บทที่ 6 ฆาตกรรมสยอง
บทที่ 6

ฆาคกรรมสยอง

เสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความสุขดังจากบ้านใหญ่หลังหนึ่งในแถบชุมชนระดับกลางย่านชานเมือง เด็กชายวัยแปดขวบกำลังวิ่งไปรอบห้องพลางส่งเสียงร้องเรียกพ่อที่กำลังไล่ตามอย่างสนุกสนานก่อนจะกระโดดขึ้นไปเต้นอยู่บนเตียง เด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือภาพและยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะขณะมองพ่อที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับน้องของเธอ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งก่อนมารดาของเด็กทั้งสองจะก้าวเข้ามา
“ได้เวลานอนแล้วเด็กๆ” เธอพูดเสียงเรียบพลางก้มลงเก็บหมอนที่สองพ่อลูกขว้างใส่กัน เด็กชายตัวน้อยนิ่วหน้า
“ขอผมเล่นต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือครับ” เขาอ้อนวอนและหันไปมองหน้าพ่อแต่แม่ของเขากลับส่ายหน้า
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” เธอหันไปทำตาดุใส่สามี “นอนได้แล้วทั้งสามคน”
ลูกสาววัยสิบขวบขานรับขณะปิดหนังสือภาพของเธอและวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ส่วนเด็กชายตัวน้อยรีบมุดตัวลงไปในผ้าห่มและพริ้มตาลงขณะที่แม่ของเขาเดินมาจูบหน้าผากอย่างแผ่วเบา
“ราตรีสวัสดิ์ลูกรัก”
เธอหันไปทางบุตรสาวพลางดึงผ้าห่มให้ก่อนจะก้มลงไปจุมพิต
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะแม่”
เด็กหญิงพูดเสียงแผ่ว มารดาของเธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง พ่อของเด็กทั้งสองเลื่อนมือไปที่สวิตท์ไฟ
“ราตรีสวัสดิ์”
ไฟทั้งห้องดับพรึ่บลงพร้อมกับบานประตุที่ถูกปิดจนสนิท เด็กทั้งสองนอนหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปมองหน้ากัน
“เคยไปตกปลาไหม” น้องชายถาม อีกฝ่ายสั่นหน้า
“ไม่เคย”
“พ่อบอกว่ามันสุดยอดมาก ปลาเทร้าส์ที่นั่นตัวใหญ่จนแทบยกคนเดียวไม่ไหวแน่ะ” เด็กชายตัวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อีกฝ่ายยิ้ม
“ฉันจะช่วยแม่ทำอาหาร” พี่สาวของเขาพูด”จากปลาที่เธอกับพ่อตกมา”
“มันต้องเป็นวันหยุดที่วิเศษสุดแน่” น้องชายของเธอพูดด้วยใบหน้าสีชมพู “อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆจัง”

*/*/*/*/*

สายตรวจที่กำลังยืนสอบปากคำหญิงชราอยู่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองรถคันหนึ่งซึ่งกำลังเลี้ยวมาจากมุมถนนมุ่งหน้าตรงมายังจุดที่เขายืนด้วยความเร็วไม่มากนัก เขาหันไปกล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้ปากคำผู้สูงวัยก่อนจะเดินตรงไปหารถคันดังกล่าวซึ่งจอดสนิทเรียบร้อยแล้ว นักสืบเครนก้าวลงจากรถพร้อมกับพูด
“ช่วยสรุปให้ผมฟังหน่อยคอลลิน”
“ฆาตกรรมยกครอบครัวครับ เหยื่อสี่คนพ่อแม่ลูก ทั้งหมดถูกฆ่าตายในห้องนอน ผมคิดว่าฆาตกรอาจจะเป็นคนร้ายรายเดียวกันกับคดีที่ผ่านมา”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น” เครนถามขณะหยุดยืนหน้าบ้านที่เกิดเหตุ สายตรวจคอลลินมองเจ้าหน้าที่ในชุดสูทสีเข้มพร้อมกับตอบด้วยเสียงไม่ดังนัก
“พวกเอฟบีไอมาถึงที่เกิดเหตุทันทีที่ได้รับรายงาน” เขากวาดตามองอย่างระวังพร้อมกับกระซิบ “ผมเห็นสภาพศพของเหยื่อก่อนที่พวกนั้นจะมาถึง ทุกรายมีบาดแผลเหมือนกับเหยื่อในคดีฆาตกรรมในครั้งก่อนครับ”
นักสืบเครนชะงักค้างนิ่ง เขามองหน้าสายตรวจคอลลินก่อนจะหันหน้าไปยังเจ้าหน้าที่พิเศษคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาหา
“ไว้คุยรายละเอียดทีหลัง” เขาบอกผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนจะหันไปทางเอฟบีไอผู้นั้นพร้อมกับยื่นมือออกไป
“เจ้าหน้าที่พิเศษแสตนลีย์” นักลืบเครนเอ่ยทักขณะสัมผัสมืออีกฝ่าย “ผมไม่แปลกใจเลยที่เห็นพวกคุณอยู่ที่นี่”
“ทางหน่วยแจ้งมาว่าบาดแผลของผู้ตายมีลักษณะใกล้เคียงกับเหยื่อรายก่อน” แสตนลีย์ตอบพลางผายมือเชิญให้นักสืบเครนเดินไปด้วยกัน “ผมคิดว่าอาจจะเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน”
“บาดแผลเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” นักสืบเครนทวนคำด้วยความแปลกใจ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอผงกศีรษะพลางชี้ไปที่ร่างของเหยื่อซึ่งนอนก่ายกันอยู่บนเตียง
“คุณดูเองก็แล้วกัน”
เขาพูดสั้นๆก่อนจะหันไปกำชับเจ้าหน้าที่นิติเวชให้เพิ่มความรอบคอบในการเก็บหลักฐาน เครนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืนขณะมองสภาพของห้องที่เต็มไปด้วยรอยสาดกระเซ็นของเลือดตั้งแต่พื้นไปจนจรดเพดาน เขานิ่วหน้าด้วยความเสียงสยองก่อนจะลดสายตาลงและมองสภาพศพสองสามีอย่างพิจารณา
ร่างของทั้งคู่นอนหงายซ้อนทับกันโดยร่างของผู้ที่เป็นภรรยาอยู่ด้านล่าง ดวงตาของทั้งสองเหลือกลานบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกและหวาดกลัวก่อนที่จะถูกสังหาร เตียงของพวกเขานองไปด้วยเลือดสีแดงสดซึ่งไหลออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์ที่หน้าท้องที่ดูเหมือนจะถุกแทงด้วยของมีคมขนาดใหญ่จะทะลุไปถึงด้านหลัง นักสืบประจำสถานีเดินเข้าไปใกล้และก้มหน้าลงมองบาดแผลอย่างพิจารณา เขาขมวดคิ้วและนึกย้อนถึงคดีฆาตกรรมในครั้งก่อน จิตใต้สำนึกกระตุ้นเตือนถึงความผิดปรกติบางอย่างที่ในตอนนี้ตัวเครนเองก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่พิเศษแสตนลีย์มองกิริยาของนักสืบร่างใหญ่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น
“พวกเด็กอยู่อีกห้อง จะไปดูด้วยกันไหม”
เครนพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึมก่อนจะเดิมตามเอฟบีไอไปยังห้องนอนที่อยู่ใกล้กัน กลิ่นคาวเลือดที่รุนแรงขึ้นทำให้นักสืบใหญ่ชะงักเล็กน้อย หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความหดหู่เมื่อเห็นสภาพศพของเด็กน้อยสองคนที่กำลังนอนเบิกตาค้างอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงของเขาเอง
“ฆาตกรคงเข้ามาในบ้านและจัดการเด็กสองคนนี่ก่อน” แสตนลีย์อธิบาย “พวกเขาเกือบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ”
“เป็นไปไม่ได้ ถ้าแทงคนหนึ่ง เด็กอีกคนก็ต้องส่งเสียงร้องตะโกนสิ”
“ถ้าเขาขู่ว่าจะฆ่าคนแรกก่อนล่ะ” แสตนลีย์พูดและจ้องหน้าเครนนิ่ง “เตียงของเด็กสองคนตั้งเกือบจะชิดกัน แค่แทงคนแรกและหันมาอุดปากคนที่สองก่อนจะลงมือ แค่นี้พ่อแม่ก็ไม่ได้ยินเสียงแล้ว”
“เป็นการฆ่าที่เหี้ยมโหดมาก” นักสืบเครนพึมพำ “ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าฆาตกรจะเป็นรายเดียวกันกับคดีในครั้งก่อน”
“จากบาดแผลและการกระทำทางเราคิดว่าน่าจะเป็นรายเดียวกัน”
“ผมสังหรณ์ว่าไม่น่าจะใช่” นักสืบเครนพึมพำ “คุณตรวจที่เก็บยาของครอบครัวนี้แล้วหรือยัง”
นักลืบเครนถาม เจ้าหน้าที่แสตนลีย์มองเขาด้วยความแปลกใจ
“ตรวจทำไม”
“ผมไม่พบยาภายในบ้านของเหยื่อทุกคนในคดีที่ผ่านมา”
“ผมจะสั่งให้พวกนิติเวชจัดการเดี๋ยวนี้” แสตนลีย์พูดพลางหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขารับคำสั่งและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ห้านาทีหลังจากนั้นจึงกลับขึ้นมารายงาน
“เราพบยาประจำบ้านอยู่ในตู้ที่ห้องน้ำด้านล่างครับ”
“มีขวดไหนที่ดูแปลกไปบ้างไหม” สแตนลีย์ถามอีกฝ่ายสั่นหน้า
“ไม่มีครับ”
“ขอบใจ” แสตนลีย์ตัดบทพร้อมกับโบกมือ เขาหันไปมองนักสืบเครนที่ยืนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
“มีอะไร”
“ทำไมคราวนี้คนร้ายจึงไม่หยิบยาในบ้านไป” เขากวาดตามองสภาพรอบตัว “แถมการลงมือของมันในครั้งนี้เหมือนมีการเตรียมตัวเอาไว้ก่อน”
“คนร้ายอาจจะเปลี่ยนวิธีการ” เจ้าหน้าที่เอฟบีไอพูด เครนหันไปมองหน้าเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึงก่อนจะพูดเสียงเรียบ
“คิดไม่ถึงว่านี่เป็นข้อสรุปของเอฟบีไอ”
“ผมเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนไม่ใช่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรม เราหาตัวคนร้ายด้วยการสืบหาหลักฐานและกระบวนการทางนิติวเช”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณไม่รู้สึกเอะใจอะไรบ้างหรือไง”
“ตอนนี้ไม่” สแตนลีย์ตอบพร้อมกับหันไปมองเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินที่กำลังลำเลียงร่างของผู้เคราะห์ร้ายออกจากห้อง “แต่เราคงได้คำตอบของคดีนี้ตอนชันสูตร”
เขาหันไปมองเครน
“คุณจะไปร่วมฟังกับเราก็ได้”
“ผมไปแน่” นักสืบร่างใหญ่ตอบและหมุนตัวเตรียมเดินออกจากห้อง เขาชะงักและหันหน้ากลับไปที่เจ้าหน้าที่พิเศษอีกครั้ง
“ได้ข่าวของคาร์เพนเตอร์บ้างไหม”
“เรากำลังดำเนินการสืบหา” แสตนลีย์ตอบ “ได้เรื่องเมื่อไหร่จะรีบติดต่อกับคุณทันที”
“ขอบคุณ” นักสืบเครนพูดและเดินออกไป เจ้าหน้าที่พิเศษแสตนลีย์มองตามเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันไปให้ความสนใจหลักฐานบางอย่างที่หน่วยนิติเวชพบ มันเป็นก้านสำลีที่ถูกนำไปป้ายบริเวณท่อระบายน้ำและตรวจสอบพบปฏิกิริยาทางเคมี
“คราบเลือด” เขาพูดพลางมองหน้าเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน “ได้มาจากไหน”
“อ่างล้างจานครับ”
“แสดงว่าฆาตกรล้างอาวุธหลังก่อเหตุ” สแตนลีย์พึมพำ “หรือจะเป็นอย่างที่นักสืบเครนพูด”
เขามองออกไปนอกหน้าต่างและจ้องรถฉุกเฉินที่กำลังวิ่งห่างออกไป
“ฆาตกรในครั้งนี้เป็นคนละคนกับคนร้ายในคดีฆาตกรรมที่ผ่านมา”
*/*/*/*/*/*
ข่าวคดีฆาตกรรมล้างครอบครัวสร้างความแปลกใจต่อท่านผู้หญิงการ์ดเนอร์เป็นอย่างมาก เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และมองภาพข่าวอย่างใช้ความคิด หลังจากติดตามรายงานข่าวจนจบการ์ดเนอร์จึงเอนตัวมาข้างหน้าพร้อมกับประสานมือไว้ที่ปลายคาง สมองไล่เรียงแผนการบางอย่างที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นสองสามครั้งดึงความคิดทั้งหมดให้กลับคืนมาอีกครั้ง ท่านผู้หญิงเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับพูดเสียงเรียบ
“เข้ามาได้”
เธอมองร่างสูงโปร่งที่กำลังก้าวมาในห้องด้วยท่าทางสงบและหยุดยืนตรงหน้า การ์ดเนอร์ผายมือไปยังเก้าอี้พร้อมกับพูด
“เชิญนั่ง”
“ขอบคุณ” เสียงเนิบเย็นกล่าวขึ้นไม่ดังนักก่อนไรซินจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้หนังหนานุ่มในลักษณะนั่งตัวตรง ท่านผู้หญิงหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มการสนทนา
“ได้ข่าวว่ากีพาร์ดก่อเรื่องวุ่นวาย”
“แค่อาละวาดเล็กน้อยเท่านั้นครับ” ไรซินตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพอีกฝ่ายกระตุกยิ้ม
“นักวิจัยตาย 3 บาดเจ็บ 17 คน แถมเรายังเสียตัวอย่างทดลองไปจำนวนหนึ่ง คุณเรียกเรืองแบบนี้เรียกว่าเป็นการอาละวาดเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ”
“ครับ” ไรซินตอบเสียงเรียบ ท่านผู้หญิงนิ่วหน้า
“แต่ดิฉันเรียกการกระทำแบบนี้ว่า ก่อความเสียหายอย่างหนัก เมื่อไหร่คุณจะจัดการเจ้าสัตว์ทดลองตัวนี้ไปเสียที”
“เขาเป็นตัวอย่างสำคัญ” นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ขององค์กรพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
การ์ดเนอร์มองเขาด้วยดวงตาวาว
“แต่ฉันเห็นมันเป็นต้นเหตุของความพินาศ” เธอกดปุ่มเปิดข่าวที่บันทึกไว้ “เห็นข่าวนี้หรือยัง”
“ผมทราบแล้ว นั่นไม่ใช่ฝีมือของกีพาร์ด” เขายิ้มมุมปาก “เขาทำได้สะอาดกว่ามาก”
“ดิฉันไม่ต้องการคำพูดเล่นลิ้น” ท่านผู้หญิงพูดเสียงห้วน “การกระทำของเขาอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กร”
“คดีนั่นเป็นฝีมือของพวกโรคจิตที่กำลังคุ้มคลั่ง ผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวข้องกับกีพาร์ดตรงไหน”
“ทั้งตำรวจและเอฟบีไอต่างคิดว่ามันเป็นการกระทำของคนร้ายรายเดียวกัน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาสืบสาวจนมาถึงองค์กร”
“ผมไม่เคยกังวลในเรื่องนั้น” ไรซินตอบพร้อมกับลุกขึ้น “คุณเรียกผมมาด้วยเรื่องเพียงแค่นี้เองหรือครับท่านผู้หญิง”
“ที่เรียกมาเพื่อจะบอกว่าฉันได้เสนอเรื่องกีพาร์ดไปที่องค์กรแล้ว คุณเตรียมหาวิธีการกำจัดเขาเอาไว้ได้เลย”
มนุษย์พิษชะงักและมองหน้าท่านผู้หญิงการ์ดเนอร์ด้วยสายตาที่ยากแก่การคาดเดานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ทุกอย่างแล้วแต่นายท่าน” เขาส่งรอยยิ้มที่ทำให้การ์ดเนอร์รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง “ไม่ใช่คุณ”
“ว่าไงนะ” ท่านผู้หญิงพูดเสียงต่ำ รอยยิ้มของไรซินจางหายไป
“หมดธุระแล้วผมต้องขอตัว”
เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบงันโดยไม่สนใจท่านผู้หญิงที่กำลังนั่งกำมือแน่นด้วยความแค้นใจ
“คุณจะทำท่าหยิ่งยะโสแบบนี้ได้อีกไม่นานหรอก ไรซิน”

