IPOD VS Computer
รู้สึกว่า Ipod ของ Stave Jobs จะทำได้หลายอย่าง มากกว่าการฟังเพลงซะแล้ว เพราะว่าสามารถดาวน์โหลดหนังมาดูได้แล้ว เรียกว่าเป็นการทำ IPOD ตัวเล็กๆ นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียกว่าสร้างปรากฎการใหม่ได้มากขึ้น สำหรับเครื่อง IPOD เลยทีเดียว เครื่อง MAC นั้นก็มีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อย ๆแถมราคาหลายคนก็สามารถจะแตะได้แล้ว ไม่ใช่ว่าซื้อมาใช้ในงาน กราฟฟิกเท่านั้น แต่ยังเอามาใช้ในการเอกสารและอื่นได้มากขึ้น แล้วก็มีโปรแกรม BOOT CAMP ที่สามารถใช้โปรแกรม Windows บนเครื่อง MAC ได้ด้วย เพื่อนผมหลายๆคนก็เริ่มหันมาใช้ เครื่อง MAC แล้วเพราะว่า ประสิทธิภาพ +ความสวยงาม ทำให้ตลาด พีซี สะเทือนไปพอสมควรถึงแม้ว่า ราคายังแพงกว่า พีซี แต่ว่าซอฟท์แวร์และอีกหลายอย่างๆ ใน apple แถมให้มาเยอะพอควรแล้ว แถมระบบยังไม่ร่วนมากเท่าไร แล้วก็ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไวรัสนอกจากนี้ IPOD ยังตีเครื่อง MP3 ซะกระจุยเพราะว่าราคา IPOD ราคา ก็ 5 พันกว่าบาทเท่านั้น ไม่แพงจนเกินไป ทุกคนสามารถจับต้องยิ่งดูหนังได้มากแบบนี้ ผมว่า หลายๆค่ายที่ออก MP3 ต้องเริ่มหันมามองแล้วว่าจะทำยังไง เพื่อให้เท่าเทียบกับ IPODต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ Stave Jobs กลับเข้ามาในปี 2002 เข้ามาเปลี่ยนแปลงทำให้ Apple เข้ามาสู่ในตลาดพีซีซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ และมูลค่า 1200 ล้านเหรียญ ถามใครไปถาม DEll เขาก็คงคิดหนักเหมือนกัน เพราะว่ายอดขายของเครื่องคอมพิวเตอร์ DELL ก็ไม่ได้กระเตื้องอะไรขึ้นมากมายนัก แต่สำหรับเครื่อง Mac แล้วยอดขายยังคงขยับเรื่อยๆ ศึกครั้งนี้ก็ต้องดูกันต่อไปว่า ทางฝั่งพีซีจะมีไม้เด็ดหรือไม่ ถ้าไม่มีผมว่าอีก 3-4 ปีพีซีก็ต้องถึงคราวที่จะต้องปรับรูปแบบครั้งใหม่ เพราะถึงแม้ว่า ทาง Microsoft จะมี Windows vista ออกมาให้เห็นแล้ว แต่ราคานั้นยังแพงอยู่ แถมกินสเปกเยอะมาก ต้องดูกันว่า ปีหน้าจะตัดสินกันที่ซอฟท์แวร์ของใครกันแน่ ที่จะจับกลุ่มตลาดลูกค้าได้
เมื่อ E -commerce ไล่ล่าคุณ (ภาค 3 ตอนที่ 2 ก่อร่างสร้างเว็บไซต์)
เมื่อตอนที่ 1 ของภาค 3 ผมได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องการใช้การตลาดแบบง่ายๆ และรวดเร็วรวมทั้งใช้งบประมาณไม่มากสักเท่าไร บางคนมีหลายคำถามว่า จะต้องใช้สื่อเก่าๆหรือเปล่า เช่น ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือเปล่า ขอตอบว่า จำเป็นอย่างมากครับ ถ้าใครเคยไปประเทศใหญ่ๆ อย่างญึ่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกา หรือ ประเทศทางยุโรปอย่างฟินแลนด์ , เดนมาร์ก ,เยอรมัน,อังกฤษ เว็บไซต์ บางเว็บไซต์ลงโฆษณาแบบครอบคลุมมากๆ เพราะเขาถือว่ามันเป็นธุรกิจไปแล้ว ไม่ใช่การทำเล่นๆแล้วรอความหวังให้ใครมาพบ อย่าลืมนะครับว่า