All Blog
THE MIST : นี่แหละมนุษย์
THE MIST (มฤตยูหมอกกินมนุษย์) : นี่แหละมนุษย์ / 3 ดาว

ดารานำ : โธมัส เจน และ มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เด้น
กำกับฯ : แฟรงค์ ดาราบอนท์
ความยาว: 120 นาที
ประเภท : สำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ

แฟรงค์ ดาราบอนท์ ชื่อนี้เป็นที่รู้จักจากการเป็นนักเขียนบทก่อนจะก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับฯ และถ้านับเฉพาะหนังเรื่องยาวสำหรับฉายโรงที่เขากำกับฯจนถึง “เดอะ มิสท์” เรื่องนี้ รวมแล้ว 4 เรื่อง หนังที่ ดาราบอนท์ กำกับฯ 3 ใน 4 เรื่องก็มาจากบทประพันธ์ของนักเขียนเรื่องสยองขวัญแถวหน้าของวงการคือ สตีเฟ่น คิง (ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คิง มีงานเขียนได้รับการสร้างเป็นนหังทั้งฉายโรง และทีวี ผ่านไปแล้วมากกว่า 100 เรื่อง) โดยก่อนหน้านี้ใครนึกถึงหนัง ดาราบอนท์ กำกับฯ ก็จะนึกถึง “เดอะ ชอว์แชงค์ รีเดมป์ชั่น” ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง “ออสการ์” ปี 1995 ถึง 7 สาขารางวัล (รวมทั้งบทดัดแปลงยอดเยี่ยม และหนังยอดเยี่ยม) กับ “เดอะ กรีน ไมล์” ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง “ออสการ์” ปี 2000 4 สาขารางวัล (รวมทั้งบทดัดแปลงยอดเยี่ยม และหนังยอดเยี่ยม)

แต่แม้จะสร้างงานโด่งดังมาก่อน แต่พอมาถึง “เดอะ มิสท์” ดาราบอนท์ ก็ยังได้รับการตีกรอบให้ทำหนังในงบจำกัดอยู่ดี โดยตัวเลขทุนสร้างที่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการคือ 18 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก็ยังถือว่า น้อยกว่าเกณฑ์ปกติสำหรับโปรเจ็คท์ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นนักแสดงในหนังเรื่องนี้ นอกจาก มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เด้น นักแสดงหญิงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง “ออสการ์” สาขาดาราประกอบหญิงยอดเยี่ยมจาก “มิสติค ริเวอร์” ในปี 2004 และเจ้าของ “ออสการ์” สาขาดาราประกอบหญิงยอดเยี่ยมจาก “พอลล็อก” ในปี 2001 ที่มารับบท มิสซิสคาร์โมดี้ ผู้คลั่งศาสนาในเรื่องแล้ว นักแสดงคนอื่น ๆ ก็ค่อนข้างจะไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นตานัก

ไม่แน่ใจว่า คิง เขียน “เดอะ มิสท์” ไว้ตั้งแต่เมื่อไร (แต่มีบางเสียงบอกว่า ในงานเขียนของ คิง ใช้ชื่อเรื่องอีกชื่อหนึ่ง) แต่ตัวโครงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมอกนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งใหม่ในงานเขียนเรื่องแนวนี้ อย่างในปี 1980 จอห์น คาร์เพนเตอร์ ก็มีหนัง “เดอะ ฟ็อก” ที่พูดถึงความลึกลับ และความเป็นความตายที่มากับสายหมอกมาแล้ว และว่าถึงงานของ คิง เอง บางส่วนของ “เดอะ มิสท์” ก็ยังมีความใกล้เคียงกับ “สตอรม ออฟ เดอะ เซ็นจูรี่” ที่ได้รับการสร้างเป็น “มินิ ซีรี่ส์” ฉายทางทีวี ในช่วงปี 1999