*/*/*/*/*



















Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:17:10 น.
Counter : 345 Pageviews.

2 comment
บทที่ 5 กำลังใจ
บทที่ 5

กำลังใจ

เทเลอร์นั่งขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดหลังจากฟังรายงานการปฏิบัติหน้าที่ของวลาร์ดและวูล์ฟจบลง เขาหยิบซองพลาสติกที่มีเกล็ดสีน้ำตาลเข้มบรรจุอยู่ขึ้นมา
“หมายความว่าปิศาจที่เธอทั้งสองคนพบไม่ใช่คนที่ถูกฝังปรสิต” เทเลอร์พูดพลางพลิกซองที่อยู่ในมือและมองอย่างพิจารณา “แต่เป็นสัตว์ทดลองธรรมดาของพวกอิลูมิเนติค”
“ครับ” วลาร์ดตอบโดยสายตายังคงจ้องซองที่เทเลอร์ถือไว้ “ที่ต่างกันก็คือ หลังถูกกำจัด เซลล์ของมันปล่อยของเหลวออกมาละลายเนื้อเยื่อจนหมด”
“เลยเหลือกลับมาเพียงเท่านี้” หัวหน้าของเขาพูดพลางวางซองในมือลง “ของแค่นี้คงบอกอะไรเราไม่ได้มาก”
“คงต้องรอรายงานจากเขา” ลูกครึ่งแวมไพร์พูด เทเลอร์นิ่วหน้า
“ใคร”
“นักล่าจากส่วนกลาง เขาเก็บตัวอย่างสมองคนที่โดนฝังปรสิตมาด้วย” วลาร์ดอธิบายและหยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าของเทเลอร์ “คุณยังไม่ทราบเรื่องนี้หรือครับ”
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเด็กคนนั้นกลับมาแล้ว” หัวหน้าหน่วยนักล่าพูดเสียงเรียบพร้อมกับลุกขึ้น สมิธรีบถาม
“จะไปไหนหรือครับ”
“ห้องพิสูจน์หลักฐาน” เทเลอร์ตอบก่อนจะก้าวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว วูล์ฟหันไปมองหน้าลูกครึ่งแวมไพร์
“เป็นเรื่องอีกแล้ว”
“นายพูดเหมือนฉันเป็นคนผิด” วลาร์ดรีบพูด อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขาถอนใจและมองเพื่อนที่กำลังก้าวออกจากห้อง
“นั่นนายจะไปไหน”
“ห้องพิสูจน์หลักฐาน”
ลูกครึ่งแวมไพร์เดินออกจากห้องทันที หนุ่มหมาป่าหันไปมองสมิธ
“ไม่ตามไปด้วยหรือครับ”
“ผมต้องเตรียมเอกสารและศึกษาข้อมูลการทดลองเกี่ยวกับปรสิตที่คุณแอชเชอร์ส่งมา” ชายหนุ่มยิ้มให้วูล์ฟ “รีบตามพวกเขาไปเถอะ”
“ครับ” หนุ่มหมาป่ารับคำก่อนจะรีบวิ่งตามเพื่อนไปในทันที ทั้งคู่เดินไปโดยไม่พูดอะไรต่อกันจนกระทั่งถึงห้องพิสูจน์หลักฐาน วลาร์ดเปิดประตูชั้นนอกและหยิบเสื้อคลุมมาสวมก่อนจะเข้าไปภายในห้องในขณะที่วูล์ฟก้าวตามเข้าไปโดยไม่สนใจเรื่องเสื้อคลุมหรือถุงมือ ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ด้านหลังของเทเลอร์ซึ่งกำลังจ้องวิคตอเรียนิ่งและยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายละสายตาจากกล้องจุลทรรศน์จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พบอะไรบ้าง”
หญิงสาวเหลือบตามองไปยังวลาร์ดและตวัดกลับไปที่หัวหน้าหน่วยนักล่าแทบจะทันที
“ค่ะ แต่ตอนนี้คงยังสรุปอะไรแน่นอนไม่ได้”
“คุณไม่รายงานตัวหลังกลับจากการปฏิบัติหน้าที่และเข้ามาตรวจหลักฐานสำคัญโดยไม่มีการแจ้งให้ผมทราบหนำซ้ำตอนนี้ยังปิดบังข้อมูลบางส่วนเอาไว้” เทเลอร์พูดด้วยสีหน้าจริงจังและจ้องหน้าวิคตอเรียเขม็ง “ผมต้องการคำอธิบายเดี๋ยวนี้”
“ที่ไม่ได้เข้าไปรายงานตัวเพราะต้องรีบตรวจสอบเนื้อเยื่อที่ได้มาก่อนที่มันจะถูกทำลาย”
“ถูกทำลาย” วูล์ฟทวนคำ “จากอะไร”
“ฟอร์มัลดีไฮด์” วลาร์ดพูดพลางหยิบขวดแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเลื่อนสายตามองแผ่นสไลด์ที่วางอยู่บนกล้องจุลทรรศน์ หนุ่มหมาป่าขมวดคิ้ว
“มันคืออะไร แล้วทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น” วูล์ฟยังคงซักต่อด้วยความสงสัย นักล่าสาวเหลือบตามองเขาอย่างรำคาญ
“สารเคมีชนิดนี้มีปฏิกิริยากับของเหลวที่หลั่งออกมาจากเซลล์ของสัตว์ทดลอง มันช่วยชะลอการสลายตัวให้ช้าลง” วิคตอเรียหันไปอธิบายให้เทเลอร์ฟังและรีบพูดต่อ “ฉันเคยทดสอบมาแล้ว”
“แต่ฟอร์มัลดีไฮด์เข้มข้นจะทำลายเนื้อเยื่อ” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดพลางวางขวดแก้วลง “เสียเวลาเปล่าที่เก็บหลักฐานด้วยวิธีนี้”
“ยังดีกว่าพวกที่ไม่เคยคิดจะทำ” หญิงสาวสวนทันควัน วูล์ฟเลิกคิ้วในขณะที่วลาร์ดมองเธอด้วยสายตาเฉยชา
“ฉันลองมาแล้ว”
“กับสัตว์ทดลองที่หลุดเข้าไปในองค์กรน่ะเหรอ” นักล่าสาวถามด้วยน้ำเสียงดูถูก ดวงตาของลูกครึ่งแวมไพร์ทอประกายวาว
“เด็กคนนั้นชื่อแอลลิสัน เธอเป็นเหยื่อไม่ใช่สัตว์ทดลอง”
เขาพูดเน้นเสียงทีละคำและจ้องวิคตอเรียนิ่งด้วยความโกรธ เทเลอร์รีบยกมือห้าม
“พอได้แล้ว” หัวหน้าหน่วยนักล่าหันไปมองวลาร์ดก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่วิคตอเรียอีกครั้ง “ผมรู้ว่าคุณต้องค้นพบอะไรบางอย่างบ้างแล้ว พร้อมที่จะรายงานหรือยัง”
สีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังของเทเลอร์ทำให้นักล่าสาวยืนนิ่ง เธอเหลือบมองลูกครึ่งแวมไพร์ที่เลื่อนสายตาไปจ้องจอขนาดใหญ่บนผนังซึ่งกำลังฉายภาพขยายของเนื้อเยื่อที่ตนกำลังตรวจสอบก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“เนื้อเยื่อที่ได้มาในครั้งนี้แตกต่างจากสัตว์ทดลองทุกตัวที่เราเคยพบ การกระจายตัวของปรสิตในสมองไม่เหมือนกับกรณีของเด็กที่ชื่อแอลลิสัน”
“หมายความว่ายังไง” หนุ่มหมาป่าถามแทรกขึ้น วิคตอเรียมองหน้าเขาแต่ไม่ยอมตอบอะไรวลาร์ดจึงเป็นฝ่ายอธิบายทั้งที่ยังคงจ้องจอภาพไม่วางตา
“ไมซีเลียม”
“อะไรนะ” วูล์ฟถามเสียงสูงลูกครึ่งแวมไพร์หันหน้ากลับมา
“มันเป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะเป็นเส้นใยเรียกว่า ไฮฟา(Hypha) และไมซีเลียมก็คือไฮฟาที่รวมกันเป็นกระจุก นายสังเกตดูเห็นจุดเล็กๆที่ยึดติดกับเนื้อสมองนี่ไหม” วลาร์ดชี้ไปบนจอภาพ “มันคือไรซอยด์”
“ฉันขอคำอธิบายสั้นๆ ในภาษาคนธรรมดา” หนุ่มหมาป่าโพล่งขัดขึ้นมาอย่างหมดความอดทน เพื่อนของเขามองด้วยสายตาเบื่อหน่ายก่อนจะสรุป
“มีเส้นใยคล้ายตาข่ายสีขาวฝังรากอยู่ในเนื้อสมองของคนที่ได้รับเชื้อปรสิต”
“ก็เท่านั้น” วูล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงประชดและทำท่าจะพูดต่อแต่ต้องชะงักเมื่อเทเลอร์หันมามองด้วยสายตาตำหนิ
“ผมไม่มีความชำนาญด้านสารเคมีและชีววิทยาเหมือนคุณทั้งสองคน” เขาพูดขณะมองหน้าวลาร์ดและวิคตอเรีย “กรุณาสรุปให้สั้น กระชับและได้ใจความ”
“ปรสิตในสมองของมนุษย์ทดลองที่พบในวันนี้ต่างจากปรสิตที่อาศัยในแอลลิสัน” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดพลางชำเลืองมองนักล่าสาว เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะอธิบายต่อ
“การฝังตัวของปรสิตที่พบในเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นแบบตาข่ายที่ครอบคลุมไปทั่วสมอง แต่ปรสิตตัวที่พบในวันนี้นอกจากการแพร่กระจายของมันเป็นแบบการฝังรากด้วยเส้นใยเหมือนไมซีเลียมของเชื้อราแล้วฉันยังพบว่าปรสิตบางตัวมีการแบ่งตัวและเคลื่อนที่แบบซูโดพอด แต่ก็ยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักเพราะตัวอย่างที่ได้มามีชิ้นเล็กเกินไปและที่สำคัญ” เธอมองชิ้นส่วนสมองในจากเพาะเชื้อซึ่งเริ่มยุบตัวลงและกลายเป็นของเหลวเหนียวข้น “แม้จะถูกแช่มาในน้ำยา แต่เซลล์ก็ยังสามารถหลั่งสารย่อยออกมาสลายตัวเอง”
“สรุปคือพวกเธอยังไม่รู้อะไรเลย” หัวหน้าหน่วยนักล่าพูด วิคตอเรียขมวดคิ้วในขณะที่
วลาร์ดนิ่วหน้า เทเลอร์สั่นศีรษะพร้อมกับถอนใจ
“เขียนรายละเอียดและข้อมูลของปรสิตชนิดใหม่ที่เธอสองคนพบ” เขามองหน้าวิคตอเรียกับลูกครึ่งแวมไพร์ “และส่งให้ฉันในตอนเช้าก่อนการเดินทางไปพบคุณแอชเชอร์”
คำพูดสุดท้ายเน้นย้ำอย่างจงใจขณะสายตาจับจ้องอยูที่หญิงสาวโดยเฉพาะ อีกฝ่ายเม้มปากแน่นและเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน หัวหน้าหน่วยนักล่าจึงเลื่อนสายตาไปที่วลาร์ดเหมือนต้องการกำชับคำสั่งกับเขาอีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้อง วิคตอเรียจึงหันไปเก็บชิ้นส่วนสมองออกจากกล้องจุลทรรศน์ จานเพาะเชื้อรวมทั้งขวดแก้วลงกล่องผนึกฝาจนแน่นหนาและทำท่าจะก้าวออกจากห้อง วูล์ฟรีบถามทันที
“จะเอาไปไหนน่ะ”
“ตึกขาว” นักล่าสาวตอบเสียงห้วน หนุ่มหมาป่าเลิกคิ้ว
“วางเอาไว้ที่นี่แล้วเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการให้ก็ได้”
“ฉันไม่ชอบใช้งานใคร” วิคตอเรียพูดและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว วูล์ฟส่ายหน้าพร้อมกับบ่น
“เหมือนมีผีดิบเพิ่มมาอีกคน”
“พูดมากน่า” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดเสียงไม่ดังนัก หนุ่มหมาป่าหันไปมองหน้าเพื่อนและถาม
“จริงเหรอ”
“อะไร”
“ปรสิตที่เจอวันนี้เป็นคนละชนิดกับตัวที่ทำร้ายแอลลิสัน”
วลาร์ดนิ่งไปเล็กน้อยเหมือนกำลังไตร่ตรองก่อนจะตอบเพื่อน
“ตัวอย่างที่ได้มาในวันนี้มีน้อยเกินไป แต่เท่าที่ดูวิธีการแพร่กระจายในเนื้อสมองมันน่าจะเป็นแบบนั้น”
“น่าจะเป็น” วูล์ฟทวนคำพูดเพื่อนด้วยความแปลกใจ “อย่าบอกนะว่านายยังไม่มั่นใจในเรื่องที่พูดมาเท่าไหร่”
หนุ่มหมาป่าถามและจ้องหน้าเพื่อนอย่างสงสัย ลูกครึ่งแวมไพร์ยืนขมวดคิ้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ก็ทำนองนั้น”
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้วูล์ฟถึงกับอึ้งไปชั่วอึดใจ เขาส่ายหน้า
“นายเป็นอะไรไป”
“ถามทำไม”
“คนอย่างนายไม่เคยพูดจนกว่าจะแน่ใจว่าแถมตอนทำงานยังใจร้อนจนบางทีฉันแทบตามไม่ทัน”
“นายเองก็ด้วย” ลูกครึ่งแวมไพร์ย้อน “ใช้กำลังปฏิบัติหน้าที่รุนแรงเกินกว่าเหตุจนฉันเก็บเก็บซากสัตว์ทดลองกลับมาตรวจสอบไม่ได้ตั้งหลายครั้ง”
คำพูดของวลาร์ดทำให้วูล์ฟต้องยืนอึ้งไปอีกครั้ง เขากำมือแน่นก่อนจะก้มหน้าลงและพูดเสียงแผ่ว
“ฉันยังทำใจไม่ได้” หนุ่มหมาป่าคำพูดค้างไว้แล้วถอนใจ “นายน่าจะรู้”
“ฉันเข้าใจ” วลาร์ดพูดเสียงเรียบก่อนจะไล่สายตามองไปรอบห้อง “ต้องใช้เวลานานกว่าจะรวมสมาธิทำงานในห้องนี้ได้”
ลูกครึ่งแวมไพร์มองตำแหน่งที่อันเดอร์ฮิลล์เคยยืนทำงานด้วยสายตาเศร้า เขาวางมือลงบนโต๊ะที่ใช้ตรวจหลักฐานอย่างแผ่วเบาขณะหวนคิดถึงภาพที่เคยทำงานร่วมกับบิดาบุญธรรม เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมาก่อนจะถอดเสื้อคลุมและเดินออกจากห้อง วูล์ฟรีบถามด้วยความสงสัย
“นั่นนายจะไปไหน”
“เขียนรายงาน”
วลาร์ดตอบกลับมาและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนไม่ต้องการให้เพื่อนตาม หนุ่มหมาป่ายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงก้าวออกจากห้อง เสียงร้องเรียกที่ดังมาจากทางเดินอีกด้านทำให้เขาหันไปมองและเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คุณสมิธ” วูล์ฟเอ่ยทัก “มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
“คุณเทเลอร์สั่งให้มาดูคุณทั้งสองคน” ชายหนุ่มตอบพลางไล่สายตามองไปรอบตัว “วลาร์ดไปไหน”
“กลับไปที่ห้องแล้วล่ะครับ” หนุ่มหมาป่าตอบและอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของสมิธ “คุณเทเลอร์สั่งให้เขาเขียนรายงาน”
“งั้นหรือ” ชายหนุ่มพึมพำพลางมองวูล์ฟ “แล้วคุณล่ะ”
“ผมไม่ชอบงานเอกสาร” หนุ่มหมาป่าตอบเสียงเรียบขณะเดินไปตามทางและหันไปมอง สมิธที่กำลังจ้องเขาไม่วางตา “มีอะไรหรือครับ”
“เปล่า” อีกฝ่ายตอบและแว้นระยะไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ผมไม่เห็นคุณที่สนามบาสฯมาหลายอาทิตย์แล้ว”
“ครับ” วูล์ฟตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ช่วงนี้ผมกำลังฝึกอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย”
“พอจะบอกได้ไหม”
“อย่าเพิ่งดีกว่าครับ” หนุ่มหมาป่าปฏิเสธอย่างสุภาพพร้อมกับหยุดเดิน เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหน้าไปทางสมิธ “ผมมีเรื่องอยากจะถาม คุณได้ข่าวคืบหน้าอะไรบ้างไหม”
“ทางองค์กรพยายามสืบค้นทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่พบอะไรเลย” ชายหนุ่มตอบและถอนใจ “เอกสารทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฆาตกรเป็นของปลอมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชื่อ บัตรประจำตัว ใบขับขี่”
“หมายความว่าเราไม่มีทางเจอตัวคนร้ายรายนี้” วูล์ฟพูดด้วยความโกรธ “วลาร์ดรู้เรื่องแล้วหรือยังครับ”
สมิธพยักหน้าแทนการตอบ หนุ่มหมาป่าบดกรามตัวเองแน่นก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังสนามด้านนอก
“หมอนั่นถึงได้ดูหงุดหงิดตลอดเวลา”
“คุณเองก็เหมือนกัน” สมิธพูด “ไม่เพียงแต่พวกคุณ ตัวผม คุณเทเลอร์และเจ้าหน้าที่ในหน่วยนักล่าทุกคนมีความรู้สึกแบบเดียวกันหมด ทุกคนต่างทุ่มเทการทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะจับฆาตกรรายนี้ให้ได้ ดังนั้นผมจึงไม่อยากให้วลาร์ดและคุณรวมถึงวิคตอเรียใช้อารมณ์ในการปฏิบัติงาน เพราะมันอาจทำให้เกิดการพลาดพลั้งจนพวกคุณต้องได้รับอันตราย”
“คุณสมิธ” วูล์ฟหลุดคำพูดออกมาด้วยความคาดไม่ถึง อีกฝ่ายยิ้ม
“ถึงพวกผมจะเป็นเพียงแค่ฝ่ายสนับสนุน แต่เราทุกคนเป็นห่วงพวกคุณมาก” สมิธพูดพร้อมกับวางมือลงบนไหล่ของหนุ่มหมาป่าและบีบเบาๆ
“อย่าเอาแต่ลุยจนลืมหน้าที่หลักและความปลอดภัยของตัวเอง”
“ครับ” วูล์ฟรับคำเสียงแผ่ว สมิธยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ไปห้องฝึกเถอะครับ” ชายหนุ่มตบบ่าหนุ่มหมาป่าสองสามครั้งก่อนจะเดินจากไป วูล์ฟยืนมองตามจนอีกฝ่ายเดินพ้นไปจากสายตาจึงหมุนตัวและก้าวออกจากที่นั่นตรงไปยังห้องฝึกซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของอาคาร

*/*/*/*/*












Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:11:33 น.
Counter : 360 Pageviews.

