ปราสาทตาเมือนโต๊ด กิ่งอ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์หลังจากพาไปชมปราสาทตาเมือนธมที่อยู่ในละแวกเดียวกันไปแล้ว คราวนี้มาต่อกันที่ปราสาทตาเมือนโต๊ดค่ะ เมื่อเดินทางกลับออกมาจากปราสาทตาเมือนธมไม่ไกล ก็จะพบปราสาทหลังนี้ตั้งอยู่บริเวณทางด้านซ้ายของถนน เชื่อกันว่าปราสาทนี้ทำหน้าที่เป็นศาสนสถานประจำโรงพยาบาล หรือ อโรคยศาลา โดยในไทยได้พบปราสาทแบบนี้แล้วราว 30 แห่ง จากทั้งหมด 102 แห่ง ที่ถูกระบุไว้ในจารึกที่ปราสาทตาพรหมในเมืองพระนคร(หรือเมืองเสียมเรียบในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน) ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทราบว่าปราสาทหลังนี้เป็นศาสนสถานประจำอโรคยศาลานั้น ก็เนื่องมาจากว่าลักษณะของแผนผังที่มีแบบแผนเดียวกับปราสาทแห่งอื่นๆ ทั้งในไทยและในกัมพูชา ที่ได้มีการพบจารึกซึ่งระบุว่า ได้มีหน้าที่เป็นศาสนสถานประจำอโรคยศาลานั่นเองค่ะ*อโรคยศาลา ก็คือ สถานที่ที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เทียบกับปัจจุบันก็ประมาณโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ โดยอโรคยศาลาแต่ละแห่งนั้น ก็มักจะมีศาสนสถานประจำอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพของเทพเจ้า และขอพรให้ช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆให้สภาพทั่วไปของปราสาทภาพนี้ถ่ายเมื่อตอนไปภาคสนามที่ปราสาทนี้ครั้งที่สองค่ะ จะสังเกตได้ว่าสระน้ำที่เห็นจะมีน้ำขึ้นมาแล้ว ในขณะที่รูปแรก เต็มไปด้วยหญ้าค่ะสระน้ำแบบนี้จะพบได้ทั่วไปในปราสาทเขมรเกือบทุกปราสาท เข้าใจว่าเพื่อประโยชน์และความสะดวกในการใช้น้ำอุปโภคบริโภคค่ะปราสาทหลังนี้เป็นปราสาทซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในพระพุทธศาสนา นิหายมหายาน ก่อด้วยศิลาแลงเป็นส่วนใหญ่ โดยได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งปรากฏข้อความในจารึกที่ว่าพระองค์ได้โปรดฯให้สร้าง อโรคยศาลา ที่พักคนเดินทาง และถนนที่ตัดมาจากเมืองพระนคร ขึ้นหลายแห่งในบริเวณที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ รวมถึงการกำหนดอายุจากรูปแบบศิลปะก็สามารถกำหนดได้อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับศิลปะของแบบบายนอีกด้วยซึ่งลักษณะของผังที่กล่าวว่ามีรูปแบบเดียวกันนั้น ก็คือ ศาสนสถาน 1 แห่งจะประกอบไปด้วย ปราสาทประธาน 1 หลัง ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยมีบรรณาลัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน ภาพตัวปราสาทประธาน จะเห็นได้ว่า ส่วนตัวอาคารนั้นก่อด้วยหินทราย ต่อมาที่ส่วนยอดจึงก่อด้วยศิลาแลง แล้วที่ยอดบัวด้านบนซึ่งต้องสลักลายนั้นจึงก่อด้วยหินทรายอีกทีค่ะ บรรณาลัยของปราสาทตาเมือนโต๊ดค่ะ ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์เลยทีเดียวซึ่งทั้งตัวปราสาทประธานและบรรณาลัยนั้น จะมีกำแพงล้อมรอบ(ทางกำแพงด้านทิศตะวันออกจะมีการทำซุ้มประตู หรือที่เรียกว่า "โคปุระ" อยู่ด้วย) และนอกกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ก็จะมีสระน้ำอยู่ ภาพถ่ายโคปุระจากทางด้านหน้าค่ะ จะเห็นได้ว่าส่วนที่เป็นช่องประตูช่องหน้าต่างนั้น จะก่อด้วยหินทราย เนื่องจากเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนักมากนั่นเองค่ะซึ่งลักษณะร่วมเหล่านี้พบได้ในปราสาททุกแห่งที่ทำหน้าที่เป็นศาสนสถานประจำอโรคยศาลา ทั้งที่พบในเมืองพระนครและที่พบในประเทศไทย เพียงแต่ว่าปราสาทในเมืองพระนครจะดูมีฝีมือที่ประณีตกว่าเท่านั้น ความเหมือนกันเหล่านี้จึงอาจเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกมาจากส่วนกลางก็คือเมืองพระนคร ซึ่งอาจเป็นการระบุเป็นระเบียบแบบแผนในการสร้าง รวมไปถึงยังอาจมีการส่งช่างออกมาก่อสร้างให้ด้วยก็เป็นได้ตัวปราสาทประธานนั้นก่อด้วยวัสดุ 2 อย่างคือ มีทั้งส่วนที่เป็นศิลาทราย และศิลาแลง โดยศิลาแลงที่ใช้ในปราสาทแบบเขมรนั้น จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งผังของปราสาทประธานนั้น จะมีเพียงแค่ส่วนของครรภคฤหะ ที่มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีจุดที่น่าสังเกตก็คือ ที่หน้าบันของมุขที่ยื่นออกมานั้น จะมีช่อง/หลุม รูปสี่เหลี่ยม 4 ช่อง ทำให้มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นที่สำหรับเสียบเดือยเพื่อต่อคานไม้หลังคามุงกระเบื้อง ออกมาอีก ช่องสี่เหลี่ยมที่เห็นในรูปนั่นล่ะค่ะ คือจุดที่สันนิษฐานว่าอาจทำไว้สำหรับเสียบเดือยไม้คานของส่วนที่ก่อสร้างเพิ่มยื่นออกมาด้านหน้าซึ่งที่ลานด้านหน้าของมุขที่ยื่นออกมาจากส่วนครรภคฤหะนั้น ก็พบหลุมเสาด้วย เป็นการสนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โดยส่วนที่คาดว่าจะมีการต่อยื่นเป็นอาคารไม้ออกมานี้ อาจถือได้ว่าเป็นส่วนของมณฑป แล้วส่วนที่เห็นเป็นมุขในปัจจุบันก็อาจกลายเป็นส่วนของอันตราระนอกจากนี้ ที่ปราสาทหลังนี้ยังได้พบตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะการก่อสร้างหน้าบันของปราสาทเขมรอีกด้วย โดยในส่วนของหน้าบันนั้นจะมีการก่อเรียนหินเว้นเป็นช่องสามเหลี่ยม เพื่อเป็นการถ่ายน้ำหนัก จากส่วนของหลังคาไม่ให้ไปลงที่ทับหลัง ซึ่งมีหน้าที่คล้ายกับคาน แต่ให้ไปลงที่ส่วนของกรอบประตูซึ่งเป็นส่วนที่รับน้ำหนักได้มากกว่าแทน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ปราสาทพังลงมานั่นเอง เห็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆนั่นใช่มั้ยคะ นั่นแหละค่ะ ถ้าเป็นสภาพสมบูรณ์ตรงนั้นจะมีการทำหน้าบันมาปิด แต่จริงๆด้านในจะก่อกลวงเป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อถ่ายน้ำหนัก ช่างสมัยโบราณนี่เค้าก็เก่งนะคะ คิดดูว่าทั้งหินทั้งศิลาแลง น้ำหนักมันจะมากขนาดไหน ยังสามารถก่อสร้างจนหลงเหลือมาให้เราได้ศึกษากันได้ ตั้งกี่ร้อยปีมาแล้วล่ะนั่น เหอๆๆ เกือบพันปีแล้วอ่ะรูปนี้อยากเอามาให้ดูเฉยๆค่ะ คิดดูขนาดวัสดุที่เป็นศิลาแลงซึ่งไม่เหมาะกับการสลักใดๆทั้งปวง เนื่องจากเนื้อหยาบและมีรูพรุนเยอะ แต่เค้าก็ยังไม่วายขอสลักเป็นลวดลายซักนิดๆหน่อยๆก็ยังดี สุดยอดจริงๆ หุหุหุ
คนโบราณนี่ก็เก่งนะ จับก้อนหินมาต่อ ๆ กันจนเป็นรูปร่างได้สวยงามดี