Group Blog
 
All blogs
 

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 1

หวัดดีค่า

มิถุนามาเริ่มเรื่องใหม่แล้วนะคะ แต่งสลับกันเพื่อลดความเบื่อเหมือนเคยค่ะ เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องใหม่ แต่มีตัวละครคุ้นหน้าหลายตัวละครเลย ลองมาอ่านกันดูเลยก็แล้วกันค่ะว่ามีตัวละครไหนบ้าง แล้วคุยกันท้ายเรื่องค่ะ

มิถุนา

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 1

กิจกรรมในบ่ายวันเสาร์นี้ค่อนข้างผิดแผกจากสุดสัปดาห์ธรรมดาของณัฐทินี ซึ่งคือการพักผ่อนอยู่กับบ้าน ดูโฮมเธียเตอร์ แผ่นดีวีดีภาพยนตร์และซีรีส์ที่เธอหาซื้อมาบันเทิงตัวเอง หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาจากการทำงานตลอดทั้งอาทิตย์ เธอกำลังมาเยี่ยมหลานสาวคนแรกและคนเดียวของเธอ เนื่องในโอกาสที่เด็กหญิงกำลังจะมีอายุครบขวบ เธอไม่ได้มาคนเดียว...แน่ล่ะ เพราะเธอไม่เคยมาหาหลานโดยไม่มีคนลากเธอมาด้วย เนื่องจากมัวแต่สนใจกับการทำงานมากกว่านั่นเอง...เธอมากับสรียาและดนัยภัทร แม่กับน้องชายคนเล็กของเธอ

ดนัยภัทรเป็นคนขับรถ แม่และเธอนั่งสบายมาตลอดทาง พวกเขามาถึงในช่วงบ่าย อชิระ พ่อของหลาน หรือน้องชายคนกลาง...ซึ่งเป็นน้องชายคนละพ่อ เป็นคนมาเปิดประตูรับ ส่วนยายหนูปลายหรือเด็กหญิงอชิรญา...หลาน...และมิลินท์...น้องสะใภ้รออยู่ในห้องรับประทานอาหาร กำลังนั่งกินของว่างประจำวันกันอย่างเพลิดเพลิน

สรียาไม่สนใจลูกชายและลูกสาวที่มาด้วยกัน หรือกระทั่งเจ้าบ้านอย่างอชิระ เธอเดินไปหาอชิรญาแทบจะทันที และเด็กหญิงก็เรียกย่าเสียงดัง ทำเอาคุณย่ายิ้มแก้มปริ

“ย่า”

“ย่าคิดถึงหนูจังเลย” สรียาย่อตัวลงไปจูบพวงแก้มสีแดงหอมกลิ่นแป้งเด็กของอชิรญา อยากจะอุ้มยายหนูขึ้นมากอดเหลือเกิน ทว่าติดอยู่ว่ายายหนูกำลังกินอาหารว่างอยู่ ก็เลยไม่อยากจะรบกวนให้เสียกระบวน

ผู้คนมากมายที่เข้ามารุมล้อมทำให้อชิรญาละความอยากของว่าง เธอทิ้งช้อนสีชมพูลงในชามข้าว ดวงตาสีน้ำตาลใสวาววับเมื่อเห็นป้าและอา เธอกวักมือทั้งสองข้างเรียกและร้อง “ตะต๊ะ”

“แหม เอาแต่เรียกป้ากับอาว่าตะต๊ะ เมื่อไหร่ถึงจะเรียกป้ากับอาได้สักทีล่ะจ๊ะยายหนูปลาย” ณัฐทินีเอานิ้วไล้แก้มนุ่มของเจ้าตัวน้อย ผู้เป็นดวงตาดวงใจของพวกเธอทุกคน ยายหนูจะอายุครบหนึ่งขวบในวันพรุ่งนี้ แกน่ารักและฉลาดเกินวัยจนใครๆ ต่างพากันหลงรัก ไม่เว้นกระทั่งเธอที่ไม่ค่อยจะพิศวาสเด็กเล็กๆ สักเท่าไหร่

“นั่นสิ ไหนลองเรียกซิ อาภัทร...อาภัทร” ดนัยภัทรพูดชื่อตัวเองซ้ำๆ อย่างเชื้อชวน ทว่าอชิรญาก็ทำให้เขาผิดหวังด้วยการพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา และร้องว่า

“อ๊ะๆ”

“พุทโธ่ ยายตัวยุ่ง หน้าอาเปื้อนน้ำลายหมดแล้ว” ดนัยภัทรยืดตัวขึ้นมาเช็ดน้ำลายเปียกๆ ออกจากหน้า

“ฮ่าๆ” ณัฐทินีหัวเราะ ที่เห็นน้องชายย่นหน้า ทำนองว่าเหม็นน้ำลายบูดหลานสาว และอชิรญาก็ร่วมหัวเราะกิ๊กกั๊กไปกับเธออย่างรื่นเริง

“โห พี่ณัฐนะ ใจร้ายมาก รวมหัวกันกับยายปลายหัวเราะภัทรเหรอ”

“ช่วยไม่ได้ ก็มันตลกนี่นา” ณัฐทินียิ้มน้อยๆ พร้อมกับไหวไหล่ข้างหนึ่งสูง ก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับยายหนู “เนอะน้องปลายเนอะ”

อชิรญาไม่รู้เรื่องอะไรหรอก แต่เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้ เธอก็ยิ้มร่าตอบ แถมยังตบมือด้วยความยินดี ทำเอาดนัยภัทรหน้าบูดไปถนัดที่โดนพี่สาวกับหลานสาวรวมหัวกันรังแก

“แล้วนี่ยายปลายกินอาหารว่างเสร็จหรือยัง” สรียาถามมิลินท์ ดวงตาเหลือบมองชามสีชมพูตรงหน้าที่มีอาหารเสริมเละๆ อยู่ไม่มาก

“เกือบเสร็จแล้วค่ะ เหลืออีกนิดเดียว แต่คนมาเยอะแบบนี้ คงจะกินยากหน่อย เพราะอยากจะเล่นมากกว่า” มิลินท์ตอบ อชิรญาเป็นเด็กแปลก ชอบเล่นกับทุกคน ไม่ว่าคนแปลกหน้าหรือคนรู้จัก เรียกว่าเป็นเด็กที่ไม่กลัวคนนั่นแหละ

“แม่มารบกวนหลานกินอาหารว่างพอดีเลย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ช่วยกันป้อนก็ได้ เล่นไปป้อนไป มีคนใหม่ๆ เอาใจ เดี๋ยวก็ยอมกินเอง แม่จะป้อนไหมล่ะคะ” พูดไม่ทันไรลูกสาวของเธอทิ้งช้อนในมือและหันไปเล่นกับดนัยภัทรซึ่งกำลังทำหน้าตลกใส่แล้ว

“แบร่ บรู่” ดนัยภัทรดึงหน้าตัวเองไปพลาง ทำเสียงตลกใส่อชิรญาไปพลาง และอชิรญาก็หัวเราะใหญ่ ไม่ร้องไห้หรือเบ้หน้าหนีกลัวอย่างเด็กเล็กๆ บางคน

“ระวังเถอะภัทร ดึงหน้าแบบนั้น หน้าจะย่นก่อนวัยอันควร” ณัฐทินีทำเสียงหวาดเสียวเมื่อเห็นน้องชายดันพื้นที่หนังหน้ายืดไปถึงริมหู จนเนื้อบริเวณรอบๆ ตึงเปรียะ

