CLOVERFIELD (วันวิบัติอสูรกายถล่มโลก) : มันมาแล้ว / 3 ดาว
ดารานำ : ไมเคิล สตาห์ล-เดวิด และ โอเด็ตต์ ยัสท์แมน
กำกับฯ : แมตต์ รีฟส์
ความยาว: 82 นาที
ประเภท : ไม่เหมาะสำหรับผู้เยาว์ดูโดยลำพัง
ที่จริง แมตต์ รีฟส์ ผู้กำกับฯหนังเรื่องนี้กับ เจ.เจ. อับรามส์ ที่มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้นั้นก็เป็น คนรักหนัง ที่มีอายุอานามรุ่นราวคราวเดียวกัน และคบกันเป็นเพื่อนมานานแล้ว เมื่อ เจ.เจ.อับรามส์ ก้าวจากจอทีวี มาสู่วงการหนัง และประสบความสำเร็จอย่างดีกับ มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ลส์ 3 ก็เป็นโอกาสที่เขาจะเสนอ โปรเจ็คส์ ใหม่ ๆ ให้กับค่าย พาราเมาท์ เจ้าเดิม สำหรับ โคลเวอร์ฟิลด์ เรื่องนี้น่าจะถือว่า เป็นงาน ทดลอง อีกชิ้นที่แม้จะยอมเผยออกมาว่า เป็นเรื่องราวของหายนะครั้งใหม่ของชาวนิวยอร์ค หรือ นิวยอร์คเกอร์ ซึ่งถูกสัตว์ประหลาดบุกเข้ามาอาละวาด แต่ก็ยังคงเก็บรายละเอียดอื่น ๆ เอาไว้เป็นความลับต่อไป รวมทั้งรูปโฉมของเจ้าสัตว์ประหลาดก็ให้เห็นกันแค่แว่บ ๆ หรือลาง ๆ จนกลายเป็นแรงกระตุ้นต่อม อยากรู้ ของคอหนังทั่วโลกทำให้มีความพยายามที่จะเจาะเข้าไปนำเอาความลับของตัวงานออกมาเผยแพร่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างที่ในโค้งสุดท้ายก่อนหนังจะลงโรงฉายไม่กี่สัปดาห์ก็มี สื่อ บางรายไปได้ภาพสเก๊ตช์ตัวสัตว์ประหลาดออกมาเผยแพร่ แต่ก็มีคอหนังบางส่วนที่พยายามปิดตัวไม่รับข่าวสารเหล่านั้นเพื่อจะเก็บไปเห็นไปตื่นเต้นในโรงด้วยตนเองดีกว่า
จุดเด่นที่ท้าทายเอามาก ๆ ของหนังก็คือ ภาพของหนังจะออกมาเหมือนภาพที่ถ่ายด้วยกล้องวิดีโอ แฮนดี้แคม ด้วยความจงใจ (เพียงแต่ด้วยเกนของภาพที่ปรากฎนั้นยังมีคมชัดอยู่ ซึ่งเดาว่าหนังน่าจะถ่ายทำด้วยกล้อง เอชดี. แถมบางคัทก็ยังมีลักษณะภาพที่ใช้เครนในการถ่ายทำหลุดมาอยู่) เพราะฉะนั้นภาพที่ออกมาก็จะมีอาการสั่นไหว หรือมี มูฟเม้นท์ ตลอด บางที คอมโพส ของภาพก็ไม่สมบูรณ์ ถ่ายหน้าตาคนอยู่แต่ก็ไม่เห็นตาเพราะหลุดขอบเฟรมด้านบนไป เห็นตั้งแต่จมูกลงมา ซึ่งอาจทำให้บางทีคนดูที่คุ้นกับลักษณะภาพหนังทั่ว ๆ ไปจะรู้สึกเกิดหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง (แต่ดูจากฟอร์แม็ตของภาพที่เป็น 1.85:1 แล้วก็ต้องบอกว่า คนสร้างเขาก็ยังกรุณาคนดูไม่ถ่ายออกมาเป็นฟอร์แม็ต 2.35:1 ไม่งั้นการเหวี่ยงของภาพก็จะมากกว่านี้)
....และสิ่งที่ต้องไม่มองข้ามคือ จังหวะในการทำหนังเล่นกับคนดูอย่างมีประสิทธิภาพ
หนังเปิดเรื่องเหมือนการไปหยิบเอาเทปลับของทางการอเมริกันมาเปิดให้ได้ดูกัน ซึ่งภาพในต้นม้วนก็เหมือนการถ่ายภาพเล่น ๆ ของหนุ่มสาวคู่หนึ่งคือ ร็อบ (ไมเคิล สตาห์ล-เดวิด) กับ เบ็ธ (โอเด็ตต์ ยัสท์แมน) ซึ่งเป็นแฟนกันยัง สวีท กันอยู่ จากนั้นก็เป็นในอีกราวหนึ่งเดือนต่อมาซึ่งกลุ่มเพื่อนของ ร็อบ ก็ชวนกันมาจัดงานปาร์ตี้ (ในแถบแมนฮัตตันตอนล่าง) เพื่อเลี้ยงส่ง ร็อบ ซึ่งจะต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงรองประธานทั้งที่ยังหนุ่ม ๆ ถึงประเทศญี่ปุ่น โดยมีการนำกล้องวิดีโอของ ร็อบ มาถ่ายบรรยากาศของงานเก็บไว้ (ด้วยเทปม้วนเดียวกันต่อมา) ซึ่งตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่าง ร็อบ กับ เบ็ธ เริ่มระหองระแหงกัน จนแยกกันอยู่บ้าง และ เบ็ธ ก็มาร่วมงานปาร์ตี้นี้พร้อมกับหนุ่มอีกคน ทำให้ ร็อบ เกิดไม่พอใจ และมีปากเสียงกันขึ้น
หนังใช้เวลาปูเรื่องราวไปราว 20 นาที สิ่งที่คนดูรอคอยคือ การปรากฎตัวของสัตว์ประหลาดบุกถล่มนิวยอร์คก็เริ่มต้น (หลังจากที่เจอผู้ก่อการร้ายในโลกมุสลิมถล่มในเหตุการณ์ 9/11 มาแล้ว) เมื่อทุกคนในงานปาร์ตี้รู้สึกถึงอาการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขนาดอยู่บนตึกสูงก็ยังรู้สึก ต่างก็คิดว่าเกิดแผ่นดินไหว แต่พอลงมาข้างล่าง สิ่งที่ทุกคนแทบช็อคก็คือ ศีรษะของเทพีเสรีภาพสัญลักษณ์อันโดดเด่นของนิวยอร์คคอขาดกระเด็นกลิ้งหลุน ๆ ตกลงกลางเมือง เล่นเอาแตกตื่นกันยกใหญ่ บางคนถึงกับตะโกนว่าเป็น วันสิ้นโลกแล้ว ขณะที่รายงานข่าวทางทีวี เผยว่า ได้เกิดเรือบรรทุกน้ำมันคว่ำกลางแม่น้ำไฟลุกท่วม ไม่กี่อึดใจเมืองทั้งก็ถูกสัตว์ประหลาดบุกเล่นงาน ผู้คนพากันแตกตื่นพยายามจะข้ามสะพานหนีออกไปจากแต่แล้วสะพานใหญ่ก็ถูกสัตว์ประหลาดตัวมหึมาพังครืนขาดสะบั้นลงมีผู้คนเสียชีวิตไปหลายคน รวมทั้ง เจสัน (ไมค์ วอเกล) น้องชายของ ร็อบ ด้วย
ในสถานการณ์วิกฤตที่แต่ละคนแตกสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง ร็อบ ได้รับ วอยซ์เมล์ จาก เบ็ธ แฟนสาว ซึ่งมีบ้านอยู่ในเขตมิดทาวน์ลึกเข้าไปในเมืองขอความช่วยเหลือทำให้เขาตัดสินใจที่จะหาลู่ทางบุกเข้าไปเมืองอีกครั้งเพื่อช่วยคนที่เขารัก โดยมี ฮัด (ที.เจ. มิลเลอร์) ที่ถือกล้องวิดีโอถ่ายภาพมาตั้งแต่ตอนงานปาร์ตี้ และยังคงถ่ายภาพอยู่ต่อไป และ ลิลลี่ (เจสสิก้า ลูคัส) กับ มาร์ลีน่า (ลิซซี่ คาแพลน) สาวอีกคนที่ ฮัด แอบจีบในงานปาร์ตี้ตามมาด้วย ซึ่งระหว่างทั้งสี่ก็เจอสัตว์ประหลาดเล่นงานตั้งแต่ตัวเล็กเหมือนแมงมุม แต่กัดกินคนยังกะเอเลียน ซึ่งเคลื่อนไหวว่องไวตามมาเล่นงานระหว่างหลบลงไปเดินในอุโมงค์รถไฟใต้ดิน ไปจนถึงตัวใหญ่ยักษ์เหมือนก๊อดซิลล่าผสมกับไดโนเสาร์ ซึ่งฝ่ายกองทัพก็ส่งเครื่องบินทำลายล้างมายิงระเบิดเข้าใส่เพื่อสะกัดกั้นไม่ให้มันสร้างความเสียหายไปกว่านี้ แต่ยังไม่กล้าใช้อาวุธร้ายแรง เพราะติดที่ว่า ยังอพยพผู้คนออกจากส่วนนั้นไม่หมด
