ห้องแฟนตาซีของmoony
|
|||
นักล่าแห่งรัตติกาล ภาคสัญลักษณ์เลือด บทที่ 10 โคโนท็อกซิน 2
หลังจากเยี่ยมคริสโตเฟอร์แล้วโทมัสก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องถึงสองวัน การกระทำของเขาสร้างความพอใจให้กับคูเปอร์เป็นอย่างมากเพราะเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว แต่พอย่างเข้าวันที่สามกลุ่มเลือดสีน้ำเงินก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นโทมัสเข้าเรียนตามปรกติซ้ำยังมีท่าทีเหมือนไม่เห็นคูเปอร์กับบริวารอยู่ในสายตา ปฏิกิริยาของเขาสร้างความแค้นใจให้กับคูเปอร์เป็นอย่างมากจนถึงกับดักรอหาเรื่องโทมัสอยู่หน้าหอพัก ทันทีที่เป้าหมายปรากฏตัวสมุนคนหนึ่งก็ปราดเข้าไปขวางทาง
จะไปไหนไอ้หนูสกปรก โทมัสไม่ตอบแต่กลับเดินเลี่ยงไปอีกด้านแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกบริวารคูเปอร์อีกสองสามคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานปิดทางเอาไว้ หลีก เขาพูดสั้นๆ อันธพาลทั้งหมดมองหน้ากันแล้วหัวเราะ หนูพูดได้ด้วยแฮะ หนึ่งในนั้นหันไปทางด้านหลัง พวกเราเจอหนูโสโครกพูดได้ เอายังไงดีคูเปอร์ คนถูกเรียกก้าวมายืนข้างหน้าและมองโทมัสด้วยสายตาที่พร้อมจะมีเรื่อง สัตว์ไร้ประโยชน์แบบนั้นมีทางเลือกแค่อย่างเดียว คูเปอร์พูดพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายแน่วนิ่ง ตาย เขาส่งรอยยิ้มแสนอำมหิตให้ขณะขยับถอยออกห่างแต่ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อโทมัสพูดขึ้น พวกหนูไม่ใช่สัตว์ไร้ประโยชน์ ว่าไงนะ คูเปอร์ย้อนคำถามเสียงดัง โทมัสยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หนูบางสายพันธุ์น่ารักจนกลายเป็นสัตว์เลี้ยง บางพันธุ์ถูกใช้เป็นสัตว์ทดลองซึ่งนำคุณค่ามหาศาลมาสู่มนุษย์ต่างจากพวกหนอนแมลงวันที่ดีแต่กินของเน่าแต่ไม่มีคุณประโยชน์อะไรเลย โทมัสจ้องหน้าคูปเอร์อย่างเจาะจง อีกฝ่ายคำรามด้วยความเดือดดาล แก! กล้าดียังไงมาเปรียบพวกเราเป็นหนอน ฉันแค่เปรียบเปรยให้ฟัง นายต่างหากที่ยอมรับเอง โทมัสพูดพร้อมกับเหยียดยิ้มในทำนองยั่วเย้า เพียงแค่นั้นก็สามารถจุดโทสะของคูเปอร์ให้ลุกท่วมจนแทบขาดสติ เขาปราดเข้าไปขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายทันทีแต่ต้องร้องลั่นเมื่ออะไรบางอย่างแทงเข้าไปที่ปลายนิ้ว แกยัดอะไรไว้ในปกเสื้อ คูเปอร์ถามหลังจากดึงมือออก โทมัสปัดเสื้อตัวเองเบาๆ แค่เข็มเล็กๆเท่านั้น เข็ม! คูเปอร์ทวนคำด้วยความโกรธ หมายความว่าแกจงใจแกล้งเรา ใบหน้าของโทมัสเย็นชาปราศจากความรู้สึกขณะมองคูเปอร์ที่กำลังจ้องหยดเลือดบนมือของตัวเอง ไม่ใช่การแกล้งแต่เป็นการตอบโต้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมานิสัยของพวกชอบข่มขู่มีอยู่สองแบบคือตรงเข้ามาต่อยกับกระชากคอเสื้อ ถ้าเป็นอย่างแรกคงแย่หน่อยแต่โชคดีที่เราอยู่ในมหาวิทยาลัยฉันเลยมั่นใจว่านายต้องใช้วิธีหลัง เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ต่างจากคูเปอร์ที่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ แกกำลังเล่นอะไร เจ้าหนูสกปรก คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้เล่นแต่เอาจริงต่างหาก สิ้นคำสมาชิกเลือดสีน้ำเงินที่อยู่ตรงนั้นต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ของคูเปอร์ เมื่อทุกคนหันไปมองก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นมือข้างที่กระชากคอเสื้อโทมัสบัดนี้บวมเป่งคล้ายลูกโป่งที่พร้อมจะระเบิดทันทีเมื่อโดนแตะ คูเปอร์! เสียงหนึ่งในนั้นร้องเรียกด้วยความตระหนกในขณะที่คนอื่นกลุ้มรุมเขาด้วยความเป็นห่วง ท่ามกลางความโกลาหลเสียงเรียบเย็นของโทมัสก็พูดขึ้น พิษแค่นั้นไม่ทำให้ถึงตายหรอก คูเปอร์ผลักทุกคนไปให้พ้นทาง ทั้งที่ลมหายใจเริ่มติดขัดเขาก็ยังกระชากเสียงถาม พิษอะไร ในทะเลแถบปะการังมีหอยชนิดหนึ่งสามารถฆ่าคนได้ด้วยการยิงเข็มพิษเพียงครั้งเดียว มันสามารถทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตได้ภายใน1/200 วินาที ความเร็วในการจู่โจมคือหนึ่งในสี่ของวินาที แกกำลังพูดถึงเรื่องอะไร คูเปอร์ถามทั้งเหงื่อท่วมร่าง โทมัสยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและอธิบายอย่างใจเย็น หอยเต้าปูน (Cone shell) แต่ฉันคิดว่าพวกสมองน้อยอย่างนายคงไม่รู้จัก เขาพูดเป็นเชิงดูถูก แน่นอนว่าในเขตหนาวไม่สามารถหาหอยชนิดนี้ได้แต่ฉันสามารถสร้างพิษของมันขึ้นมาจากโครงสร้างทางเคมี และยินดีที่จะบอกว่ามันคือโคโนทอกซิน (conotoxins) ของหอยบุหรี่ มันเป็นหอยเต้าปูนสายพันธุ์ Conus geographus ซึ่งมีพิษร้ายแรงมากที่สุด ดวงตาของเขาทอประกายวาวอย่างพึงพอใจขณะมองคูเปอร์คู้ตัวลงอย่างทรมาน พิษของมันไม่ได้ทำแค่บวมแต่จะออกฤทธิ์ในระบบประสาทตอนแรกนายจะปวดมาก จากนั้นก็เริ่มมึนงง