Group Blog
 
All blogs
 

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 6

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 6

แปดหนุ่มสาวนักเดินทางรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกันที่รีสอร์ตจัดไว้ให้ ก่อนจะออกเดินทางไปน้ำตกป่าละอู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อยู่ห่างจากปราณบุรีราวสี่สิบกิโลเมตร สารถีและผู้โดยสารในรถยนต์คันเดิมขับรถผ่านภูเขา นำรถขึ้นลงไปตามเส้นทาง สองข้างรายทางเต็มไปด้วยต้นไม้ หนทางยาวไกลกว่าที่ป้ายบอกทางบอก...หรือมากกว่าที่พวกเขาคิด พวกเขาอยู่ในรถมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายเท่าไหร่ เส้นทางก็ยิ่งกลับเข้าสู่ธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น ถนนราดยางมะตอยกลายเป็นถนนดินลูกรัง ฝุ่นควันสีแดงปลิวคุ้งตามแรงบดของยางล้อ ต้นไม้โปร่งขึ้นรกครึ้ม ผีเสื้อสีดำลายเหลืองและขาวบินผ่านกระจกรถ สดับพิณซึ่งหันศีรษะมองด้านนอกเหลียวมองตามจนมันลอยลับหายไป ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ ไม่คิดว่าจะได้เจอผีเสื้อแม้จะอยู่ท่ามกลางป่าไพร

ก็ทำไมจะคิดไม่ได้ล่ะ เธอไม่ได้เห็นผีเสื้อมานานเท่าไหร่แล้วนะ

หลายปี...น่าจะหลายปี

มนุษย์ขยายความเจริญรุกล้ำ จนธรรมชาติค่อยๆ เลือนรางจางหาย ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตข้างหน้า จะมีธรรมชาติแท้จริงที่ไร้การปรุงแต่งหลงเหลืออยู่เท่าไหร่ เธอไม่อาจบอกได้ ได้แต่หวังว่าผู้คนจะมีจิตสำนึกในการใช้ชีวิตเพื่อดำรงรักษาธรรมชาติมากกว่านี้

หลังจากจ่ายค่าเข้าและจอดรถเรียบร้อย พวกเขาก็เดินไปตามป้ายบอกทาง ป้ายหลักน้ำตกป่าละอูชั้นที่หนึ่งโดดเด่นชัดเจน ถัดไปเป็นสะพานไม้แข็งแรง สร้างผ่านโขดหินปุ่มปั่มกลางแอ่งน้ำน้อยๆ ซึ่งถ้าเป็นหน้าน้ำหลาก คาดว่าน้ำคงจะท่วมหินมิด เสียงน้ำไหลดังก้องเบาๆ มาจากด้านในป่า สะท้อนไปทุกทิศทาง เป็นท่วงทำนองไพเราะนุ่มนวลราวกับเสียงของวงดนตรีออเคสตร้า

ลินดาเดินนำหน้าสุด เธอเป็นคนตัวเล็ก คล่องแคล่วว่องไว และรักการผจญภัย ฤทัยเดินเคียงข้างลินดาด้วยความรวดเร็วครือกัน แม้จะเป็นลูกคุณหนูและตัวโตกว่าผู้หญิงไทยทั่วไป แต่เธอไม่ใช่คนต้วมเตี้ยมเทอะทะและเก่งกล้าพอตัว ชาติชายต่อท้ายสองสาว ตามมาด้วยหนุงหนิงและอังกฤษ ส่วนปัณณธรจับคู่กับสดับพิณเช่นเคย โดยมีดนัยภัทรเฝ้าระวังรั้งท้าย

สดับพิณมองไปรอบกาย เห็นแต่ก้อนหิน ต้นไม้ และน้ำตกแอ่งจ้อย สีหน้าของเธอดูผิดหวังจนคนที่เดินตามหลังสังเกตได้

“อย่าทำหน้าจ๋อยอย่างนั้นสิ เราเพิ่งเดินมาถึงน้ำตกชั้นที่หนึ่งเองนะ น้ำตกป่าละอูมีตั้งสิบห้าชั้น ต้องเดินอีกสักพักกว่าจะเห็นน้ำตกแบบน้ำตกจริงๆ” ดนัยภัทรพูดขึ้นมา น้ำตกชั้นที่หนึ่งมีแต่หินและน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ แต่ลึกเข้าไปด้านใน และไต่ระดับสูงขึ้นไป ความอลังการของน้ำตกสิบห้าชั้นจะประจักษ์แจ้งแก่สายตาของผู้มาทัศนะ

“เหรอคะ” สดับพิณตอบ สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เอาน่า เชื่อผมสักนิด ผมไม่โกหกหรอก” เขาขยิบตา

“มาทำเป็นรู้ดี ภัทรเคยมาที่นี่แล้วเหรอ” ปัณณธรถามอย่างหมั่นไส้ จำได้ว่าเขาไม่เคยพูดว่าเคยมาน้ำตกป่าละอูมาก่อน

“ยังไม่เคยมาหรอก ศึกษาสถานที่เที่ยวมาก่อนน่ะ” เขาเป็นคนขับรถ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแผนที่ ศึกษาเส้นทางที่จะใช้ในการเดินทาง เขาไม่ชอบไปคลำเอาข้างหน้า เพราะไม่ได้มาเที่ยวคนเดียว แต่เที่ยวเป็นหมู่คณะ แม้จะไม่ได้เป็นคนวางแผนการเดินทาง แต่เขาก็เป็นคนขับรถ เป็นหนึ่งในผู้นำ

“ฮี่โธ่! แล้วทำเป็นพูดอย่างกับรู้จริง” ปัณณธรย่นจมูกใส่

สดับพิณยิ้มแล้วเดินต่อไป ในความสูงชั้นที่สองเริ่มเป็นน้ำตกมากขึ้น น้ำใสไหลผ่านก้อนหิน ส่วนบริเวณที่เป็นแอ่งน้ำนิ่งที่เต็มไปด้วยปลามีสีขุ่นกว่าบริเวณอื่น ระหว่างทางขึ้นน้ำตกชั้นที่สาม เธอเห็นผีเสื้อหน้าตาแปลกๆ สีดำลายขาวหลายตัวเกาะเลียบอยู่บนผิวน้ำ เธอตาโตด้วยความตื่นเต้น

“ผีเสื้อเยอะมาก” เธออุทาน สายตาจับจ้องสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจ้อยบอบบางอย่างไม่คลาดคลาย

อังกฤษผู้เป็นหนึ่งในตากล้องถ่ายรูปผีเสื้อที่อยู่นิ่งเฉยปล่อยให้พวกเขาถ่ายรูปแต่โดยดี

“นั่นสิ ปันไม่ได้เห็นผีเสื้อมานาน...นานมากแล้ว” เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากี่ปี แต่จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เธอเคยเล่นไล่จับผีเสื้อที่หน้าบ้านอยู่เป็นประจำ

“เห็นว่าที่นี่เป็นแหล่งผีเสื้อชุกชุม” ดนัยภัทรนิ่งไปนิดก่อนจะพูดต่อ “ไม่สิ จะว่าไปต้องบอกว่าน้ำตกเป็นแหล่งที่อยู่ของผีเสื้อ เพราะเต็มไปด้วยธาตุอาหารที่ผีเสื้อต้องการ”

“อืม...” ทุกคนยกเว้นลินดา ฤทัย และชาติชายที่ล่วงหน้าไปก่อนพยักหน้าและทำเสียงรับรู้พร้อมๆ กัน เป็นเกร็ดความรู้ที่พวกเขาไม่เคยทราบมาก่อน

“นี่ไม่แน่ว่าเดินๆ ไปอาจจะเจอเสือดาวไม่ก็ช้างด้วยนะ”

“ล้อเล่นน่า” อังกฤษไม่เชื่อ

“อันตรายหรือเปล่า มีเสือดาวด้วยเหรอ” หนุงหนิงกล่าวเสียงสูง หันซ้ายหันขวาลอกแลกเพื่อมองหาเสือดาวที่ว่า

ส่วนสดับพิณทำตาโตเป็นไข่ห่าน ดูเชื่อ ‘ผู้รู้’ ทั้งที่ยังไม่เห็นสัตว์ที่เขากล่าวมาสักตัว “จริงเหรอคะ มันจะทำร้ายคนไหมคะ” ขอสารภาพว่าเธอกลัว ยังไงสัตว์ป่าก็เป็นสัตว์ป่าวันยังค่ำ มันดิบเถื่อนและเต็มไปด้วยสัญชาตญาณที่มนุษย์เราไม่ควรล้อเล่น

ดนัยภัทรเห็นสีหน้าจริงจังปนหวาดกลัวของยายตุ๊กตาก็อดหัวเราะไม่ได้

“หลอกเล่นเหรอคะ” ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันของเขา สดับพิณก็ถามเสียงแข็ง ดวงหน้าเล็กงอง้ำ ดวงตากลมมองเขาอย่างกล่าวหา

ชายหนุ่มยังคงยิ้มกว้าง “เปล่าครับ ไม่ได้หลอก มีจริงๆ นะ แต่ต้องมาเช้ากว่านี้ เช้ากว่านี้มากๆ เห็นว่ามีพวกกระทิง กวาง เลียงผา ด้วย”

“เมื่อกี้ไม่เห็นบอกว่าจะเจอตอนเช้าๆ นี่ บอกว่าเดินๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ” สดับพิณจำทุกคำพูดเขาได้ทุกเม็ด

“นั่นสิ” ปัณณธรยืนข้างญาติสาว “แหม...จะหลอกอำให้พวกเรากลัวใช่ไหม”

ดนัยภัทรไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะและเดินนำหน้าไป สมาชิกที่ยังค้างเติ่งเลยต้องเดินตามเขาอย่างช่วยไม่ได้

