มีสุข มีทุกข์ อะไรก็จะเขียนไว้ที่นี่

นับถอยหลังอีก 7 วันจะไปภูกระดึง

      บังเอิญเกิดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างขึ้นมาว่า ก่อนตายขอเที่ยวให้ทั่วประเทศไทย ส่วนนึงคงเพราะทริปที่พาแม่ไปภูเก็ต กระบี่ พังงา คราวที่แล้ว กับความรู้สึกอยากทำอะไรแก้เซ็ง หรือไม่ก็อาจเป็นวิกฤตวัยกลางคน อะไรก็ช่าง สรุปว่าจะไปภูกระดึง เร็วๆนี้

       ตอนแรกวางแผนจะไปคนเดียว ก็แน่ละไม่รู้จะชวนใครนี่ แต่ดันไปเล่าให้พี่สาวฟัง พี่ก็เลยจะไปด้วย ตอนแรกก็คิดว่าดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อนคุย แต่ตอนนี้เริ่มมีปัญหาเพราะว่า พี่ขึ้นรถทัวร์มากรุงเทพเองไม่ได้  (เวรกรรม)  บอกให้ขึ้นรถ สิงห์บุรี-กรุงเทพ ป.1 มาลงที่หมดชิต2  ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะยังไงรถก็ต้องมาจอดที่หมอชิต2 ไม่มีทางหลงไปไหนแน่ๆ  แต่แม่ก็เป็นห่วงอีก บอกว่าพี่ไม่เคยเดินทางคนเดียว กลัวนี่ โน้น นั่น ไปสารพัด (เวรกรรม  อีกรอบ) ถึง ณ ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี อาจไม่พาพี่สาวไปด้วย (หลายคนบอกว่า  ใจร้ายมาก)  หรือไม่ก็อาจต้องให้ขึ้นรถตู้มาแล้วผมต้องไปคอยรับที่อนุสาวรีย์ นั่นเท่ากับว่าผมต้องลางาน (เซ็ง)  และตอนขากลับผมก็ต้องลางานไปส่งอีกรอบ (เซ็ง อีกรอบ)  ผมไม่ค่อยคุ้นกับการต้องดูแลใครเอาซะเลย คราวหน้าจะไปไหนจะแอบไปคนเดียวไม่บอกใครแล้ว

       นอกจา่กพี่สาวแล้ว ก็มีเพื่อนที่ทำงานไปด้วยอีกคน ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะผู้ชายไม่เรื่องมากเหมือนผู้หญิง แต่เนื่องจากแผนการเดินเที่ยว 3 วัน 2 คืน บนภูกระดึงค่อนข้างหนัก ก็เลยต้องเตรียมตัวพอสมควร ผมซ้อมเดิน ขึ้นลงบันไดที่แมนชั่นมาสักพักแล้ว วันแรกที่เดินอยู่ครึ่งชั่วโมง  ปวดขามากมาย งอขาแทบไม่ได้ แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นตามลำดับ ล่าสุดเดินขึ้น 2480 ขั้น เดินลง 2480 ขั้น ใช้เวลาไป 56 นาที โดยไม่เหนื่อยเท่าไหร่ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าร่างกายผมน่าจะพร้อมสำหรับทริปนี้แล้ว

      เรื่องการเตรียมของใช้ ก็ขาดอีกนิดหน่อย  ยังขาดพวก ไฟฉาย แบตเตอรี่สำรองสำหรับมือถือ  กางเกงขายาวอีกสักตัว ( ผมมียีนต์อยู่ตัวเดียวเอง )  สารพัดยาที่จำเป็น ก็น่าจะแค่นั้น (มั้ง)

      ดูพยากรณ์อากาศแล้ว อากาศไม่ค่อยหนาวแล้ว อาจเจอฝนด้วยซ้ำไป ซึ่งถ้ามีฝนก็มีตัวทากดูดเลือดตามมาแน่นอน นึกแล้วสยอง  ถ้าฝนตกก็เป็นว่าไม่ต้องนอนเพราะรู้มาว่าเต็นท์กันฝนไม่ได้ งานนี้ก็คงต้องวัดดวงกันละ

      เรื่องการเดินทางและที่พัก จองตั๋วรถทัวร์ออนไลน์ ของภูกระดึงทัวร์ (หรือไง นี่แหละ) จ่ายเงินที่ 7-eleven  จองเต็นท์ออนไลน์ ที่หน้าเว็บกรมอุทยานฯ จ่ายเงินที่ธนาคารกรุงไทย  เดี๋ยวนี้อะไรๆ ก็ออนไลน์ไปหมด ชอบจริงๆ เลย :-)

       เดี๋ยวกลับมาแล้วจะมาบันทึกไว้อีกที คอยติดตามไ้ด้เลย







 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2556   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2556 9:59:34 น.   
Counter : 939 Pageviews.  

