Sat...on me !!
บ่ายวันเสาร์ นัดเพื่อนสาวจะไปเดินดูกล้องรุ่นยอดนิยม G11 ที่พันธุ์ทิพย์ และกะไว้ว่าจะแวะไปสักลายที่ตัวให้หายบ้าในตอนเย็นที่สยาม (หลังจากที่นัดคุณช่างสักไว้แล้วต้องมีภาระกิจที่ต่างทำให้เค้าติดบ้าง เราติดบ้าง..สุดท้ายวันนี้ก็อดอีก เพราะช่างคิวเต็ม อดกัน...ได้มาแต่กล้อง บึกบันบึนแต่ก็ดูบอบบาง เหมือนผู้หญิงสวยเก่ง) วันเสาร์ยามบ่ายกะอารมณ์ว่างๆ ไร้สมอง ขับรถขึ้นท่างด่วน ตอนแรกๆเห็นฟ้าครึมมากๆ นึกว่าฝนจะตก พอขับเลยไปได้หน่อย ฟ้าสว่างสดใสแฮ่ะ เลยอดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้แต่ก่อนไม่เคยรู้ตัวว่าชอบถ่ายรูป รู้แต่ว่าต้องเรียนถ่ายรูปมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย โดนเรียนเป็นวิชาเอก เพราะเรียนสาขาออกแบบ พื้นฐานด้านการถ่ายรูปเลยถูกรวมเป็นหนึ่งในวิชาหลักที่ต้องอ้างอิงทฤษฏีขึ้นมาทันที ซึ่งกับบางคนอาจจะเถียงว่าคงม่จำเป็น (อันนี้ก็แล้วแต่พื้นฐานมุมมอง การเลือกหยิบบางจุดขึ้นมาถ่ายทอด หรือจุดประสงค์บางอย่างของภาพ ก็ว่ากันไป...)ครั้นพอขึ้นป.ตรี ก็เลือกเรียนเทคโนโลยีทางการศึกษา เทคโนโลยีทางการศึกษาจะเป็นสาขาวิชาที่ว่าด้วยการผลิตสื่อเพื่อการเรียนการสอนในแวดวงการศึกษา (จริงๆแล้วถ้าอยากให้เห็นภาพชัด ก็อาจจะเอาไปเทียบกับพวกนิเทศก็ไม่ปาน เพราะจะต่างกันแค่จุดประสงค์ในการนำทฤษฏีไปประยุกต์ใช้ โดยนิเทศจะเน้นงานโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่อิงวงการธุรกิจ แต่เทคโนฯจะอิงวงการการศึกษามากกว่า)จะเริ่มเครียดเกินไปแล้ว ที่เล่าๆมาทั้งหมดอ่ะ จะแค่บอกว่าไม่รู้ว่าชอบถ่ายภาพมาตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ต้องมีกล้องติดตัวเสมอ ไว้คอยเสนปช็อตไปเรื่อยเปื่อย อย่างที่เห็นไปทางโน้นก็ถ่ายเก็บไว้...ไปทางนี้ก็ถ่ายเก็บไว้... จนมืดคำยังงัยก็ถ่ายได้ มีความหมายบาง ไม่มีความหมายบ้าง เวลามองภาพนิ่งเหล่านี้ มันมีเรื่องราวดีนะ มองทีไรก็มักจะเห็นเรื่องราวที่เป็นภาพเคลื่อนไหวแฝงอยู่ในภาพทุกทีไป...ราตรีสวัสดิ์...
Krabi~Phuket
สงกรานต์ปี 2010 หลังจากทำงานเป็นกรรมกรกะสาวโรงงานปนๆตำแหน่งกันไป จนงงว่าตัวเองทำงานอะไรอยู่พักนึ่ง...ก็นึกขึ้นได้ว่าปีีนี้ยังไมไ่ด้เที่ยวแบบเป็นเรื่องเป็นราว ที่ถือเป็นการพักผ่อนจริงๆ เลย ถ้างั้นหาที่เที่ยวชิลๆ กันเถอะ เอ่ยปากกับญาติผู้ใหญ่สูงวัยคนนึ่ง >_<' เรียกเค้าว่าเป็นรุ่นพี่พอ เดี๋ยวเข้ามาอ่านแล้วจะเกลียจกันป่าวๆ 555 (คำว่าเที่ยวปีนี้..ไม่ขอนับรวมทริปใกล้ๆที่ไปทีไร ไม่พ้นต้องขับรถเองทุกที แบบนั้นเรียกไปเที่ยวอย่างเดียวพอ เพราะไมไ่ด้พักผ่อนเลย..เหนื่อย)จะเรียกว่าเป็นทริปปุบปับทัวร์ก็ได้ เพราะกำหนดการหลายๆอย่างแค่คุยๆกันไว้แบบคร่าวๆมาก พอเอาเข้าจริงๆใกล้วัน ยังไมไ่ด้จองไรเลยซักอย่าง ดีนะที่เป็นคนกว้างขวาง 555 (ไม่ได้อ้วนอย่างเดียวนะเอ้อ กว้างขวางด้วย) เลยพอจะมีใครให้ไหว้วานช่วยเหลืออยู่ได้บ้าง (ขอบคุณหลายๆพักพวก)ขาไป บินไป เพราะอันนี้ได้ข่าวว่าจองไว้ก่อนเป็นเดือน แต่ขากลับนี่สิ แทบไม่มีอะไรเหลือให้ร่วมเดินทางกลับมาได้ โชคดีที่เพื่อนไปบังคับขู่เข็ญแลกตั๋วอะไรกะอะไรมาได้ไม่รู้ ทำให้เราได้ตั๋วรถ VIP 24ที่นั่ง เป็นพาหนะขากลับ (แค่นี้ก็เอาแล้ว ดีกว่าว่ายน้ำกลับมาล่ะว่ะ...)ขาไปไปลงสนามบินกระบี่... เป็นสนามบินเล็กๆ เดินแป็บเดียวก็ถึงอาคาร และก็เดินอีกแป็บเดียวก็ออกนอกอาคารแร๊ะ พนักงานกับรถตู้จากรีสอร์ทที่จองไว้ก็มารอรับไปต่อเรือเพื่อข้ามไปเกาะ ... ตอนข้ามไปเกาะ ที่นี่เค้าจะใช้รถแทร็กเตอร์มาพ่วงส่วนท้ายเอาไว้ขนรับส่งแขกเก๋ๆ เพราะน้ำลงไกลมาก ถ้าเดินคงเป็นกิโล แล้วแถมทรายแถวนี้จะเป็นเหมือนป่าโกงกาง มันเลยเละๆปนๆเลนหน่อยๆ ลองนึกสภาพตามนะ ถ้าเดินขนาดนั้นบนสภาพพื้นดินปนทรายแบบนี้คงสวยกันน่าดูชม น่าจะมีดีดกระเด็นประหนึ่งนั่งวินมอไซด์ตอนฝนตกมาแน่ๆ ชมภาพตาม...ณ จุดนี้ ... เราก็ถึงที่หมายบนหาดไร่เลย์แล้วสินะ.. ที่นี่จะเด่นดังเรื่องหน้าผา มีกิจกรรมการปีนป่ายให้นักท่องเที่ยวแก้เหงา ทั้งปีนแบบเป็นเรื่องเป็นราว ที่มีเชือกห้อยๆแล้วต้องโหนตัวไปล็อกเกี่ยวตามหินบนผาเลย กับแบบที่ไว้สำหรับเด็กหัดปีน ไมไ่ด้โหดไรมาก แต่ชัน... เด็กๆอย่างเราเลยเลือกที่จะลองแบบนี้ ... ทำเอาแขนขาห้อยไปสองวัน แอบโหดเหมือนกันนะเนี๊ย ผาเด็กๆ...เหอเหอ อยู่ที่นี่ 2 คืน ไปดำน้ำ ว่ายน้ำในสระ (นิดหน่อย พอแก้ร้อน) ไปนอนนวดตัวตามแพ็กเก็จ อันนี้ใช้ได้เลย ติดใจยาหม่อง ที่เค้าจ้วงมือแล้วเอามาป้ายปาดลงที่หน้าขาแล้วนวดๆๆๆๆ ซักพักมันก็เย็นดิ่ โอ๊ว... เย็นไปถึงไหนๆ พออยู่ที่นี่ครบกำหนด เราก็ไปต่อที่ภูเก็ต จากกระบี่ไปภูเก็ตเราเลือกไปรถตู้ เพราะกะว่าคงเร็ว แต่ที่ไหนได้ กว่าจะได้ขึ้นรถ รถทัวร์ไปภูเก็ตออกไปแล้วสามคัน สรุป ไม่ได้เร็วกว่าเลย แถมต้องนั่งเบียดๆกันในที่เล็กๆอีก ร้อนก็ร้อน ยืดขาก็ไม่ได้ (ขนาดเราขาสั้นๆนะ ยังเหมือยเลย) หิวก็หิว โอ๊ย...$#%@@#!#~@+!~.... แต่ถึงจะบ่นยังงัย ทุลักทุเลขนาดไหน บอกได้คำเดียวว่าคุ้มคับ มันได้ไปชิลจริงๆ ไม่ต้องไปกังวลอะไรกับใคร ถอดโลกอีกโลกนึ่งไว้ข้างหลัง แล้วจัดเต็มด้วยการไปดื่มด่ำกับธรรมชาติที่มีอยู่ข้างหน้าถึงแม้ไม่ได้สวยงามมากมายเหมือนที่ไหนๆ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งหนึ่งรับรู้ได้คือ การเลือกความสุขน้อยใหญ่หรืออะไรสำคัญมากมายขนาดไหน มันอยู่ที่ใจจริงๆนะ ขึ้นอยู่ที่มุมมองของเราล้วนๆ ตึงได้ แต่ต้องผ่อนให้เป็นด้วย...โอเคร๊.. ((แอบจบซะเป็นทางการเร๊ย 555))ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากใครให้เป็นใครไม่ต้องขวนขวายกระเสือกกระสนที่จะเจอไม่ต้องคร่ำครวญหรือรำร้องเมื่อต้องลาเพราะทุกๆนาทีมีค่า มากกว่าแค่เข็มเวลาผ่านเลย ..........................................