ดนัยภัทรปล่อยมือ และหันมาพูด “แหม พี่ณัฐ ภัทรยังไม่ขึ้นเลขสาม ไม่กลัวหรอก”

“หน็อย” ณัฐทินีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน รู้ว่าน้องชายกำลังแขวะเธอที่อายุสามสิบพอดีเป๊ะ ไม่เหมือนเขาที่เพิ่งจะยี่สิบหก “ทำเป็นพูดดีไป พี่น่ะ เห็นมานักต่อนักแล้ว ไอ้พวกยี่สิบกว่าๆ แต่ไม่รู้จักบำรุงบำเรอหน้า ปล่อยทิ้งไว้ไม่ใส่ใจจนหน้าเหี่ยวก่อนวัย” เธอเชิดหน้าน้อยๆ อย่างน้อยแม้เธอจะอายุสามสิบ แต่เธอก็ยังไม่มีรอยตีนกาขึ้นสักเส้นก็แล้วกันน่ะ

“พอเลยสองคน ไม่ช่วยแม่ป้อนข้าวหลาน เอาแต่เถียงกันอยู่นั่นแหละ”

สรียาซึ่งเพิ่งจะรับช้อนมาจากมิลินท์ติงอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันไปสนใจหลานสาวต่อ

“น้องปลายจ๋า กินข้าวหน่อยนะ ย่าป้อน อะ...อ้าม” สรียาลากเสียงเชิญชวน เช่นเดียวกับดนัยภัทรที่หันมาทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างแข็งขัน

“อ้ามมมม” ดนัยภัทรอ้าปากกว้าง “น้องปลายคนเก่งของอา กินข้าวคำโตเร้ว”

ณัฐทินียืนมองแม่กับน้องชายช่วยกันเลี้ยงหลานด้วยรอยยิ้มสุขใจ เธอดีใจที่แม่มีความสุข หลังจากที่ทุกข์ทนกับอดีตที่เก็บงำไว้แต่เพียงผู้เดียวมานาน ปีที่แล้วแม้จะเป็นปีที่ทุกข์สำหรับแม่...และสำหรับอชิระ ซึ่งพลอยทำให้เธอทุกช์ใจไปด้วย แต่หลังจากผ่านเรื่องร้ายมาได้ แม่ก็มีแต่ความสุข เธอดีใจไปกับแม่และครอบครัวของน้องชาย และแน่นอนว่ามันทำให้เธอมีความสุขเช่นกัน

“ยายปลายตัวโตขึ้นหรือเปล่าเนี่ย” เธอเอ่ยลอยๆ ดวงตาจับจ้องมองหลานสาวตัวน้อย หน้ากลมแป้น ในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพู เธอไม่ได้เห็นหน้าหลานนานแล้วเหมือนกัน เนื่องจากมัวแต่ยุ่งงานที่บริษัท

“โตขึ้นค่ะ หนักขึ้นกับสูงขึ้นนิดหน่อย อ้อ ผมก็ยาวขึ้นด้วย แต่ยาวไม่มาก ยังคงเป็นผมสั้นๆ คล้ายทรงของเด็กผู้ชายอยู่ดี” มิลินท์ตอบ มือเอื้อมไปแตะผมทรงน้ำพุของลูกสาวอย่างเอ็นดู

“แหม สงสัยเจอกันอีกที คงจะโตจนจำไม่ได้แหงๆ”

“พี่ณัฐก็เพลาๆ งานบ้างสิ จะได้มีเวลามาเยี่ยมหลานไง” อชิระก้าวมายืนเคียงข้างมิลินท์ และโอบเอวเธอไว้หลวมๆ ฝ่ายมิลินท์ก็เอนพิงสามีอย่างไว้ใจ

“ถ้าทำได้ง่ายแบบนั้นก็ดีสิต้น” ณัฐทินียิ้มอย่างจนใจ

“ไอ้ทำน่ะมันทำได้อยู่แล้ว แต่พี่ณัฐจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง” ดนัยภัทรเอ่ยทะลุขึ้นมากลางปล้อง เขาทำงานกับณัฐทินีมานานจนทราบว่าเธอเป็นคนอย่างไร ณัฐทินีจริงจังกับงานเกินไปจนแทบไร้ชีวิตส่วนตัว

“พูดมากจังภัทร เดี๋ยวก็หักเงินเดือนเลยนี่”

“โหพี่ณัฐ ใจร้ายมาก ถือว่าตัวเองเป็นคนเซ็นสลิปเงินเดือนใช่ไหมเนี่ย เลยขู่เอาๆ แบบนี้” ดนัยภัทรแกล้งทำเสียงฮึ่มฮั่มไม่พอใจในลำคอ

“เออสิภัทร รู้ก็ดีแล้ว” ณัฐทินีหลิ่วตาให้น้องชายอย่างยียวน สรียา อชิระ และมิลินท์หัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน

ดนัยภัทรเลยโยนลูกต่อให้พี่ชาย “พี่ต้นน่าจะมาทำงานกับพี่ณัฐ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระ พี่ณัฐจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากทำงาน”

หลังจากณัฐดนัย บิดาของพวกเขาเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแบบปัจจุบันทันด่วน ณัฐทินีก็รับช่วงกิจการออกแบบและตกแต่งภายในของที่บ้านมาดูแลด้วยตัวเองคนเดียว โดยมีเขาเป็นผู้ช่วยมือขวาสารพัดนึก การบริหารงานที่บริษัทหลังจากขาดหัวเรือใหญ่อย่างบิดาเป็นไปด้วยดี ไม่มีสะดุดหรือมีปัญหา เนื่องจากณัฐทินีคุ้นเคยกับบริษัทมาร่วมแปดปี เธอเริ่มทำงานกับบิดามาตั้งแต่เรียนจบแล้ว

“พี่ณัฐเก่ง ไม่ต้องรอให้พี่ช่วยหรอกน่าภัทร” อชิระไม่รับลูกด้วย เขายังสะดวกใจที่จะทำงานกับคนนอก มากกว่าคนในครอบครัว แต่ก็อาจมีสักวัน...ถ้ามันจำเป็น...เขาจะกลับไปตามที่ถูกเรียกร้อง

“แต่แม่เป็นห่วงณัฐนะ เอาแต่ทำงานหน้าดำคร่ำเครียด ไม่มีเวลาเที่ยวพักผ่อน” ความจริงก็ไม่เชิงว่าณัฐทินีไม่มีเวลาพักผ่อน ณัฐทินีมี แต่มักเป็นการพักผ่อนหมกตัวอยู่กับบ้านแบบไร้สังคมที่ไหนมากกว่า “อายุก็สามสิบ แต่แฟนเฟินกลับไม่มีสักคน จนตอนนี้น้องชิงแต่งงานมีลูกไปก่อนแล้ว” สรียาซึ่งป้อนอาหารเสริมเสร็จแล้วยืดตัวขึ้นพร้อมอุ้มอชิรญามาไว้ในอ้อมอก อชิรญาเอามือกำผมม้วนพองของผู้เป็นย่าเบาๆ ด้วยความอยากรู้ เธอไม่ถือสา ปล่อยให้หลานม้วนผมเธอเล่นตามสะดวก

