ผลึกวิณณาณมังกร บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน
 

บทที่ 2 หุบเขาสีน้ำเงิน

 

 

            ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างนิ่งงัน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่มหาอำมาตย์กล่าวนั้นคืออะไร ยกเว้นหัวหน้าองครักษ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะพอเห็นทั้งหมดนิ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

            “ผลึกที่ว่านี่คือะไร ทำไมทุกคนถึงได้ทำมันเหมือนมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว”

 

            “มันคือความชั่วร้ายต่างหากท่านโซลแดท” โหราจารย์เป็นผู้ตอบ “ผลึกวิญญาณมังกรเป็นผลพวงพลังเวทอันน่ากลัวที่สุดของเอ็มโบลเด็น ราชันย์เวทผู้เรืองฤทธิ์ในอดีต เขารวบรวบรวมพลังเวทด้านมืดทั้งหมดกักเก็บเอาไว้ในนั้นเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ทำสำเร็จเขาก็ถูกสังหารเสียก่อน ผลึกนั้นจึงตกไปอยู่ในมือของดรากูลที่แสนชั่วร้าย โชคดีที่ปฐมกษัตริย์ไมธีร่ากำจัดเขาทัน แต่โชคร้ายที่ก่อนตายดรากูลได้สาปแช่งพระองค์เอาไว้ และมาสัมฤทธิ์ผลในตอนนี้”

 

            “ฟังเหมือนผลึกที่ว่านี่จะนำความพินาศมาสู่เมืองของเรามากกว่า แล้วทำไมพวกท่านจึงบอกว่ามันคือหนทางเดียวที่ช่วยกษัตริย์วาเก็นได้”

 

            โซลแดทแย้ง โหราจารย์เตรียมอธิบายแต่คนตอบกลับเป็นมหาอำมาตย์ออร์เด็น

 

            “เพราะผลึกวิญญาณมังกรมีพลังซึบซับคำสาปทุกชนิด ถ้าใช้ให้ถูกวิธี เราก็สามารถช่วยทั้งสองพระองค์ได้”

 

            “จริงหรือ” โซลแดทหันไปทางโหราจารย์ เขาผงกศีรษะรับ หัวหน้าองรักษ์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนขมวดคิ้ว

 

            “ถ้าเราเอาเจ้าผลึกที่ว่านี่มาได้ แล้ววิธีใช้มันละ” เขามองทุกคนในห้องและถอนใจอย่างแรงเมื่อทั้งหมดยืนอึ้ง โซลแดทเลิกคิ้วสูง “หมายความว่าพวกท่านไม่รู้”

 

            “ก็น่าจะมีอยู่คนหนึ่ง” ราเชนพูดพลางเลื่อนสายตาไปยังจอมเวทชุดดำที่ยืนอยู่กลางห้อง “เจ้าใช้เวทด้านมืดไม่ใช่หรืออาเซอร์บัส”

 

            “ถึงใช่ข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชันย์เวทหรือผลึกนั่น” อาเซอร์บัสตอบด้วยใบหน้านิ่ง ราเชนจึงขยับเข้าไปใกล้พร้อมกับใช้คำถามเหมือนเจตนายั่ว

 

            “ไม่น่าเชื่อว่าจอมเวทผู้รอบรู้ไปเสียทุกอย่างอย่างเจ้าจะไม่รู้วิธีใช้ผลึกมังกร”

 

“ข้าบอกว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้นต่างหากราเชน” จอมเวทหนุ่มพูดเน้นเสียงทีละคำ “อีกอย่างเทนที่จะมามัวนั่งกังวลเรื่องวิธีใช้ พวกเจ้าน่าปรึกษากันว่าควรส่งใครไปเอามันมามากกว่า เพราะหุบเขาสีน้ำเงินไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้าไปเดินเล่นได้ แม้จะเป็นองครักษ์เก่งกาจที่สุดก็ตาม”

 

ประโยคสุดท้ายเขาเน้นไปที่โซลแดทโดยตรง อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่พอใจทันที

 

“หมายความว่ายังไงท่านจอมเวท”

 

