วันก่อนคุณชีริว คอมเมนท์ไว้... เพิ่งรู้ว่ามีซีรีส์ เดินเล่น ย่านเยาวราช
พี่อ่านแล้วยิ้มเลยค่ะ เออเนาะ ไม่ว่าเที่ยววันเดียว ๒-๓ วัน ถ่ายรูปมาเยอะไง เลยแทบจะเป็นซีรีส์ เป็นมหากาพย์ไปซะหมด
ทริปนี้เช่นกัน วันเดียวเที่ยวอยุธยา ไม่แปะ link ให้นะคะ ลงวัดติดๆ กันในกลุ่มบล็อกนี้แหละ
แผนที่วัดในอยุธยา เอามาจากเน็ต ต้องไปกี่รอบถึงจะไปครบทุกวัดนะ
๑๕.๑๑ น. วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ขวามือของภาพ โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ค่ะ
กลับมาที่วงเวียน เจดีย์วัดสามปลื้มอีกค่ะ
วัดสมณโกฏฐาราม
สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น และปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในสมัยอยุธยาตอนปลายโดยเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษา (ปาน) อาจเป็นช่วงสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ในจดหมายเหตุของแกมเฟอร์ แพทย์ชาวเยอรมัน ที่ทำงานในบริษัท อีสต์อินเดีย ของฮอลันดาเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๓ ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
วัดสมณโกฎฐาราม ปัจจุบันเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ โดยสร้างเสนาสนะอยู่ทางทิศใต้ของโบราณสถาน ไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับประวัติการสร้างวัดนี้
ในจดหมายเหตุแกมเฟอร์ ระบุว่าได้รับการบูรณะโดยเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก)
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยเรียกชื่อว่า "วัดพระยาพระคลัง" และระบุว่าสมเด็จพระเพทราชาเสด็จไปพระราชทานเพลิงศพเจ้าแม่ดุสิต
ซึ่งเป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งเป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๓๓ ที่วัดสมณโกฏฐาราม นี้ด้วย
จึงพอสันนิษฐานได้ว่า วัดนี้น่าจะเป็นวัดที่เจ้าพระยาโกษาธิบดีทั้งสองท่านปฏิสังขรณ์เพื่อให้เป็นวัดประจำตระกูล ภายในวัดมีวิหารอยู่ทางทิศตะวันออก มีฐานปรางค์ขนาดใหญ่ล้อมด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยม
จากการขุดแต่งพบว่า ปรางค์ดังกล่าวเป็นปรางค์ที่สร้างขึ้นในราวปลายสมัยอยุธยาตอนกลาง เป็นพระปรางค์ที่สร้างบนเจดีย์องค์เดิม
มีมุขยื่นออกไปทางตะวันออก มีบันไดทางขึ้นสู่ลานประทักษิณที่เชื่อมต่อกับเจดีย์ประจำมุมทั้งสี่และมีกำแพงแก้วล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมี เจดีย์ระฆังขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างพระปรางค์และพระอุโบสถ สันนิษฐานว่าน่าจะมีมาแต่แรกเริ่มการสร้างวัดตามลักษณะของเจดีย์และลวดลายที่ประดับอยู่บนบัลลังก์
ซึ่งโบราณสถานเหล่านี้ได้สร้างทับรากฐานเดิมอันเป็นงานที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น
พระอุโบสถ ก่ออิฐถือปูน มีประตูเข้าออก ทางด้านข้าง ๔ ประตู หลังคาต่อเป็นโครงไม้หน้าจั่ว กว้างประมาณ ๓.๕ เมตร
ใบเสมา (บูรณะแล้ว) มีหลายแบบ
พระประธานในพระอุโบสถชื่อ พระศรีสมณโกฏบพิตร ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๔๙ นิ้ว สูง ๑๙๐ นิ้ว
เนื้อองค์พระเป็นหินทราย ปางมารวิชัย พุทธลักษณะงาม สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น บูรณะปฏิสังขรณ์อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ทางวัดได้บูรณะใหม่ โดยการลงรักปิดทอง
ด้านหลังพระอุโบสถ มีแต่หน้าต่าง ไม่มีประตู (ประตูทางเข้า อยู่ด้านข้าง)
วิหารขนาดใหญ่ เข้าใจว่า เลียนแบบเจดีย์วัดเจ็ดยอด เชียงใหม่
ต่อเลยนะคะ ๑๕.๒๓ น. วัดมเหยงคณ์
ทางเข้า
วันนี้ ตั้งใจมาในส่วนของโบราณสถาน ไม่ได้เข้าไปเขตวัดที่เค้ามีปฏิบัติธรรมกันเลยค่ะ
ค่าธรรมเนียมเข้าชมโบราณสถาน ๑๐ บาท / ชาวต่างชาติ ๕๐ บาท
วัดมเหยงคณ์ เดิมเป็นพระอารามหลวงฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่เคยสำคัญยิ่งมาในอดีตสมัยอยุธยา โดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงสร้างขึ้น
และได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้งในหลายสมัย แต่ได้กลายเป็นวัดร้าง เข้าใจว่านับตั้งแต่เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ รวมเวลาล่วงเลยมา ๒๐๐ กว่าปี
ปัจจุบัน เป็นวัดร้างที่สภาพโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ยังเหลืออยู่ได้ปรักหักพังไปมาก
แต่ก็พอมีเค้าเป็นหลักฐานบ่งบอกถึงศิลปะการก่อสร้างอันประณีตงดงามมโหฬารและระดับความสำคัญของพระอารามแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ข้อมูลจาก //www.watmaheyong.org/
แนวคิดทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเกี่ยวกับการสร้างวัดมเหยงคณ์ ได้แตกออกเป็น ๒ แนวทางคือ
ตามพงศาวดารเหนือได้บันทึกไว้ว่า พระนางกัลยาณี มเหสีของพระเจ้าธรรมราชา (พ.ศ. ๑๘๔๔-๑๘๕๓)
กษัตริย์องค์ที่ ๘ ของอโยธยาเป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์ ซึ่งแสดงว่าวัดมเหยงคณ์สร้างในสมัยอโยธยาก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อย ๔๐ ปี
ส่วนพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า ศักราช ๗๘๖ มะโรงศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า (เจ้าสามพระยา) กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาเป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์
ขณะที่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติกล่าวว่า ศักราช ๘๐๐ มะเมียศก (พ.ศ.๑๙๘๑) สมเด็จบรมราชาธิราชเจ้า (เจ้าสามพระยา) เป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์
มีการวิเคราะห์กันว่าวัดมเหยงคณ์นั้นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งอโยธยา แต่ชำรุดทรุดโทรมเมื่อเวลาผ่านไปกว่า ๑๐๐ ปี
ถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชทรงเห็นว่าเป็นวัดเก่าแก่ จึงบูรณะและสร้างเพิ่มเติมให้ใหญ่โตจากโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว
วัดมเหยงคณ์ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ในสมัยกษัตริย์พระนามว่า พระภูมิมหาราช (พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ) ในปีฉลูเอกศก (สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย พ.ศ.๒๒๕๒)
วัดมเหยงคณ์ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยกรุงศรีอยุธยา และคงรุ่งเรืองตลอดมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาแตกใน พ.ศ. ๒๓๑๐
ภายในวัดมเหยงคณ์ มีพระอุโบสถ ตั้งอยู่บนฐานสูง ๒ ชั้นลดหลั่นกัน ขนาดพระอุโบสถกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๓๖ เมตร
นับว่าเป็นพระอุโบสถที่ใหญ่ที่สุดในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หลวงพ่อหินทราย
จากด้านหน้าพระอุโบสถ มองกลับไป ทางเดินเข้า (ฉนวน)
ใบเสมาคู่ (วัดหลวง)
หลังพระอุโบสถทางทิศตะวันตกพ้นเขตกำแพงแก้ว จะพบพระเจดีย์ฐานช้างล้อมซึ่งเป็นเจดีย์องค์ประธานของวัดมเหยงคณ์
ตั้งอยู่บนฐานทักษิณสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างยาวด้านละ ๓๒ เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ
มีบันไดทางขึ้นทั้ง ๔ ทิศ ที่ฐานทักษิณมีรูปช้างปูนปั้นยืนประดับอยู่ตามซุ้มรอบฐานรวม ๘๐ เชือก
องค์เจดีย์ประธานยอดเจดีย์หักตั้งแต่ใต้บัลลังก์ลงมา ฐานชั้นล่างของพระเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปจตุรทิศยื่นออกมาเห็นชัดเจน
มองกลับไปที่พระอุโบสถ
ปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดมเหยงคณ์เป็นโบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
กรมศิลปากรได้เข้าไปบูรณะ และเนื้อที่นอกเขตโบราณสถานได้จัดเป็นสำนักปฏิบัติกรรมฐาน
ปะป๊าจะกลับรถ ขับมาจนสุดทาง ไม่แน่ใจว่าเขตวัดมเหยงคณ์หรือเปล่าค่ะ
ไปแล้วค่ะ ภาพสุดท้าย ทางออก วัดมเหยงคณ์
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Travel Blog ดู Blog
สายหมอกและก้อนเมฆ Photo Blog ดู Blog
เป็นการไป ที่ ได้คุ้ม นะคะ ได้ภาพสวยๆ ได้ รู้ในประวัติศาสตร์ ด้วย
ขวัญ เอง อยู่แถวนั้น แท้ๆ ยังไม่เคยไปเลยค่ะ
แต่วันนี้ ไปกับ พี่หนู แล้ววว