ใจคน...ก็แค่ปฏิกริยาทางเคมี

     ก่อนอื่นก็ต้องสวัสดีปีใหม่ 2556  หวังว่าทุกท่านจะมีความสุข สนุกสนานกับการเฉลิมฉลอง ดื่มเหล้าเมายากันไปตามประสาคนโง่ ( ปากเสียแต่ต้นปีเลย ) บางท่านอาจสนุกกับการเที่ยว เมืองไทยเรามีที่เที่ยวเยอะแยะ เที่ยวกันทุกปีตั้งแต่เกิดจนแก่ บางทีก็อาจจะไปไม่ทั่วทุกที่ เสียงบ่นที่แว่วมาเข้าหูคือ แย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว ร้านอาหารตามแหล่งท่องเที่ยวหลายร้าน ขายดีขนาดหุงข้าวสุกไม่ทันคนกินเลยก็มี ก็ว่ากันไป

     ที่จั่วหัวเรื่องไว้แบบนี้ ก็เกิดคิดขึ้นมาแว่บนึงว่า จะว่าไปแล้วความสุข ความทุกข์ ความรัก ความเกลียด ความพอใจ ความไม่พอใจ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ มันไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่ปฏิกริยาทางเคมี อาจเกี่ยวไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กบ้าง แต่รวมๆ แล้วมันก็เกิดขึ้นแว่บนึง แล้วก็หายไปเหมือนแสงของฟ้าแลบ แล้วทำไมต้องไปยึดติด จริงจังอะไรกับมันขนาดนั้นด้วย

     สิ่งที่ทำให้มันดูเป็นจริง เป็นจัง มันเกิดจากการที่มันเกิดซ้ำๆ จนทำให้เหมือนว่ามันคงที่อยู่ตลอดเวลา ที่จริงแล้วมัน เกิด-ดับ  เกิด-ดับ ...  อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วต่างหาก

     ยกตัวอย่างความรัก ( เข้าใจเลือกนะเรา ) สมมุติว่า เราเจอใครสักคนที่เห็นแว่่บแรก ก็รู้สึกว่าใช่เลย หลังจากได้คุย ยิ่งโอเข้าไปอีก เข้าไปนั่งใกล้ ได้กลิ่นน้ำหอม ก็ยิ่งคลั่งไคล้ เดินไปด้วยกันเผลอถูกเนื้อต้องตัว ก็หลงหัวปักหัวปัมไปเรียบร้อย 

     มาวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  

- แรกสุดภาพหน้าสวยๆ กระทบกับประสาทตา สมองเอาไปประมวลผลแล้วบอกว่า ใช่เลย คนนี้นางฟ้าชัดๆ  แล้วมันก็จบไปครั้งนึงก่อน 

- ต่อมาเมื่อได้คุยกัน ได้ยินเสียงหวาน ๆ พอเสียงกระทบประสาทหู สมองก็ประมวลผล แล้วบอกว่า เสียงหวานๆ แบบนี้ต่อให้ด่าเรา ก็ยังน่าฟัง  แล้วก็จบลงไปเป็นครั้งที่สอง

- ต่อมาเมื่อได้กลิ่นน้ำหอม กลิ่นก็จะกระทบประสาทรับกลิ่นที่จมูก สมองก็ประมวลผลอีก แล้วบอกว่า กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ (เหมือนโฆษณาแป้งอะไรสักอย่าง) แล้วก็จบเป็นครั้งที่สาม

- ต่อมาเมื่อสัมผัสถูกเนื้อต้องตัว  ประสามสัมผัสที่ผิวหนังก็ส่งข้อมูลให้สมองประมวลผลอีก สมองประมวลเสร็จก็บอกว่า กูไม่ไหวแล้ว แล้วก็จบเป็นครั้งที่สี่

     จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นไปตามที่บอกไว้คือ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ... ไปเรื่อยๆ แบบนี้ ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป มีเหตุให้เกิดขึ้นมา เมื่อหมดเหตุก็ดับไป  ที่นี้ปัญหาก็อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันเกิดแล้วต้องดับ เราก็จะไปเป็นทุกข์ว่าอยากให้มันเกิด แล้วก็ไปทุกข์อีกว่าไม่อยากให้มันดับ 