น้ำตกชั้นที่สามน้ำใสมาก นักท่องเที่ยวกระจุกตัวเล่นน้ำอยู่บริเวณนี้ ทุกคนใส่เสื้อยืดกางเกงกับขาสั้นและลงไปลอยคอเล่นน้ำ บ้างก็นั่งกินลมชมธรรมชาติบนโขดหิน สดับพิณไม่สนใจเล่นน้ำ เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ของเธอ พวกเขาตั้งใจมาชมน้ำตกเท่านั้น

ยิ่งเดินขึ้นไปมากชั้นเท่าไหร่ น้ำตกก็ยิ่งสวยมากขึ้นเท่านั้น สดับพิณคิดว่ามันทั้งสวยและน่ากลัว เธอมองตามสายน้ำที่ไหลไปเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก มันไหลแรง และไหลลงไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทางขึ้นเริ่มชันกว่าเดิม เธอดีใจที่ตัวเองเลือกใส่กางเกงขาสั้น แม้จะเป็นกางกางสีขาว แต่ก็ดีกว่าเป็นกระโปรงที่ไม่สะดวกต่อการปีนป่าย รองเท้าแตะสร้างปัญหาบ้างเมื่อเธอเหยียบโคลนเลนและก้าวต่อไปบนก้อนหิน โคลนเละๆ บวกกับพื้นยางของรองเท้าพาลทำให้เธอลื่นง่ายๆ แม้จะย้ำเท้าลงอย่างมั่นคงและระมัดระวังแล้วก็ตาม เธอลื่นบ้าง ทว่าไม่หกล้ม เนื่องจากคว้าต้นไม้รายทางได้ตลอด แต่มันก็ทำให้เธอหัวใจเต้นตุ๊มต่อมด้วยความหวาดเสียวไม่น้อย เพราะเมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นความสูงที่พวกเขาเดินจากมา เธอกลัวตัวเองจะลื่นตกลงไป

พวกเขาพักเหนื่อยเป็นระยะ เพราะไม่คิดว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้ เลยไม่มีใครเตรียมน้ำดื่มมา ลินดาแบ่งลูกอมมินต์ที่พกติดกระเป๋าราวของจำเป็นให้เพื่อนแต่ละคน น้ำตาลช่วยเพิ่มพลังงานให้ทุกคนยิ่งกว่าอาหารทิพย์ สดับพิณเห็นค่าลูกอมเม็ดกระจ้อยก็คราวนี้ ตั้งปณิธานต่อไปว่าถ้าจะเดินทางไปไหน เธอจะพกลูกอมติดกระเป๋าด้วย มันใช้ทดแทนน้ำได้เลย

นักท่องเที่ยวน้อยลงเนื่องจากทางขึ้นสูงชันและขึ้นได้ลำบากกว่าน้ำตกชั้นแรก มีการใช้มือไม้ช่วยปีนป่ายเป็นระยะ สดับพิณทำเสื้อกับกางเกงสีอ่อนเลอะโคลนและฝุ่นเป็นหย่อมๆ แต่ก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เธอไม่รู้ตัวว่าทำให้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมานึกชมอยู่ในใจ

ดนัยภัทรแหงนมองทางขึ้นน้ำตกชั้นที่เจ็ด ทางยังคงสูงชันและเต็มไปด้วยต้นไม้ ลินดาเกาะเถาวัลย์ ใช้มันช่วยดึงตัวเองขึ้นไปข้างบน คอยตะโกนบอกทางที่เพื่อนๆ ต้องระวังเป็นระยะ เธอเป็นหญิงเก่งตัวจริง แต่ผู้หญิงตัวเล็กเบื้องหน้าเขาก็แกร่งไม่แพ้ลินดา

เขาไม่คิดว่ายายตุ๊กตาจะแกร่ง เห็นตัวเล็กๆ บางๆ หน้าซีดๆ แต่กลับปีนน้ำตกตามคนอื่นๆ โดยไม่บ่นสักคำ เขาเฝ้ามองสดับพิณโหนตัวอย่างเก้กังขึ้นไปด้านบน ปัณณธรยืนรอรับสดับพิณด้วยความเป็นห่วง ส่วนเขารอช่วยเหลืออยู่ด้านล่างถ้าเกิดว่าสดับพิณพลาดร่วงหล่น แต่สดับพิณก็ไม่พลาด แม้บางครั้งเธอจะทำให้เขาหวาดเสียวเป็นกำลัง

พวกเขาหยุดพักอีกครั้งเมื่อมาถึงน้ำตกชั้นที่เจ็ด เป็นจุดหนึ่งซึ่งสวยมาก น้ำตกสองสายไหลมาบรรจบกันก่อนจะไหลลงสู่เบื้องล่างรวมเป็นน้ำตกป่าละอูที่ใครๆ รู้จัก สดับพิณดื่มด่ำกลิ่นอายดินและน้ำ ความสวยงามของน้ำตกทำให้เธอลืมความเหนื่อย

“สวยล่ะสิ” ดนัยภัทรยืนค้ำศีรษะเธอ มองเม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ลามไหลจากใบหน้าลงไปตามลำคอเล็กๆ ของเธอ หักห้ามใจไม่ให้เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อนั้น

สดับพิณพยักหน้า “สวยค่ะ สวยมาก ดูยิ่งใหญ่มากด้วย” สายน้ำเส้นใหญ่พุ่งจากด้านบนลงมาด้านล่าง แตกกระจายเป็นฟองฝอยสีขาวพร่าง ความชื้นระเหิดจากน้ำใส แตะต้องผิวของเธอจนฉ่ำเย็น

“ยังมีที่สวยกว่านี้อีกนะ”

เธอหันมา สีหน้าสนอกสนใจ “จริงเหรอคะ” ก่อนจะนิ่วหน้าสงสัย “คุณแกล้งหลอกพิณอีกหรือเปล่า” ดูเหมือนเขาจะชอบแกล้งเธอไม่ใช่น้อย แกล้งเสร็จก็ยิ้มไม่ก็หัวเราะ ทำเอาเธออยากจะทุบตีเขาเพื่อเอาคืน แต่เธอก็ไม่เคยได้ทำจริง...เธอคงไม่กล้าไปทำร้ายเขาแบบถึงเนื้อถึงตัวด้วยเรื่องเพียงแค่นี้หรอก

ดนัยภัทรหัวเราะ ดูท่าเขาจะทำให้เธอกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเสียแล้ว

“เปล่าครับ ไม่ได้หลอก ถ้าคุณได้ไปเที่ยวน้ำตกทีลอซู คุณจะบอกว่าที่นี่เล็กไปเลย พอหลุดเข้าไปข้างใน คุณจะนึกว่าอยู่ในสวนสวรรค์ ทั้งหมดที่คุณเห็นจะเป็นสีขาวพร่าง น้ำตกเป็นชั้นลดหลั่นลงมา เหมือนชั้น...ชั้นขนม”

“ตะกละ” เธอคอด ริมฝีปากปริกว้างเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างตุ๊กตาฝรั่ง

“ผมเปล่าตะกละนา มันเหมือนขนมจริงๆ เหมือนเค้กครีมชั้นๆ ผสมขนมสายไหม” เขาเชื่อว่าถ้าเธอได้เห็นมัน เธอจะต้องนึกถึงขนมเหมือนกับเขา

“ไม่ยักรู้ว่าคุณจะมีจินตนาการสูงขนาดนี้” เขาดูเก็กๆ แข็งๆ ไม่น่าคิดอะไรอย่างศิลปินได้

“มีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับผมที่คุณยังไม่รู้” เขาเอ่ยยิ้มๆ และกลับไปพูดเรื่องเดิม “รู้ไหมว่าทีลอซูเป็นน้ำตกที่สวยติดอันดับหนึ่งในหกของโลกด้วยนะ และการปีนน้ำตกก็ทรหดกว่ามากๆ ด้วย แต่ถ้าคุณเห็นมัน คุณจะตกหลุมรักทันที จนคุณเลิกคิดถึงความยากลำบากตอนปีนเลยเชียวล่ะ”

สดับพิณถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยง่าย “ขนาดนั้นเชียว” สีหน้าของเขาชวนเชื่อมาก

“อื้อ! แล้วคุณจะลืมที่นี่ ผมรับรอง”

“อืม...แต่พิณว่า...ยังไงพิณก็ไม่ลืมที่นี่หรอก ไม่ว่าจะยังไงสถานที่แต่ละแห่งก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง พิณไม่มีทางลืมป่าละอูแน่ๆ” เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาทว่าหนักแน่น

“ก็ถูกของคุณ” ดนัยภัทรไม่เถียง เธอพูดถูก บางสิ่งบางอย่างใช่จะลืมได้ง่ายๆ และบางสิ่งบางอย่าง...บางคน...ก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง...เหมือนอย่างเธอยังไงล่ะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

แผนนอนดูทีวีซีรีย์อยู่กับบ้านในวันหยุดของณัฐทินีมีอันต้องพับเก็บไปเพราะถูกมารดาขอร้องกึ่งบังคับให้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแลหลาน เธอขัดมารดาไม่ได้ และเห็นใจอชิระกับมิลินท์ที่อยากจะใช้เวลาตามลำพังบ้าง เลยจำต้องรับหน้าที่อันทรงเกียรตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลยายหนูให้” มิลินท์ผงกศีรษะอย่างขอบคุณเมื่อส่งอชิรญาให้แม่สามีเรียบร้อย อชิรญาไม่ร้องไห้โยเยสักแอะแม้จะถูกเปลี่ยนมือคนอุ้ม ยังคงยิ้มร่าและเขย่าของเล่นพลาสติกในมืออย่างคึกคะนอง

“เรื่องเล็กน่ามิลินท์ แม่เต็มใจ” สรียาบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ หวังจะปัดความเกรงใจออกไปจากสีหน้าของลูกสะใภ้สาว “อยากให้ต้นกับมิลินท์ไปไหนสองต่อสองบ้าง ตั้งแต่มีลูกได้ไปเที่ยวไหนตามลำพังหรือยังล่ะ” เป็นแผนการของเธอที่คะยั้นคะยอให้ลูกชายเอาอชิรญามาฝากเลี้ยงระหว่างพวกเขาชมภาพยนตร์ในโรง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ทำมานาน ส่วนพวกเธอรวมทั้งอชิรญาจะเดินเล่นช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแทนการฆ่าเวลา