0 comment
บทที่ 4 การตัดสินใจของตุลาการ
บทที่ 4

การตัดสินใจของตุลาการ

“ชั่วโมงวิทยาศาสตร์วันนี้เราจะเรียนเรื่องการทำงานของระบบอวัยวะภายในของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ”
ครูสาวของโรงเรียนประถมประจำเมืองพูดเสียงดังและนิ่วหน้าด้วยความหนักใจเมื่อเห็นเหล่านักเรียนตัวน้อยยังคงนั่งเล่นกันเหมือนไม่ได้สนใจการเรียนเท่าใดนัก เธอจึงชูโหลแก้วในมือขึ้นพร้อมกับตะเบ็งเสียงแข่งกับศิษย์ตัวน้อย
“วันนี้พวกเธอจะได้ดูการผ่ากบ” ครูสาวแอบยิ้มเมื่อเห็นจอมซนทั้งหลายหันมาจ้องกบในโหลเป็นตาเดียว อลัน เด็กนักเรียนชายตัวโตที่สุดในชั้นยกมือ
“ครูจะผ่ามันเป็นๆใช่ไหมครับ”
“แน่นอน” ครูของเขาตอบเด็กชายขมวดคิ้ว
“ทำไมไม่ให้พวกเราเป็นคนผ่าเองล่ะครับ”
“เพราะมันอันตรายเกินไป” หญิงสาวผู้เป็นครูตอบพร้อมกับวางขวดในมือลง “เอาล่ะขอให้พวกเธอทุกคนมายืนล้อมครูเอาไว้”
เธอรอจนกระทั่งเด็กนักเรียนมายืนรอบตัวจนครบจึงหยิบขวดสีชามาเปิดและคีบก้อนสำลีที่อยู่ในนั้นออกมา
“ช่วยปิดฝาให้ครูด้วยเจฟฟรีย์” เธอสั่งเด็กคนหนึ่งขณะเลื่อนขวดสีชาส่งให้เด็กชายอีกคนจากนั้นจึงหยิบโหลใส่กบมาเปิดฝาครอบออกและหย่อนก้อนสำลีลงไปพร้อมกับปิดอย่างรวดเร็ว อลันจ้องอย่างสนใจ
“มีใครรู้บ้างว่าครูใส่อะไรลงไป”
“คลอโรฟอร์มครับ” อลันรีบยกมือตอบ ครูของเขายิ้ม
“ถูกต้อง”
“ทำไมต้องใส่ลงไปด้วย” แฮริสันหันไปถามเพื่อน อีกฝ่ายหันมามอง
“มันจะได้หลับยังไงล่ะ”
“แล้วทำไมต้องทำให้มันหลับ” แฮริสันซักด้วยความสงสัย อลันชักสีหน้าเหมือนไม่พอใจและตอบอย่างรำคาญ
“หรือนายอยากเห็นมันดิ้นตอนกำลังถูกผ่า”
“นึกว่านายจะชอบเสียอีก” เจฟฟรีย์พูดแทรกไม่ดังนักและรีบก้มหน้าหลบเมื่อเห็นเพื่อนมองด้วยสายตาอาฆาต
“เลิกเรียนเมื่อไหร่นายได้เจอดีแน่”
“เอาล่ะทุกคนกรุณาสนใจตรงนี้ด้วย” ครูสาวปรบมือเพื่อดึงความสนใจเด็ก เธอใช้ปากคีบหยิบกบออกมาจากโหล เสียงร้องอุทานด้วยความตื่นเต้นดังมาจากกลุ่มเด็กผู้ชายในขณะที่เด็กหญิงต่างพากันเบ้หน้าอย่างขยะแขยงระคนหวาดกลัว ครูของพวกเขายิ้ม
“เจ้ากบตัวนี้หลับไปแล้ว ทีนี้เราจะมาดูว่าข้างในตัวของมันเป็นยังไง” เธอพูดพลางวางกบเคราะห์ร้ายลงบนถาดและหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมากรีดช่วงท้องของมัน “ครูจะแหวกหนังท้องของกบออกแล้วตรึงมันไว้ด้วยเข็มหมุดพวกเธอจะได้เห็นอวัยวะภายในของมันได้สะดวก”
“สุดยอด” เสียงอเลนพึมพำด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าหัวใจของกบกำลังเต้นเป็นจังหวะเขาหันไปมองเจฟฟรีย์ซึ่งยืนหน้าซีด “กลัวเหรอ”
“แค่ไม่ชอบกลิ่นของมันเท่านั้น” อีกฝ่ายรีบแก้ตัวขณะกลืนน้ำลายเพื่อข่มความรู้สึกของตนและชะโงกหน้าเข้าไปมอง อลันยิ้มอย่างเกเร
“อย่าเพิ่งเป็นลมไปก่อนล่ะ” เขาทำหน้าดูถูกก่อนจะหันไปให้ความสนใจการผ่ากบอีกครั้งและรีบยกมือขึ้นเมื่อครูสาวถามหาคนนำซากกบที่ถูกแยกเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วไปกำจัด เด็กชายยิ้มอย่างกระหยิ่มขณะประคองโหลใส่กบออกจากห้อง เขารีบนำมันไปซ่อนไว้ที่พุ่มไม้ก่อนกลับเข้าห้องเรียนอีกครั้งและตั้งใจฟังการสอนจนกระทั่งโรงเรียนเลิก อลันรีบตรงเข้าไปหาเพื่อนร่วมกลุ่มและกระซิบบอกแผนการของเขาทันที
“ฉันเก็บกบตัวนั้นไว้ที่พุ่มไม้ พวกนายหาทางหลอกหมอนั่นไปที่โกดังร้างได้หรือเปล่า” เด็กชายหัวโจกพูดพลางชำเลืองตาไปที่เจฟฟรีย์ แฮริสันขมวดคิ้ว
“ทำไม”
“ไม่ต้องถามทำตามที่ฉันบอกก็พอ” อลันพูดเสียงห้วน
“ตกลง” จอร์จรับคำพร้อมกับคว้ากระเป๋า เขาหันไปทางแฮริสันพร้อมกับเร่ง “เร็วหน่อยได้ไหม”
“รู้แล้ว” เพื่อนของเขาพูดพร้อมกับยัดหนังสือลงกระเป๋า อลันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองเดินไปหาเจฟฟรีย์ จอร์จแย่งกระเป๋าไปจากมือของเขาและวิ่งหนีออกจากโรงเรียนโดยไม่สนใจเจฟฟรีย์ซึ่งพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อจะวิ่งตามให้ทัน เด็กชายหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะรีบเดินไปหยิบซากกบที่ตนเองซ่อนไว้และก้าวออกจากที่นั่นตรงไปยังโกดังร้างอย่างรวดเร็ว

จอร์จและแฮริสันวิ่งไปลัดเลาะไปตามซอกซอยอย่างคล่องแคล่วจนกระทั่งถึงรั้วของโรงงานขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ทั้งคู่หยุดและหันไปมองเจฟฟรีย์ซึ่งกำลังวิ่งกระหืดกระหอบตามมา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ทั้งสองจึงช่วยกันรื้อลังกระดาษซึ่งปิดรอยโหว่กำแพงเอาไว้และมุดผ่านไปอีกด้าน หลังจากแกล้งยืนรอเจฟฟรีย์จนกระทั่งแน่ใจว่าเขาตามมา จอร์จและแฮริสันจึงวิ่งตรงไปยังโกดังร้างซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งโล่ง ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในนั้นจอร์จรีบเหวี่ยงกระเป๋าของเจฟฟรีย์ชึ้นไปยังชั้นวางของซึ่งอยู่ด้านในสุด เมื่อเขาหันหน้ากลับมาก็พบว่าเจฟฟรีย์กำลังยืนหอบหายใจอยู่ที่ประตู
“คืนกระเป๋าฉันมาเดี๋ยวนี้” เขาพูดเสียงไม่ดังนัก แฮริสันหันไปมองหน้าเพื่อน
“นายเอากระเป๋าหมอนั่นมาเหรอ”
“เปล่านี่” จอร์จตอบเสียงดังพลางเหลือบตามองไปที่เจฟฟรีย์ “นายไปลืมไว้ที่ไหนมากกว่า เจฟฟรีย์”
“ฉันไม่ได้ลืม” เพื่อนตัวผอมของเขาเถียงพลางชี้มือไปที่ชั้นวางของ “นายแย่งกระเป๋าฉันมาและโยนมันขึ้นไปไว้บนนั้น ไปเก็บมาเดี๋ยวนี้เลยเพื่อน”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนของนาย” จอร์จพูดเสียงห้วน “อยากได้ก็ปีนขึ้นไปเก็บเอาเอง”
เจฟฟรีย์กัดปากตัวเองขณะไล่สายตามองความสูงของชั้น เขายืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเดินเข้าไปหาจอร์จ
“แต่นายเป็นคนโยนมันขึ้นไป”
“แล้วไง” จอร์จย้อนถามด้วยท่าทางกวนเต็มที่ในขณะที่แฮริสันแกล้งทำเป็นหักนิ้วตัวเองเล่น เจฟฟรีย์กลืนน้ำลายเพื่อข่มความกลัวก่อนจะพูดต่อ
“นายต้องปีนไปเก็บมาคืนฉัน”
“มันจะมากไปแล้ว” จอร์จพูดเสียงดังและผลักเจฟฟรีย์อย่างแรงจนเขาหงายหลังล้มลง “กล้ามากที่มาสั่งฉัน”
“ฉันไม่ได้สั่งแต่เป็นการขอร้อง” เจฟฟรีย์พูดเสียงแผ่วขณะดันตัวให้ลุกขึ้น “นายก็รู้ว่าฉันกลัวความสูง”
“พวกเราถึงต้องลงมือฝึกให้นายไง” จอร์จหันไปหลิ่วตาให้แฮริสัน “รับรองได้เลยว่าวันนี้นายจะหายจากโรคกลัวความสูงและกบ”
“หมายความว่าไง” เจฟฟรีย์ถามด้วยความงงและสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงอลันดังมาจากทางด้านหลัง
“หมายความว่าคืนนี้นายจะนอนค้างในโกดังนี่กับเพื่อนใหม่ของฉัน” เด็กชายร่างใหญ่ชูซากกบขึ้น “อ้อ ต้องขอโทษด้วยที่ลืมยัดไส้ของมันกลับเข้าไปในท้อง แต่นายคงไม่ได้กลัวของแค่นี้ใช่ไหม”
“ไม่” เจฟฟรีย์พูดเสียงแผ่วพลางขยับถอยออกห่างแต่จอร์จรีบคว้าแขนเขาเอาไว้พร้อมกับกดให้นั่งลง
“จะหนีไปไหน”
“ฉันจะกลับบ้าน” เจฟฟรีย์ตอบเสียงสั่น ดวงตาจ้องกบในมือของอลันเขม็งด้วยความหวาดกลัว จอร์จยิ้ม
“แต่พวกเรายังไม่อยากให้นายไปไหน” เขาบีบไหล่ผอมเกร็งแรงขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเริ่มดิ้น “มาช่วยกันจับเจ้านี่หน่อยแฮริสัน”
“มัดมันเอาไว้” อลันสั่งพลางโยนเชือกเส้นหนึ่งให้และรอจนกระทั่งจอร์จกับแฮริสันช่วยกันมัดเจฟฟรีย์จนเสร็จเรียบร้อยเขาจึงก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าและถามเสียงห้วน “นายใช่ไหมที่เอาเรื่องที่พวกเราพ่นสีใส่ประตูห้องเรียนไปบอกครู”
“นายพูดเรื่องอะไร” เจฟฟรีย์ย้อนเสียงสั่นและผวาเฮือกเมื่ออลันยื่นซากกบเข้าไปจนเกือบติดใบหน้า
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ฉันเห็นนายอยู่หน้าห้องพักครูเมื่อเช้า” เด็กชายตัวโตพูดเสียงดัง เขากดซากกบลงไปบนหน้าของเจฟฟรีย์อย่างแรง “คนขี้ขลาดอย่างนายต้องเจอแบบนี้ จับมันอ้าปาก”
ประโยคหลังเขาหันไปร้องสั่งเพื่อน จอร์จและแฮริสันรีบช่วยกันจับเจฟฟรีย์และง้างปากของเขาให้อ้าออก อลันแกล้งชูซากกบให้อยู่เหนือใบหน้าของเพื่อนปล่อยให้ของเหลวเหนียวหนืดไหลย้อยเข้าไปในปาก ดวงตาของเจฟฟรีย์เบิกกว้างเขาพยายามเบือนหน้าหนีแต่ก็ไม่สามารถสู้แรงของเพื่อนทั้งสองคนได้ กลิ่นคาวจัดซึ่งกำลังไหลเข้าไปในลำคอทำให้เจฟฟรีย์รู้สึกขยะแขยงจนแทบจะอาเจียนออกมา
“แค่นี้ยังน้อยไป”
อลันพูดพลางยัดกบทั้งตัวเข้าไปในปากของเจฟฟรีย์ อีกฝ่ายสะบัดหน้าหนีและทำท่าจะคายออกมาแต่จอร์จกับแฮริสันช่วยกันกดหัวเขาเอาไว้กับพื้น ทั้งคู่เบ้หน้าเมื่อเห็นของเหลวสีเขียวข้นไหลทะลักออกมาจากปากและจมูกของเจฟฟรีย์
“พอแค่นี้เถอะ” แฮริสันพูดขึ้นและหุบปากนิ่งเมื่อเห็นสายตาของอลัน จอร์จนิ่วหน้าด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าผู้ที่เขากำลังออกแรงกดเอาไว้นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เด็กชายรีบคลายมือออกพร้อมกับหันไปมองหน้าเพื่อน
“อะไร” อลันถามเสียงห้วน
“อยู่ๆหมอนี่ก็หยุดดิ้น” จอร์จตอบด้วยน้ำเสียงตระหนก แฮริสันหน้าซีดทันที
“หรือว่า” เขาลุกขึ้นและขยับถอยออกห่าง อลันมองเพื่อนทั้งสองด้วยความรำคาญ เขาผลักจอร์จอย่างแรง
“อย่าปอดไปหน่อยเลย เจ้านี่แค่กลัวจนสลบไปเท่านั้น” หัวโจกของกลุ่มพูดพลางใช้เท้าเตะไหล่ของเจฟฟรีย์ค่อนข้างแรงและยิ้มเมื่อเห็นร่างของอีกฝ่ายกระตุกเบาๆ “เห็นไหม”
อลันพูดเสียงดังพลางหันหน้าไปมองเพื่อน จอร์จมองของเหลวที่ยังคงไหลทะลักออกจากปากของเจฟฟรีย์
“ไอ้น้ำนี่มันอะไรกัน” เขาถามออกมาได้แค่นั้นก็ต้องชะงักและเบิกตากว้าง “อ...อลัน”
“เรียกทำไม” เพื่อนของเขาขานรับด้วยความรำคาญและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกจากเพื่อนทั้งสองคน “พวกนายเป็นอะไรไป”
“ร...รีบถอยออกมาเร็วเพื่อน” แฮริสันพูดเสียงสั่น สายตาจับจ้องร่างของเจฟฟรีย์ที่กำลังขยับ และร้องลั่นเมื่อเห็นช่วงบนของลำตัวพลิกหงายขึ้นในขณะที่ช่วงล่างยังคงอยู่ในท่านอนคว่ำหน้า เสียงกระดูกบิดดังฟังเหมือนกิ่งไม้หัก มันทำให้อลันต้องหันกลับไปมอง ร่างสยองที่กำลังยืดตัวสูงขึ้นทำให้เด็กชายต้องร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
“วิ่งเร็ว!”
จอร์จตะโกนบอกเพื่อนแต่ไม่ทันเพราะเพียงเจฟฟรีย์คว้าลำคอของอลันเอาไว้และบีบอย่างแรง ดวงตาของเด็กจอมวายร้ายเหลือกลาน เขาจ้องใบหน้าสยองซึ่งกำลังกลืนซากกบลงคอด้วยสายตาหวาดกลัว
“เจฟฟรีย์”
คำพูดหลุดออกมาได้เพียงเท่านั้นหัวของอลันก็ถูกเจฟฟรีย์ฉีกกระชากออกจากตัว จอร์จและแฮริสันอ้าปากค้าง พวกเขาต่างร้องตะโกนและรีบวิ่งไปที่ประตูแต่ไม่ทัน ทั้งคู่กรีดร้องดังลั่นเมื่อถูกมือแข็งเหมือนคีมตะครุบลงบนหัว อสูรร้ายในร่างของเจฟฟรีย์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะบีบกะโหลกของเด็กทั้งสองจนแหลกคามือ
แสงวับวาบของไฟบนหลังคารถตำรวจดึงความสนใจของผู้ที่อยู่อาศัยรอบโกดังร้างให้ออกไปยืนดู ทุกคนต่างตกใจเมื่อรู้ว่าเกิดเหตุคดีฆาตกรรมสยองขึ้นและยิ่งได้ยินว่าเหยื่อทั้งสามเป็นเพียงเด็กประถมพวกเขาก็เริ่มตื่นตระหนก บางคนถึงกับรีบกลับบ้านเพื่อไปดูบุตรหลานของตนด้วยความเป็นห่วงแต่อีกหลายคนยังคงยืนอยู่ในที่เกิดเหตุเพื่อรอดูร่างของผู้เคราะห์ร้าย แต่เมื่อถูกสายตรวจสอบถามพวกเขาต่างสั่นหน้าพร้อมทั้งให้การว่าไม่ได้ยินหรือเห็นอะไรผิดสังเกต คำตอบของคนเหล่านั้นทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องจับกลุ่มปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดในขณะที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานเริ่มเก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุใส่ซองโดยไม่รู้ตัวว่าการกระทำทั้งหมดของพวกเขาอยู่ในสายตาของใครอีกคนซึ่งกำลังยืนซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวกวาดมองไปโดยรอบก่อนจะเลื่อนขึ้นและจ้องไกลออกไป เสียงแฮมเมอร์ซึ่งอยู่ในสูทสีดำถาม
“มีอะไรหรือครับคุณวิคตอเรีย”
“มีคดีฆาตกรรม” หญิงสาวตอบอย่างเคร่งขรึมพลางกระโดดลงจากจุดที่ยืนอยู่ “เหยื่อเป็นเด็กสามคน”
“เหยื่อ” แฮมเมอร์ทวนคำ “ไม่ใช่การกระทำของมนุษย์หรือครับ”
“ไม่ใช่” วิคตอเรียพูดพลางหันหน้าไปในทิศทางที่จ้องเมื่อครู่ “มันหายไปทางนั้น”
หญิงสาวชะงักคำพูดและสูดลมหายใจเข้าค่อนข้างแรง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน แฮมเมอร์มองกิริยาของเธอด้วยความแปลกใจ
“คุณวิคตอเรีย”
“กลิ่นเลือด” เธอพึมพำพร้อมกับนิ่วหน้า “มันกำลังฆ่าคน!”
หญิงสาวกระโดดข้ามกำแพงสูงและวิ่งหายไปในความมืด ทิ้งให้แฮมเมอร์ซึ่งกำลังร้องห้ามยืนอ้าปากค้างเอาไว้เพียงลำพัง เขารีบเดินกลับไปที่รถและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา หลังจากรายงานทุกอย่างพร้อมกับรับทราบคำสั่งเรียบร้อยแล้วแฮมเมอร์จึงขับรถออกจากบริเวณนั้นและมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกับที่วิคตอเรียหายไป

