นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทที่ 6 ข่าวร้ายกับความแค้นของวลาร์ด 1

บทที่ 6 ข่าวร้ายกับความแค้นของวลาร์ด

 

  

 

รายงานการพบดิกสันกับรถยนต์ที่พังยับเยินสร้างความตระหนกต่อเทเลอร์เป็นอย่างมากจนแทบจะทำเอกสารหลุดจากมือ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้และถามผู้แจ้งข่าว

 

 

“แล้วสมิธเป็นยังไงบ้าง”

 

 

เจ้าหน้าที่นายนั้นทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เบากว่าครั้งแรก

 

 

“เราไม่พบคุณสมิธ แต่มีร่องรอยกิ่งไม้หักแถวหน้าผาเลยให้นักประดาน้ำดำลงไปตรวจแต่น้ำบริเวณนั้นค่อนข้างลึกทำให้การค้นหาเป็นไปอย่างยากลำบาก”

 

 

เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นเทเลอร์ยกมือขึ้นกุมขมับและต่อประโยคด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ

 

 

“ตอนนี้เรายังหาเขาไม่พบ”

 

 

“นำดิกสันกลับมาหรือยัง”เทเลอร์ถาม อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

 

 

“เรียบร้อยแล้วครับ เจ้าหน้าที่กำลังชันสูตรอยู่”ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ เทเลอร์จึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องมุ่งหน้าตรงไปยังห้องชันสูตรซึ่งอยู่ด้านล่าง ระหว่างทางเขาพบกับวลาร์ดซึ่งแม้จะวางสีหน้าเรียบเฉยแต่ลักษณะท่าทางกลับแฝงไว้ซึ่งความร้อนใจ

 

 

“ผมได้ข่าวว่าคนของเราถูกทำร้าย”

 

 

“ดิกสันกับสมิธ”เทเลอร์ตอบ ลูกครึ่งแวมไพร์มองเขาด้วยดวงตาตระหนก

 

 

“พวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

 

 

“ดิกสันเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนสมิธ”เทเลอร์เว้นคำพูดค้างไว้เหมือนไม่อยากจะพูดแต่เมื่อเห็นความกังวลบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้วเขาจึงถอนใจออกมาเบาๆ

 

 

“เรายังหาเขาไม่พบ”

 

 

วลาร์ดยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก ลางสังหรณ์กระตุ้นเตือนให้นึกถึงความสูญเสียที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นอันเดอร์ฮิลล์ แอลลิสันหรือวิคตอเรีย แต่ความตายยังไม่สร้างความเจ็บปวดเท่ากับความทรมานจากการเห็นบุคคลอันเป็นที่รักถูกทำให้กลายสภาพ เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นก่อนพูดประโยคที่เขาเองก็ไม่อยากจะนึกถึง

 

 

“เขาอาจจะถูกไรซินจับตัวไป”

 

 

เทเลอร์วางมือลงบนไหล่ของวลาร์ดและบีบเบาๆ

 

 

“เจ้าหน้าที่พบร่องรอยเหมือนมีใครบางคนลื่นไถลลงจากหน้าผา บางทีสมิธอาจจะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บแต่ หนีรอดจากคนพวกนั้นไปได้”

 

 

“แล้วคุณกำลังจะไปไหน”ลูกครึ่งแวมไพร์ถามเมื่อเห็นเทเลอร์ทำท่าจะออกเดิน อีกฝ่ายหันมาตอบ

 

 

“ห้องชันสูตร ถึงจะรู้สาเหตุการตายของดิกสันแต่เราก็อยากจะแน่ใจว่าร่างกายของสะอาดปราศจากปรสิตหรือแบคทีเรีย”

 

 

“ผมไปด้วย”

 

 

ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและเดินตามทันที ทั้งสองเดินไปด้วยกันโดยไม่พูดคุยอะไรเลยกระทั่งถึงห้องชันสูตร ตอนแรกเทเลอร์คิดว่าวลาร์ดอาจจะเข้าไปทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่แต่กลับผิดคาดเพราะเด็กหนุ่มยืนมองอยู่ด้านนอกเท่านั้น ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงการตรวจร่างของดิกสันจึงจบลง แพทย์ประจำห้องชันสูตรเงยหน้าขึ้นและทำสัญญาณมือเป็นเชิงเรียกให้คนทั้งสองเข้าไปด้านใน