“ไปก็ตายเปล่า” อาเซอร์บัสตอบสั้นๆ หัวหน้าราชองครักษ์สืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยความโมโห

 

“พูดแบบนี้มันดูถูกกันชัดๆ”

 

“ข้ากล่าวตามความจริง เส้นทางสู่หุบเขาสีน้ำเงินไม่ได้มีแค่สัตว์ป่าหรือโจรเท่านั้น มันยังมีภูตผีปิศาจ จอมเวทที่แสนชั่วร้ายกับอำนาจมืดแฝงอยู่ทุกที่”

 

“งั้นข้าจะนำท่านไปด้วย” โซลแดทกล่าว จอมเวทหนุ่มสั่นศีรษะ

 

“มีเพียงสายเลือดราชวงศ์ของไมธีร่าเท่านั้นที่แตะต้องผลึกวิญญาณมังกรได้”

 

คำพูดของเขาทำให้หัวหน้าราชองครักษ์หันขวับไปทางโหราจารย์ทันที “จริงหรือ”

 

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

 

“จริง”

 

“แต่เชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงเจ้าหญิงเบอร์ทิน่ากับมหาอำมาตย์ออร์เด็นเท่านั้น” โซลแดทกล่าวพร้อมกับมองหน้าอนุชาของกษัตริย์ไมธีร่าแน่วนิ่ง อีกฝ่ายระบายลมหายใจยาว

 

“งั้นข้าจะไปเอง”

 

ออร์เด็นกล่าวพลางขยับเสื้อคลุมให้กระชับกายแน่นขึ้นอันแสดงถึงความหวาดกลัวกับการตัดสินใจเช่นนั้น แต่โซลแดทกลับส่ายหน้า

 

“อายุอย่างท่านไม่มีทางไปถึงหุบเขาสีน้ำเงินแน่”

 

“งั้นก็เหลือแต่เบอร์ทิน่า” โหราจารย์กล่าว “แต่นางเป็นเจ้าหญิง จะให้เดินทางไปในที่อันตรายแบบนั้นเพียงลำพังได้ยังไง”

 

ทุกคนต่างพากันเงียบอีกครั้ง มหาอำมาตย์เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องและถอนใจออกมาหลายครั้งเพราะจนปัญญา ส่วนโซแดทยืนเคาะดาบตัวเองเพื่อใช้ความคิดส่วน ในขณะที่โหราจารยย์นั่งก้มหน้ากอดอกเหมือนกำลังทบทวนเนื้อความบันทึกในปูม ราเชนบุตรชายเดินกลับไปกลับมาพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่แล้วจู่ๆเด็กหนุ่มก็หยุดชะงักและหันขวับไปทางอาเซอร์บัส

 

“เจ้าบอกว่าต้องใช้สายเลือดของราชวงศ์ใช่ไหม”

 

จอมเวทหนุ่มพยักหน้ารับ ในขณะที่ทุกคนมองตรงมาที่ราเชนด้วยความสงสัย

 

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ราเชน” โหราจารย์ถาม เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเหมือนภูมิใจกับความคิดของตัวเองที่ผุดขึ้นมาสดๆร้อนๆ

 

“ถ้าใช้แค่เลือดล่ะ”

 

“หมายความว่าอะไร” คราวนี้มหาอำมาตย์ถามขึ้นมาบ้าง ราเชนยกนิ้วชี้ขึ้นส่ายไปมาและจุ๊ปากเบาๆ

 

“เรื่องแบบนี้จะต้องมาคิดให้กลุ้มทำไม เราก็เอาเลือดของราชวงศ์คนใดคนหนึ่งใส่กระบอกแล้วส่งทหารสักกองออกไป พอถึงหุบเขาสีน้ำเงินก็เอาเลือดนั่นชโลมบนผลึกมังกร แค่นี้ก็หยิบมาได้แล้ว”

 

“เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยสักนิด” อาเซอร์บัสกล่าว “ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะหลุดออกมาจากหัวของลูกชายโหราจารย์ผู้ปราดเปรื่องแห่งไมธีร่า”

 

คำพูดดูแคลนของจอมเวทหนุ่มทำให้ราเชนฉุนกึก เพราะสิ่งที่พูดทั้งหมดเป็นความจริง แต่ก็ไม่วายเถียงข้างๆคูๆ

 

“เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าให้ใช้สายเลือดของราชวงศ์”

 

คราวนี้อาเซอร์บัสเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนต้องการมองคนดันทุรังให้เต็มตา

 

“อย่าบอกนะว่าเจ้าตีความหมายของมันออกมาแบบนั้น”    

 

“ข้ารู้ความหมายของมันดี” ราเชนตอบพร้อมกับกระแทกลมหายใจ “ก็แค่อยากหาทางออกอื่นเลยช่วยเสนอความคิดให้”

 

สิ่งที่หลุดจากปากของบุตรชายทำให้โหราจารย์ต้องกุมขมับและนวดเบาๆเพื่อคลายความเครียดก่อนกล่าวเชิงตำหนิ

 

“พอเถอะราเชน”

 

เด็กหนุ่มฮึดฮัดแต่ก็ยอมหยุดโต้เถียงแต่โดยดีและทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้แต่ต้องดีดตัวลุกพรวดขึ้นเมื่อเบอร์ทิน่าก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับประกาศก้อง

 

“ข้าจะไปที่นั่นเอง”

 

โซลแดทอ้าปากค้างในขณะที่โหราจารย์นั่งตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึงว่าเจ้าหญิงจะก้าวพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ ส่วนอาเซอร์บัสทำแค่หมุนศีรษะไปมองเด็กสาวเท่านั้น มีเพียงมหาอำมาตย์ที่เอ่ยถาม

 

“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรเบอร์ทิน่า”

 

นางหันมาทางออร์เด็นพร้อมกับตอบ

 

“ข้ากำลังพูดถึงการไปเอาของวิเศษมาช่วยท่านพ่อกับท่านแม่”

 

“เหลวไหลไร้สาระ ไม่มีของอย่างที่เจ้าว่าหรอก” มหาอำมาตย์รีบบ่ายเบี่ยงเพราะรู้นิสัยหลานสาวคนนี้ดีว่าหากตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว จะต้องลงมือจนสำเร็จ แต่ดูเหมือนผลจะไม่เป็นไปตามคาดเพราะเบอร์ทิน่าก้าวมายืนกลางห้องพร้อมกับจ้องหน้าผู้เป็นอาเขม็ง

 

“ของที่ว่านั่นคือผลึกวิญญาณมังกร ในหุบเขาสีน้ำเงิน และผู้ที่สามารถนำมันมาได้คือบุคคลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์ไมธีร่าเท่านั้น” นางกล่าวเสียงดังฟังชัดก่อนกวาดตามองไล่ไปทีละคนและหยุดไว้ที่อาเซอร์บัส “ข้าพูดถูกไหม”  

 

จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะ เด็กสาวจึงยิ้มก่อนหันไปทางออร์เด็น

 

“ตอนนี้สายเลือดราชวงศ์มีเพียงท่านกับข้าเท่านั้น เมื่อท่านอาไปไม่ไหว ข้าก็ขอเป็นผู้ไปเอง”

 

“แต่เจ้าเป็นถึงเจ้าหญิง ซ้ำยังไม่มีเวทมนต์อะไร จะเดินทางไปยังดินแดนที่น่ากลัวนั่นได้อย่างไรเบอร์ทิน่า”

 

มหาอำมาตย์แย้งด้วยความเป็นห่วงแต่เด็กสาวกลับยักไหล่และล้วงเข้าไปในอกเสื้อดึงเหรียญโลหะชิ้นหนึ่งออกมาชูให้ทุกคนดู

 

“เหรียญตราแห่งแอรีส” โหราจารย์พึมพำ “หรือว่าองค์หญิงสามารถใช้เวทแห่งดวงดาวได้”

 