     ถามว่าที่จริงเราไปบังคับมันได้ไหม  เราจะไปบังคับว่า คุณคนสวยครับคุณช่วยอยู่นิ่ง ๆ ตรงนี้ให้ผมมองไปชั่วกาลอวสาน ได้ไหม ถ้าเกิดเขาใจดียอมยืนให้มองจริงๆ แล้วคุณก็มองแบบไม่ยอมกระพริบตา  แต่เวลาสมองทำงาน มันก็จะประมวลผลว่า หน้าสวยหนอ แล้วก็จบ   ตาโตหนอ แล้วก็จบ แก้มป่องหนอ แล้วก็จบ เข้ารูปแบบ เกิด-ดับ เกิด-ดับ ... อยู่ดี นั่นแหละ

      สรุป หากเอาหลักการนี้ไปใช้พิจารณา ทุกสิ่งในโลกนี้ ก็จะพบว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อมองเห็นความจริงแบบนี้เรา คนเราจะเป็นทุกข์น้อยลง ไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์ไปเลยนะ แต่ทุกข์น้อยลงเรื่อยๆ ตามระดับความเห็นแจ้งในความจริงนั้นๆ 

      คนเราจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อรู้ว่าทุกสิ่งมัน เกิด-ดับ เราก็หมั่นทำให้มันเกิดบ่อยๆ สิ เพราะความสุขมันเกิดตรงที่มันพอใจ นี่แหละ เช่น    ถ้ามองหน้าสาวคนไหน แล้วมีความสุขก็หมั่นมอง บ่อยๆ แบบนี้เป็นต้น  และถ้าวันนึง มีเหตุอันทำให้เธอต้องหายไปจากชีวิต ไม่มีหน้าสวยๆ ให้มองอีก ก็รู้ให้ชัดว่า เมื่อมันมีเกิดมันก็ย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา รู้ซะแบบนี้ก็เป็นทุกข์น้อยลง เศร้าหมองน้อยลง

     พูดนะง่าย  ผมคิดขึ้นมาเอง ผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็ค่อยๆ ฝึกกันไป มันต้องทำได้สักวันแหละน่า...จบ





 

Create Date : 02 มกราคม 2556   
Last Update : 2 มกราคม 2556 15:00:34 น.   
Counter : 1029 Pageviews.  

พาแม่ไปเที่ยวภูเก็ต กระบี่ พังงา


                  ก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ผมมีแผนจะพาแม่นั่งเครื่องบินไปเที่ยวภูเก็ต  เมื่อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ (16-18 พ.ย. 2555 ) ที่ผ่านมา  ผมก็พาแม่ไปตามแผน 

                  เริ่มจากวันที่ 15 เป็นวันเตรียมตัว เพราะผมไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน  กระเป๋าก็มีแต่ใบเล็กๆ จิ๊กมาจากพี่สาวตั้งแต่สมัยเข้ากรุงเทพใหม่ๆ  รองเท้าก็มีแต่หูไขว้  อยากได้รองเท้ายางแบบหุ้มส้น ก็เลยต้องซื้อใหม่  เอกสารที่ต้องใช้ก็มี Boarding Pass ที่พิมพ์มาจากออฟฟิต 2 ชุดกันชำรุดหรือสูญหาย  บัตรประชาชนก็ย้ำแม่แล้วห้ามลืม  ในเว็บบอกว่ามีแค่นี้ก็ขึ้นเครื่องได้เลย ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ เดี๋ยวไปถามเจ้าหน้าที่อีกทีแล้วกัน  แม่มาถึงประมาณ 11:00 น. ก็อย่างที่เตือนไปแล้วว่าอย่าซน ก็อดไม่ได้ ทำขนมครกให้ยาย แล้วไม่รู้ทำอีท่าไหน โดนน้ำมันลวกมือข้างขวา ตั้งแต่หัวแม่มือ ลงมาจนถึงข้อมือ ดูแล้วไม่เป็นอุปสรรคในการท่องเที่ยวก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ไม่ถามด้วย แม่เล่าให้ฟังเอง

                   วันที่ 16 ตื่นแต่มืด เพราะตื่นเต้นนอนไม่ค่อยหลับ ระแวงด้วยว่านาฬิกาจะไม่ปลุก เอาเข้าจริงตื่นกันก่อนนาฬิกาปลุกซะอีก  ออกจากห้องตั้งแต่ 06:00 น. เครื่องบินออก 10:50 น. เผื่อเวลาเอาไว้เยอะเลย เอาชัวร์ไว้ก่อน เพราะการทำอะไรที่ไม่เคยทำ มันย่อมต้องติดขัดเป็นธรรมดา