เว็บไซต์เกิดขึ้นทุกๆ วันการลงโฆษณาแบบสื่อเดิมๆหนังสือพิมพ์ การลงโฆษณา หนังสือพิมพ์นั้นมีราคาที่ถือว่าถูกที่สุดแล้วสำหรับ การโฆษณาในสื่อที่จับต้องเข้าถึงผู้คนมากที่สุดในปัจจุบัน การลงแต่ละครั้งอาจใช้เงินเยอะ แต่ในหนังสือพิมพ์ไม่ได้ใจร้าย ให้คุณลงเต็มหน้า ครั้งละแสนอย่างเดียวนครับ บางครั้งเราเสียค่าลงครั้งละ 500 บาทก็มีครับ ไม่เชื่อลองโทรไปถามฝ่ายโฆษณาของหนังสือพิมพ์ เขามีคำแนะนำในเรื่องการลงโฆษณาอยู่แล้วครับ แต่ก่อนอื่นคือ คุณต้องลงไม่ใช่แบบสะเปสะปะ ไม่มีทางสำเร็จแน่นอนครับ (ลองมาแล้ว) การลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ควรทำดังนี้ 1. เนื้อหาตรงใจกับผู้อ่าน และสื่อถึงสิ่งที่เราต้องการ เช่น "เข้ามาเยี่ยมแล้วได้ของดีแน่นอน" แล้วก็มีคำบรรยายเล็กน้อย หรือ "เว็บนี้ เปิดให้คุณ กับเราได้ใกล้กัน" แล้วก็มีคำบรรยาย ในคำพูดตรงนี้ว่าเว็บเราคืออะไร ตรงนี้เราลองเขียนดูเล่นๆก่อนนะครับ ก่อนจะนำไปลงจริงๆ อาจให้เพื่อนอ่านหรือลองกับคนในครอบครัวดู ว่าเขาจะเข้าไปไหม2.งบประมาณในการโฆษณานั้น เราคิดว่ามีเท่าไรเช่น มีอยู่ 2000 บาท ในการลงโฆษณาหนังสือพิมพ์ เราก็เริ่มหาแล้วว่า หนังสือพิมพ์ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด อย่าคิดว่า หนังสือพิมพ์หัวเขียวได้จะผลมากที่สุด บางที่หนังสือพิมพ์กลุ่มเฉพาะ คุณจะได้ลูกค้าที่มีเงินเข้ามามากกว่าด้วยซ้ำ จะบอกให้การลงโฆษณาทางวิทยุ การโฆษณาทางวิทยุนั้น จะต้องใช้ทุนสูงมากพอควรเลย ครั้งหนึ่งเขาคิดเป็นวินาทีครับ หรืออาจเหมาเช่นครั้งละ 3000 บาทต่อ 1 ครั้งในการพูดหรือยิงโฆษณา แต่เป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดครับ เพราะว่าคุณจะได้กลุ่มกว้าง และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีมากที่สุด แต่ก็ต้องใช้เงินเยอะเช่นกัน แต่ถ้าคุณเตรียมตัวไว้แล้ว ติดต่อฝ่ายโฆษณาของแต่ละคลี่นได้เลยครับ การโฆษณาทางทีวี เป้นการลงทุนสูงมากๆ ขอบอก แต่ถ้าคิดว่าจะทำให้เว็บไซต์ตัวเอง เป็นที่ยอมรับและคิดว่าพร้อมแล้ว มีเงินทุนพอแล้ว เอาเลยครับวิธีนี้ การประชาสัมพันธ์ 1.การส่งข่าวให้กับผู้สื่อข่าวทราบ เป็นการส่งข่าวว่า เว็บไซต์เราทำอะไร มีความโดดเด่นและกลุ่มเป้าหมายยังไง และยิ่งเป็นไปได้ทำเป็น ข้อมูล Profile ไปให้เขาดูเลยครับ เชื่อเลยว่า จะได้รับความสนใจมากๆ 2.การส่งข่าวสารไปตามคอลัมนิกส์ ทำยังไงหรือ ตอบแบบง่ายๆคือ บุคคลเหล่านี้ เขาจะมีอีเมล์เพื่อติดต่อสื่อสารกับ แฟนคอลัมนิกส์ของเขาอยู่แล้ว เราก็เขียนเข้าไปซะ พูดคุยกับเขาก่อนแล้วก็แนะนำตัว แต่ถ้าคุณทำแบบนี้ ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้าเว็บไซต์เราโดนใจเขา ขอบอกว่า ไม่มีทางที่จะไม่ได้เกิด3.เว็บบล็อก (webblog) เป็นเครื่องมือการตลาดรูปแบบใหม่ แต่ได้ผล แต่สิ่งที่เราจะเขียนลงไปนั้น จะต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้จริง เช่นคุณขายสินค้าอะไร คุณจะต้องรู้จริงในสินค้าที่คุณขาย และจะสามารถให้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ผมเขียนลงไปนี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวและได้ใช้มาแล้ว แต่การที่เราจะทำให้เว็บไซต์ ตัวเองฮิตติดนั้น ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ด้วย ภาค 4 ผมจะเจาะในการทำเว็บไซต์ ว่าจะทำยังไงให้เว็บไซต์มีคนเข้ามาทุกวินาที พบกันได้สุดท้ายฝากเว็บไซต์ของผม ไว้ในหัวใจทุกคนด้วยนะครับ
ภาค 3 ตอนก่อร่างสร้างธุรกิจเว็บไซต์ (เมื่อ E-commerce ไล่ล่าคุณ)
เมื่อภาค 2 เราพูดถึง จุดยืน ทุน และก็การออกแบบเว็บไซต์ไปแล้ว คราวนี้ เรามาพูดเรื่อง ธุรกิจๆ กันล้วนเลยครับสมัยก่อน การจะทำให้คนรู้จักเรา นั้นคือการโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นทางทีวี,หนังสือพิมพ์,นิตยสาร,วิทยุ และสื่ออื่นๆที่ทำได้ เหมือนกันครับ วิธีการ จะทำให้เว็บไซต์เราเป็นที่รู้จัก นั้นคือ สิ่งที่คือ "ชื่อ" การตลาดและการโฆษณา เรื่องแรกคือ ชื่อ ลองคิดเล่นว่า เราจำชื่อเว็บไซต์ได้ไหมบ้างถ้าในเมืองไทยsanookkapookpantiphunsataradthaimateหรือถ้าเป็นของต่างประเทศamazonebaytimescnnyahoogoogleทุกชื่อที่กล่าวมานั้นคือ ชื่อสามัญ ไม่มีชื่อไหนที่บอกว่า ตัวองทำธุรกิจบนเว็บไซต์อะไร อาจมี เว็บ Tarad แต่ชื่อก็ยังสามัญอยู่ดี ชื่อ หรือ Domain Name นั้นสำคัญมากๆ ครับ การทำให้คนจำชื่อของเราได้ ถ้าคุณลองใช้สามัญดูสิ คนจะคุณไม่ได้เลย เหตุผลคือ คนเรามักจะสนใจในชื่อที่แปลกๆ อยู่เสมอการตลาดคำว่า การตลาด นั้นมากกว่าการขาย แต่ยังไปถึง การวางแผนทางการขาย การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์สื่อต่างๆ ไปด้วย แล้วจะทำยังไงให้คนรู้จักละ 1 ที่ลงทุนน้อยคือ การประชาสัมพันธ์ปากต่อปาก เป็นวิธีลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้ผลมากที่สุด และคนเข้ามามากที่สุด อันได้แก่ให้ฝากบอกกันไปเรื่อย ๆ และส่งอีเมล์ไปให้คนสนิทมากที่สุด ถ้าคุณส่งไปไม่ให้คนสนิท คุณจะโดนลบเมล์ทันที 2. คือการทำโปสการ์ดและการทำโบว์ชัวร์ อันนี้ลงเยอะหน่อย และต้องใช้เงินเยอะหน่อย แต่ได้ผลมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจออนไลน์หรือออฟไลน์ คุณเคยลองสังเกตไหมว่า ห้างใหญ่ๆทำไมพวกเราต้องกลับไป เดินห้างอีกครั้ง หรือเดินทุกครั้ง เมื่อเห็นโบวชัวร์ เพราะว่า เราอยากและต้องการซื้อของ โปสการ์ดนั้น อาจดูแล้วไม่มีค่า แต่ถ้าเราไปให้อีกคนจะมีคุณค่าทางจิตใจมากๆ จริงๆแล้วการทำการตลาดตรงนี้ มีช่วงหนึ่งฮิตกันอย่างมาก แล้วอยู่ดีๆ การเงียบหายไป ไม่ใช่ไม่ได้ผลหรอกครับ แต่ได้ผลเกินคาด และวิธีการใช้โปสการ์ดมักสร้างความประทับใจ ให้กับผู้รับได้อยู่เสมอครับ3.การประชาสัมพันธ์ โดยการเขียนบทความที่เราชำนาญเป็นพิเศษ เช่นบางคน อยากขายสินค้าที่ตัวเองผลิต เช่น สบู่ เราจะต้องบรรยายว่า สบู่นั้นเริ่มขึ้นมาจากอะไร ต้นกำเนิดมาจากใคร แล้วก็โยงให้เข้าเรื่องสินค้าของเราให้ได้ 4.การใช้สติกเกอร์ หรือทำเสื้อขายในราคาถูก วิธีนี้ใช้เงินทุนมากพอควร แต่ได้ผลมากๆ เพราะว่าเหมือนกับการมีกลุ่มของตัวเองขึ้นมา สังเกตไหมว่า คนเราเนี่ยชอบรวมกลุ่มไม่ชอบอยู่คนเดียว เพราะว่าเราคือสัตว์สังคม ฉะนั้นแล้วเราไม่สามารถไม่มีกลุ่มได้ การขายเสื้อบางคนอาจมองมีอยู่ถมเทไป ใช่ครับ มันอยู่ถมเทไป ที่เหลือขึ้นอยู่กับความคิดในการออกแบบตัวอักษร หรือมีตัวการ์ตูน ทำให้เราซื้อแล้วใส่อย่างภาคภูมิใจ ส่วนสติ๊กเกอร์นั้น ถ้าติดแล้ว ยิ่งสวยทำให้คนอยากติดมากขึ้น หรือง่ายๆติดรถตัวเองเป็นคันแรกเลยครับ ได้ผลมากที่สุด นี่คือการก่อร่างสร้างเว็บไซต์ ภาค 3 ตอนที่ 1 ติดตามตอนที่ 2 ได้นะครับ
เมื่อ E-commerce ไล่ล่าคุณภาค 2
ที่จริงแล้ว กะว่าจะเขียนภาคนี้ไว้พรุ่งนี้ แต่ไปๆมาๆเขียนก่อนไปนอนก่อนดีกว่า อันนี้เป็นชื่อเว็บไซต์ผมนะครับ ฝากไว้ในหัวใจดวงน้อยๆแต่ละคนด้วยละกันนะครับก่อนอื่นใครคิดจะทำเว็บไซต์ ผมอยากให้มี 3 คำถามก่อน1.ทำเว็บไซต์ไปแนวไหน สำคัญมากเลยครับ บางคนตอนแรกจะทำเว็บส่วนตัว ส่วนตั๋วมากๆ ประมาณถ่ายโชว์ห้อง ห้องตัวเอ้ยนั้นไม่ใช่ติดเรท R แล้วimg ถ่ายโชว์สถานที่ ที่ตัวเองไป ไปๆมาๆเห็นช่องทาง เพราะว่าคนเข้ามาเยอะก็ขยับให้มีโฆษณา ลงก็เริ่มขายสินค้า หลายๆคนก็มาจากจุดนี้ แต่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ เสมอไปนะครับ มาตกม้าตายเพราะว่าไม่มีจุดยืน บางคนเห็นอะไรกรูขายหมด สากกะเบือยังเรือรบ ตายแน่นอนครับ ถ้าคุณคิดจะทำแข่งกับเว็บไซต์ อย่าง Tarad .com หรือ Thai2hand.com นั้นยากมาก เพราะว่าเขามาก่อนและที่สำคัญ เขาก็บอกอยู่แล้วว่า จุดยืนเขาคือ เป็นศูนย์กลางของซื้อขายสินค้า และให้คนอิ่นมาเปิดร้านค้า ฉะนั้นต้องตอบคำถามข้อนี่ให้ดี และค่อยๆใจเย็นครับ เว็บไซต์ไม่ได้ดังแค่ 1 เดือนต้องใช้เวลา 2. ค่าใช้จ่าย รองรับได้มากแค่ไหนการเปิดเว็บไซต์ก็เหมือนกับ การเล่นในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ครับ คือมันเงินไหลตลอดเวลา ไม่มีหยุดตราบใดที่เงินยังไม่มา ไม่ว่าจะจากทางไหนก็ตาม ตรงนี้ต้องทำใจก่อนว่า มันเสียมากๆช่วงแรกเลย คำตอบคือเรา รองรับการขาดทุนได้มากแค่ไหน และที่ใครคิดจะทำธุรกิจนั้นจะต้องทำใจ เลยว่า "ขาดทุนเป็นเรื่องปรกติ" แต่อย่าเข้าเนื้อมากจนเกินไป แต่ถ้าสายป่านยาวพอ บอกได้เลยครับว่าเกิดได้แน่นอน แต่แบบไหน เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน3.