“โธ่ แม่ขา ชีวิตณัฐไม่ได้เศร้าขนาดนั้นสักหน่อย” ณัฐทินีโอด เธอไม่เข้าใจเลยว่าการทำงานมันไม่ดีตรงไหน ถึงเธอจะโสด แต่เธอก็โสดอย่างมีคุณค่านะ “ณัฐสนุกกับงานจะตายไป แล้วอีกอย่าง ต้นแต่งงานก่อนก็ดีแล้วนี่คะ ตอนนี้แม่เลยมีหลานสาวที่น่ารักหนึ่งคน” เธอเดินโฉบไปหาอชิรญา และเขี่ยแก้มป่องของสาวน้อยด้วยความเอ็นดู

“เนอะน้องปลายเนอะ” เธอพยักหน้ากับเด็กหญิง ยายหนูยิ้มกว้างตอบ แล้วเธอก็ชม “น้องปลายของป้าน่ารักที่สุด”

“น่ารักก็หาสามีสักคนสิครับพี่ณัฐ จะได้ผลิตเจ้าตัวเล็กน่ารักๆ แบบนี้เยอะๆ ไง” ดนัยภัทรแซวขึ้นมา

“ทำอย่างกับว่าจะหาได้ง่ายๆ อย่างงั้นแน่ะภัทร ผู้ชายนะ ไม่ใช่ปลา จะได้เอาเหยื่อล่อแล้วตกขึ้นมาเป็นของตัวเองได้” ณัฐทินียื่นหน้าเข้าไปใกล้อชิรญาและเอาจมูกถูจมูกจุ๋มจิ๋มเบาๆ “ใช่ไหมจ๊ะน้องปลาย”

อชิรญาไม่รู้เรื่องอะไร ได้แต่หัวเราะฮิฮะ แถมยังเอื้อมมือไปคว้าจมูกของอีกฝ่ายมาคลำจับด้วยความสนใจอีกต่างหาก

“อุ๊ยน้องปลาย เล่นอะไรเนี่ย” ณัฐทินีหัวเราะคิก

สรียาส่ายหน้า รู้สึกอ่อนใจกับความคิดและความเฉไฉของลูกสาว แต่ไม่ได้โต้แย้งอะไรเพิ่ม บางทีณัฐทินีก็หัวแข็งต่อต้านเธอด้วยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แบบนี้ หรือว่า...มันจะถึงเวลาที่เธอจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อลูกสาวบ้างแล้ว ขืนปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไรแบบนี้ ใครจะมาคอยดูแลณัฐทินีเวลาที่เธอไม่อยู่ ตอนนี้ณัฐทินีอายุสามสิบ ผ่านไปแป๊บๆ เดี๋ยวก็สี่สิบแล้ว ขืนปล่อยให้ณัฐทินีเป็นจอมบ้างานอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่าว่าแต่แต่งงานเลย แฟนก็คงจะหาไม่ได้ด้วยซ้ำ...เห้อ คิดแล้วคนเป็นแม่อย่างเธอช่างกลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน

“แม่คะ เราไปเอาของเล่นมาอวดยายปลายดีกว่าค่ะ” ณัฐทินีเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าอะไรๆ ก็พุ่งตรงมาทางเธอคนเดียว เธอไม่พูดเปล่า แต่หาแนวร่วมด้วย

“น้องปลายจ๋า คุณย่าซื้อของเล่นมาให้เพียบเลยรู้ไหม อยู่ตรงโน้น” เธอชี้นิ้วไปที่กองของขวัญบนโต๊ะรับแขก “ของเล่นเยอะแยะ ของน้องปลายคนเดียว”

อชิรญาเอื้อมมือไปข้างหน้า ทำท่าจะโผนเข้าหาคุณป้า “ปายไป” เธอเรียกชื่อตัวเองอย่างไม่ชัดถ้อยชัดคำ และแน่นอนว่าเธอเข้าใจคำพูดของคุณป้าได้พอสมควรโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า ‘ของเล่น’

สรียาปล่อยยายหนูให้ณัฐทินีอุ้ม และเดินตามลูกสาวและหลานสาวไป ในใจคิดครุ่นคำนึงหาวิธีการปลดปล่อยลูกสาวจากกรงจองจำความโสด โดยมีดนัยภัทร อชิระ และมิลินท์เดินตามหลัง

“ลูกเรานี่แก่เล่นจริงๆ นะมิลินท์”

“นั่นสิคะ ได้ยินของเล่นปุ๊บ เปลี่ยนใจจากคุณย่าไปหาคุณป้าปั๊บ”

“ยายปลายฉลาดจังนะครับ ภัทรคิดว่าเด็กที่ยังไม่ครบหนึ่งขวบเต็มจะพูดไม่ได้ หรือไม่เข้าใจอะไรเสียอีก” ดนัยภัทรออกความเห็นตามประสาคนโสด

“เด็กเกือบหนึ่งขวบก็เข้าใจอะไรเยอะแล้วล่ะค่ะพี่ภัทร รู้ภาษาตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ แต่พอพูดได้ก็ยิ่งเข้าใจ เด็กบางคนเก่งกว่ายายปลายอีก พูดได้ตั้งแต่เจ็ดแปดเดือนโน่น” น้องปลายเพิ่งเริ่มพูดตอนอายุครบสิบเดือน โดยเรียก ‘มะ’ เป็นคำแรก ตามมาด้วย ‘หม่ำ’ ที่มีพื้นเสียงใกล้เคียงกัน หลังจากทราบว่าลูกเริ่มพูดได้ มิลินท์ก็พยายามพูดช้าๆ ชัดๆ กับลูกเยอะๆ เพื่อลูกจะได้พูดได้เร็วยิ่งขึ้น และพูดชัดเจนตามหลักภาษาไทย

“ขนาดนั้นเชียว” ดนัยภัทรตาโต เขาไม่เคยรู้เลย ถึงจะมีหลาน แต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจหาหนังสือเด็กมาอ่านเสริมความรู้แน่ๆ

“ค่ะ”

“เดี๋ยวภัทรมีลูก ภัทรก็รู้เองแหละ แต่ไม่ว่าจะยังไง พี่ก็ว่าลูกพี่เก่งที่สุด”

“ฮ่าๆ พี่ต้นเนี่ย ไม่ค่อยเห่อลูกเลย” ดนัยภัทรหัวเราะแซว

“ไม่ได้เรียกว่าเห่อ เค้าเรียกว่ารักต่างหาก” อชิระยิ้มกว้าง ความสุขฉายชัดในดวงตาสีดำล้ำลึกของเขา จนคนมองอย่างดนัยภัทรยังนึกอิจฉา

แล้วอชิระก็จบท้ายประโยคว่า “ลองมีลูกสักคนแล้วจะรู้”

ดนัยภัทรหัวเราะแห้งๆ “คงจะอีกนานล่ะครับ” เขาเพิ่งจะอายุยี่สิบหกเอง กำลังสนุกสนานกับชีวิตโสด ยังไม่คิดจะแต่งงานมีลูกง่ายๆ หรอก

ดนัยภัทรลืมคิดไปแล้วด้วยซ้ำว่าอชิระแต่งงานตอนอายุยี่สิบเจ็ด แก่กว่าเขาเพียงแค่ปีเดียวเอง

“ถ้าภัทรเจอคนที่ภัทรรักจริงๆ ภัทรจะไม่อยากรอนานหรอก” อชิระตบไหล่น้องชายเบาๆ ก่อนจะหันไปสบตาหวานซึ้งกับมิลินท์ ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มเพื่อนสนิท ดนัยภัทรคงจะเป่าปากแซวแล้ว แต่ในกรณีนี้เป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ เขาจึงได้แต่พูดอย่างทึ่งๆ กึ่งดีใจว่า