ไม่มีแรง มีอาการชาไปทั้งตัว ถ้าแย่หน่อยก็อาจคลื่นไส้ อาเจียน ต่อไปกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต สายตาพร่ามัว ระบบการหายใจล้มเหลว และตายในที่สุด แน่นอนว่าไม่มียาชนิดไหนช่วยเยียวยาหรือรักษาพิษนี้ได้ แต่อย่างที่บอกมันเป็นพิษที่ฉันสร้างขึ้นดังนั้นระดับความรุนแรงจะลดลงและถ้าโชคดีนายก็จะหาย โทมัสล้วงเข้าไปในกระเป๋าดึงชวดแก้วขนาดเล็กออกมาทันทีเมื่อบริวารของคูเปอร์ขยับตัว ฉันยังคิดค้นพิษไว้อีกสองสามอย่างแต่ยังไม่เคยทดลองกับใคร เขาจ้องคนเหล่านั้นแน่วนิ่งก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางคูเปอร์ พวกนายควรรีบพาเขาไปโรงพยาบาล ทั้งหมดช่วยกันประคองหัวหน้ากลุ่มอย่างลนลาน ก่อนจากคูเปอร์ยังไม่วายหันมาขู่ อย่าคิดว่าเรื่องจะจบแค่นี้ หายดีเมื่อไหร่แกโดนหนักแน่เจ้าหนูสกปรก พูดได้แค่นั้นของเหลวขุ่นข้นก็พุ่งออกจากปาก ดวงตาของคูเปอร์เหลือกลานด้วยความตระหนกก่อนจะล้มลงนอนแน่นิ่ง อาการที่ทรุดหนักลงอย่างรวดเร็วทำให้เหล่าบรรดาลูกสมุนเร่งนำเขาส่งยังห้องพยาบาลอย่างรีบร้อน ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ไม่มีใครสนใจประโยคสุดท้ายของโทมัส ถึงจะหายแต่นายไม่มีวันกลับเป็นปรกติ ลาก่อนเจ้าหนอนไร้ประโยชน์ */*/*/*/* สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน มีข่าวจะมาแจ้งให้ทราบกันค่ะ นักล่าแห่งรัตติกาลภาคสาม การทดลองแห่งความตายกับภาคสี่ สัศลักษณ์เลือดผ่านพิจารณากับสนพ.สถาพรแล้ว และคงจะวางจำหน่ายในงานหนังสือเดือนมีนาคมนี้ค่ะ แต่ไม่ต้องกังวล มูนนี่จะยังคงนำนิยายมาลงต่อได้อีกสักระยะ และรับรองว่าเนื้อหาจะเพิ่มความเข้มข้น สนุกมากยิ่งขึ้นค่ะ อ้อ สำหรับภาคสี่นี้เป็นภาคสุดท้ายแล้วนะคะ นักล่าแห่งรัตติกาล ภาคสัญลักษณ์เลือด บทที่ 10 โคโนท็อกซิน
บทที่ 10 โคโนท็อกซิน ฉันเปล่า คูเปอร์พูดพร้อมกับถอยหลัง บรรดาลูกสมุนกรูกันเข้ากลุ้มรุมทำร้ายคริสโตเฟอร์ทันที เขาก้มตัวหลบไม้เบสบอลพร้อมกับคว้าเก้าอี้ฟาดคนใกล้ตัวที่สุดจนล้มลงจากนั้นจึงเหวี่ยงกำปั้นเข้าใส่ทุกคนที่ประดังกันเข้ามา แม้จะสู้เพียงลำพังแต่ความเหนือชั้นทางด้านพละกำลังและชั้นเชิงการต่อสู้ทำให้ลูกน้องของคูเปอร์ล้มลงราวกับใบไม้ร่วง ช่วงจังหวะที่เขากำลังสาละวนอยู่กับคนกลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นก็ย่องเข้ามาทางด้านหลังและฉวยจังหวะตอนเผลอฟาดศีรษะเขาด้วยไม้เบสบอล คริสโตเฟอร์ก้มตัวหลบพร้อมกับหมุนตัวหันไปกระชากไม้จนหลุดจากมือ ในตอนที่ยื่นแขนออกไปบริวารคนหนึ่งของคูเปอร์ก็แทงเขาด้วยมีดพกและกรีดเป็นทางยาว แม้จะเจ็บแต่คริสโตเฟอร์ก็ยังมีแรงพอจะยกเท้าถีบเจ้าของมีดจนล้มทั้งยืน จากนั้นเขาจึงใช้ไม้เบสบอลหวดลงไปบนโต๊ะอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นทำให้ทั้งหมดหยุดชะงักอยู่กับที่ด้วยความตกใจ นักล่าแห่งรัตติกาล ภาคสัญลักษณ์เลือด บทที่ 9 กลุ่มโลหิตสีน้ำเงิน 3
นักล่าแห่งรัตติกาล ภาคสัญลักษณ์เลือด บทที่ 9 กลุ่มโลหิตสีน้ำเงิน 2
ถ้ามันหนวกหูมากนักนายก็น่าจะเดินไปบอกพวกเขา หรือถ้าลำบากใจก็แจ้งอาจารย์ประจำหอ ฉันไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น โทมัสพูดพลางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ คริสโตเฟอร์เงยหน้าขึ้นมองเสาไฟที่ส่องแสงหรุบหรู่พร้อมกับบ่น เพิ่งรู้ว่าการคุยกับคนอื่นคือเรื่องไร้ประโยชน์ เขาลดสายตาลงมาที่เพื่อน ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่รบกวน โทมัสเหลือบตามองเพื่อน เพิ่งคุยกันแค่ไม่กี่คำจะรีบไปไหน ฉันไม่อยากให้นายต้องมานั่งฝืนใจคุยกับคนอื่น หากเป็นคนอื่นคงคิดว่าประโยคดังกล่าวคือคำประชด แต่สำหรับโทมัสแล้วเขาเข้าใจดีว่านั่นคือการหยอกเย้าของเพื่อน นายไม่ใช่คนอื่น เขาพูดสั้นๆก่อนจะเริ่มเปิดหนังสือ คริสโตเฟอร์ยืนกอดอกมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งจึงนั่งลงและหยิบหนังสือที่ถูกกองไว้ด้านข้างขึ้นมาดู นี่มันหนังสือของพวกปีสาม เขาจ้องโทมัส นายอ่านเข้าใจด้วยเหรอ ก็เหมือนกับนายนั่นแหละโทมัสตอบทั้งที่ดวงตายังคงไล่ไปตามตัวอักษร วันก่อนฉันเห็นนายหยิบตำราวิศวกรรมเครื่องกลของปีสามมาจากห้องสมุด คริสโตเฟอร์ผิวปากเบาๆ ไม่คิดว่านายจะเป็นคนช่างสังเกต แค่บังเอิญเห็นเท่านั้น โทมัสพูดพลางหยิบดินสอขึ้นมาขีดข้อความบนหนังสือและเขียนอะไรยุกยิกลงบนสมุด อะไรเหรอ อีกฝ่ายถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปดูและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันเป็นสูตรเคมีและชื่อวิทยาศาสตร์ของอะไรบางอย่าง แค่สูตรเคมี ฉันอยากทำอะไรเล่นนิดหน่อย คริสโตเฟอร์เลิกคิ้วสูงเพราะเขาเคยได้ยินประโยคแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งสมัยเป็นนักเรียนชั้นประถม