แม้ปกติการสร้างหนังภาพที่เกิดขึ้นบนจอในหนังทั่วไปก็เสมือนกับการนำพาคนดูไปมีส่วนรับรู้กับเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการจะเล่าอยู่แล้ว แต่กับการเล่าเรื่องที่ โคลเวอร์ฟิลด์ ใช้ที่สื่อจากภาพจากกล้องวิดีโอในมือของ ฮัด นั้น ก็เป็นเทคนิคในการเล่าเรื่องที่ช่วยสร้างบรรยากาศสมจริงสมจังซึ่งแตกต่างไปจากหนังเรื่องอื่น ๆ แม้การที่ ร็อบ ไม่หนีเอาตัวรอดแต่พยายามจะหาทางมาช่วย เบ็ธ นั้นอาจจะดูเหมือนยังกับ พระเอกหนัง ทั่ว ๆ ไป แต่หนังก็พยายามทำให้ ร็อบ ดูเป็นเหมือนปุถุชนทั่วไปขึ้นด้วยรายละเอียดที่เสริมมาว่า เขารู้สึกผิดที่ทะเลาะกับ เบ็ธ จึงต้องการมาช่วยเหลือปกป้องเธอ มองในแง่เทคนิค วิช่วล เอฟเฟ็ค ก็ดูจะทำให้ทำงานง่ายขึ้น แต่ก็ใช่ว่าหนังจะซ่อนตัวเจ้าสัตว์ประหลาดให้เห็นแค่แว่บ ๆ หรือแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะตอนท้าย ๆ หนังก็เผยให้เห็นทั้งตัวแบบจะ ๆ เต็มจอเหมือนกัน ซึ่งงานก็ออกมาไม่ใช่ ซีจี. แบบหนังเกรด บี. ด้วย
แต่แม้จะอยู่ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ใช่ว่า โคลเวอร์ฟิลด์ จะแล้งอารมณ์ขัน อย่างคนหนึ่งที่ยังไม่ทันรู้เลยว่า สภาพสัตว์ประหลาดที่มาบุกคือ อะไรก็บอกอีกคนว่า "ระวังมันจะมากินเรา" หรือกา มาร์ลีน่า บาดเจ็บหนักจะเป็นจะตายอยู่แล้ว ก็ยังมีมีอารมณ์เล่นกับ ฮัด เรื่องซูเปอร์แมน และ แกร์ฟิลด์ กับการบอกว่า แผลของฉันไม่เซ็กซี่เหรอ หรือ คนสวยไม่จำเป็นต้องใจดำเสมอไป
แม้ลักษณะภาพที่ปรากฎบนจอของหนัง อาจจะทำให้คนดูแตกออกมาเป็น 2 ฝ่ายคือ ที่ชอบก็ชอบไปเลยกับไม่ชอบจนรู้สึก แอนตี้ แต่ โคลเวอร์ฟิลด์ ก็ยังถือเป็นความพยายามที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (และแตกต่าง) ให้เกิดขึ้นในวงการ (แม้หนังจะไม่มีดาราดัง และนักแสดงส่วนใหญ่ก็ก้าวมาจากซีรี่ส์ เหมือนคนสร้างงาน) แต่ยังเป็นหนังที่ดูทั้งเอามันส์ได้ และเตือนสติคนเราด้วยแบบเหมือนกับจะเป็นแบบทดสอบคนเราว่า หากสักวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นตรงหน้าแล้วเราจะทำเช่นไร? แต่ก็ใช่ว่า หนังจะไม่มีข้อบกพร่อง อย่างแรกสุดที่ต้องทำเป็นลืม หรือมองข้ามไปก็คือ เทป และแบตเตอรี่ในกล้องวิดีโอของ ฮัด ที่หนังก็บอกว่า เหตุการณ์ผ่านไปตั้ง 7 ชั่วโมงแล้ว แต่คนดูก็ไม่เห็น ฮัด เปลี่ยนม้วนเทป หรือเปลี่ยนแบตชาร์จไฟกล้องตัวนั้นแต่อย่างใด อย่างที่ 2 หนังไม่ได้บอกที่มาที่ไปของสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่าไปยังไงมายังไง แต่มองอีกทีก็เหมือน เจ.เจ. อับรามส์ กับ แมตต์ รีฟส์ จงใจจะเล่าเรื่องในมุมเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อาจเป็นเรื่องเดียวกับ ก๊อดซิลล่า ฉบับของ โรแลนด์ เอ็มเมอริช ในปี 1998 ทำไว้ก็ได้ เพราะเรื่องนั้นมันก็ได้ขึ้นมาอาละวาดที่แมนฮัตตันเหมือนกัน แต่สิ่งที่ เอ็มเมอริช เล่าไว้ที่ได้ดูไปดูจะเป็นฉบับที่มี สโคป ใหญ่กว่า โคลเวอร์ฟิลด์ ซึ่ง โคลสอัพ ให้เล็กลงมาเป็นแค่เฉพาะส่วน.