นักล่าแห่งรัตติกาล ภาค สัญลักษณ์เลือด บทที่ 8 เลือด (2)

ขณะที่ภายในที่ทำการหน่วยนักล่ากำลังวุ่นวายอยู่กับการติดตามร่องรอยของอิลูมิเนติค ด้านนอกซึ่งเป็นอาคารทรงโกธิคภายใต้ชื่อ แผนกตรวจสอบวิจัยเอกสารและหนังสือโบราณของ

 

ศาสนจักร พนักงานในเครื่องแบบสากลสีน้ำเงินเข้มต่างนั่งทำงานกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

 

เวลาดำเนินไปกระทั่งถึงตอนเที่ยง เมื่อเสียงสัญญาณบอกเวลาพักดังกังวานขึ้นพนักงานทุกคนจึงทยอยกันไปรับประทานมื้อเที่ยงในห้องอาหารซึ่งอยู่ด้านหลังของตัวอาคาร พนักงานส่วนประชาสัมพันธ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีต่างพากันเก็บของและลุกขึ้นจากที่นั่งแต่ทั้งหมดต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งประตูด้านหน้าดังขึ้น หนึ่งในนั้นหันไปมองเมื่อเห็นบุรุษในชุดสูทสีเข้มพร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลขนาดใหญ่ในมือ เธอจึงเดาว่าเขาน่าจะมาติดต่อเรื่องงาน

 

“นี่พักเที่ยงนะ ไม่รู้จักดูเวลากันบ้างเลยหรือไง”

 

หญิงสาวบ่น พนักงานอีกคนหันไปมองผู้มาเยือนก่อนพูด

 

“บางทีเขาอาจจะมีธุระสำคัญ” เธอหันไปทางเพื่อน “พวกเธอไปกันก่อนฉันจะจัดการทางนี้ให้เอง”

 

หญิงสาวเดินตรงไปหาชายผู้นั้นโดยไม่ฟังคำทัดทานจากเพื่อน เมื่อปลดล็อคและเปิดประตูแล้วเธอจึงส่งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นพร้อมกับกล่าว

 

“สวัสดีค่ะ มาติดต่อเรื่องอะไรคะ”

 

“ที่นี่คือแผนกตรวจสอบวิจัยเอกสารและหนังสือโบราณของศาสนจักรใช่ไหม”ชายคนนั้นถาม พนักงานสาวพยักหน้า

 

“ใช่ค่ะ เชิญคุณเข้ามาข้างในก่อน”

 

เธอเบี่ยงตัวพร้อมกับผายมือแต่อีกฝ่ายกลับสั่นศีรษะ

 

            “ไม่เป็นไร”เขาชำเลืองตามองนาฬิกาข้อมือและก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขออภัยที่มารบกวนเวลาอาหารของพวกคุณ แต่ผมมีของสำคัญเร่งด่วนจำเป็นต้องมอบให้หัวหน้าหน่วยของที่นี่”

 

            คำพูดของเขาทำให้หญิงสาวเลิกคิ้ว ตอนนั้นเองที่เธอฉุกใจนึกถึงเหตุการณ์ร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับอันเดอร์ฮิลล์ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอ่านความคิดของเธอได้ทัน เขาเปิดซองหยิบกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีแดงสดราวกับเลือดออกมา

 

            “ไม่ต้องกลัว มันไม่มีอันตราย” เขารีบพูดเมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทางลังเลไม่กล้ายื่นมือออกมา พอเธอยอมรับกล่องนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกล่าวต่อ

 

            “กรุณานำมันไปมอบให้หัวหน้าหน่วยนักล่า โคลย์ เจ เทเลอร์”เขายิ้มอย่างอำมหิตเมื่อเห็นสีหน้าตระหนกของพนักงานสาวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก

 

            “ฝากบอกด้วยว่ามันเป็นของกำนัลจากคาร์เพนเตอร์”

 

            พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถและขับออกไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ประขาสัมพันธ์สาวยืนเข่าอ่อนอยู่ที่ประตูและนั่งอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งเพื่อนร่วมงานมาพบและนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นรวมทั้งกล่องของขวัญปริศนาเข้าไปยังหน่วยนักล่าซึ่งซ่อนเร้นอยู่ด้านใน

 

            เทเลอร์มองกล่องของขวัญสีแดงสดด้วยแววตากังวล แม้จะผ่านการตรวจจนแน่ใจแล้วว่าภายในไม่มีกระเปาะสารพิษหรือวัตถุระเบิด เขาก็ยังไม่กล้าวางใจที่จะเปิดดู หัวหน้าหน่วยนักล่านั่งมองกล่องใบนั้นนิ่งอยู่นานจนกระทั่งวลาร์ดก้าวเข้ามา

 

            “คาร์เพนเตอร์บุกเข้ามาในนี้อีกหรือครับ”คำถามหลุดจากปากแทบจะทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง เทเลอร์ส่ายศีรษะช้าๆ

 

            “แค่ยืนอยู่นอกประตูเท่านั้น” เขาพยักหน้าไปที่กล่อง “พร้อมของขวัญชิ้นเล็กๆกล่องนี้”

 

            วลาร์ดมองกล่องกระดาษบนโต๊ะและนิ่วหน้า

 

            “จะไม่เปิดดูหรือครับว่ามันคืออะไร”

 

            “ฉันยังไม่แน่ใจ”เทเลอร์หยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสายตาฉงนของลูกครึ่งแวมไพร์ เขาถอนใจค่อนข้างแรงก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือฉันกลัวว่ามันจะไม่ปลอดภัย”

 

            “ส่งให้หน่วยตรวจสอบดูแล้วหรือยัง” วลาร์ดถามและพูดต่อเมื่อหัวหน้าของเขาพยักหน้า “งั้นจะมัวรออะไร”

 

            มือยื่นไปแตะกล่องทันที เทเลอร์รีบตะปบมันเอาไว้พร้อมกับร้องห้าม

 

            “อย่า

 

            “ทำไม”ลูกครึ่งแวมไพร์ถามและจ้องหน้าเขาอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายมองกลับมาด้วยดวงตาเชิงดุ

 

            “นั่นควรเป็นคำถามของฉันมากกว่า ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอจะต้องตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะแน่ใจ แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจแม้แต่จะพลิกดู อะไรทำให้เธอกลายเป็นคนวู่วามขนาดนี้”

 

            “ผมแค่คิดตามเหตุผล เจ้าหน้าที่สามคนถูกทำร้ายก็จริงแต่พวกเขาอยู่นอกเขตที่ทำการ ที่สำคัญทั้งหมดตายในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นเรื่องปรกติสำหรับการป้องกันตัวเมื่อถูกศัตรูคุกคาม อีกอย่างถ้าคาร์เพนเตอร์ได้รับคำสั่งให้มากำจัดทุกคนในหน่วยจริงคงไม่เสียเวลามายืนแนะนำตัวพร้อมกับส่งกล่องของขวัญที่ดูน่าสงสัยแบบนี้มาหรอกครับ”

 

            เทเลอร์ยอมรับว่าเห็นด้วยกับเหตุผลที่ลูกครึ่งแวมไพร์พูดมาทั้งหมดแต่ความกังวลของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นั้น

 

            “ถ้าไรซินจงใจไช้วิธีนี้ในการแพร่เชื้อแบคทีเรีย”

 

            “เขาก็บอกแล้วไม่ใช่หรือครับว่ามันมีผลกับพวกมนุษย์กลายพันธุ์เท่านั้น และตอนนี้เขาก็แน่ใจว่าผมกับวูล์ฟติดเชื้อโรคที่ว่านี้ไปแล้ว”

 

            วลาร์ดบีบกล่องแรงขึ้น

 

            “ถ้าคุณกลัว ผมจะไปเปิดในห้องของคุณอันเดอร์ฮิลล์”

 

            “ถ้ามันเป็นเชื้อแบคทีเรียเปิดที่ไหนก็เหมือนกัน”เทเลอร์คลายมือออกและหย่อนตัวลงนั่งพลางผายมือเป็นเชิงอนุญาต วลาร์ดจึงค่อยๆแกะกระดาษด้านนอกออก เมื่อจัดการกับห่อสีสดแล้วเขาจึงเปิดฝากล่องอย่างระมัดระวัง พอเห็นสิ่งที่อยู่ภายในกล่องกิริยาทุกอย่างก็หยุดนิ่งอย่างฉับพลัน เทเลอร์มองใบหน้าเผือดของเด็กหนุ่มซึ่งฉายแววตระหนกออกมาน้อยๆด้วยความแปลกใจ

 

            “วลาร์ด”

 

            เขาเรียกพลางชะโงกหน้าเข้าไปมอง ทันทีที่เห็นของภายในกล่องเทเลอร์ก็รู้สึกชาวูบไปทั้งตัว ความเย็นอันน่าขนลุกวิ่งจากปลายเท้าไล่ไปตามสันหลังไปจนกระทั่งถึงศีรษะ เทเลอร์พึมพำด้วยความตระหนก

 

            “บัตรประจำตัว”

 

            วลาร์ดขบกรามด้วยความโกรธขณะดึงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่หน่วยนักล่าสองใบออกจากกล่อง ใบที่มีรูปของดิกสันมีรอยกระสุนเจาะทะลุเป็นรู คราบแห้งกรังของเลือดย้อมมันจนกลายเป็นสีแดง ส่วนบัตรประจำตัวของสมิธกลับขาวสะอาดปราศจากคราบหรือร่องรอยใด เหมือนเขาไม่ได้ติดมันเอาไว้ตอนถูกยิง

 

            “คาร์เพนเตอร์ส่งของพวกนี้มาให้เราทำไม”

 

            “มันต้องการตอกย้ำเรา” ลูกครึ่งแวมไพร์พูดลอดไรฟันตาจ้องบัตรในมือนิ่ง ยังไม่ทัน

 

เทเลอร์จะพูดหรือกล่าวอะไรต่อเขาก็ผลุนผลันออกจากห้องพร้อมบัตรมรณะทั้งสองใบ   

 

            ความร้อนใจทำให้วลาร์ดขึ้นไปยังห้องพักของวูล์ฟที่อยู่ชั้นสามด้วยการกระโจนเพียงสองครั้ง เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็พบหนุ่มหมาป่ากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง อีกฝ่ายพอเห็นเป็นเพื่อนก็ทำหน้าง้ำและเอ่ยปากทักอย่างไม่สบอารมณ์

 

            “ถ้าคิดจะมากล่อมให้ฉันกินเลือดแล้วละก็ ลืมไปได้เลย”

 

            วลาร์ดไม่กล่าวคำตอบโต้แต่กลับโยนบัตรทั้งสองใบลงบนตักของวูล์ฟ เขาขมวดคิ้วและหยิบขึ้นมาดู ทันทีที่เห็นรูปหนุ่มหมาป่าก็อุทานออกมา

 

            “นี่มัน”

 

            “บัตรประจำตัวของดิกสันกับคุณสมิธ”ลูกครึ่งแวมไพร์ตอบ “คาร์เพนเตอร์ใส่กล่องของขวัญมาให้พวกเราถึงหน้าประตู”

 

            “ว่าไงนะ” วูล์ฟพูดดังลั่น “เจ้านั่นมาที่นี่งั้นหรือแล้วจับตัวมันได้หรือเปล่า”

 

            พูดพลางฉวยบัตรทั้งสองเอาไว้และขยับตัวเตรียมจะลงจากเตียงแต่วลาร์ดกลับผลักเขาลงไปนั่งอีกครั้ง

 

            “เขาแค่เอาของมาส่งเท่านั้น”

 

            “หมายความว่าหมอนั่นหนีไปได้” วูล์ฟพูดด้วยความโกรธพร้อมกับฟาดกำปั้นลงบนที่นอน“ให้ตายเถอะ คนตั้งเยอะแยะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้ยังไง ถ้าตอนนั้นฉันอยู่ด้วยแล้วละก็”

 

            “นายจะทำอะไร” ลูกครึ่งแวมไพร์ถามเสียงเย็น หนุ่มหมาป่ามองเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ดุจสุนัขล่าเนื้อ

 

            “ทำไมถึงถามแบบนั้น”

 

            “สภาพนายในตอนนี้หยิบแก้วน้ำก็ยังไม่ไหว ขืนออกไปมีหวังถูกคาร์เพนเตอร์ฆ่าตายเป็นหมาข้างถนนแน่”

 

            คำพูดของเพื่อนทำให้วูล์ฟดีดตัวลงจากเตียง เขาคว้าคอเสื้อของวลาร์ดและกระชากเข้าหาตัว

 

            “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไงเจ้าผีดิบ”

 

            วลาร์ดไม่ตอบแต่กลับจับข้อมือของหนุ่มหมาป่าบิดอย่างแรง เมื่ออีกฝ่ายขัดขืนก็ถูกเขาจับหักแขนบังคับให้ลงไปนอนกับพื้นอย่างง่ายดาย

 

            “หมายความว่านายจะกลายเป็นตุ๊กตากระดาษให้คาร์เพนเตอร์ฉีกเล่นได้ตามใจไง”

 

            เขาออกแรงกดแขนวูล์ฟจนร้องลั่นก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นหนุ่มหมาป่าทำท่าจะอาละวาดเขาก็พูดสั้นๆ

 

            “นายทำของตก”

 

            วูล์ฟก้มลงมองพื้นและใจหายวาบเพราะของตกที่ลูกครึ่งแวมไพร์พูดถึงก็คือบัตรประจำตัวของสมิธกับดิกสัน โทสะที่คิดจะระบายกับเพื่อนมลายหายไป เขาขบกรามแน่นก่อนจะหยิบมันขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา  

 

            “คาร์เพนเตอร์เอาบัตรนี่มาให้เราทำไม”

 

            “เขาต้องการบอกให้เรารู้ว่าจะเข้ามาจัดการคนในหน่วยนักล่าตอนไหนก็ได้” วลาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หนุ่มหมาป่าหันไปมองหน้าเพื่อน

 

            “มันจะมากไปแล้ว หมอนั่นลืมไปหรือเปล่าว่ายังมีพวกเราอยู่”

 

            “ที่เขารู้ก็คือนายกับฉันอ่อนแอจากเชื้อแบคทีเรียของไรซิน” ลูกครึ่งแวมไพร์พูด “และเขาเข้าใจถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะหมาบ้าในตอนนี้มีแรงไม่มากไปกว่าสุนัขประกวดบนเวที”

 

            หากเป็นเวลาปรกติคำพูดเชิงดูแคลนแบบนี้คงได้รับการตอบโต้อย่างสาสม แต่ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย มันกลับสร้างความเศร้าและเจ็บปวดต่อวูล์ฟจนลำคอของเขาแห้งผาก หนุ่มหมาป่ามองภาพถ่ายของสมิธนิ่งอยู่นาน ความแค้นใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเปรียบเสมือนพี่ชายทำให้เขาคำรามออกมาเบาๆ

 

            “ฉันอยากฆ่าคาร์เพนเตอร์ด้วยมือของตัวเอง”

 

            “นายไม่มีวันทำได้หากยังอยู่ในสภาพนี้”

 

            วูล์ฟเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่เพื่อน

 

            “ฉันพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่มีทางกินเลือดนาย”

 

            “นั่นมันเมื่อสามสิบนาทีก่อน” วลาร์ดพูดด้วยใบหน้าเฉยชา หนุ่มหมาป่าขมวดคิ้วจนแทบจะผูกเข้าหากัน

 

            “ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอ”

 

            ลูกครึ่งแวมไพร์สั่นศีรษะพร้อมกับพับแขนเสื้อของตัวเองขึ้น วูล์ฟมองการกระทำของเพื่อนก่อนจะพูดเสียงแห้ง

 

            “แต่ฉันจะกินเลือดนายได้ยังไง”

 

            “แค่กัด หรือถ้าใจไม่ถึงพอจะให้ฉันกรีดเลือดใส่แก้วก็ได้”

 

            ไม่พูดเปล่าวลาร์ดยังตบดาบที่แขวนไว้ข้างเอวเบาๆเหมือนเป็นการย้ำคำ หนุ่มหมาป่าเบ้หน้า

 

“แบบนั้นเหมาะกับเครื่องดื่มพวกโกโก้มากกว่า” เขาเหยียดยิ้มคล้ายต้องการจะอวดคมเขี้ยวที่อยู่ในปาก    “อีกอย่างฉันกลัวจะเผลอกัดแขนนายจนขาด”

 

            วลาร์ดหัวเราะเบาๆพลางก้าวเข้าไปใกล้วูล์ฟและยื่นแขนไปไว้ตรงหน้าพร้อมกับกำชับ

 

            “เวลามีไม่มาก รีบลงมือเร็ว กัดแขนฉันแล้วดูดเลือดให้เหมือนกับว่านายเป็นผีดิบ”

 

“แต่ฉันเป็นมนุษย์หมาป่า”

 

“มันก็ไม่ต่างกันหรอก”

 

วลาร์ดพูดเสียงเย็น วูล์ฟมองใบหน้าเฉยชาของเพื่อนพลางถอนใจก่อนจะลดสายตาลงมองท่อนแขนขาวซีดตรงหน้าพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาเคยทำแบบเดียวกันในตอนที่

 

วลาร์ดคุ้มคลั่งจากฤทธิ์ยา ถึงจะตกอยู่ในอาการกระหายเลือดอย่างหนักแต่สิ่งที่ผู้ได้ชื่อว่าเป็น

 

แวมไพร์เลือกคือปฏิเสธเลือดที่เขาหยิบยื่นให้ ช่างแตกต่างจากตอนนี้ราวฟ้ากับดินเพราะแม้จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วน แต่หนุ่มหมาป่ากลับจำต้องดื่มเลือดของเพื่อนเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง

 

คิดถึงตรงนี้แล้วหัวใจของวูล์ฟก็เจ็บแปลบขึ้นมา มือสั่นเทาแตะแขนของวลาร์ดก่อนจะจับเอาไว้แน่น ในหัวของหนุ่มหมาป่าอัดแน่นไปด้วยถ้อยคำที่อยากจะบอกเพื่อนว่าเขาไม่อยากทำแบบนี้แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับลูกครึ่งแวมไพร์แล้วคำพูดทั้งหมดก็มลายหายไป สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของเขากลับเป็นคำพูดสั้นๆ 

 

“เจ็บหน่อยนะ”

 

“ฉันรู้”

 

วลาร์ดตอบเสียงเรียบ วูล์ฟมองใบหน้าเฉยชาของเพื่อนก่อนตัดสินใจก้มหน้าฝังเขี้ยวลงบนแขน ครั้งแรกที่ของเหลวอุ่นจัดพุ่งเข้าไปในปาก หนุ่มหมาป่าก็รู้สึกกระอักกระอ่วนจนแทบจะบ้วนมันออกมา แต่เมื่อทำใจฝืนกลืนมันลงลำคอความรู้สึกทั้งหมดก็แปรเปลี่ยน ความเค็มและกลิ่นคาวอันน่าสะอิดสะเอียนกลายเป็นกลิ่นหอมอันเย้ายวน ซ้ำรสชาติของเลือดก็หวานละมุนจนเขาถึงกับเผลอกลืนกินอย่างหลงใหลและคงดื่มกินต่อไปหากไม่ถูกวลาร์ดทุบศีรษะพร้อมกับพูดเสียงห้วน

 

“พอได้แล้วเจ้าหมาบ้า”

 

หนุ่มหมาป่าสะดุ้งสุดตัวและถอนเขี้ยวออกจากแขนทันที เมื่อเห็นใบหน้าเผือดของเพื่อนเขาก็ใจหายวาบ

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจดูดเลือดนายให้หมดตัวนะ”

 

แม้จะอยู่ในความตระหนกแต่ก็ยังอดกวนประสาทเพื่อนไม่ได้ วลาร์ดขมวดคิ้ว

 

“นายถูกฉันหักเขี้ยวทิ้งก่อนแน่ถ้าทำแบบนั้น” พูดพลางพยายามเบี่ยงตัวให้พ้นจากการประคอง “ฉันไม่เป็นไร”

 

“ยังจะมาทำเป็นพูดดีอีก เห็นอยู่ว่านายแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว” น้ำเสียงขาดหายไปขณะพยุงลูกครึ่งแวมไพร์ไปนั่งบนเตียงแต่พอขยับไปได้แค่สองสามก้าวร่างของวูล์ฟก็เกิดอาการสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับร้อยทิ่มแทงไปทั่วทุกรูขุมขนทำให้หนุ่มหมาป่าร้องลั่นและล้มลงไปนอนกลิ้งกับพื้นดิ้นทุรนทุราย

 

“วูล์ฟ

 

วลาร์ดเรียกเพื่อนด้วยความตระหนกและเอื้อมมือออกไปหมายจะช่วยพาเขาขึ้นไปบนเตียงแต่วูล์ฟกลับปัดออกอย่างแรงพร้อมกับตะโกน

 

“อย่าเข้ามา

 

พูดได้แค่นั้นเขาก็ขดตัวงอราวกับกุ้ง มือทั้งสองข้างบีบไหล่ตัวเองแน่นจนสั่นระริก วูล์ฟรู้สึกเหมือนเวลานี้กล้ามเนื้อทุกส่วนกำลังปริแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นจนเขาต้องส่งเสียงร้องครวญครางออกมา แต่สิ่งที่สร้างความทรมานให้กับเขามากที่สุดคือความร้อนที่ปะทุขึ้นมาจากภายใน หนุ่มหมาป่ารู้สึกเหมือนภายในตัวของเขามีกองไฟขนาดใหญ่กำลังเผาไหม้ทุกอณูของร่างกายให้มอดไหม้เป็นจุณ

 

ขณะที่นอนร้องโอดโอยอยู่นั้นจู่ๆทั้งความร้อนและความเจ็บปวดทั้งหมดก็มลายหายไป วูล์ฟหยุดส่งเสียงคร่ำครวญและลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงงต่างจากวลาร์ดที่ยืนมองเขาอย่างใจเย็น

 

“รู้สึกยังไงบ้าง”

 

ลูกครึ่งแวมไพร์ถาม หนุ่มหมาป่าลุกขึ้นยืนและก้มลงมองสำรวจตัวเองด้วยความแปลกใจ

 

“ทำไมอยู่ๆฉันก็หายเจ็บ”

 

“เพราะเชื้อโรคในตัวถูกทำลายไปหมดแล้ว” วลาร์ดตอบพลางหันไปรินน้ำใส่แก้วและยื่นส่งให้เพื่อนและนิ่วหน้าเมื่อเห็นวูล์ฟทำตาโตเหมือนเจอของประหลาด

 

“มีอะไร”

 

“นายรินน้ำให้ฉัน” หนุ่มหมาป่าตอบพร้อมกับรับถ้วยน้ำมาดื่มรวดเดียวหมด วลาร์ดขมวดคิ้ว

 

“ไม่อยากให้นายคิดว่าฉันเป็นคนใจดำ”

 

“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเพราะนายเป็นผีดิบ”

 

วูล์ฟพูดพลางวางถ้วยน้ำลงบนโต๊ะและใช้มือกดไปตามร่างกาย เมื่อแน่ใจว่าไม่มีส่วนใดบุบสลายแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน

 

“ขอบใจนายมาก” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าครั้งแรก “แล้วก็ขอโทษ”

 

วลาร์ดชำเลืองมองเขาด้วยหางตาก่อนจะถาม

 

“เรื่องอะไร”

 

“ที่กินเลือดนาย”

 

มือที่กำลังบีบแขนเพื่อห้ามเลือดกระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

 

“นายถูกบังคับต่างหาก” ดวงตาลดลงไปมองรอยเขี้ยวบนท้องแขน มันทอประกายสีแดงเรืองรองราวแสงสะท้อนของทับทิม “แล้วตอนนี้รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”

 

วูล์ฟลูบไปตามลำตัวและขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อความเจ็บปวดที่เคยฝังอยู่ในทุกอณูของผิวกายหายไปราวปลิดทิ้ง พิษไข้ที่รุ่มร้อนก่อนหน้านั้นลดระดับลง เมื่อเขาเหวี่ยงแขนและลองหยิบชามรูปไตมาบีบจนบี้แบน หนุ่มหมาป่ายิ้มกริ่มอย่างดีใจเพราะนั่นแสดงว่าพละกำลังทั้งหมดกลับคืนมาเป็นปรกติดังเดิม

 

“ฉันหายแล้ว” เขาพูดด้วยท่าทางลิงโลดก่อนจะหันไปมองเพื่อน “เลือดของนายรักษาได้จริงๆ”

 

“ก็ไม่เชิง” วลาร์ดพูดเบาๆพลางดึงแขนเสื้อลงเมื่อเห็นบาดแผลประสานตัวกันจนหายสนิท เขามองวูล์ฟที่กำลังหยิบข้าวของในห้องมาทดลองกำลังเล่นอย่างสนุกสนานนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้า

 

“นี่ไม่ใช่เวลาที่นายจะมานั่งเล่น”

 

“ไม่ได้เล่น ฉันเอาจริงต่างหาก”หนุ่มหมาป่าเถียงขณะวางราวโลหะที่ถูกบิดเป็นเกลียวลงบนพื้น ลูกครึ่งแวมไพร์ถอนใจด้วยความระอาก่อนจะหันหน้าไปทางประตูห้องและจ้องดร.วินเซ็นต์ที่กำลังก้าวเข้ามา

 

“วลาร์ด” เขาเอ่ยทักด้วยสีหน้าแปลกใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่วูล์ฟ “ลุกขึ้นมาจากเตียงทำไม”

 

คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสิ่งของในสภาพบิดเบี้ยวหงิกงอกองเกลื่อนพื้น เมื่อเห็นดร.วินเซ็นต์ยืนตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกวูล์ฟจึงแกล้งหักนิ้วตัวเองเบาๆและยิ้มอย่างเกเร

 

“ขอโทษด้วยหมอ พอดีผมสนุกไปหน่อยเลยยั้งมือไม่ทัน”

 

“สนุกดร.วินเซ็นต์ทวนคำและมองหนุ่มหมาป่าซึ่งกำลังยืนทำหน้าระรื่น “อย่าบอกนะว่าคุณหายเป็นปรกติดีแล้ว”

 




Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2556 18:28:02 น.
Counter : 317 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กิสึเนะ
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]



moony ค่ะ เป็นคนชอบสร้างจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก เคยวาดการ์ตูนไว้เป็นเล่ม แต่เก็บไว้อ่านเอง นิยายเรื่องแรกที่เขียนเป็นแนวจีนกำลังภายใน ตอนหลังรู้จักเน็ตจึงเริ่มสร้างสรรเรื่องอื่นบ้างแต่ส่วนใหญ่เป็นแนวแฟนตาซี
All Blog