“มิลินท์โชคดีจังนะ พี่ต้นรักมิลินท์มาก” แล้วเขาล่ะ เขาจะเจอผู้หญิงที่เขารักมากขนาดว่าอยู่โดยขาดเธอไม่ได้หรือเปล่านะ

“พี่โชคดีต่างหากที่มิลินท์รักพี่”

คนโสดอย่างดนัยภัทรแทบจมในทะเลน้ำตาล แล้วเขาก็ได้จังหวะฉุดตัวเองออกจากความเลี่ยนเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะกิ๊กดังลั่นของน้องปลาย

“นั่นแน่ะ สงสัยน้องปลายจะถูกใจของเล่น หัวเราะใหญ่เลย” เขาพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินไปหาสามสาวต่างวัยซึ่งนั่งอยู่กลางห้องรับแขกท่ามกลางกองของขวัญมากมาย

ไม่ไหวล่ะ อยู่ใกล้ๆ อชิระกับมิลินท์ เขาพาลจะเลี่ยนเอียนด้วยความรัก...ไม่ใช่ว่าเขาหมั่นไส้พี่ชายและพี่สะใภ้หรอกนะ เขาก็แค่...จักเดียมยังไงไม่รู้

เฮ้อ คนมีความรักเขาเป็นแบบนี้ใช่ไหม สงสัยความรักจะเกิดกับเขายากสักหน่อยกระมัง ก็เขาเป็นโรคแพ้ความหวานนี่นา
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

อชิรญาถูกล้อมรอบด้วยของเล่นมากมาย ไม่ต่างจากผู้คนที่รุมล้อมเล่นเป็นเพื่อนกับเธอ เด็กน้อยดีใจ ยิ้มแป้นไม่หุบ เนื่องจากชอบอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ยิ่งมีของเล่นรายล้อมควบคู่ไปด้วยแล้ว เธอยิ่งชอบใจใหญ่

“วู้...เรือบินบินไปทางซ้าย” ณัฐทินีร่อนตุ๊กตาเครื่องบินนุ่มนิ่มสีขาวน้ำเงินผ่านหน้าอชิรญาไปทางซ้าย เด็กหญิงมองตามด้วยดวงตาที่กลมโตใสแจ๋ว “เรือบินบินไปทางขวา” เธอบังคับมือผ่านหน้าหลานสาวอีกครั้ง “แล้วก็บินมาเกาะไหล่น้องปลาย” ก่อนจะจอดตุ๊กตาเครื่องบินบนไหล่เล็กๆ ของอชิรญา

“เอิ๊กๆๆๆ” อชิรญาหัวเราะร่าไม่หยุด หน้าก็หันไปมองเครื่องบินที่อยู่ข้างแก้มของเธอ และพ่นน้ำลายใส่มันทำนองว่าเธอกำลังเล่นด้วย

ผู้ใหญ่ทั้งหลายพลอยยิ้มหัวไปกับเจ้าตัวจ้อยและณัฐทินี

“สงสัยวันนี้ยายหนูจะต้องหลับเร็วแน่ๆ เลยค่ะคุณต้น” มิลินท์เปรย

“นั่นสินะ เล่นทั้งวันเลย ซนไม่หยุด แต่...ก็ดีแล้วล่ะ” ในประโยคสุดท้าย อชิระจ้องภรรยาตาวาว สื่อความหมายที่เธอเข้าใจได้ไม่ยาก

“บ้า คุณต้นเนี่ย” เธอทุบไหล่เขาเบาๆ ไม่สนใจคนในครอบครัวที่มีแอบมองทางพวกเขาด้วยความอิจฉาปนยินดีเลย มันราวกับว่าพวกเขามีกันและกันเพียงลำพังได้ตลอดเวลา

ฝ่ายณัฐทินีก็เล่นกับอชิรญาได้ไม่รู้เบื่อ

“เอ๊...เรือบินหายไปไหนน้า” เธอซ่อนเครื่องบินไว้ที่ด้านหลังของตัวเอง

อชิรญาโบกมือและทำชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปที่ข้างหลัง “ต๊ะๆ”

“รู้ด้วยเหรอคนเก่ง” ณัฐทินีดึงตุ๊กตาออกมาโชว์เฉลย แล้วยายหนูก็คว้าตุ๊กตาไปกอดรัด ณัฐทินีปล่อยเลยตามเลย แต่มือก็คว้าของเล่นชิ้นใหม่ขึ้นมาเตรียมรอเล่นกับอชิรญาอย่างรู้งาน

“ไหนว่าไม่ชอบเด็กไงล่ะพี่ณัฐ” ดนัยภัทรเอ่ยขึ้นมา จำได้ตงิดๆ ว่าพี่สาวชอบย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ชอบเด็ก รำคาญเด็ก

“ชอบเฉพาะยายปลายคนเดียวเท่านั้นแหละ” ณัฐทินีตอบ สายตาจับจ้องทอดมองแต่อชิรญาคนเดียว “น่ารักขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่หลง”

“แน่ใจเหรอพี่ณัฐ ไม่ใช่ว่าความจริงแอบรักเด็กอยู่แล้วหรอกนะ” ดนัยภัทรไม่ปักใจเชื่อง่ายๆ

“ก็งั้นสิ ไม่รักยายปลาย จะให้ไปรักเด็กที่ไหนล่ะ เนอะน้องปลาย” ณัฐทินีไม่สนใจน้องชายที่มักกวนประสาทเธอ ดนัยภัทรก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“อย่างงี้พอมีลูกจริงๆ จะต้องยิ่งเห่อกว่ายายปลายแหงๆ เลย” สุดท้าย ดนัยภัทรก็สรุปฟันธงที่ทำเอาณัฐทินีถึงกับหันมาหรี่ตามองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ภัทร”

“แค่สงสัยว่าเมื่อไหร่พี่ณัฐจะแต่งงานมีลูกสักที” ดนัยภัทรพูดเปิดประเด็นให้สรียาโดยไม่รู้ตัว

“ยังหาพ่อเด็กไม่ได้เลย” ณัฐทินีตอบกวนๆ

“งั้นแม่ช่วยหาให้เอาไหม”

ณัฐทินีหันขวับไปมองมารดา สีหน้าของสรียาดูจริงจังมากจนเธออดไม่ได้ที่จะขนลุกด้วยความสยดสยอง

“แม่อย่าล้อเล่นน่า” เธอกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาดๆ คล้ายไม่แน่ใจ

“แม่ไม่ได้ล้อเล่น แม่เอาจริงนะ” ดวงตาของสรียาเป็นประกายกล้า

อชิระและมิลินท์หันมาสนใจในทันที ส่วนดนัยภัทรน่ะหรือ หูกระดิกตั้งแต่ตอนที่มารดาเอ่ยปากออกมาครั้งแรกแล้ว

“ณัฐก็อายุมากขึ้นทุกวันๆ แต่ยังไม่เคยคบใครจริงๆ จังๆ สักคน เพราะเอาแต่ทำงาน ไม่ยอมมองผู้ชายไว้คบหาดูใจบ้าง”

ณัฐทินีไม่อยากจะเถียงว่าไม่จริง เนื่องจากคุณสมบัติ ‘พอใช้ได้’ ของเธอ จึงทำให้มีคนมาจีบเธอบ้างเป็นพักๆ แตเมื่ออผู้ชายเหล่านั้นเห็นว่าเธอมีงานแทรกซึมทุกอณูโลหิต ก็ไม่มีใครทนความบ้างานเข้าชั้นขาดความเอาใจใส่คนอื่นของเธอได้ ต้องขอโบกมือบ๊ายบายไปเสียทุกราย

