนนี้ผมก็เก็บเงินได้ หกสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่ต้องการแล้ว




 

Create Date : 02 เมษายน 2553   
Last Update : 2 เมษายน 2553 10:48:06 น.   
Counter : 806 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]