เทคนิค และการออกแบบเว็บไซต์จะทำอย่างไงอย่าคิดถึงหน้าสวยๆ หรือลูกเล่นเยอะๆ เพราะไม่มีใครเข้าถ้าเนื้อไม่ดีทุกคนเคยถามไหมว่า พันธฺทิพย์สู้เว็บอื่นในเรื่องการออกแบบได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ แต่ทำไมคนเข้าเยอะละ เพราะว่าอะไร เพราะว่า "เนื้อหา"ต่างหากครับที่ทำให้พวกเรา เข้ามากัน การแต่งเว็บสวยนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกคนสะดุด แต่ถ้าเนื้อหาแหว่ง ๆหาย ๆ บอกได้เลย เขาเข้ามาแล้วก็จากไป อย่างเว็บผมแรก ออกแบบใส่ซะ เยอะมาก คนเข้าน้อยมาก น้อยที่สุด หลังจากนั้น จับจุดได้ เลยเน้นเนื้อหาที่เรารู้ เช่นคอมพิวเตอร์,เกมส์ ,หนัง หรือเรื่องอื่นที่ผมจะถนัด ขอจบภาค 2 ก่อนนะครับ เพระว่าอยากให้ทยอยกันอ่านไปเรื่อยๆ แล้วจะมาเขียนภาค 3 ตอนก่อร่างสร้างธุรกิจเว็บไซต์ แล้วเจอกัน
เมื่อ E-commerce ไล่ล่าคุณ
ถ้าย้อนกลับเมื่อสัก 10 ปีแล้ว E-commerce เป็นเรื่องที่น่าตี่นเต้นมากๆ สำหรับผู้ที่คิดจะทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ถึงแม้ว่าจะมีภาครัฐ ออกมากระตุ้นแล้วก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นทางภาคพาณิชย์ธนาคาร ที่ยังไม่มีความพร้อมในเรื่องนี้ หรือแม้กระทั่งภาคโทรศัพท์ ที่ตอนนั้นยังความเร็ว 56K ในการเชื่อมต่อเน็ต ซึ่งถือว่าช้ามากๆ เมื่อไปเปรียบกับอเมริกา,ญี่ปุ่น,ยุโรป ก็ยังสู้ไม่ได้แต่บัดนี้ ไม่ใช่แล้ว เพราะว่าความพร้อมของประเทศไทยมีมากขึ้นอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นธนาคารที่เข้าใจมากขึ้น,ภาครัฐที่มีกฎหมายออกมารองรับเรื่องพวกนี้ และภาคเอกชนที่หันมาทุ่มเทอย่างจริงจังณ ตอนนี้เราคงได้เห็นการเปิดร้านค้าออนไลน์ กันเรียกว่าเกือบทุกนาทีเลยก็ว่าได้ และที่สำคัญมันมีการซื้อขาย ทั้งบัตรเครดิต,บัตรเดบิต,การโอนเงิน,การส่งสินค้าแล้วค่อยรับเงิน,หรือการมารับสินค้าด้วยตัวเองที่ร้านค้าตัวเอง หรือ นัดกันมารับสินค้า นี่เป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้ e-commerce ในเมืองไทยโตขึ้นมาอย่างช้า ๆ ผมเป็นคนที่อยู่ในวงการนี้มานาน ทำเว็บไซต์ขายของเจ๊งมาก็เยอะ แต่คนเราต้องล้มก่อนจึงจะชนะได้ ทำให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของระบบ E-commerce แต่สิ่งที่น่าดีใจคือ คนไทยเริ่มมีการพัฒนาจากการทำเว็บไซต์ ลิงค์ไปๆมาๆ เริ่มเป็นมืออาชีพมากขึ้น เป็นสถานที่ค้นหาข้อมูล หรือความชำนาญ เฉพาะด้านมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง Bloggang ของพวกเรา ก็เป็นแหล่งข้อมูลได้อย่างดี คนที่มีความรู้มารวมตัวกันเขียน Blog ของตัวเองเพื่อเผยแพร่ความรู้ ซึ่งก็เป็น E-commerce อย่างหนึ่งได้เช่นกัน E-commere ไม่ได้จำกัดแค่การซื้อมา ขายไป การผลิตสินค้าแล้วขายบนเว็บไซต์ หรือบริการจองตั๋ว จองที่พักหรือ การประมูล แต่ E-commerce การสามารถให้ความรู้ในเรื่องต่างๆได้ ไม่แน่ถ้าใครลองหาค้นหาตัวเองเจอ E-commerce ก็อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งของการมีรายได้อย่างงามทางหนึ่งก็ได้ แต่สิ่งที่ท่องให้ขึ้นใจ คือ E-commerce คือธุรกิจอย่างหนึ่งไม่ใช่เปิดเว็บไซต์แล้วจะมีคนเข้ามา จะทำทุ่มเทและผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก จงทำให้เหมือนกับกิจการหนึ่ง แล้วคุณจะรวยเอง ขอให้โชคดีครับ