“แม่ล่ะกลัวจริงๆ ว่าถ้าอีกหน่อยแม่ไม่อยู่แล้วใครจะดูแลณัฐ”

“ถ้ามันถึงเวลาจะมี มันก็มีเองล่ะแม่”

“แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ” สรียาส่ายหน้า “ไม่ล่ะ แม่ว่าแม่มีวิธีที่ดีกว่านั้น”

ณัฐทินีอยากจะถามว่า...ดีกว่านั้นแน่หรือ...แต่ก็ไม่กล้า เธอได้กลิ่นชวนทะแม่งลอยมาแตะจมูกซะแล้วสิ

แต่ณัฐทินีก็มีพ่อจอมจุ้นช่วยเหลือแทน

“วิธีอะไรเหรอครับ” ดนัยภัทรแทรกขึ้นมา

“ไม่รู้ณัฐจำป้าอัญได้หรือเปล่า”

“ใช่ป้าอัญชุลี ที่ขาวๆ ผอมๆ สูงๆ แล้วก็ไว้ผมสั้นหยิกเท่านี้หรือเปล่าครับ” ดนัยภัทรยกมือทำระดับไว้ที่ใต้คาง เขาถามราวกับเป็นเจ้าของเรื่องเสียเอง

“คนนั่นแหละ”

“ป้าอัญชุลีเกี่ยวอะไรด้วยครับ ภัทรงง” เขานิ่วหน้า จำได้ว่าอัญชุลีเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของมารดา ที่นานๆ จะเจอกันสักครั้ง จะว่าไปพวกเขาก็ได้ไม่เจออัญชุลีมา...เกือบปีแล้วมั้ง เอ...อัญชุลีก็มีแต่ลูกสาวนี่นา วิธีที่ดีกว่านั้นของแม่ไม่ได้ถึงการจับคู่ลูกตัวเองกับลูกเพื่อนๆ ที่ยังโสดเหมือนกันหรอกรึ

ส่วนอชิระกับมิลินท์กลับงงยิ่งกว่า เพราะไม่เคยได้ยินชื่อที่ว่าเลย ทว่าพวกเขาก็ให้ความสนใจกับทุกการสนทนา...แหม ก็เรื่องที่สรียาพูดน่าสนออกจะตายไป

ฝ่ายอชิรญา เมื่อเห็นใครๆ ไม่สนใจเธอเหมือนเดิม เธอก็คลานเข้าไปหาแม่ มิลินท์จับลูกมานั่งซ้อนบนตัก และปล่อยให้ลูกเล่นตุ๊กตาเครื่องบินในมือไปอย่างเพลิดเพลิน

“แม่คงไม่ได้คิดจะจับคู่ณัฐกับลูกป้าอัญหรอกนะคะ” ญัฐทินีถามทั้งที่จำรายละเอียดเกี่ยวกับอัญชุลีไม่ได้เหมือนน้องชาย

“บ้าสิยายณัฐ ป้าอัญมีแต่ลูกสาว แม่จะทะลึ่งไปคู่หนูกับลูกป้าอัญได้ยังไง”

“อ้าว งั้นเหรอคะ” ณัฐทินีทำหน้าเหรอ “แล้วอย่างงี้ ป้าอัญเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ ณัฐงงด้วยอีกคน”

“อ้อ พอดีวันก่อนโน้น แม่คุยกับป้าอัญ แล้วเพิ่งจะรู้ว่าป้าอัญเปิดบริษัทแม่สื่อ”

“ห๋า ป้าอัญที่แต่ก่อนเอาแต่เป็นแม่บ้าน เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านน่ะครับ” ดนัยภัทรแทบไม่อยากเชื่อว่าได้ยินอะไร

“จ้ะ” สรียายิ้ม “เห็นว่ามีแต่คนมาชอบให้ป้าอัญช่วยแนะนำผู้ชายผู้หญิงให้รู้จัก แถมจับแต่ละคู่มาเจอกันก็เข้าสเป็กถูกใจจนแต่งการแต่งงานไปหลายราย ป้าอัญเห็นช่องทาง แล้วลูกก็ยุ เลยได้เปิดบริษัทจัดหาคู่ รู้สึกจะว่าชื่อวีแมตช์เลิฟหรือเรียกภาษาไทยว่าบริษัทจัดหารักอะไรนี่แหละ”

“เอ๊าะอ๋อ” ดนัยภัทรลากเสียงยาว “นึกออกแล้ว บริษัทชื่อประหลาดนี่เป็นของป้าอัญเองเหรอครับ ภัทรไม่รู้เลย เคยอ่านข่าวประชาสัมพันธ์ในนิตยสาร แต่ไม่คิดว่าจะเป็นบริษัทของป้าอัญ”

ดนัยภัทรไม่ใช่คนเดียวที่อ๋อ ณัฐทินีก็เช่นกัน แต่เธอหุบปากฉับและยิ้มบึ้ง...อย่าบอกนะว่าแม่จะใช้บริการบริษัทจัดหารัก หาคู่ให้เธอ เธอไม่เอาด้วยหรอก

“นั่นแหละๆ แม่ว่าจะให้ป้าอัญช่วยจับคู่ให้ยายณัฐ”

“เอ่อ แม่ครับ มันจะดีเหรอครับ เรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้ ผมว่าน่าจะปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคนมากกว่านะครับ” อชิระที่เงียบมาได้ถึงคราวเอ่ยพูดบ้าง ในฐานะเป็นคนที่ได้แต่งงานด้วยความรัก เขาอยากให้คนที่รักกันแต่งงานกัน มากกว่าจะมาจากการคลุมถุงชนหรือการจับคู่

“ดีสิ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พี่สาวต้นจะต้องขึ้นคานแน่ๆ”

“แหม แม่คะ ณัฐเพิ่งจะสามสิบเองนะ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็แต่งงานช้ากันทั้งนั้น”

“โอ๊ย ไม่ได้หรอก ไม่ใช่เพิ่งจะสามสิบเองนะณัฐ ต้องบอกว่าณัฐน่ะสามสิบแล้ว จะมาทำเป็นเล่นๆ ไม่ได้ อีกหน่อยไม่มีคนดูแลตอนแก่ แล้วหนูจะเสียใจ”

“ณัฐเชื่อว่าณัฐดูแลตัวเองก็ได้ และณัฐไม่เสียใจหรอกค่ะ” ณัฐทินีคันปากยิบๆ อยากจะเถียงแม่ว่า สมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อก็ไม่ได้ดูแลแม่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน แต่เธอก็พูดไม่ได้ เพราะเธอกลัวจะสะกิดให้แม่นึกถึงอดีตที่ไม่ดีระหว่างแม่กับพ่อ

“มันไม่เหมือนกัน” สรียาส่ายหน้าน้อยๆ เหนื่อยใจกับการถกเถียงกับลูกสาว

“เอาเป็นว่าแม่จะไม่บังคับณัฐหรอกนะ แม่รู้ว่าถ้าฝืนใจคบหาหรือแต่งงานโดยไม่รักกัน มันคงไม่ได้ทำให้ชีวิตคู่มีความสุข” เธอพูดแล้วนึกย้อนถึงเรื่องตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ “แต่ณัฐก็ทำความรู้จักไว้เฉยๆ ก็ได้นี่จ๊ะ ถ้าเจอกันแล้วจูนหากันไม่ติด ก็คบเป็นเพื่อน คบเพื่อธุรกิจการงานอะไรก็ว่าไป ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสมอไปนี่นา เรื่องแม่สื่อ แม่คิดว่ามันจะช่วยทำให้ณัฐมีเพื่อนต่างเพศที่นิสัยใจคอคล้ายกัน จะได้เพื่อนถูกใจ เผื่อจะขยายไปเป็นความสัมพันธ์แบบอื่นได้” เธออธิบายเสียยืดยาว ก่อนจะตบท้ายว่า “ณัฐเห็นว่ายังไง”

ณัฐทินีถอนหายใจ “แม่คิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ”

“จ้ะ แม่จะไม่บังคับณัฐหรอกนะ แค่รู้จักกันไว้ ที่เหลือจะเป็นยังไง ขึ้นอยู่กับหัวใจของณัฐคนเดียว แม่ไม่บังคับใจหนูหรอก”

ความที่มารดาของเธอไม่ได้แข็งตรงเป็นไม้บรรทัด แต่อ่อนลู่ลมเหมือนต้นหลิว ทำให้ณัฐทินีเกรงใจที่จะปฏิเสธตัดรอน “ก็ได้ค่ะแม่ แค่คบเป็นเพื่อนนะคะ”

“จ้ะ แค่คบเป็นเพื่อน” สรียายืนยัน

“ค่ะ งั้น...งั้นณัฐ...ตามใจแม่ก็แล้วกัน”

ส่วนเธอจะเลือกใครหรือไม่นั้น...มันต้องตามใจเธอสินะ

แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกก็ได้...ใช่ไหมคะแม่
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

สรียา ณัฐทินี และดนัยภัทรกลับมาถึงบ้านแล้ว พวกเขารับประทานอาหารมาจากข้างนอก ผิดกับทุกครั้งที่มักจะรับประทานฝีมือแม่ครัวประจำบ้าน และเนื่องจากอิ่มหนำพร้อมดี เมื่อกลับถึงบ้าน พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับเข้าห้องพักส่วนตัว เพื่อทำกิจวัตรประจำวันที่ตัวเองโปรดปราน

สรียามักจะใช้เวลากลางคืนในการดูรายการโทรทัศน์ต่างๆ ดนัยภัทรจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่วนณัฐทินีนั้นทั้งดูโทรทัศน์ไปพลาง เล่นออกกำลังกายไปพลาง ครั้นใกล้ถึงเวลานอน เธอก็ลงมาอุ่นนมสดกับคุกกี้ช็อกโกแลตชิปส์ ที่เป็นตัวช่วยในการนอนหลับของเธอเหมือนเช่นทุกวัน

“พี่ณัฐกินแบบนี้ทุกคืนไม่กลัวอ้วนหรือ”

เสียงของดนัยภัทรที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้คนที่กำลังเฝ้ามองจานหมุนในเตาไมโครเวฟหันมา

“กลัวสิ แต่ถ้าไม่กินจะนอนไม่หลับ” เธอตอบ เธอติดดื่มนมอุ่นๆ และกินคุกกี้ก่อนนอนมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งถ้าวันไหนไม่ได้ดื่มหรือกินขึ้นมา เธอจะนอนไม่หลับเอาเสียเลย ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งจำเป็นประจำวัน แม้มันอาจทำให้เกิดความอ้วนก็ตาม “เลยต้องอาศัยออกกำลังกายช่วย” เธออายุสามสิบปีแล้ว ระบบเผาผลาญไม่ได้ทำงานดีเหมือนแต่ก่อน ทำให้เธอระมัดระวังในการกินมากขึ้น และออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญแคลอรี่ที่ตกค้าง

“แล้วนี่ภัทรลงมาทำอะไร มาเอาน้ำเหรอ” เธอพยักพเยิดไปยังแก้วน้ำเก็บความเย็นใบโตในมือของดนัยภัทร

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ และเดินไปกดน้ำแข็งจากตู้เย็นซึ่งสามารถผลิตน้ำแข็งก้อนแบบอัตโนมัติได้

เสียงดัง ‘แต๊ง’ ซึ่งบ่งบอกว่าเตาไมโครเวฟได้ทำหน้าที่เสร็จสิ้น ณัฐทินีหยิบถ้วยกระเบื้องสีแดงไม่มีลายของเธอออกมา จัดแจงเอามันใส่ถาดที่มีคุกกี้หนึ่งชิ้นวางอยู่ก่อนหน้า แล้วเธอก็เอ่ยถาม

“เออนี่ ที่ภัทรจะไปปราณบุรีนี่ ไปกับเพื่อนกลุ่มไหนนะ” เธอจำได้ว่าน้องชายบอกว่าจะไปปราณบุรีในวันหยุดสามวันติดกันที่ใกล้จะถึง น้องชายของเธอมีเพื่อนหลายกลุ่ม เธอจำหน้าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามแต่ความสนิทสนมที่น้องชายมีให้และโอกาสที่เธอจะได้เจอะเจอเพื่อนของน้องชาย

“กับเพื่อนปอโทน่ะครับ”

“แล้วพักที่ไหนนะ ภัทรเคยบอก แต่พี่จำไม่ได้แล้ว”

“พักที่...ซันเซ็ตรีสอร์ตหรือซันเซ็ตบีชอะไรนี่แหละมั้ง ภัทรจำชื่อเต็มๆ ไม่ค่อยได้เหมือนกัน ไม่ได้เป็นคนจองเอง” ปรกติเวลาไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน เขาไม่ได้เป็นคนจัดทริปเองหรอก แต่จะมีลินดากับฤทัย...สองสาวประจำกลุ่มเป็นคนดูแลจัดการเรื่องตรงนี้

“แล้วไปกันกี่คน”

“ก็...เจ็ดคน...เอ๊ะ ไม่สิ แปดคนต่างหาก”

“หือ ใครเกินมาคนน่ะ” เธอจำได้ว่าเพื่อนกลุ่มปริญญาโทของดนัยภัทรมีทั้งหมดเจ็ดคน

“มีญาติของปันพ่วงมาด้วยครับ” เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับญาติของปัณณธรเลยนอกจากว่าเขาคนนั้นเป็นผู้หญิง...เดี๋ยวไปเที่ยวกัน ก็รู้จักกันเองนั่นแหละ

“คราวนี้ไปครบทีมเลยนี่”

“ครับ โชคดีที่ว่างตรงกัน ไม่ได้นัดเจอกันครบทีมนานแล้วเหมือนกัน” หลังจากต่างคนต่างเรียนจบและยากย้ายกันไปทำงาน พวกเขาก็เจอกันน้อยลงกว่าแต่ก่อน ไม่ใช่เพราะขาดความสนิทสนม หากว่าต่างฝ่ายต่างยุ่งกับหน้าที่การงานของตน จึงทำให้เวลาพบปะสังสรรค์น้อยลงไปตามอัตราส่วน

“อืม ดีแล้วล่ะ” จะว่าไปเธอก็ไม่ได้เจอเพื่อนสนิทอันน้อยนิดของเธอนานแล้วเหมือนกัน ด้วยเหตุเพราะเธอเอาแต่ยุ่งกับงานและอยากพักผ่อนอยู่กับบ้านมากกว่าออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกนั่นเอง

“ทำไมครับ พี่ณัฐสนใจจะไปด้วยเหรอ” ณัฐทินีรู้จักเพื่อนกลุ่มนี้ของเขาพอสมควร แถมยังเคยไปเที่ยวด้วยกันด้วย ถ้าณัฐทินีอยากจะไปปราณบุรีด้วย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร “ไปได้นะ รถยังมีที่ว่าง ห้องพักก็เห็นลินดาบอกใหญ่โต เพิ่มพี่ณัฐอีกคนก็ยังน่าจะไหว”

“ไม่ล่ะ พี่มีแพลนอื่นสำหรับวีคเอนที่จะถึงนี้แล้ว”

“อย่าบอกนะว่าจะนอนดูซีรีส์อยู่กับบ้าน” เขาดักคอ พี่สาวของเขาเป็นคนนิยมภาพยนตร์ชุดจากเมืองนอก ยิ่งภาพยนตร์จากทางฝั่งประเทศอเมริกายิ่งชอบ เห็นว่าพล็อตดี หลากหลาย คาดเดาไม่ถูก ไม่เหมือนละครไทยที่ค่อนข้างวนเวียนซ้ำซ้อนไม่เปลี่ยนแปลง

“รู้อยู่แล้วนี่ จะเดาทำไมให้เหนื่อย” เธอเพิ่งจะสั่งภาพยนตร์ชุดเรื่องใหม่ที่กำลังโด่งดังในสหรัฐอเมริกามาจากเว็บไซด์เมืองนอกโดยตรง เนื่องจากทนรอให้ออกเป็นดีวีดีซับไตเติลภาษาไทยไม่ไหว บางครั้งเธอถึงกับยอมทนดูซีรีย์ผ่านทางเว็บไซด์ยูทูป เพราะกำลังติดหนึบหนับกับหนังเรื่องดังกล่าวนั่นเอง

“ปัดโธ่ ไอ้เราก็นึกว่าสนใจอยากไปด้วย”

“หึ ไม่ล่ะ อยู่บ้านดูซีรีส์สนุกกว่าเยอะ”

ดนัยภัทรส่ายหน้าน้อยๆ ไม่เข้าใจพี่สาวเอาเสียเลย แต่...ถ้าเขาทำงานหนักแบบณัฐทินี เขาอาจจะทำตัวเหมือนเธอ...คือถ้ามีโอกาสได้เวลาพักผ่อน ก็จะไม่อยากออกไปไหน...ก็ได้

เมื่อพูดเกริ่นออกนอกเรื่องชนิดอ้อมโลกได้สักพัก ณัฐทินีก็เริ่มเข้าเรื่องที่อยากพูดจริงจัง

“เออ ภัทรว่าเรื่องเมื่อกลางวัน แม่เอาจริงหรือเปล่า”

และดนัยภัทรเข้าใจโดยไม่ต้องรอให้พี่สาวเจาะลึกลงไปในเนื้อความเลยว่าเรื่องเมื่อกลางวันหมายถึงเรื่องอะไร

“อืม ไม่รู้สิพี่ณัฐ ภัทรไม่อยากฟังธง”

“ไอ้ที่บอกว่าไม่อยากฟันธงนี่ แสดงว่ามีสิทธิ์ที่แม่จะเอาจริงใช่ป่ะ” ณัฐทินีย้อนอย่างรู้ทัน

“ก็งั้นมั้ง แม่ไม่เคยคิดจับคู่พี่ณัฐเลยนะ ครั้งนี้...แม่อาจจะทนไม่ได้”

“เฮ้อ ทำไมแม่จะต้องทนไม่ได้ด้วยล่ะ การไม่มีแฟนนี่มันแย่ขนาดนั้นเลยเชียวรึ” เธอถอนหายใจอย่างแหนงหน่าย

“แม่คงเป็นห่วงน่ะ กลัวพี่ณัฐแก่แล้วจะไม่มีคนดูแล”

“เฮอะ ทำอย่างกับว่าแต่งงานกันไปจะดูแลกันได้ตลอดรอดฝั่ง เกิดเจอผู้ชายเฮงซวย มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก”

“มันก็จริง แต่ถ้าพี่ณัฐคบหาใครสักคน แม่ก็คงจะไม่คิดแบบนี้หรอกมั้ง”

“ใครว่าพี่ไม่เคยคบหาใคร พี่ก็มีนะ...” ไม่ต้องรอให้พูดจบ ดนัยภัทรก็ขัดขึ้น

“คบอยู่กี่นานกันเชียว” เขากรอกตาขึ้นบนเพดานและนับนิ้ว “สองสามเดือน บางคนไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ” เขาส่ายหน้าอย่างปลงไม่ตก “พอรู้ว่าสาวเจ้าเป็นคนบ้างานขนานแท้ ไม่คิดจะแยแสผู้ชายหน้าไหน พวกผู้ชายก็พากันหนีหายไปโม้ด”

“เออ รู้ก็ดีแล้ว” เธอยอมรับว่าเธอเป็นคนนิสัยแบบที่น้องชายว่า ทำให้เธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่เหมาะจะคบกับใคร เหมาะจะอยู่ตัวคนเดียวมากกว่า

“ทำไมนะ ทำไมแม่ไม่เคี่ยวเข็ญภัทรบ้าง มาเพ่งเล็งพี่คนเดียวทำไมเนี่ย” เธอบ่นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเธอกับน้องชาย

“อ้าว พี่ณัฐ อย่าเพิ่งมาโยนกลองกันเชียวนะ” ดนัยภัทรโวยวาย “ภัทรยังไม่แก่ขนาดพี่สักหน่อย แล้วอีกอย่าง ภัทรเป็นผู้ชาย ได้เปรียบกว่าเยอะ จะแต่งงานตอนแก่ก็ไม่มีใครว่าหรอก”

“ย้ำจัง ไอ้แก่ไม่แก่เนี่ย ภัทรอายุห่างกับพี่กี่ปีเอ๊ง ไม่ถึงสี่ปีก็ตามพี่ทันแล้ว” เธอเท้าสะเอวและมองน้องชายอย่างไม่พอใจ “แล้วภัทรรู้ได้ไงว่าผู้ชายแต่งงานตอนแก่จะไม่มีใครว่า ผู้ชายโสดๆ สมัยนี้ ถ้าไม่มีแฟน คนก็มักมองว่าเป็นเกย์ ระวังเถอะ พี่จะยุให้แม่ช่วยหาแฟนให้ภัทร เพราะเกรงว่าถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้นานๆ ภัทรจะกลายเป็นเกย์”

“เฮ้ย อย่าเชียวนะพี่ณัฐ ภัทรยังเป็นผู้ชายเต็มร้อย ไม่เบี่ยงเบนนิยมไม้ป่าเดียวกัน” เขาร้องห้ามเสียงหลง เขาไม่ได้รังเกียจเพศที่สามหรอกนะ แต่เขาไม่มีรสนิยมแบบนั้นจริงๆ

“ฮึ” หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูก เธอไม่รับปากอะไร หากเปลี่ยนไปถามว่า

“แสดงว่าภัทรคิดว่าแม่จะเอาจริง”

“ก็...งั้นมั้ง” สีหน้าของเขากึ่งลังเล กึ่งมั่นใจ

“เฮ้อๆ” ณัฐทินีถอนหายใจรัว “บ้าชะมัดเลย แม่นะแม่ ทำแบบนี้กับณัฐได้ยังไง ณัฐไม่ขำด้วยนะ”

“เอาน่าพี่ณัฐ ถ้าไม่คบเป็นแฟน ก็อย่างที่แม่บอกไง คบเป็นเพื่อนก็ได้ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เผลอๆ อาจได้เพื่อนดีๆ เพิ่ม ไม่ก็ได้ติดต่อธุรกิจการงานด้วยกัน” เขาพยายามปลอบ “แล้วอีกอย่าง ทำอย่างกับว่าผู้ชายจะทนผู้หญิงแบบพี่ได้งั้นแหละ”

“หน็อย ไอ้บ้าภัทร” เธอเกือบจะขอบคุณการปลอบใจของน้องชายอยู่แล้วเชียว แต่ประโยคท้ายๆ ของเขาทำเอามือของเธอเอื้อมไปฟาดแขนเขาผัวะหนึ่งโดยอัตโนมัติ

“โอ๊ย เจ็บนะ พูดจริงก็ผิดด้วยวุ้ย” เขาโอดครวญในความอยุติธรรม

“นี่ คนกำลังกลุ้ม ยังทำเป็นพูดเล่นอยู่ได้”

“โฮ้ย ไม่ต้องกลุ้มไปหรอกน่าพี่ณัฐ เรื่องขี้ผง ไม่สนใจก็ไม่ต้องแคร์ ยังไงคนตัดสินใจสุดท้ายจะต้องเป็นพี่ณัฐ...กับผู้ชายโชคร้ายคนนั้นอยู่แล้ว” และด้วยนิสัยปากมอม เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยอกพี่สาวอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ณัฐทินีไม่ตีเขาตอบโต้ เธอกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อกลางวันของมารดา

“จริงๆ พี่ก็ไม่ได้กลุ้มอกกลุ้มใจอะไรนักหรอก มันแค่...รู้สึกแปลกๆ เท่านั้นแหละ...แบบ...มันตะขิดตะขวงใจน่ะภัทร”

ดนัยภัทรพยักหน้า พอจะเข้าใจพี่สาวอยู่บ้าง เพราะกลับกัน ถ้าเป็นเขาที่โดนจับคู่แบบพี่สาว เขาก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่

“ไม่รู้ว่าชายผู้โชคร้ายคนนั้นจะว่ายังไงบ้าง” เธอเล่นคำที่น้องชายใช้ ต้องการจะสร้างความขบขัน “ถ้าเห็นผู้หญิงออกมาเร่หาดูตัว” เธอหยุดไปนิด ก่อนจะพูดต่อ “คงจะคิดว่าเราเป็นคนสิ้นไร้ผู้ชายขนาดหนัก”

“บางทีฝ่ายชายอาจจะเป็นพวกสิ้นไร้ผู้หญิงเหมือนกันนะ”

“แต่ไม่สิ้นไร้ผู้ชาย” ณัฐทินียิ้มยวน ทำเอาดนัยภัทรยิ้มตาม

“ภาวนาอย่าให้เจอผู้ชายครึ่งๆ กลางๆ ก็แล้วกันพี่ณัฐ”

“ไม่ล่ะ ทางที่ดี ควรภาวนาอย่าให้เจอใครจะดีกว่า”

เพราะเธอยังไม่พร้อมจะมีใคร...เธอไม่เคยพร้อม...และอาจจะไม่มีวันพร้อมเสียด้วยซ้ำ

จบบทที่ 1
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ทักทายท้ายเรื่อง

ฝากนิยายใหม่ไว้ด้วยนะคะ เป็นนิยายที่เป็นซีรีส์ต่อมาจากเรื่อง “คืนปรารถนา” (คาดว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “ปรารถนารัก” ตอนตีพิมพ์ค่ะ) ไม่รู้จะชอบกันไหม เรื่องนี้จะเบากว่าเรื่องคืนปรารถนาค่ะ (ความจริงเรื่องคืนปรารถนาก็ไม่ได้หนักมากอย่างที่คิด...ใช่ไหมคะ) ได้ความคิดของเรื่องนี้มาจากตอนที่แต่งตอนพิเศษ (บทส่งท้าย) ของคืนปรารถนา คิดว่าณัฐทินีเป็นตัวละครน่าสนใจดีค่ะ ประกอบกับนึกถึงกิจการ Match-maker ของญาติ ก็เลยเอามารวมกันและกลายเป็นที่มาของเรื่องนี้ ยังไงก็ฝากไว้ด้วยนะคะ

ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่อง “คืนปรารถนา” อยากจะทราบความเป็นมาของสรียา ณัฐทินี และดนัยภัทร รวมไปถึงพระเอกนางเอกอย่างอชิระและมิลินท์ ก็เข้าไปอ่านได้ในลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ

ทิ้งท้ายสำหรับการทักทายอีกนิดว่ามิถุนามีหนังสือมาแจกอีกแล้วค่ะ เป็นนิยายล่าสุดของมิถุนาที่เพิ่งวางแผงไม่นานนี้ ชื่อ “มุกมนตรา” จากสำนักพิมพ์ปริ๊นเซสนะคะ ใครจำเงือกมัทญากับสินธุได้บ้างเอ่ย

มิถุนาจะแจกมุกมนตราทั้งหมด 3 เล่มนะคะ โดยผู้ร่วมสนุกจะต้องคำถามง่ายๆ ว่า

“นิทานเรื่องอะไรเป็นนิทานโปรดตลอดกาลของคุณ? และเพราะอะไรถึงชอบนิทานเรื่องนั้น?”

สำหรับของมิถุนา ชอบ “เดอะลิตเติลเมอร์เมด” ค่ะ ฝังจิตฝังใจมาตั้งแต่เด็กเลย ยิ่งได้อ่านหนังสือนอกเวลาเรื่อง The Little Mermaid เวอร์ชันฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน ที่มีรูปประกอบ ก็ยิ่งชอบ ชอบมากๆ ชอบนางเงือก ชอบท้องทะเล สัตว์ทะเล ชอบความลึกลับของนางเงือกและโลกของเธอ รู้สึกว่าเรื่องเกี่ยวกับนางเงือกเป็นอะไรที่ลึกลับและมีเสน่ห์ชวนให้ค้นหาจริงๆ ค่ะ

ส่งคำตอบมาที่อีเมล busaba401@hotmail.com โดยอย่าลืมระบุล็อกอิน (ถ้าไม่มีล็อกอินก็ไม่เป็นไรค่ะ บอกชื่อแทนตัวให้มิถุนาทราบก็ได้เหมือนกัน) และบอกด้วยนะคะว่าอ่านนิยายของมิถุนาจากบอร์ดไหน

ส่งคำตอบมาก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 14 ส.ค. นี้ มิถุนาจะจับชื่อผู้โชคดีขึ้นมาสามชื่อ และประกาศผลผู้โชคดีในวันที่ 15 ส.ค. ตอนค่ำๆ ในกระทู้เดิมนี้ (หรืออาจจะเป็นกระทู้ใหม่ บทใหม่ หรืออาจจะทั้งสองกระทู้) รวมทั้งจะอีเมลไปบอกผู้โชคดีเป็นรายบุคคลด้วยค่ะ


ประกาศชื่อผู้โชคดีจากการส่งคำตอบเข้ามาร่วมสนุกชิงหนังสือมุกมนตรา
รายชื่อตามอีเมลด้านล่างเลยนะคะ เดี๋ยวมิถุนาจะอีเมลไปหาเป็นรายคนอีกที
ขอบคุณทุกคนที่ร่วมสนุกกันค่ะ

nuloleแอตhotmail.com
wirachinแอตhotmail.com
pimmy_48แอตhotmail.com


แล้วเจอกันบทหน้าค่ะ
มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mithuna.bloggang.com




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2552    
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 23:36:54 น.
Counter : 1355 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.