“ยังเลยครับ ยายหนูยังเด็กนัก จะทิ้งไปไหนคงไม่สะดวก” อชิระตอบ ไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเขาต้องเอายายหนูพ่วงติดไปด้วย แม้จะอยากมีเวลาอยู่กับมิลินท์เพียงลำพังบ้าง แต่อชิรญายังเด็กเกินไป และพวกเขาก็ห่วงลูกเกินไปด้วย แต่เมื่อมารดาออกปากอาสาและชักชวนให้เห็นถึงความสะดวก เขาก็เห็นดีด้วย

“สะดวกสิ เอามาฝากแม่นี่แหละ แม่ชอบ” สรียายิ้ม ยินดีเลี้ยงอชิรญา หลานรักอันดับหนึ่งและอันดับเดียวของเธออยู่แล้ว

“ต้องรบกวนแม่กับพี่ณัฐด้วย” อชิระพูด

“โอ๊ย! ไม่รบกวนหรอก” ณัฐทินีกล่าวเสียงสูง ความจริงก็รบกวนเธอหรอกนะ แต่ยังไงวันนี้เธอรับปากแม่แล้วว่าจะช่วยดูแลหลานด้วย ฉะนั้นก็...เลยตามเลยอย่างที่เห็น “ไปดูหนังให้สนุกเถอะ ไม่ต้องห่วงยายปลายหรอก” เธอสำทับ

“มา ส่งกระเป๋ายายหนูมา แล้วไปรอรอบหนังเถอะ” เธอกระดิกนิ้วไปยังกระเป๋าเด็กอ่อนใบโตสีชมพูที่อชิระสะพายอยู่ ข้างในมีข้าวของจำเป็นของเด็กหญิงอชิรญายามออกนอกบ้าน อย่างพวกผ้าอ้อมสำเร็จรูป ขวดนม ทิชชูเปียก เป็นต้น

“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ทั้งอชิระและมิลินท์พูดแทบจะพร้อมกันก่อนจะโบกมือร่ำลาทั้งลูกสาวกับแม่และพี่สาว พวกเขาเดินจูงมือกระหนุงกระหนิงออกไป ทิ้งให้อชิรญาไว้ในอ้อมแขนของผู้เป็นย่า แม่หนูยิ้มร่า โบกไม้โบกมือให้บิดามารดา ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกทิ้ง...เพราะไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น เธอรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักและต้องการเสมอ

“เลี้ยงเด็กคนเดียวมันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว เนอะน้องปลายเนอะ” ณัฐทินีหันมาคุยเออออ ซึ่งยายหนูก็ตอบรับเป็นเสียงอ๊ะๆ ที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง

ริมฝีปากของสรียาโค้งเป็นรอยยิ้มกว้าง...ยายณัฐ หนูช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว การเลี้ยงเด็ก...ไม่ว่าจะกี่คน...ก็ยากทั้งนั้นแหละ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา ณัฐทินีแทบอยากคืนคำพูดเกี่ยวกับความยากง่ายในการเลี้ยงเด็ก เธอกำลังอุ้มยายหนูปลายผู้ร้องไห้โยเยอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะที่สรียาเดินหายไปในดงชุดชั้นในมากกว่าสิบนาที

“โอ๋ๆ น้องปลายจ๋า เป็นอะไรจ๊ะ ร้องไห้ทำไม” สีหน้าของหญิงสาวกลัดกลุ้ม เธอโยกร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนไปมา หวังจะปลอบโยนให้เจ้าตัวน้อยหยุดร้องไห้ แต่ดูเหมือนว่าวิธีการดังกล่าวจะไม่เป็นผล เพราะเสียงร้องไห้ของอชิรญายังคงดำเนินต่อไป

“แง...แง...” ดวงหน้าเล็กจ้อยบิดเบ้ ร่างเล็กดิ้นปั้ดๆ ไปมา

“โอ่โอ๊ เอ่เอ๊ หยุดร้องไห้เถอะนะน้องปลาย หนูเป็นอะไร ทำไมร้องไห้ไม่หยุด ป้าไม่เข้าใจ ทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ณัฐทินีหันซ้ายหันขวามองหามารดาที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน

โอย...แล้วนี่แม่อยู่ไหน ไม่มาช่วยดู ทิ้งให้เธอดูยายปลายอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองหนีไปช็อปปิ้ง เพราะอย่างงี้ใช่ไหม เลยต้องลากเธอออกมาช่วยดูหลานเป็นเพื่อน ตัวเองจะได้ช็อปสบาย

“ม้ะ...ม้ะ...แง...”

“โอ๋ๆ มะม้าไม่อยู่จ้ะ เดี๋ยวมะม้าก็มานะ” เธอเข้าใจว่าอชิรญากำลังร้องหามารดา

“ม่ายยยย...ฮือ...แง...” คำว่า ‘มะม้า’ พร้อมคำปลอบของผู้เป็นป้าไม่ได้ทำให้อชิรญาหยุดร้องไห้เลย

ณัฐทินีถอนหายใจ “น้องปลายจ๋า หนูอยากได้อะไร ป้าจะหามาให้ แล้วหนูต้องหยุดร้องไห้นะ”

อชิรญายังคงร้องเรียกม้ะๆ แต่เมื่อณัฐทินีพูดถึงมะม้า เด็กหญิงก็ยังร้องไห้กระอืดๆ

แล้วณัฐทินีที่กำลังท้อใจก็ปิ๊งไอเดีย

“อ๊ะๆ เรือบินอยู่โน่นนนน” เธอทำเสียงตื่นเต้นพร้อมชี้มือไปอีกทาง หมายจะดึงความสนใจของเด็กหญิง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเสียงร้องที่แผดดังยิ่งกว่าเดิม

“กะ...แง...ฮะ...ฮึก...ฮึก...” อชิรญาสะอึกสะอื้น ใบหน้าแนบไหล่คุณป้า น้ำหูน้ำตาเปียกเสื้อตัวสวยแสนแพงเป็นคราบ ซึ่งถ้าอยู่ในสถานการณ์ปรกติ ณัฐทินีจะต้องรีบส่งเด็กหญิงให้คนอื่นและทำความสะอาดเสื้อเปื้อนแล้ว ทว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไป...ต่างออกไปมากๆ

แม่นะแม่ ไม่ได้ยินเสียงยายหนูหรอกหรือ ร้องออกจะดังขนาดนี้ แม่มาช่วยณัฐหน่อย คนมองณัฐใหญ่แล้ว...ณัฐทินีรำพึงรำพันในใจพลางเขย่าหลานสาวที่ร้องไห้ฮือๆ ไปด้วย ดวงตากวาดมองออกไปรอบๆ ไม่พบแม้แต่เงาของมารดา หากเห็นแต่สายตาของผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมามองเธอด้วยความตำหนิปนสงสาร ราวกับเห็นว่าเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง แค่ลูกเล็กร้องไห้ก็จัดการให้เงียบไม่ได้ สร้างความรำคาญแก่คนอื่น

อย่านะ อย่ามองเธอด้วยสายตาแบบนั้น

โธ่! เธอจะไปจัดการกับเด็กได้อย่างไร เธอไม่เคยเป็นแม่คน ไม่เคยอ่านตำราเด็กอ่อน ไม่เคยเลี้ยงเด็ก อย่างยายหนูก็ได้แต่เล่นด้วยเท่านั้น พอยายหนูร้องไห้ อชิระกับมิลินท์ ไม่ก็เป็นสรียาจะเข้ามาดูแลแทน เธอไม่เคยจัดการอะไรสักอย่างนอกจากให้ความบันเทิงกับยายหนู ซึ่งดูท่าตอนนี้จะใช้ไม่ได้ผล

“หนูหิวแล้วใช่ไหม” ณัฐทินีถามแข่งกับเสียงร้องไห้ มือควานลงไปหยิบขวดนมที่มิลินท์ตระเตรียมไว้ให้ขึ้นมาจากกระเป๋าเด็กอ่อน เมื่อดึงจุกครอบออก เธอก็ยื่นขวดนมไปใกล้ปากเล็กๆ ที่กำลังแผดเสียงโมโหและไม่เข้าใจ

“อะ...อ้าม นมๆๆๆๆ นมอยู่นี่แล้ว” เธอพยายามป้อนจุกนมเข้าปาก แต่เด็กหญิงเบี่ยงหน้าหนีด้วยความรังเกียจ

“โอ๊ยตาย! น้องปลายจ๋า หนูไม่หิวนมหรอกเหรอ”

ณัฐทินีอยากจะเป็นคนที่ร้องไห้แทน แต่เธอก็ยังไม่หมดความพยายาม เมื่อนึกถึงตุ๊กตาวัวตัวโปรดของเด็กหญิงได้ ก็ล้วงมือไปหยิบมันออกมาหลอกล่อ แต่อชิรญาก็ไม่สน มือเล็กปัดตุ๊กตาทิ้ง ณัฐทินีย่อตัวลงไปเก็บตุ๊กตาอย่างทุลักทุเล มือหนึ่งพยายามประคองร่างเล็กในอ้อมแขน อีกมือก็เคลื่อนไปหาตุ๊กตาที่ดูจะไกลเกินเอื้อม เธอพยายามคว้ามัน แต่มีมือดีมาแย่งหน้าที่เก็บตุ๊กตาไปจากเธอก่อน

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดออกไปโดยอัตโนมัติ ใบหน้าแหงนเงยขึ้น และยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือผู้ช่วยเหลือนั้นเป็นใคร

“คุณน่าน!” เธออุทาน ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ตกใจราวกับเห็นสัตว์ประหลาดสามตาก็ไม่ปาน

ชลน่านกลั้นยิ้มไม่อยู่ มุมปากทั้งสองโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกึ่งขำกึ่งสงสาร...เธอคงไม่รู้ว่าหน้าเธอตอนนี้ดูตลกมากมายขนาดไหน...สาวสวยทันสมัยหน้าตาท่าทางสับสนกำลังยืนอุ้มเด็กที่กำลังแผดเสียงสิบแปดหลอด