มาถึงสนามบินดอนเมือง ประมาณ 08:00 น. ก่อนอื่นก็เดินดูก่อนเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ดูว่าคนอื่นเขาทำกันยังไง  เห็นเขาเอากระเป๋าไปแสกน ก็ไปแสกนบ้าง มารู้ตอนหลังว่าเขาแสกนเฉพาะกระเป๋าที่จะโหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง  ถามเจ้าหน้าที่ตรงจุด Check in  เขาก็บอกอย่างที่เว็บบอกว่า ไปรอขึ้นเครื่องได้เลย  ก็เลยเดินไปยัง ผู้โดยสารขาออกในประเทศ จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจดูตั๋วเครื่องบิน (Boarding Pass)  ดูแล้วก็เข้าไปข้างในมีการแสกนอีกรอบ  คาดไว้ว่าจะยุ่งยาก แต่เปล่าเลย เขาแสกนผ่านไปอย่างเร็วเพราะคนเยอะ  เสร็จแล้วก็ไปนั่งรอเวลา  เครื่องผมอยู่ที่ช่อง 31  แต่เนื่องจากมาก่อนเวลาเยอะ ก็เลยต้องรออีก เกือบ 3 ชั่วโมง   ของกินก็มี 7-eleven อยู่ร้านนึง  ก็เลยไม่เดือนร้อนอะไร 

เนื่องจากจองที่นั่ง Hot seat เอาไว้ (A1, B1)  พอถึงเวลาเขาก็เลยเรียกขึ้นก่อน เดินขึ้นปุ๊บก็เลี้ยวขวานั่งแถวแรกเลย ผู้โดยสารค่อยๆ เดินขึ้นเครื่องมาเรืี่อยๆ ปรากฏว่าแถวๆ ที่ผมนั่งไม่มีคนไทยเลย มีแต่ฝรั่งกับแขก  ที่นั่งหมายเลข C1 ก็ไม่มีคนนั่ง พอเครื่องเริ่มบินขึ้น แม่ก็นั่งสวดอิติปิโส ชวนให้ดูวิวก็บอกว่าดูแล้วเวียนหัว พักใหญ่ๆ แม่จึงเลิกกลัว จึงมองดูวิวนอกหน้าต่าง ตอนใกล้ๆ เครื่องจะลงแม่มองวิวสบายใจเลย คงเลิกกลัวแล้ว

ไปถึงก็มีรถตู้มารับ ปรากฏว่า มีแค่เราสองแม่ลูก เท่านั้น คนขับพาไปจ่ายเงินส่วนที่เหลือที่ออฟฟิต แล้วก็พาไปแวะทานข้าว แล้วก็เที่ยวกันไปตามโปรแกรม แต่ไม่ครบตามโปรแกรมเพราะหมดเวลาซะก่อน ก็เลยกลับไปเช็คอินที่โรงแรม บ้านบัว รีสอร์ท ที่หาดป่าตอง ลงไปเดินที่หาดทราบพักนึงก็ไปเดินหาอะไรกินกัน  หาข้าวกินยาก แถวๆนั้นมีแค่ในห้าง  (อะไร จำชื่อไม่ได้ซะแล้ว) ชั้น 3 มีศูนย์อาหาร ราคาคนไทย ก็ลดลงมาจาก 150 เป็น 60 บาท ก็พอกินได้ไม่แพงจนเกินไป  ตอนจะกลับที่พักฝนตกลงมา หนักพอควร รอจนฝนเบาแล้วจึงเดินกลับที่พัก หมดไปวันนึง แบบเปียกๆ


                     วันที่ 17  มีโปรแกรมไปเกาะพีพี  รถจะมารับตอน 07:00 น. ลงมาทานอาหารเข้าตั้่งแต่ 06:30 น. รถมารับตรงเวลา แต่ไปเสียเวลาตอนไปรับที่โรงแรมอื่น นักท่องเที่ยวไม่ตรงเวลาก็เลย ต้องรอกันนาน  เรือออก 08:30 น. เรือใหญ่พอควรไม่โครงเครงแต่อย่างใด นิ่งเหมือนรถวิ่งบนถนน ดูแล้วไม่น่าเมาเรือ  ถึงเกาะพีพีดอน 10:00 น. ส่งคนลงไปโปรแกรมอื่น  แล้วไปกันต่อที่พีพีเลย์ เพื่อเล่นน้ำ แม่เปลี่ยนใจไม่ลงเล่นน้ำ แต่ผมลง เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ลองใช้สน็อกเกิ้ล ดูก็เข้าท่าดี มองเห็นชัดเจนหายใจได้ ถ้ามีเวลาเยอะ ๆ  กับพื้นที่กว้าง ๆ  ก็คงสนุกกว่านี้

เสร็จจากเล่นน้ำก็กลับไป เกาะพีพีดอน เพื่อทานอาหารกลางวัน อาหารอร่อยใช้ได้เลย วิวก็สวยนั่งชมวิวได้สบาย บ่ายๆ ก็เดินทางกลับเข้าฝั่ง  พอถึงฝั่งก็มีรถวิ่งมาส่งที่โรงแรม เหนื่อยพอควร ซื้อข้าวจาก family mart มากินกัน เพราะสะดวกดี


                  วันที่ 18     มีโปรแกรมเที่ยวพังงา  รถมารับสายไปเยอะ เพราะเหตุผลเดิม  ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า แขกไม่ค่อยตรงเวลา เท่าคนไทยหรือฝรั่ง ทำให้กว่าจะรับคนได้ครบก็เสียเวลาไปมากมาย    จุดแรกแวะไหว้พระที่วัดสุวรรณคูหา  ถ่ายรูปลิง ถ่ายรูปพระนอน  เสียอย่างคือเหม็นขี้ลิง ก่อนขึ้นรถต้องเช็คเท้าให้ดีไม่งั้นเหม็นตลบอบอวลไปทั้งรถแน่   จากนั้นไปลงเรือหางยาว ชมป่าชายเลน ชมเกาะ เข้าถ้ำลอด แล้วก็ไปเขาตะปู เขาพิงกัน  สุดท้ายไปทานอาหารกลางวันที่เกาะปันหยี  แล้วก็กลับเข้าฝั่ง  พอถึงฝั่งรถก็วิ่งไปส่งสนามบิน แล้วก็บินกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ จบ....


เรื่องมันยาวและมีรายละเอียดมากกว่านี้   แต่พิมพ์ไม่ไหว เอาแบบย่อๆ แล้วกัน   แม่คงมีเรื่องไปเล่าให้คนอื่นฟังได้อีกนาน  แถมถ่ายรูปมาเพียบ แม่ใช้กล้องดิจิตอลของพี่สาว ผมใช้มือถือถ่าย คงเพลิดเพลินไปอีกนาน




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2555 17:35:34 น.   
Counter : 1664 Pageviews.  

เดือนพฤศจิกายน จะพาแม่ไปนั่งเครื่องบินเล่น

เย็นวันนึงสมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่ ผมก็นอนเปลญวนอยู่ใต้ถุนบ้านเหมือนทุกๆ วัน มีพ่อ แม่ แล้วก็พี่สาว จำไม่ได้แล้วว่าใครอยู่ตรงไหนบ้าง แต่พ่อนอนเปลญวนอยู่ติดกับผม เราคุยกันหลายเรื่อง แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ พ่อก็เล่าเรื่องตอนเที่ยวตาคลี (นครสวรรค์) พ่อเล่าว่าเคยเห็นเครื่องบิน ที่สนามบินตาคลี พ่อเล่าว่าตอนบินขึ้น หางจะยกขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยๆ บินขึ้น พูดแล้วก็ทำมือประกอบ ตอนนั้นผมก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะดูในโทรทัศน์ ผมก็เห็นว่าหัวเครื่องเชิดขึ้นก่อนทุกที เพิ่งมารู้ตอนเล่นเกมส์MFS ว่าเครื่องบินเก่าๆ ที่มีล้อที่ 3 อยู่ที่ปลายหาง อย่างเช่นรุ่น DC3 ตอนบินขึ้น หางจะยกขึ้นก่อนจริงๆ ตามที่พ่อเล่ามา

ผมบอกพ่อว่า สักวันถ้ามีเงินเดือนจะพาพ่อกับแม่ไปนั่งเครื่องบินเล่น ไปเชียงใหม่ก็ได้ แล้วขากลับค่อยขึ้นรถไฟกลับมา เพราะผมเคยได้ยินว่าตอนลอดผ่านถ้ำขุนตาล สวดนะโม 3 จบก็ยังลอดไม่พ้น

มันเป็นเหมือนความฝัน และคำสัญญาที่ผมให้กับพ่อไว้ และผมเองก็ตั้งใจจะทำให้ได้ แต่ก็ทำไม่ได้ ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็เกิน 10 ปีเข้าไปแล้ว พ่อจากไปหลายปีแล้วผมเองก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน

เมื่อตอนพาแม่ไปนั่งรถไฟเที่ยว เคยบอกแม่ว่าสักวันจะพาไปนั่งเครื่องบินเล่นบ้าง ไปภูเก็ตก็ได้ เพราะไม่เคยเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน เคยไปแต่ทางภาคตะวันออก แม่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ด้วยความไม่พร้อมทางการเงินและอีกหลายเหตุผล ทำให้ผมเกือบจะลืมไปแล้ว

เมื่อตอนกลับบ้านครั้งที่แล้ว อยู่ๆ แม่ก็เลยถามว่า ที่ว่าจะพาไปนั่งเครื่องบิน เมื่อไหร่จะพาไป ?

