ไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ .. ^^
Group Blog
 
All Blogs
 

“ตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง” ท่องเที่ยวแบบง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง [ตอนที่ 2]

“ตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง” ท่องเที่ยวแบบง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง [ตอนที่ 1] ได้เล่าถึงบันทึกการเดินทางจากประสบการณ์ตรงของเราไปแล้วในวันแรกถึงวันที่สาม ตามนี้ค่ะ


วันแรก : กรุงเทพ – หาดใหญ่ – โรงแรมทูนหาดใหญ่ - คอหนังแต้เตี้ยม – น้ำเต้าหู้อร่อย

วันที่สอง : หาดใหญ่ – โรงแรมทูนปีนัง - Gurney Drive

วันที่สาม : ปีนังฮิลล์ – Made in Penang Interactive Museum - Hop-on Hop-off Penang





สามารถคลิกที่ภาพเพื่อชมภาพขยายได้ค่ะ


ไปเที่ยวต่อกันเลยนะคะ


วันที่สี่ : Hotel Sentral Goregetown – ชายหาด Batu Feringgi - Floating Mosque – เดินชมเมืองย่านมรดกโลกของเมืองจอร์จทาวน์ ปีนัง


Hotel Sentral Goregetown : ย้ายโรงแรมแล้วจ้า ตอนสายเช็คเอาท์เดินจาก Tune Downtown Penang ไปเช็คอินที่ใหม่ที่จองไว้สำหรีบคืนสุดท้าย เช้าห้องพักยังไม่เรียบร้อย ก็เลยฝากกระเป๋าแล้วออกไปเที่ยวที่ต่างๆ กลับเข้ามาบ่ายสอง โรงแรมเพียบพร้อมกว่า Tune เยอะ ชีวิตเหมือนได้ยกระดับการพักผ่อนขี้นมาอีก

เข้ามาในห้องได้กลิ่นหอมๆ เลย. เตียงนุ่มๆ แต่ไม่มีอ่าง. อาบน้ำสบายๆ ให้หายร้อน เปิดทีวี นอนเล่นเน็ต ไวไฟฟรี บ่ายแก่ๆ ค่อยออกเที่ยวใหม่ แผนที่เที่ยวที่หยิบมาจากล็อบบี้โรงแรม ช่วยการเที่ยวในวันนี้ได้อีก มีอาหารเช้าบุฟเฟต์ให้ กินได้สองคน

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]



เช็คเอาท์แล้วเดินจากโรงแรมเดิม ไปโรงแรมใหม่





บ้านเรือนระหว่างทาง สวยงามจนต้องหยุดถ่ายภาพเก็บไว้





เข้าไปเช็คอิน ในส่วนของรีวิวโรงแรม เข้าไปดูในบล็อก หมวดโรงแรมที่พักต่างแดนได้เลยจ้า





เดินกลับไปป้ายรถเมล์ใกล้โรงแรมเดิม เพื่อนั่งรถเมล์สาย 101 ที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ โรงแรม Tune ไปลง Batu Feringgi ค่ารถ RM 2.70 ตามข้อมูลคุณแอน ข้างถนนมีป้ายบอกระยะทางเป็นระยะ พอถึงบางตู เฟอริงกิ แล้วสังเกตตึกเหลือง ปั๊มเปรโตรนาส และโรงแรมโกลเด้นแซนด์ รีสอร์ต แหม..มันช่างเป๊ะ ! ตามโพย ลงจากรถฝั่งตรงข้ามโรงแรม ข้ามถนนไปป้ายหน้าโรงแรม แล้วเดินลงชายหาด มันชิลล์มาก


Batu Feringgi : นั่งรถเมล์ไปชายหาดตามแพลนที่ตั้งใจจะไปเมื่อวาน แต่ฝนตก เลยเปลี่ยนเป็นวันนี้แทนซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะวันนี้ฟ้าใส แดดแรง ที่นี่มีกิจกรรมแอดเวนเจอร์ หลายสิ่งอย่าง น่าพาลูกชายไปพักและทำกิจกรรมย่านนั้น เห็นคู่แม่ลูกพาลูกชายวัยเกาลัดขึ้นเหินฟ้า นี่ใช่เลย ! ค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ พอๆ กับเที่ยวหาดบ้านเรา เช่น กางเกงขาสั้น 100 บาท ค่าอาบน้ำ ของกิน ก็พอกัน บังเอิญได้ฟังเพลง Jazz เพราะๆ ริมหาดและเห็นหนุ่มขอสาวแต่งงานแบบทำเซอร์ไพรส์ โรแมนติกมาก

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]







ชายหาด Batu Feringgi





คู่หูแม่ลูกคู่นี้ได้ใจจริงๆ











ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก





เครื่องเล่นที่โรงแรมโกลเด้นแซนด์ รีสอร์ต






จากป้ายรถเมล์หน้าโรงแรมโกลเด้นแซนด์ รีสอร์ต นั่งรถเมล์สาย 101 ราคา 1.4 RM ไปไม่กี่ป้าย ก็ถึง Floating Mosque “Tanjung Bungah”
อ่านข้อมูลคร่าวๆ ที่เว็บไซต์ //www.malaysiasite.nl/tanjongbungaheng.htm



Floating Mosque : นั่งรถเมล์เส้นทางกลับเข้าเมือง ไปลงหน้ามัสยิด Masjid Betas Asap Rokok มีนักท่องเที่ยวลงด้วยหลายคน แล้วนั่งสายเดิมไปลงปากซอยเพื่อเข้าโรงแรมมาพักผ่อนช่วงบ่าย แต่ก่อนเข้าโรงแรมเดินชมเมือง และไปด้อมๆมองๆ พิพิธภัณฑ์อีกนิดหน่อย

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]













ตอนบ่ายสอง กลับเข้าโรงแรมด้วยรถเมล์สาย 101 แล้วลงป้ายรถเมล์หน้าโรงแรม วันนี้อาศัยแผนที่ปีนังที่หยิบจากล็อบบี้โรงแรมช่วยได้เยอะมาก ก่อนเดินเข้าโรงแรม ก็ชมเมืองย่านนั้นเล็กน้อย อากาศร้อนสุด ๆ อาศัยเปิดแอร์ อาบน้ำ นอนเล่นเน็ตเพลิน ๆ จนถึงสี่โมงเย็น ค่อยเดินออกไปชมเมืองเก่าย่านมรดกโลก










เดินออกจาก Hotel Sental Goregetown ไปรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามตึกคอมตาร์ เจอรถ Hop-on Hop-off มา ก็เลยนั่งรถไปลงที่ Chowrasta Market สุดท้าย เราพบความจริงที่ว่า ที่จริงเดินไปเลยก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลารอรถ เพราะอยู่ไม่ไกลกันเลย จากตึกคอมตาร์ข้ามถนนไปหน่อยเดียวก็ถึงแล้ว ตลาดนี้ประมาณขายของฝาก เสื้อยืด ที่ระลึก ผลไม้หมักดอง อะไรต่าง ๆ








ที่จริงทริปนี้ตั้งใจจะไป Campbell Street Market แต่หาไม่เจอ. กลับเจอตลาดนัดและถนนคนเดินที่ถนนอาร์มาเนียนแทนซะงั้น

เดินไปอีกนิดเจอร้านลอดช่องที่คุณแอนทำรีวิวไว้ แถวยาวเฟื้อยเลย ก็ไปต่อแถว อร่อยจริงๆ แฮะ ชอบ ๆ











เดินซอกแซกลัดเลาะไปเจออะไรต่างๆ มากมาย ย่านคนจีน Little India ถนนคนเดิน ตลาดนัด ฯลฯ บ้านช่อง ร้านรวง แปลกหูแปลกตา หลากหลายและสวยงามดี



























มื้อค่ำวันนี้ชิมหอยเมืองปีนัง ที่ร้านแรก ในโต้รุ่งหน้าโรงแรม Sunway ถนน Macalister ซอย Baru ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม Sentral Georgetown ที่พักคืนนี้ กินคนเดียว 3 อย่างตามภาพ จ่ายไป 39 ริงกิต รสชาตินั้นกินแล้วไม่อยากบอกต่อเลยจ้า ได้ยินโต๊ะข้างๆ สั่งเบียร์ไทเกอร์ ขวดใหญ่ ตกขวดละ 15 ริงกิต คิดถึงหอยและเบียร์ไซง่อนขึ้นมาทันใด

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]



โต้รุ่งฝั่งตรงข้ามซอยโรงแรม







"เพื่อนเอย การเดินทางยังอีกไกล ...... เพื่อนเอย ฝันของเธออยู่แห่งใด
เพื่อนเอย เธอจะไปด้วยกันหรือเปล่า เพื่อนเอย จุดหมายปลายทางของเธอนั้นอยู่ไหน"

จบโหมดท่องเที่ยว พรุ่งนี้เข้าสู่โหมดเดินทางกลับ
พรุ่งนี้เช้ารถตู้มารับ 8.00 น. เพื่อเดินทางไปหาดใหญ่และกลับบ้านลำลูกกา

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]




วันที่ห้า : เดินทางกลับ – แวะตลาดกิมหยง – ลูกชิ้นปลาแมนเอ


เช้านี้ รีบลงไปเช็คเอาท์ แล้วกินอาหาร ก่อนที่จะถึงเวลานัด แต่ลงไปเจอคนเต็มห้องอาหาร ส่วนใหญ่คือทัวร์จีน ต้องรอคิวนานพอประมาณกว่าจะมีที่ว่าง พอจะได้กินจริงๆ กลับกินอะไรไม่ลง ได้แค่ข้าวต้มกับถั่วและปลาแห้ง และกาแฟดำ จากนั้นก็มานั่งรอรถตู้ที่นัดมารับเวลา 8.00 น. เลยเวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ส่งข้อความทางเฟซบุ๊คฝากเพื่อนที่ไทยโทรไปถามสำนักงานที่หาดใหญ่ให้ว่ารถจะมาหรือเปล่า ได้รับแจ้งว่าให้โทรติดต่อ สนง.ปีนังเอง ก็ให้โรงแรมช่วยต่อโทรศัพท์ให้ ได้ความว่ารถออกมาแล้ว กว่าจะมารับจริงก็กว่าเก้าโมงเช้า


เราบอกรถตู้ให้ไปส่งที่ตลาดกิมหยง ไปๆ มาๆ ก็เลยลงที่บริษัทแล้วเดินไปเอง เพราะไม่ไกลกันนัก แวะซื้อของกิน ของฝาก ดูนั่นนี่ เดินไปเซ็นทรัลหาดใหญ่ เวลาประมาณบ่ายสามโมงก็ออกเดินทางไปสนามบิน แวะซื้อลูกชิ้นปลาแมนเอ แล้วก็ขึ้นเครื่องบินกลับดอนเมืองโดยปลอดภัย







รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทริป :


ตั๋วแอร์เอเชีย :


การเดินทางเริ่มต้นขึ้นง่าย ๆ เพียงเมื่อมีโปรโมชั่นมาเท่านั้น เมื่อมีตั๋วเครื่องบินราคาถูกมาในเส้นทางที่อยากจะไปอยู่แล้ว ได้โปร AirasiaBig จองเดือนนี้ บินเดือนหน้า เส้นทางกรุงเทพ-หาดใหญ่ไปกลับ 500 คะแนน บวกกับอีก 287 บาทก็ได้ไปแล้ว ราคานี้วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ไม่มีค่ะ จึงต้องออกเดินทางไปตอนเย็นของวันพฤหัสบดีและเดินทางกลับในเย็นวันจันทร์ เกาลัดกับพ่อเกาเหลา เดินทางไปด้วยไม่ได้ เพราะติดภารกิจหลายสิ่งอย่าง ทริปนี้จึงซื้อตั๋วเพียง 1 ที่นั่ง กลายเป็นเป็น “ทริปตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง” ไปโดยปริยาย


ข้อมูลเดินทาง :


นับเป็นความโชคดี แม้ว่าจะไม่เคยไปปีนังมาก่อน แต่เรามีข้อมูลชั้นยอด เป็นคัมภีร์ และที่พึงในการเดินทาง โดยอาศัยข้อมูลจากกระทู้รีวิวเที่ยวปีนังที่คุณ Memories pink (คุณแอน) เขียนไว้ใน Pantip.com เป็นหลัก และคุณ แอน เป็นไอดอลที่ทำให้เรากล้าที่จะเดินทางคนเดียวในทริปนี้ เราเริ่มศึกษาข้อมูล วางแผนการเดินทางต่าง ๆ และส่งให้คุณ แอนช่วยตรวจสอบให้ จึงกล้าและมั่นใจมาก ไม่กลัวอะไรเลย



ที่พัก :


โชคดีอีกแล้วที่เพื่อน (ซึ่งอาจไม่อยากให้ออกนามในนี้) ได้ช่วยสมัครโปรโมชั่นส่วนลดของเว็บไซต์ Hoteltravel.com และแนะนำโปร ฯ ให้ จึงสามารถจองที่พักได้ในราคาประหยัดสบายกระเป๋ามากมาย ที่พักที่จองก็ตามรอยคุณแอน เพราะว่าง่ายต่อการวางแผนและเดินทางตามรอยที่สุดแล้ว จะมีแต่คืนสุดท้าย ที่ได้ลองจองพักโรงแรมอื่น เพื่อความสบายยิ่งขึ้น นับว่ามีรีวิวดีๆ ให้ลอกทริป สบายไปหลายต่อ ^^


แผนการท่องเที่ยวปีนัง เดือน พ.ย. 2557 รวม 5 วัน ก่อนเดินทาง :


เริ่มแรก เราได้วางแผนการเดินทางไว้เช่นนี้ ซึ่งในวันที่ไปท่องเที่ยวจริง ๆ ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์เฉพาะหน้าอีกที



วันพฤหัสบดี [เดินทางไปหาดใหญ่]


- โทรยืนยันรถตู้ปีนัง กับ K.S.T. Travel ก่อนออกเดินทาง
- FD 3114 เครื่องบินออกจากดอนเมือง เวลา 15.45 น.ไปถึงหาดใหญ่ 17.10 น.
- นั่งรถสองแถวเข้าเมืองจอดอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร ราคา 30 บาท
- เข้าที่พัก TUNE HOTEL ถนนนิพัทธ์อุทิศ 2
- ร้านคอหนังแต้เตี้ยม ร้านนี้เปิด 2 รอบ คือ 7.00 - 11.00 น. กับ 17.00 - 23.00


วันศุกร์ [เดินทางไปปีนัง Gurney drive ชมวิวบนตึกคอมตาร์]


เช้า กินอาหารเช้าแถวโรงแรม แล้วเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม เดินไปที่ KST Travel เพื่อขึ้นรถตู้ไปปีนัง ออกเดินทาง 9.30 น. ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง

บ่าย – เย็น - ค่ำ

- 14.00 น. เข้าเช็คอินโรงแรม TUNE เก็บของ

- ชิมอาหารและกาแฟ ร้าน OLD TOWN ศูนย์การค้า New World Park ติดกับโรงแรมด้านขวามือ ช่วงเวลา 15.00-18.00 น. มีเซ็ต อาหาร+เครื่องดื่มราคาพิเศษ

- เดินจากโรงแรมไปตึกคอมตาร์ (KOMTAR-Kompleks Tun Abkul Razak)

- จากตึกคอมตาร์ นั่งรถสาย 103 ไปยัง Gurney drive ค่ารถ 1.40 ริงกิต เป็นย่านที่ขายอาหารกลางแจ้งตอนเย็นๆที่ใหญ่ที่สุดในปีนัง น่าจะเริ่มประมาณ 18.00 น. เวลาขึ้นรถเมล์บอกสถานที่จะไปกับคนขับ ถ้าเขาพยักหน้าก็OK ถ้าผิดสายเขาจะบอกสายเราเอง ขากลับดูหน้ารถคันไหนที่เขียนว่าไป Jetty กลับได้ทั้งนั้น ต้องมาลงคอมต้า

- ขึ้นไปชมวิวปีนังจากชั้น 55 ของตึกคอมตาร์ บางเว็บบอกชั้น 58 [Viewing deck on the 58th floor]

- นั่งรถเมลจากตึกคอมตาร์กลับโรงแรมขึ้นรถจากป้ายหมายเลข 9 มาลงป้ายหมายเลข 11 เดินย้อนกลับมานิดนึงแล้วเลี้ยวขวาก็จะถึงโรงแรม


วันเสาร์ [ปีนังฮิลล์ ชายหาดบาตู เฟอร์ริงกิ]

- กินอาหารเช้าที่ ร้าน OLD TOWN WHITE COFFEE (เปิดประมาณ 8.00 น.)

- เดินไปขึ้นรถที่ตึกคอมตาร์ ที่นี่จะแบ่งเป็นที่จอดรถ 5 เลน ไปปีนังฮิลล์ต้องเลน 2 ภาษามาเลย์จะเรียกปีนังฮิลล์ว่า Bukit Bendera ค่ารถคนละ 2 ริงกิต (20 บาท) ต้องสาย 204 เท่านั้น ไปหมดระยะที่หน้าปีนังฮิลล์ ต้องขึ้นทางประตูหน้าเท่านั้น เตรียมเงินไว้ให้พอดี ไม่มีการทอน โดยหยอดเงินลงในกล่องด้านข้างคนขับ คนขับก็จะฉีกตั๋วจากในเล่มมาให้เรา แล้วก็ไปเลือกหาที่นั่งตามอัธยาศัย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที สูง 712 เมตรจากระดับน้ำทะเล เส้นทางมีความยาวถึง 2.22 กม. ใช้เวลาเดินทางขึ้นมาประมาณ 10 นาที อากาศเย็น

- ขากลับขึ้นรถสาย 204 สายเดิม JETTY – PENANG HILL ไปลงอู่ JETTY

- ถึงอู่ Jetty ขึ้นรถเมล์ สาย101 ไปหมดระยะที่เตลุก บาหัง จะผ่านบาตู เฟอร์ริงกิ ไกลหน่อย ค่ารถจึงเป็น RM 2.70 เวลาจ่ายเงิน เราต้องบอกคนขับว่าไปบาตู เฟอร์ริงกิ

- ใช้เวลาเกือบหนึ่งชม.ก็มาถึงบาตู เฟอร์ริงกิ โปรดสังเกตตึกสีเหลืองทางด้านซ้าย ป้ายรถจะอยู่เลยไปนิดนึง ตรงหน้าปั๊มน้ำมันเปรโตรนาส ส่วนป้ายรถขากลับ ปรากฏว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี ตรงป้ายรถจะเป็นโรงแรมโกลเด้นแซนด์ รีสอร์ตที่ด้านหลังติดทะเล ทางลงหาดจะต้องเดินเลยป้ายนี้ไปประมาณ 50 เมตร

- กลับออกมารอรถที่ป้ายที่หมายตาเอาไว้แล้ว สามารถขึ้นรถกลับได้ 2 สาย คือ 101 ไปหมดระยะที่อู่Jetty และสาย 102 ไปหมดระยะที่สนามบิน ทั้ง 2 สายผ่านตึกคอมต้าทั้งนั้น


วันอาทิตย์ [นั่งรถบัสฟรี ชมเมืองมรดกโลกจอร์จทาวน์]

- กินอาหารเช้าที่ ร้าน OLD TOWN WHITE COFFEE (เปิดประมาณ 8.00 น.)

- เช็คเอาท์ แล้วเดินไปเช็คอินที่ Hotel Sentral Georgetown ใกล้ตึกคอมตาร์

- เดินไปขึ้น รถบัส MPPP Rapid Penang CAT ป้ายที่ 10
ลง ป้ายที่ 6 Muzium เดินต่อป้ายที่ 5 Bank Negara
The Penang State Museum >> Penang City Hall >> Fort Cornwallis [อาจเข้า Made In Penang Interactive Museum ]
ขึ้นรถหน้า Fort Cornwallis ป้าย 18 ไปป้าย 14
Campbell Street Market


วันจันทร์ [เดินทางกลับ]

- กินอาหารเช้าที่โรงแรม
- รถตู้จากปีนังกลับหาดใหญ่ รับที่ Hotel Sentral Georgetown เวลา 8.00 น. ถึงหาดใหญ่ประมาณ 12.00 น. ลงตลาดกิมหยง หรือหน้าหอ (หอนาฬิกา)
- เดินเที่ยวตลาดกิมหยง
- นั่งรถสองแถวจากตลาดกิมหยง ไปสนามบิน ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง เผื่อเวลาไว้ด้วยเพราะตอนเย็นรถติด
- แอร์เอเชีย ออกเดินทางจากสนามบินหาดใหญ่ FD 3115 17.40 น. ถึงสนามบินดอนเมือง 19.05 น.


คำขอบคุณ :

ขอบคุณสามีและลูกชายที่ยินยอมให้ไปเที่ยวคนเดียว ขอบคุณข้อมูลดีจากๆ คุณ Memories pink และเพื่อน ๆ สำหรับข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งขอบคุณเพื่อนใจดีที่ช่วยแนะนำโปร และสมัครโปร ฯ ให้ ทำให้เราเที่ยวทริปนี้ได้อย่างสนุก ทั้งยังสบายกระเป๋าด้วยค่ะ


แผนที่และข้อมูลเดินทาง :


ก่อนไปได้มีการเตรียมแผนที่เพื่อนำไปใช้ในทริปนี้

แต่ท้ายสุด เราได้แผนที่ที่สมบูรณ์ที่สุด และช่วยได้เยอะ ก็คือ แผนที่ท่องเที่ยวปีนังแผ่นใหญ่สี่สีพร้อมข้อมูลมากมายที่หยิบมาจากล็อบบี้โรงแรมเซ็นทรัลจอร์จทาวน์นั่นเอง รวมทั้งป้านแผนที่บอกทางตามป้ายรถเมล์ก็ช่วยบอกเส้นทางในช่วงพื้นที่นั้นๆ ได้ละเอียดชัดเจนขึ้น



























































ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะคะ หวังว่าข้อมูลจากรีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้าง


ติดตามรีวิวมาใหม่ได้ที่เฟซบุ๊ค “ท่องเที่ยวไป by ชมจันทร์”
//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2557    
Last Update : 24 ธันวาคม 2557 21:48:05 น.
Counter : 11241 Pageviews.  

“ตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง” ท่องเที่ยวแบบง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวเอง [ตอนที่ 1]

ปีนังนั้นเป็นเมืองมรดกโลก เรารู้จักเมืองนี้ในเรื่องราวของเมืองที่คนไทยในอดีตมีการส่งบุตรหลานไปร่ำเรียนที่นั่น ส่วนอื่นๆ นั้น ก็ไม่ค่อยทราบเท่าไหร่นัก เพิ่งจะได้มาค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางทริปนี้นี่เอง

ปีนัง หรือ จอร์จทาวน์ มีชื่อเป็นภาษามาเลย์ว่า ตันจุง เป็นเมืองเอกของรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะปีนัง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 จอร์จทาวน์และมะละกาถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ซ้ำใครทั้งในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้





การเดินทางทริปนี้เป็นการไปปีนังครั้งแรกของเรา
มาดูการเดินทางจริง ๆ จากประสบการณ์ตรงของเราบ้างดีกว่าค่ะ ไปกันเล้ยยย


วันแรก : กรุงเทพ – หาดใหญ่ – โรงแรมทูนหาดใหญ่ - คอหนังแต้เตี้ยม – น้ำเต้าหู้อร่อย


วันแรกช่วงเช้าไม่ลืมที่จะโทรศัพท์ไปยืนยันการเดินทางรถตู้ปีนังกับบริษัท K.S.T. Travel ทำงานด้วยความติดพันค่ะ รีบออกจากที่ทำงาน แล้วก็บึ่งไปที่สนามบินดอนเมืองโดยใช้บริการของ BTS ต่อด้วยรถแท็กซี่ แล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบไปที่ GATE ที่อยู่ไกล ๆ โน่นเลย ดีที่ทำเว็บเช็คอินมาล่วงหน้าแล้ว พอไปถึง GATE รถโค้ชจอดรออยู่แล้ว วิ่งไปที่รถโค้ชด้วยความเหนื่อย ยังไปไม่ทันถึงไหนเลย เหนื่อยแล้ว
เย็นย่ำ ไปถึงสนามบินหาดใหญ่ ที่สนามบินหาดใหญ่มีบูธขายตั๋วมีรถตู้บริการส่งเข้าเมือง เป็นรถตู้แชร์ร่วมกับคนอื่น คนละ 100 บาท ส่งให้ถึงโรงแรมหรือจุดหมายต่างๆ ในเมืองหาดใหญ่ แต่ไปง่าย ๆ เราไม่ชอบค่ะ เราชอบจ่ายถูกกว่านั้น ด้วยความงกเนาะ


ตามโพยที่กระทู้รีวิว และเพื่อน ๆ บอกมาก็คือ ให้เดินออกไปขึ้นรถสองแถวที่จอดบริการอยู่ถนนตรงข้ามอาคารสนามบิน เราได้ศึกษาในกระทู้รีวิวของคุณแอนมาแล้ว เดินออกมาที่หน้าอาคารสนามบิน มองตรงไปสุดทางเดิน จะเห็นรถสองแถวสายสนามบิน – ขนส่ง สีน้ำเงิน จอดอยู่ที่หน้าป้ายที่มีตัวอักษรคำว่าหาดใหญ่ ก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถสองแถวทันที






หาดใหญ่ช่วงเย็นรถติดมากๆ ค่ะ ตอนนั่งรถ อาศัยคุยกับน้องที่นั่งอยู่ติดกัน น้องบอกว่าจะไปลงตลาดกิมหยงพอดี เลยอาศัยได้ลงกับน้องเค้าด้วย เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าจุดที่จะลงรถที่ตลาดกิมหยงนั้น คือตรงไหน ตอนที่ลงจากรถก็มืดค่ำแล้วด้วย ลงจากรถปุ๊ปมองหาโรงแรมวีแอล (VL) ทันที ใช้โรงแรมวีแอลเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินย่ำเท้าไปโรงแรม Tune Hat Yai


แผนที่พร้อม ข้อมูลเป๊ะ นักเดินทางมั่นใจเต็มร้อย ! เราหันหลังให้กับโรงแรมวีแอล ออกเดินทางในทิศทางตรงข้ามหับหน้าโรงแรม เดินไปเรื่อย ๆ มองหาชื่อถนนนิพัทธิ์อุทิศ จนถึงหอนาฬิกา เฮ้ย ! ไม่ใช่แล้ว สงสัยว่าจะหลงทิศหลงทาง มอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ขยันถามเราจัง เราอาศัยถามทางจากคนแถวนั้นซึ่งใจดีมาก เสียเวบาบอกทางเราอยู่ตั้งนาน เราจึงได้กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่โรงแรมวีแอลอีกครั้ง เพื่อออกเดินทางตามแผนที่ที่ได้ปีกหมุดมาจาก Google Map ถนนจุดเริ่มต้นที่เรามองหานั้น กลับอยู่ข้างๆ ติดกับโรงแรมวีแอลต่างหากค่ะคะ พอจับจุดได้ เดินไปตามแผนที่ไม่นานก็ถึงโรงแรมค่ะ





นั่งรถสองแถวโดนรมควันบนท้องถนน สะพายเป้ใบใหญ่ๆ เดินตั้งนาน การเดินทางจากสนามบินไปที่โรงแรม รวมเวลาที่หลงแล้ว ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง หน้ามัน ผมนี่ยุ่งเหยิง ตอนนั้น บอกตรง ๆ ว่าหมดสภาพแล้ว


“พี่คะ พี่ไปไหนมาคะ” น้องพนักงานที่โรงแรมถาม เห็นสภาพแล้วคงสงสัย

“พี่เพิ่งมาถึงอ่ะน้อง พี่เดินหลงไปถึงหอนาฬิกาโน่น” ป้า ชจ. ตอบ

น้องพนักงานที่โรงแรมนี้เขาสวยและน่ารักดีแฮะ แนะนำดี อะไรดีหมด ห้องกว้างกว่าที่คิด มีไดร์เป่าผมด้วย มีไวไฟฟรีใช้ที่ห้อง ผ้าเช็ดตัว สบู่ แชมพู มีให้ น้ำเปล่าซื้อเองที่ล็อบบี้ขวดละสิบบาท มีตู้นิรภัยในห้อง ทีวีจอแบน 32 นิ้ว



ฉันเดินหลงทางอยู่กลางผู้คน สับสนวุ่นวาย
โผล่มาถึงที่นี่แล้วล่ะเฮ้ย !

นั่งรถสองแถวรถติดมากจากสนามบินรวมเดินหลงไปถึงหน้าหอนาฬิกา ก็ประมาณชั่วโมงครึ่งถึงที่พัก
รายงานสดจากทริปตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง (แบบเบลอๆ มึนๆ)
— รู้สึกงงตัวเอง

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]




เช็คอินเรียบร้อย ได้คีย์การ์ดแล้วก็ขึ้นห้องพัก ไปเก็บของ ล้างหน้า หวีผม แล้วก็เดินไปกินติ่มซำที่อยู่ใกล้โรงแรมมาก ๆ เหนื่อยและหิวมาก ๆ แทบจะเขมือบคนได้ทั้งตัว





เป้าหมายต่อไป คอหนังแต้เตี้ยม จากแยกไฟแดงตรงธนาคารทหารไทยติดกับโรงแรมทูน เลี้ยวซ้ายสองซ้ายก็ถึง ร้านนี้ใกล้ๆ อยู่หลังโรงแรมเอง อาหารที่เห็นเต็มโต๊ะ รวมชาจีนกานั้นจ่ายไป 122 บาทค่ะ
คิดถึงคนที่บ้าน อยากให้มากินด้วยกัน ร้านคอหนังแต้เตี้ยม หาดใหญ่ ที่เคยมากินกับครอบครัว ตอนพาเกาลัดมาเรียน สปช.
คืนนี้กินคนเดียวไปก่อน
— รู้สึกหิว

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]


จากนั้นก็กินน้ำเต้าหู้ ที่ร้านตรงสี่แยกไฟแดง









สรุปการเดินจากโรงแรม Tune HatYai ไปคอหนังแต้เตี้ยม คือ เดินออกจากโรงแรมจะเห็นธนาคารทหารไทยติดกับโรงแรมและตรงธนาคารก็จะเป็นสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวซ้ายตรงไฟแเดงข้าง TMB เดินไปนิดเดียวถึงอีกแยกไฟแดง ก็เลี้ยวซ้ายอีกที หัวมุมแยกที่จะเลี้ยวซ้ายเป็นร้านน้ำเต้าหู้ตามภาพ เดินไปอีกหน่อยจะเห็นร้านคอหนังแต้เตี้ยมอยู่ฝั่งขวา ส่วนฝั่งซ้ายตรงข้ามกันเป็นร้านข้าวต้มปลา กุ้ง ก็ดูสด น่ากิน คนเยอะ



วันที่สอง : หาดใหญ่ – โรงแรมทูนปีนัง - Gurney Drive


นอนหลับๆ ตื่น ๆ แต่ก็รีบตื่นแต่เช้าเชียว เพราะกลัวตกรถ โผเผ งัวเงีย ไปอาบน้ำ เช็คเอาท์ แล้วแบกกระเป้ไปกินแต้เตี้ยมร้านเดิม แล้วก็เดินไปบริษัทรถตู้ที่จองไว้ตามแผนที่ที่นำมาจาก Google Map คิดว่าแผนที่ละเอียดแล้ว แต่เราก็ยังหาไม่เจอ ไปๆ มาๆ บริษัทอยู่ตรงข้ามโรงแรมอโลฮ่าเลยค่ะ

ค่ารถตู้รวม 750 บาท ไปกลับและรับส่งที่โรงแรม แต่เนื่องจากโรงแรมกับบริษัทเค เอส ที ทราเวลนั้นไม่ไกลกัน เราก็เลยเดินไปที่บริษัทดีกว่า ไม่ต้องนั่งรอให้รถตู้มารับ









"ก็เวลามันไม่เคยคอยใคร มัวกังวลมันจะช่วยอะไร หากไม่ทำมันในวันนี้ ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานเพื่ออะไร" เพิ่งถึงปีนัง รถตู้โดยสารจากหาดใหญ่ส่งถึงโรงแรม Tune ห้องเล็กๆ แต่มีเกือบครบ ไม่มีทีวี ตู้เย็น น้ำต้องซื้อเอง ใต้ตึกมีเซเว่น
วันนี้ทั้งวันใช้เวลากับการเดินทาง

8.30 น. ไปนั่งรอรถตู้ 9.30 น. ล้อหมุน แวะรับผู้โดยสารอีกประปราย ถึงหน้าโรงแรมที่ปีนัง 14.15 เวลาไทย ส่วนเวลามาเลย์บวกไปอีกหนึ่งชั่วโมง เก็บของแล้วจะไปกินข้าวเที่ยงร้าน Old Town ที่อยู่ติดกัน
ต่อไปก็เที่ยวตามแพลน ที่ส่วนใหญ่ลอกมาจากรีวิวน้องแอน
.... ทริปตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง
ถ้ามัวแต่กลัวก็คงไม่ต้องไปไหน

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]



ถึงโรงแรม Tune Downtown Penang แล้วจ้า





เก็บของ พักผ่อนสักหน่อยก็ออกไปกินอาหารรองท้องที่ร้าน Old Town White Coffee ก่อนออกเที่ยว แน่นอนว่าอาหารที่สั่งต้องเป็น Asam Laksa อยากกิน

จากนั้นก็เดินไปตึกคอมตาร์ ไปที่ป้ายรถเมล์ เพื่อเดินทางไป Gurney Drive ซึ่งเป็นแหล่งรวมอาหารราคาประหยัด ขายริมทะเลตอนเย็นๆ ถึงตอนค่ำ ตามรีวิวคุณแอนค่ะ












จากตึก KOMTAR นั่งรถเมล์สาย 103 ค่ารถ 1.40 RM ไป Gurney Drive ดงอาหารริมทะเลยามเย็น ขากลับนั่งสาย 102 ลงหน้า KOMTAR แล้วเดินกลับโรงแรม มีหน้าแตก ทำเงินตก คุณยายเก็บได้ มีเถียงคุณยายว่าไม่ใช่เงินตัวเอง สุดท้ายก็ใช่ ลงรถที่ Gerney Drive ผิดป้าย แต่ ได้เดินชมวิวเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ถือว่า ภารกิจสำเร็จตามแผน ตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ฟ้าแลบเสียงดังสนั่นกันเลย โชคดีที่กลับมาทันไม่งั้นเปียก

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]







วันที่สาม : ปีนังฮิลล์ – Made in Penang Interactive Museum - Hop-on Hop-off Penang


อาหารเช้าที่ร้านอาหารติดกับโรงแรม ข้าวมันไก่อร่อยม๊ากกก








ปีนังฮิลล์ : ทริปตะลุยเดี่ยวเที่ยวปีนัง ส่วนใหญ่จะถ่ายภาพทิวทัศน์ และมีเซลฟี่บ้างประปราย นานๆ ทีถึงจะกล้าไหว้วานให้คนอื่นที่ผ่านมา ช่วยถ่ายภาพให้ แต่ภาพที่ได้ก็ไม่ค่อยได้อย่างใจนัก อย่างเช่นภาพนี้ คนถ่ายได้ฝากนิ้วมือไว้เป็นที่ระลึกให้ด้วย (คือว่า เขาช่วยถ่ายให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว)
ปีนังฮิลล์วันนี้ฝนตกพรำๆ ผู้คนมาเยอะแยะ รอคิวซื้อตั๋วนานมาก นั่งรถเมล์ 204 ไปสุดสายตามโพย ขากลับนั่งสายเดิมไปลงอู่ Jetty

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]





















Made in Penang Interactive Museum : ปีนังมีพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ชื่อ Made in Penang Interactive Museum ประมาณพิพิธภัณฑ์ภาพสามมิติ บอกเรื่องราวของปีนัง อยู่เยื้องๆกับท่าเรือ Jettyและ ท่าเรือครุยส์ เรานั่งรถเมล์ไป Jettyแล้วเดินไปนิดเดียว. ด้อมๆ มองๆ แล้วตัดใจไม่เข้า เพราะอนาถตัวเอง หากจะเข้าพิพิธภัณฑ์ที่เน้นถ่ายรูปกันสนุกสนานเฮฮาสวยงาม แล้วตัวเองทำได้แค่เซลฟี่ตัวคนเดียวก็กระไรอยู่ อายเค้า

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]









Hop-on Hop-off Penang : ตอนบ่ายวันนี้ ขากลับจากปีนังฮิลล์ นั่งรถไปลงท่าเรือ Jetty เพื่อจะต่อรถเมล์ไปชายหาดบาตูเฟอริงกิ ตามแพลนเดิม พอมาถึง Jetty ปรากฏว่าฝนตก เลยเปลี่ยนใจไม่ไปชายหาดแล้ว รอฝนเบาๆลง ถึงเดินออกมา เดินผ่าน Made in Penang ก่อนแบบไม่ตั้งใจ. โชคดีีตาไว ได้เห็นป้ายข้างทางโฆษณาว่าช่วงโปรโมชั่นเปิดตัวใหม่ นั่งรถ Hop-on ฟรีจนถึง 23 พ.ย. เลยเดินย้อนกลับไปป้ายรถHop-on ตรงข้าม Jetty ได้ชมเมืองสมใจ ตอนนั้นยังไม่รู้เส้นทาง

รถแน่นมาก ยืนจนเมื่อย เส้นทางผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญ ไม่อยากลงรถ อาศัยชมเมืองแบบชะโงกทัวร์ไปก่อน พอถึง Gurney drive รถพาไปสวนพฤกษศาสตร์ แล้วก็พาไปปีนังฮิลล์อีกแล้ว .....ไม่นะ อะฮือๆ. จากนั้น รถวนผ่านโน่นนี่ไปถึงคอมตาร์ Little India และที่ต่างๆ สุดท้ายเราไปลง Gurney drive เพื่อกินข้าวเย็นแล้วค่อยนั่งรถเมล์กลับคอมตาร์ ฝนตกอีกแล้ว ยอมเดินตากฝนกลับโรงแรม

[สเตตัสในเฟซบุ๊ค]















สามารถคลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขยายได้


.... โปรดติดตามตอนที่ 2 เร็วๆนี้ นะคะ ....

ในตอนที่ 2 จะพาไปเที่ยวชายหาด Batu Feringgi - Floating Mosque – เดินชมเมืองย่านมรดกโลกของเมืองจอร์จทาวน์ ปีนัง และสรุปแผนการเดินทางที่ทำไว้คร่าวๆ ก่อนเดินทางค่ะ

ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะคะ หวังว่าข้อมูลจากรีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์แก่คุณผู้อ่านบ้าง


ติดตามรีวิวมาใหม่ได้ที่เฟซบุ๊ค “ท่องเที่ยวไป by ชมจันทร์”
//www.facebook.com/moonwatcherBP




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2557    
Last Update : 23 ธันวาคม 2557 16:32:55 น.
Counter : 22493 Pageviews.  

Family Trip แบกเป้เที่ยวมะละกาด้วยตัวเอง

กว่าจะมาเป็นทริปเที่ยวมะละกาในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ก็แสนจะทุลักทุเลและมีลุ้นเป็นระยะ เริ่มแรกนั้น เราจองโรงแรมด้วยโปรโมชั่นจองโรงแรมของเว็บไซต์หนึ่งไปพักแถวปราณบุรีในช่วงวันหยุดปิยมหาราช แต่ไปๆ มา ๆ ถูกยกเลิกยกแผง

หลังจากนั้นก็มีโปรส่วนลดโรงแรมของ Hotels.com มาปลอบใจ ไม่รู้จะจองที่ไหนดี ด้วยความที่ยังมีเงินริงกิตเหลืออยู่จำนวนมาก น่าจะจัดทริปพาครอบครัวไปเที่ยวมะละกากันดีกว่า จึงใช้โปร Hotels จองโรงแรมมะละกา 2 คืน และกัวลาลัมเปอร์ 2 คืน เผื่อเอาไว้

เมื่อได้ที่พักราคาถูกแสนถูกแล้ว ก็มาลุ้นโปรตั๋วเครื่องบินของแอร์เอเชีย ในที่สุดก็ได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ดอนเมือง – กัวลาลัมเปอร์ ในราคาไปกลับประมาณคนละ 2,600 บาท ก็แพงกว่าตั๋วที่ได้ช่วงหยุดยาวเดือนกรกฎาคม 2557 ซึ่งตอนนั้นได้ไปกลับคนละพันเจ็ดเอง แต่ก็จวนได้เวลา และคงไม่สามารถหาตั๋วได้ถูกกว่านี้อีกแล้วก็เลยจอง ๆ ไป


ในส่วนของการแพลนทริป ตอนแรกกะว่า จะเดินทางจากสนามบิน KLIA2 ไปมะละกา พักมะละกา 2 คืน และค่อยมาพักกัวลาลัมเปอร์ 1 คืน พอหาข้อมูลที่เที่ยวมะละกาแล้ว รู้สึกว่า เวลาตามแพลนแรกคงไมพอ เลยเปลี่ยนใจพักมะละกา 3 คืนรวดเลยดีกว่า ก็ยกเลิกโรงแรมกัวลาลัมเปอร์ที่จะไม่ได้ไปพัก แล้วจองที่พักมะละกาเพิ่มอีก 1 คืน รวมค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักตกประมาณคนละสามพันบาท กะว่าเดินย่ำเท้าเที่ยวกันไป สะพายเป้คนละใบ ไปเดินเที่ยวกันเอง แบบไม่ง้อทัวร์






โปรแกรมเที่ยวมะละกา 4 วัน 3 คืน ได้วางแผนเที่ยวตามนี้


พฤหัสบดี 23 ตุลาคม 2557

Airasia สนามบินดอนเมืองไปสนามบิน KLIA2 เที่ยวบิน DMK 12:00 AM - KUL 15:10 AM
Bus สนามบิน KLIA2 ไปมะละกา
Taxi มะลากาเซ็นทรัล ไปโรงแรม


ศุกร์ 24 ตุลาคม 2014

เช้า หอคอยตามิงซารี และ Malacca Duck Tours
บ่าย เดินชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น Melaka Sultanate Palace และอื่นๆ
เย็น + ค่ำ นั่งเรือชมแม่น้ำมะละกา Melaka River Cruise


เสาร์ 25 ตุลาคม 2557

เช้า – บ่ายพิพิธภัณฑ์เรือสำเภา Maritime Museum I, II และพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ชมเมือง นั่งร้านกาแฟ
เย็น + ค่ำ Jonker Street

อาทิตย์ 26 ตุลาคม 2557

Check Out 7.00 AM Hotel » Mahkota Medical Centre » KLIA2
เที่ยวบิน KUL 15:35 AM - DMK 16:45 AM



มะละกาเป็นเมืองมรดกโลกเล็กๆ ที่หลายๆ คนบอกว่าถ้ายังไม่ได้มาเมืองนี้ถือว่ายังมาไม่ถึงมาเลเซีย เป็นเมืองสไตล์ ชิโน-โปรตุกีสเช่นเดียวกับปีนัง เมืองนี้ผ่านประวัติศาสตร์มากมายตั้งแต่ยุคสุลต่าน โปรตุเกสปกครอง ฮอลันดาปกครอง อังกฤษปกครอง จนมาถึงยุคประกาศเอกราช

"แม่ เกาลัดอยากไปเที่ยวแล้ว เกาลัดอยากให้ถึงวันเดินทางเร็วๆ" เกาลัดบอก
"แม่ก็อยากไปเหมือนกันลูกเอ๊ย แม่แทบจะรอไม่ไหวแล้ว" แม่ลูกพอๆ กัน

ทริปนี้แม่ลูกรู้สึกกระวนกระวายอยากไปเที่ยว เพราะว่าว่างเว้นจากการเที่ยวกับครอบครัวมานานพักใหญ่แล้ว เกาลัดถึงขนาดออกปากถามอยู่หลายครั้งว่าเมื่อไหร่จะได้ไป อยากไปเที่ยวไวๆ ส่วนพ่อนั้นก็ดูเฉยๆ นะ ประมาณว่าแม่ลูกอยากไปไหนก็ไปด้วยละกัน ^^

ในเรื่องของข้อมูลนั้น ในอินเทอร์เน็ตมีให้อ่านเยอะแยะ ทั้งรีวิว และข้อมูลดิบ แต่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเราที่สุดในการวางแผนเที่ยวคือแผนที่จากเว็บไซต์ Melaka Duck Tour
//www.melakaducktours.com.my/journey.html [คลิกลิงค์] ทำให้เราได้เห็นภาพรวมของการเดินเที่ยวชมเมืองมะลากามากขึ้น
และมั่นใจว่าการเที่ยวครั้งนี้ง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เพราะสามารถเดินเที่ยวไปกลับจากโรงแรมที่พักได้สบายๆ ไม่เหนื่อยมาก เพราะว่าที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็จะอยู่ใกล้ๆ กัน

ก่อนเดินทางควรเข้าไปศึกษาแผนที่นี้ล่วงหน้าและ Print เตรียมไว้

จัดข้าวของพร้อมเดินทาง




ซ้ายเป้ลูก ขวาเป้แม่ ส่วนพ่อ เพิ่งมาจัดเป้ในตอนเช้าของวันเดินทาง ใจเย็นมาก




เงินริงกิตที่เหลือจากทริปที่แล้ว





วันแรก
วันเดินทาง



การเดินทางจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองสบายๆ ไม่เร่งรีบมาก เพราะว่าบินไฟลท์เที่ยง จริงๆ อยากบินสักสิบโมงเช้า แต่ว่าราคาสูงกว่า จึงเลือกไฟลท์ที่มีโปรถูกสุด ไปก่อนเวลาตั้งนาน จึงได้นั่ง ๆ นอน ๆ เกาลัดก็นั่งเฝ้าปลั๊กชาร์ตแบตแท็บเล็ตไป เล่นโน่นนี่ไปตามเรื่องตามราวในช่วงรอเดินทาง


















การเดินทางจากสนามบิน KLIA2 ไปมะละกา


ไปถึงสนามบิน KLIA2 ก็บ่ายสามกว่าแล้ว สำหรับข้อมูลรถบัสที่เดินทางจากสนามบิน KLIA2 มุ่งหน้าไปมะละกา เราอ่านข้อมูลมาจากเว็บไซต์ //www.klia2.info/buses/bus-stop/malacca คลิกที่นี่

ที่จริงตารางรถจะถี่กว่านี้อีกค่ะ เพราะนอกจากรถของบริษัท Transnasional ยังมีอีกเจ้าคือ Star Mart Express ที่เบาะใหญ่นั่งสบายกว่ากันด้วย แต่ราคาแพงกว่า Transnasional เป็นรถ VIP ซื้อจากที่ขายตั๋วช่องเดียวกันที่ช่องขายตั๋วรถบัส ชั้น 1 ในสนามบิน KLIA2 ไม่ต้องกังวลเรื่องรถบัส เพราะมีตลอดถี่มาก ประมาณทุกหนึ่งชั่วโมง จากเช้าๆ ถึงดึก ๆ


สามารถคลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยายชัดๆ ได้ค่ะ








เมื่อเราเดินออกจากช่องทางออกของผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบิน ก็มองหาป้ายบอกทางไปรถบัสเอาไว้ แล้วก็เดินตามป้ายไปเรื่อย ๆช่องจำหน่ายตั๋วรถบัส อยู่ที่ชั้น 1 ของสนามบินนั่นแหละค่ะ หาไม่ยาก

รถจากสนามบินไปมะละกาที่เราแพลนไว้ตอนแรกก็คือ จะนั่งรถบริษัท Transnasional รอบ 16.45 น. ไปลงที่ Mahkota medical Center เพื่อที่ลงรถแล้วจะเดินไปโรงแรมได้เลย

แต่ว่าด้วยความที่รีบไปซื้อตั๋วเร็วไปหน่อย ก็เลยได้ รถของบริษัท Star Mart Express เวลา 15.45 น. ไปลง Melaka Sentral ราคาผู้ใหญ่ คนละ 35 ริงกิต เด็กชายเกาลัดได้ส่วนลดนิดหน่อย แบบว่าซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถเลย กระหืดกระหอบเข้าห้องน้ำ แล้วรีบร้อนไปที่รถแทบไม่ทัน ชานชลาที่ขึ้นรถก็จะอยู่ที่ประตูด้านหลังที่ขายตั๋ว เราไปขึ้นรถที่ช่อง A1 ค่ะ














รถบัส Star Mart Express สภาพใหม่ เบาะกว้าง นั่งสบาย และนวดได้ด้วย นั่งรถไป ก็หิวข้าวกันไป เพราะทีแรกกะว่าซื้อตั๋วแล้วค่อยเดินไปกินข้าวก่อนขึ้นรถ ปรากฏว่าผิดแผน เลยไม่ได้ซื้ออะไรกินรองท้อง ความจริงแล้วก็น่าจะซื้อขนมปังตุนเผื่อไว้ใส่เป้ไว้ก่อนเดินทางก็ดี เผื่อหิวๆ จะได้รีบๆ กินรองท้องไปก่อน





เราใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่งในการนั่งทนหิว ก็ถึงสถานีขนส่ง Melaka Sentral ก่อนอื่น เดินหาข้าวกินกันก่อน ไปเจอร้านหนึ่งดูสะอาด และอาหารก็น่ากิน เลยไปลองชิมดู อาหารอร่อยและราคาไม่แพงเลยค่ะ














หายหิวแล้ว ก็ไปเดินหาซื้อตั๋วขากลับสนามบินเผื่อไว้เลย ตามแพลน คือ จะซื้อตั๋วรถบริษัท Transnasional รอบ 8.00 น. ขึ้นรถจาก Mahkota Medical Centre มุ่งหน้าไปที่สนามบิน KLIA2 ราคาตั๋วของบริษัทนี้ถูกกว่ากันได้อีก เพราะเบาะเล็กกว่า ที่นั่งในรถเยอะกว่า แต่ก็ใหม่และนั่งสบาย ๆ


ช่องขายตั๋วรถบริษัท Transnasional ที่ Melaka Sentral




ได้ตั๋วมาแล้ว





ช่องขายตั๋วรถ Star Mart Express








การเดินทางจาก Melaka Sentral ไปโรงแรม


การเดินทางจาก Melaka Sentral ไปโรงแรม ที่เคยอ่านมา เราสามารถนั่งรถเมล์ ราคา 1 ริงกิต ไปลงที่จตุรัสดัชท์ หรือจตุรัสแดง หรือมะละกาสแควร์ แล้วแต่จะเรียก แล้วเดินไปโรงแรม แต่ด้วยความที่ใกล้ค่ำ อีกทั้งเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง จึงเลือกเหมาแท็กซี่ไป ในราคา 25 ริงกิต ก็ประมาณ 250 บาท ดูจาก Google Map แล้ว โรงแรมกับ Melaka Sentral ห่างกัน ประมาณ 5 กิโลเมตร

นั่งรถแท็กซี่ผ่านสถานที่ต่างๆ ลุงคนขับแท็กซี่ก็แสนจะใจดี ชี้ชวนให้ดูโน่นนี่นั่น อ้อ.. เราผ่านร้านขายปูชื่อร้าน Lee ใกล้โรงแรม Radison ด้วย (อยากกินมาก) พอขับผ่านพิพิธภัณฑ์เรือสำเภา และพิพิธภัณฑ์นาวิกโยธินที่อยู่เยื้องๆ กัน เกาลัดบอกว่าอยากไปๆ แม่บอกได้ไปแน่นอนลูก พิพิธภัณฑ์นี้อยู่ในแพลนแล้ว


โรงแรม Syaz Meridien


พ่อแม่ลูกไปถึงโรงแรม Syaz Meridien ตอนทุ่มกว่าๆ ที่นี่เป็นโรงแรมดีระดับสามดาว ที่อาคาร G-26, Jalan (ถนน) PM 13, Plaza Mahkota มีลิฟท์ ปุ่มกดเลือกชั้นในลิฟท์มีสามชั้น โรงแรมอยู่บนถนนเลียบชายฝั่งทะเล ตรงปากแม่น้ำมะละกา ใกล้ที่เที่ยว ที่ช้อปปิ้ง ที่กิน ก็โอเคแล้ว เห็นสภาพตึกรามบ้านช่องแล้วก็น่าสนใจ พรุ่งนี้ลุย เต็มที่

โรงแรมที่เราพักอยู่ในดงโรงแรมที่พักราคาประหยัด ในดงมุสลิม และอาหารแนวแขกๆ แต่ก็ใกล้ Holiday Inn นิดเดียวแบบเดินไปหากันได้




อ่านรีวิวโรงแรม Syaz Meridien เพิ่มเติมที่ bloggang ชมจันทร์ หมวดโรงแรมที่พักต่างแดน //www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonwatcher&month=28-10-2014&group=15&gblog=11 คลิกที่นี่


โรงแรมที่เราพัก อยู่ย่านมุสลิม ไปไหนมาไหนก็เจอคนแขก เจอร้านอาหารแนวแขก ๆ แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะเลือกพักย่านคนจีนแนวชิโน-โปรตุกีส Baba - Nyonya ซึ่งใกล้กับถนนคนเดิน และสามารถเดินไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ได้สะดวกเช่นกัน ซึ่งอาหารย่านนั้นก็จะคุ้นลิ้นคนไทยมากกว่าย่านที่เราพัก และผู้คนละแวกนั้นก็จะดูน่าคุ้นเคยมากกว่าย่านที่เราพักเช่นกัน โรงแรมเราพักนอกจากครอบครัวเราที่เป็นคนไทยแล้ว เห็นแต่ชาวต่างชาติผมสีทอง และคนมาเลย์มาพักกัน

สำหรับเรานั้นเรากลับรู้สึกว่าคนมุสลิมที่เราเจอตามสถานที่ต่าง ๆ ในทริปนี้ล้วนแต่ใจดีและเป็นมิตรกับเรามาก ๆ และอาหารแนวแขกๆ ก็อร่อย กินได้หมด ไม่ว่าจะแนวไหน


จากโรงแรม ข้ามถนน เดินเข้าซอยอีกนิดก็จะเห็นหอคอยตามิงซารียามค่ำ อยู่ไม่ไกลกันเลย หอคอยนี้ลงมารับนักท่องเที่ยว แล้วพาไต่เลื่อนขึ้นไปจนถึงยอด จากนั้นหอคอยก็จะหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมทิวทัศน์





หน้าหอคอยก็จะเป็นจุดขายตั๋วและรับส่ง Duck Tour จากนั้นไปกินข้าวแถวๆ ตลาดขายของที่ระลึกและเป็นโต้รุ่งด้วย และซื้อของกินในเซเว่น กลับเข้าห้องพัก ที่ชอบสุดก็น้ำมะม่วงในเซเว่น


มื้อกลางวัน ได้ฝากท้องไว้กับร้านอาหารที่โต้รุ่งฝั่งตรงข้ามหอคอยตามิงซารี ถัดจากโต้รุ่งไปจะเป็นห้าง Mahkota Parade Shopping Complex ในห้างมีร้านอาหารที่คุ้นเคยหลายร้านรวมทั้งร้านโอลด์ทาวน์










ข้อมูลสถานที่สำคัญใกล้โรงแรม :


- หอคอยตามิงซารี Menara Taming Sari (0.4 กม. / เดิน 5 นาที)
- Maritime Museum : พิพิธภัณฑ์เรือสำเภา เป็นเรือที่จำลองมาจากเรือสำเภาฟลอเดอรามาร์ (Flor de lama) เป็นเรือของโปรตุเกส ในสมัยที่มะละกาอยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส เรือลำนี้ได้ขนสมบัติจากวังสุลต่านมะละกาไปเต็มพิกัด หลังจากที่เรือออกจากมะละกา ได้แล่นออกไปทางเกาะสุมาตราตอนเหนือและได้ล่มลงที่นั่น (0.5 กม. / เดิน 6 นาที)
- Mahkota Parade Shopping Complex (0.5 กม. / เดิน 6 นาที)
- Melaka Duck Boat / Malacca Duck Tours (ด้านหน้าหอคอยตามิงซารี เดินไปได้)
- Melaka River Cruise ล่องเรือชมทัศนียภาพ 2 ฝั่งแม่น้ำแห่งมะละกา
- ถนนคนเดิน Jonker Walk เป็นถนนคนเดินในเมืองมะละกา มีเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ มีของกิน ของฝากขายหลายอย่าง 2 ข้างทางของถนนยองเกอร์เป็นบ้านเรือนเก่า รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบชิโน – โปรตุเกส คล้ายกับที่ภูเก็ต ประเทศไทย การเดินทางมาถนนคนเดินยองเกอร์ ให้เริ่มต้นที่ Dutch square หันหลังให้โบสถ์คริสต์ เดินข้ามถนนผ่านวงเวียนตรงไปอย่างเดียว
- พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ในมะละกา เช่น Democratic Governmnet Museum , Governors Museum, Melaka Sultanate Palace,Melaka Islamic Museum,History & Ethnography Museum,Maritime Museum Phase I (Flor De Lamar), Maritime Museum Phase 2, Royal Malaysian Navy Museum, Malaysian Youth Museum, Literature Museum, Peoples Museum,Enduring Beauty Museum, Kites Museum


วันที่สอง
หอคอยตามิงซารี วังสุลต่าน และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ



มื้อเช้ากินข้าวแกงตรงข้ามหอคอยตามิงซารี ข้าวแกงที่นี่ต้องตักเอง ตั้งแต่ตักข้าง ตักอาหาร สั่งน้ำดื่ม แล้วทางร้านก็จะเดินไปคิดเงินที่โต๊ะ แตกต่างจากบ้านเราที่จะต้องให้ทางร้านตักให้

เราสามคนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก น้องเจ้าหน้าที่ของร้านก็ต้องมาสอนว่าจะต้องทำอย่างไร ข้าวแกงที่นี่ราคาประมาณ 5 ริงกิต (50 บาท)ขึ้นไป แล้วแต่จะเลือกกับข้าวแบบไหน ส่วนน้ำเปล่าก็จะราคา 1 ริงกิต (10 บาท) ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับร้านจะตั้งราคา

วันนึ้เริ่มต้นเที่ยวจาก Duck Tour รถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกพาชมเมืองและลงทะเล แต่ว่าพอเดินไปถึงที่ขายตั๋วเจอป้ายติดไว้ว่าปิดปรับปรุง 23 -27 ต.ค. ก็เลยอด










ไปต่อแถวขึ้นหอคอยตามิงซารี เป็นความอลังการทางสายตา ได้เห็นภาพมุมสูงของเมืองครบถ้วน ก็พอจะปะติดปะต่อเห็นภาพเส้นทางที่จะเดินเที่ยวชัดเจนขึ้น





















ทิวทัศน์จากด้านบนหอคอย










แล้วก็เดินไปวังสุลต่านแห่งมะละกา (Melaka Sultanate Palace หรือ Istana Kesultanan Melaka) ระหว่างทางก็แวะดูตึกเก่า สามล้อ ป้อมปราการ

















ป้อมประตูซานติเอโก (Porta De Santiago)











วังสุลต่านแห่งมะละกา











พาเด็กเที่ยวต้องมีกิจกรรมให้เด็กทำ เด็กจะได้ไม่เบื่อ ข้อดีของการเดินเที่ยวย่านมรดกโลกของมะละกาคือสถานที่แต่ละแห่งใกล้กัน และพิพิธภัณฑ์มีความหลากหลายให้เลือกชม วันนี้เกาลัดเที่ยวได้อย่างอดทนขึ้นแบบเด็กโต และไปสั่งอาหารให้พ่อแม่ ซื้อตั๋ว พร้อมทั้งจ่ายเงินได้แล้ว ทำอะไรได้อย่างมั่นใจไม่กลัว


เดินชมวังเสร็จ ข้ามถนนไปกินข้าวกลางวันที่ร้าน Old Town White Coffee ในห้าง Mahkota Parade





ได้กินอาหารโปรดที่รอคอยแล้ว มันคือ Asam Laksa ถ้าจะให้อธิบายก็เหมือนต้มยำปลากระป๋องครบเครื่องกับเส้นเกี๊ยมอี๋ แล้วก็สั่ง Panmee. Kaya Toast. Tuna Toast ชากาแฟมาด้วย. ส่วนขนมหวานก็ต้องเป็น OLDTOWN Ice Kacang มาเที่ยวมาเลย์ สิงคโปร์ก็ไม่ควรพลาดร้านโอลด์ทาวน์สินะ


บ่ายๆ เดินไปชมพิพิธภัณฑ์อื่นต่อก็คือ Peoples Museum Enduring Beauty Museum Kites Museum ARCHITECTURAL MUSEUM OF MALAYSIA IN MELAKA ซึ่งก็น่าชม จัดแสดงได้น่าสนใจ


Peoples Museum Enduring Beauty Museum Kites Museum ทั้งสามพิพิธภัณฑ์อยู่ในตึกเดียวกัน



เกาลัดรับหน้าที่ไปซื้อตั๋ว

































การเข้าชม Enduring Beauty Museum ทำให้เกาลัดพบกับนิยามของความงามใหม่ที่แตกต่างกันในแต่ละเชื้อชาติชนเผ่า เช่น ชาวปะหล่องที่นิยมใส่วงแหวนรอบคอซ้อนๆ กันคนคอยาว บางเชื้อชาตินิยมสักทั้งตัว บางเผ่าเหลาฟันให้แหลม ผู้หญิงจีนยุคก่อนนิยมรัดเท้าให้เล็ก บางเผ่าใส่ตุ้มหูหนักๆ ถ่วงๆ หลายอัน สิ่งเหล่านี้ ทำให้เห็นความหลากหลายของความเชื่อ และความงาม


ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ว่าว ได้เห็นวัสดุต่างๆ ที่ใช้ทำว่าง ว่างแบบต่างๆ ของมาเลเซีย และชาติอื่นๆ รวมทั้งว่าวไทย การละเล่นพื้นบ้าน เช่นตะกร้อ ลูกข่าง และอื่นๆ


ARCHITECTURAL MUSEUM OF MALAYSIA IN MELAKA
ช่วงนี้เข้าชมฟรี เกาลัดเหนื่อยแล้ว ขอนั่งรอ พ่อกับแม่เดินเข้าชมพิพิธภัณฑ์น่าสนใจตรงที่เป็นแหล่งรวมรวมความรู้ด้านสถาปัตยกรรมของมาเลเซีย ตั้งแต่ดั้งเดิมจนถึงปัจจุบันที่ทันสมัยมากมาย พร้อมทั้งนำเสนอแนะคิดในการออกแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ มีโมเดลตัวอย่างให้ดูชม







เดินชมเมืองต่อ ระหว่างทาง เข้าไปขอแผนที่มะละกาฟรีที่สำนักงานการท่องเที่ยวมาเลเซียซึ่งอยู่ตรงสะพานที่ข้างจากดัทช์ สแควร์ไปถนน Jonker เพราะเดินผ่านพอดี











ปิดท้ายวันนี้ด้วยการนั่งเรือล่องแม่น้ำมะละกา วันนี้ ไปไหนก็เห็นแต่ธงชาติมาเลเซียประดับตามสถานที่ต่างๆ


ตอนนั่งเรือชมเมือง เห็นธงชาติที่สะพาน ก็ชี้ให้เกาลัดดู และถามว่าเกาลัดจำธงชาติมาเลเซียได้หรือยัง เกาลัดบอก โธ่.. จำได้แล้ว นี่ไง ว่าแล้วเกาลัดก็ชี้มือไปที่เพดานเรือ แม่แหงนหน้ามองตามเห็นธงเล็กๆ แขวนบนราวเต็มเพดานไปหมด 5555


Melaka River Cruise
จุดจำหน่ายตั๋วและขึ้นลงเรืออยู่ด้านหลัง Maritime Museum หรือพิพิธภัณฑ์เรือสำเภา/พิพิธภัณฑ์เรือเดินสมุทร




















สามคนพ่อแม่ลูกเดินโต๋เต๋เดินกลับมาพักที่โรงแรมประมาณบ่ายห้าโมงครึ่ง อาบน้ำล้างตัวคลายร้อยเหนียวเหนอะหนะ แล้วเดินออกไปเดินกินข้าวมื้อค่ำ

อาหารมื้อค่ำวันนี้ก็ทุลักทุเลอีกนั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะไรเป็นอะไรสั่งมั่วๆ ไป เพราะว่ารายการอาหารนั้นเป็นภาษามาเลย์ คุณลุงที่มารับออเดอร์ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่อาหารที่ได้ก็อร่อยทุกอย่าง ราคาอาหารวมน้ำชา กาแฟ ไมโล มื้อนี้ 25 ริงกิต









วันที่สาม
Maritime Museum Royal Malaysian Navy Museum Jonker Walk



ช่วงเช้าของวันที่สามที่มะละกา เราพากันเดินเลียบปากแม่น้ำมะละกาที่ไหลลงทะเลตรงหน้าเห็น ๆ





ไปกินอาหารเช้า ที่ร้านข้าวแกง ในตึกพลาซ่าขายของที่ระลึก ฝั่งตรงข้าม Maritime Museum ร้านนี้ก็ต้องตักอาหารเอง แล้วแม่ค้าจะไปคิดเงินที่โต๊ะ มื้อนี้ 24 ริงกิต



จากนั้นเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์เรือเดินสมุทร และพิพิธภัณฑ์นาวิกโยธิน หรือ Royal Malaysian Navy Museum ที่เกาลัดเอ่ยปากบอกอยากดูมาสองวันแล้ว วันนี้ก็เลยเข้าไปชมสมใจ


พิพิธภัณฑ์เรือเดินสมุทร (เรือสำเภา)
พิพิธภัณฑ์คล้าย ๆ แบบนี้ที่ประเทศไทย ที่เคยเห็นมา
ก็จะมี พิพิธภัณฑ์พาณิชย์นาวี จ. จันทบุรี และ พิพิธภัณฑ์เหมืองแร่ จ.ภูเก็ต รายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างกันไป


















อีกตึกหนึ่งใกล้ๆ กันใช้ตั๋วด้วยกัน
















Royal Malaysian Navy Museum ที่อยู่เยื้องกัน ก็ใช้ตั๋วชุดเดียวกันที่ซื้อตอนเข้าเรือสำเภา ไม่ต้องซื้อเพิ่ม




















จากนั้นเดินไปหอนาฬิกา โบสถ์ดัทช์ เดินขึ้นเขาไปชมวิว แล้วข้ามสะพานมาย่านไชน่าทาวน์ เดินไม่เหนื่อย แต่อากาศร้อนมาก ต้องพักกินไอติมคลายร้อน และนั่งพักเหนื่อยสักหน่อย


จตุรัสดัทช์










ย่านไชน่าทาวน์








หลังจากเดินเที่ยวก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเข้ามาดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ในร้านกาแฟติดแอร์ พร้อมกับเล่นไวไฟไปพลางๆ แล้วค่อยออกเดินหาข้าวกลางวันกิน และชมเมืองฝั่งไชน่าทาวน์


ร้านค้าดังๆ ก็จะมีคนต่อแถวยาวๆ รอชิมอย่างนี้







พ่อแม่ลูกเดินไป แวะชิมไปเรื่อย ๆ






















มื้อกลางวัน ที่ร้าน Mamee
อร่อยทุกอย่างอีกแล้ว ทริปนี้กินอะไรก็อร่อย









แวะนวดเท้าคนละชั่วโมง ราคา 38 ริงกิต
จากนั้นก็เดินและชิมต่อ


ตังเมทำใหม่ๆ ร้อนๆ








ชิมไอศครีมทุเรียน วาฟเฟิล พัฟทุเรียนไอศครีมทุเรียนปอเป๊ยะ











เดินชมเมืองไปตามถนนย่านนั้น ลัดเลาะถนนรวม 3 สาย จะเห็นตลาดเก่า ชุมชน บ้านเรือน ศาสนสถานสำคัญ
































ตอนค่ำจะมีถนนคนเดิน แต่เราอยู่ถึงช่วงเย็น ๆ เมื่อพ่อค้าแม่ค้ามาเริ่มตั้งโต๊ะที่ถนนคนเดินก็พากับเดินกลับโรงแรม

ความสุขและรอยยิ้มของเกาลัดมันช่างล้นเหลือ และส่งต่อให้พ่อแม่ยิ้ม และหัวเราะตามเกาลัดด้วย

เดินข้ามสะพานผ่านดัชท์สแควร์ พิพิธภัณฑ์เรือสำเภอ กลับโรงแรมไม่ไกลมาก

เราสอนลูกว่าคนที่เชื้อชาติ ศาสนา รุปร่างหน้าตา ผิวพรรณ และเพศ ที่แตกต่างจากเรา มีความเป็นมนุษย์เท่ากันเรา ฉะนั้น เราจึงควรให้เกียรติเขาอย่างที่มนุษย์พึงจะให้เกียรติและยอมรับความแตกต่างของกันและกัน อย่างที่เราได้พบว่า คนมาเลย์ นั้นตัวดำ แต่ใจดีและเอื้อเฟื้อกับครอบครัวเรา







อาหารมื้อค่ำวันนี้ ไปกินร้านเดิมของเมื่อวาน รายการอาหารนั้นเป็นภาษามาเลย์ แต่เริ่มจับหลักได้แล้ว เราสั่งก๋วยเตี๋ยวมาสามอย่างก้ได้แบบนี้มา อร่อยใช้ได้ทุกอย่าง ราคาอาหารและเครื่องดื่มมื้อนี้ 20 ริงกิต



วันที่สี่
วันสุดท้ายปิดทริป เดินทางกลับบ้าน



เช็คเอาท์ 7.00 น. แล้วเดินไปรอรถบัสบริษัท Transnasional รอบ 8.00 น. ที่ป้ายรถเมล์ข้าง Mahkota Medical Centre ตรงข้ามห้าง Parkson เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปที่สนามบิน เราสามคนพ่อแม่ลูก เดินๆ เล่นๆ ไปประมาณ 10 – 15 นาทีก็ถึงแล้ว








ถึงสนามบินมุ่งหน้าสู่ร้าน Own Town White Coffee กินอาหารมื้อสาย





ส่วนมื้อเที่ยง เลือกชิมร้านนี้ อาหารอร่อยมากๆ




















รอเดินทางกลับบ้าน จะไปไหนใกล้ไกลเราก็พก Paradox ไปด้วย เพราะเราเป็นแม่ยก (ป้ายก) ลูกยก ที่ต้องฟังเพลง dox ทุกวัน ค่าใช้จ่ายทริปนี้ ตั๋วเครื่องบินและที่พักสามคืนคนละประมาณสามพันบาทนิดๆ ค่ากินเที่ยวคนละสามพันบาทนิดๆ รวมแล้วประมาณหกพันกว่าบาทต่อคน





มะละกา เป็นภาษามาเลย์ แปลว่า ต้นมะขามป้อม อยู่ทิศใต้ของคาบสมุทรมาเลย์บนช่องแคบมะละกา ห่างจากเมืองหลวงคือกัวลาลัมเปอร์ 235 กม. ฝั่งตรงข้ามคือเกาะชวา

ช่องแคบมะละกาเป็น "จุดยุทธศาสตร์โลก" ทั้งด้านพาณิชยนาวีและยุทธนาวี เป็นช่องทางขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างมหาสมุทรอินเดียจาก "โลกตะวันตก" กับมหาสมุทรแปซิฟิกของ "โลกตะวันออก"

มะละกาเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกกับตะวันตก มีการรับและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม สิ่งปลูกสร้าง มีการอยู่ร่วมกัน ระหว่างผู้คนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างหลากหลายจากอินเดีย จีน ยุโรป

หวังว่ารีวิว “Family Trip แบกเป้เที่ยวมะละกาด้วยตัวเองของครอบครัวเรา” จะเป็นแรงบันด่าลใจให้อีกหลายครอบครัวได้วางแผนพาเด็กๆ ออกไปเรียนรู้โลกกว้างกันนะคะ มะละกานั้นเที่ยวง่าย และราคาไม่แพงค่ะ


ความพิเศษในการท่องเที่ยวกับครอบครัว อยู่ตรงที่ได้ร่วมรู้สึก แบ่งปันความสุข ความเหนื่อย ความหิว และลุ้นกับสถานการณ์ต่างๆ ไปพร้อมกัน เป็นความสุขที่พิเศษทุกครั้งที่ได้ไปท่องเที่ยวกันครบสามคนพ่อแม่ลูก กับลูกชายแสบซน ทะเล้น และขี้อ้อน


สามารถคลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขยายชัดๆ ได้ค่ะ


ขอฝากแผนที่ที่นำมาจาก Google Map เว็บไซต์โรงแรม และข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นๆ เผื่อจะใช้เป็นประโยชน์ได้

























แผนที่โรงแรม








ขอบคุณที่เข้ามาแวะชมนะคะ 

ติดตามรีวิวมาใหม่ได้ที่เฟซบุ๊ค "ท่องเที่ยวไป by ชมจันทร์"
คลิกที่นี่

อ่านรีวิวเดิม พาลูกเที่ยวเรียนรู้อาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์ GO KL “I Love KL”
คลิกที่นี่




 

Create Date : 28 ตุลาคม 2557    
Last Update : 31 ตุลาคม 2557 16:11:17 น.
Counter : 13041 Pageviews.  

เยือนสิงคโปร์ เมืองแห่งธุรกิจและการเรียนรู้

สิงคโปร์ เป็นเมืองที่ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ และการศึกษาเรียนรู้ เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2557 เรามีโอกาสได้เดินทางไปประเทศสิงคโปร์เป็นเวลา 4 วัน เพื่อเข้ารับการอบรม ซึ่งจัดที่โรงแรมเชอราตัน ทาวเวอร์ส สิงคโปร์ การอบรมจัดขึ้น 2 วันเต็ม ๆ ตั้งแต่เวลา 8.30 – 17.30 น. มีเวลาเดินทางล่วงหน้า 1 วัน ส่วนวันกลับก็ออกจากโรงแรมแต่เช้าไปสนามบิน ฉะนั้น แผนการเดินทางสำหรับทริปนี้หลักๆ ก็คือการอบรม นอกจากนั้นยังได้มีโอกาสไปเรียนรู้ และชมเมือง ในช่วงบ่ายๆ ของวันแรกที่เดินทางไปถึง และช่วงเย็นๆ ค่ำๆ ในวันอบรมอีก 2 วัน

สำหรับการแลกเงินบาทไทยเป็นสิงคโปร์ดอลลาร์นั้น ได้ฝากพี่ที่ร่วมทริป ไปแลกเงินที่ร้าน k79exchange ตรง BTS อ่อนนุช

กำหนดการเดินทาง ตามนี้ค่ะ


วันแรก

เช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิ พบกันที่ Gate เดินทางไปสิงคโปร์ FLIGHT TG 403 08:00- 11:15 น. นั่ง TAXI จากสนามบินไปโรงแรม Sheraton Tower Hotel เช็คอินแล้วไป National Museum of Singapore

วันที่สอง
8.30-17.30 น. อบรม 18.00 น. ไป Marina Bay รอดูการแสดงแสงสีเสียงรอบแรกตอน 20.00 น.

วันที่สาม
8.30-17.30 น. อบรม 18.00 น. กินอาหารเย็น และซื้อของแถวออชาร์ดไม่ไกลจากโรงแรม

วันที่สี่
เช็คเอาท์ เดินทางกลับ


รีวิวนี้ มุ่งเน้นที่จะอธิบายการเดินทางจากสนามบิน Changi เข้าสู่ตัวเมือง การนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนรู้และชมเมือง ในสถานที่หลักในทริปนี้ คือ ย่านเมืองเก่าและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์ Marina Bay พร้อมทั้งของกินของฝากที่ไม่ไกลจากโรงแรมหรือสถานีรถไฟฟ้า Orchard นัก ตามเรามาเลยค่ะ


วันแรก

จากบ้านไปสนามบินสุวรรณภูมิ


ว้า !! นอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะว่ากลัวจะหลับลึกแล้วไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก พอนาฬิกาดังปุ๊บ ก็รีบปิดเสียง อาบน้ำ แต่งตัว แท็กซี่มารอตามเวลานัดเป๊ะๆ จะจูจุ๊ฟ ลูกรัก ที่กำลังนอนหลับอุตุก่อนไป ลูกกลับไม่ยอมให้จุ๊บเลย ไปถึงสนามบิน ก็ได้มุ่งหน้าไปเช็คอิน ซื้อของกินรองท้อง แล้วก็เข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่อง ยังไม่ทันออกเดินทางเลย ก็เริ่มจะออกอาการรู้สึกคิดถึงลูกขึ้นมาตะหงิด ๆ


ถ่ายภาพเล่น ๆ ระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน




เมื่อออกเดินทาง เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า บรรดาลูกเรือก็ทำหน้าที่ไป ส่วนผู้โดยสารก็มักจะง่วนอยู่กับการเล่นเกม ฟังเพลง ดูหลัง โดยใช้อุปกรณ์ที่มีให้บริการบนเครื่องบิน อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องบินนั้นยอดมาก แต่การบริการดูรวบรัดและชุลมุนวุ่นวาย เพราะผู้โดยสารมากันซะเต็มลำ แม้แต่การต่อคิวเข้าห้องน้ำยังขลุกขลัก

บนเครื่องบิน








จากสนามบินชางฮี ไปโรงแรมย่านออชาร์ด

ไปถึงสนามบินชางฮีแล้ว ตามข้อมูลที่เตรียมไป ก็ต้องไปที่ชั้น 1 จะมีรถแท็กซี่ทั้งแบบสาธารณะ แบบเหมา ก็ว่ากันไป เราไม่ได้ติดต่อรถมารับเพราะราคาเหมาจากโรงแรมแพงมาก ๆ ราคาแท็กซี่มิเตอร์จากสนามบินไปโรงแรม ถูกกว่าประมาณหนึ่งส่วนสี่ อยู่ที่ยี่สิบเหรียญกว่า ๆ หากต้องการใบเสร็จก็บอกคนขับรถ จะ Print ออกมาให้เราเลย มีแบบนี้ทุกคัน นอกจากนั้นยังมีรถไฟฟ้า ในสนามบินก็จะมีป้ายบอกทางว่าจะต้องไปขึ้นรถอะไรที่ไหน ไม่ต้องกลัวหลงจ้ะ


เคาน์เตอร์ขายตั๋วเครื่องเล่น ตั๋วรถ ตั๋วเรือ ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์และสถานที่ต่าง ๆ อยู่ที่ทางออกขึ้นแท็กซี่ สนามบินชางฮี ชั้น 1




ก่อนอื่นไปต่อคิวสอบถามรถเหมาคัน



ราคารถเหมาคัน




สุดท้ายลากกระเป๋าไปขึ้นแท็กซี่มิเตอร์ จากสนามบิน ไปโรงแรมเชอราตัน ทาวเวอร์ส ประมาณ 2x SGD ยี่สิบกว่าเหรียญก็แปดร้อยกว่าบาท นั่งไป 4 คน นับว่าราคาถูกกว่าแบบเหมารถไป






Sheraton Towers Singapore Hotel


เชอราตันทาวเวอร์ส สิงคโปร์ เป็นโรงแรมที่เดินทางสะดวกอยู่ถนนสก๊อต ตรงสถานีรถไฟฟ้า Newton หรือ สถานี NS 21 ทางออก A สามารถเดินไปถนนออชาร์ดได้ หรือถ้าไปออชาร์ดทางรถไฟฟ้า ก็ห่างจากออชาร์ด 1 สถานี ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในสิงคโปร์ได้สะดวก



เราทำรีวิวโรงแรมไว้ที่บล็อกนี้ หมวดโรงแรมที่พักต่างแดน ลิงค์นี้ค่ะ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonwatcher&month=29-08-2014&group=15&gblog=10
คลิกที่นี่


การเดินทางไป National Museum of Singapore

หลังจากเช็คอิน และเก็บของเข้าห้องพักแล้ว ประมาณบ่ายสี่โมงเย็น ก็ได้พากันไปเรียนรู้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์

ก่อนเดินทางด้วยนรถไฟฟ้า ก็แวะกินอาหารมื้อกลางวัน ที่ศูนย์อาหารตรงข้ามสถานีรถไฟฟ้านิวตัน







เดินวนไปวนมา นึกอะไรไม่ออก ก็ได้สั่งข้าวราดกระเพราะเนื้อไข่ดาว ร้านอาหารไทยมากิน แป่ว!!

ประตูทางเข้าออก A รถไฟฟ้าสถานีนิวตัน ใกล้ๆ โรงแรมที่พัก




แผนที่และการเดินทางสู่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์








ระหว่างทางไป ได้เดินผ่านพิพิธภัณฑ์เปรานากัน อารมณ์ประมาณเดินเมืองเก่าภูเก็ตเลย






จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
//th.wikipedia.org/wiki/เปอรานากัน

เปอรานากัน (มลายู: Peranakan) หรือ บาบ๋า-ย่าหยา (อังกฤษ: Baba-Nyonya, จีน: 峇峇娘惹, พินอิน: Bābā Niángrě, ฮกเกี้ยน: Bā-bā Niû-liá) คือกลุ่มลูกครึ่งมลายู-จีนที่มีวัฒนธรรมผสมผสาน และสร้างวัฒนธรรมแบบใหม่ขึ้นมาโดยเป็นการนำเอาส่วนดีระหว่างจีน และมลายูมารวมกัน โดยชื่อ "เปอรานากัน" มีความหมายว่า "เกิดที่นี่"

เปอรานากัน เป็นกลุ่มชาวจีนที่มีเชื้อสายมลายูเนื่องจากในอดีต กลุ่มพ่อค้าชาวจีนโดยเฉพาะกลุ่มฮกเกี้ยนเดินทางเข้ามาค้าค้าในบริเวณดินแดนคาบสมุทรมลายู และตัดสินใจตั้งถิ่นฐานในเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในตอนต้นทศวรรษที่ 14 โดยแต่งงานกับชาวมลายูท้องถิ่น

ในประเทศไทยคนกลุ่มนี้จะอยู่ในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงโดยเฉพาะฝั่งอันดามัน โดยมีบรรพบุรุษอพยพมาจากปีนัง และมะละกา โดยคนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มเปอรานากันในประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ชาวเปอรานากันในไทยใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ ที่เจือไปด้วยคำศัพท์จากภาษามาเลย์, จีน และอังกฤษ ชาวเปอรานากันในภูเก็ต นิยมเรียกกันว่า บ้าบ๋า ได้ทั้งชายและหญิง

เราได้แวะได้ภาพหน้าพิพิธภัณฑ์นี้ กันพอกรุบกริบ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปดู เพราะอย่างไรก็จะได้เห็นข้อมูลในการจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์อยู่แล้ว


จากนั้นก็ได้เดินหลงผ่านไปที่ พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากรสิงคโปร์ (Singapore Philatelic Museum)

อ่านเจอข้อมูลว่า สิงคโปร์มีตั๋วแบบเข้าหลายๆ พิพิธภัณฑ์ในราคาประหยัด ซึ้อได้หลายแห่ง รวมทั้งที่เคาน์เตอร์ตรงสนามบินที่กล่าวถึงข้างต้น








สถานีดับเพลิงสินะ







เดินหลงๆ วนกลับไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์จนได้ อยู่ไม่ไกลกัน แต่หลงๆ กับแผนที่นิดหน่อย ^^

ก่อนอื่นไปซื้อตั๋ว และก็เข้าชมตามห้องที่ยังเปิดให้ชมได้















โปสเตอร์โดนใจวัยโจ๋





ช่วงนั้นมีประกาศรางวัลประกวดภาพถ่ายพอดี












ขากลับ ไปออกสถานีออชาร์ด เดินหาร้านของทอด Old Chang Kee ไปเจอที่ทางเดินหน้าห้าง Far East Plaza ห่างจากโรงแรมเชราตัน 650 เมตร ห้างนี้เป็นแหล่งรวมของฝาก คล้ายๆเดินสยาม ก็อาศัยกินมื้อเย็นที่นี่เลย เข้าร้านโจ๊กที่อยู่ชั้นล่าง ร้านโจ๊กมีแพนเค้กทุเรียนขายด้วย ซึ่งอร่อยมาก ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชม นอกจากนั้นยังมีร้าน KayaToast ที่แก่ขึ้นชื่อ ซึ่งเสียดายไม่หายที่ไม่ได้ชิม เพราะตอนที่กำลังจะเดินเข้าไปร้านปิดพอดี

จากนั้นพากันเดินกลับโรงแรมอย่างเหนื่อยล้า หมดไปหนึ่งวัน



วันที่สอง


วันนี้ได้เข้าอบรมทั้งวัน นัดกันที่ล็อบบี้โรงแรมตั้งแต่ 8.00 น. จากนั้นก็ไปที่ห้องประชุม ก็นั่งกันยาวไปจนถึง 17.30 น. ได้รับฟังความรู้ ตัวอย่าง และกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากมาย จากวิทยากรที่เป็นเจ้าของประสบการณ์ตรง แบบเต็มเอี๊ยด อัดแน่น





และตอนเย็นหลังอบรมเสร็จ พากันไปกินข้าวเย็นและชมแสงสีเสียงที่มารินาเบย์


การเดินทางจากสถานี Newton (NS21) ไป Marina Bay

วิธีเดินทาง เดินจากโรงแรมเชอราตัน ไปขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดง จากสถานี Newton (NS21) ซื้อตั๋วออกปลายทางที่ Bayfront

จากนั้น นั่งรถไฟฟ้าไป Marina Bay ลงสถานี NS 27/CE 2 Marina Bay แล้วต่อสายสีเหลือง ไปสถานี CE 1 Bayfront เดินต่อเข้าตึก สังเกตและเดินตามป้าย Marina Bay Sands แล้วจะไม่หลง ตึกนี้มีโรงหนัง คาสิโน ร้านค้า มากมาย มี Wifi ฟรี

ในยามค่ำคืนของทุกคืน ที่ริมน้ำหน้าตึก Marina Bay Sands จะมีการแสดง แสง สี เสียง เลเซอร์ ชื่อว่า Wonder Full ซึ่งจะเป็นการแสดงน้ำพุ และ ยิงแสงเลเซอร์ เป็นเรื่องราวต่างๆ ผ่านม่านน้ำพุ ที่บริเวณอ่าว Marina Bay
การแสดงจะมีทุกวัน (ถ้าสภาพอากาศอำนวย)

ทางออกจากตัวอาหารไปชมแสงสีเสียงอยู่ที่ชั้น 1
เวลารอบแสดง วันอาทิตย์ - วันพฤหัส : 8pm , 9:30pm วันศุกร์ - เสาร์ : 8pm , 9:30pm , 11:00pm



ระยะเวลาการแสดง 15 นาที สามารถชมได้ฟรี ทั้งสองการแสดงนี้มีขึ้นในเวลาเดียวกัน ใน 1 รอบ แต่การชมแต่ละการแสดงจะอยู่คนละตำแหน่งกัน คงต้องเลือกดูอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอยากจะดูทั้ง 2 อย่างก็ต้องแบ่งเป็น 2 รอบ เช่น สองทุ่มชมการแสดงน้ำพุ สามทุ่มครึ่งชมการแสดงแสงสี


สถานที่ชมการแสดง
• การแสดงน้ำพุ ชมได้ที่ข้างร้าน Louis Vuitton ที่อยู่ริมน้ำ ข้างๆ ตึก Marina Bay Sands
• การแสดงแสงสีที่ตัวตึก Marina Bay Sands ชมได้ที่ริมน้ำข้างๆ Merlion ไปจนถึงทางเดินข้างๆ โรงแรม One Fullerton

ตำแหน่งยืนชม Wonder Full-Light & Water





ขอบคุณข้อมูลจาก //www.emagtravel.com/archive/wonder-full-show-marina-bay-sands.html
สามารถอ่านข้อมูลอย่างละเอียดที่เว็บไซต์ดังกล่าว คลิกที่นี่

อาหารเย็นวันนี้ เราได้ใช้บริการที่ศูนย์อาหารของ Marina Bay Sands







ใช้แท็บเล็ตถ่ายภาพมาได้เท่านี้ค่ะ แหะๆ

หลังจากชมแสงสีเสียงเสร็จ ก็กลับโรงแรม โดยไปลงที่สถานี Newton และเดินกลับโรงแรม ซึ่งโรงแรมก็อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง สะดวกมาก ที่สถานีมีร้านสะดวกซื้อ 7-11 ขาดเหลืออะไรซื้อกลับเข้าห้องพักได้ เสียดาย เครื่องกดมันบดที่ร้านเซเว่นสาขานี้เสีย ไม่ได้ชิมเลย



วันที่สาม


อบรมเต็มวันยาวเหยียด พร้อมด้วยกรณีศึกษามากมาย ด้วยความตั้งใจของผู้จัด และความมากประสบการณ์ของผู้มาเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้ ถ่ายทอดให้แบบไม่หวงวิชา




ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ใช้วิธีนั่งรถไฟฟ้าไป 1 สถานี ออกที่ออชาร์ด ทางออก A เดินออกไปห้าง ION Orchard ชั้น B เจอร้านของทอด Old Chang Kee อยู่แถวๆ ศูนย์อาหาร จัดไปอีกหน่อย




จากนั้นไปกินข้าวเย็น เจอร้านที่เคยอ่านรีวิว ก็จัดไปอีกชุด อิ่มจุกแน่น






ไปเจอร้าน Daiso ทั้งร้าย ขายชิ้น/ชุดละ 2 SGD จัดไป

เดินวนๆ ไปเจอร้านขายชอคโกแลตชื่อดังของญี่ปุ่น ROYCE' ION Orchard Shop อยู่ Basement 4 (B4-10) น้องที่ไปด้วย เทียบกับราคาที่เคยซื้อที่ญี่ปุ่นแล้วทำใจไม่ได้ เลยตัดใจไม่ซื้อกัน











เดินผ่านหน้าห้าง Far East Plaza กลับโรงแรม ได้บทเรียนแล้วว่า จะต้องไม่ข้ามถนน เดินจากฝั่งหน้าห้างไปก่อน แล้วค่อยข้ามถนนตรงไฟแดงที่ใกล้ๆ กับโรงแรม จะเหนื่อยน้อยสุด

อ้อที่ ห้าง Far East Plaza มีร้าน Adult Shop ด้วยนะคะ แต่ไม่ได้เข้าไปชม 


วันที่สี่


วันนี้ทุกคนนัดพบกันที่ล็อบบี้โรงแรม 8.00 น. เพื่อที่จะเช็คเอาท์ จากนั้นก็เรียกแท็กซี่มิเตอร์ไปส่งสนามบิน ขากลับไม่ต้องจ่ายค่าทางด่วนหรือค่าธรรมเนียมอะไรสักอย่าง ราคาแท็กซี่ก็ถูกลงเหลือประมาณ 16 SGD บวกลบนิดหน่อย นั่งกันไปสี่คนก็ถือว่าไม่แพงเลย

พอเช็คอินแล้ว ก็หาของกินที้รานในสนามบิน แล้วก็เดินเข้าไปดูสินค้า พวกช้อคโกแลต อะไรต่างๆ มาเป็นของฝาก แต่เราไม่ได้ซื้ออะไรเลยที่สนามบินนี้ นอกนั้นก็ช้อปกันไป เพราะเวลาเหลือเยอะ

ขากลับใช้เวลาสั้นกว่าขามา ก็แป๊บๆ ดูหยังไม่ทันจบ เดินทางถึงแล้ว เมื่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ลูกกับสามีมารับ เจอเกาลัดเดินยิ้มเข้ามาหา คิดถึงเกาลัดมาก ๆ ตอนที่นั่งรถกลับบ้าน เกาลัดปีนเบาะมานั่งตักแม่ ให้แม่กอด แม่มีความสุขสุดๆ ไปเลย




 

Create Date : 16 กันยายน 2557    
Last Update : 16 กันยายน 2557 16:20:59 น.
Counter : 2789 Pageviews.  

พาลูกเที่ยวเรียนรู้อาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์ GO KL “I Love KL”

สวัสดีค่ะ กระแสอาเซียนยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง
ข้อดีของไปเที่ยวประเทศละแวกอาเซียนก็คือ
ค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับประเทศของเรา

เมื่อมีโปรตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดของแอร์เอเชียมาถึง
ครอบครัวเราจึงได้พา “เกาลัด” ลูกชายไปท่องเที่ยว
และรู้จักกับมาเลเซียให้มากขึ้น ในช่วงหยุดยาว
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557





มาเลเซียนั้น เที่ยวเองได้สบาย สะดวก ประหยัด
เรียกได้ว่า เที่ยวไม่ง้อทัวร์ แถมยังมีที่พักราคาประหยัด
ตั้งแต่หลักร้อยบาทขึ้นไปเหมือนๆ กับบ้านเรา
จะรีรอทำไม ไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ

การเดินทางไปมาเลเซียครั้งนี้ เน้นเที่ยวที่เมืองกัวลาลัมเปอร์ก่อน
ทริปอื่นๆ ค่อยไปที่อื่น ๆ กัน สำหรับแม่เกาลัดนั้นไม่ใช่ครั้งแรก
ที่ได้ไปสถานที่แห่งนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้มาเลเซีย
กันครบพ่อแม่ลูก แถมยังมีเพื่อน ๆ ที่รู้จักกันในกลุ่มคนชอบเที่ยว
เหมือนกัน ได้เดินทางไปในช่วงนั้นหลายคน
จึงรู้สึกพิเศษกับการท่องเที่ยวครั้งนี้มาก


สรุปการเดินทางในทริปนี้

วันแรก
เข้าพักโรงแรม Citin Hotel Puduraya เดินไปไชน่าทาวน์
วันที่สอง
เที่ยวปุตราจายา ชมตึกแฝดยามค่ำคืน และกินปูที่บูกิตบินตัง
วันที่สาม
เปโตรซายน์ส (Petrosains) พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และการเรียนรู้ เกี่ยวกับการขุดเจาะน้ำมัน
จตุรัสเมอร์เดก้า และพิพิธภัณฑ์ KL City Gallery
วันที่สี่
เช็คเอาท์ เดินทางกลับ



Day 1 : วันที่ 11 ก.ค. 2557


เช้านี้เดินทางด้วยสายการบินแอร์เอเชีย จากสนามบินดอนเมือง
ประเทศไทย ไปที่สนามบิน KLIA2 ประเทศมาเลเซีย

ได้พบกับครอบครัวเพื่อน ที่เดินทางไปประเทศมาเลเซีย
ด้วยเที่ยวบินเดียวกัน






เมื่อออกจากทางออกของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ
สนามบิน KLIA2 ก็จะเห็นป้ายบอกทางไปขึ้นรถบัส และ TAXI
เป็นระยะๆ ก็เดินตามป้ายเหล่านั้นมาเรื่อย ๆ
ก็จะเห็นช่องขายตั๋วรถบัสและติดต่อรถแท็กซี่ อยู่ที่ชั้น 1
สะดวกมากๆ ซึ่งที่สนามบิน KLIA2 นั้นจะมีรถบัสโดยสาร
ไปยังสถานที่ และเมืองหลักๆ ต่าง ๆ

วันนี้ มีเพื่อนหลายครอบครัว เดินทางมาถึงก่อนในช่วงเช้า
และไปพักที่เกนติ้ง 1 คืน บางครอบครัวไปพักที่โรงแรม Swiss Inn
ย่านไชน่าทาวน์ แต่ละครอบครัวก็ต่างแยกย้ายกันเที่ยว
ตามแบบที่ตัวเองวางแผนไว้


การเดินทางจาก สนามบิน KLIA2 ไป Puduraya


ครอบครัวเรานั่งรถ Star shuttle จากสนามบินไปลงปลายทาง
คือ Puduraya ค่ารถเพียงคนละ 10 ริงกิต
(1 ริงกิต ประมาณ 10 บาทไทย)

ข้อมูลในตั๋วจะบอกว่าเราต้องขึ้นที่ชานชลาหมายเลขอะไร
คันที่เรานั่งอยู่ที่ A4 ชานชลาสำหรับขึ้นรถบัสสายต่างๆ
อยู่ใกล้ประตูทางออก หลังช่องขายตั๋วเลยค่ะ หาไม่ยาก
และมีป้ายบอก ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
รถจะแวะรับผู้โดยสารที่สนามบิน KLIA ด้วย


จุดขายตั๋ว และประตูทางออกไปชานชลารถบัส ที่ชั้น 1
Terminal 1 สนามบิน KLIA2











จุดจอดรถหน้าห้าง My Din ที่ Puduraya











ปลายทางรถจะจอดสุดสายที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง My Din
ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานีขนส่งปูดูรายา หรือ Puduraya Sentral
เราสามารถเดินไปเช็คอินที่โรงแรม Citin Seacare Pudu
ฝั่งตรงข้ามกับสถานีขนส่ง ไม่ไกลกันนัก เดินนิดเดียว ชิลล์ ๆ


Puduraya Sentral นั้นเป็นสถานีขนส่งสำคัญ มีรถบัสไปเกินติ้ง
มะละกา คาเมรอนไฮแลนด์ และอื่นๆ
สำหรับ โรงแรม Citin Seacare Pudu
เราได้รีวิวไว้ในหมวดโรงแรม ที่พักต่างแดน ในบล็อกนี้นะคะ


โรงแรม Citin Seacare Pudu





ยิ้มหวานจังลูกชาย ^^





ตอนเย็นเดินไปเที่ยวชมตึกเก่าๆ สวยๆ และหาของกินที่ China Town
เดิน 8 นาที (650 เมตร) จากโรงแรม ซึ่งแถวนั้นจะมีป้ายรถบัส GoKL
สายสีม่วงให้บริการฟรี โดยจะผ่านไชน่าทาวน์ บูกิตบินตัง
วนเป็นวงกลม

จุดสังเกต ป้ายรถเมล์ และจุดจอดรถบัส GOKL
ใกล้ๆ Petaling Street ย่านไชน่าทาวน์


ป้ายรถเมล์อยู่ฝั่งตรงข้ามห้างนี้
จุดจอดรถ GOKL สายสีม่วงชื่อ Kota Raya
(ชื่อเดียวกับห้างฝั่งตรงข้าม)










ที่ป้ายนี้สามารถขึ้นรถบัส สาย 10
ไปเที่ยวสวนน้ำ Sunway Lagoon ได้







Petaling Street ถนนคนเดิน ไชน่าทาวน์

















ครอบครัวเราได้ลองชิมอาหารของมาเลเซีย ชื่อ Lok Lok
อ่านว่า ล๊ก ล๊ก ในภาษาฮกเกี้ยน มีพวกของเสียบไม้
เช่น ลูกชิ้น ผัก เนื้อหมู ปลาหมึก กุ้ง ฯลฯ เอาไปลวก ทอด
หรือย่างกิน จิ้มน้ำจิ้มสะเต๊ะและน้ำจิ้มอื่นอีก 2 อย่าง


ร้าน Satay ร้านนี้มีชื่อร้านว่าสะเต๊ะ มาไชน่าทาวน์
ที่กัวลาลัมเปอร์ก็ลองดูสักหน่อย ร้านนี้ตั้งอยู่หน้าโรงแรม Swiss Inn

ใช้ Google ค้นดู เห็นเขาเรียกกันว่า Satay Steamboat
สังเกตที่ด้ามไม้เสียบอาหาร จะมีหลายสี
แต่ละสีราคาต่างกันตามป้ายที่แจ้งราคาไว้
















นอกจากนั้นยังพบว่าร้านเซเว่น อิเลฟเว่น ของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ที่ไชน่าทาวน์ มีไวไฟฟรี มีที่นั่งให้ด้วย ของกินก็เยอะดีกว่าบ้านเรา

มัวแต่เพลิน และลืมดูเวลา กว่าจะเดินมาถึงช่องขายตั๋วรถ Go Genting
ในเวลาที่เขาเพิ่งจะปิดทำการพอดี กะว่า เช้าๆ จะมาซื้อตั๋วอีกทีหนึ่ง
ที่พักก็อยู่ตรงนี้เอง เดินข้ามสะพานลอยมาก็ถึง



Day 2 : วันที่ 12 ก.ค. 2557


วันนี้ตอนแรกกะว่าจะไปเที่ยวเกนติ้ง การไปเกนติ้ง
ควรแวะซื้อตั๋วล่วงหน้าหนึ่งวัน ควรซื้อตั๋วแยกเที่ยว (ไม่ซื้อไปกลับ)
ไปต่อกระเช้า ชมทิวทัศน์ ขึ้นสู่ยอดเขา
พอไปถึง จะมีรถบัสฟรี วิ่งวนในเกนติ้ง เดินชมสวนสนุก ต่างๆ
คาสิโน หรืออื่นๆ ตามอัธยาศัย แล้วขึ้นรถกลับช่วงบ่าย ๆ
ไม่เกินสี่โมงเย็น

ตั๋วไปเกนติ้งจากปูดูรายา อยู่เคาน์เตอร์ KT-27 ชั้น 1
ขายเจ็ดโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่ม
ราคาเที่ยวเดียวผู้ใหญ่ 10.60 ริงกิต เด็ก 9.50 ริงกิต


แต่ว่าคืนเมื่อวาน เพื่อนที่ไปพักเกนติ้ง ได้ทักท้วงมาว่า
ช่วงนี้เกินติ้งไม่น่าไปเที่ยวหรอกนะ เครื่องเล่นในอาคารปิดปรับปรุง
เยอะ กระเช้าก็ปิดปรับปรุง เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าโชคดีแล้ว
ที่ไปไม่ทันซื้อตั๋วล่วงหน้า

คุยกับพ่อเกาลัดแล้ว ก็สรุปกันได้ว่าเราจะเปลี่ยนแผนไปชมเมืองใหม่
ปุตราจายากัน ซึ่งก็เป็นเมืองที่น่าสนใจมาก ๆ


การเดินทางจาก Puduraya ไป Putrajaya


การเดินทางนั้นสุดแสนสะดวก เพราะจากโรงแรม
เดินไปป้ายรถเมล์หน้าห้าง My Din ป้ายเดิม
แล้วก็มองหารถบัสสาย E1 เส้นทาง Puduraya – Putrajaya
ค่ารถประมาณ 3 ริงกิต รถไปจอดที่ Putrajaya Sentral

ขากลับก็นั่งรถสายเดิม กลับมาที่ Puduraya ขาไปใช้เวลาแค่ 30 นาที
เพราะรถออกนอกเมืองอย่างเดียว โล่ง
แต่ขากลับ เวลาเป็นชั่วโมงกว่า เพราะเข้าเมือง
ผ่านทางบูกิตบินตัง เข้าไชน่าทาวน์
แล้วมาจอดป้ายสุดท้ายที่ Puduraya รถติดมาก





เสียท่าซื้อบัตรเติมเงิน Rapid KL มา 3 ใบละ 10 ริงกิต
ที่ใช้ได้กับทั้งรถบัส รถไฟฟ้า เหตุที่คิดว่าเสียท่า
เพราะเวลาเติมเงิน ต้องเติมครั้งละไม่ต่ำกว่า 10 ริงกิตที่ตู้อัตโนมัติ
แต่ว่าใช้ไม่หมด ฉะนั้น มูลค่าเงินในบัตรจึงเหลือ
สู้ใช้วิธีเดิมๆ คือ หยอดบัตรหยอดเหรียญดีกว่า
ใช้เท่าไหร่ ก็จ่ายเท่านั้น








การท่องเที่ยวในปุตราจาย่า


เราเดินหาทัวร์ 1 ริงกิตไม่เจอ เจอแต่ทัวร์ 15 ริงกิต
ในราคาผู้ใหญ่ และ เด็ก 7 ริงกิต
สถานที่ขายตั๋วอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าปุตราจาย่า
เราทันรอบแรก คือ เวลา 10.30 น.
ถ้าหากใครมาไม่ทันก็ต้องรอรอบบ่าย
หรือนั่งรถเมล์ชมเมืองตามอัธยาศัย

ชาวคณะทัวร์ นั่งรวมกับผู้ใช้บริการท่านอื่นๆ มีไกด์พาชมเมือง
แวะตามจุดสถานที่สำคัญ ๆ จนครบ มีไกด์บรรยายให้ฟังนิดหน่อย
ตลอดทาง ว่าสถานที่สำคัญจุดนั้นจุดนี้คืออะไร
บางจุดก็แวะให้ถ่ายภาพ 10 - 15 นาที




ปุตราจายา เป็นเมืองใหม่ เป็นแหล่งรวมศูนย์ราชการสำคัญ ๆ
และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


รถจอดส่งลงเที่ยวมัสยิดสีชมพู 1 ชั่วโมง

























ลงบันไดเลื่อนไปกินอาหารที่ศูนย์อาหารริมทะเลสาป








Asam Laksa ของโปรดเรา ที่นี่ทำได้อร่อยมากๆ




สถานที่อื่นๆ

















ขากลับ มาพักเหนื่อยที่โรงแรมก่อน
แล้วนัดกับกลุ่มเพื่อน 2 ครอบครัว นั่ง GOKL ที่ไชน่าทาวน์
ไปลงสถานีรถไฟฟ้า Pasar Seni
ต่อไปที่สถานี KLCC เพื่อชมตึกแฝดยามค่ำ
และพบกับเพื่อนอีกหนึ่งครอบครัวที่รออยู่ที่ห้าง Suria KLCC





ก่อนมาถึง เกาลัดก็ได้ถามว่าทริปนี้เราจะได้เห็นตึกแฝด
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของมาเลเซียหรือเปล่า พอได้เจอตึกแฝด
เกาลัดก็หามุมถ่ายภาพสนุกสนานไปเลย


ถ่ายภาพรวมหมู่กับเพื่อนๆ








มุมสวย ๆ ของตึกแฝด




















จากนั้น ก็ไปกินปูอร่อยๆ ที่บูกิตบินตัง ด้วยรถ GOKL สายสีเขียว
แล้วแยกย้ายกันกลับโรงแรม














Day 3 : วันที่ 12 ก.ค. 2557


กิจกรรมวันนี้ เป็นความตั้งใจอย่างยิ่ง ที่คิดเอาไว้ว่ามาเลเซียทริปนี้
ต้องพาเกาลัดไปให้ได้ นั่นคือ Petrosains Science Discovery Centre

เดินจากโรงแรม Citin Hotel Pudu ไปขึ้นรถไฟฟ้าสถานี Plaza Rakyat
ที่ทางเข้าใกล้กับ ขนส่ง Pudu Sentral ไปสถานี KLCC
เข้าไปในห้างซูเรีย (Suria KLCC) ตั้งอยู่ในส่วนของฐานตึกแฝดเปโตรนาส

วันนี้เรานัดครอบครัวน่ารักจากเชียงใหม่ เข้าไปเรียนรู้ที่ “เปโตรซายน์ส”
เป็นศูนย์วิทยาศาสตร์บนชั้น 4 ของห้าง เน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับ
การขุดเจาะน้ำมัน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างหนึ่งของประเทศมาเลเซีย











ลองสัมผัสเฮอริเคน















หนุ่มน้อยจากเชียงใหม่ เป็นเด็กรักเรียนวิทยาศาสตร์
และมีความสุขกับวิทยาศาสตร์











ไดโนเสาร์ตัวนี้ร้องเพลงแรพได้ด้วย











แท่นขุดเจาะน้ำมันจำลอง






ที่ชั้น 4 ชั้นเดียวกันกับพิพิธภัณฑ์ จะมีศูนย์อาหาร ซึ่งอร่อย
และมีให้เลือกหลายอย่างด้วยกันตามใจชอบ อาหารที่เราชอบกิน
และมาดหมายไว้อย่างมากในการเดินทางมาที่มาเลเซีย
ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวมาเลเซียที่ชื่อ Asam Laksa เส้นเหมือนเส้นเกี๊ยมอี๋
อุด้ง ใส่ต้มยำปลากระป๋องรสแซ่บ แต่ Asam Laksa
ที่ศูนย์อาหารนี้ออกรสหวานไปนิด แต่ก็ยังอร่อย
(ทริปนี้ จัดไป 4 ครั้ง ตามสถานที่ต่างๆ กัน)


หลังจากอาหารกลางวัน (บ่ายๆ) แล้ว ก็ลงไปชั้นล่าง
ไปชิมไอศครีมโยเกิร์ตแสนอร่อย
และพี่สาวได้พาไปซื้อกาเร็ตป๊อปคอร์นด้วย เยี่ยมไปเลย ^^


จากนั้นต่อรถไฟฟ้าไปสถานีมัสยิดจาเม็ก (Masjid Jamek)
เพื่อเดินไปเที่ยวจัตุรัสเมอร์เดก้าและพิพิธภัณฑ์ KL city Gallery












พิพิธภัณฑ์ KL city Gallery เป็นสถานที่
ใครๆ ก็บอกว่ารักเกาลัด เพราะมีแต่คำว่า I love KL อยู่ตามที่ต่างๆ
รวมทั้งบนเสื้อยืดและของที่ระลึก

ณ ที่แห่งนี้ เช้าชมฟรี มีการจัดแสดงประวัติและรายละเอียด
ของเมืองกัวลาลัมเปอร์ผ่านนิทรรศการ
และการแสดงแสงสีเสียง รวมทั้งงานศิลปะต่างๆ








ณ ร้านกาแฟของพิพิธภัณฑ์ เราได้เจอขนมที่ทำจากทุเรียน
โดยเฉพาะแพนเค้กทุเรียนที่แสนจะอร่อย
ชุด Kaya Toast ได้กินเสียที อร่อยคุ้ม








เราเจอห้างใหม่ที่อยู่ชั้นใต้ดินของจัตุรัสเมอร์เดก้า
มีพิพิธภัณฑ์ชอคโกแลต และชอคโกแลตอร่อยๆ ขาย ร
วมทั้งได้กาแฟทุเรียนกลับบ้านด้วย ฟินเลยค่ะ !!


ขากลับสามารถนั่งรถไฟฟ้าไป Pasar Seni
หรือ Plaza Rakyat เพื่อกลับโรงแรม
แต่เราไปบูกิตบินตัง แยกย้ายกัน แล้วเดินต่อนิดหน่อย
ก่อนที่จะนั่ง GOKL กลับโรงแรม



Day 4 : วันที่ 14 ก.ค. 2557


กะไว้ว่าช่วงเช้าจะเดินชมเมือง แถวๆ โรงแรม
แต่ก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะตื่นสาย กินข้าวเช้า และเช็คเอาท์
นั่งรถ Star Shuttle จากหน้าห้าง My Din ไปสนามบิน KLIA2
ขากลับจ่ายคนละ 12 ริงกิต


จุดขายตั๋วรถบัส Star Shuttle ที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง My Din
ตรงข้ามขนส่ง Puduraya Sentral










โรงแรมแคปซูล ชั้น 1 สนามบิน KLIA2 ใกล้ๆ ช่องขายตั๋วรถบัส








ร้านน่านั่งที่สนามบิน กะจะสั่ง Asam Laksa ร้านนี้ แต่หมด





เลยเข้าไปที่ร้านอาหารแถวๆ ประตูขึ้นเครื่อง ซึ่งราคาแพงกว่า
และ Asam Laksa ไม่อาหย่อยเยย ส่วนก๋วยเตี๋ยวแกงกะหรี่
(จำชื่อเรียกไม่ได้) ที่พ่อของลูกสั่ง นั้นอร่อย









เจอกับเพื่อนที่เดินทางกลับเที่ยวบินเดียวกัน







สรุป

การท่องเที่ยวมาเลเซียครั้งนี้ สร้างความประทับใจให้กับครอบครัวเราไม่ใช่น้อย
ได้พาลูกมาเรียนรู้จักประเทศนี้มากขึ้น ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่แสนสนุก
ได้เรียนรู้โลกกว้าง เข้าใจและยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างและเหมือนกัน
ของผู้คนในมาเลเซียและแถวเมืองไทย รู้จักวิธีการการพึ่งพาตัวเองในต่างประเทศ
ให้เกาลัดได้รู้จักซื้อของเอง ฝึกขึ้นรถไฟฟ้าเอง และทำอะไรหลายอย่างเอง
รวมทั้งตัวเราเองก็ยังได้มีโอกาสเที่ยวกับเพื่อนๆ หลายครอบครัวด้วย
ทริปนี้เป็นทริปมิตรภาพ เพื่อน ๆ ทุกคนมีความหมายสำหรับเรา

คนในอาเซียนส่วนใหญ่ที่เราพบ เป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น
ชาวมาเลย์แม้ว่าจะผิวเข้ม หน้าดุ แต่ก็ใจดี
และดูเหมือนว่าเกาลัดจะพกความประทับใจหลายอย่างเกี่ยวกับมาเลเซียไปมิใช่น้อย


จบทริป GO KL “I Love KL”

KL = Kuala Lumpur KL = Kaolad and Kaolao


ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ

ติดตามรีวิวมาใหม่ในเฟซบุ๊ค
"ท่องเที่ยวไป by ชมจันทร์"
//www.facebook.com/moonwatcherBP





แผนที่ (คลิกที่ภาพ ภาพจะขยายใหญ่ขึ้น)

โรงแรม Citin Pudu เดินไปห้าง My Din




GO KL สายสีเขียว




GO KL สายสีม่วง





ตารางรถไปเกนติ้ง ขึ้นที่ Pudu Sentral



อ่านรีวิวใหม่ Family Trip แบกเป้เที่ยวมะละกาด้วยตัวเอง
คลิกที่นี่




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2557    
Last Update : 29 ตุลาคม 2557 11:39:21 น.
Counter : 9809 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  

ชมจันทร์
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




เดินทางสู่โลกกว้าง เพื่อไปเรียนรู้โลก ผู้คน เพื่อประสบการณ์ชีวิต

Friends' blogs
[Add ชมจันทร์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.