วันนี้เขาถูกแพรพรรณรายตื้อให้ออกมาเจอทั้งที่เขาตั้งใจจะอยู่บ้านดูซีรีย์เรื่องใหม่ที่เพิ่งสั่งมาจากเว็บเมืองนอกแท้ๆ แต่เมื่อถูกอ้อนมากๆ เข้าก็จำใจออกมากับเธอ พวกเขากินอาหารกลางวันด้วยกัน ก่อนเธอจะลากเขามาซื้อชุดชั้นใน เขาไม่ได้อยากช็อปปิ้งกับเจ้าหล่อนด้วยเลย แต่ก็เหมือนเลยตามเลย นี่ไม่รู้เธอเดินหายไปไหน เขาไม่ได้สนใจจะตาม เดินลอยไปมาจนกระทั่งได้ยินเสียงเด็กร้องไห้น่ารำคาญ และเห็นใบหน้าคุ้นตากำลังอุ้มเด็กทารกเจ้าของเสียงร้องไห้ ท่าทางณัฐทินีดูจะร้องไห้ตามเด็กในอ้อมแขนไปด้วย สองเท้าของเขาก้าวเข้าไปหา ช่วยเธอเก็บตุ๊กตาเก่าๆ ที่ร่วงหล่นโดยอัตโนมัติ

“ไปขโมยเด็กที่ไหนมาครับเนี่ย” เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเธอ...ก็ดูเธอสิ เลี้ยงเด็กเป็นเสียที่ไหน นอกจากจะจัดการให้เด็กหยุดร้องไม่ได้ เธอยังทำท่าตื่นตกใจอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก นี่ถ้าเขาไม่รู้จักเธอก่อนหน้านี้ จะต้องคิดว่าเธอลักขโมยเด็กมาแล้วไม่รู้จะปลอบเด็กได้ยังไงแน่ๆ

ณัฐทินีแยกเขี้ยวใส่ “บ้าสิ ไม่ได้ขโมยเด็กที่ไหนมา นี่น้องปลาย หลานฉัน”

พูดกันไม่ทันไร อชิรญาก็แผดเสียงร้องไห้แทรกเสียงการสนทนา ดึงความสนใจที่ชลน่านมีต่อคุณป้าไปยังเธอ

“นี่คุณ ช่วยฉันปลอบหลานหน่อยสิ” ณัฐทินีขอร้องเขา จนปัญหาจะทำให้อชิรญาหยุดร้องไห้ ใจจริงเธออยากจะโยนยายหนูให้ชลน่านอุ้มเสียด้วยซ้ำ เผื่อว่าเปลี่ยนมือคนอุ้มแล้วจะหยุดร้องไห้ แต่กลัวว่าจะยิ่งทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม เลยยอมอุ้มไว้เหมือนเดิมดีกว่า

“อ้าว! คุณ ไหงโยนหน้าที่อย่างนี้ล่ะ” แม้จะโวย แต่ชลน่านก็ยังยิ้มและพยายามช่วย

“โอ๋ๆ น้องปลายคนสวยขา หยุดร้องไห้แล้วยิ้มให้ลุงหน่อยสิคะ” เขาทำหน้าเป็น หมายหลอกล่อเด็กหญิงให้หัวเราะ

แต่อชิรญาไม่ขำด้วย เธอเบะหน้า ครางกระซิก แล้วพลิกหน้าหนี

“โธ่! ไม่ชอบหน้าลุงหรอกหรือ” เขาตีหน้าเศร้า ก่อนจะนึกได้และถาม “คุณณัฐ น้องปลายหิวหรือเปล่า”

“ไม่น่าจะหิวหรอกค่ะ เมื่อกี้เอานมให้ก็ไม่ยอมกิน” ณัฐทินีนิ่วหน้า

“แล้วแม่น้องปลายไปไหน บางทีน้องปลายอาจจะอยากหาแม่”

“ไปดูหนังกับพ่อน้องปลาย ฉันแค่รับฝากชั่วคราว เฮ้อ...แล้วนี่แม่ฉันหายไปไหนไม่รู้ ทิ้งฉันไว้กับยายปลายเฉยๆ ทำอย่างกับว่าฉันโปรเรื่องเลี้ยงเด็กตายแล้วเนี่ย” ก่อนจะพูดบ่นมากไปกว่านี้ เธอก็เหลือบไปเห็นสรียาเดินตรงมา ในมือถือถุงช็อปปิ้งใบโต

ณัฐทินีไม่รอให้มารดาเดินเข้ามาหา เธอกระชับยายหนูในอ้อมแขนและเดินเร็วๆ ตรงไป โดยมีชลน่านเดินตามหลังมาติดๆ

สรียามองลูกสาวและหลานสาวที ก่อนจะเหลือบมองหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่เบื้องหลังสองสาวด้วยความประหลาดใจ...ใครกัน เธอไม่รู้จัก ไม่คุ้นหน้า แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพื่อนลูกสาวเธอ...หรือไม่ใช่เพื่อนที่เธอรู้จัก

เขายกมือไหว้ เธอรับไหว้อย่างงุนงง ณัฐทินีไม่สนใจจะแนะนำชลน่านขณะที่อชิรญากำลังเป็นปัญหา

“แม่คะ ยายปลายร้องไห้ใหญ่เลย ณัฐปลอบยังไงก็ไม่ยอมหยุด จะว่าหิวก็ไม่ใช่ เพราะป้อนนมก็ไม่ยอมกิน ณัฐไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เธอส่งอชิรญาให้มารดาราวว่ากำลังอุ้มก้อนถ่านร้อนๆ

สรียารับยายหนูมาพิศดู อชิรญายังคงร้องไห้ เธอทำเสียงปลอบพลางลูบหลังเบาๆ แล้วถามลูกสาว “ผ้าอ้อมเปียกหรือเปล่า ตั้งแต่ออกมาเรายังไม่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยายปลายเลยนี่” เธอแสดงความเห็นอย่างคนเจนจัดเรื่องการจัดการเด็ก “ไป เราไปห้องน้ำกันดีกว่า” เธอพาอชิรญาซึ่งตอนนี้สงบลงมากออกเดิน ยายหนูส่งนิ้วเข้าปากดูดจ้วบๆ น้ำตาเปียกขนตาและจับตัวเป็นกระจุก หน้าอกสะท้อนน้อยๆ

ณัฐทินีเดินตามไป ทึ่งที่มารดาทำให้ยายหนูหยุดร้องไห้ได้...เฮ้อ...เธอคงเลี้ยงเด็กไม่ได้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ

“คุณน่าน!”

เสียงใสที่ค่อนข้างแหลมเล็กเรียกให้ทั้งณัฐทินีและชลน่านหยุดเดิน ส่วนสรียานั้นหันไปมองแวบๆ และขมวดคิ้ว แต่ยังไม่หยุดเดิน มุ่งหมายจะไปห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยยายหนูให้คลายความอึดอัด

แพรพรรณรายเดินซอยเท้าเร็วๆ เข้ามาหาและคล้องแขนเขาหมับเบ้อเริ่ม แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชายหนุ่มเต็มที่ “หายไปไหนมาคะ แพรตามหาตั้งนาน” เธอจีบปากจีบคอพูด ใช้สายตาเย็นชามองประเมินณัฐทินีตั้งแต่หัวจรดเท้า

ณัฐทินีคอแข็ง แม้จะจำไม่ได้ว่าแพรพรรณรายเป็นดารา เนื่องจากไม่สนใจข่าวบันเทิง แต่กิริยาที่อีกฝ่ายแสดงต่อเธอและชลน่านก็ทำให้เธอเข้าใจสถานภาพระหว่างพวกเขาได้เป็นอย่างดี...อ้อ! มีแฟนอยู่แล้ว แต่ไปร่วมนัดบอด แถมยังมาทำเลียมลองล้อเล่นกับเธออีกแน่ะ คนทุเรศ!

“ไม่ได้หายไปไหน ก็ยืนอยู่แถวนี้แหละ” เขาไม่ได้โทษว่าเธอนั่นแหละที่ล่องหนไปเสียเฉยๆ

“แล้วนี่ใครคะ”

ชลน่านสบตาณัฐทินีก่อนจะตอบ “เพื่อน” เขาไม่คิดจะบอกแน่ว่าเป็นคู่นัดบอดของเขา

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลาน” ณัฐทินีชูกระเป๋าเด็กอ่อนประกอบ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่กล่าวลา เธอไม่รอการแนะนำตัว ไม่อยากรู้จักผู้หญิงคนนี้ และไม่อยากจะเสวนากับคนเจ้าเล่ห์อีกแม้แต่วินาทีเดียว!

แพรพรรณรายหน้าง้ำ “เพื่อนคุณนี่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เลยนะคะ”

ชลน่านไม่ตอบ รู้แต่ว่าณัฐทินีโกรธเขาเสียแล้ว และเขาไม่สบายใจเลย

“ว่าแต่...เธอเป็นเพื่อนคุณน่านแน่หรือคะ” แพรพรรณรายซักต่อ มองเขาด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยแววสงสัย สัญชาตญาณความเป็นผู้หญิงทำให้เธอตงิดใจ

ชลน่านมองหน้านางเอกสาวคู่ควงอย่างเบื่อๆ “ทำไมถามแบบนี้ล่ะแพร”

“คุณน่านแอบคบคนอื่นลับหลังแพรใช่ไหมคะ” เธอไม่ยอมแพ้

“แพร เราแค่ควงกันเล่นๆ ไม่ใช่หรือ” เขาถอนหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ หากทวงถามถึงคำมั่นแรกคบ

“แต่มีข่าวแพรกับคุณน่านลงหราในหนังสือ”

“แพรบอกเองว่ารับได้” เขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้หญิงบางคนถึงชอบทำนิสัยแบบนี้ ตอนแรกก็รับเงื่อนไขที่เขาวางเอาไว้เป็นอย่างดี หากนานวันเข้ากลับคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของเขาได้ และแสร้งทำเป็นลืมว่าเคยรับปากอะไรกับเขาไว้

“แต่แพร...”

“พอเถอะแพร” เขาแทรกก่อนเธอจะได้พูดจบ “ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เราควรจะจบกันได้แล้ว” ถึงเวลาที่เขาจะพูดมันสักที เขาปล่อยเธอมานานเกินไปแล้ว

“จบ? จบแบบไหนคะ” สายตาของเขาสร้างคำถามแก่เธอ เธอกับชลน่านไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยพูดไม่ดีใส่กัน เขาไม่เคยทำกิริยาน่ารำคาญใส่เธอด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรก

“จบ...” เขายักไหล่ สีหน้าไม่แคร์ “จบแบบ...จบกันสักที” เขามองหน้าเธอ คล้ายจะถามเธอทางสายตาว่า...อะไรกัน แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือไง

“คุณน่านอย่าล้อแพรเล่นนะ” เธอกล่าวเสียงสูง น้ำเสียงเจือไปด้วยความไม่พอใจ รู้ว่าเขาเอาจริง เธอรู้สึกตัวมาสักพักแล้ว แต่ใจก็ยังหวังว่าจะรั้งเขาไว้ให้นานที่สุดได้ เธอยังรักเขา รักของเธอคือการครอบครองเป็นเจ้าของ

“แพรก็รู้ว่าคบกับผมไม่มีอนาคต และผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัว” แต่เขาก็ไม่เอาเปรียบเธอด้วยการไม่บอกความจริงกับเธอ หลอกเธอไปวันๆ เหมือนผู้ชายบางคน เขาซื่อสัตย์ในสามัญสำนึกของตัวเองมากพอ

ไม่จริง เธอไม่เชื่อ เธอเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องหลงรักเธอ และยอมอ่อนข้อให้เธอ...แพรพรรณรายเถียงเขาในใจ เพราะคิดแบบนี้ เธอจึงดื้อด้านเป็นพิเศษ เธอกำหมัดแน่นและเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจและเริ่มพูดช้าๆ ด้วยความใจเย็น

“อย่าเพิ่งคุยกันเลยค่ะ วันนี้คุณน่านอารมณ์ไม่ดี คงคุยกันไม่รู้เรื่อง”

ชลน่านส่ายหน้าเบาๆ ไม่ซ่อนยิ้มสมเพชบนใบหน้า “แพร ไม่ว่าจะยังไงคำตอบก็เป็นเหมือนเดิม แพรก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราชืดชามาสักพักแล้ว ผมกำลังจะยุติมันในไม่ช้า และคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาดีที่สุด”

เธอยืนนิ่ง ซ่อนความโกรธและไม่พอใจไว้ข้างในใจ...เธอรักเขา เขาไม่มีสิทธิ์จะมาทำแบบนี้กับเธอ

“กลับกันเถอะ แพรซื้อของได้แล้วนี่” ชลน่านเปลี่ยนเรื่องพูดพลางพยักพเยิดไปยังถุงกระดาษในมือของเธอ “มา ผมถือให้” เขารับถุงมาจากมือเธอ

ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องเดิม ยังไงเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เขารู้ และเธอเองรู้ดี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ณัฐทินีตามเข้าไปสมทบกับมารดาในห้องน้ำหญิง สรียาแกะผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกจากอชิรญาแล้ว เด็กหญิงนอนเปลือยครึ่งท่อน ปล่อยให้อากาศโบกเป่าจนก้นแห้งสนิท ดวงหน้ากลมเล็กหัวเราะร่า สองมือไขว่คว้าไปข้างหน้า เล่นกับสรียา ดูมีความสุขกว่าเดิมมาก

“ตกลงว่าผ้าอ้อมเปียกหรอกหรือคะ” ณัฐทินีถาม

“จ้ะ เต็มผืนเลย” สรียาบุ้ยใบ้ไปยังกองผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่เธอถอดวางไว้ข้างๆ ยังไม่ได้กำจัดลงถังผง “ทั้งหนักทั้งเปียกอย่างนั้น ยายปลายก็ต้องไม่สบายตัวเป็นธรรมดา”

“โธ่! ณัฐก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ยายหนูร้องไห้เพราะอะไร” เธอหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกมาจากกระเป๋าเด็กอ่อนและยื่นให้มารดา “ร้องแต่ม้ะๆ ณัฐก็นึกว่าร้องหามิลินท์”

“เวลาเด็กๆ ร้องไห้น่ะ ต้องการไม่กี่อย่างหรอก หิว ปวดฉี่ปวดอึ ป่วย อยากให้คนกอด อยากให้คนเล่น แต่แกพูดไม่เป็น” แม้อชิรญาจะพูดได้หลายคำ แต่ก็ยังบอกว่าปวดฉี่หรือปวดอึไม่เป็น “เลยใช้วิธีร้องไห้แทน...ณัฐ ส่งทิชชูเปียกกับแป้งให้แม่ด้วย”

ณัฐทินีควานหาของในกระเป๋าและดึงออกมา

“มาช่วยแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมดีกว่า...มา” สรียาเรียก ถึงเวลาที่ณัฐทินีต้องหัดเลี้ยงหลานบ้างแล้ว ซ้อมไว้ก่อนมีลูกยังไงล่ะ

ณัฐทินีนิ่วหน้าอย่างไม่แน่ใจ แต่สรียาไม่ให้เธอตัดสินใจเอง

“เอาผ้าเปียกเช็ดจุ๋มจิ๋มกับก้น เช็ดไล่ลงไปนะณัฐ เช็ดย้อนขึ้นมามันสกปรก” สรียาดึงทิชชูเปียกออกมาจากซองแล้วยัดใส่มือลูกสาว “เอ้า! ลองทำดู ยายปลายคงไม่อยากโป๊นานหรอก เนอะปลาย” เธอหันไปพยักพเยิดกับหลานสาว ซึ่งหัวเราะตอบรื่นเริง

ณัฐทินีเอาผ้าเปียกเช็ดตามที่มารดาสั่งอย่างกล้ากลัวและเก้กัง สรียาถึงกับส่ายหน้า

“ยายณัฐ ไม่ต้องทำหน้ารังเกียจขนาดนั้น นี่แค่ฉี่ ไม่ใช่อึ แล้วอีกอย่าง...แต่ก่อนแม่ยังทำให้ณัฐได้ ณัฐก็ต้องทำให้หลานได้เหมือนกัน...ใช่ไหม” แหม...แค่ฉี่ยังทำหน้าทำตาขนาดนี้ ไว้วันหลังต้องใช้ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมตอนยายปลายอึซะแล้ว จะได้รู้ว่าฉี่น่ะเรื่องเล็ก

ณัฐทินีทำหน้าเมื่อยและตอบเสียงอ่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ค่ะ”

“เช็ดเสร็จแล้วก็เอาแป้งทา ก้นจะได้แห้ง กันผดผื่น” สรียาสั่งไปสอนไป

การทาแป้งไม่เป็นปัญหาสำหรับณัฐทินีสักเท่าไหร่ แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อมนี่สิ...

“อ๊าย! ยายปลาย อย่าเพิ่งคลาน อยู่เฉยๆ ให้ป้าใส่ผ้าอ้อมก่อน” เธอรีบตะครุบเจ้าตัวเล็กที่เริ่มจะลุกคลาน พยายามจับมานอนนิ่งๆ แต่อชิรญากลับแปลงร่างเป็นลูกลิงอยู่ไม่สุข ดิ้นไปมาในพื้นที่เล็กๆ ของเคานเตอร์ห้องน้ำที่จัดไว้ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก

สรียายิ้มกว้าง พยายามกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นณัฐทินีดูกล้าๆ กลัวๆ กับการจัดการหลานสาว

“แม่ ยายปลายไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ให้ณัฐใส่ผ้าอ้อม” ณัฐทินีฟ้อง สีหน้าอับจนปัญญา พอเธอจะติดเทปยึดผ้าอ้อม อชิรญาก็ดิ้นไปมาจนเธอไม่สามารถติดเทปได้

สรียาหัวเราะ แต่ยังคงยืนเฉย ไม่เข้าไปช่วย “ยายณัฐ แค่จับยายปลายดีๆ อย่ากลัวก็พอแล้ว จับหลวมๆ กล้าๆ กลัวๆ แบบนั้น ยายปลายก็ดิ้นหลุดทุกทีน่ะสิ”

“โธ่! แม่นะ ยืนหัวเราะเฉยๆ อยู่ได้ยังไง” ณัฐทินีโอด

“เร็วเข้า เจ้าปลายอยากเล่นเต็มแก่แล้วนั่น” สรียาขู่ และเธอขู่จริง ไม่ได้ขู่เล่น อชิรญาสบายตัวและพร้อมจะเล่นแล้ว

“ใช้มือข้างนึงยกยายปลายขึ้น...ไม่ๆ รวบขาขึ้นสิ ใช้มือข้างเดียวนั่นแหละ สอดผ้าอ้อมเข้าไป” เธอบอก “เอาขาลงแล้วพับผ้าอ้อมขึ้น ติดเทปได้แล้ว ติดแน่นๆ นะ เดี๋ยวผ้าอ้อมหลุด ถ้าผ้าอ้อมหลุดแม่จะให้ณัฐเช็ดที่ปลายทำเลอะ” เธอขู่ก่อนจะย้ำเตือน “แต่อย่าติดแน่นเกินไป เดี๋ยวยายหนูอึดอัด”

ณัฐทินีฟังอย่างเดียว มือก็ทำตาม แม้จะช้า แต่สุดท้ายเธอก็ใส่ผ้าอ้อมได้สำเร็จ เล่นเอาเธอเหงื่อแตกซิกๆ

“เฮ้อ...เสร็จซะที”