ตอนนั้นโทมัสมักจะถูกกลุ่มอันธพาลประจำโรงเรียนกลั่นแกล้งเป็นประจำ แต่สามวันหลังจากเห็นโทมัสอ่านหนังสือเคมีระดับมหาวิทยาลัย อันธพาลทั้งกลุ่มก็เกิดอาการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรงจนต้องเข้าโรงพยาบาล ที่น่ากลัวหลังจากนั้นก็คือร่างกายของทุกคนผ่ายผอมลงจนไม่สามารถวางก้ามข่มขู่นักเรียนคนอื่นได้อีก แน่นอนว่าไม่มีอาจารย์หรือผู้ปกครองคนใดคิดว่านั่นเป็นการกระทำของโทมัสและเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะบอกใคร จะทำอะไรฉันไม่ว่าแต่อย่าให้ถึงตายก็แล้วกัน คริสโตเฟอร์พูดอย่างเคร่งขรึม โทมัสยิ้มมุมปาก แน่นอน เขาเงยหน้าขึ้นและพูดต่อเสียงเย็น เพราะคนเป็นทรมานได้ดีกว่าคนตาย สีหน้าและน้ำเสียงทำให้คริสโตเฟอร์รู้สึกขนลุก แต่เพราะความเคยชินกับนิสัยที่ค่อนข้างประหลาดของโทมัสทำให้เขาไม่คิดอะไรมากนัก เด็กหนุ่มนั่งมองเพื่อนที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ซึ่งเพิ่งจะปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า นายได้รับจดหมายแล้วหรือยัง จู่ๆเขาก็ถามขึ้น โทมัสซึ่งกำลังนั่งคำนวณอะไรบางอย่างอยู่ถามเสียงเรียบ จดหมายอะไร ที่อนุญาตให้เราเข้าร่วมประชุมพิเศษในห้องประชุมใหญ่ คราวนี้อีกฝ่ายผงกศีรษะแต่ไม่พูดอะไร คริสโตเฟอร์จึงถามต่อ แล้วนายจะไปหรือเปล่า ไป โทมัสตอบสั้นๆก่อนจะปิดหนังสือและลุกขึ้น คริสโตเฟอร์รีบลุกตามพร้อมกับถาม นั่นนายจะไปไหน กลับห้อง โทมัสตอบและหันกลับมามองเพื่อน ฉันง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเพื่อน พูดจบก็เดินออกไปในทันที คริสโตเฟอร์หัวเราะอย่างนึกขันในท่าทางของเขาก่อนจะรีบก้าวตาม */*/*/*/* เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากล้างหน้าตาเพื่อเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมาแล้วคริสโตเฟอร์จึงคว้าตำราสองสามเล่มไปนั่งอ่านริมหน้าต่างเพราะสายลมเย็นกับแดดอ่อนๆยามเช้าเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากที่สุด แต่พออ่านไปได้สักพักความสงบอันน่ารื่นรมย์ก็ถูกทำลายโดยเสียงหัวเราะของนักศึกษาที่อยู่ชั้นถัดลงมา ครั้งแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นการพูดคุยเล่นหัวของเพื่อนตามปรกติแต่พอได้ยินเสียงโห่ฮาป่ากับคำพูดเชิงเสียดสีแล้วคริสโตเฟอร์จึงรู้ว่าเสียงเหล่านั้นมาจากกลุ่มนักศึกษาเลือดสีน้ำเงินและพวกเขากำลังทำพิธีต้อนรับน้องใหม่ ความกังวลทำให้เขาจำต้องเก็บหนังสือกลับเข้าที่และรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเป็นไปตามที่คิดเพราะเมื่อลงไปถึงเขาก็เห็นคูเปอร์ในชุดผ้าคลุมยาวกรอมเท้าสีน้ำเงินเข้มกำลังยืนจังก้าท่ามกลางเพื่อนนักศึกษาอยู่กลางห้องโถงโดยมีหนุ่มวัยรุ่นสองคนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ไงคริส คูเปอร์เอ่ยทักทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามาและบุ้ยใบ้ไปยังคนที่กำลังนั่งก้มหน้า นายเกือบพลาดพิธีต้อนรับครั้งนี้ไปแล้ว พิธีต้อนรับ? คริสโตเฟอร์ทวนคำพลางมองนักศึกษาทั้งสองคนและลอบถอนใจออกมาเบาๆเพราะพวกเขาคือกลุ่มจักษุดาราที่มาจากชนชั้นสามัญ ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในระดับนั้นจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อยกระดับตัวเองให้เข้ามาอยู่กับพวกเลือดสีน้ำเงิน แต่ก็น้อยคนนักที่จะทำสำเร็จเพราะส่วนใหญ่ถ้าไม่โดนกลั่นแกล้งจนท้อถอยก็จะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับคูเปอร์แม้จะเป็นนักศึกษาในกลุ่มจักษุดาราด้วยกันเองก็ตาม คงแปลกใจใช่ไหมที่ทำไมพวกเรายอมรับเขาเข้ากลุ่ม คูเปอร์ถามเมื่อเห็นหน้าสนเท่ห์ของคริสโตเฟอร์ เขาใช้เท้าสะกิดแขนคนที่นั่งอยู่เบาๆพร้อมกับสั่ง บอกเขาไป ผมกับเพื่อนช่วยกันกำจัดซากหนู ดวงตาชำเลืองมองคูเปอร์อย่างขลาดเขลาก่อนจะพูดต่อ และสาบานว่าจะรับใช้ชาวเลือดสีน้ำเงินด้วยความซื่อสัตย์ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ คริสโตเฟอร์ไม่ได้สนใจกับประโยคสุดท้ายเท่าใดนักเพราะเขารู้สึกติดใจกับคำพูดแรกมากกว่า ซากหนูที่ว่าคืออะไร ก็แค่หนูสกปรกตัวหนึ่งที่เผยอเข้ามาขออาหาร คูเปอร์พูดอย่างยโส พวกเราอุตส่าห์ปรานีให้ขนมหวานกับมันแต่ดันใจเสาะ เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและแสยะรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ในความรู้สึกของคริสโตเฟอร์แล้วนั่นคือรอยยิ้มของฆาตกรร้าย เมื่อกวาดตามองกลุ่มเลือดสีน้ำเงินที่ยืนรายล้อมหัวใจของเด็กหนุ่มต้องกระตุกวาบเมื่อพบว่าทุกคนกำลังเหยียดริมฝีปากด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน แล้วนายล่ะคริส จะเข้าร่วมพิธีต้อนรับกับพวกเราด้วยไหม แม้จะเกรงในฐานะของคริสโตเฟอร์แต่เพราะตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเลือดสีน้ำเงินประจำชั้นปีที่หนึ่งประกอบกับจำนวนสมาชิกนับสิบที่กำลังจับจ้องเขาเป็นตาเดียวทำให้คูเปอร์จำต้องรวบรวมความกล้าและเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายมองสองนักศึกษาผู้หลงผิดก่อนจะสั่นศีรษะพร้อมกับตอบอย่างไม่ใส่ใจ ฉันอยากอ่านหนังสือมากกว่า พูดจบคริสโตเฟอร์ก็หมุนตัวเพื่อจะเดินออกจากหอพักแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อคูเปอร์พูดขึ้น ไม่ฉลาดเลยที่ทำแบบนี้ คริสโตเฟอร์หันไปส่งยิ้มอย่างใจเย็น พิธีต้อนรับก็ไม่ได้ทำให้นายฉลาดมากไปกว่านี้เหมือนกัน พูดจบเขาก็เดินจากไป ด้านคูเปอร์เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวทำนองดูถูกเช่นนั้นก็ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ สักวันนายจะสำนึกได้ว่าไม่ควรถือดีกับพวกเรา เขามองตามด้วยความแค้นกระทั่งลูกน้องคนสนิทกระซิบเตือน คูเปอร์จึงชูมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ขอให้พวกเราร่วมกันประกอบพิธีต้อนรับสมาชิกใหม่ ให้พวกเขาได้รับการโบยจากแส้ศักดิ์สิทธิ์ นอนราบลงกับพื้นเพื่อรองรับการเหยียบย่ำและกรีดเลือดของตัวเองมาดื่มพร้อมกับสาบานว่า จะซื่อสัตย์ภักดีกับกลุ่มเลือดสีน้ำเงินตลอดไป เสียงเฮดังลอดออกมาจากหอพักจักษุดารา มันทำให้คริสโตเฟอร์รู้ว่าพิธีต้อนรับอันน่ารังเกียจได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่สั่นศีรษะด้วยความสังเวชใจเพราะรู้ดีว่านับแต่นี้นักศึกษาผู้ทะเยอทะยานทั้งสองจะต้องคอยรับใช้คูเปอร์และลูกสมุนอย่างไร้ศักดิ์ศรีไปจนกว่าจะเรียนจบหรือลาออกไปเอง คิดถึงตรงนี้แล้วคริสโตเฟอร์ได้แต่ถอนใจและนั่งลงบนเก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ เด็กหนุ่มเอนตัวพิงพนักดวงตาเลื่อนขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับคิดถึงการกระทำของคูเปอร์ แม้จะเป็นเพียงนักศึกษาปีหนึ่งแต่ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีประกอบกับจิตใจที่เหี้ยมโหดมากกว่าทุกคนในชั้นทำให้ผู้นำกลุ่มเลือดสีน้ำเงินแห่งมหาวิทยาลัยสแตฟฟอร์ดแต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลนักศึกษาใหม่ทุกคนรวมถึงนักศึกษาชั้นสูงกว่าในบางกรณี ด้วยอำนาจที่ว่านี้ทำให้คูเปอร์เดินกร่างไปทั่วและคอยกลั่นแกล้งนักเรียนทุนหรือกลุ่มเด็กที่มาจากชนชั้นสามัญ แม้คริสโตเฟอร์จะได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมกลุ่มแต่ด้วยนิสัยรักอิสระกับความชิงชังในเรื่องการแบ่งชนชั้นทำให้เขามีความคิดสวนทางกับพวกเลือดสีน้ำเงินอยู่บ่อยครั้ง แต่เพราะตระกูลของคริสโตเฟอร์มาจากขุนนางเก่าแก่ที่ผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจจนประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองทำให้ตระกูลของเขาอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าที่ทุกคนต้องยอมก้มหัวให้ ก่อนจะเข้ามาเรียนในสแตฟฟอร์ด คริสโตเฟอร์ก็พอจะได้ยินกิตติศัพท์ของกลุ่มเลือดสีน้ำเงินอยู่บ้าง เขาเองยังคิดว่ามันคงเป็นเพียงแค่กลุ่มเด็กที่ต้องการสร้างความสำคัญให้กับตัวเองแต่ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นการแบ่งแยกชนชั้นอย่างรุนแรงแบบนี้ เด็กหนุ่มถอนใจออกมาเบาๆพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับก้อนเมฆที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้าตามสายลม หลังจากเหม่อมองไปได้พักใหญ่เขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงนุ่มค้นหูเอ่ยทัก มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ โทมัสยืนมองเขาพร้อมหนังสือเล่มหนาในอ้อมแขน คริสโตเฟอร์รีบเลื่อนตัวขยับไปอีกด้านเป็นเชิงชวนให้เพื่อนนั่งพร้อมกับตอบ แค่นั่งทบทวนอะไรนิดหน่อย โทมัสเลิกคิ้วสูง ทบทวนเรื่องอะไรเขาถามพลางวางหนังสือไว้บนเก้าอี้ขณะหย่อนตัวลงนั่ง ชีวเคมีที่เพิ่งเรียนเมื่อวานหรือพิธีต้อนรับในตอนนี้ คราวนี้เป็นฝ่ายคริสโตเฟอร์ที่ต้องเลิกคิ้ว นายรู้ หูฉันไม่หนวกโทมัสตอบเสียงเรียบและเคาะนิ้วบนปกหนังสือสองสามครั้ง ปฏิเสธไปแบบนั้นจะดีหรือ คริสโตเฟอร์ยักไหล่อย่างไม่แยแส ตราบใดที่ฉันยังได้สิทธิพิเศษในหอพักก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรตามคำสั่งใคร ฉันรู้ แต่ถ้านายยังแข็งข้อกับคนพวกนี้ ต่อไปจะลำบาก โทมัสเตือนด้วยความเป็นห่วงแต่คริสโตเฟอร์กลับยิ้มกว้างเหมือนสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องขบขันเสียเต็มประดา พวกอาจารย์ไม่มีวันปล่อยให้นักเรียนอัจฉริยะอย่างฉันโดนพวกเลือดสีน้ำเงินงี่เง่าทำอะไรหรอก พูดจบก็เปล่งเสียงหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี โทมัสปล่อยให้เพื่อนนั่งหัวเราะอย่างสบายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงถาม เคยได้ยินคนชื่อ ริชาร์ด ซิมส์สันหรือเปล่า ริชาร์ด แพทริก ซิมส์สัน นักศึกษาปีสาม เท่าที่รู้เขาได้ทุนของมหาวิทยาลัย แถมพวกอาจารย์ยังพูดกันว่าเขามีผลการเรียนที่น่าจับตามอง ถามทำไมเหรอ คริสโตเฟอร์ตอบพร้อมกับย้อนคำถามกลับ โทมัสดึงข่าวที่เขาตัดมาจากหนังสือพิมพ์ออกจากหนังสือส่งให้เพื่อน ซิมส์สันตายแล้ว ตำรวจพบศพเขาในป่าลึกด้านตะวันตกห่างจากมหาวิทยาลัยสิบไมล์ สาเหตุการตายก็คือหัวใจวาย ข่าวที่ได้ยินทำให้คริสโตเฟอร์นิ่งงัน เขาหวนนึกถึงคำพูดบางประโยคของคูเปอร์แล้วส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้ ฉันได้ยินพวกอาจารย์พูดกันว่า ซิมส์สันตายเพราะมีอินซูลินปริมาณมากในกระแสเลือดทำให้ระดับกลูโคสต่ำ แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาออกไปทำอะไรไกลขนาดนั้น และทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีโรคประจำตัวกลับไม่พกยาเลยสักเม็ด โทมัสพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยและหันมามองหน้าเพื่อน พอจะเดาออกหรือยังว่าหนูที่คูเปอร์พูดหมายถึงใคร คริสโตเฟอร์ใจหายวาบจนแทบจะทำกระดาษหนังสือพิมพ์หลุดจากมือ นายได้ยินด้วยเหรอ นักล่าแห่งรัตติกาล ภาคสัญลักษณ์เลือด บทที่ 9 กลุ่มโลหิตสีน้ำเงิน 1
บทที่ 9 กลุ่มโลหิตสีน้ำเงิน
เสียงพูดคุยของนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ทำให้โทมัสต้องเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วน้อยๆอย่างรำคาญใจเมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นคือพวกที่วางตัวว่าเป็นชนชั้นสูง สำหรับเขาแล้วไม่ได้สนใจกับคนพวกนี้เท่าใดนักเพราะนอกจากการทำตัวใหญ่โตเดินวางก้ามไปทั่วมหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นแต่สิ่งที่สร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับโทมัสมากที่สุดก็คือคำพูดข่มขู่งี่เง่าไร้สาระที่มักจะใช้กับนักศึกษาระดับสามัญเป็นประจำ ความที่ไม่อยากจะเสวนากับกลุ่มนักศึกษาที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่มเลือดสีน้ำเงิน โทมัสจึงเก็บหนังสือลงกระเป๋าและเตรียมจะเดินหนีแต่ดูเหมือนจะช้าไปสักนิดเพราะหนึ่งในนั้นหันมาเห็นเข้าพอดี เสียงร้องทักอย่างน่าเกลียดจึงดังขึ้น ดูนั่นสิมีหนูสกปรกมาอ่านหนังสืออยู่แถวนี้ด้วย ทั้งกลุ่มหันมามองโทมัสเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวโจกแสยะยิ้มอย่างดูแคลน ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกหนูอ่านหนังสือได้ ฉันเคยเห็นสองสามครั้ง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผ่าเหล่าผ่ากอ หนูก็ไม่ใช่ จิ้งจอกก็ไม่เชิง คนแรกพูดด้วยสีหน้าจริงจัง กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยพากันหัวเราะ แบบนั้นน่าจะเรียกว่าตัวประหลาดมากกว่า ทั้งหมดหัวเราะขึ้นพร้อมกันอย่างครื้นเครง ยกเว้นเด็กหนุ่มผมทองรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา เขามองโทมัสที่กำลังจะเดินเลี่ยงออกไปแล้วส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อน จวนจะถึงเวลาเรียนแล้วไปกันเถอะ จะรีบไปไหนละคริส เบนจามิน คูเปอร์หัวโจกประจำกลุ่มพูดพลางปรายตาไปที่โทมัส อ้อฉันลืมไปนายสองคนเป็นเพื่อนกัน คำพูดเชิงหาเรื่องของคูเปอร์ทำให้คริสโตเฟอร์ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ นายลืมคำขวัญของพวกเราไปแล้วหรือยังไง ที่ว่า จักษุดาราทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ใช่สำหรับนายแต่ไม่ใช่เขา คูเปอร์พูดและหรี่ตาลงพร้อมกับกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะให้โทมัสได้ยิน แต่ฉันอาจจะยอมรับหนูบางตัวเข้ากลุ่มถ้ามันยอมคาบเนยแข็งสักก้อนหรือก้มลงเลียรองเท้าให้ สิ่งที่ได้ยินทำให้คริสโตเฟอร์ถึงกับหน้าตึง เขาปรายตาไปที่โทมัสและถอนใจออกมาเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเดินห่างออกไป เด็กหนุ่มภาวนาให้ทอมไม่ได้ยินประโยคที่เบนจามินพูดเมื่อครู่จากนั้นคริสโตเฟอร์จึงหันกลับไปยังกลุ่มเพื่อน เสียงระฆังดังแล้วไปกันได้หรือยัง คูเปอร์มองเขาอย่างไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าพูดหรือแย้งอะไรออกมาเพราะนอกจากสถานะทางครอบครัวที่เหนือกว่าแล้วคริสโตเฟอร์ยังมีมันสมองระดับอัจฉริยะชนิดที่ทำให้เขาและเพื่อนกลุ่มเลือดสีน้ำเงินจำเป็นต้องเกรงใจ ไปก็ไป เขากระแทกเสียงพูดหลังจากระบายลมหายใจออกมาอย่างฉุนเฉียว ท่าทางฟาดงวงฟาดงาราวกับคนบ้าของเขาทำให้คริสโตเฟอร์อมยิ้มอย่างนึกขัน เขาเลื่อนสายตามองโทมัสซึ่งกำลังก้าวเข้าไปในตัวอาคารอย่างนึกชื่นชมกับการรู้จักสะกดกลั้นความโกรธอยู่ในใจก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนทั้งกลุ่มเข้าห้องเรียน การเรียนในช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดีเพราะคริสโตเฟอร์พยายามดึงกลุ่มเพื่อนให้ออกห่างจากโทมัส แม้หลังมื้อเที่ยงคูเปอร์จะทำท่าเข้าไปหาเรื่องแต่คริสโตเฟอร์ก็แก้ปัญหาด้วยการสร้างเครื่องยิงมีทบอลจากมีดและส้อม ความสนุกกับการได้แกล้งยิงอาหารใส่เพื่อนนักศึกษาด้วยกันทำให้เกือบทั้งหมดเลิกสนใจโทมัส เมื่อระฆังดังขึ้นอีกครั้งทุกคนจึงรีบเร่งกันเข้าห้องเรียน ช่วงบ่ายมีเพียงวิชาเดียวเท่านั้นคือชีวเคมี สำหรับคริสโตเฟอร์แล้วมันเปรียบเสมือนยาขมเพราะนอกจากจะจำชื่อวิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่ได้แล้วเขาแทบจะนึกสารเคมีหลายตัวไม่ออกต่างจากโทมัสที่ตอบคำถามอาจารย์อย่างคล่องแคล่วและบันทึกทุกอย่างที่ได้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ กว่าจะออกจากอาคารเรียนเวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบจะถึงมื้อค่ำ คริสโตเฟอร์ตัดสินใจรับประทานอาหารก่อนอาบน้ำจากนั้นจึงนั่งเล่นกับเพื่อนร่วมกลุ่มอยู่อีกพักใหญ่จึงขอตัวกลับห้อง หลังจากชำระร่างกายจนสดชื่นแล้วเขาจึงนั่งทบทวนบทเรียนอยู่เกือบชั่วโมงเมื่อเสียงพูดคุยที่ดังมาจากห้องอื่นสงบลงเขาจึงปิดตำราและย่องออกจากห้องอย่างเงียบกริบจนมาถึงชั้นล่าง ขณะที่กำลังจะเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอกอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกระแอมไออยู่ด้านหลัง หัวใจของคริสโตเฟอร์หล่นวูบลงไปอยู่ที่ปลายเท้าเพราะคิดว่าคนผู้นั้นเป็นอาจารย์ สมองเริ่มหาข้อแก้ตัวตอนที่เขาหันกลับไปมอง จะไปไหน เสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์เอ่ยถาม คริสโตเฟอร์ถอนหายใจพรืดอย่างโล่งอก ทอม เขามองเพื่อนที่กำลังเดินเข้ามาหา นายเองก็เถอะออกมาทำอะไรตอนนี้ หาที่อ่านหนังสือ โทมัสตอบพร้อมกับผลักประตูและเดินออกไปข้างนอก คริสโตเฟอร์รีบก้าวตามทันที อ่านในห้องก็ได้นี่ พูดขณะที่เดินตีคู่กับเพื่อน โทมัสยักไหล่ มันอุดอู้เกินไป ห้องพักพิเศษของหอจักษุดาราอุดอู้เกินไปสำหรับนายอย่างงั้นหรือ ถ้าอาจารย์มาได้ยินมีหวังได้คลั่งตายกันเป็นแถว คำพูดติดตลกของคริสโตเฟอร์ทำให้โทมัสหัวเราะเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งมีดวงดาวระยิบระยับก่อนพูด ห้องพักที่นี่ดีกว่าคราวก่อนมาก แต่ฉันรำคาญเสียงไร้สาระที่ดังมาจากห้องอื่น เสียงไร้สาระที่ว่าก็คือเสียงพูดคุยของเพื่อนร่วมหอ เพราะตั้งแต่ผ่านการสอบแยกกลุ่มทั้ง คริสโตเฟอร์และโทมัสก็ต้องขนข้าวของจากหอเก่ามายังหอพักของกลุ่มจักษุซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ที่สุดในมหาวิทยาลัย สิ่งเดียวที่ยังคงเดิมก็คือด้วยคะแนนสอบที่สูงสุดทำให้ทั้งสองได้รับสิทธิพิเศษในการครอบครองห้องพักเพียงลำพังในขณะที่นักศึกษาอื่นจะพักอยู่ด้วยกันห้องละสองหรือสามคน ข้อดีก็คือทั้งสองคนสามารถทบทวนตำราเรียนหรือทำงานวิจัยภายในห้องได้อย่างเต็มที่ แต่ข้อเสียคือพวกที่ไม่นิยมการอ่านหนังสือจะจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังจนบางครั้งอาจารย์ประจำหอต้องขึ้นมาตักเตือน |
กิสึเนะ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?] moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี Group Blog
All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
นายก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้ คริสโตเฟอร์พูดและถอนใจค่อนข้างแรงเมื่อเพื่อนหันมามองหน้า ถ้าเป้าหมายต่อไปของคนพวกนั้นคือนายล่ะ
จะต้องกังวลไปทำไมในเมื่อคูเปอร์ต้องการจะเล่นงานฉันอยู่แล้ว
โทมัสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่คริสโตเฟอร์กลับสั่นศีรษะ
ฉันไม่ยอมให้เจ้าพวกนั้นมาทำอะไรบ้าๆกับนาย
ฉันว่านายควรจะห่วงตัวเองก่อนเพราะเท่าที่ได้ยินมาดูเหมือนคูเปอร์จะไม่ชอบขี้หน้านายเอามากๆ
ช่างปะไร คริสโตเฟอร์พูดพลางยืดแขนเหยียดขาเหมือนต้องการจะขับไล่ความเมื่อยล้า จะเกลียดกันยังไงหมอนั่นก็ยังต้องพึ่งสมองของฉันอยู่ไม่อย่างนั้นช่วงกลางเทอมมีหวังถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยกันเป็นแถว
โทมัสหัวเราะเบาๆ
ไม่ใช่แค่นายคนเดียวเท่านั้นที่มีไอคิว 195
ก็ใช่ แต่คนยะโสพวกนั้นไม่มีทางไปขอความช่วยเหลือจากนายอยู่แล้ว เขาหยุดพูดและขยับตัวนั่งตรง ว่าแต่คืนนี้นายว่างหรือเปล่า
ฉันอยากจะทดลองอะไรนิดหน่อย โทมัสตอบและยิ้มอย่างรู้ทันเมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นผิดปรกติของเพื่อน แต่ก็พอจะเลื่อนออกไปได้ ถามทำไม
ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากชวนนายออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก
ข้างนอก? โทมัสทวนคำอย่างงุนงง คริสโตเฟอร์ยิ้มกว้างพลางตบบ่าเพื่อนรักสองสามครั้ง
ตอนนี้ขออุบเป็นความลับไว้ก่อน เขาขยิบตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ คืนนี้สองทุ่มเจอกันที่พุ่ม
กุหลาบขาวปีกซ้ายของตึก อ้อ เรื่องนี้รู้ระหว่างเราสองคนห้ามบอกใครเป็นอันขาด
ฉันมีเพื่อนแค่คนเดียวอยู่แล้ว โทมัสพูดพร้อมกับลุกขึ้นและทำท่าจะเดินออกไปแต่คริสโตเฟอร์เรียกเขาไว้
โทมัส เขายื่นหนังสือเล่มหนาส่งให้ นายลืมของ
ขอบใจ อีกฝ่ายตอบและเตรียมออกเดินอีกครั้ง คริสโตเฟอร์รีบก้าวตาม
เช้านี้ไม่มีเรียนสักหน่อยนายจะรีบร้อนไปไหน
ฉันขอห้องทดลองเอาไว้ โทมัสตอบพลางชำเลืองตาไปยังเพื่อนและอมยิ้มเมื่อเห็นเขาทำหน้าเหมือนกำลังกลืนผลไม้รสเปรี้ยวเข้าไปทั้งลูก จะไปด้วยกันก็ได้นะ
ไม่ดีกว่า คริสโตเฟอร์พูดพร้อมกับยกมือขึ้นโบก เชิญนายตามสบาย คาบบ่ายค่อยเจอกัน
โทมัสชูหนังสือขึ้นแทนการรับคำ จากนั้นทั้งสองจึงแยกย้ายกันไปคนละทาง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วกระทั่งถึงมื้อเที่ยง คริสโตเฟอร์ไม่แปลกใจนักที่ไม่เห็นโทมัสในห้องอาหาร แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเขามากกว่าก็คือคูเปอร์เดินเข้ามาพูดคุยทักทายตามปรกติ ถึงจะระแวงอยู่บ้างแต่เด็กหนุ่มก็ไม่สนใจอะไรมากนักเพราะเดาล่วงหน้าไว้แล้วว่ากลุ่มเลือดสีน้ำเงินไม่กล้าลงมือกับเขา อีกประการหนึ่งก็คือคนเหล่านั้นเกรงฝีมือการต่อสู้ของคริสโตเฟอร์ที่เหนือชั้นกว่านักศึกษาชั้นปีหนึ่งทุกคน
การเรียนช่วงบ่ายผ่านไปอย่างเงื่องหงอยอันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวิชาน่าเบื่ออย่างตรีโกณมิติ ยิ่งประกอบกับการสอนด้วยน้ำเสียงชวนง่วงนอนของอาจารย์ด้วยแล้วนักศึกษาแทบจะหลับกันทั้งห้องยกเว้นโทมัสเพียงคนเดียวเท่านั้นที่นั่งฟังการบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจจนหมดคาบเรียน
เมื่อเสียงระฆังหมดเวลาดังขึ้น ความคึกคักก็กลับคืนมาอีกครั้ง พวกที่เผลอหลับรีบลุกขึ้นอย่างงัวเงียส่วนบางกลุ่มตะโกนถามรายละเอียดวิชาที่เพิ่งหมดคาบ นักศึกษาที่เข้าใจในบทเรียนต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน หลายคนกระเซ้าคริสโตเฟอร์ทำนองขอลอกสิ่งที่อาจารย์สอนแต่พอเห็นอีกฝ่ายกางสมุดที่ว่างเปล่าก็หน้าเสีย
นายไม่ได้จดเลยเหรอ คนหนึ่งถามด้วยความผิดหวัง คริสโตเฟอร์หัวเราะร่าพลางชี้นิ้วไปที่ขมับพร้อมกับพูด
ไม่จำเป็นเพราะทุกอย่างที่อาจารย์สอนมันอยู่ในนี้
เสียงบ่นพึมด้วยความเสียดายดังระงม บางคนตบศีรษะคริสโตเฟอร์เบาๆเป็นเชิงหยอกเย้าก่อนจะเดินออกจากห้อง ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าคูเปอร์กับสมาชิกเลือดสีน้ำเงินบางคนไม่ได้อยู่ที่นั่น เขารีบมองหาโทมัสและใจหายวาบเมื่อพบว่าเพื่อนรักได้ออกจากห้องไปแล้ว
เป็นเรื่องแน่คราวนี้
เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับวิ่งออกจากห้อง เมื่อสอบถามเพื่อนที่ออกมาก่อนจนแน่ใจว่าโทมัสเดินไปทางไหนแล้วเขาจึงรีบวิ่งตาม ด้วยความเร็วฝีเท้าของนักวิ่งกรีฑาระยะสั้นไม่ช้าคริสโตเฟอร์ก็พบกับโทมัสซึ่งตอนนี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มอันธพาลด้วยท่าทางใจเย็น
ทอม! คริสโตเฟอร์เรียกเสียงดังลั่นพร้อมกับชะลอฝีเท้าลงเป็นก้าวอย่างเร็วและไปหยุดยืนอยู่ข้างเพื่อน มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นถามพลางหันไปมองคูเปอร์ อีกฝ่ายชักสีหน้าอย่างไม่พอใจในทันที
แล้วนายละมาที่นี่ทำไม
ฉันนัดโทมัสไว้ว่าจะไปกินมื้อเย็นด้วยกัน คริสโตเฟอร์ตอบพร้อมกับขยับตัวเตรียมพร้อม
รับการจู่โจมอยู่ในทีและกำหมัดเอาไว้หลวมๆเมื่อได้ยินคูเปอร์คำรามในลำคอ
นายจะไปด้วยกันไหม เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขณะตั้งคำถาม สมาชิกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินหันไปมองหัวหน้าของเขาเหมือนต้องการคำสั่ง คูเปอร์ขบกรามแน่นก่อนตอบ
ฉันไม่นิยมการร่วมโต๊ะกับหนูสกปรก
เขาจ้องโทมัสอย่างกินเลือดกินเนื้อก่อนจะสะบัดหน้าหมุนตัวเดินจากไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกราวีแล้วคริสโตเฟอร์จึงหันไปที่เพื่อน
ก็รู้อยู่ว่าคูเปอร์จ้องจะเล่นงาน ทำไมไม่รอกันบ้าง
ฉันไม่ใช่ลูกแหง่ โทมัสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและเริ่มต้นออกเดิน คริสโตเฟอร์รีบก้าวตาม
ฉันรู้ว่านายไม่ใช่ลูกแหง่ แต่สมองอย่างเดียวไม่มีทางเอาชนะคนพวกนั้นได้
นายแน่ใจเหรอ โทมัสย้อนถาม คริสโตเฟอร์นิ่งเงียบเมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเถียง
นั่นมันเป็นเรื่องสมัยชั้นประถม ตอนนี้เราโตขึ้น การกลั่นแกล้งก็ย่อมซับซ้อนมากกว่าเก่า ยิ่งอีกฝ่ายเป็นกลุ่มอิทธิพลด้วยแล้วต่อให้ล้มคูเปอร์ได้พวกระดับสูงก็ไม่มีทางปล่อยนายเอาไว้แน่
โทมัสยิ้มอย่างใจเย็นและหันมามองเพื่อนด้วยสายตาชวนขนหัวลุก
คอยดูไปก็แล้วกัน
พูดจบก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี คริสโตเฟอร์มองตามด้วยความหนักใจเพราะรู้นิสัยของโทมัสดีว่านอกจากจะไม่มีวันยอมก้มหัวให้กับใครแล้วยังมีวิธีตอบโต้คนที่คิดร้ายด้วยวิธีแสบสัน สุดท้ายแล้วเขาจึงได้แต่ร้องเตือน
อย่าลืมที่นัดกันเอาไว้ล่ะ
โทมัสยกหนังสือขึ้นแทนการตอบรับ หลังจากยืนดูจนเพื่อนหายเข้าไปอาคารอันเป็นที่ตั้งของห้องทดลองของมหาวิทยาลัยแล้วคริสโตเฟอร์จึงหมุนตัวเดินกลับหอพัก เนื่องจากยังอีกนานกว่าจะถึงมื้อค่ำเด็กหนุ่มจึงฆ่าเวลาด้วยการนั่งคุยกับเพื่อนและนักศึกษารุ่นพี่ภายในหอซึ่งหัวข้อส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องราวของซิมส์สัน ที่น่าประหลาดก็คือข้อมูลของนักศึกษาทั้งสองกลุ่มแตกต่างกันมาก พวกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินมักจะเบ้หน้าอย่างดูถูกและพูดทำนองว่าซิมส์สันแส่หาเรื่องในขณะที่นักศึกษาระดับธรรมดาจะพูดถึงเขาในทำนองยกย่องและบอกด้วยว่าซิมส์สันไม่เคยสนใจจะเข้าร่วมกับพวกกลุ่มเลือดสีน้ำเงิน ที่เขาถูกกลั่นแกล้งก็มาจากความริษยาของผู้นำและสมาชิกในกลุ่ม แต่เพราะความตั้งใจที่จะเรียนให้จบซิมส์สันจึงได้แต่อดทนไม่ตอบโต้หรือแสดงความไม่พอใจออกมาแต่โชคร้ายที่เขากลับต้องมาตายเสียก่อนด้วยเหตุผลแค่มีบริษัทยักษ์ใหญ่มาติดต่อขอดูตัวเพื่อรับเข้าทำงาน
การสนทนาระหว่างคริสโตเฟอร์กับนักศึกษารุ่นพี่ยุติลงเมื่อคูเปอร์กับลูกสมุนเดินเข้ามาในหอ ตอนแรกเด็กหนุ่มตั้งใจจะเดินกลับห้องแต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักเขาจึงจำต้องนั่งคุยด้วยจนกระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำ เมื่อรับประทานเสร็จแล้วคริสโตเฟอร์จึงขอตัวกลับห้อง เขานั่งคิดถึงเรื่องราวของซิมส์สันอยู่ครู่ใหญ่จึงหยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดมาอ่านจนถึงเวลาทุ่มครึ่งเขาจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและย่องลงมายังด้านล่าง เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเด็กหนุ่มจึงออกจากหอมุ่งหน้าตรงไปยังจุดนัดพบและยิ้มกว้างเมื่อเห็นโทมัสยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ตรงเวลาดีนี่ เขาพูดอย่างร่าเริง อีกฝ่ายทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะถาม
ตกลงนายนัดฉันมาที่นี่ทำไม
ไม่ใช่ที่นี่ คริสโตเฟอร์พูดพร้อมกับเดินไปยังป้อมขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากหอพักไม่มากนัก เมื่อเห็นโทมัสยังคงยืนนิ่งเขาจึงกวักมือเรียก ตามมาเร็ว
ทั้งคู่เดินอย่างเงียบกริบไปจนถึงป้อมโทมัสมองแสงไฟที่ลอดออกมาด้วยความกังวล แต่พอจะถามเขาก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นเพื่อนรักดึงคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าสะพาย
นายจะทำอะไร
ไม่น่าถาม คริสโตเฟอร์ตอบขณะพรมนิ้วไปบนแป้น ถึงจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยี่เหมือนเพื่อนแต่โทมัสก็พอจะเดาออกว่าเขากำลังแทรกเข้าไปในระบบรักษาความปลอดภัย
แน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนั้น
เขากระซิบถาม อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับจิ้มนิ้วไปบนปุ่มยืนยันแล้วยิ้มกว้าง
ยิ่งกว่าแน่ใจ เขาพูดพลางโบกคอมพิวเตอร์ในมือ ไม่มีประตูที่ฉันเปิดไม่ได้
ประตูอะไร
อยากรู้ก็ตามมา คริสโตเฟอร์ตอบพร้อมกับเดินนำออกไป ทั้งคู่ลัดเลาะไปตามต้นไม้ราวสองนาทีจึงหยุดที่กำแพงสูงอันเป็นปราการกั้นระหว่างมหาวทิยาลัยกับโลกภายนอก โทมัสขมวดคิ้ว
นายมาที่นี่ทำไม
ช่างเป็นคนช่างสงสัยเหลือเกินนะทอม คริสโตเฟอร์พูดอย่างอ่อนใจและชี้ไปยังพุ่มไม้หนาที่ขึ้นอยู่ริมกำแพง ทางออกของเราอยู่ที่นั่น
ไม่ต้องรอให้เพื่อนตั้งคำถามอีกครั้ง เด็กหนุ่มหยิบอุปกรณ์อะไรบางอย่างออกมาเสียบกับช่องสี่เหลี่ยมบนประตูและกดปุ่มบนแป้นอย่างเร็ว เสียงคลิกที่ดังขึ้นมาเบาๆทำให้เขายิ้มกว้าง
เรียบร้อย พูดพลางผลักบานประตูให้เปิดออก ไปกันเถอะ
ไปไหน โทมัสถาม คริสโตเฟอร์ไม่ตอบแต่กลับคว้าข้อมือเพื่อนให้เดินตาม เมื่อพ้นจากประตูทั้งคู่จึงพบว่ากำลังยืนอยู่กลางสวนสาธารณะของเมือง
อิสระ คริสโตเฟอร์พูดพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดตรงกันข้ามกับโทมัสที่หันกลับไปมองประตูอย่างกังวล
พวกเราคงไม่รอด
ทำไมถึงพูดแบบนั้น คริสโตเฟอร์ถามและหัวเราะลั่นเมื่อโทมัสชี้ไปที่กล้องวงจรปิดเหนือประตู นายคิดว่าฉันทำได้แค่เปิดประตูเท่านั้นเหรอทอม
หมายความว่า โทมัสถามได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเมื่อคริสโตเฟอร์ตัดบท
เลิกกังวลเป็นคนแก่แล้วไปเที่ยวกันเถอะ
พูดจบเขาก็เดินนำออกไปทันที เสียงหอนของสุนัขป่าที่โหยหวนมาแต่ไกลทำให้โทมัสกวาดตามองไปรอบตัวอย่าระมัดระวังจนคริสโตเฟอร์ต้องหันมาร้องเรียกอีกครั้งเขาจึงยิ้มอย่างนึกสนุกก่อนจะวิ่งตาม
*/*/*/*/*/*