“เดอะ มิสท์” เปิดเรื่องในเมืองเล็ก ๆ ที่ผู้คนต่างรู้จักมักคุ้นกันดี ภายหลังจากพายุกระหน่ำอย่างรุนแรงผ่านพ้น พร้อมกับทิ้งร่องรอยของความเสียหายจากต้นไม้หักโค่นไว้ตามที่ต่าง ๆ แต่พายุครั้งนั้นก็ยังไม่ร้ายแรงเท่า เมื่อพวกเขาจำนวนหนึ่งได้พากันออกจากบ้านมาซื้อหาข้าวของอาหารเครื่องใช้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกลางใจเมือง ยังไม่ทันไรก็มีหมอกหนาทึบคืบคลานปกคลุมไปทั้งเมือง จนแทบจะมองอะไรไม่เห็นแม้แต่ในระยะใกล้ ๆ ทุกคนจึงตัดสินหลบอยู่ภายในซูเปอร์มาร์เก็ตก่อน อีกไม่นานพวกเขาก็เริ่มรับรู้ถึงกลิ่นไอแห่งความตายที่แฝงตัวมากับหมอกหนาทึบนั้น คล้าย ๆ กับว่า มันมีสัตว์ประหลาดจ้องจะเล่นงาน และลากพวกเขาไปเขมือบทีละคน หากมีใครเผลอ หรือมาลองดีท้าทายกับพวกมัน

การมีผู้คนหลากหลายมาติดแหง็กอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตท่ามกลางสถานการณ์อันคับขันของความเป็นความตาย ดาราบอนท์ ก็ใช้เป็นช่วงใส่ความเป็น “ดราม่า” ที่สะท้อนตัวตนความเป็นมนุษย์ออกมา ซึ่งมีทั้งบางคนที่เห็นแก่ตัว คิดที่จะรักษาตัวเองให้รอดไม่คิดถึงคนอื่นนัก กับคนที่ยังคำนึงถึงส่วนรวม และพยายามจะค่อย ๆ คิดหาลู่ทางเพื่อนำพาทุกคนให้มีชีวิตรอด บางคนอาจอ้างศาสนามาเป็นเครื่องสำแดงให้ตนเองดูอยู่เหนือใคร ๆ บางคนเป็นแม่ที่ทิ้งลูกไว้กับบ้าน และพยายามหาทางออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนั้นเพื่อกลับไปอยู่กับลูก บางคนเป็นพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตที่ต้องดูแลลูกค้าบางคนเป็นทหาร บางคนเป็นหนุ่มที่เป็นแฟนกับแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ยังไม่เคยบอกรักกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง คนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น คนที่เป็นพ่อ ซึ่งมากับลูกชาย และพยายามที่ปกป้องคุ้มครองลูกชายอย่างดีที่สุด ฯลฯ
ดาราบอนท์ ใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความกดดันให้กับคนดู พร้อมกับมีเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ยืนหยัดถึงความน่าสะพรึงกลัวที่ซ่อนตัวในสายหมอกนั้นอยู่เป็นระยะ ว่าไปแล้ว โดยภาพรวมหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ดูแค่เพื่อความบันเทิงเท่านั้น และออกจะเครียดเสียด้วยซ้ำ เพราะขณะที่แต่ละคนพยายามจะทางเอาตัวรอดนั้น หนังก็ยังไม่ได้เปิดเผยให้เห็นชัดแจ้งว่า สาเหตุอะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องราวเหล่านั้น ทางออกเลยดูริบหรี่ แม้กระทั่งในตอนท้ายสุดของหนัง ซึ่ง ดาราบอนท์ เลือกตัดต่อเปลี่ยนตอนจบแบบนั้น ก็ต้องบอกว่า พี่แกค่อนข้างใจร้ายกับคนดูเอาการ แต่มันก็ช่วยทำให้หนังจบแบบไม่เหมือนใคร ๆ ที่เคยทำมาแล้ว ทำให้ดูไม่เลี่ยน แต่เชื่อว่า ถ้าหนังเรื่องนี้ทำออกมาเป็น “หนังแผ่น” ไม่ว่าจะเป็นดีวีดี หรือบลูเรย์ ก็น่าจะมีตอนจบหลาย ๆ แบบให้คนดูได้เลือกว่า อยากจะให้หนังจบแบบไหน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ “เวอร์ชั่น” ที่ได้ดูในโรงหนังก็ได้.



Create Date : 06 มีนาคม 2551
Last Update : 6 มีนาคม 2551 12:36:27 น.
Counter : 1776 Pageviews.

1 comments
  
ตอนจบ เจ็บปวดดีออก
ถ้าเป็นหนู หนูคิดว่าทำไมเราไม่นั่งอยู่ในรถต่อไปเรื่อยๆ จนอารมณ์มันสุดแล้ว รับเหตุการณ์ไม่ได้อีกแล้ว ค่อยลั่นไก แต่ตอนนั้น อารมณ์มันอาจจะสุดแล้วก็ได้เนอะ
โดย: butbbj วันที่: 6 มีนาคม 2551 เวลา:16:37:25 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

alexkh
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]