“ยังไม่เสร็จ อย่าลืมใส่กางเกงด้วย” สรียาชี้ไปยังกางเกงสีชมพูที่กองอยู่ข้างๆ

“ปลาย มา ยืนขึ้นลูก เกาะแขนย่าไว้” เธอเข้าไปช่วยดึงหลานขึ้นมายืนและบังคับมือให้ยึดเธอไว้แทนหลัก

“เราจะใส่กางเกงกันนะจ๊ะ...เอ้า! ณัฐ เอาเกงกางมาเร็วสิ” ลูกสาวเธอเซ่อซ่าอีกแล้ว สงสัยจะต้องส่งไปหัดเลี้ยงหลานกับมิลินท์มากๆ เก้ๆ กังๆ แบบนี้ ไม่ได้ดังใจเธอเลย

“เอ้อ! ค่ะๆ” ณัฐทินีหยิบกางเกงมากางรอ

“เกง” อชิรญางึมงำ

“จ้ะ กางเกง”

อชิรญาเอาขาสั้นๆ หย่อนลงไปในรูของขากางเกง ณัฐทินีช่วยใส่ขาอีกข้างและดึงกางเกงขึ้น ขอบยางเกาะเอวเล็กๆ มั่น อชิรญาแต่งตัวเรียบร้อย เนื้อตัวก็แห้งสนิท เธอจึงไม่โหยกเหยกงอแงอีกแล้ว

ณัฐทินีจัดการกับขยะและเก็บของลงกระเป๋า สรียาเล่นกับหลานและได้โอกาสถามสิ่งที่เธอสงสัย

“ณัฐ ผู้ชายเมื่อกี้เป็นใคร”

ณัฐทินีกำลังรออยู่เหมือนกันว่ามารดาจะถามเมื่อไหร่ เธอรู้ว่าแม่จะต้องถาม ไม่ช้าก็เร็ว และเธอไม่เลี่ยงคำตอบ

“คู่นัดบอดของณัฐยังไงล่ะคะ”

“นัดบอด...นัดเมื่อวานกับวีแมตช์เลิฟน่ะนะ” หลังจากณัฐทินีกลับมาจากร้านไธม์ เธอยังไม่มีโอกาสได้ซักถามอะไร และเธอไม่ต้องการซักถามในตอนนั้นด้วย เพราะอยากให้เวลาณัฐทินีบ้าง การจับคู่โดยวีแมตช์เลิฟถือเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจเธอแต่บีบบังคับณัฐทินีมากแล้ว

ณัฐทินีเท้าสะเอวอย่างหน่ายๆ “ยังมีนัดบอดไหนอีกล่ะคะ ณัฐเพิ่งจะไปแค่ครั้งเดียว”

“เขามีแฟนแล้วเหรอ” สรียาจำผู้หญิงที่เดินตามมาสมทบกับผู้ชายคนนั้นและแสดงความเจ้าข้าวเจ้าของอย่างออกนอกหน้าได้ เธอชื่อแพรพรรณราย เป็นนางเอกละครหมายเลขหนึ่งในตอนนี้ของโทรทัศน์ช่องยี่สิบ

“ค่ะ” ณัฐทินีตอบเสียงเรียบ กดความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ...คนหลอกลวง!

สรียาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “แม่เพิ่งรู้ว่าคนที่มีแฟนแล้วก็เข้าร่วมวีแมตช์เลิฟได้”

“โอ๊ย! แม่คะ เขาคงไม่โง่เขียนในใบประวัติว่าตัวเองมีแฟนถ้าต้องการจับคู่นัดบอดหรอกค่ะ” ไอ้ที่บอกว่าโดนแม่บังคับก็คงจะโกหกทั้งเพ “หรือไม่บางที คำว่าโสดของคนบางคนหมายความว่ายังไม่แต่งงานมั้งคะ ฉะนั้นมีแฟนก็ยังเรียกว่าโสดได้ เพราะไม่ได้แต่งงาน!” ณัฐทินีกระแทกเสียงอย่างหมั่นไส้

“ต๊าย! เป็นผู้ชายที่แย่มาก” สรียาอุทาน “นี่ณัฐคงไม่ได้คิดจะมีนัดครั้งต่อไปกับเขาหรอกนะ” เธอทราบว่าถ้าคู่นัดพอใจซึ่งกันและกัน ก็จะสามารถติดต่อให้ทางวีแมตช์เลิฟจัดนัดให้อีกได้

“ไม่มีทางค่ะ ไม่มีครั้งต่อไปแน่ๆ” อีตาชลน่าน ฉันขอสาปส่งนาย!

...ผมไม่ค่อยให้เบอร์ส่วนตัวกับใครเท่าไหร่หรอกนะ...

ยิ่งคิดถึงคำพูดของเขา เธอก็ยิ่งเคือง...หน็อย! คงจะมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองมาก หวังจะล่อให้เธอโทรฯ ไปหาก่อน มาแผนสูง เว้นระยะห่าง ไม่รุกเร้า! อย่างนี้ต้องเจอแก้เผ็ด แม่จะเอาเบอร์ไปแกล้งโพสต์ในบอร์ดเกย์ จะได้จำเอาไว้ว่าอย่าเอาเบอร์โทรศัพท์ไปแจกซี้ซั้ว!

“แม่จะต้องคุยกับอัญ ปล่อยให้ผู้ชายแบบนี้ลอยนวลในวีแมตช์เลิฟไม่ได้หรอก มารผู้หญิงชัดๆ”

‘มารผู้หญิง’ ไม่รู้ตัวเลยว่านิสัยเจ้าชู้ขี้เบื่อกำลังจะทำให้เขาซวยบรรลัย!

จบบทที่ 6
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่า

งวดนี้มาไม่ช้ามากนะคะ บทนี้ตัวละครเยอะแยะเลย คงจุใจทั้งสองคู่ ภัทรกับพิณดูอ่อนๆ ลงไปแล้ว แม้ภัทรจะมีแหย่ๆ บ้าง แต่ดูพิณก็ไม่ถือสาอะไร ส่วนณัฐกับน่าน กำลังสนุกเลย ขำตอนยายหนูปลายร้องไห้ ฮี่ๆ

มิถุนาเคยช่วยแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้อง อารมณ์เดียวกับณัฐเลยค่ะ ประมาณ...อี๋ อะไรเนี่ย แหวะ เหม็นจัง น่ารังเกียจ เช็ดก้นน้องก็เช็ดแบบแหยะๆ (ไม่ว่าจะเช็ดกี่ครั้งก็ยังเป็นแบบนั้น ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี) แม่ก็บอกว่าไม่ต้องเช็ดแบบกลัวๆ เลย สมัยก่อนแม่ก็ทำให้เราเหมือนกัน ฮี่ๆ  เห็นไหมคะว่าคนเป็นแม่ลำบากขนาดไหน ต้องทนทำทุกอย่างเลย แม่เคยถามมิถุนาด้วยค่ะว่าถ้าอีกหน่อยแม่แก่มากๆ และมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย จะกล้าทำความสะอาดให้แม่ไหม มิถุนาก็บอกว่าทำได้ เพราะมันต้องทำนี่นา 55 แม้จะต้องอี๋ๆ แต่ก็แม่ของเราทั้งคน ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ...ใช่ไหมคะ

ความจริงอยากแปะรูปน้ำตกป่าละอูที่เคยไป แต่หาซีดีเซฟรูปไม่เจอ เลยอดเลยค่ะ แต่จำได้ว่าตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ไปน้ำตก ปีนไปสูงเหมือนกัน สูงจนมันชันแบบไปต่อไม่ได้ถึงได้กลับลงมา ได้เห็นผีเสื้อที่ไม่ได้เห็นมานานด้วยค่ะ จำได้ว่าตอนเด็กๆ จะต้องเห็นผีเสื้อช่วงเย็นๆ ทุกวัน แต่ปัจจุบันนี้ ไม่เห็นผีเสื้อมานานแล้ว (ไม่นับผีเสื้อกลางคืนนะคะ)

แล้วเจอกันคราวหน้านะคะ มาดูกันว่า ‘มารผู้หญิง’ ของเราจะเป็นยังไง 555 จะเจอหนูณัฐเล่นงานขนาดไหน เกมชิงรางวัล (หนังสือปรารถนารัก) ยังไม่หมดเขตนะคะ ยังส่งคำตอบเข้ามาได้ ใครที่สนใจเข้าไปอ่านกติกาที่กระทู้นี้เลยค่ะ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8538152/W8538152.html อยู่ด้านล่างๆ ช่วงทักทายท้ายบท

มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mtihuna.bloggang.com




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2552 16:27:33 น.
Counter : 1019 Pageviews.  

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 5

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 5

ห้องพักของพวกเขามีทั้งหมดสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องรับแขก ประกอบไปด้วยโซฟายาวสีฟ้าสดใส โทรทัศน์สีจอแบนพร้อมเครื่องเสียงและเครื่องเล่นดีวีดีชุดใหญ่ ลึกเข้าไปด้านในเป็นครัวไร้แก๊สซึ่งก็คือเตาไมโครเวฟ และบาร์เครื่องดื่มขนาดเล็ก ส่วนห้องนอนทั้งสามห้องอยู่ด้านบน ซึ่งตกเป็นของสาวๆ เสียสองห้องตามการเฉลี่ยแบ่งตามจำนวนคน ห้องน้ำมีทั้งหมดสามห้อง ห้องแรกอยู่ชั้นล่าง ห้องที่สองอยู่ภายในห้องนอนใหญ่ ส่วนอีกห้องอยู่ตรงระเบียงระหว่างห้องนอนเล็ก

ทั้งสองชั้นมีระเบียงส่วนตัว ระเบียงชั้นล่างมีฝักบัวและอ่างจากุซซีแบบเปิดโล่งแต่เป็นส่วนตัว สามารถแช่น้ำอาบน้ำไปพลาง ดูดาวชมธรรมชาติไปพลางได้ ส่วนระเบียงชั้นบนเป็นชุดเก้าอี้พับชายหาดและอ่างจากุซซี อำนวยความรื่นรมย์กำลังสอง สาวๆ ทั้งหลายต่างกรี๊ดกร๊าดและบอกเป็นเสียงเดียวว่าโรแมนติกสุดๆ แน่นอนว่าพวกเธอยึดห้องที่มีระเบียงเป็นของตัวเอง ส่วนพวกหนุ่มๆ น่ะหรือ นอนห้องที่ธรรมดาที่สุดนั่นแหละเหมาะสมแล้ว

หนุ่มสาวทั้งแปดแยกตัวกระจัดกระจายตามมุมต่างๆ ของห้อง บ้างก็เอากระเป๋าเก็บเข้าที่ บ้างก็เข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าล้างตา

สดับพิณเพิ่งจัดแจงเอาชุดกระโปรงเนื้อผ้ายับง่ายออกมาแขวนเสร็จ จึงจะเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว หากฤทัยบอกว่าปัณณธรกำลังทำธุระหนัก ท่าทางจะอีกนาน ให้หาห้องน้ำห้องอื่นเข้าแก้ขัดไปก่อน

สดับพิณทำตามคำแนะนำแต่โดยดี เธอออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอก แต่ก็มีคนจับจองอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน

“อ้าว! จะเข้าห้องน้ำเหรอพิณ” ลินดาทักเมื่อเห็นสดับพิณหมุนลูกบิดประตูและพบว่าติดล็อกด้านใน

“อื้อ! แต่มีคนเข้าอยู่”

“ลองไปห้องข้างล่างสิ น่าจะว่างนะ”

“ก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”

สดับพิณเดินลงไปข้างล่าง อังกฤษและหนุงหนิงนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา มัวแต่สนใจรายการทีวีจนไม่เห็นเธอ เธอหยุดอยู่หน้าห้องน้ำ ประตูยังคงปิดเหมือนเดิม แต่เธอก็ลองหมุนลูกบิด เนื่องจากบางคนชอบให้ประตูห้องน้ำปิดเอาไว้ นัยว่าห้องน้ำเป็นห้องส่วนตัวที่ไม่ควรเปิดเผยให้ใครเห็น

ลูกบิดคลายออก เธอยิ้มเพราะคิดว่าห้องนี้ว่างชัวร์ ทว่าเธอคิดผิด และเธอก็ร้องกรี๊ดเมื่อดนัยภัทรเปลือยครึ่งท่อนล่างอยู่กลางห้องน้ำ

“เฮ้ย!” เขาอุทาน มือถือกางกางขาสั้นที่กำลังจะเปลี่ยนค้างเอาไว้ ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นผู้ชมทำหน้าตื่นใส่

“คนบ้า! ทำไมไม่ล็อกห้องน้ำ” สดับพิณรีบหันหลังกลับ หน้าแดงแปร๊ดโดยอัตโนมัติ ทั้งที่เห็นทัศนวิสัยของชายหนุ่มไม่ชัดเท่าไหร่ ทราบแต่ว่าเขาสวมเสื้อยืดอยู่ตัวเดียว แต่สวมกางเกงในหรือไม่นั้น เธอตอบไม่ได้ สายตาของเธอไม่กล้าซอกแซกพอ

“ก็ล็อกมันเสียนี่” เขาไม่ใช่คนโรคจิตที่เข้าห้องน้ำไม่ล็อกประตู หรือเป็นเด็กเล็กที่ล็อกประตูไม่เป็น แต่ทำไงได้ ล็อกพัง และเขาคิดว่าคงไม่น่าจะเป็นไรกะอีแค่ฉี่กับเปลี่ยนกางเกงแป๊บเดียว แล้วห้องน้ำข้างบนก็มีตั้งสองห้อง คงไม่มีใครใช้ห้องน้ำข้างล่างตอนนี้หรอก แต่ที่ไหนได้ เขากลับคิดผิด

“อะไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมพิณกรี๊ดลั่นบ้าน!” หนุงหนิงถาม เธอกับอังกฤษวิ่งหน้าตื่นเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง

ดนัยภัทรรีบดึงประตูปิด เขาไม่อยากให้ใครมาร่วมดู ‘ดนัยภัทรโชว์’ สักเท่าไหร่ แค่มียายตุ๊กตาเป็นผู้ชมคนเดียวก็เสียหายมากพอแล้ว...เอ้อ! จะว่าไปก็ไม่เสียหายอะไรหรอก เขายังใส่กางเกงในและเสื้อ เธอไม่มีทางจะเห็นช้างน้อย...เอ๊ย! แมมมอธของเขาแน่

“ปะ...เปล่าค่ะ...คือ...” สดับพิณยังคงหน้าแดงเหมือนเดิม ไม่กล้าสบตาผู้มาใหม่ทั้งสอง แล้วลินดาก็วิ่งจากบันไดลงมาหาพวกเขาเช่นเดียวกัน

“ใครกรี๊ดอะไร มีใครเป็นอะไร!” เธอถามอย่างตกใจ

“ไม่มีอะไรหรอก คุณพิณยังไม่รู้ว่าล็อกห้องน้ำเสีย เลยพรวดพราดเปิดประตูเข้ามาตอนฉันกำลังเปลี่ยนกางเกง” ดนัยภัทรไม่รอฟังสดับพิณพูดตะกุกตะกักอ้ำอึ้ง เขาอธิบายผ่านประตูห้องน้ำด้วยความรวดเร็วและความบริสุทธิ์ใจ

“พุทโธ่เอ๋ย! ไอ้เราก็นึกว่าเจอตัวบ้าอะไร ที่ไหนได้ ก็แค่ช้างน้อยนั่นเอง” อังกฤษแซวขำๆ หนุงหนิงและลินดาพลอยขำไปด้วย

“ไอ้บ้ากฤษ ไม่ใช่ช้างน้อยโว้ย แมมมอธต่างหาก แมมมอธ” ดนัยภัทรเถียงกลับ ประตูเปิดออกกว้าง เขาก้าวออกมาในชุดที่เรียบร้อยแล้ว ในมือถือกางเกงยีนส์ที่ใส่ตอนขามา สดับพิณรีบถอยกรูดไปหลบอยู่หลังหนุงหนิง ไม่กล้ายืนใกล้ๆ ดนัยภัทร ทั้งเขินและเคือง

“หน็อยแน่ไอ้ภัทร มีหน้ามาพูด...แมมมอธๆ” อังกฤษลอยหน้าลอยตาล้อเลียน เขาไม่เคยเห็นไอ้นั่นของเพื่อนหรอก แต่ปากเปราะแซวเล่นไปแบบนั้น นิสัยปากหมาชอบพูดบ้าๆ ของเขาแก้ไม่หายมานานแล้ว

“พอกันทีทั้งสองคน ต่อหน้าผู้หญิงพูดเรื่องแบบนี้ได้ไม่อายปาก” หนุงหนิงตัดบท “ดูซิพิณหน้าแดงหมดแล้ว” เธอโอบแขนรอบตัวสดับพิณอย่างปกป้อง “พิณเพิ่งรู้จักพวกเรา เห็นพวกเราทำแบบนี้ก็กลัวพอดี ไปดีกว่าพิณ อย่าไปสนใจสองคนนี้เลย”

หนุงหนิงพาสดับพิณออกเดิน ลินดาเดินตามและไม่วายทิ้งท้ายว่า

“จะช้างน้อยหรือแมมมอธมันก็ครือกันล่ะว้า ถ้าเป็นช้างคออ่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เธอหัวเราะลั่น ส่วนสดับพิณทำหน้างงเนื่องจากไม่เข้าใจมุกของลินดา แต่ก็ไม่กล้าถามอะไร เพียงสังหรณ์ว่าจะต้องเป็นมุกใต้สะดือแน่ๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

อาหารต่างถิ่นมื้อแรกเป็นก๋วยเตี๋ยวปลาต้มยำรสแซบ พวกเขาไม่เน้นว่ามาทะเลต้องกินอาหารทะเล เลยตระเวนกินอาหารที่ได้รับความนิยมประจำท้องถิ่นเสียมากกว่า เมื่ออิ่มก๋วยเตี๋ยวปลา พวกเขาก็วนรถไปซื้อข้าวเหนียวมะม่วงเจ้าอร่อยตุนไว้เป็นของว่าง และแวะร้านกาแฟซึ่งขึ้นชื่อว่าสถานที่ตกแต่งน่ารักน่านั่งและขนมรสชาติอร่อยลิ้นเป็นลำดับต่อมา

หนุ่มสาวทั้งแปดถอนหายใจด้วยความยินดีเมื่อฝ่าไอแดดร้อนๆ เข้ามาอยู่ในห้องเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ ร้านกาแฟมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ด้านในจุคนได้ราวยี่สิบกว่าคน ด้านนอกเป็นระเบียงกว้าง มีโต๊ะเก้าอี้ให้ลูกค้านั่งกินขนมชมวิวต่างหาก โครงสร้างร้านเป็นบ้านที่นำมาปรับปรุงเป็นร้านกาแฟ ตกแต่งด้วยสีขาว เหลือง และน้ำตาลต่างโทนสี ดูอบอุ่นน่ารักและสดใสเหมือนดอกทานตะวัน มุมข้างหนึ่งเป็นผนังกระจกใส ติดกันนั้นเป็นเคานเตอร์ยาวสำหรับนั่งดื่มกาแฟสำหรับผู้ที่มาคนเดียว คนนั่งจะหันหน้าเข้าหากระจก สามารถมองวิวถนนหนทางด้านนอกเพลินๆ ระหว่างจิบกาแฟได้ ลึกเข้าไปด้านในมีตู้หนังสืออ่านเล่นและโซฟาชุดใหญ่นั่งได้แปดคนพอดี พวกเขาจับจองพื้นที่ส่วนนี้เนื่องจากเป็นโต๊ะที่ใหญ่ที่สุด โต๊ะอื่นๆ ในร้านจะนั่งได้เพียงสองถึงสี่คนเท่านั้น