ผมใจหายวูบ เมื่อนึกถึงว่า ผมเคยรับปากพ่อ แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะพ่อเสียไปซะก่อน ก็เลยไม่อยากผิดคำพูดกับแม่อีก ขืนผมมัวรอเวลาต่อไปแม่อาจแก่จนเดินทางไม่ไหวก็เป็นได้ พอกลับมากรุงเทพ ก็เลยรีบขวนขวายจองตั๋งเครื่องบินแล้วก็ทัวร์ภูเก็ต 3 วัน 2 คืน ตั้งแต่เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา แล้วก็โทรไปบอกแม่ว่า ให้เตรียมตัวอีก 3 เดือนจะพาไปเที่ยวภูเก็ต ให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี อย่าซน เพราะขืนเจ็บป่วยช่วงนั้นพอดีก็อดไปเที่ยวกันพอดี

ถ้าคุณไม่เข้าใจคำว่า ซน ที่ผมพูด นั่นเพราะคนไม่รู้จักแม่ผมดีเท่าผม ถึงแม่ผมอายุมากแล้ว และก็มีเงินเดือนประจำที่ผมจ่ายให้ล่วงหน้าเป็นรายปี ซึ่งมั่นใจว่าพอใช้อย่างสบาย แต่แม่ก็ทำโน้นทำนี่ตลอด ไม่ยอมหยุดอยู่เฉยๆ อย่างที่ผมอยากให้เป็น ปลูกผักเอาไปขายบ้าง ไปทำงานโครงการฟื้นฟูบ้าบออะไรของรัฐบาลที่ให้วันละ 150 บาทบ้าง ฯลฯ ไม่รู้จะห้ามยังไงจริงๆเลย นี่แหละคือ ความซนของแม่ผม

ผมเลือกที่นั่งริมหน้าต่างให้ ตรงตำแหน่งที่คิดว่ามองเห็นวิวได้ชัดเจน เพราะนี่คือครั้งแรกที่แม่นั่งเครื่องบิน ส่วนผมเองเคยบินแล้ว ตอนไปอังกฤษ แม้จะไม่ได้นั่งข้างหน้าต่างก็ตาม ก็เลยอยากให้แม่ประทับใจกับประสบการณ์บินครั้งแรกในชีวิต จะได้มีเรื่องไปเมาท์ให้คนอื่นฟัง ตามประสาคนช่างพูด

ผมหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นอย่างที่หวังไว้ และถ้าโครงการนี้ ผ่านไปด้วยดี ก็อาจมีโครงการอื่นต่อไปในอนาคต เพราะมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่แม่ไม่เคยทำ เช่น นั่งบันลูน ขี่ม้า (ท่าจะไม่ไหว) ล่องแก่ง (อันนี้อาจพอไหว) พายเรือคะยัค (เข้าท่า) โดดร่ม ( ไม่มีทางเป็นไปได้ ) ฯลฯ




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2555   
Last Update : 30 สิงหาคม 2555 22:12:31 น.   
Counter : 949 Pageviews.  

คุณกลัวผีหรือเปล่า คุณเคยโดนผีหลอกไหม

      ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่กลัวผีมากเลย พอมืดแล้วไม่กล้าไปไหนคนเดียว แค่ลงมาใต้ถุนบ้านก็กลัวแล้ว เวลาเดินขึ้นบันไดก็กลัวว่าผีจะจับขา เวลาปิดไฟนอนต้องรีบมุดเข้ามุ้งแล้วกันชายมุ้งให้แน่นหนา คาถากันผีอันไหนใครว่าดี ผมท่องหมด เรียกได้ว่ากลัวจนน่าจะได้โล่เลยทีเดียว

      มาวิเคราะห์กันว่า ความกลัวเหล่านั้นเกิดมาได้อย่างไร ตอนที่คนเราเกิดมาใหม่ๆ  เราจะยังไม่กลัวอะไรทั้งนั้น สังเกตุดูเด็ก ๆ มักจะไม่ระแวด ระวังอะไรทั้งนั้น  ดังนั้นความกลัวสิ่งต่างๆ น่าจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ กับถูกผู้ใหญ่สอน กรณีผมไม่เคยถูกผีหลอก จึงเืชื่อว่าความกลัวผีของผมเกิดจากการสั่งสอนของผู้ใหญ่

      บ้านของผมอยู่ใกล้วัด เอาว่าสามารถมองเห็นเมรุได้ชัดเจน จากที่บ้าน เพราะบ้านผมอยู่หลังเมรุพอดี  แถมพวกผู้ใหญ่ก็ชอบเล่าเรื่องผีให้ฟังอีก แต่ละเรื่องก็โคตรน่ากลัวเลย บริเวณที่สร้างวัดใกล้ๆ บ้านผม เคยเป็นวัดเก่ามาก่อน เดาว่าน่าจะโดนเผาช่วงที่รบกับพม่า  คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า มีเศษพระที่ถูกทุบอยู่ทั่วไป หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนคือเจดีย์ ที่ปัจจุบันสร้างของใหม่ครอบทับไปเรียบร้อยแล้ว บริเวณด้านเหนือของวัดก็คือด้านที่ติดกับที่บ้านผม เคยเป็นป่าช้ามาก่อนด้วย (เวรกรรม)

     ตอนผมเป็นเด็ก แม่ชอบให้ไปเก็บมะเขือ ซึ่งก็ดันไปปลูกไว้ชายที่ ด้านที่ติดวัดซะอีก จำได้ว่าสมัยนั้นยังไม่ได้ตัดกอใผ่ แถมมีต้นก้ามปูใหญ่อยู่ตรงมุมที่ ทำให้แม้แต่กลางวันตรงนั้นก็ไม่โดนแดด เรียกว่าอึมครึมน่ากลัวเลยทีเดียว เวลาเดินกลับบ้านถ้าจะเดินทางลัดก็ต้องมุดรอดซุ้ม เถาวัลย์ที่พันอยู่บนกิ่งต้นทอง กันสารพัดต้นไม้ที่ขึ้นติดกันไปตามแนวรั้ว  ถ้ากลางวันหรือมีคนเดินด้วยก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้าเริ่มมืดเมื่อไหร่ มันโคตรน่ากลัวเลย ไ้อ้การมุดผ่านทางตรงนี้เนี่ยะ

      เคยมีครั้งนึงแม่ใช้ให้ไปซื้อของที่ร้านค้าหน้าวัด ตอนไปยังไม่มืดก็ไม่คิดอะไร  ตอนขากลับนี่สิโคตรน่ากลัวเลย ผมก็เดินไปร้องเพลงไป เรียกว่าเอาเสียงเป็นเพื่อน พอใกล้ช่วงที่ต้องมุดผ่านซุ้มเถาวัลย์ซึ่งเป็นทางลัด ก็ดันมีจินตนาการว่า ถ้าผีมันนั่งห้อยขาอยู่ข้างบนกิ่งต้นทอง พอเรามุดเข้าไปมันก็ทิ้งตัวมาขี่คอเราจะทำยังไงดี  หรือไม่ก็ช่วงที่เรามุดผ่านเข้าไป มันก็ห้อยหัวลงมาจากกิ่งต้นทอง  คือนึกได้แต่อะไรที่มันน่ากลัวทั้งนั้น จะเดินอ้อมไปเข้าทางหน้าบ้านก็ไกล ตัดสินใจว่าเอาว่ะรีบมุดผ่านไปเร็วๆ ไม่น่าจะมีอะไร

      หัวใจเ้ต้นตุ๊บๆ ๆ ๆ ผมหยุดร้องเพลงแล้วก็รีบๆ มุดผ่านไป  ช่วงที่กำลังจะพ้นออกไปได้นั้น ก็มีเสียงอะไรสักอย่างดังขึ้น ผมไม่รู้ว่าเสียงอะไร รู้แต่ว่าได้ยินเสียงปุ๊บผมก็วิ่งทันที ปากก็ตะโกนด่ามันด้วย (ด่าเก่งแต่เล็กนะผมเนี่ยะ) ประมาณว่ากลัวก็กลัว แต่ก็โกรธที่บังอาจทำให้ตกใจ พอถึงบ้านคนที่บ้านก็ถามว่าเป็นอะไร ก็เล่าให้ฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ไม่มีใครว่าอะไร

    เช้าออกไปเก็บมะเขือกับแม่ ( ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมกินแต่มะเขือ ครอบครัวผมจนกว่าที่คุึณคิดไว้เยอะ )  ซึ่งบริเวณที่แม่ปลูกมะเขือก็ติดกับตรงซุ้มเถาวัลย์นั่นและ แต่มีรั้วหนามต้นคัดเค้า กับสารพัดหนามกั้นอยู่มองลอดไม่ได้  เก็บๆ อยู่เสียงเจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีก  แต่มีแม่อยู่ก็เลยไม่วิ่ง หันไปทางต้นเสียงเห็นแมว แม่ลูกอ่อน มีลูกนอนกินนมอยู่สองสามตัว  ผมถึงรู้ว่าเมื่อวานได้ยินเสียงอะไร