นักล่าสาววิ่งผ่านทุ่งโล่งไปจนกระทั่งถึงแหล่งชุมชน แม้จะไม่หนาแน่นมากนักแต่กระแสลมยามค่ำคืนผนวกกับกลิ่นอาหารนานาชนิดที่โชยออกมาจากบ้านลบกลิ่นคาวเลือดให้หายไปชั่วขณะ วิคตอเรียขมวดคิ้วด้วยความขัดใจก่อนจะกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนอาคารสูงและกวาดตามองไปรอบตัว สายลมเย็นที่พัดผ่านร่างนำพากลิ่นเลือดกลับมาอีกครั้ง หญิงสาวหันหน้าไปตามทิศทางที่เป็นต้นลม ดวงตาคมจ้องบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป เธอกระโดดลงจากตึกและพุ่งตรงไปที่นั่นทันที
เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวที่ดังออกมาจากบ้านหลังนั้นทำให้ผู้วิคตอเรียต้องเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้น เธอกระโดดข้ามรั้วไปหยุดยืนอยู่ที่สวนด้านหลังและก้าวตรงไปที่ประตูอย่างระวัง เสียงร้องคำรามที่ดังมาจากภายในทำให้หญิงสาวตัดสินใจกระแทกบานประตูและพุ่งตัวเข้าไป เมื่อเห็นภาพชิ้นส่วนจากร่างกายของมนุษย์ที่กระจัดกระจายไปทั่วทำให้วิคตอเรียต้องชะงัก เธอนิ่วหน้าและเม้มปากแน่นขณะไล่สายตามองเลือดที่สาดกระเซ็นขึ้นไปจนถึงเพดาน หญิงสาวเดินสำรวจอย่างระมัดระวังและหยุดนิ่งเมื่อได้ยินเสียงลากเท้าดังมาจากชั้นบน เธอเอื้อมมือไปดึงดาบที่สะพายไว้ด้านหลังก่อนจะก้าวขึ้นไปตามขั้นบันได เสียงคำรามแผ่วต่ำทำให้นักล่าสาวต้องกระชับอาวุธในมือแน่นพร้อมกับกวาดตามองและหยุดไว้ที่ห้องนอนขนาดใหญ่ซึ่งมีร่างอมนุษย์กำลังก้มหน้าก้มตาแทะแขนข้างหนึ่งอย่าตะกละตะกรามอยู่บนเตียง วิคตอเรียพยายามวางเท้าให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแต่ทันทีที่ก้าวผ่านประตูห้อง พื้นไม้ชิ้นหนึ่งก็ดังลั่นขึ้น อสูรร้ายสะดุ้งสุดตัว มันหันหน้ากลับมาแยกเขี้ยวขู่นักล่าสาวและพุ่งเข้าทำร้ายเธอทันทีแต่วิคตอเรียเบี่ยงตัวหลบได้ทัน ดาบในมือเงื้อขึ้นหมายจะฟันปิศาจให้ขาดเป็นสองท่อนแต่ต้องชะงักค้างนิ่งเมื่อเห็นร่างของมันชัดเต็มตา วิคตอเรียพึมพำออกมาด้วยความตกใจ
“เด็ก”
อสุรกายที่มีใบหน้าของเจฟฟรีย์ใช้เล็บตะกุยพื้นไม้อย่างบ้าคลั่ง มันส่งเสียงคำรามก้องก่อนจะกระโจนเข้าใส่นักล่าสาวอีกครั้งแต่เธอกลับยืนนิ่งไม่ยอมหลบ ปิศาจร้ายกางกรงเล็บออกหมายจะฉีกร่างของผู้ที่อยู่ตรงหน้าให้เป็นชิ้นแต่ยังไม่ทันที่ปลายนิ้วจะสัมผัสถูกตัวหญิงสาว ร่างของมันก็ถูกใครบางคนพุ่งเข้าชนจนกระเด็นไปกระแทกกับผนังห้อง ร่างสยองทรุดลงไปนอนกองกับพื้นทันที
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
วูล์ฟหันหน้ากลับมาถาม วิคตอเรียมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
“นายมานี่ได้ยังไง”
“ทางหน่วยแจ้งมาน่ะ” หนุ่มหมาป่าตอบ “งานของพวกเราเสร็จพอดีเลยรีบมาช่วย”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” หญิงสาวพูดอย่างรำคาญ วูล์ฟเลิกคิ้ว
“อ้าว ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ” หนุ่มหมาป่าพูดเสียงดังและชี้ไปที่ปิศาจร้ายซึ่งกำลังยืนโอนเอนไปมา “ถ้าไม่เข้ามาป่านนี้เธอโดนเจ้านั่นฉีกเป็นชิ้นแล้ว”
“ฉันไม่ได้ขอให้ใครช่วย” นักล่าสาวพูดเสียงเรียบพลางหมุนดาบในมือ “หลีก”
วูล์ฟอ้าปากทำท่าจะเถียงแต่เสียงร้องคำรามด้วยความโกรธของอสูรอัปลักษณ์ทำให้เขาต้องชะงักและหันไปมอง หนุ่มหมาป่าจ้องร่างที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาตกใจเพราะแม้จะอยู่ในสภาพที่เกือบจะไม่เหมือนมนุษย์แต่เค้าโครงหน้าของอสูรร้ายตัวนั้นยังคงเป็นเจฟฟรีย์ เด็กนักเรียนชั้นประถม วิคตอเรียเหลือบตามองวูล์ฟก่อนจะตวัดสายตาไปยังแขนของผู้เคราะห์ร้ายที่ตกอยู่บนพื้น เธอเม้มปากแน่นก่อนตัดสินใจหันหน้าไปประจันกับปิศาจเด็กคนนั้นและตวัดดาบฟันคอของมันจนขาดกระเด็น วูล์ฟมองหัวที่กำลังกลิ้งไปบนพื้นและอ้าปากค้างเมื่อเห็นนักล่าสาวเหวี่ยงดาบลงไปบนหัวนั่นอีกครั้งผ่ากระโหลกให้แยกเป็นสองซีกและรีบตัดมันสมองบางส่วนใส่ลงไปในขวดแก้วที่มีของเหลวบรรจุอยู่อย่างรวดเร็ว
“อะไรน่ะ”
หนุ่มหมาป่าถามด้วยความอยากรู้ วิคตอเรียชำเลืองตามองวลาร์ดที่ยืนอยู่นอกห้องก่อนจะตอบเสียงห้วน
“อย่ายุ่ง”
เธอก้าวไปที่ระเบียงและกระโดดลงไปชั้นล่างทันที วูล์ฟมองตามพร้อมกับบ่นพึมพำ
“นิสัยแย่เหมือนเจ้าผีดิบไม่มีผิด”
“จะยืนพูดอีกนานไหม” เสียงเรียบเย็นถามขึ้น หนุ่มหมาป่าหันไปมองหน้าเพื่อน
“ไม่เก็บหลักฐานเหรอ”
“ไม่ทันแล้ว” วลาร์ดตอบพลางพยักหน้าไปทางร่างของเจฟฟรีย์ที่ตอนนี้ถูกละลายด้วยของเหลวสีเขียวเข้ม พริบตาร่างปิศาจร้ายก็เหลือเพียงเมือกกองใหญ่นองเต็มพื้น
“เยี่ยม” วูล์ฟพูดขณะยกเท้าข้ามกองของเหลวเพื่อก้าวไปหาเพื่อน “เหลือแต่เมือกน่าขยะแขยงเหมือนทุกครั้ง แบบนี้เราก็ไม่มีทางรู้อะไรเกี่ยวกับปรสิตพวกนั้นเลยน่ะสิ”
“ก็ไม่เชิง” ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบพลางเลื่อนสายตามองไปยังรถของแฮมเมอร์ที่กำลังวิ่งห่างออกไป “อย่างน้อยเขาก็ได้ตัวอย่างบางส่วนไป”
วลาร์ดชะงักคำพูดค้างและนิ่วหน้าเมื่อเสียงสัญญาณของรถตำรวจดังใกล้เข้ามา หนุ่มหมาป่าส่ายหน้า
“พวกน่าเบื่อมากันแล้ว” เขาหันไปมองหน้าลูกครึ่งแวมไพร์ อีกฝ่ายจึงพูดเสียงเรียบ
“ไปกันเถอะ”
ทั้งคู่กระโดดลงมาจากชั้นสองและเดินไปที่รถซึ่งจอดรออยู่ในเงามืด เมื่อทั้งสองขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วสมิธจึงติดเครื่องยนต์และขับออกจากที่นั่นมุ่งหน้ากลับไปยังหน่วยนักล่าซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเมือง

*/*/*/*/*










Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:10:48 น.
Counter : 450 Pageviews.

0 comment
บทที่ 3 บทลงโทษ
บทที่ 3

บทลงโทษ

เสียงฝีเท้าก้าวอย่างสม่ำเสมอดังสะท้อนก้องไปตามทางเดินสีขาวซึ่งทอดยาวลึกลงไปใต้ดิน ระหว่างทางหากนักวิจัยหรือเจ้าหน้าที่ภายในห้องทดลองคนใดบังเอิญสวนทางมา พวกเขาต่างพากันรีบก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อมพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบปล่อยให้ผู้มีตำแหน่งสูงที่สุดในบรรดานักวิทยาศาสตร์ขององค์กรเดินผ่านไป ไรซินเองก็ไม่ได้สนใจที่จะกล่าวทักทายกับใคร เขายังคงเดินไปด้วยท่าทางเยือกเย็นน่าเกรงขามจนกระทั่งถึงหน้าห้องวิจัยห้องหนึ่งจึงหยุดลงและก้าวเข้าไปข้างในทันทีที่บานประตูเลื่อนเปิดออกอย่างอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่ประจำห้องทดลองสองคนซึ่งกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์รีบหันหน้ามาทำความเคารพ
“เขาเป็นยังไง”
“ยังไม่รู้สึกตัวเลยครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตอบพร้อมกับยื่นรายงานส่งให้ ไรซินรับมาถือไว้และไล่สายตาอ่านอย่างรวดเร็ว
“สุขภาพแข็งแรง ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปรกติทุกอย่าง อวัยวะภายในก็สมบูรณ์ไม่มีส่วนใดบกพร่อง” เขาวางรายงานลง “เป็นตัวอย่างที่เหมาะแก่การทดลองมาก”
“เราเตรียมปรสิตที่ท่านสั่งไว้เรียบร้อยแล้วครับ” เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้น เขามองไรซินอย่างลังเลก่อนตัดสินใจถาม “ท่านจะฝังลงไปในร่างของเขาหรือครับ”
“ทำไม” เสียงเรียบเย็นย้อนถามอีกฝ่ายสะดุ้งและรีบก้มหน้าลง
“เขาเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยอันเทสต์ที่ยังแข็งแรง ผมคิดว่าเราไม่น่าจะ...”
“ถ้าเห็นว่ามันไม่เหมาะผมจะให้คนย้ายเขาออกไป” ไรซินเว้นระยะคำพูดเล็กน้อยก่อนจะต่อประโยคเสียงเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง “และให้คุณลงไปนอนแทน”
เจ้าหน้าที่คนนั้นผวาขึ้นสุดตัว เขารีบก้าวถอยหลังพร้อมกับส่ายหน้า
“ได้ปรดอย่าทำอย่างนั้นเลยครับ” เขาพูดรัว “ผมแค่สงสัยเท่านั้น”
“คุณมีสิทธิ์สงสัยได้แค่เฉพาะงานทดลอง อย่าให้ผมได้ยินคำพูดทำนองนี้อีก”
ไรซินจ้องเขาด้วยดวงตาเย็นชาแต่คมกริบดุจเชือดหัวใจอีกฝ่ายให้ขาดสะบั้น เจ้าหน้าที่ปากมากรีบค้อมตัวลงต่ำพร้อมกับรับคำปากคอสั่น
“ครับท่าน”
“ทำให้เขารู้สึกตัว” ไรซินหันไปสั่งเจ้าหน้าที่อีกคนซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างเตียง เขารีบหยิบเข็มขึ้นมาและฉีดยาเข้าไปในสายน้ำเกลืออย่างระวัง ระหว่างรอให้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงฟื้น มนุษย์พิษตรวจดูปรสิตที่เขาต้องใช้อีกครั้งอย่างรอบคอบก่อนจะวางลงและเลื่อนมือไปหยิบมีดผ่าตัดมาถือไว้เมื่อเห็นเหยื่อทดลองเริ่มขยับ
“สวัสดี” เขาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นเยียบ “รู้สึกยังไงบ้างคาร์เพนเตอร์”
คาร์เพนเตอร์กระพริบตาสองสามครั้งเหมือนขับไล่ความง่วงงุน เขามองดวงไฟที่สว่างเจิดจ้าเหนือร่างด้วยความแปลกใจก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่ไรซิน
“เกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ที่ไหน” เขาทำท่าจะลุกแต่ต้องนิ่วหน้าเมื่อพบว่าทั้งแขนและขาถูกพันธนาการเอาไว้กับเตียง “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมัดผมไว้แบบนี้”
“มันเป็นบทลงโทษ” น้ำเสียงเรียบเย็นตอบ คาร์เพนเตอร์มองใบหน้าที่เฉยนิ่งของนักวิทยาศาสตร์ใหญ่แห่งองค์กรด้วยดวงตาสงสัย
“ลงโทษ” เขาทวนคำ “ผมทำอะไรผิด”
“คุณน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ” ไรซินย้อนถามพลางใช้ปากกาขีดลงไปบนหนังศีรษะที่ถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา คาร์เพนเตอร์มองการกระทำของเขาด้วยความหวาดกลัว
“ผมทำทุกอย่างตามที่คุณสั่ง” เขาระล่ำระลักพูดเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยิบมีดผ่าตัดขึ้นมา ไรซินตวัดตามองคาร์เพนเตอร์พร้อมกับพูดเสียงเรียบ
“นอกจากเรื่องอันเดอร์ฮิลล์” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “ผมสั่งให้คุณคอยตามเก็บหลักฐานของเหยื่อที่ถูกกีพาร์ดฆ่าเท่านั้น แล้วคุณเดินทางไปที่หน่วยนักล่าทำไม”
“ผม” น้ำตาของคาร์เพนเตอร์ไหลเป็นทาง “ผมทำตามคำสั่งของเลดี้การ์ดเนอร์”
ดวงตาของไรซินทอประกายกร้าว เขาจรดมีดผ่าตัดลงไปบนหนังศีรษะและกดลงไปเบาๆ คาร์เพนเตอร์สะดุ้งสุดตัวพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมา
“ขอโทษ ผมลืมไปว่ายังไม่ได้ให้ยาชากับคุณ” ไรซินพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะหันไปทางเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังยืนหน้าซีดด้านข้าง “ไลโดเคน”
ไรซินวางมีดผ่าตัดลงและหยิบก้อนสำลีมาซับเลือดซึ่งกำลังไหลออกจากบาดแผลอย่างเบามือพร้อมกับถาม
“หน่วยอันเทสต์ขึ้นตรงต่อใคร”
“ค...คุณ” อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักและอุทานด้วยความเจ็บปวดเพราะผู้ที่กำลังทำความสะอาดแผลเจตนากดน้ำหนักมือให้แรงขึ้น
“ต้องเพิ่มคำว่า แต่เพียงผู้เดียว ลงไปด้วย” ไรซินพูดด้วยน้ำเสียงเนิบเย็นขณะโยนก้อนสำลีชุ่มเลือดทิ้งลงถัง ผู้ช่วยคนหนึ่งหันหน้ามาทางเขา
“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับท่าน”
รอยยิ้มอำมหิตพาดผ่านใบหน้าซูบ มนุษย์พิษหยิบมีดผ่าตัดเล่มใหม่ขึ้นมาและลงมือกรีดหนังศีรษะของคาร์เพนเตอร์อย่างบรรจง
“ทีนี้ช่วยพูดอีกครั้งว่า ใครคือนายของคุณ” เขาพูดขณะเปิดแผ่นหนังออกจนเห็นกะโหลก คาร์เพนเตอร์หลับตาแน่นและตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ท...ท่านไรซิน แต่เพียงผู้เดียวครับ”
“ดีมาก” ไรซินพูดพลางวางมีดลงและรับเครื่องเจาะกะโหลกจากเจ้าหน้าที่มาถือไว้ “คำสั่งของผมคืออะไร”
“เก็บกวาดหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวกับเหยื่อของกีพาร์ด”
“ความจำของคุณยังใช้ได้” มนุษย์พิษพูดพร้อมกับกดปุ่มให้เครื่องมือทำงาน เขายิ้มเมื่อเห็นคาร์พนเตอร์สั่นไปทั้งตัว “แล้วไปที่หน่วยนักล่าทำไม”
“เป็นคำสั่งของท่านผู้หญิง ท่านบอกให้ผมเข้าไปสืบค้นเพื่อหาแนวทางทำลายพวกนักล่า รวมทั้งกำจัดผู้นำของที่นั่นหากเป็นไปได้”
“ซึ่งคุณก็ยอมทำตามโดยไม่มีการรายงานผม” น้ำเสียงของไรซินเข้มขึ้น “การ์ดเนอร์เสนอจะให้อะไร”
คาร์เพนเตอร์ไม่ยอมตอบ ไรซินจึงวางเครื่องเจาะลงบนกะโหลกของเขาและกดปุ่มให้มันหมุนในอัตราความเร็วต่ำ แม้ฤทธิ์ของยาจะทำให้อดีตลูกน้องของเขาไม่รู้สึกเจ็บแต่แรงสั่นสะเทือนที่ได้รับทำให้คาร์เพนเตอร์บังเกิดความกลัวจนแข็งเกร็งไปทั้งร่าง เขารีบตอบระรัว
“ท่านผู้หญิงสัญญาว่าจะย้ายผมเข้าไปทำงานในองค์กร”
ดวงตาของคาร์เพนเตอร์เหลือกลานเมื่อไรซินเร่งความเร็วของเครื่อง มันเจาะคว้านกระโหลกลงไปทีละน้อยจนกระทั่งถึงระดับหนึ่งจึงหยุด มนุษย์พิษถอนเครื่องมือออกพร้อมกับจัดแจงเปิดแผ่นกระดูกที่ถูกตัดอย่างระวัง และเหยียดยิ้มเมื่อเห็นคาร์เพนเตอร์ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มีใครย้ายคนในหน่วยของผมได้” ไรซินพูดขณะตรวจเนื้อสมองก่อนจะหยิบหลอดทดลองที่ใช้เลี้ยงปรสิตขึ้นมา “แม้เขาจะกลายเป็นศพไปแล้วก็ตาม”
ดวงตาสีเปลือกไม้มองหน้าคาร์เพนเตอร์เขม็ง มันฉายความอำมหิตออกมาอย่างชัดแจ้ง มนุษย์พิษพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มน่าสะพรึง
“ผมเป็นเจ้าชีวิตของพวกคุณทุกคน”
คาร์เพนเตอร์มองไรซินด้วยน้ำตานองหน้า
“อภัยให้ผมด้วย”
“ผมไม่เคยยกโทษให้กับคนทรยศ” อีกฝ่ายพูดขณะฝังปรสิตลงในเนื้อสมองของผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชา “แต่ไม่เป็นไรเพราะเมื่อปรสิตนี่เติบโตขึ้น มันจะทำให้คุณกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์ยิ่งกว่าตอนเป็นคน”
ไรซินวางหลอดทดลองที่ว่างเปล่าลงบนถาด เขามองคาร์เพนเตอร์อีกครั้งก่อนจะสั่งเจ้าหน้าที่เสียงเรียบ
“เย็บแผลและดูแลเขาให้ดี บันทึกความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและรายงานผลให้ผมทราบทุกสองชั่วโมง”
มนุษย์พิษก้าวออกจากห้องนั้นทันทีที่สั่งจบและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นหัวหน้าหน่วยอันเทสต์กำลังยืนรออยู่ด้านนอก
“มีเรื่องด่วนครับท่าน” เขารีบรายงานด้วยสีหน้ากังวล “ห้องทดลองย่อยของแผนกที่ห้าถูกพวกนักล่าบุกเข้าไปทำลายแล้วครับ”
“เสียหายเท่าไหร่” ไรซินถามขณะเดินไปตามทาง อีกฝ่ายตอบอย่างรวดเร็ว
“ตัวอ่อนหมายเลขห้าสิบถูกทำลายเกือบทั้งหมด แต่นักวิจัยของเราระเบิดห้องทดลองทิ้งได้ทันก่อนที่นักล่าพวกนั้นจะนำส่วนที่เหลือออกไป”
“งั้นรึ” ไรซินพึมพำพร้อมกับยิ้ม “ไม่เลว”
“ไม่ทราบว่าท่านจะสั่งการให้เราทำอะไรต่อไปครับ”
หัวหน้าหน่วยอันเทสต์ถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นผู้เป็นนายมีท่าทางนิ่งเฉยเหมือนไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก มนุษย์พิษตอบเสียงเรียบ
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
“แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ห้องทดลองของพวกเราคงถูกทำลายจนหมด”
“ก็แค่ส่วนย่อย” ไรซินพูดอย่างไม่ยี่หระ เขาหันไปมองผู้ใต้บังคับบัญชา “ที่คุณควรทำในตอนนี้ก็คือติดตามสัตว์ทดลองรุ่นใหม่ที่ผมเพิ่งคิดค้นขึ้น คอยระวังอย่าให้มันแสดงพิรุธออกมา ตัวไหนมีท่าทางผิดปรกติให้รีบรายงานผมทันที”
“ครับท่าน” หัวหน้าหน่วยอันเทสต์รับคำและชะงักนิ่งไปเล็กน้อยราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขานิ่วหน้าอย่างลังเลก่อนตัดสินใจพูด “มีอีกเรื่องที่ผมอยากเรียนให้ท่านทราบ”
“เรื่องอะไร”
“ท่านผู้หญิงการ์ดเนอร์ ผมได้ข่าวมาว่ามีการเคลื่อนไหวที่ไม่สู้ดีนักจากเธอและร็อคนีย์”
“ผมไม่สนใจเรื่องของคนพวกนี้”
“แต่การ์ดเนอร์ต้องการกำจัดท่านนะครับ” หัวหน้าหน่วยอันเทสต์โพล่งขึ้น ไรซินมองเขาอย่างใจเย็น
“ผมทราบ”
“ท่านไม่รายงานเบื้องบนหรือครับ”
“คุณคิดหรือว่านายท่านจะไม่รู้” มนุษย์พิษตอบและยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย “ทำหน้าที่ของคุณไปอย่าได้กังวลกับการ์ดเนอร์ส่วนร็อคนีย์ ผมแน่ใจว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไร”
“ท่านมั่นใจหรือครับ” หัวหน้าอันเทสต์ถามและหน้าเจื่อนเมื่อเห็นดวงตาคมกริบของไรซิน เขารีบก้มศีรษะลง “ถ้าอย่างนั้นผมต้องขออนุญาตไปปฎิบัติงาน”
“เชิญ”
หัวหน้าของเขาพูดเสียงเรียบ อีกฝ่ายคำนับเขาอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ไรซินมองตามด้วยสีหน้านิ่งแต่ดวงตาของเขากลับลุกวาวจนน่ากลัว
“คุณไม่มีวันทำลายผมได้หรอก การ์ดเนอร์ ไม่มีวัน”

*/*/*/*/*



















Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:09:51 น.
Counter : 431 Pageviews.

0 comment
บทที่ 2 หนี
บทที่ 2

หนี

ถาดอาหารถูกเกี่ยวด้วยตะขอโลหะก่อนจะเลื่อนลงไปยังห้องที่ใช้กักขังกีพาร์ดอย่างระมัดระวัง เสียงร้องทักทายจากเพื่อนร่วมงานทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งกำลังหย่อนโซ่ต้องละสายตาจากงานที่กระทำ กีพาร์ดรีบฉวยจังหวะนั้นกระโดดตัวลอยเข้าไปหาผนังและออกแรงถีบมันเพื่อส่งตัวขึ้นไปยังตะแกรงด้านบน มือข้างหนึ่งยื่นผ่านช่องอาหารและคว้าคอเสื้อขอเจ้าหน้าที่เคราะห์ร้ายในขณะที่มืออีกข้างจับตะแกรงแน่น มนุษย์ครึ่งเสือกระชากร่างของอีกฝ่ายให้ก้มต่ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงคำราม
“เปิดกรงเดี๋ยวนี้”
“ไม่” เจ้าหน้าที่คนนั้นตอบพลางขืนตัวเพื่อลุกขึ้นแต่กีพาร์ดกลับดึงเขากลับลงไปอีกครั้ง
“ฉันไม่ชอบพูดซ้ำซาก” กรงเล็บที่กำรอบคอกระชับแน่นขึ้น “เปิดกรง เร็ว!”
“ถ้าเปิด ท่านไรซินลงโทษผมแน่”
“แต่ถ้าไม่เปิด แกต้องตายอยู่ตรงนี้” มนุษย์ครึ่งเสือแยกเขี้ยวคำราม อีกฝ่ายตัวสั่นด้วยความกลัว
“ผมยอมตาย” เขาพูดเสียงขาดเป็นห้วงและร้องลั่นเมื่อถูกกีพาร์ดจับกระแทกกับตะแกรงโลหะอย่างแรงจนสลบ มนุษย์ครึ่งเสือผลักเจ้าหน้าที่ผู้นั้นไปให้พ้นทางก่อนจะพยายามแทรกร่างผ่านช่องขึ้นมาด้านบน กีพาร์ดหันไปมองเจ้าหน้าที่อีกสองคนซึ่งกำลังยืนอ้าปากค้างด้วยความตระหนก ทั้งคู่รีบพุ่งไปที่ปุ่มสัญญาณฉุกเฉินแต่ยังช้ากว่ามนุษย์เสือซึ่งกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็วและเหวี่ยงสันหมัดฟาดลงไปที่ต้นคอของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองทันที
“เจ้าพวกโง่” กีพาร์คพึมพำพลางกวาดตามองรอบตัว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่แผงจอภาพจำนวนหนึ่งบนผนังและจ้องสัตว์ทดลองหลายชนิดซึ่งถูกขังอยู่ตามห้องต่างๆด้วยดวงตาลุกวาว มนุษย์ครึ่งเสือแสยะยิ้ม “นายได้สนุกกับผลงานของตัวเองแน่ ไรซิน”

*/*/*/*/*

เสียงสัญญาณแจ้งเหตุฉุกเฉินดังลั่นไปทั่ว เจ้าหน้าที่และนักวิจัยต่างพากันวิ่งหนีสัตว์ทดลองหลายตัวที่ถูกกีพาร์ดปล่อยออกมา พวกมันต่างอาละวาดทำลายสิ่งของทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง และจับนักวิทยาศาสตร์ที่หนีไม่ทันมาฉีกกิน
ประตูเหล็กหนาหนักเลื่อนปิดลงอย่างรวดเร็ว กั้นส่วนที่สัตว์ทดลองอาละวาดไม่ให้หลุดออกนอกบริเวณได้ จากนั้นหน่วยอันเทสต์ เจ้าหน้าที่ซึ่งขึ้นตรงต่อไรซินได้นำกำลังบุกเข้าไป พวกเขารีบตั้งแนวสกัดพร้อมกับระดมยิงปืนยาสลบเข้าใส่สัตว์ทดลองทุกตัวแต่เนื่องมาจากผลของการตัดต่อพันธุกรรม สัตว์ร้ายตัวหนึ่งกลับไม่เป็นอะไร มันกวาดตามองพวกพ้องที่ล้มกองรอบตัวด้วยความโกรธและแยกเขี้ยวร้องคำรามอย่างคุ้มคลั่ง สัตว์ตัวนั้นกระโจนเข้าใส่กลุ่มอันเทสต์อย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าซึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อนและหยุดลงที่หน้าประตูอย่างฉับพลันทำให้ไรซินต้องละสายตาจากกล้องจุลทรรศน์ เขาเงยหน้าขึ้นเป็นจังหวะเดียวกันกับเจ้าหน้าที่อันเทสต์เปิดประตูก้าวเข้ามา มนุษย์พิษถามเสียงเรียบ
“มีอะไร”
น้ำเสียงเจืออารมณ์ขุ่นอย่างไม่พอใจอันเนื่องมาจากการถูกขัดจังหวะการทำงาน เจ้าหน้าที่ผู้นั้นก้มศีรษะลงเล็กน้อยและรีบตอบ
“ขออภัยครับที่เข้ามารบกวนท่าน แต่ตอนนี้เขตสามกำลังเกิดเหตุการณ์วิกฤต”
คำตอบของอันเทสต์ผู้นั้นทำให้ไรซินวางเครื่องมือลง เขาหันหน้าไปมองผู้เข้ามารายงานและขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเปื้อนเลือดไปทั้งตัว
“ฝีมือหมอนั่นอีกแล้วหรือ”
“ครับ คราวนี้กีพาร์ดปล่อยสัตว์ทดลองให้ออกมาอาละวาดระหว่างหนี”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน” ไรซินถามขณะลุกขึ้น เจ้าหน้าที่อันเทสต์ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อมก่อนตอบ
“ยังอยู่ในเขตสามครับ”
“เปิดประตูฉุกเฉิน ผมจะเข้าไป” ไรซินสั่งเสียงเรียบ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นทันที
“แต่มันอันตรายนะครับ” เขาชะงักคำพูดค้างและปิดปากลงเมื่อเห็นสายตาของผู้เป็นนาย เจ้าหน้าที่คนนั้นก้มหน้าลงอีกครั้ง “ผมจะนำท่านไป”
เขารีบก้าวนำออกจากห้องทันที ทั้งสองเดินไปตามทางมุ่งหน้าตรงไปยังห้องทดลองที่อยู่ด้านใน เมื่อไปถึงไรซินมองประตูเหล็กที่ถูกปิดกั้นด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะหันไปสั่งหน่วยอันเทสต์เสียงเรียบ
“เปิดประตู”
“ข้างในอันตรายมากนะครับท่าน” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแย้ง “มีสัตว์ทดลองตัวหนึ่งกำลังอาละวาดอยู่ ขนาดโดนยิงด้วยกระสุนยาสลบชนิดแรงที่สุดมันก็ยังไม่เป็นอะไร”
“ยาสลบใช้ไม่ได้ผลงั้นรึ” ไรซินยิ้ม “น่าสนใจ”
มนุษย์พิษหันหน้ากลับไปที่ประตูอีกครั้งพร้อมกับเสียงห้วน
“เปิด”
ผู้ใต้บังตับบัญชาหันไปมองหน้ากันด้วยความลำบากใจแต่เมื่อเห็นสายตาของไรซินที่กำลังเหลือบมองกลับมายังพวกเขา หนึ่งในนั้นจึงเลื่อนมือไปกดปุ่มที่ผนัง ทันทีที่ประตูเลื่อนขึ้น เสียงคำรามอย่างดุร้ายของสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ภายในก็ดังสวนออกมา เจ้าหน้าอันเทสต์ทั้งหมดรีบเล็งปืนไปยังเป้าหมายทันทีแต่ไรซินกลับยกมือห้ามพร้อมกับเหวี่ยงหลอดแก้วขนาดเล็กเข้าใส่สัตว์ทดลองอย่างรวดเร็ว ควันสีเทาหม่นที่ฟุ้งกระจายออกมาทำให้มันผงะถอยหลังพร้อมกับส่งเสียงด้วยความตระหนก เจ้าสัตว์ร้ายพยายามจะพุ่งเข้าใส่มนุษย์พิษแต่เพียงแค่ขยับขาเท่านั้นร่างสูงใหญ่ของมันก็ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรงราวกับแมงกะพรุนบนหาดทราย ไรซินก้าวไปหยุดยืนมองด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม
“คิดจะเล่นซ่อนหากับฉันหรือ”
เสียงครางแผ่วต่ำดังมาจากช่องระบายอากาศเหนือหัว เจ้าหน้าที่หน่วยอันเทสต์เงยหน้าขึ้นมองและเบิกตากว้างเมื่อเห็นกีพาร์ดกระโดดลงมา เขาหันไปมองสัตว์ทดลองซึ่งนอนแน่นิ่งไปเรียบร้อยแล้วก่อนจะเลื่อนกลับมายังไรซิน
“นายใช้ยาอะไร ทำไมถึงไม่มีผลกับเจ้าพวกนั้น” เขาตวัดสายตาไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนเรียงหน้ากระดานอยู่นอกห้อง ไรซินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“แค่ยาคลายกล้ามเนื้อที่แรงกว่าปรกติสิบเท่า”
“งั้นรึ” กีพาร์ดขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับถาม “แล้วคิดจะใช้ยาอะไรกับฉัน”
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋า มนุษย์เสือหรี่ตาลงและพุ่งเข้าไปหาเขาทันทีแต่ต้องสะดุ้งสุดตัวและหยุดชะงักอย่างฉับพลัน กีพาร์ดฝืนเดินต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนจะล้มลง เขาขบกรามแน่นขณะเลื่อนมือไปยังต้นคอและดึงเข็มฉีดยาขนาดเล็กออกมา
“เป็นไปไม่ได้ แกไม่มีทางเร็วกว่าฉัน” มนุษย์เสือพึมพำและพยายามฝืนดันตัวลุกขึ้นแต่ด้วยฤทธิ์ของยาทำให้เขาต้องล้มกลับลงไปนอนอีกครั้ง ไรซินมองเขาด้วยดวงตาที่ยากแก่การอ่านก่อนจะสั่งเสียงเรียบ
“พาเขากลับห้องและใช้โซ่มัดไว้กับเตียง”
เจ้าหน้าที่ประจำห้องทดลองช่วยกันยกร่างของกีพาร์ดออกไป ไรซินไล่สายตาไปรอบห้องและขมวดคิ้วเมื่อเห็นอุปกรณ์สำคัญหลายชิ้นถูกทำลาย เขาเอ่ยปากถามหัวหน้าหน่วยอันเทสต์ซึ่งกำลังก้าวเข้ามา
“เสียหายมากแค่ไหน”
“โหลเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อถูกทำลายไปทั้งหมด อุปกรณ์หลักของห้องนี้เสียหายถึงขั้นใช้การไม่ได้ ที่สำคัญ ตัวอ่อนกลายพันธุ์ชนิดใหม่ที่ท่านเพิ่งคิดค้นถูกสัตว์ทดลองตัวหนึ่งกินไปแล้วครับ”
“งั้นรึ” ไรซินพูดพลางมองเศษแก้วที่แตกกระจายเกลื่อนพื้นปะปนไปกับเศษเลือดและเนื้อของทั้งเจ้าหน้าที่และนักวิจัยที่ถูกสัตว์ทดลองทำร้าย “ตายกี่คน”
“เจ้าหน้าที่อันเทสต์ 17 นักวิจัย 3 ครับท่าน ส่วนพวกที่บาดเจ็บกำลังถูกนำไปทำการรักษาที่ห้องพยาบาล”
“พาพวกเขาไปที่ห้องวิจัยเขตหนึ่ง แยกขังห้องละคน จัดทีมเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลง รายงานผมทันทีหากใครมีอาการผิดปรกติ”
“แล้วพวกที่ตายล่ะครับ” หัวหน้าอันเทสต์ถามเมื่อเห็นเจ้านายทำท่าจะเดินออกจากที่นั่น ไรซินหันกลับมา
“เผาให้หมด”
เขาสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

*/*/*/*/*

ความร้อนที่กำลังแผ่กระจายไปทั่วร่างทำให้กีพาร์ดต้องบิดตัวและร้องครางออกมาด้วยความทรมาน ลำคอปวดแปลบจากการถูกเข็มฉีดยาปักซ้ำลงไปสองสามครั้ง ฤทธิ์ของยาที่ได้รับวิ่งพล่านไปตามกระแสเลือดสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ความร้อนรุ่มของมันดุจจะแผดเผากล้ามเนื้อทุกส่วนให้มอดไหม้ ดวงตาเหลืองทองดุจนัยน์ตาของเสือปรือขึ้นและจับจ้องตะแกรงโลหะที่อยู่เหนือร่างเขม็ง มนุษย์เสือพยายามขยับตัวแต่พันธนาการของโซ่ที่มัดเขาจนแน่นติดกับเตียงทำให้ไม่อาจทำได้ดังใจ กีพาร์ดบดกรามด้วยความโกรธและแผดเสียงร้องตะโกน
“ไรซิน!”
“ฉันอยู่นี่” เสียงเรียบเย็นขานรับข้างตัว กีพาร์ดหันหน้าไปมองพร้อมกับแยกเขี้ยวคำราม
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“คงไม่ได้” ไรซินปฏิเสธพลางก้าวเข้าไปหา “รู้ตัวไหมว่าวันนี้นายทำเรื่องวุ่นวายมาก”
“วุ่นวาย” กีพาร์ดทวนคำและแค่นเสียงหัวเราะ “แบบนั้นมันน่าจะเรียกว่าสร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับนายมากกว่า”
“แค่ตัวอย่างถูกทำลายไปสองสามชนิด จะทำขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้”
“แล้วคนของนายล่ะ เห็นโดนสัตว์ทดลองแสนรักเล่นงานไปหลายคนนี่” กีพาร์ดแกล้งถามด้วยน้ำเสียงประชดแต่ไรซินกลับยิ้มมุมปาก
“แค่ทรัพยากรสิ้นเปลืองเท่านั้น” เขาพูดด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจนัก ดวงตาของมนุษย์เสือลุกวาว
“พูดแบบนี้ได้ยังไง เขาเป็นลูกน้องของนายไม่ใช่เรอะ”
“ก็ใช่แต่คนที่ทำให้พวกนั้นตายคือนายต่างหาก” ไรซินสวนทันควัน “ฉันไม่เข้าใจกีพาร์ด ทำไมนายถึงได้พยายามทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเราแบบนี้”
“ทำไมน่ะรึ” กีพาร์ดกระแทกลมหายใจ “นายไม่เข้าใจหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่”
ดวงตากร้าวจ้องนัยน์ตาเฉยนิ่งของอีกฝ่ายเขม็ง ไรซินเลื่อนมือไปที่โต๊ะและหยิบปืนฉีดยากระบอกหนึ่งขึ้นมา
“สิ่งที่ฉันทำคือความก้าวหน้าทางพันธุกรรม” เขาดึงยาขวดเล็กออกมาจากกระเป๋า “กว่าจะสำเร็จก็ต้องมีผู้เสียสละกันบ้าง”
เขาบรรจุขวดยาลงไปในกระบอกปืนเข็ม กีพาร์ดจ้องด้วยสายตาโกรธจัด
“รวมถึงการจับพ่อของตัวเองไปเป็นหนูทดลองด้วยอย่างนั้นเรอะ” มือที่ถูกโซ่รัดไว้กำแน่น “แล้วยังสภาพของฉันในตอนนี้ ช่วยบอกทีวิคเตอร์ว่านายทำแบบนี้เพื่ออะไร!”
“อย่างน้อยนายก็พ้นจากสภาพของคนพิการ” ไรซินตอบเสียงเย็นพลางกดปลายเข็มไว้บนลำคอของกีพาร์ด “ส่วนผู้ชายคนนั้นถือเป็นการเสียสละเพื่อความก้าวหน้าทางการทดลอง”
เสียงคลิกเบาๆเมื่อมนุษย์พิษกดไกปืน ยาในขวดถูกดันผ่านเข็มให้ไหลเข้าไปในเส้นเลือดที่ลำคอของกีพาร์ด เขาสะดุ้งขึ้นสุดตัว
“แกฉีดยาอะไรให้ฉัน”
“พูดกับพี่แบบนี้ได้ยังไง” ไรซินยิ้มพลางวางปืนฉีดยาลง “แค่ยานอนหลับธรรมดาเท่านั้น”
“แกไม่ใช่พี่ฉัน” กีพาร์ดพูดเสียงขาดเป็นห้วง เขาพยายามเบิกตาให้กว้างขณะที่ออกแรงดิ้นรน ไรซินมองมนุษย์เสืออย่างใจเย็นและยกมือขึ้นแตะบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสงบลงไปแล้ว
“พักผ่อนให้สบาย”
เขาพึมพำไม่ดังนักก่อนจะรีบลดมือลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา เจ้าหน้าที่ประจำห้องทดลองก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต ไรซินถามเสียงห้วน
“มีอะไร”
“มีโทรศัพท์ถึงท่านครับ”
“ถ้าเป็นการ์ดเนอร์บอกเธอไปว่าผมกำลังยุ่ง” ไรซินบอกปัดอย่างไม่สนใจพลางหมุนตัวเพือเดินออกจากห้องแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นขณะพูด
“ไม่ใช่ท่านผู้หญิงการ์ดเนอร์ครับ”
“เข้าใจแล้ว” มนุษย์พิษกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปิดห้องนี้ให้ดี จัดคนมาคอยดูแลเขาแต่ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด”
ไรซินสั่งเสียงเรียบก่อนจะเดินจากไปด้วยท่าทางที่เร่งรีบ เขาก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัวและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขออภัยด้วยครับที่ทำให้นายท่านต้องเสียเวลารอ”
“ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายกล่าวคำขอโทษที่โทร.มารบกวนเวลาทำงานของคุณ” อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม “ได้ยินมาว่ามีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในห้องทดลอง”
“แค่อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้นครับ ตอนนี้ทุกอย่างเป็นปรกติเรียบร้อยแล้ว”
“สาเหตุเดิมอีกแล้วใช่ไหม” เสียงนายท่านถาม ไรซินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“ครับ”
“การ์ดเนอร์รายงานมาว่ากีพาร์ดคอยจ้องแต่จะทำลายงานของเรา ผมเข้าใจดีว่าคุณต้องการปกป้องน้องชายแต่หากยังขืนปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจอยู่แบบนี้ ผลกระทบก็จะกลับมาตกอยู่ที่ตัวคุณ” เสียงปลายสายเงียบไปชั่วชณะหนึ่ง “หากที่ประชุมลงมติให้กำจัด ผมเองก็คงไม่สามารถคัดค้านอะไรได้”
“ผมเข้าใจดีครับ” ไรซินพูดด้วยน้ำเสียงเบากว่าทุกครั้งและนิ่งเงียบไป ผู้ถูกเรียกว่านายท่านจึงกล่าวต่อ
“เวลานี้คำร้องของท่านผู้หญิงยังอยู่ในมือผม”
“ท่านหมายความว่า”
“ผมยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เธอรายงานมาเท่าใดนัก” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนี้เราคงต้องพักเรื่องกีพาร์ดเอาไว้ก่อนเพราะผมสนใจรายงานล่าสุดของคุณมากกว่า แน่ใจหรือว่าจะทำอย่างที่เสนอมา”
“ผมแน่ใจ”
“คุณไม่กลัวอิทธิพลของการ์ดเนอร์หรือ”
“ผมให้ความเคารพต่อท่านแต่เพียงผู้เดียว” ไรซินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็จัดการไปตามที่คุณเห็นควร”
“ครับ” ไรซินรับคำและวางสายลงเมื่ออีกฝ่ายตัดการสนทนา เขาเลื่อนสายตามองแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับเหยียดยิ้ม
“ได้เวลาลงโทษคนทรยศเสียที”

*/*/*/*/*



Create Date : 06 มีนาคม 2553
Last Update : 6 มีนาคม 2553 13:09:03 น.
Counter : 431 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี