ตะลอนไป...แม่ฮ่องสอน ตอน ปาย...กะเค้าเหมือนกาน
ดองบล็อกนี้ไว้นานมากกกกกกก จนเกือบจะหมดไฟมาอัพให้เสร็จ แต่ในทีสุดก็เสร็จจนได้นะคะ ^^"

-----------------------------------------------------------







สืบเนื่องจากกระทู้ในเว็บบอร์ดรุ่นว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง want to go to Pai มากๆ และเมื่อมีคนนำ ก็ต้องมีคนตาม หลายคนมาลงชื่อยกมือไปด้วยกันให้พรึ่บ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมเราอยู่ด้วย


เราก็เลยไม่รอช้า สุมหัวกับหมอแนน ไอ้หมอฟันโรคจิตที่บุรีรัมย์ หาที่พักกันใหญ่ รวมทั้งหาข้อมูลเที่ยวปายกันด้วย คุณหมอฟันนี่ก็ท่าจะว่างงานสุดๆ นั่งเซิร์ชหาข้อมูลจนมันจำแผนที่ในปายได้ขึ้นใจเลยอ่ะ คิดดูแล้วกัน ทึ่งมันเจงๆ...


กำหนดวันเดินทางคือวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ เพราะทุกคนสะดวกวันนี้...ยกเว้นเจ้าของกระทู้...ฮา

คิดไปก็สงสารมันเหมือนกันที่เป็นตัวตั้งตัวตีแต่ดันอดไปเพราะว่าที่บ้านเกิดจะทำบุญบ้านขึ้นมาซะอย่างงั้น พวกเราก็ได้แต่ปลอบใจกันไปตามประสา แต่ก็ไม่มีใครคิดจะล้มเลิกทริปหรือแม้แต่เลื่อนออกไป...อิอิ ดูสิ รักเพื่อนกันขนาดไหน...

วันศุกร์ที่ 2 กุมภา พวกเรานัดกันที่ป้ายรถเมล์สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เพราะเป็นจุดที่ทุกคนสะดวกที่สุด แล้วก็นัดรถตู้มารับที่นั่นด้วย กำหนดการสามทุ่มครึ่งล้อเคลื่อน แต่เราก็ alert เกินเหตุ ไปรอตั้งแต่สองทุ่ม

จริงๆ แล้วมีนัดกะน้องคนนึงที่เซ็นทรัลลาดพร้าวก่อนน่ะค่ะเพื่อไปเอาขาตั้งกล้องที่ยืมมันไว้ แต่มันก็มีธุระเลยต้องรีบเอามาให้ และเราก็ต้องรีบไป ด้วยประการฉะนี้...

ซักพักนึงเพื่อนๆ ก็เริ่มทยอยกันมาตามนัด เริ่มจากคุณฝายกับเพื่อนอีกสองคน หมอฟันแนนจอมเฝ่อวกับพี่หมอเจี๊ยบที่ตรงมาจากบุรีรัมย์ คุณหมอหมาปูน แล้วก็สองสาว คุณเซลส์สุดสวยปุ๋มกับผู้ติดตามชื่อน้องโย เป็นอันครบถ้วนตอนสี่ทุ่ม คณะเดินทางก็ขึ้นรถตู้ และมุ่งหน้าไปตามถนนวิภาวดีรังสิตไปยังจุดหมายปลายทาง...


บนรถมีเสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวตามประสาสาวๆ ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน แต่ก็ดังอยู่เพียงไม่นานนักเพราะต้นเสียงคือคุณเซลส์สุดสวยหนีไปเฝ้าพระอินทร์ก่อนเป็นคนแรก


ตอนแรกเราตกลงกับพี่หมูคนขับรถว่าพี่เค้าจะขอจอดนอนพักที่เชียงใหม่ซักสามชั่วโมง ให้พวกเราไปเที่ยวที่ไหนกันซักที่นึงก่อน (ประมาณว่าพวกเราอยู่พี่แกนอนไม่ได้อ่ะ ฮา...) ทีแรกพี่เค้าเสนอให้พวกเราขึ้นดอยสุเทพ แต่เราเห็นว่าบนดอยมันก็ไม่ได้มีอะไรให้พวกเราเที่ยวกันขนาดใช้เวลาสามชั่วโมงให้หมดไปได้ เราก็เลยเสนอว่าเป็นสวนสัตว์เชียงใหม่แทน เพราะคิดว่าน่าจะดีกว่า

พี่หมูจอดพักรถเป็นระยะๆ ตอนดึกๆ อากาศยิ่งเย็นลงๆ จนเริ่มสั่น ยิ่งตอนตีสี่ที่ไปจอดที่ลำปางนี่ยิ่งแล้วใหญ่ หนาวสุดๆ จนคุณปุ๋มออกปากว่า "เฮ้ย กลับกันเหอะ แค่นี้ยังบ่นหนาวกันเลยแล้วไปถึงปายไม่ตายกันเหรอวะ"


พี่หมูจอดนอนที่ลำปางจนสว่าง เราจึงได้ออกเดินทางต่อไปยังเชียงใหม่

ถึงเชียงใหม่ประมาณแปดโมงเช้า เราก็เสนอให้ไปกินมื้อเช้ากันที่กาดต้นพยอม เพราะอยากกินโจ๊กต้นพยอม (ที่อร่อยมั่กๆ) เป็นการส่วนตัว อิอิ ส่วนหมอแนนก็อยากจะกินข้าวเหนียวไก่ทอดกะไส้อั่วเลยแวะซื้อไปนั่งกินที่ร้านโจ๊ก ด้านหมอปูนก็ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งที่เราโฆษณาชวนเชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลกมาสิบไม้ (แต่ของเค้าอร่อยจริงๆ นะค้า ไม่ได้โม้...) ซื้อของตามรายทางเสร็จก็เข้าไปนั่งที่ร้านโจ๊กกัน คนเยอะทีเดียว แต่ก็ยังโชคดีที่มีโต๊ะยาวสำหรับพวกเรา 9 คน





ปาท่องโก๋ (ฟรี) กับโอวัลตินร้อนๆ แก้หนาวค่า



พออิ่มกันแล้วพวกเราก็ไปเดินช็อปปิ้งในกาดต้นพยอม หรือตลาดต้นพยอมกันซะหน่อย ตอนเช้าๆ ตลาดที่นี่จะคึกคักมากเลยนะคะ มีขายทุกอย่างทั้งของสดของแห้ง ของกิน หรือเสื้อผ้า มีหมดค่ะ และที่นี่เราก็ได้ถุงมือไปคู่หนึ่งด้วย โชคดีมากค่ะที่ตัดสินใจซื้อที่นี่ เพราะถ้าไม่เอาไปล่ะก็...บรึ๋ยยย หนาวตายแน่ๆ



สามสาวกำลังเลือกซื้อสตรอว์เบอร์รี่ลูกโตๆ ไปกินกันค่ะ กิโลละ 100 บาท



เก้าโมงครึ่งโดยประมาณ พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อ เราถามพี่หมูว่าจะต้องไปนอนพักอีกรึเปล่า พี่แกบอกว่าไม่ต้องก็ได้ ไปปายเลยแล้วกัน ...เอางั้นเลยเหรอพี่... เอ้า! เอาก็เอา


พวกเราไปตามเส้นทางเชียงใหม่-แม่แตง ถึงแยกแม่มาลัย ก็เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 1095 แม่มาลัย-ปาย ทางช่วงนี้เริ่มจะคดเคี้ยวเลี้ยวลด ใครที่กลัวว่าจะเมารถก็รีบจัดการกินยาแก้เมาแล้วหลับซะตั้งแต่ตอนนี้กันเลย สงสัยว่าไอ้ 762 โค้งที่ว่าคงจะเริ่มนับโค้งแรกจากเส้นทางนี้แน่ๆ

ระหว่างทางนี่ก็ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกหมอกฟ้า (ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่พวกเราบรรจุไว้ในทริปนี้ แต่มีอันต้องล้มเลิกไป เพราะพี่หมูบอกว่าทางเข้าไม่ดี) โป่งเดือด และอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง


เวลาเกือบสามชั่วโมงผ่านไปเราก็เข้าสู่อำเภอปาย พวกเราจองที่พักกันที่ "บ้านปายนา" หมอแนนก็เลยโทรถามพี่เจ้าของว่าไปยังไง และได้ความว่าต้องข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่บังเอิญตอนที่พวกเราไปนั้นสะพานคอนกรีตข้ามแม่น้ำปายถูกรื้อเพื่อทำการซ่อมแซมอยู่ และมีทางเบี่ยงเล็กๆ อยู่ข้างล่าง พี่หมูแกเดินลงไปดูและประเมินสถานการณ์แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า บอกว่า รถตู้ไปไม่ได้...

หมอแนนก็เลยโทรบอกเค้าว่ารถตู้ไปไม่ได้ ที่บ้านปายนาก็เลยเอารถกระบะมารับที่ตีนสะพานอีกฝั่ง ที่พวกเราจอดรถอยู่นั่นเอง


บ่ายโมงเศษเราก็เข้าที่พักกัน 6 คนก็ไปนอนที่บ้านปายนาที่จองบ้านได้แค่สองหลังและอนุญาตให้นอนได้ 3 คน อีก 3 คนคือ เรา หมอแนน และพี่หมอเจี๊ยบ ก็เลยต้องไปวอล์คอินหาที่พัก ซึ่งก็ได้ที่ "ปาย ไฮแลนด์" ตรงข้ามกับบ้านปายนานั่นเอง



ที่พักที่บรรยากาศน่ารักมากๆ ค่ะ แสดงแบบโดยคุณหมอปูน



หลังจากที่สามสาวได้ที่พักเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เราก็มารวมตัวกันที่บ้านปายนา เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น แล้วก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ...


ประมาณบ่ายสามเราก็ไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์กัน โดยมีเรา คุณฝาย หมอแนน หมอปูน และคุณปุ๋มเป็นตัวแทนไป โดยเราวางโปรแกรมกันไว้ว่าพอได้รถแล้วจะขี่ไปชมพระอาทิตย์ตกที่สะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำปาย

แต่เราจะไปเช่ารถกันยังไงล่ะ เรากะหมอแนนก็ตกลงกันว่า โบกรถไปก็แล้วกัน ว่าแล้วก็นั่งคอยรถกระบะผู้โชคร้าย ไม่นานนักเราก็โบกได้รถกระบะสองแถวคันหนึ่ง คุณน้าคนขับใจดีมาก ขับพาไปส่งถึงหน้าร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เลย แถมแนะนำร้านให้อีกด้วย ขอบคุณมากนะค้า

วันนั้นเป็นวันเสาร์ นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ร้านที่เราตั้งใจจะไปเช่าตอนแรกก็เลยไม่มีรถให้พวกเรา เราก็เลยต้องไปหาร้านอื่นแทน แล้วก็มีเหตุการณ์ชวนหงุดหงิดเล็กน้อย ซึ่งไม่ขอเล่าซ้ำนะคะ เดี๋ยวจะทำลายบรรยากาศซะเปล่าๆ


พอได้รถกันแล้วพวกเราก็ไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่สะพานไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำปายตามโปรแกรมที่วางกันไว้



บรรยากาศยามเย็นริมน้ำปายค่ะ



พวกเราถ่ายรูปกันจนเย็นย่ำค่ำมืด จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นกันที่ถนนคนเดินในตัวเมืองปาย มีของกิน ของที่ระลึกขายเต็มสองข้างทางเลยค่ะ และที่เยอะไม่แพ้กันก็คือ...ฝาหรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลาย... (แอบเผลอคิดว่าตัวเองเดินอยู่ถนนข้าวสารซะอีก ฮี่ๆ)




ขนมของชาวไทยใหญ่ค่ะ จากซ้ายไปขวา "ส่วยทะมิน" เป็นข้าวเหนียว รสชาติคล้ายๆ สังขยาผสมกับหม้อแกงค่ะ อร่อยดีเหมือนกัน, "อาละหว่า" คล้ายกับส่วนทะมิน แต่ทำจากแป้งข้าวเหนียว (มั้ง) รสชาติไม่รู้เป็นไงค่ะเพราะไม่ได้ชิม ^^", "แปกี" เป็นมันฝรั่งบด รสชาติหวานปะแล่มๆ




ร้านค็อกเทลน่ารักๆ และร้านโปสการ์ดชื่อดังทั้งสองร้าน




หมวกน่ารักๆ จากฝีมือของชาวไทยภูเขาค่ะ หยิบมาถ่ายรูป แต่ไม่ซื้อ... (ใครขวัญอ่อนรีบผ่านรูปนี้ไปโดยไวนะคะ อิอิ)



พอเดินกันจนเมื่อยได้ที่ พวกเราก็เริ่มมองหาอาหารมื้อเย็นกัน คุณฝายกับเพื่อนอีกสองคนแยกไปหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ กิน และซื้อกลับไปแกล้มจิบไวน์ที่บ้าน ขณะที่สาวๆ ที่เหลือก็ลงความเห็นกันว่าน่าจะหาอาหารเมืองกินเพื่อให้ได้บรรยากาศ และพวกเราก็ได้ร้านอาหารพื้นเมืองร้านหนึ่งชื่อว่า "Little Home" บรรยากาศน่านั่ง ดูสบายๆ เป็นกันเองดี

เข้าไปนั่งเรียบร้อยก็สั่งอาหารกันด้วยความหิว แล้วก็นั่งรอ...รอ...รอ...และรอ...

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป อาหารจานแรกมาเสิร์ฟค่ะ รสชาติอาหารถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว (เอ...หรือเป็นเพราะหิวก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ) แต่น่าจะปรับปรุงเรื่องเวลานิดส์นึงนะคะ เพราะระหว่างที่พวกเรารออาหารกันนั้น ก็มีฝรั่งโต๊ะหนึ่งถอดใจ ลุกออกจากร้านไปก่อน อย่างงี้ไม่น่าเป็นผลดีกับการท่องเที่ยวไทยเลยนะคะเนี่ย


ระหว่างที่รออาหาร น้องโย ผู้ติดตามของคุณเซลส์สุดสวยก็ออกไปเดินเล่นแถวๆ นั้นและกลับมาพร้อมกับขนมหน้าตาประหลาด เป็นข้าวเหนียวย่างไฟ ผสมงา ราดนม โรยน้ำตาล คล้ายๆ กับโรตี รสชาติก็ดีนะคะ (ถ้ามันไม่แข็งเกิ๊กเดิ๊กเพราะความหนาวซะก่อนอะนะ)



นี่ค่ะ ขนมที่ว่า น่ากินมิเคอะ



ประมาณสามทุ่ม พอกินข้าวกันเสร็จแล้วพวกเราก็กลับที่พักกัน อากาศเย็นมากค่ะ บ้านพักที่เรากะหมอแนนไปพักนั้นมีเทอร์โมมิเตอร์ติดอยู่ที่หน้าห้องด้วย ก่อนจะนอนคืนนั้นออกไปดูอุณหภูมิ...15 องศาค่ะ ชิลๆ



วันรุ่งขึ้นพวกเราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะนัดพี่หมูคนขับรถไว้หกโมงเช้า โปรแกรมแรกวันนี้คือไปดูทะเลหมอกที่ห้วยน้ำดัง (บ้าพลังกันเกินไปป่าวเนี่ย)

ก่อนจะออกมาจากบ้านพักก็ดูอุณหภูมิอีก คราวนี้ 11 องศาค่ะ...ยังไหวอยู่

พวกเราขี่มอเตอร์ไซค์มายังจุดนัดหมายกันตรงเวลา แต่กว่าที่พวกเราจะออกจากปาย ก็เกือบหกโมงครึ่ง เพราะพี่หมูวนรถหากันไม่เจอ (พี่แกบอกงั้น)


นั่งหัวสั่นหัวคลอนกันมาเกือบๆ ชั่วโมงก็มาถึงห้วยน้ำดัง พวกเรามุ่งหน้าไปยังจุดชมวิวดอยกิ่วลม และเราก็ตรงไปดูเทอร์โมมิเตอร์ก่อนเป็นอย่างแรก...8 องศาค่ะคุณผู้ชม

ตอนที่พวกเราไปถึงก็เจ็ดโมงกว่าแล้ว ดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งอยู่บนฟ้าตั้งนานแล้ว ก็เลยไม่ต้องหวังว่าจะได้ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แถมทะเลหมอกที่พวกเราใฝ่ฝันก็มองไม่เห็นเพราะหมอกมากเกินจำเป็น สรุป...เห็นแต่ฟ้าขาวๆ และหมอกขาวโพลนเต็มไปหมด นอกจากนี้ก็ไม่เห็นอะไรเลย พวกเราก็เลยแก้ขัดโดยการถ่ายรูป และถ่ายรูป...เพราะทั้งทริปนี้ไปกัน 9 คน มีกล้อง 8 ตัว เอิ้กๆ




ตากล้อง ตั้งกล้องกันใหญ่เลย




รูปหมู่ซะหน่อย นึง...ส่อง...สั้ม...ปวดฉี่




คล้ายๆ จะเป็นท่าบังคับของสถานที่ท่องเที่ยวไทย เหอๆ




ก่อนกลับ อุณหภูมิสูงขึ้นนิดนึงค่ะ ถ่ายมาให้ดู กลัวไม่เชื่อกัน อิอิ



9 โมงกว่าๆ พวกเราก็จากห้วยน้ำดังกันมาด้วยความผิดหวัง และมุ่งหน้ากลับปาย ก่อนถึงตัวเมืองปาย เราก็แวะถ่ายรูปกันที่สะพานประวัติศาสตร์ (ท่าปาย) ซึ่งเป็นสะพานที่สร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง รายละเอียดมากกว่านี้...ไม่รู้ค่ะ แหะๆ



สะพาน...ดูแล้วก็คล้ายๆ สะพานข้ามแม่น้ำแควเหมือนกันนิ



ถ่ายรูปกันได้ซักแป๊บก็มาหาอาหารเช้ากินกันที่หน้าที่ว่าการอำเภอปาย พี่หมอเจี๊ยบอยากกินส้มตำ เพราะรู้สึกพะอืดพะอมจากการเดินทาง ส่วนหมอแนนอยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยว เราจึงตกลงกันว่าต่างคนต่างกินก็แล้วกัน

เรา หมอแนน หมอปูน คุณฝาย และคุณปุ๋ม เซลส์สุดสวย ก็เลยเดินเตร็ดเตร่มาจนเจอร้านข้าวซอย และก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยว ก็เลยตรงเข้าไปนั่ง แม้ว่าร้านนี้จะไม่มีขนมจีนน้ำเงี้ยวอย่างที่หมอแนนอยากกิน แต่ก็มีก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยวที่พอแทนกันได้ พวกเราก็เลยสั่งกันคนละชาม

พี่หมอเจี๊ยบและน้องโยหิ้วถุงส้มตำ ไก่ย่างตามมาสมทบที่ร้านและนั่งกินกันที่นั่นพร้อมทั้งสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยวและข้าวซอยมากินอีกด้วย ซักพักเพื่อนคุณฝายก็สั่งอาหารเจร้านข้างๆ มานั่งกินที่ร้านนี้อีกเหมือนกัน

เราไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยวมาก่อน แต่พอได้ลองแล้วก็ติดใจ เพราะมันอร่อยมากกกกกกกกกก จริงๆ นะคะ ไม่ได้โม้ นึกถึงแล้วยังอยากกินอีกเลยง่ะ




นี่ค่ะ หน้าตาของก๋วยเตี๋ยวน้ำเงี้ยว น่ากินมั้ยค้า...



และขอยืนยันความอร่อยด้วยภาพค่ะ



พอกินข้าวเช้ากันเสร็จตอนเกือบ 11 โมง พวกเราก็ออกเดินทางกันต่อตามโปรแกรม นั่นก็คือวัดน้ำฮู และหมู่บ้านสันติชลค่ะ ไปกันเล้ย...


ใช้เวลาจากหน้าที่ว่าการอำเภอปายไม่นานนักเราก็มาถึงวัดน้ำฮู หนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ ที่เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่ออุ่นเมือง พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองปาย และแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่แปลกคือ มีน้ำซึมออกมาในเศียรตลอดเวลา จนทางวัดได้นำน้ำที่ซึมออกมานั้นมาผสมเป็นนำมนต์ให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้นำกลับไปด้วย

และที่วัดแห่งนี้ยังมีเจดีย์ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างถวายแด่พระพี่นางสุพรรณกัลยา และมีพระราชานุสาวรีย์ของทั้งสามพระองค์อยู่ภายในวัดนี้ด้วยค่ะ




หลวงพ่ออุ่นเมืองคือองค์เล็กด้านหน้าค่ะ




เจดีย์ที่สันนิษฐานว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้าง



ออกจากวัดน้ำฮูกันตอนเที่ยงพอดี ซึ่งก็เข้าโปรแกรมของพวกเราที่วางเอาไว้ว่าจะไปรับประทานขาหมู-หมั่นโถวอันเลื่องชื่อที่หมู่บ้านสันติชลหมู่บ้านของชาวจีนยูนนาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดน้ำฮู พี่หมูใช้เวลาขับรถเพียงไม่กี่นาทีก็มาถึงหมู่บ้านแล้ว

ที่หมู่บ้านนี้มีของที่ระลึกจำพวกชาจีนสารพัดกลิ่น และผลไม้แห้งจำพวกบ๊วย ท้อ ทั้งหลายให้เลือกซื้อกัน

และไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ชิงช้าสวรรค์ค่ะ จริงๆ ไม่ทราบว่าเค้าเรียกว่าชิงช้าอะไร แต่เป็นชิงช้าที่เล่นได้คราวละ 4 คน หรือ 2 คน (ห้ามเล่นเป็นจำนวนคี่นะคะ สันนิษฐานว่า น่าจะเกี่ยวกับสมดุลของชิงช้านั่นเอง) โดยจะมีน้องๆ หนุ่มๆ หน้ามนมาคอยหมุนให้ เราก็ได้ลองเล่นเหมือนกันค่ะ แค่เที่ยวเดียวก็เสียว....สุดๆ เพราะเป็นโรคกลัวความสูงยิ่งกว่ากลัวหาแฟนไม่ได้ซะอีก ฮา..... แต่คุณหมอปูนนี่เล่นซะสามรอบ...ทึ่งเจงๆ




ป้ายหน้าหมู่บ้านค่ะ ต้องขออภัย...ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรอะค่ะ




บรรยากาศเงียบสงบภายในหมู่บ้าน ที่ต้องเปลี่ยนไปเพราะเสียงวี้ดว้ายของยัยพวกนี้...



ตอนแรกคิดว่าจะกินข้าวกลางวันกันที่นี่ แต่เมื่อสำรวจประชามติแล้ว ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "อาหารเช้ายังไม่ย่อยเลย" โปรแกรมอาหารกลางวันของพวกเราก็มีอันต้องล่มไปโดยปริยาย

บ่ายโมงตรงพวกเราก็ออกจากหมู่บ้านสันติชลกลับที่พัก เพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย โดยนัดกันอีกทีตอนสี่โมงเย็นเพื่อขึ้นไปวัดพระธาตุแม่เย็น ชมวิวเมืองปายตอนเย็นๆ

พอถึงบ้านปายนา แต่ละคนก็มุดเข้าบ้านนอนกันเงียบ ส่วนเราสามสาวก็ต้องไปเช็คอินที่พักใหม่ ซึ่งหมอแนนจองไว้สำหรับตัวเองกับพี่หมอเจี๊ยบ แต่ก็ต้องหนีบเราไปด้วยเพราะมีน้องโยเพิ่มมาทีหลัง เราเลยต้องระเห็จไปนอนกะหมอแนนแทน

สามสาว (จริงๆ เป็นสี่เพราะหนีบเอาหมอปูนมาเป็นเพื่อนด้วย) ขี่มอเตอร์ไซค์หาที่พักใหม่ "Love Pai Home" ซึ่งอยู่อีกตำบลหนึ่ง เราก็ขี่รถไปตามป้ายเรื่อยๆ ไกลมากค่ะพี่น้อง ประมาณ 4-5 กิโลได้ ทางก็ค่อนข้างเปลี่ยว เพราะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่บรรยากาศรอบนอกดีมากเลยค่ะ มีไร่กระเทียมอยู่สองข้างทางเป็นระยะ สดชื่นดีจริงๆ

ใช้เวลาชั่วเคี้ยวหมากแหลก (เอิ้กๆ) ก็มาถึงที่พักใหม่จนได้ พวกเราก็เข้าไปเช็คอินทันที

ที่นี่บรรยากาศดีมากค่ะ สมกับราคา 1250 บาทต่อคืน และการต้อนรับก็อบอุ่นมาก โดยคุณป้าแม่บ้านที่ใจดีและน่ารักมากๆ เลยค่ะ เสียดายไม่ได้ถามชื่อคุณป้ามา




บรรยากาศรอบๆ ใน Love Pai Home




บรรยากาศที่บ้านพักค่ะ บ้าน Fire



สี่สาวโฟร์แองจี้ลั้นลาถ่ายรูปกันอยู่ที่เลิฟปายโฮมจนใกล้เวลานัด แล้วเราก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่บ้านปายนากันอีกครั้งหนึ่ง แต่หมอแนนกะพี่หมอเจี๊ยบไปเปลี่ยนรถที่ร้านเพราะตัดสินใจจะเช่าต่ออีกวันเลยจะเอารถดรีมเพราะถูกหน่อย (แต่ไปๆ มาๆ หมอแนนเกิดเปลี่ยนใจ ไม่ยอมเปลี่ยนซะงั้น)


พวกเราอีกสามคันก็ขึ้นไปบนวัดพระธาตุแม่เย็นกัน ไหว้พระ ชมวิวกันซักพักก็ลงไปหาอะไรกินกันที่ถนนคนเดินอีกแล้ว

วันนี้ผู้คนบางตาผิดกับเมื่อวานหน้ามือกับหลังมือเลยค่ะ สงสัยเพราะเป็นวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็เลยกลับไปกันหมด แต่ถึงคนเดินจะน้อยมาก แต่ของที่มาขายสองข้างทางก็ยังคงมาตั้งร้านกันคึกคักเหมือนเดิม

พวกเราเดินไปเดินมาจนหิว ก็ได้เวลากินกันอีกแล้ว วันนี้เราแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอันประกอบด้วยหมอแนน พี่หมอเจี๊ยบ คุณปุ๋มและน้องโยอยากจะกินพิซซ่าที่อร่อยที่สุดในปาย ซึ่งเค้าจะจำกัดจำนวนที่ทำในแต่ละวันด้วย ส่วนอีกฝ่ายคือเรา หมอปูน คุณฝาย แมน และดา ก็ไปกินอาหารไทยกันที่ร้าน "บ้านปาย" ร้านขึ้นชื่อของปาย (ไม่ยอมกัน ฮี่ๆๆ)

และวันนั้นมีฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศระหว่างไทยกับสิงคโปร์พอดี ก็เลยเข้าทาง นั่งดูบอลที่ร้านนั้นซะเลย

ระหว่างพักครึ่ง เรากับหมอปูนก็เดินไปส่งโปสการ์ดกันที่ร้านมิตรไทย เพราะคืนนี้เป็นคืนสุด้ายที่เราจะได้อยู่ที่ปายนี่แล้ว ถ้าไม่ส่งคืนนี้ก็คงไม่ได้ส่งกันล่ะ




ก่อนส่งก็ประทับตรากันเซียะหน่อย จากนั้นก็ส่งได้ค่า



บอลจบพวกเราก็ยังเดินลั้นลากันต่อ ไม่ได้สำเหนียกกันเลยว่าจะต้องขี่มอเตอร์ไซค์กลับที่พักซึ่งอยู่ไกลและเปลี่ยวขนาดไหน จนสี่ทุ่มถึงได้ฤกษ์บอกลาถนนคนเดินกัน และแยกย้ายกันกลับที่พักเลย อากาศก็หนาวจับจิต ยิ่งขี่มอเตอร์ไซค์ออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ อากาศก็เย็นลงเรื่อยๆ คืนนั้นถึงที่พักประมาณสี่ทุ่มครึ่ง และรีบอาบน้ำนอนกันเลย

อย่างที่บอกว่าหมอแนนจองที่นี่ไว้โดยบอกว่ามาพักกันสองคน พอเรามาด้วยก็เลยต้องกลายเป็นส่วนเกินนอนที่นอนเสริมที่พื้น แล้วดีไซน์ของบ้านนี้ก็เก๋ไก๋นะค้า...มีช่องลมอยู่ข้างล่างค่ะ แทนที่จะอยู่ข้างบน ดิฉันก็ต้องนอนตากแอร์เลยสิคะ แต่เราก็ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตาง่ายๆ ค่ะ ไปเกณฑ์กระเป๋าสัมภาระของทุกคนมาวางบังช่องลมเอาไว้...ฮี่ๆ เอาล่ะ คราวนี้ก็สบายแร้วววว


แต่ตกดึกมดน้อยก็ต้องกลายเป็นกุ้งแช่แข็งค่ะ เพราะอากาศหนาวมากกกกก จนต้องค่อยๆ หดขาเข้ามาเรื่อยๆ พอหดแล้วก็เอากลับไปไม่ได้ด้วย แง...


ผ่านพ้นค่ำคืนอันเหน็บหนาวรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด ตอนเช้าก็รีบตื่นแต่เช้าเพราะนัดกันว่าจะออกจากปายกันแปดโมง แต่ก่อนไปเราก็ต้อง Have Breakfast กันซะก่อนค่า พอกินเสร็จก็ขี่มอเตอร์ไซค์สั่นหงึกๆ ไปที่ร้านรถ กะว่าจะไปเดินถ่ายรูปร้านรวงตอนเช้าๆ ซะหน่อย แต่ว่าเดินไม่ทันจะถึงไหนรถก็มาซะแล้ว ก็เลยไมได้เก็บภาพตอนเช้าเลย



Breakfast ที่ Love Pai Home ค่ะ น่ากินมั้ยคะ






บรรยากาศเมืองปายตอนเช้า ยืมรูปหมอปูนมาค่ะ



เมื่อพร้อม พวกเราก็จากปายกันตอนแปดโมงนิดๆ และยิงยาวมากินข้าวเทียงกันที่กาดทุ่งเกวียน ลำปาง และที่นี่ก็ได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับไปกันตรึม

เราแวะพักรถอีกทีที่สิงห์บุรีและเก็บรูปนี้มาเป็นรูปสุดท้ายของทริปค่ะ



...ปาย...แสดงแบบโดยคุณปุ๋มและน้องโยค่ะ



พวกเราถึงกรุงเทพฯ กันประมาณสามทุ่ม และแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

เป็นอันว่าจบการเดินทางไป ปาย ด้วยประการฉะนี้ เหอๆ หมดมุขจะปิดค่ะ ขอจบดื้อๆ เลยก็แล้วกันนิ อิอิ


ปล. รูปปลากรอบทั้งหมดต้องขอขอบคุณ หมอแนน และหมอปูนด้วยนะคะ

ปล.สอง รูปอื่นๆ ของทริปนี้ ดูได้ ที่นี่ เลยค่ะ



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 17 มีนาคม 2550 22:14:07 น.
Counter : 1997 Pageviews.

2 comments
  
ตามไปเที่ยววววววว บรรยากาศน่าหนุกมากๆ เลยครับหนูมด สตรอว์ฯ ของโปรดพี่ราคาถูกแสนถูก แถมลูกใหญ่เป้งเลยอ้ะ อิจฉาที่ซู้ด

พี่ชอบชื่อ "ส่วยทะมิน" ฮ่าๆๆ เท่มากๆ ฟังดูบึกบึนดีอ้ะ และชอบรูปย้อนแสงรูปนั้นจังเลย ได้บรรยากาศมากๆ
โดย: วลีวิไล วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:23:52:46 น.
  
To มด

55555555 ตามไปเที่ยวด้วยเหมือนกัน แบบว่า ฮึ้ย อิจฉาหลาย บรรยากาศดีมากๆ เต็มอิ่มเหมือนไปเองก็ไม่ปาน อิอิ

ปล. แข็งเกิ๊กเดิ๊กมันซิเป็นจั๊งไสหว่า 555

แสนดีคนเดิม
โดย: superverynice วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:0:31:40 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มดน้อยต้อยตีวิด
Location :
นครปฐม  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



Blog นี้เปิดทำการตั้งแต่วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๙

-------------------------------------------------

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิดโดยการนำรูปภาพและข้อความต่างๆ บางส่วนหรือทั้งหมดใน Blog นี้ไปเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ส่วนตัวหรือในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายที่บัญญัติไว้สูงสุด
::ผลงาน::
New Comments