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศ ปากพร่ำมนต์ออกมาบทหนึ่งส่วนมือทั้งสองข้างประสานกันไว้เหนือศีรษะ เหรียญที่กำลังหมุนอยู่กลางอากาศนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าและแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาราทอประกายระยิบระยับวนรอบตัวนาง ทุกคนยกเว้นอาเซอร์บัสต่างมองอย่างตื่นตะลึง ราเชนนั้นทั้งตื่นเต้นและทึ่งกับความสามารถของเจ้าหญิงจนถึงขนาดหลุดปากพูดออกมา

 

“สุดยอด ไม่เคยรู้เลยนะว่าเจ้าก็ใช้เวทมนต์เป็น”

 

“คนเรามันก็ต้องมีความลับกันบ้าง” เบอร์ทิน่าพูดพลางคลายมือทั้งสองข้างออกเพื่อรับเหรียญที่ตกลงมา นางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยขณะชำเลืองตาไปทางจอมเวทหนุ่มเหมือนต้องการจะบอกว่า ของง่ายๆ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าเหมือนสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงการแสดงของเด็ก

 

“ไม่น่าเชื่อ” ออร์เด็นพูดอย่างตื่นเต้นพลางวางมือลงบนไหล่ของเบอร์ทิน่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเก่งถึงเพียงนี้ เจ้าไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และใครเป็นคนสอน”

 

“นี่ไม่ใช่เวลามานั่งซักถามเรื่องการศึกษากันนะท่านอา” เด็กสาวติง “ข้าแสดงให้ท่านเห็นแล้วว่ามีเวทมนต์ ดังนั้นได้โปรดอนญาตให้ข้าไปหุบเขาสีน้ำเงินเถิด”

 

“ไม่ได้” มหาอำมาตย์ปฏิเสธทันควัน เบอร์ทิน่าขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

 

“ทำไม”

 

“เพราะเจ้ายังเด็ก และเด็กไม่สมควรเดินทางไปไหนตามลำพัง” พูดจบก็หมุนตัวกลับไปทางโหราจารย์เพื่อปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เบอร์ทิน่ากลับปราดไปยืนขวางหน้า

 

“ถ้าเป็นห่วงเรื่องการเดินทาง ให้ทหารไปกับข้าก็ได้ อีกอย่างตอนนี้ข้าอายุ 16 เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไปไหนมาไหนตามลำพังได้แล้ว” เด็กสาวยกเหตุผลขึ้นมาอ้างด้วยคิดว่าออร์เด็นจะคล้อยตามด้วยแต่ต้องผิดหวัง เพราะเขาสั่นศีรษะและตอบอย่างเคร่งขรึม

 

“เจ้าอาจจะโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ในสายตาของอา เจ้ายังเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งซุกซนไปมาอยู่ในวังเท่านั้น จงเลิกล้มความคิดที่จะไปหุบเขาสีน้ำเงินเสียเถิดเบอร์ทิน่า อาปล่อยให้เจ้าไปไม่ได้หรอก”

 

เบอร์ทิน่าเม้มปากแน่น หากคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ออร์เด็น อาแท้ๆที่นางเคารพรักรองจากพระบิดาแล้ว นางคงแผดเสียงใส่และสะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างไม่ไยดี กระนั้นนางก็ยังอดย้อนถามด้วยความโกรธไม่ได้

 

“ถ้าไม่ให้ข้าไป แล้วจะให้ใครไป สายเลือดของราชวงศ์ในตอนนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ”

 

“ข้าจะไปเอง” ออร์เด็นกล่าวเบาๆ เบอร์ทิน่าเบิกตากว้างเพราะคาดไม่ถึงว่ามหาอำมาตย์จะตัดสินใจทำเรื่องอันตรายเช่นนี้

 

“ท่านอาไม่มีเวทมนต์แถมยังอายุมาก เดินทางไกลขนาดนั้นไม่ไหวแน่”

 

“ก็ยังดีกว่าให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเป็นคนไป” ออร์เด็นพูดพลางบีบไหล่หลานสาวเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาให้ “วางใจเถิด อาไม่ได้ไปตามลำพัง อาจะให้ทหารสักหนึ่งกองร้อยกับสุดยอดจอมเวทสักคนตามไปด้วย”

 

ประโยคหลังเบอร์ทิน่าหันไปมองอาเซอร์บัส เขาส่ายหน้าช้าๆ

 

“ไม่ใช่ข้า”

 

เด็กสาวย่นจมูกด้วยความหมั่นไส้และสวนคำไปทันควัน

 

“แหงละ เจ้าไม่ใช่สุดยอดจอมเวทนี่” ประชดเสร็จเรียบร้อยนางก็หันกลับไปที่มหาอำมาตย์อีกครั้ง “เวลากระชั้นขนาดนี้จะไปหาจอมเวทได้ที่ไหน”

 

“เรากำลังจัดงานประลองจอมเวทกันอยู่ไม่ใช่หรือ” ออร์เด็นตอบ “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก กลับห้องพักผ่อนให้มาก เพราะเมื่ออาออกเดินทางไปแล้วเจ้าจะต้องเป็นผู้ดูแลปกป้องชาวไมธีร่า ในฐานะกษัตริย์”

 

เขามองหน้าหลานสาว “คิดว่าทำได้ไหม”

 

เบอร์ทิน่าไม่ตอบแต่กลับถอนใจออกมาอย่างแรงก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง ผู้เป็นอามองตามอย่างหนักใจในขณะที่ราเชนมองนางด้วยความเป็นห่วง

 

“นางไม่เห็นด้วยกับความคิดของท่าน” เขาพูดก่อนหันกลับมาทางมหาอำมาตย์ “แต่นางทำได้แน่”

 

“ข้ารู้” ออร์เด็นพึมพำและยืนนิ่งเหมือนคิดไม่ตกว่าควรทำสิ่งใดต่อ โซลแดทซึ่งยืนกระวนกระวายอยู่นานจึงถาม

 

“ท่านมีแผนการยังไง”

 

“อะไร” มหาอำมาตย์หลุดปากถามอย่างลืมตัวและพยักหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “เจ้าหมายถึงการไปหุบเขาสีน้ำเงิน ข้าตั้งใจแล้วว่าจะให้ทหารไปด้วยสักหนึ่งกองร้อย แต่สิ่งที่คิดไม่ตกก็คือจอมเวท จะรู้ได้ยังไงว่าคนไหนมีฝีมือ”

 

“ไม่ยาก ให้พวกเขาแสดงให้ดูก็สิ้นเรื่อง” ราเชนโพล่งขึ้นมาและยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ “หรือถ้าอยากจะให้มั่นใจก็ให้สู้กับเจ้านั่น” เขาพยักเพยิดไปทางอาเซอร์บัส “เท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครมีฝีมือ”

 

โหราจารย์โคลงศีรษะน้อยๆอย่างระอากับความคิดพิสดารของบุตรชาย

 

“ท่านอาเซอร์บัสเหนือกว่าคนพวกนั้นมาก พลาดพลั้งขึ้นมาจะพากันตายกันหมด”

 

“งั้นก็ให้เขาไปแทน” ราเชนยังคงดันทุรังพูด จึงถูกบิดาเอ็ดเสียงดัง

 

“พอได้แล้วราเชน ถ้าไม่มีความคิดดีกว่านี้ก็ออกไปซะ” เขาจ้องหน้าบุตรชายด้วยความโกรธก่อนหันไปก้มศีรษะให้มหาอำมาตย์ “โปรดอภัยที่ข้าแสดงกิริยาไม่เหมาะสม แต่บุตรชายของข้ามันเหลือทนจริงๆ”

 

“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ” ออร์เด็นกล่าว “แต่ความคิดเรื่องการคัดเลือกของเขาน่าสนใจดี ถ้าเปลี่ยนจากการแสดงความสามารถมาเป็นการแข่งขัน ดูจะเข้าท่ากว่า ใครมีฝีมือก็ผ่านเข้ารอบและร่วมเดินทางไปกับพวกเรา”

 

โหราจารย์ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย

 

“เป็นความคิดที่ไม่เลว ท่านมหาอำมาตย์ ปัญหาก็คือจะมีคนกล้าเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้หรือเปล่า เพราะจอมเวทหลายคนนอกจากจะมีฝีมือแล้วยังปรารถนาเรื่องลาภยศเงินทอง การแข่งขันที่ไม่มีของรางวัลแบบนี้คงไม่มีคนสนใจเท่าไหร่ และที่สำคัญถ้าพวกเขารู้ว่าการเดินทางในครั้งนี้อาจมีอันตรายถึงชีวิต คงไม่มีใครกล้าไปกับท่านแน่”

 

“ไม่ยาก เปลี่ยนตำนานนิดหน่อยก็สิ้นเรื่อง” ราเชนพูดและยิ้มกว้างเมื่อทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว โหราจารย์จึงถามเสียงเข้ม

 

“เปลี่ยนตำนานอะไรของเจ้า”

 

ราเชนยักไหล่และทำหน้าเหมือน เรื่องง่ายแค่นี้ก็คิดกันไม่ออกก่อนสาธยาย

 

“แทนที่จะบอกแค่ว่าเดินทางไปยังหุบเขาสีน้ำเงินเพื่อค้นหาผลึกวิญญาณมังกร เราก็ปล่อยข่าวลือออกไปว่า ที่หุบเขาสีน้ำเงินมีผลึกวิญญาณมังกรลอยอยู่ในปรอทท่ามกลางเหรียญทองคำกองมหึมา รับรองได้เลยว่าต้องมีคนแห่กันมาสมัครมืดฟ้ามัวดิน”

 

โซลแดทส่ายหัวดิกเหมือนไม่เห็นด้วยความคิดนี้เท่าใดนักแต่อาเซอร์บัสกลับอมยิ้ม

 

“เพิ่งได้ยินเจ้าพูดอะไรเข้าท่า” เขาหันไปทางมหาอำมาตย์ “ทำตามที่เจ้านี่บอกก็แล้วกัน”

 

“มันจะดีหรือท่านจอมเวท แบบนั้นเท่ากับหลอกคนอื่นให้ไปตายนะ”

 

“ถ้าเขาสมัครเพราะความโลภ ก็ถือเสียว่าเต็มใจตายตั้งแต่แรก” จอมเวทหนุ่มพูดอย่างไม่แยแสเท่าใดนัก น้ำเสียงเย็นชากับสีหน้าเรียบเฉยทำให้ทุกคนในห้องต้องกลืนน้ำลายด้วยความเสียวสยอง ตอนนั้นเองที่พวกเขาสำนึกขึ้นมาได้ว่า แม้อาเซอร์บัสจะมีหน้าที่อารักขาเจ้าหญิงเบอร์ทิน่าและไม่เคยข้องเกี่ยวกับการเมืองหรือมีเรื่องบาดหมางกับใคร แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาเป็นจอมเวทในกลุ่มที่ถูกขนานนามว่า สายมืด ซึ่งนอกจากจะมีพลังแข็งแกร่งแล้ว จิตใจยังเหี้ยมโหดอำมหิตกว่านักเวทธรรมดาทั่วไป

 

“ใจดำเหมือนกันนี่” ราเชนพูดพอให้จอมเวทหนุ่มได้ยิน แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่สนใจ เพราะเขายังคงสนทนากับออร์เด็นอย่างเป็นงานเป็นการ

 

“การแข่งขันครั้งนี้คงมีจอมเวทมาเข้าร่วมไม่น้อย ท่านควรหาลานประลองที่ห่างไกลจากผู้คนสักหน่อย จะได้ไม่มีใครโดนลูกหลงหรือได้รับอันตราย”

 

“เวลากระชั้นแบบนี้ข้าจะไปหาได้ที่ไหน” มหาอำมาตย์ถามพลางขมวดคิ้วย่นอย่างหนักใจ โซลแดทจึงกลางแทรกขึ้นมา

 

“ใช้สนามฝึกของพวกเราก็ได้ ที่นั่นกว้างขวางมีห้องให้พวกจอมเวทได้พักผ่อน แถมยังอยู่ท่ามกลางหุบเขาห่างจากเมือง ต่อให้พวกท่านใช้เวทถล่มกันจนทุกอย่างพังพินาศก็ไม่มีทางหลุดออกมาถึงประชาชน”

 

ออร์เด็นยิ้มออกมาอย่างพอใจ

 

“ตกลงตามนั้น ท่านโซลแดทเป็นผู้จัดเตรียมเรื่องสถานที่ ส่วนกติกาและการแข่งขัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ท่านโหราจารย์กับท่านอาเซอร์บัส”

 

“ข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” จอมเวทหนุ่มพูดสวนขึ้นมาทันที “หมดธุระแล้วข้าต้องขอตัว”

 

เขาเดินออกจากห้องโดยไม่กล่าวล่ำลาหรือแสดงความเคารพให้ใครสักคน กิริยากร้าวแกร่งแข็งกระด้างของอาเซอร์บัส ทำให้หัวหน้าราชองรักษ์ผู้เคร่งเครัดเรื่องระเบียบวินัยอย่างโซลแดทต้องนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจ เพราะถึงออร์เด็นจะเป็นเพียงมหาอำมาตย์ แต่ก็เป็นพระอนุชาของกษัตริย์วาเก็น ไม่สมควรที่จอมเวทจะแสดงอาการเหมือนไร้ความเคารพเช่นนี้

 

“ไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย” เขาโพล่งออกมาอย่างเหลืออด แต่ออร์เด็นกลับโบกมือ

 

“พวกจอมเวทมักเป็นแบบนี้ อย่าใส่ใจเลยท่านโซลแดท” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่ตัวของมหาอำมาตย์เองกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ซึ่งโซแดทเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่า มันมาจากกิริยาท่าทางของอาเซอร์บัสหรือสถานการณ์ในตอนนี้ 

 

“ชีวิตของสองพระองค์ขึ้นอยู่กับพวกเรา ตั้งนั้นจะมามัวเสียเวลากันอยู่ไม่ได้ โซลแดท ท่านจงไปจัดเตรียมสถานที่ ส่วนท่านโหราจารย์กับราเชน ให้ตั้งกฎกติกาและวิธีการแข่งขัน จำเอาไว้ให้ดีว่าเราต้องรีบออกเดินทาง ดังนั้นการประลองในครั้งนี้ต้องกระทำอย่างรวบรัด คัดคนออกอย่างมีประสิทธิภาพและใช้เวลาให้น้อยที่สุด”

 

“ข้าตั้งใจจะให้การแข่งขันเสร็จสิ้นภายในสามวัน” โหราจารย์กล่าว มหาอำมาตย์นิ่งคิดและส่ายหน้า

 

“คงเป็นไปได้ยากหากมีคนมากเกินไป ข้าคิดว่าควรใช้เวลาแข่งขันห้าวัน” เขาหยุดพูดและมองหน้าทุกคน เมื่อไม่มีใครแย้งจึงสรุป “เป็นอันตกลงตามนี้ ให้เปิดรับสมัครสองวัน และเริ่มต้นการแข่งขันในทันที เพื่อความไม่ประมาท ข้าต้องการจอมเวทร่วมเดินทางทั้งหมดสิบคน คิดว่าทำได้ไหม”

 

ออร์เด็นทิ้งคำถามในประโยคสุดท้ายและมองหน้าโหราจารย์กับบุตรชายสลับไปมา ราเชนยิ้มกว้างก่อนตอบอย่างมั่นใจ

 

“สบายมาก”

 

“ดีมาก ถ้าเช่นนั้นก็เริ่มลงมือทำงานกันตั้งแต่ตอนนี้ จำเอาไว้ให้ดีว่าทุกนาทีมีค่า ความอยู่รอดของไม่ธีร่าขึ้นอยู่กับพวกเรา”

 

มหาอำมาตย์สรุป ทุกคนจึงกล่าวรับคำและก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพก่อนออกจากห้อง แยกย้ายกันไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมายกันอย่างเร่งรีบ

 

 

*/*/*/*/*/*/*

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 




Create Date : 19 ธันวาคม 2556
Last Update : 19 ธันวาคม 2556 19:02:10 น.
Counter : 432 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี