๑۩۞۩๑ ♡...morphine story... ◕。◕~♫ ~♪ ~
 

In America 4 (Something different)



วันนี้ได้คุยกับตาลถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างไทยและอเมริกา

ไม่น่าเชื่อที่เราพบว่ามีหลายสิ่งหลายอย่าง

ที่สองชาติต่างกันมากเหลือเกิน

แม้อยู่คนละฝั่งฟากของเข็มทิศ แต่เราก็อยู่บนโลกใบเดียวกัน

หากจะเปรียบเทียบก็คงเหมือนแม่เหล็กต่างขั้ว

ประจุต่างกันก็จริง แต่มันก็ไอ้แร่ก้อนเดียวกันนี่เเหละ

ไม่น่าเชื่อเหมือนกับเป็นความจงใจของใครสักคน

ลองมาดูกัน ว่าอะไรบ้างที่ไทยต่างจากอเมริกา





เริ่มจากขณะที่เมืองไทยพระอาทิตย์ขึ้น

ที่อเมริกาพระอาทิตย์ตก

(รู้มั้ยว่าดวงอาทิตย์ที่นี่ตกเอาตอนเกือบสามทุ่ม)

อากาศเมืองไทยร้อนจัง แต่ที่นี่เย็นดีนะ

คนไทยพยายามจะเป็นสังคมเมือง

อเมริกาพยายามคืนสู่ธรรมชาติ














ฝรั่งผิวขาวตัวใหญ่ คนไทยผิวคล้ำตัวเล็ก

การขับรถที่เมืองไทยชิดซ้าย อเมริกาชิดขวา

พวงมาลัยพี่ไทยก็ขวา ส่วนอเมริกาซ้าย

ที่เมืองไทยคุณจอดรถข้างถนนตรงไหนก็ได้ที่ไม่มีป้ายห้ามจอด

แต่ที่อเมริกาคุณต้องจ่ายก่อนถึงจะจอดได้








อเมริกาเก่งกาจทางเทคโนโลยี

แต่ไทยเรามีภาษีด้านศิลปะวัฒนธรรม

เวลาตื่นนอนคนไทยมักพับผ้าห่มไว้ปลายเตียง

ที่นี่เอาคลุมมันทั้งเตียงเลยทีเดียว

ต้นไม้ใบหญ้าของที่อเมริกาใหญ่จัง

ผลิตผลทางการเกษตรประเภทเดียวกัน

แต่ที่เมืองไทยขนาดเล็กกว่าทุกอย่าง








การกินซุปบ้านเรามักกินหลังอาหารจานหลัก

แต่ที่นี่กินซุปก่อนแล้วตามด้วยเมนคอร์ส

อาหารการกินที่เมืองไทยถูกเหมือนแจกฟรี

แต่ที่นี่แพงหูฉี่แม้แต่ผักที่ปลูกในประเทศ

ใบมีดของที่อเมริกามักจะมีเลื่อย

ส่วนมีดสัญชาติไทยคมเรียบกริบ

คนไทยปอกผลไม้ออกจากตัว ส่วนมะกันปอกเข้าหาตัว





ค่าครองชีพที่อเมริกาสูง แต่ขายรถถูกเอามากๆ

ค่าครองชีพที่เมืองไทยต่ำ แต่รถแพงหูฉี่

โทรศัพท์มือถือเมืองไทยราคาเรือนหมื่น

ที่อเมริกาอย่างหรูก็ร้อยกว่าเหรียญ

(บางรุ่นซื้อหนึ่งแถมสามด้วยนะเอ้า)

รถที่นี่นิยมขับกันคันใหญ่ๆ

แต่เมืองไทยคันเล็กๆเต็มถนน

คนไทยนิยมใช้ช้อน ฝรั่งส้อมอันเดียวก็พอละ





ในซีรีส์หัวค่ำดาราที่นี่แทบไม่แต่งหน้า

แต่ละครภาคดึกเมืองไทยแต่งหนาสามนิ้ว

แฟชั่นที่นี่ชอบผมที่มีวอลลุ่ม

แต่คนไทยหนีบกันซะแบนติดหัว

แอร์โฮสเตสเมืองไทยสาวสวยใจดี

ส่วนแอร์มะกันทั้งสูงอายุและดุดัน

คนไทยอยากขาว อเมริกันอยากคล้ำ

ที่นี่คุณจึงหาซื้อไวท์เทนนิ่งไม่ได้แม้แต่กระปุกเดียว

อเมริกันถือมากเรื่องการทักทายเรื่องอายุ

และความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

แต่พี่ไทยเจอกันก็ทักเรื่องนั้นเป็นอย่างแรกเลย

(อ้วนขึ้นรึเปล่าเธอ)

คนไทยนิยมเรียนสูงๆ แต่อเมริกันส่วนใหญ่จบแค่ไฮสคูล




อเมริกันเชื่อมั่นในสินค้าที่ตราว่า made in USA.

แต่ถ้าเลือกได้

คนไทยไม่ซื้อสินค้าที่มีตราว่า made in Thailand







 

Create Date : 16 กันยายน 2549    
Last Update : 9 ตุลาคม 2549 21:15:14 น.
Counter : 449 Pageviews.  

In America 3 (Van Goh)




" ในชีวิตของจิตกรแล้ว ความตายอาจไม่ใช่ความยากลำบากที่สุดในชีวิต ฉันสามารถพูดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อฉันได้มองดูดวงดาวแล้ว ฉันก็เริ่มนึกคิดจุดดำมืดที่แสดง ถึงภาพของเมือง และหมู่บ้านในแผนที่ ทำให้ฉันคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้ให้ความสำคัญของ จุดดำมืดที่อยู่บนแผนที่ของฝรั่งเศส มากไปกว่า แสงสว่างอันแท้จริงที่ส่องตรงมาจากสวรรค์ มันก็คงเหมือนกับการที่เราเลือกไป รถไฟเพื่อจะไปยังทาราสคอน หรือโรน แทนที่เราจะเลือก เอาความตายเพื่อจะไปให้ถึงดวงดาวบนฟ้านั่น "

นี่คือบางข้อความจากวินเซนท์ แวนโก๊ะ ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์เจ้าของภาพวาดดอกทานตะวันมูลค่ามหาศาลกว่าพันล้านบาทที่เป็นที่รู้จักไปทั่ว ข้อความปุจฉาที่ไม่ปรารถนาคำเฉลย แต่แฝงไว้ด้วยนัยบางประการนี้ แวนโก๊ะกล่าวไว้ขณะลงมือวาดภาพสุดท้ายในชีวิตวัย 37 ปีของตน "Stary Night" ก่อนที่จะปลิดชีวิตตัวเองด้วยกระสุนปืนพกรีวอลเวอร์ที่กลางหว่างอกในปี 1890 จบการเดินทางแห่งความทุกข์ทรมาน สิ้นสุดทุกคำถามและปริศนาแห่งนัยอัตตาวิถี






วินเซนต์ แวนโก๊ะเป็นศิลปินชาวดัชช์ เคยศึกษาที่เบลเยียม ก่อนจะมาใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายของตนที่ฝรั่งเศส ใช่...เรื่องราวของแวนโก๊ะไม่มีส่วนใดผูกพันเกี่ยวเนื่องกับประเทศมหาอำนาจในยุคทุนนิยมเฟื่องฟูอย่างสหรัฐอเมริกาที่ต้องการพูดถึง เเวนโก๊ะไม่เคยมาเยือนดินแดนนี้ และเขาอาจไม่เคยรู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ แต่ที่เริ่มเรื่องด้วยการเกริ่นเรื่องราวของเขา ก็เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเพิ่งได้สมุดรวมภาพและประวัติของจิตรกรชื่อก้องโลกคนนี้ในรูปแบบหรูหราสองร้อยกว่าหน้ากระดาษอาร์ทมันสี่สีอย่างดี จากศูนย์การค้าธรรมดาๆ ในราคาประหยัด




ขณะที่แต่ละภาพจากปลายพู่กันของเขาเป็นที่ต้องการของผู้มีรสนิยมทางศิลปะทั่วโลก และได้รับการประเมินค่าราคาสูงลิ่วหลายสิบล้านเหรียญ แต่มุมหนึ่งของดินแดนใหม่มีเรื่องราวและบางสิ่งเกี่ยวกับผลงานของเขาวางขายอยู่ในราคาไม่ถึงสิบเหรียญ...

คุณค่าของมันต่างกันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หรือบางสิ่งไม่อาจวัดได้โดยราคาค่างวด?

นี่อาจเป็นเพียงปุจฉาที่ไม่ปรารถนาคำเฉลยเช่นกัน...

ชีวิตในอเมริกาหลังช่วง 2 สัปดาห์แรกผ่านพ้น ก็หมายถึงร่างกายได้ทำการปรับตัวอย่างเรียบร้อย พร้อมเริ่มต้นงานที่นอนรออยู่แล้วด้วยความกระตือรือร้น เต็มเปี่ยมด้วยไฟแห่งแรงบันดาลใจที่ลุกโชนอยู่รอบตัว เรื่องราวที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ถ่ายทอดถูกบันทึกไว้ในเทปขนาดเท่ากล่องไม้ขีด เพื่อใช้เรียบเรียงเป็นต้นฉบับร่างครั้งแรก ก่อนจะขัดเกลาและเรียบเรียงใหม่เท่าที่ความพยายามจะช่วยได้ แล้วส่งกลับคืนไปยัง Dr.T เจ้าของเรื่องให้ตรวจทานอีกครั้ง เราสิ้นสุดบทแรกลงโดยใช้เวลานานเท่ากับการพักผ่อนเมื่อครั้งเพิ่งมาถึง

จะมีกี่คนที่มีเรื่องราวในชีวิตมีค่าพอที่จะบอกเล่าให้เป็นอุทธาหรณ์แก่เพื่อนร่วมดวงดาวได้ และจะวีรบุรุษสักกี่คนที่มีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองแก่คนรุ่นหลัง แทนที่จะเป็นการวิเคราะห์วิจารณ์กันไปตามเหตุการณ์และความน่าจะเป็น การทำงานในครั้งนี้สร้างความภูมิใจให้ตัวเองพอสมควร ตรงที่มีส่วนนำเสนอเรื่องราวของบุคคลที่น่าเผยเเพร่ให้สาธารณชนล่วงรู้ด้วยการให้เขาใช้สิทธิเป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของเขาเอง

นับว่า Dr.T โชคดีกว่าวินเซนต์ แวนโก๊ะมาก ที่ได้บันทึกเรื่องราวของตนเองให้โลกรู้ มากกว่าหลักฐานจากการบอกเล่าของผู้อื่น และการจารึกไว้เพียงผลงานทางวิชาการที่เทียบได้กับผลงานขีดเขียนแทนความรู้สึกบนผืนผ้าใบของแวนโก๊ะ ตามประวัติที่ผ่านการกลั่นกรองทางทัศนคติจากใครสักคนมาแล้วบอกว่า แวนโก๊ะผู้อาภัพหมกมุ่นกับความไม่สำเร็จในชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักที่ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หรือจะผลงานของเขาที่เป็นได้เพียงสีฝีแปรงหยาบกร้านบนผืนผ้าใบธรรมดาสำหรับคนยุคนั้น (ในชีวิตของเขาขายรูปวาดได้เพียงรูปเดียวคือ รูปดอกไอริส) ความหมกมุ่นนั้นสะสมไว้มหาศาลพอที่จะทำให้เขาเป็นบ้า

และปริศนาแห่งชีวิตอันหดหู่ของเขาเฉลยได้เพียงความตาย

เรื่องราวเหล่านี้ถูกบอกเล่าโดยแวนโก๊ะไม่มีโอกาสได้แก้ตัว

น่าเสียดายที่เขาทำไม่ได้แม้เพียงล่วงรู้ว่า ชื่อของเขาเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะทุกสมัย และไม่ได้รู้ในสิ่งที่อยากรู้มากที่สุดว่าผลงานทั้งหมดของเขาล้ำค่าเพียงใด หลังจากสิ้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย
เช่นเดียวกับศิลปินหลายคน ที่โลกไม่ได้ตอบแทนคุณค่าของเขามากพอในยามที่เขายังรับรู้ได้ แม้แต่ก่อนที่นิยายจะปิดฉากลง

อย่างน้อยการศึกษาเรื่องราวและผลงานของวินเซนท์ แวนโก๊ะไปด้วยระหว่างการทำงานก็ช่วยให้ได้ความคิดดีๆไม่น้อย และช่วยให้แก้ต่างบางข้อกล่าวหาได้ว่า ในขณะที่ใครหลายคนตราหน้าอเมริกาว่าไม่มีอารยธรรม เรายังสามารถพบอาหารทางศิลปะรสเลิศได้ดาษดื่นตามศูนย์การค้า

เชื่อเถอะ...ว่าอเมริกาไม่ได้มีแค่ Junk Food






 

Create Date : 13 กันยายน 2549    
Last Update : 13 กันยายน 2549 3:44:03 น.
Counter : 602 Pageviews.  

In America 2 (10 days)






สิบวันของการใช้ชีวิตในฟลอริดา



นานพอที่จะหายเหนื่อยจากการเดินทาง



มากพอที่จะปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง



นานพอจะพักใจจากความตื่นเต้นในสิ่งใหม่ที่ผ่านเข้ามา


และมากพอแล้วสำหรับการหยุดพักเพื่อเริ่มการเดินทางกันใหม่อีกครั้ง





@@@@@@





ระหว่างการเดินทางได้พบกับเพื่่่อนร่วมทางที่ใจดี



MR. Alfred Chu



ชายชาวไต้หวันวัย 50 ที่ยึดมั่นในพุทธศาสนา



เชื่อในความดีจากภายในและจิตใจที่บริสุทธิ์



ที่สำคัญ เค้าหลงรักอาหารไทยเข้าเต็มเปา



แต่ตอนนี้จิตใจเขากำลังมีเรื่องวุ่นมากวนใจ



เหตุมาจากลูกชายสุดหล่อมีสาวมารุมล้อมจนพ่อกันไม่ไหว



ขอบคุณ MR.Chu ที่ทำให้เวลา 12 ชั่วโมงของการเดินทางไม่เหงา



และขอบคุณสำหรับคำแนะนำ คำสอน คำบอกเล่ามุมมองของชีวิต



หวังว่าวันหนึ่งจะได้พบกันอีกครั้ง





@@@@@@



และแล้วก็ได้เวลาเริ่มงานเขียน หลังจากวางแผนศึกษาข้อมูลมาสักระยะ



เรื่องที่เขียนก็เกี่ยวกับ Oral Surgeon จอมยุ่งคนหนึ่ง



DR.T เจ้าของเรื่อง เป็นผู้ชายฉลาดที่ใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีค่า



ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง



รวมไปถึงคนที่บังเอิญโคจรเข้ามาในชีวิตเขา



ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย ผ่าตัดทั้งวัน กลับมาเขียนหนังสือ



ไม่รู้ใช้อะไรเป็นพลังงานขับเคลื่อน



มันถึงได้ล้นเหลือเผื่อแผ่ไปถึงคนที่อยู่ใกล้ๆ



พาลอยากใช้ชีวิตให้มีประโยชน์กันหมด



ถ้าผลิตพลังงานแบบนี้ได้เองบ้างคงดี





@@@@@@


สิ่งนึงที่ลืมไม่ได้คือการเดินทางครั้งนี้ประเด็นอยู่ที่การทำงาน


ส่วนเรื่องอื่นที่ตามมาถือเป็นผลกำไร


คงไม่ต้องเดาว่าจะได้อะไรจากงานเขียนเล่มแรกเล่มนี้


เพราะไม่ว่ามันจะคืออะไร



ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าเกินกว่าความคาดหมายอยู่แล้ว



@@@@@@@@@@@@








 

Create Date : 11 กันยายน 2549    
Last Update : 11 กันยายน 2549 11:03:18 น.
Counter : 500 Pageviews.  

In America 1 (Do you believe in destiny? :intro)




คุณเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตไหม


เชื่อไหมว่า...



ทุกอย่างที่อุบัติในโลกสัณฐานกลม เบี้ยวๆใบนี้



ล้วนถูกกำหนดไว้แล้วทั้งสิ้น



เพราะฉะนั้นสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างไม่คาดคิด



ในนามพรหมลิขิต (จากชื่อน่าจะเป็นฮินดู)



ล้วนมีที่มาจากมือของพระเบื้องบน (ตามความเชื่อของคริสเตียน)



ลิขิตโดยกรรมเก่าที่เราสร้างสมมา (ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชน)



หรือสุดแต่โชคชะตานำพาไป (ตามความเชื่อนี้ี่ไม่มีเส้นแบ่งทางศาสนา)





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑



ดังนั้นการที่เราได้พบเจอกับใครสักคน หรือเหตุการณ์บางอย่าง



ที่บังเอิญพรหมลิขิตขีดเส้นทางเดินให้มาบรรจบกันพอดี



และจากไป เมื่อเส้นรอบวงของลิขิตชีวิตอยู่ในองศาที่ต่างกัน



ก็คงเป็นเรื่องที่จะไปยึดติดหาความกับมันไม่ได้



ดั่งเราไม่อาจควบคุมความเป็นไปของสายลมได้...ฉะนั้นเเล



เมื่อใดที่ลมพัดพามาต้องกายให้ชื่นใจ



จงซาบซึ้งกับสัมผัสนั้นให้เนิ่นนาน



คงไม่อาจวางใจ ด้วยเพียงกระพริบตาหนึ่งครั้ง



สายลมเย็นนี้ก็อาจพัดผ่านไป





๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑





บ่อยครั้งที่พรหมลิขิตเล่นตลก



ฉุดกระชากลากโยนชีวิตเราเล่น



จากที่ต่ำขึ้นสู่ที่สูง จากสูงลงสู่ที่ต่ำ



อย่างไม่หวาดหวั่นกับความดันที่เปลี่ยนแปลง



แบบนี้ยอมมากไปอาจหัวใจวาย



....



ถ้าจำเป็น ก็ลองลุกขึ้นสู้กับมันดูบ้าง



เพราะบางทีพรหมลิขิตอาจโคจรด้วยอิทธิพลของเส้นลายมือ



.....



ที่เราถืออยู่ในกำมือทุกเมื่อเชื่อวัน




๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑




บางสิ่งบางอย่างที่อุบัติขึ้นในชีวิตคนเรามักถูกกำหนดไว้แล้วจากคนเบื้องบน คำกล่าวนี้อาจฟังดูไร้เหตุผล และง่ายดาย เหมือนไม่พยายามอธิบายตามวิถีทางที่มันควรจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมจำนนกับมันทุกครั้งเมื่อพบว่า.....ไม่มีข้อความใดจะอธิบายได้ดีกว่านี้


ความบังเอิญที่ถูกกำหนดไว้บางอย่างนำพามาสู่ต่างแดน หลังจากทุกข์ร้อนอยู่พอสมควรกับการขอวีซ่าออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต ทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรให้ต้องหนักใจมากมาย คำถามไม่กี่คำถามของเจ้าหน้าที่สถานทูต แลกกับการรอคอยมายาวนานกว่าครึ่งวันบรรเทาความกังวลให้แปรสภาพเป็นความเบื่อหน่ายไปบ้างเล็กน้อย บทสนทนาส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับสถานภาพของตัวเรา ซึ่งไม่น่าจะก่อปัญหาให้ใครได้

ภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นที่ตอบไป ทำให้อีกครึ่งเดือนถัดมาเราพบตัวเองยืนทำหน้าม่อยให้เจ้าหน้าที่รู้สึกได้ถึงความกังวลอีกครั้งอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของประเทศมหาอำนาจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตาม Dr.Tในสนามบินแอลเอเพื่อต่อเครื่องบินไปยังเมืองแจ็คสันวิลล์ซึ่งเป็นจุดหมายของการเดินทางและหลับตานอนครั้งแรก บนผืนแผ่นดินอันห่างไกลจากถิ่นกำเนิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในโลกนี้


งานการที่คั่งค้างถูกทิ้งไว้เบื้องหลังที่เมืองไทยสร้างความกังวลให้เล็กน้อย แต่เทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตาตื่นใจในดินแดนใหม่ของชีวิต และภารกิจอันเป็นที่ใฝ่ฝันมานานเนิ่น เราเริ่ม 2 สัปดาห์แรกของตัวเองเมืองแปลกหน้านี้ด้วยการพักผ่อน



ก่อนจะเริ่มตามหา…บางสิ่งที่รอคอยการมาเยือนอยู่อย่างเงียบเชียบ....

to be continue




 

Create Date : 09 กันยายน 2549    
Last Update : 22 กันยายน 2549 7:59:43 น.
Counter : 493 Pageviews.  

1  2  
 
 

m_phine
Location :
FL. United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add m_phine's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com