 

 

“พบอะไรผิดปรกติบ้างหรือเปล่า”เทเลอร์ถาม อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

 

“เท่าที่ตรวจดูในตอนนี้ไม่พบอะไร”เขาพูดพลางเปิดผ้าคลุมร่างที่นอนอยู่บนเตียง”สาเหตุการตายมาจากเส้นเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจถูกทำลาย คนร้ายมีความชำนาญมากที่สามารถลั่นกระสุนตัดขั้วหัวใจเขาได้เพียงนัดเดียว”

 

 

“นอกจากแผลถูกยิงแล้วมีร่อยรอยการทำร้ายอื่นบ้างหรือเปล่า”หัวหน้าหน่วยนักล่าถาม แพทย์ชันสูตรส่ายหน้า

 

 

“ไม่มีเลยครับ ถ้าจะให้ผมพูดมันเหมือนกับเขาถูกฆ่าอย่างรวดเร็ว”

 

 

เทเลอร์พยักหน้าและหันไปมองวลาร์ดที่กำลังมองร่างไร้วิญญาณของดิกสันด้วยสีหน้าที่ไม่ว่าใครก็เดาไม่ออก

 

 

“วลาร์ด”

 

 

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นและหันไปทางแพทย์ชันสูคร

 

 

“ตรวจเลือดเขาหรือยัง”

 

 

“เราตรวจสอบในขั้นต้นแล้วไม่พบอะไร แต่ผมได้จัดการส่งบางส่วนไปที่ห้องทดลองเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างช้าไม่เกินครึ่งวันคงทราบผล”

 

 

วลาร์ดนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะโคลงศีรษะ

 

 

“แต่ผมไม่คิดว่าเลือดของดิกสันจะมีแบคทึเรียเจือปนเหมือนมนุษย์หมาป่า”

 

 

“พอจะบอกได้ไหมว่าทำไม”

 

 

“เขาเป็นเป้าหมายที่คาดไม่ถึง บางทีไรซินเองคงไม่คิดด้วยซ้ำว่าร็อคนีย์จะถูกดิกสันกับคุณสมิธติดตาม พวกเขาจึงถูกจัดการอย่างรวดเร็ว”

 

 

เหตุผลของวลาร์ดทำให้เทเลอร์นิ่งคิด เพื่อเพิ่มน้ำหนักในข้อสันนิษฐานลูกครึ่งแวมไพร์จึง

 

พูดต่อ

 

 

“อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าไรซินจะฉีดเชื้อโรคเข้าไปในตัวดิกสันก็คือ เขามั่นใจว่าทั้งผม

 

และวูล์ฟติดเชื้อไปเรียบร้อยแล้ว”

 

           

 

“ผมเห็นด้วยในข้อนั้น”หัวหน้าหน่วยนักล่าพูดพลางมองร่างไร้วิญญาณของดิกสันด้วยความเศร้าใจก่อนจะหันไปกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ชันสูตรจากนั้นจึงกลับห้องทำงาน ระหว่างที่เดินไปกับวลาร์ดเทเลอร์ซึ่งเงียบไปนานจึงเอ่ยปากถาม

 

 

“วูล์ฟเป็นยังไงบ้าง”

 

 

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เทเลอร์ชำเลืองตามองเขาแล้วถอนใจเพราะรู้ดีว่าแม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่สนใจแต่ในส่วนลึกของจิตใจแล้วเขาเป็นกังวลกับอาการป่วยของวูล์ฟเป็นอย่างมาก

 

 

“แล้วการค้นคว้าของเธอไปถึงไหนแล้ว”

 

 

วลาร์ดนิ่งเงียบไม่ตอบ เทเลอร์จึงรู้ว่าเขายังหาวิธีรักษาไม่พบ เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มกังวลจนเกินไปนักเขาจึงกล่าวเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

 

“ไรซินอาจจะเก่ง แต่ก็ไม่ได้เหนือกว่าเธอเท่าใดนัก”

 

 

“เขาฉลาดกว่าผมมาก”ลูกครึ่งแวมไพร์พูดและก้มศีรษะลงเล็กน้อย”ผมต้องขอตัว”

 

 

เด็กหนุ่มเดินจากไปในทันที เทเลอร์มองด้วยความเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าวลาร์ดมีความสนิทสนมกับสมิธเป็นอย่างมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นความผูกพัน การที่เขาต้องประสบกับเหตุการณ์ร้ายซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตายย่อมมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของสองนักล่าที่ถูกกัดกร่อนจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมาหลายครั้ง ในส่วนของวูล์ฟคงไม่แปลกอะไรที่เขาจะอาละวาดโผงผางออกมา แต่สำหรับวลาร์ดซึ่งเป็นคนเก็บความรู้สึกแล้วมันก็เปรียบเสมือนกับภูเขาไฟที่ภายนอกดูสงบแต่ข้างในกลับเดือดพล่านพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา

 

 

เทเลอร์ระบายลมหายใจออกมาด้วยความหนักใจเพราะรู้ดีว่าหากวลาร์ดขาดสติต่อให้ใช้เจ้าหน้าที่ทั้งหน่วยก็คงจะคุมตัวเขาเอาไว้ไม่อยู่ ความน่ากลัวที่ตามมาก็คือเด็กหนุ่มจะพุ่งเป้าไปยังผู้ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอิลูมิเนติคทุกคนและอาจจะลงมือทำอะไรโดยพละการ ขณะที่กำลังตกอยู่ในความวิตกความคิดทั้งหมดก็ต้องหยุดลงเมื่อสตีฟซึ่งมีสีหน้าที่ซีดเซียวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับรายงาน

 

 

“พบศพชายคนหนึ่งในป่าห่างจากที่ทำการหน่วยของเราไปหนึ่งไมล์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีร่องรอยฉีกทึ้งตามร่างกายเบื้องต้นคิดว่าเขาอาจจะเสียชีวิตจากการถูกสัตว์ป่าทำร้าย”

 

 

“คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรา”

 

 

เทเลอร์พูดเสียงเรียบแต่สตีฟกลับส่ายหน้า

 

 

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับแต่พอเห็นตราประทับบนต้นแขนแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่”เขาส่งภาพถ่ายให้หัวหน้า อีกฝ่ายรับมาและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันคือรอยสักรูปสามเหลี่ยมสองอันซ้อนกันโดยมีดวงตาขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง”

 

 

“อิลูมิเนติค” เทเลอร์พึมพำพลางมองสตีฟ”แล้วตอนนี้ศพเขาอยู่ที่ไหน”

 

 

“ผมให้เจ้าหน้าที่นำไปยังห้องชันสูตรแล้วครับ”เทเลอร์ผงกศีรษะและเอ่ยเรียกสตีฟที่กำลังหมุนตัวเดินกลับไปทำงาน

 

 

“สตีฟ”

 

 

“ครับ”เขารับคำพร้อมกับหันกลับมา หัวหน้าหน่วยนักล่ามองท่าทางเศร้าสร้อยของเขาอย่างเห็นใจ

 

 

“เสียใจด้วยสำหรับเรื่องของดิกสันกับสมิธ”

 

 

ไหล่ห่อเหี่ยวคู้งอมากกว่าเดิม สตีฟสูดลมหายใจค่อนข้างลึกเหมือนต้องการข่มความเสียใจไม่ให้พลุ่งพล่านก่อนจะกล่าวตอบสั้นๆ

 

“ครับ”

 

เขาก้มศีรษะให้กับเทเลอร์จากนั้นจึงเดินจากไป

 

 

*/*/*/*/*/*

 

 

หลังแยกจากเทเลอร์วลาร์ดก็ตรงดิ่งไปยังหน่วยพยาบาล ดร.วินเซ็นต์ซึ่งเพิ่งจะเสร็จจากการตรวจร่างกายวูล์ฟเห็นเขาเข้ามาในห้องจึงเอ่ยทัก

 

 

“มาแต่เช้าเลยนะ”

 

 

“ครับ”เด็กหนุ่มตอบพลางเบนสายตามองเพื่อน”เขาเป็นยังไงบ้าง”

 

 

ถึงจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่วลาร์ดก็อดที่จะถามไม่ได้ ดร.วินเซ็นต์มีสีหน้าลำบากใจก่อนตอบ

 

 

“ค่าของแบคทีเรียคงที่ อาจจะเพราะสภาพร่างกายที่แข็งแรงของเขาเลยทำให้มีภูมิต้านทาน แต่ถ้าวูล์ฟยังอ่อนแออยู่แบบนี้...”

 

 

เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะรู้ว่าวลาร์ดรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่พูดอะไรเขาจึงตบไหล่เป็นเชิงปลอบสองสามครั้งก่อนจะเดินจากไป

 

 

เมื่อถูกปล่อยให้อยู่กันตามลำพังวลาร์ดจึงลากเก้าอี้ไปนั่งข้างเตียงหนุ่มหมาป่าและมองใบหน้าที่ซีดเซียวปราศจากสีเลือดด้วยความเป็นห่วง ผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งปรกติจะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบตอนนี้ยิ่งกระเซิงจนลงมาปรกดวงตาที่ปิดสนิท เด็กหนุ่มจึงปัดมันออกพร้อมกับบ่น

 

 

“หายดีเมื่อไหร่นายถูกจับกล้อนผมแน่”

 

 

หัวใจของลูกครึ่งแวมไพร์กระตุกวาบเมื่อหวนนึกถึงคำพูดของไรซินที่ว่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ได้รับเชื้อมีชีวิตอยู่ได้เพียงห้าวันเท่านั้น เด็กหนุ่มถอนใจเพราะนี่เป็นวันที่สามนับตั้งแต่พวกเขาได้รับเชื้อและสิ่งที่สร้างความสงสัยให้กับวลาร์ดมากที่สุดก็คือเหตุใดจึงมีแค่วูล์ฟเท่านั้นที่แสดงอาการ

 

 

สมิธเคยตั้งคำถามนี้กับเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเริ่มต้นค้นหาบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับอิลูมิเนิค เส้นทางทุกอย่างมาลงเอยที่ร็อคนีย์ ส.ส.ผู้ใจบุญ สมิธจึงสะกดรอยตามเขาด้วยหวังว่ามันจะเป็นหนทางนำไปหาไรซิน แต่การตัดสินใจของเขากลับเป็นการดึงความตายมาสู่ตัว

 

 

วลาร์ดกำมือแน่น หากวันนั้นเขาออกไปด้วยสมิธกับดิกสันก็คงไม่ตาย แม้ไม่ได้เป็นคนกระทำแต่เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นคนลั่นกระสุนสังหารเพื่อนร่วมงานทั้งสองคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะมองเพื่อนรักที่กำลังนอนหายใจแผ่วเบาอยู่ตรงหน้า วลาร์ดลุกพรวดขึ้นทันที

 

 

เขาจะไม่ยอมเจ็บปวดกับการสูญเสียอีกต่อไป

 

 

คิดดังนั้นลูกครึ่งแวมไพร์จึงเดินออกจากที่นั่นตรงไปยังห้องทำงานของสมิธ เอกสารทุกชิ้นที่ชายหนุ่มอ่านค้างไว้ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ วลาร์ดจึงหยิบขึ้นมาอ่านทีละแฟ้มจนถึงข้อมูลเรื่องบ้านพักตากอากาศ เขาจึงเปิดโน้ตบุคเพื่อหาข้อมูลเรื่องเส้นทาง เมื่อศึกษาจนเข้าใจดีแล้วเขาจึงเดินไปหยิบกุญแจที่แผนกยานพาหนะจากนั้นรถเอสยูวีสีดำสนิทก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

*/*/*/*/*/*/*

 

 




Create Date : 20 มกราคม 2556
Last Update : 20 มกราคม 2556 23:42:31 น.
Counter : 332 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog