ไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ .. ^^
Group Blog
 
All Blogs
 

เที่ยวศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสมุทรสาคร








เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2555 เราได้ไปเยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสมุทรสาคร เนื่องจากในช่วงนั้นทางศูนย์ได้จัดเทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 8 จึงได้นำภาพมาให้ชมกันค่ะ


ที่ตั้ง

ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาสมุทรสาคร เลขที่ 28/44 หมู่ 1 ถนนเจษฎาราม – สันดาป ตำบลโคกขาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร 74000

หมายเลขโทรศัพท์ : 034-452122, 034-452126-7
website : //www.scissk.net //www.facebook.com/scissk
Email : scissk@hotmail.com


เขตพื้นที่ให้บริการ


ให้บริการทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ในเขตจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ปทุมธานี นนทบุรี เพชรบุรี และ ประจวบคีรีขันธ์ รวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียง เช่นกรุงเทพมหานครฝั่งธนบุรี


คำขวัญ

กิจกรรมเด่น เน้นปฎิบัติจริง ทุกสิ่งเป็นวิทยาศาสตร์ รักษ์ธรรมชาติป่าชายเลน
เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ทำให้ฉลาดก้าวทันโลก


นิทรรศการภายในอาคาร

ภายในศูนย์ มีห้องจัดแสดงนิทรรศการขนาดเล็ก เหมาะกับการเข้าชมเป็นหมู่คณะ โดยติดต่อกับศูนย์ล่วงหน้าเพื่อขอเข้าชม





















พื้นที่เรียนรู้ภายนอกอาคาร


ด้านนอกอาคารจะมีจุดศึกษาเรียนรู้ต่างๆ พร้อมทั้งสะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน



















จุดเด่นที่เอื้อต่อการไปเรียนรู้


มีนิทรรศการเคลื่อนที่ เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านป่าชายเลน รับจัดค่ายวิทยาศาสตร์ มีอาคารที่พักให้ และในอนาคตกำลังจะปรับปรุงพื้นที่เพื่อทำโฮมสเตย์ รองรับนักท่องเที่ยวให้ครบวงจรมากขึ้น



โดย ชมจันทร์
//www.moonwatcher.bloggang.com
//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 26 มีนาคม 2556    
Last Update : 26 มีนาคม 2556 13:58:40 น.
Counter : 4097 Pageviews.  

"โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น" พิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวดีๆ ของเมืองขอนแก่น

ทริปทำงานขอนแก่น เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2555 โน่นเลยค่ะ ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เพิ่งได้มีโอกาสนำภาพมาเล่าสู่กันฟัง ทริปนี้เราไปทำงานที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาขอนแก่น และโรงเรียนเทศบาลบ้านสามเหลี่ยม นอกจากนั้น เรายังได้ไปศึกษาดูงานกันที่โฮงมูนมังขอนแก่นด้วย ตามเราไปกันนะคะ

ข้อมูลและแผนที่จาก khonkaeninfo.com
คลิกอ่านที่นี่



สถานที่ตั้ง ริมบึงแก่นนคร บริเวณชั้นล่าง อาคารสวนสาธารณะ 200 ปี
(ใต้ Stadium อัฒจรรย์เชียร์กีฬา)




โฮงมูนมังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพชีวิตและเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่นตั้งอยู่ที่ถนนรอบบึง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น บริเวณชั้นล่างของอาคารสวนสาธารณะ 200 ปี ริมบึงแก่นนครด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองขอนแก่น (Khonkaen City Museum) ที่จัดสร้างขึ้นด้วยงบอุดหนุนของ ททท. จำนวน 18 ล้านบาทเมื่อปี พ.ศ. 2540 แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2546 ปัจจุบัน บริหารจัดการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็คือ เทศบาลนครขอนแก่นนั่นเอง

“โฮงมูนมัง” ในภาษาอีสานแปลว่าหอเก็บสมบัติ

คำว่า “โฮง” หมายถึงโรงหรือห้องโถงที่มีขนาดใหญ่
คำว่า “มูนมัง” หมายถึงทรัพย์สมบัติหรือมรดก

“สมบัติ” ที่โฮงมูนมังเมืองขอนแก่นเก็บรวบรวมไว้ได้แก่เรื่องราวต่างๆ ของขอนแก่น โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นได้รับรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน เกิดความเข้าใจความหมายและคุณค่าของภูมิปัญญาและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของขอนแก่นซึ่งแฝงไว้ด้วยแง่คิดและคติสอนใจ

โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนเกิดจิตสำนึกรักและหวงแหนท้องถิ่นของตนเอง รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของเมืองขอนแก่น


โฮงมูนมังแบ่งออกเป็น 5 โซน คือ
โซนที่ 1 แนะนำเมืองขอนแก่น
โซนที่ 2 ประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่นและวัฒนธรรมชาวขอนแก่น
โซนที่ 3 การตั้งเมือง
โซนที่ 4 บ้านเมืองและวิถีชีวิตของชาวขอนแก่น
โซนที่ 5 ขอนแก่นวันนี้


ค่าเข้าชม เด็ก คนละ 10 บาท ผู้ใหญ่ คนละ 20 บาท ชาวต่างชาติ คนละ 90 บาท

เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 12.00-20.00 น. ยกเว้นวันจันทร์

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเทศบาลนครขอนแก่น โทร. 0 4327 1173, 0 4322 4031 ต่อ 1603 ในวันและเวลาราชการ

โฮงมูนมังเมืองขอนแก่น












โซนที่ 1 แนะนำเมืองขอนแก่น
เช่น การขุดพบซากไดโนเสาร์ ดงเมืองแอม เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 1,200 ปี (หนึ่งพันสองร้อยปี) เมืองโบราณที่ใหญ่ที่สุดของไทย ที่รอการขุดค้น ชื่อของขอนแก่น



















โซน 2 ประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น และวัฒนธรรมโบราณ
แสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของผู้คนในอดีต





















โซน 3 การตั้งเมือง
การตั้งเมืองขอนแก่น ผู้ที่มีบทบาทในการตั้งเมือง รวมถึงใบตราตั้งในอดีต


















โซน 4 บ้านเมือง และวิถีชีวิตของชาวขอนแก่น
แสดงหุ่นจำลอง วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น พ่อค้า แม่ค้าชาวต่างชาติ ที่มาทำมาหากินในขอนแก่น




โซน 5 ขอนแก่นวันนี้
เรื่องราวต่างๆของขอนแก่นในปัจจุบัน สถานที่สำคัญ ชีวประวัติของบุคคลสำคัญด้านต่าง ๆ














































สถานที่แห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก แต่จัดวางและนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดมากมายครบถ้วนหลากหลายมิติทีเดียวค่ะ .....น่าสนใจมาก ๆ หากมีโอกาสไปขอนแก่น ลองไปแวะชมกันดูค่ะ

สำหรับที่พักในทริป ดูในหมวดโรงแรม~ที่พัก : ชัยภูมิ เลย อุดร ขอนแก่น หนองคาย ได้เลยนะคะ ^^
คลิกลิงค์นี้ค่ะ


โดย ชมจันทร์
//www.facebook/moonwatcherBP
//www.moonwatcher.bloggang.com






 

Create Date : 12 มีนาคม 2556    
Last Update : 12 มีนาคม 2556 20:53:51 น.
Counter : 4287 Pageviews.  

“วันดีๆ ที่ไอสวรรยา และปลาดาวหาดจอมเทียน” @ Isawanya Beach Resort Pattaya

เคยรู้สึกเหมือนกันบ้างหรือเปล่าว่า
บางช่วงของชีวิตนั้นอ่อนล้าเหลือเกิน
อยากจะพักเหนื่อยลงตรงนี้
หาที่สบายๆ ผ่อนคลาย
ให้ชีวิตได้แช่มชื่นรื่นรมย์


สำหรับเราแล้ว ไม่มีสถานที่ใดเหมาะสมเท่ากับทะเล
ให้ลมทะเลพัดโชยชื่นใจในวันพักผ่อน
ให้เสียงคลื่นทะเลเห่กล่อมให้เราหลับไหลอย่างเต็มอิ่ม
เพื่อเติมพลังให้พร้อม .....
ก่อนที่จะออกไปเผชิญท้องทะเลแห่งชีวิตจริงอีกคราครั้ง





ครอบครัวเรานั้น เคยเข้าพักที่ไอสวรรยา บีช รีสอร์ทมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2554 โดยจองผ่านเว็บไซต์แห่งหนึ่งตามลิงค์นี้ //2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E11235331/E11235331.html
คลิกที่นี่


เวลา 3 วัน 2 คืน ในช่วงหยุดยาว 23 – 25 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมานั้น โรงแรมไอสวรรยา บีช รีสอร์ท ได้เชิญให้ครอบครัวเราไปเข้าพักอีกครั้ง หลังจากที่ได้ปรับปรุงโรงแรมใหม่ในบางส่วน ตรงกับช่วงที่ร่างกายต้องการพักผ่อนอย่างสงบ เงียบๆ พอดี .....เราไปดูกันค่ะว่าทริปนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

ไอสวรรยา (ออกเสียง : ไอ-สะ-วัน-ยา) บีช รีสอร์ท ตั้งอู่ที่ถนนเลียบหาดจอมเทียน ก่อนถึงร้านสุดทางรัก และลุงไสว ตามแผนที่นี้ค่ะ





ด้านซ้ายมือของภาพ เป็นราคาห้องพักในเว็บไซต์อโกด้า ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2556 ลูกค้าหลักของโรงแรมในช่วงนี้ก็คือ ชาวรัสเซีย แต่ในวันที่เราเข้าพัก ก็ได้เห็นลูกค้าชาวไทยหลายกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าพักกันแบบครอบครัว พ่อ แม่ ลูก

ส่วนด้านขวามือ เป็นภาพสถานที่จริงของไอสวรรยา บีช รีสอร์ท ตอนที่เราไปเข้าพักเมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งปัจจุบันได้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงไปจากภาพเดิมนี้แล้ว



ถนนเลียบหาดจอมเทียน หน้าโรงแรม



โรงแรมไอสวรรยา บีช รีสอร์ท เป็นโรงแรมสำหรับพักผ่อน เหมาะสำหรับคู่รัก หรือครอบครัว เพราะเป็นโรงแรมที่มีบรรยากาศเป็นส่วนตัว เงียบสงบ ท่ามกลางความอึกทึกครึกโครมพัทยาและชายหาดจอมเทียน โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด มีสระว่ายน้ำที่สะอาด มีสระว่ายน้ำเด็กติดกับสระใหญ่

สระว่ายน้ำที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรม ใกล้ทะเลมากกว่าทุกโรงแรมในถนนเลียบชายหาดจอมเทียน เนื่องจากโรงแรมหรืออพาร์ทเม้นท์ในถนนเลียบชายหาดจอมเทียนส่วนใหญ่ใช้สถานที่ด้านหน้าทำร้านอาหาร ซึ่งทางโรงแรมได้รื้อร้านอาหาร Rimini ออกเพื่อทำสระว่ายน้ำให้อยู่ติดกับทะเล

นอกจากนี้ ทางโรงแรมได้ปรับปรุงห้องพักชั้นหนึ่งใหม่ทั้งหมด ให้มีความสะอาด ทันสมัย สไตล์บูติก มีห้องน้ำใหญ่กว่าเดิม มีการจัดไฟประดับสถานที่ตอนกลางคืน เพื่อให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

ในภาพ ร้านอาหารเดิมที่อยู่ด้านหน้าอาคารโรงแรม ได้ปรับเปลี่ยนเป็นสระว่ายน้ำที่ทำเพิ่มขึ้นมาใหม่ เป็นสระแบบซีวิว มีสระเด็กด้วย ส่วนสระว่ายน้ำที่อยู่ด้านในซึ่งเป็นสระเดิม ปิดให้บริการ และมีแผนจะปรับปรุงสถานที่ใหม่เพิ่มเติมในอนาคต



ลานจอดรถ สามารถจอดรถได้หลายคัน



ก่อนที่จะเดินเข้าไปในตัวอาคาร จะเห็นมุมนั่งเล่นสบายๆ ร่มรื่นในสวน



ทางเดินเข้าล็อบบี้ ซึ่งก็ได้มีการปรับปรุง Lobby ใหม่เช่นกัน



มุมนั่งเล่นพักผ่อนสไตล์วินเทจ เป็นมุมที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย สบายอารมณ์



โซฟาในล็อบบี้ และมุมนั่งพักผ่อน



เช็คอินที่นี่ค่ะ



ไอสวรรยา เป็นโรงแรมเล็กๆ สามชั้น ไม่มีลิฟท์ ห้องพักของเราสองคืนนี้ เป็นห้องหมายเลข 1224 อยู่สุดทางเดินด้านทะเลชั้น 2 ของตัวอาคาร เป็นห้องพักแบบซีวิว หน้าต่างบานใหญ่ๆ กว้าง มีแอร์ น้ำอุ่น โทรทัศน์ ตู้เย็น ไดร์เป่าผม โทรศัพท์ จากุชชี่ ตะเกียงอโรม่า

ทุกห้องสามารถใช้ไวไฟได้ฟรีทั้งในและนอกห้องพัก



ห้อง 1224 เป็นห้อง Deluxe (Honey moon sweet) มีขนาด 55 ตารางเมตร

ราคาสำหรับลูกค้าสำหรับหน้า High season วันธรรมดา (จันทร์-พฤหัสบดี) ราคา 2,400 บาท วันหยุด (ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์) ราคา 2,700 บาท วันหยุดเทศกาล ราคา 4,500 บาท



เปิดประตูเข้าไปในห้องจะเห็นตู้เสื้อผ้าและตู้เย็นอยู่ด้านขวามือ มีมุมนั่งเล่นสบายๆ แยกเป็นสัดส่วน เหมาะมากสำหรับการพักผ่อน นั่งเล่น นอนเล่น เกลือกกลิ้งไปมา



ถัดจากมุมนั่งเล่นก็จะเป็นเตียงนอน และโต๊ะทำงาน ทริปนี้ทางโรงแรมช่วยเสริมเตียงให้เกาลัดแสบซนด้วย



เห็นได้ชัดเจนว่าห้องพักกว้างดี



ยืนจากด้านหน้าห้องน้ำ มองผ่านเตียงใหญ่ ก็จะเห็นโต๊ะทำงานตั้งอยู่



ภาพนี้เกาลัดนอนดูทีวีอย่างสบายอารมณ์ ด้วยฝีมือลูกชาย ห้องน้ำเริ่มรกแล้ว ^^



ห้องน้ำเป็นกระจกซีทรูแบบเซ็กซี่ เห็นอ่างจากุชชี่ตั้งอยู่สะอาดตา ภาพ RIMINI ที่เห็นติดกระจกอยู่ดูคุ้นตามาก หากกลับไปดูในรีวิวเดิม จะเห็นได้ว่าเป็นภาพเดียวกับป้ายในร้านอาหารเดิมก่อนที่จะถูกรื้อปรับปรุงใหม่นั่นเอง



ภายในห้องน้ำ แม่ลูกได้ทดลองใช้อ่างจากุชชี่แล้ว โอเคเลยค่ะ ขึ้นจากอ่างแล้วสบายตัว ^^ มีผ้าเช็ดตัวสำหรับใช้ที่สระว่ายน้ำให้ด้วยจำนวนสามผืน เท่ากับจำนวนคนเข้าพัก




นั่งบนโซฟาตัวสีน้ำตาล มองผ่านหน้าต่างไปยังสระว่ายน้ำและทะเล




เสริมความโรแมนติกเล็ก ๆ ด้วยการนั่งชมอาทิตย์ตกดินภายในห้องพักที่ไอสวรรยา บีช รีสอร์ท



ทริปนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน เราใช้เวลาแทบทั้งหมดตลอดช่วง 3 วัน 2 คืน อยู่ที่โรงแรม ส่วนใหญ่จะนั่งเล่น นอนเล่น ออนไลน์ ดูโทรทัศน์ ลูกชายโปรดปรานการดำผุดดำว่ายในสระ และไปเดินเล่นชายทะเลที่หาดหน้าโรงแรม ช่วงเป็นวันพักผ่อนที่แสนสบาย



ไปดูอีกห้องหนึ่ง คือ ห้อง 1108 เป็นห้อง Superior Premier ขนาดห้อง 35 ตารางเมตร เป็นห้องพักแบบสองเตียง (Twin) ห้องนี้จะเห็นวิวสระว่ายน้ำเก่า



ราคาสำหรับลูกค้า Walk in ห้อง Superior Premier ราคาสำหรับหน้า High season วันธรรมดา (จันทร์-พฤหัสบดี) ราคา 1,900 บาท วันหยุด (ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์) ราคา 2,200 บาท วันหยุดเทศกาล ราคา 3,200 บาท


ห้องพักได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว เตียงนอนดูนุ่มๆ ฟูๆ น่าเอนกายนอน




เตียงนอนชัดๆ



ภายในห้องพักอีกมุม มีผ้าเช็ดตัวสำหรับใช้ที่สระว่ายน้ำวางอยู่บนโต๊ะ



ห้องน้ำดูใหม่และสะอาด มีฝักบัวแบบ Rain Shower ไม่มีอ่างอาบน้ำ



สระว่ายน้ำใหม่หน้าอาคาร



ว่ายน้ำไป ชมทะเลไป มีเก้าอี้ชายหาด ให้ชมทะเลชิลล์ ๆ



อีกมุม



ล้างตัวที่นี่



ช่วงเวลาที่เกาลัดชอบมากที่สุดของการเข้าพักที่นี่ ก็คือ การได้ลงว่ายน้ำในสระพร้อมกับพ่อแม่นี่แหละค่ะ ทริปนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อ ที่ลงว่ายน้ำพร้อมกับลูก ส่วนแม่มักจะขลุกนอนอืด ๆ อยู่แต่ในห้องพักมากกว่า





ชายหาดจอมเทียน หน้าโรงแรมไอสวรรยา ในช่วงเย็นๆ จะมีคนมาเล่นน้ำ มาทำกิจกรรมชายหาด เช่น ออกกำลังกาย เล่นบอล นั่งเรือกล้วย เล่นน้ำ เล่นทราย และเดินเล่นกันเยอะ



พ่อกับเกาลัดไปเจออะไรที่น่าสนใจเข้าให้แล้ว .. ไปดูกันดีกว่า !!!



มันคือ “ปลาดาว” นั่นเองค่ะ น่าประหลาดใจจัง ที่ยังได้เห็นปลาดาวที่หาดจอมเทียน



อยู่ในน้ำมองเห็นไม่ชัด จึงขอนำมาไว้บนหาดทรายสักครู่ เพื่อสังเกตรูปร่างลักษณะของเจ้าปลาดาวตัวนี้ เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับเด็กน้อยที่อยู่ในวัยกำลังเรียนรู้



น่าสงสารเจ้าปลาดาวตัวนี้จัง ร่างกายไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าไปพบเจออะไรมาบ้าง ถึงได้มีสภาพเช่นนี้



มีเด็กน้อยน่ารัก มานั่งดูปลาดาวในน้ำด้วยกันกับพี่เกาลัด





ห้องอาหารสำหรับรับประทานอาหารเช้า



เป็นห้องอาหารที่สามารถมองเห็นทะเล เป็นแบบบุฟเฟต์ มีอาหารหลายอย่างตามมาตรฐานโรงแรมขนาดเล็กๆ ทั่วไป เช่น ข้าวต้ม น้ำดื่ม นมสด ชา กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว ไข่กวน ข้าว สลัด ผลไม้ >> ข้าวต้มอร่อย รสชาติอาหารพอใช้ได้ทีเดียวค่ะ





ไลน์อาหารเช้า



อาหารดูน่ารับประทาน เราชอบพัดลมเพดาน สวยงามเหมือนดอกไม้



ไปดูร้านอาหารในทริปนี้กันบ้าง

ร้านสุดทางรัก ที่หาดจอมเทียน ไม่ไกลจากโรงแรม เดินไปได้สบายๆ โดยทางโรงแรมไอสวรรยา บีช รีสอร์ท ใจดีเป็นเจ้าภาพให้น้องเจ้าหน้าที่โรงแรมพาไปชิม อ่านรีวิวต่อลิงค์นี้ //www.ruabruam.com/@tffxrt

คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว




ร้านทะเลแซ่บ ที่หาดจอมเทียน เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวจากโรงแรมก็ถึงร้านแล้วค่ะ อ่านรีวิวต่อลิงค์นี้ //www.ruabruam.com/@swiueq

คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว




ร้านเป็ดย่างเทพประสิทธิ์ อยู่แยกไฟแดงเทพประสิทธิ์ ที่ตัดกับถนนทัพพระยา อ่านรีวิวต่อลิงค์นี้ //www.ruabruam.com/@alipft

คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว



ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านบึง ไม่ไกลจากบิ๊กซี พัทยาใต้ อยู่ปากซอยพัทยาใต้ 6 //www.ruabruam.com/@eqrobi

คลิกที่นี่เพื่ออ่านรีวิว

จบทริปแล้ว สำหรับวันดีๆ ที่ไอสวรรยา บีช รีสอร์ท @ หาดจอมเทียน จากที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ได้มาพักผ่อนแบบอิ่มเอม นอนหลับสบาย เป็นการชาร์ตแบต เติมพลังชีวิตที่ดีอีกแบบหนึ่ง ขอขอบคุณทางโรงแรมเป็นอย่างสูง และขอบคุณเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^




สรุปราคาห้องพักในรีวิว

ห้อง 1224 เป็นห้อง Deluxe (Honey moon sweet)
มีขนาด 55 ตารางเมตร
ราคาสำหรับลูกค้า Walk in สำหรับหน้า High season
วันธรรมดา (จันทร์-พฤหัสบดี) ราคา 2,400 บาท
วันหยุด (ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์) ราคา 2,700 บาท
วันหยุดเทศกาล ราคา 4,500 บาท

ห้อง 1108 เป็นห้อง Superior Premier
ขนาดห้อง 35 ตารางเมตร
ราคาสำหรับลูกค้า Walk in ราคาสำหรับหน้า High season
วันธรรมดา (จันทร์-พฤหัสบดี) ราคา 1,900 บาท
วันหยุด (ศุกร์,เสาร์,อาทิตย์) ราคา 2,200 บาท
วันหยุดเทศกาล ราคา 3,200 บาท



หากลูกค้าแจ้งกับโรงแรมว่า
“มาจาก Pantip อ่านรีวิวของชมจันทร์”
จะได้ส่วนลด 10 เปอร์เซ็นต์ ทันที
เฉพาะช่วงวันที่ 1 เมษายน-31 พฤษภาคม 2556 เท่านั้น ^^


สามารถสำรองห้องพักได้ที่ โทร. 038-232145




 

Create Date : 08 มีนาคม 2556    
Last Update : 8 มีนาคม 2556 8:49:49 น.
Counter : 17491 Pageviews.  

เที่ยวกระบี่ ชมทะเลใต้ฟ้าคราม “วัดถ้ำเสือ เกาะลันตา เกาะรอก”

เมื่อปลายเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา เราได้ไปเที่ยวทะเลอันดามันกับเพื่อน ในทริปกระบี่ ซึ่งทริปนี้ได้ไปเที่ยวสถานที่หลัก ๆ คือ วัดถ้ำเสือ เกาะลันตา และเกาะรอก โดยรีวิวนี้ จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่กิน และที่พักมาฝากเพื่อน ๆ ที่กำลังจะวางแผนท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ตามเราไปเลยค่ะ





วันแรก


เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชียเช่นเดิม โดยได้ตั๋วโปรโมชั่น จ่ายค่าตั๋วไปกลับคนละพันบาทนิด ๆ



ทริปนี้ เนื่องจากก่อนเดินทางสามอาทิตย์ งานเข้า ยุ่ง เยอะ ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลเตรียมท่องเที่ยว จึงได้ซื้อแพคเกจทัวร์จากกระบี่อินฟอร์เมชั่น บริษัททัวร์ที่เราเคยใชบริการก่อนหน้านี้แล้ว ในราคาคนละ 4.800 บาท

ราคานี้ รวม รถรับจากสนามบินไปที่พักตัวเมืองกระบี่ รถรับจากโรงแรมในตัวเมืองกระบี่ไปเกาะลันตา ที่พักเกาะลันตาสองคืน ทัวร์เกาะรอกหนึ่งวัน และรถรับจากที่พักเกาะลันตาไปส่งสนามบินกระบี่ อย่างไรก็ตาม เราก็ได้เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้วางแผนท่องเที่ยวด้วยตัวเองมาฝากเช่นเคย

พอไปถึงสนามบินกระบี่ก็ประมาณทุ่มครึ่ง ที่สนามบินกระบี่ มีรถแอร์พอร์ทบัส หรือ Shuttle Bus ไปส่งในเมือง อ่าวนาง และสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งรองรับบริการสำหรับผู้โดยสารทุกเที่ยวบิน ทุกสายการบิน ตั้งแต่เที่ยวบินแรก จนเที่ยวบินสุดท้ายเลยค่ะ



ค่ารถ Shuttle Bus ไป บขส. ตลาดเก่า 80 บาท ไปตัวเมืองและท่าเรือในเมือง 90 บาท อ่าวนาง หาดนพรัตน์ธารา 150 บาท ตามป้าย




รถบัสจากสนามบินกระบี่ไปส่งสถานที่ต่างๆ มืดหน่อยนะคะภาพนี้





รถตู้ที่มารับเราไปส่งโรงแรมที่จะพักในคืนแรก ผู้โดยสารมีเรากับเพื่อนเพียงสองคน



ที่พักคืนแรก

เทพรัตน์ ลอดจ์ (Thepparat Lodge) ที่พักหลักร้อย
จองผ่านเว็บไซต์จองโรงแรมของต่างประเทศ
ตั้งอยู่ถนนมหาราช ปากซอย 9 ที่ตัวเมืองกระบี่
พิกัด GPS: 8° 4.001' N – 98° 54.860' E

อ่านรีวิวเพิ่มเติมลิงค์นี้ค่ะ
อ่านรีวิวเทพรัตน์ ลอดจ์




เช็คอิน เก็บของแล้ว น้องหมวย เจ้าหน้าที่ของกระบี่อินฟอร์เมชั่น ที่ได้มาเก็บเงินส่วนที่เหลือจากที่โอนมัดจำให้ครึ่งนึ่งไปแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งให้ที่ลานปูดำ




อาหารเย็นคืนแรก ของเรา เป็นอาหารทะเล ของร้านปูดำ อยู่ตรงข้ามลานปูดำเลยค่ะ อาหารอร่อยใช้ได้ ราคาไม่แพงนัก

คลิกอ่านรีวิว พาชิมอาหารทะเลร้านปูดำ ตัวเมืองกระบี่




อิ่มแล้ว เดินไปที่ถนนคนเดิน ไม่ไกลนัก และอยู่ใกล้โรงแรม ซื้อของกันพอกรุบกริบ




วันที่สอง


ในตอนเช้าของวันที่สอง เช่ามอเตอร์ไซค์ขับ คิดค่าเช่า 200 บาท โดยน้องหมวยช่วยติดต่อให้ร้านรถเช่านำรถมาส่งถึงโรงแรม วันนี้เราใช้รถเพียงครึ่งวันเท่านั้น เพื่อไปวัดถ้ำเสือ





แวะกินอาหารเช้าที่ร้านกาแฟเมืองกระบี่ ใกล้แยกตลาดเก่า นอกตัวเมืองกระบี่ ก่อนถึงวิทยาลัยพลศึกษา ทางไปวัดถ้ำเสือ

คลิกอ่านรีวิวร้านกาแฟเมืองกระบี่




วัดถ้ำเสือ ตำบลกระบี่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่




จากตัวเมืองกระบี่ เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกตลาดเก่า ใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4)
เส้นทางอำเภอเหนือคลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถ้ำเสือไปตามถนนราษฎรพัฒนา
(ทางหลวงหมายเลข 4037) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกตลอดเส้นทาง

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมวัดถ้ำเสือ

เจดีย์ของวัดอยู่บนยอดเขาที่เห็นในภาพ คือ "พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว"
สามารถขึ้นไปสักการะได้โดยขึ้นบันได 1,237 ขั้น เป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทจำลอง พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่




พระพุทธรูปหยกขาว เป็นศิลปะพม่าอายุนับร้อยปี ประดิษฐ์สถาน ณ โบสถ์วัดถ้ำเสือ



พระโพธิสัตว์กวนอิม สูง 5 เมตร



ทริปเที่ยวจังหวัดกระบี่ครั้งนี้ มีโอกาสได้ไปทำบุญ ไหว้พระ ถวายสังฆทาน ถวายพระประจำวันเกิด ที่วัดถ้ำเสือ หน้าตู้กระจกที่เห็นอยู่ในภาพ มีป้ายบอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจาก 9 ประเทศ เราไปทำบุญเมื่อวันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2556 ตรงกับวันพระพอดีค่ะ




จากนั้นกลับเข้ามาที่ตัวเมืองกระบี่ ไปปร้านกระบี่สินโอชาเบเกอรี่ เป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิม อยู่ที่ถนนมหาราช ใกล้ห้างโว้ค ในตัวเมืองกระบี่ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องขนม ของฝาก เมืองกระบี่

อ่านรีวิวร้านกระบี่สินโอชาต่อที่ลิงค์นี้



หลังจากนั้นได้คืนรถมอเตอร์ไซค์ เช็คเอาท์ ประมาณบ่ายโมงนิด ๆ มีรถตู้โดยสารมารับที่หน้าโรงแรม เพื่อเดินทางไปเกาะลันตาต่อ หมายเลขโทรศัทพ์ติดต่อรถตู้โดยสารไปเกาะลันตาใหญ่ ตามนามบัตรในภาพ

คิวรถตู้ อยู่ที่หน้าธนาคารทหารไทย ถนนมหาราช ซอย 6 รถตู้ออกทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น




ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็ไปถึงที่พักอีกสองคืนในทริปนี้ของเรา ที่ กู๊ดเดย์ลันตาบีชรีสอร์ท หาดพระแอะ เกาะลันตาใหญ่

















คลิกอ่านรีวิวกู๊ดเดย์ ลันตา บีช เพิ่มเติม



วันที่สาม


หลังจากรับประทานอาหารเช้า เรากับเพื่อน เดินทางไปทัวร์เกาะรอกเต็มวัน ค่าทัวร์ถ้าซื้อเองก็จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยบาท สามารถติดต่อจองผ่านรีสอร์ทที่พักได้ ลงเรือที่หาดพระแอะแถวๆ หน้าที่พัก ใช้เวลาเดินทางจากเกาะลันตา ไปเกาะรอก ก็เกือบๆ ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 50 นาที



ลงดำน้ำจุดแรก







จากนั้นไปแวะพักที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ลต 1 เกาะรอก เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน เล่นน้ำ พักผ่อนชมธรรมชาติสวย ๆ




อาหารกลางวันเป็นแบบบุฟเฟต์




ทะเลสวย น้ำใส ฟ้าใส



แค่นั่งชมทะเลก็เพลิน เพลิน



ธรรมชาติช่างสวยงามน่าประทับใจ



น้ำทะเลใสราวกระจก




ทริปนี้มีแต่เด็กน้อยน่ารัก มีความสุขกับการนั่งดูเด็กๆ เล่นน้ำ เล่นทราย




เจ้าหนูน้อยมุมขวาบน นอนเปลือยกายเล่นทรายน่ารักมาก ๆ สักพักมาเล่นฟันดาบกิ่งไม้แห้งกับเรา และชวนเราไปเดินเล่น แต่เราก็ฟังไม่ออกว่าเด็กน้อยพูดอะไรกับเราบ้าง





แผนที่จุดดำน้ำ โซนท้องทะเลตรัง กระบี่ ภูเก็ต




จากนั้นได้แวะดำน้ำที่เกาะรอกอีกหนึ่งแห่ง หลังจากนั้น ได้ไปส่งที่หน้าหาดพระแอะ ใกล้รีสอร์ทที่เราพักตามเดิม

มาถึงที่พักแล้ว ก็ได้อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อออกไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่น และกินอาหารเย็นอร่อยๆ กัน เช่ามอเตอร์ไซค์จากกู๊ดเดย์ บีช รีสอร์ท ในราคาคันละ 250 บาท


จุดแรกที่เดินทางไปคือ หมู่บ้านสังกาอู้ เกาะลันตา เส้นทางเป็นที่ราบสลับไหล่เขา มีจุดชมวิวสวย ๆ

ไปเห็นบ้านพักที่มูลนิธิศุภนิมิตรจัดหาให้ผู้ประสบภัยสึนามิ





หมู่บ้านชาวเล หรือชาวไทยใหม่ บ้านสังกาอู้ อยู่ทางตอนใต้ของเกาะ เป็นชุมชนของชาวเลเผ่าลูโมะลาโว้ย หรือ อูรักลาโว้ย ซึ่งตั้งถิ่นฐานบนเกาะลันตามานานหลายชั่วอายุคน








เรือประมงที่หลังบ้านชาวเล







พิพิธภัณฑ์ชุมชนชาวเกาะลันตา

ก่อตั้งโดยเครือข่ายชุมชนฟื้นฟูเกาะลันตา เมื่อในปีพ.ศ. 2550 บริหารจัดการโดยชาวบ้าน ใช้อาคารที่ว่าการอำเภอหลังเก่าเป็นแหล่งรวบรวมความเป็นมาของชุมชน ภูมิปัญญา ประเพณีดั้งเดิม วัฒนธรรม พิธีกรรม ความเชื่อ และการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขของชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ทั้งชาวเล (อูรัก ลาโว้ย) ชาวมุสลิม และชาวจีน เพื่อรักษาอัตลักษณ์ของชาวเกาะลันตา และรักษาวิถีชีวิตที่พึ่งพิงกับธรรมชาติ รวมถึงเป็นศูนย์เรียนรู้ของเยาวชนรุ่นหลัง และเผยแพร่สู่กลุ่มคนต่างๆ ที่สนใจ


ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิมของชาวเกาะลันตา เช่น ข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ภายถ่ายเก่าๆ พิธีลอยเรือ ดนตรีร็องแง็ง เป็นต้น

เราไปถึงก็เย็นมากแล้ว จึงไม่ได้เข้าไปชมด้านในพิพิธภัณฑ์




ตลาดเก่าเกาะลันตา








มื้ออร่อยที่ร้านเฟรช ตลาดเก่าเกาะลันตา








คลิกอ่านรีวิวร้านเฟรช


วันสุดท้าย


หลังรับประทานอาหารเช้า ก็ได้เช็คเอาท์ แล้วมานั่งชิลล์ ๆ ริมชายหาด เพื่อรอรถที่จะมารับเราไปส่งสนามบิน ซึ่งจะมารับประมาณ 10.00 น. เครื่องบินออกประมาณ 15.30 น. เผื่อเวลาไว้เยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องกลัวตกเครื่อง





ที่กู๊ดเดย์ลันตาบีช มีเด็กน่ารัก รอบๆ ตัวเรามากมาย คิดถึงเกาลัด ^^





ระหว่างรอรถ ได้เดินไปดู ลันตา คาสท์อะเวย์ รีสอร์ท (Lanta Castaway Resort) ที่อยู่ติดกัน

คลิกอ่านรีวิวลันตา คาสท์อะเวย์ รีสอร์ท



รถตู้มารับแล้ว ลงแพขนานยนต์กลับเข้าสู่แผ่นดินใหญ่
อาลัยลันตา ... โอ้ลันตา ลาแล้วคงมาใหม่






ก่อนขึ้นเครื่อง ซื้อของฝากจากร้านค้าน่ารักในสนามบิน เทอร์มินัล 2 ตอนแรกให้เราชิมกุ้งเคยสามรส พอเราบอกว่าอร่อย จะขอซื้อ ทางร้านกลับบอกว่า ให้ 1 กระปุก ไม่คิดเงิน เพราะเอามาลองเทสต์เฉยๆ ยังไม่ได้รับมาจำหน่าย ร้านค้าใจดีอย่างนี้ อย่าลืมแวะไปอุดหนุนนะคะ ^^




กลับบ้านแล้วค่ะ เหลือแต่ความทรงจำดีๆ เที่ยวกระบี่ ชมทะเลใต้ฟ้าคราม มาหลายครั้งก็ยังติดใจ




ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่ะ




 

Create Date : 24 กุมภาพันธ์ 2556    
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2556 16:19:00 น.
Counter : 18028 Pageviews.  

เติมเต็ม @ ตรัง ตอน สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ ทัวร์ 4 เกาะ และของอร่อยเมืองตรัง

ตรัง เมืองที่เราถวิลหา เพราะติดใจในความเป็นท้องถิ่นที่ยังคงวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบเดิมๆ สงบเงียบ ไม่วุ่นวาย มีแหล่งท่องเที่ยวและอาหารอร่อย เราจึงยังคงหาโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองตรังแบบไปแล้ว ไปอีก สำหรับการท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้ เกิดจากการที่ได้นัดกับเพื่อนว่าจะพาลูกชายเรียนรู้ผ่านการท่องเที่ยวจังหวัดตรัง สามคู่แม่ลูก แต่เมื่อถึงวันเดินทางจริง ๆ ผู้ร่วมทริปเหลือเพียงเรากับลูกชายเพียงสองคน อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่อาจจะพลาดโอกาสงาม ๆ ในการได้ไปท่องเที่ยวครั้งนี้อย่างแน่นอน

ทริปนี้ เราได้พาลูกชายไปท่องเที่ยวสถานที่หลักๆ ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) เที่ยวทะเล 4 เกาะ คือ เกาะมุก เกาะม้า เกาะเชือก เกาะกระดาน พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำราชมงคล และที่ไม่พลาดก็คือ ของอร่อยเมืองตรัง

ตามเราไปเลยค่ะ



ในวันแรก เราเดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย บินลัดฟ้าจากสนามบินดอนเมือง ไปยังจังหวัดตรัง เมื่อไปถึงสนามบินตรังแล้ว ก็ได้ซื้อตั๋วรถตู้โดยสารจากสนามบินตรังเข้าตัวเมือง ราคาค่าตั๋วคนละ 90 บาท ให้รถตู้ไปส่งเกสต์เฮาส์ที่ได้จองไว้ล่วงหน้าแล้วบริเวณใกล้สถานีรถไฟตรัง



รถตู้จากสนามบินเข้าเมืองตรัง



ไปถึงที่พักในตอนสาย ได้เข้าไปเช็คอิน แต่ความจริงแล้วเวลาเช็คอิน คือ บ่ายสอง ห้องพักจึงยังไม่พร้อมที่จะให้เข้าพัก เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จึงได้ออกไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่เกสต์เฮาส์แห่งหนึ่ง แถวหน้าสถานีรถไฟตรังนั่นเอง ราคาค่าเช่าวันละ 300 บาท สำหรับรถมอเตอร์ไซค์เช่า จะมีให้เช่าหลายร้านด้วยกันในย่านนั้น ลูกค้าสามารถเดินเลือกชมและต่อรองราคาได้ซึ่งบางร้าน อาจได้ราคาเช่าที่ต่ำกว่านี้

นอกจากนั้นยังได้ไปนั่งร้านกาแฟและเบเกอรี่อร่อยและตกแต่งร้านได้น่ารัก ชื่อ Jida by Laytrang อยู่หน้าสถานีรถไฟตรัง ลูกชายติดใจร้านนี้มาก ๆ เฉพาะลูกชายคนเดียว จัดเครื่องดื่มไป 2 แก้ว กับช็อคโกแลตลาวาอีกหนึ่งชุด



ในช่วงเช้าของวันแรกไปจนถึงตอนบ่าย ๆ เราพาลูกชายซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ “สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย)” ระยะทางไม่ไกลจากตัวเมืองนัก เพียง 13 กิโลเมตร ขับรถไปเรื่อยๆ ตามแผนที่ก็ถึงแบบชิลล์ ๆ ที่สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) มีร้านค้าสวัสดิการ ขายขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม มาม่าคัพ แต่ไม่มีร้านอาหาร



เนื่องด้วยความหิว ก่อนเดินเที่ยว ณ สถานที่น่าสนใจแห่งนี้ เราขับรถออกไปหาข้าวกิน ไปเจอร้านขายข้าวแกงปักษ์ใต้ร้านหนึ่ง ลองแวะเข้าไปชิมดูรสชาติอร่อยดี ราคาก็ถูกมาก



จากร้านข้าวแกงกลับมาที่สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) กันต่อไฮไลท์ของวันนี้ก็คือ การเดินชมสะพานศึกษาเรือนยอดไม้


สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) ตั้งอยู่ที่ตำบลทุ่งค่าย อำเภอย่านตาขาว ใช้ทางหลวง 404 ตรัง-ปะเหลี่ยน พอถึง กม. 11 ก็จะเห็นทางเข้าด้านซ้ายมือ ตำแหน่ง GPS คือ N7°46.071’, E99° 63.525’ หมายเลขโทรศัพท์ 0 7528 0166 เว็บไซต์ //www.tkbg.org

ผจญภัยบนเรือนยอดไม้ ชมเมืองล้อมป่า แห่งเดียวในประเทศไทย

สวนพฤษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ เป็นต้นน้ำของลำห้วยเล็กๆ ลักษณะป่าจะเป็นป่าดิบชื้น ป่าพรุ และทุ่งหญ้า เป็นพื้นที่ป่าที่แวดล้อมไปด้วยชุมชนเล็กๆ โดยรอบ จึงกล่าวได้ว่าเป็นเมืองล้อมป่า มิใช่ป่าล้อมเมืองเฉกเช่นผืนป่าทั่วไป สามารถเที่ยวได้ตลอดปี ใช้เวลาเที่ยวประมาณ 1-2 ชม. ในอดีตผืนป่าแห่งนี้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน มีชาวบ้านเข้าไปหาของป่า ทั้งสัตว์ป่า พืชผัก และผลไม้ป่า" แนะนำ "อีกเส้นทางที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุ ระยะทาง 1,200 ม.

ข้อมูลจาก //adventure.tourismthailand.org



ณ ซุ้มประตูทางเข้า จะมีมัคคุเทศก์น้อย ซึ่งเป็นเยาวชนจากโรงเรียนในชุมชนละแวกนี้ มาช่วยเป็นไกด์พาเราเดินศึกษาธรรมชาติกันด้วย



วันนี้ เรามี “พี่อาร์ม” ชั้น ป. 6 พาเกาลัด ชั้น ป. 4 กับแม่เกาลัด ลัดเลาะไปตามทางเดินเข้าไปในป่า ระหว่างทางก็ได้พบเจอกับสิ่งที่น่าสนใจมากมาย แต่ด้วยความที่ไกด์น้อยของเรายังเป็นมือใหม่ จึงยังไม่กล้าพูดจาอธิบายสรรพสิ่งประดามีที่เราเห็นให้ฟังเท่าใดนัก ส่วนเจ้าลิงน้อย เมื่อได้ป่าไปแล้วก็เกิดความคึกคัก ขึ้นไปนั่งเล่นบนเถาวัลย์ซะงั้น ^^



พรรณไม้สวยงามหลายหลาก เช่น เฟิร์น พรรณไม้ชนิดต่าง ๆ มีคำอธิบาย ป้ายสื่อความหมาย และป้ายบอกทางเป็นระยะ



เราเดินเข้าไปในเขตป่าดิบชื้น ต้นไม้แต่ละต้น สูงจนแหงนคอตั้งบ่าแล้วก็ยังแทบจะมองไม่เห็นยอดไม้ รู้สึกมีความสุข สดชื่นและยังแจ่มใสดีอยู่ ไม่นานเท่าใดนักก็ถึง สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ (Canopy Walk Way)



เราเดินเข้าไปในเขตป่าดิบชื้น ต้นไม้แต่ละต้น สูงจนแหงนคอตั้งบ่าแล้วก็ยังแทบจะมองไม่เห็นยอดไม้ รู้สึกมีความสุข สดชื่นและยังแจ่มใสดีอยู่ ไม่นานเท่าใดนักก็ถึง สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ (Canopy Walk Way)

“ดู”
ในธรรมชาติมักซ่อนสิ่งที่น่าสนใจไว้ทุกหนทุกแห่งที่เราเดินเข้าไปเพียงแต่เราเปิดตาและเปิดใจดู เราก็จะพบ

“ฟัง”
ลองฟังเสียงของป่าและเรียนรู้ภาษาของธรรมชาติ รู้ไหมว่าเขากำลังบอกอะไรเราอยู่

“สัมผัส”
ลองสัมผัสความแตกต่างในความน่ามหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่อยู่รายรอบตัวเราจากห้องเรียนธรรมชาติ แหล่งเรียนรู้จริงที่มีให้ค้นคว้าได้ไม่รู้จบ




อาร์มค่อยๆ พาเราเดินไปเรื่อยๆ สะพานศึกษาเรือนยอดไม้นี้มีหอสูง 3 ระดับ คือ 10, 15 และ 18 มีทั้งหมด 8 หอคอย ทางเดินบนยอดไม้เหล่านี้รับน้ำหนักได้ไม่เกิน 800 กิโลกรัม ควรเดินบนสะพานครั้งละไม่เกิน 5 คน



ความสูงระดับแรกประมาณ 10 เมตร จะเห็นเรือนยอดของไม้ต้นที่ไม่สูงมากนัก เดินต่อไปถึงช่วงระดับที่สองที่สูงขึ้นอีกหน่อย อาจจะเห็นนกบินไปมา กระรอก กระโดดจากกิ่งไม้ต้นโน้นมาต้นนี้ ตอนที่เราไป ไม่ได้เห็นขนาดนั้น สัตว์อาจจะรำคาญเสียงของเด็ก ๆ ก็เป็นได้ .. จุ๊ๆ เดินไปช้าๆ เงียบ ๆ แล้วฟังเสียงธรรมชาติ สังเกตดูสิ่งรอบตัว ลูกชายเราเดินล้ำหน้าไปอย่างไว ไม่อยู่รอชมนกชมไม้ก่อนเลย



เป็นความรู้สึกที่ได้ผจญภัยเล็กๆ ที่ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เพราะมั่นใจในความปลอดภัยของโครงสร้างสะพาน



ระดับที่มีความสูงที่สุด เห็นยอดไม้ชัดเจน



จากนั้นเราเดินต่อไปยังเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าพรุ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ ทางเดินบางช่วงมีเฉอะแฉะบ้าง



ป่าพรุ คือ ป่าที่มีพื้นที่ลุ่มน้ำขังดินเป็นหล่มเลนและมีซากอินทรีย์วัตถุทับถมทำให้ดินยุบลงตัวได้ง่าย มีเป็นป่าในเขตร้อนประเภทไม่ผลัดใบเช่นเดียวกับป่าดงดิบชื้น แต่สภาพป่านั้นแตกต่างจากป่าประเภทอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง ป่าพรุเกิดขึ้นได้ทั้งตามหุบเขาสูงและชายฝั่งทะเล



เด็กชายทั้งสองเริ่มคุ้นกันแล้ว ก็เดินเล่นไปด้วยกัน บ้างก็แกล้งกัน หัวร่อต่อกระซิกกันไป พี่อาร์มสอนให้เกาลัดนำเศษใบไม้เอามาพัดคลายร้อน หยิบเศษกิ่งไม้แห้งมาเล่นฟันดาบ ตลอดเส้นทางเราจะเห็นพืชพรรณไม้พื้นล่างจำพวกหวาย เถาวัลย์ เช่น ระกำ หลุมพี ยี่โถปีนัง หม้อข้าวหม้อแกงลิง

เราเห็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงหล่นอยู่บนทางเดินคอนกรีต ไม่ทราบที่มาที่ไปว่ามีอยู่บนนี้ได้อย่างไร เราได้แต่บอกลูกว่าเวลาเข้าป่า ห้าเด็ด ห้ามดึง และทำลายต้นไม้ทุกชนิด



หลังจากเกาลัดอำลาพี่ๆ มัคคุเทศก์น้อยด้วยความประทับใจและอาลัยอาวรณ์เพื่อนใหม่ เราพาลูกชายไป “ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตรัง” ที่อยู่ไม่ห่างจากสวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้นัก อยากไปชมนิทรรศการของที่นี่ดูว่าแตกต่างจากศูนย์วิทยาศาสตร์หลายแห่งที่เราเคยไปชมมาแล้วหรือไม่อย่างไร ตามความตั้งใจแต่เดิมว่าอยากจะพาเกาลัดไปเที่ยวศูนย์วิทยาศาสตร์ (แทบ) ทุกแห่งในประเทศไทย หากโอกาสอำนวย



แต่ดูเหมือนว่าศูนย์วิทยาศาสตร์ ฯ แห่งนี้ จะถนัดและพร้อมที่จะรองรับผู้เข้าไปศึกษาดูงานเป็นหมู่คณะมากกว่าให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินเข้าไปเยี่ยมชม ตลอดเวลาที่เราสองแม่ลูกลัดเลาะชมบริเวณภายนอกอาคาร ก็ได้เห็นเจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ติดบอร์ดและทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่ ได้ชำเลืองมาที่เรา แต่ก็ไม่ได้สนใจกระเหรี่ยงสองแม่ลูกที่ดูเหมือนว่าพลัดหลงเข้ามาเลย เราเห็นดังนั้นก็ไม่กล้าเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าในอาคารมีนิทรรศการอะไรที่สามารถเข้าชมได้บ้าง ณ อาคารใดบ้าง จึงชวนเกาลัดที่กำลังจะเริ่มติดลมกับสิ่งที่จัดแสดงอยู่ภายนอกอาคาร กลับเข้าตัวเมืองตรังอย่างหงอย ๆ



เมื่อเข้าสู่เมืองตรังในช่วงบ่าย ก็ได้เข้าที่พักที่มายเฟรนด์เกสต์เฮาส์ คืนละ 590 บาท ซึ่งห้องพักและสถานที่โดยรวมสะอาด สะดวก สบาย เกินความคาดหมายเป็นอย่างมาก แถมยังมีโอวัลติน ชา กาแฟ เค้กอร่อยของเมืองตรังบริการแขกเข้าพักฟรีในช่วงเช้าด้วย

อ่านรีวิวมายเฟรนด์เกสต์เฮาส์ ได้ที่บล็อกแกงค์ “ชมจันทร์” ลิงค์นี้ค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonwatcher&month=19-01-2013&group=32&gblog=15



พอถึงห้องพัก ไม่นานก็ม่อยหลับไปด้วยความเพลีย ตื่นขึ้นมาก็ชวนเจ้าลูกชาย ไปเดินถนนคนเดินหน้าสถานีรถไฟ ใกล้ๆ กับที่พักของเรา คนเยอะ ของกินก็แยะ น่าสนใจไปหมด ...เดินไป ชิมไป



จากนั้นไปต่อที่ข้าวต้มโจ๊กซี่โครงหมู หน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนักค่ะ เปิดขายทุกวัน เวลา 16.00 - 21.00 น. จากการสังเกตเห็นว่าร้านนี้ขายดีมากๆ มีลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น เข้ามาซื้อตลอด ส่วนมากจะซื้อกลับบ้านกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากรีวิวของเรา ลิงค์นี้ค่ะ //www.ruabruam.com/@iipnwp



ตอนเช้า รับประทานเค้ก กาแฟ โอวัลติน รองท้องไปก่อน กลัวว่าถ้าหากไปกินอาหารข้างนอกแล้วจะไม่ทันรถตู้ ที่บอกว่าจะมารับเวลา 8.30 น. เกรงว่ารถตู้มาถึงเร็วแล้วต้องรอเรา และยังไม่ค่อยจะหิวกันเท่าไหร่ แต่ก็ผิดคาด รถตู้มารับช้ากว่าที่นัดไว้นิดหน่อย เพราะต้องตระเวนไปรับลูกทัวร์กลุ่มอื่นๆ ก่อน คราวนี้เริ่มหิวแล้ว ต้องอาศัยขนมปังกับนมที่พกไปด้วยเป็นตัวช่วยไปพลาง ๆ



วันนี้เราออกทัวร์ 4 เกาะ ได้แก่ เกาะมุก (ถ้ำมรกต) เกาะกระดาน เกาะเชือก เกาะม้า กันค่ะ ได้ข้อมูลจากการใช้กูเกิ้ลค้นหา ไปเจอเฟซบุ๊คและเว็บไซต์น่าสนใจ ชื่อ “ทะเลตรัง” จึงลองเข้าไปอ่านดู และติดต่อสอบถามเพิ่มเติมกับคุณอเล็กซ์ แล้วตัดสินใจซื้อทัวร์กับเว็บไซต์นี้ ในราคาที่พอใจ เป็นราคราโปรโมชั่นสำหรับแฟนเพจในเฟซบุ๊ค คือ รับจากในเมือง ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก 450 บาท รวมอาหารกลางวันและอาหารว่าง โดยเราได้โอนเงินมัดจำล่วงหน้า 200 บาท แล้วค่อยมาจ่ายส่วนที่เหลือก่อนลงเรือ

รถตู้มาส่งเราที่หน้าบริษัทลิบงการท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่ท่าเรือปากเมง



อีกสักพักก็พาคณะทัวร์เดินไปที่ท่าเรือ เพื่อเตรียมลงเรือไปเที่ยวทะเลตรังอันสวยงาม



ปูตัวน้อย ๆ



ทิวทัศน์อันสวยงาม ณ ท่าเรือปากเมง



วันนี้ เราลงเรือชื่อว่า “พยูน” ซึ่งคนขับเรือใจดีมาก มีไกด์ประจำเรือสองคน คือ ไกด์กวาง กับไกด์ดลย์ ซึ่งก็น่ารักและใจดี บริการดีเยี่ยมทั้งสองคน เมื่อลงเรือ ไกด์ประจำทัวร์ ก็เสิร์ฟน้ำอัดลมให้ทุกคน แบบตั้งตัวยังไม่ค่อยทัน ในเรือยังมีน้ำเปล่าให้บริการตลอดทริปด้วย แก้วพลาสติกที่ได้รับ ควรเก็บเอาไว้ใช้ต่อตลอดทริป ^^



พี่ดลย์ แนะนำวิธีการใช้เสื้อชูชีพ และวิธีการเกาะกลุ่มลอยตัวต่อแถวกันเข้าถ้ำมรกต และข้อควรปฏิบัติต่างๆ เพื่อความปลอดภัย เกาลัดยังเขินอยู่เล็กน้อย



ไม่นานเรือก็เดินทางสู่เกาะมุก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ถ้ำมรกต ในตอนนั้น เริ่มตื่นเต้นบ้างแล้วล่ะค่ะ เคยเห็นแต่ในภาพ กำลังจะได้สัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเองเสียที

ถ้ำมรกต เข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น ปากถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำมืด ๆ ประมาณ 80 เมตร เข้าแถวเรียงหนึ่งตามคนนำทาง จับคนข้างหน้าไว้ให้มั่นไม่งั้นอาจหลงทางได้ ยามแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะทั้งเกาะและเวิ้งถ้ำก็เป็นสีเขียวมรกต



กลุ่มทัวร์ของเราเริ่มลอยตัวกันเข้าไปในถ้ำแล้วล่ะคะ ฮุย เล ฮุย ! เตะผมทำไมครับ ? ได้ยินเสียงมาจากใกล้ๆ .. อิ อิ มาถามลูกชายทีหลังว่าได้เผลอถีบใครเข้าให้บ้างหรือเปล่า ลูกบอกว่าไม่ได้ทำ เพียงแต่ได้ยินแล้วขำ



ในถ้ำมรกต ได้เจอกับความมืด แต่ไม่นานก็ได้พบกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ณ ทางออกของถ้ำ มีหาดทรายขาวสะอาด รอเราอยู่เบื้องหน้า




นักท่องเที่ยวเยอะแยะเต็มไปหมด โดยมากจะเป็นชาวต่างชาติ



เมื่อมองดูรอบๆ เหมือนกับเรายืนอยู่ในปล่องขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของหินปูนในอดีต



ตอนนี้เราเกาะกลุ่มกันออกจากถ้ำ เพื่อกลับไปยังเรือ “พยูน” แล้วค่ะ

และแล้วน้ำที่เห็นในถ้ำมรกตตอนขาออกจากถ้ำ มีสีเขียวงดงามอย่างกับมรกตจริงๆ การเข้าถ้ำมรกตนี่สนุกดี และไม่น่ากลัวเหมือนอย่างที่จินตนาการไว้แต่แรกเลยค่ะ ^^



ขึ้นมาบนเรือได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีผลไม้ คือ สับปะรดหวานๆ มาเสิร์ฟ จากนั้นเราไปต่อกันที่เกาะกระดาน ที่เกาะกระดานนี้ไกด์กวางพาเราแม่ลูกดูปลาการ์ตูนกับดอกไม้ทะเล ในส่วนของภาพถ่ายนั้น ไกด์กวางได้ดำน้ำลงไปช่วยถ่ายภาพนี้ให้ สวยงามมาก



กลับขึ้นเรือมา นั่งพักเหนื่อยไม่นาน ก็เวลารับประทานอาหารกลางวันเป็นบุฟเฟต์อาหารอร่อยๆ แบบจัดเต็ม แกงส้ม ไข่เจียว ปลาหมึกชุบแป้งทอด ทอดมัน น้ำพริกและผักสด รวมทั้งผลไม้คือแตงโม



กินข้าวยังไม่ทันจะอิ่มดีก็ถึงเกาะเชือก เป็นแหล่งปะการังน้ำตื้นที่สวยงามแห่งหนึ่งของจังหวัดตรัง มีปะการังแข็งและปะการังอ่อนหลากสี มีฝูงปลามากมาย เกาลัดรีบวางจานไปดำน้ำทันทีโดยไม่รอแม่เลย ฝากไกด์พี่ดลย์ของเกาลัดช่วยดูแลแทนไปก่อนละกัน ส่วนแม่รีบจัดการอาหารในจานแล้วตามไปโดยพลัน

ในบริเวณเดียวกันมีเรือหลายลำจอดอยู่



วันนี้เกาลัดสนุกสุดเหวี่ยง และมีความสุขกับการเล่นน้ำ ดำน้ำเต็มที่เลย




เดินทางไปกันต่อ เกาลัดชอบนั่งแถวหัวเรือ พี่ดลย์ไปนั่งคุยด้วย ท่าทางคุยกันสนุกถูกคอ



เกาลัดดูวิธีการจอดเรือ



จากนั้นไปเกาะม้า อยู่ใกล้กับเกาะเชือกแต่อยู่ในเขตน่านน้ำของจังหวัดกระบี่ มีค้างคาวแม่ไก่เกาะอยู่ตามหิน ภาพที่พักของคนเฝ้ารังนกนางแอ่น



ท้องทะเลที่สวยงาม




ปลาการ์ตูนและดอกไม้ทะเลสวยๆ ขออภัย ภาพไม่ชัดค่ะ



อาหารว่างยามบ่ายเป็นกาแฟ โอวัลติน และเค้กตรัง



ฟ้าใส ทะเลสวย บรรยากาศสวยงามจนอยากอยู่เที่ยวต่อนาน ๆ



ขากลับเปลี่ยนเสื้อผ้าบนเรือ เกาลัดกับพี่ดลย์ถ่ายภาพกับปลาและปลาหมึกที่ลูกเรือตกเบ็ดได้ในขณะที่รอนั่งท่องเที่ยวดำน้ำอยู่ในทริปนี้



ไกด์ทั้งสองคนช่วยกันทำความสะอาดและเก็บอุปกรณ์ดำน้ำ ลงภาพไกด์กวางเป็นที่ระลึก




กลับเข้ามาถึงที่พัก อาบน้ำ ซักผ้าตากผ้า พักผ่อน แล้วออกไปกินข้าวเย็นที่ “โรงน้ำชาหลงตรัง” เกาลัดบอกว่าชอบร้านนี้อีกแล้ว อ่านรีวิวร้านอาหารต่อที่ลิงค์นี้ค่ะ //www.ruabruam.com/@kgsmje



ตื่นสายด้วยความอ่อนเพลีย แล้วไปกินอาหารเช้าที่ร้านพงษ์โอชา ได้ทำรีวิวไว้แล้วเช่นกันค่ะ //www.ruabruam.com/@rnzhho




จากนั้นไปคืนรถมอเตอร์ไซค์เช่าที่หน้าสถานีรถไฟตรัง แล้วนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งที่คิวรถตู้ไปหาดปากเมง ค่ามอเตอร์ไซค์ 20 บาท แล้วนั่งรถตู้โดยสารจากเมืองตรัง ไปหาดปากเมง คนละ 40 บาท



วันนี้สองแม่ลูกได้นัดกับ “หนุ่ม สปอร์ต ใจดี ระยอง” หนึ่งในตำนานประวัติศาสตร์ของกระทู้คุยสบาย กับครอบครัวที่เราแอบปลื้มมาโดยตลอด ไว้ที่หาดปากเมง เราไปพบกับครอบครัวน่ารักนี้ที่ “ขนำชาวเลรีสอร์ท” โดยอาศัยขอติดรถมอเตอร์ไซค์ชาวบ้านแถวนั้นไปที่รีสอร์ท

เมื่อถึงหน้าที่พัก “น้องฟ้าใส” สาวน้อยน่ารักโผล่หน้าออกมาจากเปลญวนมาทักทาย และก็ชวนกันไปเล่นทรายในยามกลางวัน แดดร้อนมั่กๆ

“พี่เกาลัด อย่าตากแดดนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย” น้องฟ้าใสบอกให้เข้ามาอยู่ในร่ม

ส่วนแม่พยายามอธิบายให้เกาลัดฟังว่าแดดแรงแบบนี้ ถ้าตากแดดแล้วจะทำให้ปวดหัวและไม่สบาย

เมื่อครอบครัวน้องฟ้าใสเช็คเอาท์เรียบร้อย เราก็ได้ติดสอยห้อยตามไปเที่ยวกันที่ “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำราชมงคล” ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตรัง ซึ่งก็ไม่ไกลจากหาดปากเมง

สำหรับรายละเอียดของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เราได้ให้ข้อมูลไว้ในรีวิวเดิมค่ะ



เด็กๆ ได้ชมสัตว์น้ำกันพอกรุบกริบ เราเดินไปดูหาดราชมงคล แล้วก็เดินทางเข้าเมืองต่อ



จากนั้นคุณพ่อของน้องฟ้าใสพาไปชิมโรตีอร่อยๆ หน้าสถานีรถไฟตรัง ซึ่งเรายังไม่เคยชิมมาก่อน



ไปซื้อเค้กร้าน “รสเลิศ” เราซื้อกล่องละ 2 ปอนด์มา 4 กล่อง หิ้วดูแล้วก็หนักพอควรเลยล่ะ แต่ก็ไม่ผิดหวังเลยที่ซื้อมา รีวิวไว้ในลิงค์นี้ค่ะ //www.ruabruam.com/@gvgwvd




คุณพ่อน้องฟ้าใส พาไป “ตลาดสดเทศบาล” แหล่งขายหมูย่างเมืองตรังในตำนาน เพื่อไปดูลาดเลาเอาไว้ก่อน เช้าวันต่อมาจะได้มุ่งหน้าไปซื้อหมูย่างตั้งแต่เช้ามืด



จากนั้นไปที่ร้านขนมเปี๊ยะซอย 5 อยู่ถนนห้วยยอดซอย 5 ไม่ได้ถ่ายภาพไว้ เพราะเคยทำรีวิวไว้แล้วค่ะ ^^

ไปต่อกันที่ “ถนนรื่นรมย์” แหล่งขายของอร่อยในตัวเมืองตรัง ใกล้วงเวียนปลาโลมา ได้ลองชิมของอร่อย ๆ ที่เป็นอาหารพื้นบ้านหลายอย่าง




ขากลับ เหมารถตุ๊กๆ หัวกบเดินทางจากหน้าสถานีรถไฟไปสนามบินตรัง ในราคาเที่ยวละ 150 บาท ครอบครัวน้องฟ้าใสอุตส่าห์เดินมาส่งถึงรถ ซึ้งใจมากมาย ..ขอบคุณค่ะ ..



เกาลัด : เที่ยวตรังครั้งนี้ดีจัง อาหารอร่อย คนก็ใจดี เกาลัดชอบจังหวัดตรัง คราวหน้ามาเที่ยวกันอีกนะแม่
แม่ : ได้ครับลูก คราวหน้าชวนพ่อมาเที่ยวตรังด้วยกัน

ลูกชายบอกว่าประทับใจที่ได้มาเดินทางท่องเที่ยวและเรียนรู้เมืองตรัง ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของเกาลัดที่ได้มาเปิดประสบการณ์ใหม่ ณ จังหวัดที่น่ารักแห่งนี้ หลายวันต่อมาเกาลัดยังคงพูดถึงพี่อาร์ม พี่ดลย์ ร้านอาหารที่ชอบ และเรื่องราวอื่นๆ เกี่ยวกับตรังให้พ่อกับแม่ฟังอยู่ ซึ่งแม่ก็ดีใจที่พาลูกเที่ยวแล้วทำให้ลูกรู้สึกมีความสุข ในปีนี้ลูกเติบโตขึ้นและเป็นเพื่อนเที่ยวกับแม่สองคนได้แล้ว ^^

“เราแม่ลูกได้เติมเต็มให้กัน และตรังก็ได้เติมเต็มให้เรา”




 

Create Date : 24 มกราคม 2556    
Last Update : 24 มกราคม 2556 10:11:43 น.
Counter : 8570 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  

ชมจันทร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เดินทางสู่โลกกว้าง เพื่อไปเรียนรู้โลก ผู้คน เพื่อประสบการณ์ชีวิต

Friends' blogs
[Add ชมจันทร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.