Movieworm
 
 

ในวันที่แสงอาทิตย์ใกล้ดับมอด : ทุนสนับสนุนหนังไทย ใครเข้มแข็ง(กันวะ)?

ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวว่าจะมีการแจกงบประมาณที่เรียกว่าไทยเข้มแข็ง เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านเพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ความรู้สึกแรกก็คือ ตื่นเต้นและดีใจ ว่าในที่สุดภาครัฐก็หันมาเห็นความสำคัญของศิลปะแขนงที่เจ็ดอันเรียกว่าหนัง หรือภาพยนตร์ และคนทำงานในแขนงนี้ในบ้านเรากันเสียที หลังจากที่หมางเมินขาดไร้ความสนใจใยดีมาเป็นนาน

แต่หลังจากเห็นรายชื่อหนังที่ได้รับทุนที่ว่า ความตื่นเต้นดีใจนั้นกลับกลายเป็นความเซ็ง ละเหี่ย อิดหนาระอาใจ โศกเศร้า จนกระทั่งคับแค้น เพราะงบประมาณ 200 ล้านที่เขาบอกว่าจะใช้สนับสนุนคนทำหนังไทย และกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์จำนวนครึ่งหนึ่ง (100 ล้านบาท) ถูกมอบให้หนังเพียงเรื่องเดียว!
หนำซ้ำ หนังเรื่องดังกล่าวที่ว่า ยังได้รับทุนสนับสนุนจากอีกหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งก็คือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพานิชย์ อีกเป็นจำนวนถึง 330 ล้านบาทอีกด้วย!!
สิริรวมแล้ว หนังเรื่องเดียวที่ว่านี้ได้ทุนสนับสนุนจากภาครัฐ (ซึ่งก็คือเงินภาษีของประชาชน) ไปถึง 430 ล้านบาท!!!

ด้วยข้ออ้างที่เขาให้กับเราว่า เหตุเพราะหนังเรื่องดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนชาวไทยให้มีความรักชาติ ให้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ และเพื่อเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย อีกทั้งยังเป็นการเคารพและเทิดทูนพระมหากรุณาธิคุณต่อวีรกษัตริย์ไทยในอดีต...

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ทุน 430 ล้าน ที่หนังเรื่องเดียวเรื่องนี้ได้ไป สามารถเอาไปสนับสนุนวงการหนังไทย นักเรียน นักศึกษาภาพยนตร์ และเยาวชนคนทำหนังหน้าใหม่ได้เป็นร้อยๆคน ทำหนังได้อีกเป็นร้อยๆ เรื่อง

ไม่ใช่เอาไปให้คนแก่ที่มีโอกาสดี มีบารมีล้นเหลืออยู่แล้ว เอาไปทำหนังเกี่ยวกับเรื่่องราวที่ผ่านมาแล้วเป็นหลายๆ ร้อยปีแบบนี้
(และถึงแม้จะบอกว่าเป็นการให้โดยการมีเงื่อนไขว่าต้องมอบคืน แต่การที่หนังเรื่องดังกล่าวได้เงินไปก่อนมากขนาดนี้ก็ถือเป็นการทำลายโอกาสคนทำหนังตัวเล็กๆ คนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือเช่นเดียวกันหรือมากกว่า นี่ยังไม่นับรวมคำถามที่ว่า จะคืนเมื่อไหร่ อย่างไร เท่าไหร่ และคืนจริงไหม?)

ที่พูดแบบนี้ไม่ได้เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณวีรกษัตริย์ บรรพกษัตริย์ของชาติเรา เคารพน่ะเคารพอยู่ ซาบซึ้งน่ะซาบซึ้งอยู่ พระมหากรุณาธิคุณท่วมท้นล้นพ้นหัวก็ตระหนักอยู่เต็มอก

แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นมันคือคนที่ยังมีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีลมหายใจอยู่ตอนนี้ ปัจจุบันนี้ไม่ใช่หรือ?

ไหนจะเด็ก ไหนจะเยาวชน คนทำหนังรุ่นใหม่ๆ ที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนไขว่คว้าหาโอกาสจนแทบล้มประดาตายโหงตายห่ากันหมดแล้ว ไม่เห็นมีใครดูดำดูดีเลยสักคน

อีกทั้งเหล่าคนทำหนังไทยตัวเล็กตัวน้อยที่ก้มหน้าก้มตาหาเงินมาทำหนังด้วยตัวเองกันเลือดตาแทบกระเด็น กว่าจะทำเสร็จออกมาได้ พอทำเสร็จแล้วก็ต้องดิ้นรนหาที่ฉายกันเอาเอง (เพราะไม่มีโรงไหนเหลียวแล เดี๋ยวไม่มีที่พอฉายหนังบล็อกบัสเตอร์!) ที่โชคดีหรือมีฝีมือบ้างก็มีโอกาสไปฉายเมืองนอก บ้างก็ได้รางวัลจากเทศกาลจนสร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติในระดับโลก แต่ก็ไม่เห็นมีใครที่ไหนมาเหลียวแล ไม่เห็นมีมหา(จงใจสะกดผิด) ที่ไหนมาสนอกสนใจช่วยเหลือ

ซ้ำร้ายถึงเวลาเอาหนังกลับมาฉายหนังในเมืองไทย ก็ยังโดนกระทำชำเรา ทำร้าย ย่ำยีด้วยการแบน ด้วยการเซ็นเซอร์ต่างๆ นาๆ เอากับหนังของพวกเขาอีก

การให้ทุนไทยเข้มแข็งของกระทรวงวัฒนธรรมบวกกับการมุมมิบแอบส่งชิ้นปลามันของกระทรวงพานิชย์คราวนี้ จึงเหมือนเป็นการกระทืบซ้ำและเหยียบย่ำคนทำหนังและวงการหนังไทยอย่างสาหัสสากรรจ์อีกครั้งหนึ่ง

นี่ยังไม่นับถึงการที่ส่วนใหญ่ของทุนเหลืออีกเพียงครึ่งหนึ่ง ตกไปสู่มือของบริษัททำหนังรายใหญ่ (และพวกพ้อง) ที่มีอำนาจ โอกาส และทรัพย์สินมากเกินพอที่จะทำหนังได้โดยที่ไม่ต้องเหลียวแลเงินก้อนนี้เสียด้วยซ้ำ (แต่เขาก็เอา) หนำซ้ำยังมีอีกหลายๆ บริษัทที่ได้ทุนซ้ำซ้อน ในขณะที่ผู้สมัครอีก 250 คนที่เหลือ (ที่อาจมีความจำเป็นและต้องการเงินมากกว่า) ถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

แบบนี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

อย่างน้อย เราก็มีสิทธิตามกฎหมาย (ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี) ที่จะรู้ว่า คณะกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในเรื่องนี้คือใคร?

วงการหนังไทยไม่ต้องมองไปที่ไหนไกลถึงฝรั่งเศสถึงยุโรปหรอก เอาใกล้ๆ แค่เกาหลี เมื่อสิบปีก่อนมีใครรู้จักไหม นอกจากกายกรรมเปียงยาง แล้วดูตอนนี้เขาเป็นยังไง

ถ้าเขามีหน่วยงานภาครัฐที่คิดอะไรไม่ไกลเกินตีนกวาด ขาดไร้วิสัยทัศน์ เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมแบบของบ้านเราเมืองเราอย่างงี้ เขาคงจะเป็นมหาอำนาจทางวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้แบบตอนนี้ได้หรอก?

ดังที่คนทำหนังอิสระแถวหน้าตัวจริงเสียงจริงคนนึงในบ้านเราอย่าง อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล เคยกล่าวเอาไว้ว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบ้านเมืองเราตอนนี้ไม่ใช่โบราณวัตถุ หรือโบราณสถานอะไรที่ไหน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบ้านเมืองเราตอนนี้คือ ความคิดสร้างสรรค์ เพราะความคิดสร้างสรรค์เปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ มันจะส่องประกายไปตลอดชีวิตของคุณ มันไม่มีวันดับมอด และมันจะสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ อย่างไม่รู้จบ"

แต่ถ้าผู้มีอำนาจใจบ้านเรา หรือแม้กระทั่งประชาชนอย่างเราๆ เองส่วนใหญ่ ยังคงขาดไร้วิสัยทัศน์ ยึดติดและจ่อมจมอยู่กับอดีด ไม่มองก้าวไปข้างหน้า และยังเห็นประโยชน์ส่วนตนสำคัญกว่าประโยชน์ส่วนรวมอยู่แบบนี้แล้ว
แสงอาทิตย์ที่ว่าอาจดับมอดอย่างไม่มีวันที่จะส่องสว่าง และเราก็อาจต้องอาศัยอยู่ในความมืดมิดนี้ไปอีกนานแสนนาน

ที่เขียนมาไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับทุนนี้ทั้งสิ้น แต่เขียนในฐานะประชาชน ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่รักหนังอย่างแท้จริง!




 

Create Date : 07 เมษายน 2553   
Last Update : 8 เมษายน 2553 15:07:01 น.   
Counter : 484 Pageviews.  


kkkk

ล่าสุดทีมงานทราบสาเหตุ ของปัญหาที่ทำให้บางคนยังใช้งานไม่ได้แล้วค่ะ เป็นความผิดพลาดของการกำหนดค่าในฝั่ง server ของ BlogGang เองค่ะ ซึ่งมีบางส่วนกำหนดเป็น bg11.bloggang.com แทนที่จะเป็น bg1.bloggang.com ทำให้บางคนติดต่อ bg1.bloggang.com ไม่ได้ จึงคิดว่าหลังจากแก้ปัญหาไปแล้ว ไม่นานคุณน่าจะใช้งานได้ปกติ




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 8 เมษายน 2553 15:04:28 น.   
Counter : 490 Pageviews.  


Angles & Demons เทวากับซาตาน ศาสนากับวิทยาศาสตร์


แต่ไหนแต่ไรมา ศาสนา (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คริสต์ศาสนา) กับ วิทยาศาสตร์ มักจะทำตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด ต่างฝ่ายต่างมุ่งค้นหาเหตุผลและหลักฐานมาหักล้างความเชื่อของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างก็ยืนอยู่ตรงข้ามกันในฐานะปฏิปักษ์มาช้านาน หลายศตวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่หลายต่อหลายคนอย่าง กาลิเลโอ, ชาร์ลส์ ดาร์วิน และเซอร์ไอแซก นิวตัน ต่างก็ถูกรังควาญด้วยการจับมาขึ้นศาลศาสนา ถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว และหมายหัวมาโดยตลอด ที่หนักหนาสาหัสชวนสยดสยองที่สุดก็คือการถูกเผาทั้งเป็น อย่างนักปรัชญามนุษยนิยม จิออร์ดาโน บรูโน ตอนสิ้นศตวรรษที่ 16 ด้วยมีความคิดที่ขัดแย้งและดูจะเป็นการท้าทายความเชื่อของศาสนจักร แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ตอบโต้ด้วยการนำเสนอทฤษฎีต่างๆ นาๆ ที่ทำให้ความเชื่อเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย ไร้สาระไปได้เลยทีเดียว


แต่ในปัจจุบัน ศาสนจักรมิได้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายเหมือนดั่งในอดีต อีกทั้งเส้นแบ่งระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาค่อยๆ เลือนหายไป เริ่มมีการเปรียบเทียบและเชื่อมโยงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความเชื่อหรือประสบการณ์ทางศาสนามากขึ้น


ถ้าพูดถึงชื่อ เซิร์น* (Cern) ตอนนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จักองค์กรระดับนานาชาติที่เพิ่งจะทำการทดลองการเร่งและชนอนุภาค LHC** อันระบือลือลั่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จนสร้างกระแสแตกตื่นหวาดหวั่นไปทั่วโลก ว่าการทดลองนี้อาจก่อให้เกิดหลุมดำที่จะดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกให้หายไปในชั่วพริบตา! โลกจะถึงแก่กาลปาวสาน! มวลมนุษยชาติจะถึงคราวสูญสิ้น! ถึงตอนนี้ก็คงรู้กันแล้วว่า ไอ้หลุมดำที่จะดูดกลืนโลกที่ว่านั้น มันเกิดขึ้นจริงๆ หรือพวกเราตื่นตูมไปเองกันแน่


แต่ก่อนที่ เซิร์น จะโด่งดังจากการทดลองอันอื้อฉาวดังกล่าว องค์กรแห่งนี้ก็เป็นที่รู้จักจากการที่มันเป็นฉากและตัวละครอันสำคัญที่ถูกอ้างถึงใน Angles & Demons นวนิยายขายดีของยอดชายนาย Dan Brown ผู้เขียน The Da Vinci Code ที่โด่งดังจนนำมาสร้างเป็นหนังนั่นเอง ไหนๆ ก็ไหนแล้ว ในเมื่อตัวนิยาย Angles & Demons เองก็โด่งดังไม่แพ้ The Da Vinci Code ฮอลลีวูดก็เลยไม่ยอมพลาดโอกาสที่จะนำมันมาสร้างเป็นหนังภาคต่อ (เพื่อโกยเงินกันอีกรอบ) เสียเลย (แม้จะเป็นภาคต่อ แต่เรื่องราวในนิยาย Angles & Demons เกิดขึ้นก่อน The Da Vinci Code เสียอีก)


ใน Da Vinci Code โรเบิร์ต แลงดอน (ทอม แฮงก์ส) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญวิทยา จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ใช้ความสามารถในการถอดรหัสจากงานศิลปะจนนำไปสู่การเปิดเผยปริศนาอันลี้ลับและอื้อฉาวจนท้าทายความเชื่อของคริสต์ศาสนาอย่างยิ่ง


แต่ใน Angles & Demons เขากลับมาเพื่อใช้ความสามารถที่มี ในการปกป้องสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และทรงความสำคัญสูงสุดของคริสตจักรอย่าง ‘วาติกัน’ จากการก่อการร้ายขององค์กรลับอันเก่าแก่ ผู้ตั้งตนเป็นศัตรูของคริสตจักรมาช้านานอย่าง ‘อิลลูมินาติ’ ที่มุ่งร้ายหมายจะทำลายวาติกันด้วยสิ่งประดิษฐ์ทางเทคโนโลยีที่มีอานุภาพในการทำลายล้างมหาศาลอย่าง ‘ปฏิสสาร’ (Anti-Matters) ซึ่งขโมยมาจากองค์กรอย่าง เซิร์น (คิดดูว่า แค่การทดลองเร่งชนอานุภาคยังทำให้คนแตกตื่นกันได้ขนาดนี้ แล้วปฏิสสารที่ว่ากันว่าหากมันสัมผัสกับสสารในจำนวนหนึ่งกรัมจะมีพลังเทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ 20 ตันจะน่าหวาดเสียวขนาดไหน) อิลลูมินาติ ปรากฏโฉมขึ้นหลังจากถูกคิดว่าสาบสูญไปช้านาน เพื่อวางแผนลักพาตัวและสังหารตัวเก็งในการคัดเลือกประมุขสูงสุดของคริสตจักรคนใหม่ ตามแบบอย่างของพิธีกรรมอันสยดสยองที่มีมาแต่โบราณ ศาสตราจารย์คนเก่งของเราจึงต้องออกโรงสืบหาความลับผ่านเอกสารล้ำค่าทางวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงผลงานศิลปะชั้นครูทั่วกรุงโรม เพื่อไขปริศนาที่จะช่วยเหลือตัวประกันก่อนจะถูกสังหาร และก่อนที่นครวาติกันจะถูกระเบิดเป็นผุยผง ด้วยความช่วยเหลือจากนักวิทยาศาสตร์สาวแห่งเซิร์น วิตโตเรีย เวตรา (อาเยเล็ต ซูเรอร์) และเลขาแห่งองค์สันตะปาปาอย่างบาทหลวง คาเมอร์เลโญ (ยวน แมกเกรเกอร์)


ใครที่เป็นแฟนหนังภาคแรกก็คงไม่ต้องบอกกล่าวอะไรให้มากความ แต่หากใครที่ผิดหวังกับ Da Vinci Code ว่าไม่สนุกหรือตื่นเต้นอย่างที่คาดคิด ก็อย่างเพิ่งหมดหวังกับหนังเรื่องนี้ เพราะเรื่องราวใน Angles & Demons มีความตื่นเต้น ระทึกขวัญ และเต็มไปด้วยแอ็กชั่นจนโดนใจนักทั้งหลาย มากกว่า Da Vinci Code ด้วยซ้ำ


และที่สำคัญ ทรงผมของเฮียทอม แฮงก์สในหนังภาคนี้ก็ดูดีกว่าหนังภาคแรกเป็นกอง (ว่าไหม)


ร่วมกันหาคำตอบกันเถอะว่า ศาสนากับวิทยาศาสตร์ จะยังคงตั้งแง่เป็นศัตรูกันอย่างไม่รู้วาย หรือจะสามารถกลมกลืนจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ใน Angles & Demons 14 พฤษภาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ


เซิร์น* Cern - Conseil Europeen pour la Recherché Nucleaire (องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านนิวเคลียร์)


LHC** (Large Hadron Colider) เปิดหูเปิดตากับข้อมูลสนุกๆ และน่ารู้เกี่ยวกับการทดลอง LHC ได้ในคอลัมน์ ‘ไม่เชื่อต้องลบหลู่ (อย่างสุภาพและมีเหตุผล)’ ตอน LHC (Lok จะแตก ก็ Hai มันรู้ไป Ci วะ!) โดย แทนไท ประเสริฐกุล จากหนังสือ a day เล่ม 102 เดือนกุมภาพันธ์ 2009

ขอบคุณแทนไท สำหรับบทความดีๆ ที่ส่งมาให้อ่านนะครับ

Angles & Demons
กำกับ : Ron Howard
นำแสดง : Tom Hanks,  Ewan McGregor, Ayelet Zurer






 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2552 16:29:06 น.   
Counter : 1333 Pageviews.  


Let The Right One In คนรู้ใจที่ไม่ใช่คน


ชีวิตตอนเด็กในโรงเรียนของผมไม่ค่อยสดใสโสภานัก ความที่ผมเป็นเด็กแปลกแยก เข้ากับใครไม่ค่อยได้ เล่นกีฬาไม่เก่ง ร่างกายอ่อนแอ อ้วนตุ๊ต๊ะ แถมขี้แยอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเป็นเหยื่อชั้นดีสำหรับเด็กขี้แกล้งในชั้นเรียน เบาะๆ ก็โดนด่าว่า ล้อเลียน หนักๆ ก็โดนใช้กำลังกลั่นแกล้งเอาแรงๆ ไม่ต่างอะไรกันกับ ‘ออสการ์’ เด็กชายวัย 12 ปี ท่าทางแหยๆ แปลกๆ ที่เข้ากับใครที่โรงเรียนไม่ค่อยได้ แถมยังถูกเพื่อนร่วมชั้นเกเรรังแกเอาเจ็บๆ เด็กอย่างพวกเราไม่ต่างอะไรกับของเล่นให้เด็กเกเรข่มเหงรังแกกันอย่างสนุกสนานแทบทุกวัน


แน่นอน ผมไม่ได้สนุกไปด้วย ผมโกรธและเกลียดพวกมัน ผมอยากสู้ อยากบอกให้พวกมันเลิกรังแกผม แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผมอ่อนแอและขี้ขลาดเกินไป ออสการ์เองก็เช่นกัน ดังนั้น เราทั้งสองจึงถูกรังแกอยู่เรื่อยไป ทุกๆ วัน เราต้องคอยหวาดกลัวว่าจะโดนแกล้งไหม ต้องเจ็บใจและเจ็บตัวที่ถูกรังแก ต้องนั่งเหงาเพราะไม่มีใครอยากคบกับเราเป็นเพื่อน ชีวิตในโรงเรียนส่วนใหญ่จึงเหมือนฝันร้ายดีๆ นี่เอง


แต่แล้ววันหนึ่งฝันร้ายของออสการ์ก็เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้พบกับเด็กหญิงท่าทางแปลกๆ คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกัน เด็กหญิงคนนั้นมีชื่อว่า ‘อีลี่’ อาจด้วยความที่เป็นเด็กแปลกๆ เหมือนกัน ทั้งคู่จึงเริ่มผูกมิตรและสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้น ชีวิตที่เงียบเหงาและหมองหม่นของออสการ์จึงดูสว่างไสวขึ้นอีกนิด มิตรภาพของทั้งสองงอกเงยขึ้นพร้อมๆ กับชีวิตในแต่ละวันของออสการ์ดูจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เขาเข้มแข็งและ ร่าเริงขึ้น กระทั่งกล้าลุกขึ้นสู้กับคนที่รังแกเขา ทุกอย่างล้วนเป็นผลพวงจากการที่เขาได้พบกับเธอ จนในที่สุด เขาเริ่มรู้สึกชอบเธอ ทุกอย่างคงไปได้ด้วยดี ถ้าไม่ติดปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง ปัญหานั้นก็คือ อีลี่คนที่ว่าไม่ได้เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาทั่วๆ ไป แล้วเธอก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงหรอก อันที่จริงเธอไม่ใช่คนด้วยซ้ำไป


แต่เธอเป็นแวมไพร์!


ออสการ์และอีลี่เป็นตัวละครหลักในหนังที่สร้างขึ้นมาจากนิยายยอดฮิตของสวีเดนที่มีชื่อเดียวกันว่า ‘Let The Right One In’จากปลายปากกาของนักเขียนชาวสวีดิชอย่าง จอห์น ลินด์ควิสต์ (John Lindqvist) ด้วยฝีมือการกำกับของ โธมัส อัลเฟรดสัน Tomas Alfredson


เห็นพล็อตเรื่องแบบนี้อาจทำให้หลายๆ คนนึกไปถึงหนังแวมไพร์วัยรุ่นโรแมนติก ที่ขายหนุ่มหล่อสาวสวยอย่าง Twilight อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะมันไม่ได้มีอะไรเฉียดใกล้กันเลยแม้แต่น้อย Let The Right One In เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์และแวมไพร์ ที่บาดเจ็บ บกพร่อง และเปลี่ยวเหงาสองคนที่มาเจอะเจอกันในบรรยากาศอันเย็นยะเยือกและเงียบงันของสวีเดน หนังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมืดหม่น อึดอัด หนาวเหน็บ เศร้าสร้อย และสยดสยอง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งกินใจ ด้วยเรื่องราวความรักความผูกพันในวัยเยาว์ระหว่างเด็กสองคน ที่บังเอิญแค่ว่า คนหนึ่งเป็นมนุษย์ แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นผีดูดเลือดเท่านั้นเอง


“เมื่อออสการ์เห็นอีลี่ เขาเหมือนกับเห็นตัวเอง แต่เป็นตัวเขาที่ ดูดีกว่า แข็งแรงกว่า และมีเสน่ห์กว่า”


โดยเนื้อแท้แล้ว ออสการ์ กับ อีลี่ เป็นคนแบบเดียวกัน แต่ในทางกลับกันพวกเขาก็เป็นขั้วตรงข้ามกัน เขาสว่าง เธอมืด เขาอ่อนแอ เธอแข็งแกร่ง เขาเป็นมนุษย์ แต่เธอไม่ใช่ ในจุดหนึ่งพวกเขาต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน อีลี่เป็นเหมือนกับตัวตนที่ออสการ์อยากปลดปล่อยออกมา ออสการ์เป็นเหมือนกับโลกภายนอกที่อีลี่โหยหา แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจไม่ลงตัวสมบูรณ์แบบ แม้สิ่งที่เขาและเธอทำอาจไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่มันก็เป็นการดิ้นรนกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในโลกอันแสนโหดร้ายใบนี้มิใช่หรือ


ผมอาจไม่ได้โชคดี (หรือโชคร้ายกันหว่า) เหมือนออสการ์ ที่ได้เจอเพื่อนรู้ใจแบบอีลี่ แต่ในท้ายที่สุดผมก็สามารถหาสถานที่ปลอดภัย ที่ผมสามารถหลบลี้หนีหน้าจากการกลั่นแกล้งของเด็กเกเรเหล่านั้นได้ ที่หลบภัยของผมแห่งนั่นก็คือ ห้องสมุด (ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่ที่เด็กเกเรสมองกลวงเหล่านั่นไม่มีวันจะเฉียดกรายเข้ามาใกล้เป็นแน่) และ ณ ที่แห่งนั้นเอง ที่ผมได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนที่รู้ใจเหมือนกับที่ออสการ์มีอีลี่ เพื่อนที่ทำให้ผมเปิดโลกใหม่ ได้พบกับสิ่งที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน เพื่อนที่สอนสิ่งต่างๆ และบอกเล่าเรื่องราวมากมายให้กับผม เพื่อนที่ทำให้ผมเปลี่ยนจากเด็กขี้อาย แปลกแยก เข้ากับใครไม่ค่อยได้ ให้เข้มแข็ง ร่าเริง แจ่มใสขึ้น และในที่สุดก็กล้าลุกขึ้นสู้กับคนที่ชอบข่มเหงรังแกเรา (ถึงแม้จะไม่ชนะ แต่ก็ทำให้พวกมันเลิกตอแยกับผมไปได้บ้าง) เพื่อนคนนั้นไม่ใช่เด็กหญิง เด็กชาย หรือแวมไพร์ที่ไหน แต่กลับเป็นสิ่งของที่ไม่มีชีวิตอย่างบรรดาหนังสือที่อยู่ในห้องสมุดนั่นเอง


ออสการ์กับผม เราทั้งคู่ต่างก็โชคดีที่ได้พบกับเพื่อนรู้ใจ ได้พบกับคนที่ใช่ ไม่อย่างงั้นแล้วเราคงโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มีปัญหา อันเป็นผลพวงมาจากประสบการณ์และบาดแผลที่เราได้รับในวัยเยาว์


ตอนนี้ผมเองก็ได้แต่หวังว่า ในวันข้างหน้าออสการ์คงสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ปัญหาได้ ไม่มากก็น้อย เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่จะเยียวยาคนบกพร่องอย่างพวกเราได้ นั่นก็คือการได้รับความรักจากคนที่เข้าใจ


ถึงแม้ว่าคนๆ คนนั้นจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘คน’ ก็ตาม


Let The Right One In เป็นหนังที่คว้ารางวัลรอบโลกมาแล้วกว่า 40 รางวัล อาทิ รางวัล Best Narrative จาก TRIBECA Feature International Film Festival, รางวัล Best European Fantasy Feature จาก Neuchatel International Film Festival, รางวัล Best Foreign Language Film จาก Boston Society of Film Critics Awards 2008, รางวัล Best Foreign Language Film จาก Chicago Film Critics Association Awards 2008, รางวัล Best Director และรางวัล Citizen's Choice Award จาก Puchon International Fantastic Film Festival 2008 ฯลฯ เรียกว่าเอาชนะใจทั้งกรรมการ นักวิจารณ์ และนักดูหนังมาแล้วทั่วโลก


อันที่จริงหนังเรื่องนี้เคยเข้ามาฉายบ้านเราแล้ว ในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (Bangkok International Film Festival) ปี 2551 ที่ผ่านมา คราวนี้มันจะกลับมาเรียกความประทับใจจากนักดูหนังบ้านเราอีกครั้ง 14 พฤษภาคมนี้ ที่โรงภาพยนตร์  House R.C.A. แห่งเดียวเท่านั้น


คอหนังทั้งกลายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง



Let The Right One In
กำกับ : Tomas Alfredson
นำแสดง : Kåre Hedebrant, Lina Leandersson




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 18 พฤษภาคม 2552 16:29:43 น.   
Counter : 569 Pageviews.  


1  2  3  4  5  

panueddie
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add panueddie's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com