    ผมจะเอาแมวไปเลี้ยงแม่บอกว่าเลี้ยงไม่ได้ ( เดาสิว่าเหตุผลคืออะไร ) แม่บอกกับแม่แมวว่าให้เข้าไปในวัดโน้น หลวงตาแกชอบเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว  ก็ไม่รู้มันฟังเข้าใจหรือยังไง เพราะไปเจออีกทีมันอยู่ที่วัดจริงๆ ซะด้วย 

    ผีที่ผมวิ่งหนีป่าราบ เมื่อตอนนั้นก็แค่แมว  ซึ่งมันคงได้ยินเสียงผมเดินผ่านมา มันเลยส่งเสียงทัก แต่ผมกำลังจิตตกอยู่ ได้ยินเสียงอะไรก็ว่าผีไปซะทั้งหมด นี่ถ้าผมไม่กลัวผีจนขึ้นสมอง ตั้งใจฟังเสียงให้ดีว่าเสียงอะไร ดังมาจากทางไหน ก็อาจไม่ต้องวิ่งป่าราบ ประสบการณ์โดนผีหลอกของหลายๆ คนก็คงคล้ายๆ กับผม แต่อาจไม่โชคดีเท่าผมที่หาผีตัวปลอมเจอ ส่วนใหญ่เจออะไรก็เหมาว่าผี แล้วก็วิ่งป่าราบเอาไว้ก่อน

    ผมมาเลิกกลัวผีจริงๆ ตอนอกหักครั้งแรกในชีวิต ซึ่งตอนนั้นรู้สึกว่า ความตายไม่น่ากลัวอะไร (ผมว่าคุณเดาออก ว่าผมหมายถึงอะไร)  ประมาณว่าตายซะก็ดีอยู่ไป ก็เท่านั้น  ช่วงนั้นถ้าเจอผีผมคงจะเดินเข้าไปหาเลย อยากรู้ว่าผีทำอะไรได้บ้าง หรือถ้าผีทำอะไรไม่ได้ ก็อยากลองชกหน้าผีดูสักครั้ง  พ่อเคยพูดคำนึงไว้ แต่ผมไม่เคยเชื่อตามนั้น พ่อพูดว่า  ***  คนเราไม่ได้กลัวผีหรอก   ที่กลัวนะกลัวตายต่างหาก กลัวว่าผีจะทำร้าย กลัวว่าจะตาย ***

    เพิ่งมาเข้าใจก็ช่วงนั้นแหละ ว่าถ้าเราไม่กลัวตายซะอย่าง ผีก็ไม่มีความน่ากลัวสักนิด ผมมาเลิกเชื่อว่าผีมีจริง แบบหมดข้อสงสัยก็ตอนบวช ตอนนั้นพ่อเสียไปแล้ว ผมอธิฐานจิตในโบสถ์ว่าถ้าผีมีจริง สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ให้มาหาผม ผมจะรอ ถ้ามาให้เห็น ให้พิสูจน์ได้จริง ผมจะไม่สึกจากพระ แล้วจะบวชให้ตลอดชีวิต และแน่นอนว่าเมื่อตอนนี้ผมไม่ใช่พระ ก็แสดงว่าไม่มีใครมาหาผมเลยสักคน

    ล่าสุดผมท้าทายไว้ว่า ถ้าผีมีจริงให้มาหา เงื่อนไขเหมือนเดิม ถ้ามาหา มาให้ผมพิสูจน์ได้่ว่าชีวิตหลังความตายมีจริง ผีมีจริง ผมก็จะลาออกจากงานแล้วก็ออกบวชให้ตลอดชีวิต แต่แน่นอนว่าผ่านมาหลายปี ผมไม่เคยเจอผีเลย ทั้งที่ผมอยู่คนเดียว ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะโดนผีหลอก อยู่แทบตลอดเวลา

     แม้แต่ตอนที่พิมพ์อยู่นี้ก็เช่นกัน ในตึกชั้นนี้มีผมอยู่แค่คนเดียว เปิดไฟไว้แค่ดวงเดียว ตลอดทั้งชั้นไปจนถึงบันได มืดสนิทเพราะเป็นห้องปรับอากาศไม่มีหน้าต่าง  อีกสักครู่ถ้าผมจะกลับบ้านผมก็ต้องปิดไฟแล้วก็เดินมืดๆไปลงบันได ตึกนี้เขาก็ว่าผีดุซะด้วยสิ  หุ หุ หุ Smiley





 

Create Date : 29 กรกฎาคม 2555   
Last Update : 29 กรกฎาคม 2555 17:50:50 น.   
Counter : 1404 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  

mrpipo
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ประชาธิปไตยจงเจริญ
[Add mrpipo's blog to your web]