พนักงานของร้านนำเมนูมาให้พวกเขา แต่ละคนแบ่งกันอ่านดู สดับพิณชะโงกหัวแทบติดกับญาติสาว กำลังลังเลใจระหว่างโกโก้เย็นกับโอรีโอมอลต์ปั่น เธออยากกินวิปครีมจากโกโก้เย็น แต่ก็อยากลองชิมโอรีโอมอลต์ปั่นซึ่งเป็นเมนูที่หาที่ไหนไม่ค่อยได้ด้วย

“ว่าไงพิณ เลือกได้หรือยัง” ปัณณธรถามหลังจากสั่งมอคคาปั่นและไอศกรีมวาฟเฟิลเสร็จ

“ยังเลยปันปัน กำลังเลือกระหว่างโกโก้กับโอรีโอมอลต์” สดับพิณตอบ สายตายังคงจับจ้องรูปเครื่องดื่มในเมนูด้วยสายตาตั้งใจ

ดนัยภัทรได้ยินและอดหันมาสนใจไม่ได้ เมื่อเห็นสาวเจ้าหงึกหงักชักช้า เลยอาสาช่วยโดยเสนอว่า

“ไม่สั่งลาเต้เย็นเหมือนเมื่อเช้าเหรอครับ”

สดับพิณหันขวับไปทางชายหนุ่ม มองเขาอย่างไม่เป็นมิตร...นี่เขามายุ่งอะไรกับเธอด้วย ตั้งใจจับผิดกันใช่ไหม

โอเค เธอยอมรับว่าตอนนั้นทำเก่งต่อหน้าเขาด้วยความหมั่นไส้ สั่งกาแฟที่ตัวเองไม่ดื่ม ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ทำไมเขาต้องอคติกับเธอด้วยล่ะ เพราะอะไร เพราะเธอเป็นเพื่อนนอกกลุ่มเขาอย่างงั้นรึ หรือว่าเขาเหม็นหน้าเธอขึ้นมาเฉยๆ

สดับพิณไม่ตอบเขา ปัณณธรไม่โง่ที่ไม่สังเกตเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ระหว่างเพื่อนหนุ่มกับญาติสาว ไม่อยากให้เรื่องราว...ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีบานปลาย เลยลงมือจัดการเสียเอง

“เอาโอรีโอสิ ไม่ค่อยเห็นขายที่ไหนเท่าไหร่”

“ก็ได้ โอรีโอก็โอรีโอ” สดับพิณคล้อยตามโดยง่าย เธอหมดอารมณ์จะเลือกแล้วเหมือนกัน

ดนัยภัทรได้แต่ยักไหล่ยิ้มๆ ซึ่งสดับพิณเห็นว่าช่างกวนลูกตาเธอเสียนี่กระไร

“เป็นไง สั่งอะไรกันไปบ้าง” ฤทัยถาม เธอ ลินดา และหนุงหนิงเดินเข้ามาหลังจากสั่งเค้กหน้าตู้แช่เสร็จ

“เครื่องดื่มคนละแก้ว วัฟเฟิลไอศกรีมหนึ่ง” ปัณณธรตอบ

“ฤทัยสั่งเค้กมาด้วย มีบานอฟฟี บูลเบอร์รีชีสพาย กับบราวนีวิปครีม”

“ดีๆ อยากกินบานอฟฟี เห็นว่าที่ร้านนี้อร่อยมาก” ปัณณธรกล่าว ไม่มีใครไม่เห็นด้วย หนุ่มๆ ทั้งสามไม่เรื่องมาก ใครสั่งอะไรมาก็กินได้หมด ส่วนสดับพิณนั้นเล็งวิปครีมจากบราวนีเป็นอย่างแรก

จะมีใครว่าอะไรไหมถ้าเธอจะขอเหมาวิปครีมล้วนๆ

เฮ้อ...ก็เธอไม่เคยต้านทานครีมหวานๆ มันๆ ได้เลยนี่นา
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

เมื่อเสร็จสิ้นนัดบอด ชลน่านก็ตรงกลับบ้าน เขาเห็นมารดาผู้เป็นที่รักนั่งแกร่วอยู่ในห้องรับแขก เขาไม่สงสัยว่าทำไม แม่คงอยากรู้ผลการนัดใจจะขาด

“สวัสดีครับม้า”

“ตาน่าน มานั่งนี่มา” อรุณีกวักมือเรียกและตบเบาะว่างข้างๆ เธอ

เขาทำตามคำสั่งแต่โดยดี แต่ยังนั่งเงียบไม่พูดอะไร

“เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังหน่อย ทำเป็นอุบเงียบอยู่ได้ ยิ้มอย่างนี้นี่ ดีหรือไม่ดี” เธอฟาดมือเพียะบนต้นแขนของลูกชายตัวดีที่ทำเป็นอมพะนำทั้งที่รู้ว่าเธออยากรู้เรื่องนัดบอดจะแย่

ชลน่านไม่อยากตอบให้แม่ดีใจเลยว่ามันดีกว่าที่เขาคิด เขาคาดว่าจะเจอผู้หญิงน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ แต่ที่ไหนได้ ณัฐทินีดูจะเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาเลยทีเดียว

“ก็...งั้นๆ ครับ”

“นี่แน่ะ!” เธอตีลูกชายอีก “มาบอกว่างั้นๆ แต่ยิ้มตาพราวแบบนี้ ม้าไม่เชื่อหรอก” เธอเลี้ยงลูกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวแสบคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร

ชายหนุ่มหัวเราะร่า ไม่สะดุ้งสะเทือนกับฝ่ามือพิฆาตของมารดา “ก็...ก็น่าสนใจดีครับ”

“อะไรน่าสนใจ นัดบอดหรือผู้หญิงที่นัดบอดด้วย” อรุณีรุก

“ทั้งสองอย่าง” เขาตอบคลุมเครือ

“ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร หน้าตาเป็นยังไง นิสัยเป็นยังไง วันนี้คุยอะไร ทำอะไรกันบ้าง”

“โอ๊ย! ม้าครับ ใจเย็นๆ ถามรัวแบบนี้ เล่าไม่ถูกครับ” เขายกสองมือทำท่าห้ามเป็นพัลวัน

“ไม่ต้องมาอ้างโน่นอ้างนี่เลยตาน่าน ม้ารู้ว่าเราเล่าได้ ว่าแต่จะอยากเล่าหรือเปล่าเถอะ” เธอกอดอกและมองลูกชายค้อนๆ

“โห...ม้า เจ็บกระดองใจ พูดแทงใจน่านเต็มๆ” ชายหนุ่มเอามือกุมหัวใจ ร้องโอดโอยอย่างไม่น่าสงสาร

“แสดงว่าสนใจเขา” ไม่เป็นไร พ่อลูกชายตัวดีไม่ยอมบอก เธอไปถามเพื่อนเธอก็ด้ายยยย

“แต่เขาไม่สนใจน่าน” ชลน่านแสร้งถอนหายใจเฮือกอย่างคนกลัดกลุ้ม

“อะไรกัน มีด้วยเหรอผู้หญิงแบบนั้น ม้าไม่เชื่อ” จะหาว่าเธอลำเอียงเข้าข้างเห็นดีเห็นงามไปกับลูกชายก็ว่าได้ แต่เธอคิดว่าชลน่านเป็นหนุ่มเนื้อหอม มีคุณสมบัติรูปลักษณ์ รูปทรัพย์ และนิสัยดีเลิศไม่เป็นสองรองใคร...เอ้อ...ถ้าไม่นับเรื่องเจ้าชู้วอบแวบกับขี้เบื่อนิดๆ หน่อยๆ ที่ชวนให้เธอปวดหัวอยู่ ณ ตอนนี้นะ

“ถ้าน่านจะขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาจากอี๊อัญ ม้าว่าจะอี๊อัญจะให้ไหมครับ” เหมือนเขาจำได้รางๆ ว่าเอกสารของวีแมตช์เลิฟระบุว่าข้อมูลของลูกค้าจะถูกเก็บเป็นความลับ เบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าก็เป็นความลับ ดังนั้นอัญชุลีมีสิทธิ์จะไม่ทำตามคำขอของเขามากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์

อรุณีมองลูกชายด้วยสายตาสังเกต น้ำเสียงของชลน่านบ่งบอกว่าไม่พูดเล่น...งั้นก็แสดงว่านัดบอดครั้งนี้ได้ผลล่ะสิ

“ก็น่าจะได้มั้ง ม้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องลองถามอี๊อัญดู”

“น่านขอเบอร์อี๊อัญได้ไหมครับ”

เธอมองลูกชายอย่างไม่ไว้ใจ ใจหนึ่งอยากให้เพราะเขาทำท่าสนใจจริงๆ แต่อีกใจกลัวว่าเขาจะแอบคุยยกเลิกการนัดบอดกับอัญชุลีลับหลังเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจให้ ถึงไม่ให้ เขาก็คงจะเสาะหาเบอร์ติดต่ออัญชุลีได้ไม่ยาก เอาไว้เธอค่อยไปเตี๊ยมกับอัญชุลีในภายหลังน่าจะดีกว่า

เธอกดเรียกเบอร์ติดต่อของอัญชุลีจากโทรศัพท์มือถือของเธอ และยื่นให้ชลน่านเม็มโมรีเข้าโทรศัพท์ส่วนตัว

ชลน่านเอ่ยปากขอตัว ไม่ยอมให้มารดาซักอะไรอีก แม่แค่จัดการเรื่องนัดบอดให้ แต่การดำเนินงานเกี่ยวกับการนัดหมายทั้งหมดอยู่ในกำมือของเขา...เรื่องอะไรเขาจะต้องให้แม่ยุ่งเรื่องจีบผู้หญิงด้วยล่ะ แต่ถึงแม่จะไม่รู้จากปากของเขา แม่ก็คงถามจากอัญชุลีได้ไม่ยาก

ทันทีที่อยู่ตามลำพัง เขาก็โทรศัพท์หาอัญชุลี ซึ่งดีใจมากเมื่อรับสายของเขา แต่เธอก็ปฏิเสธจะให้เบอร์โทรศัพท์ของณัฐทินีแก่เขาโดยอ้างว่าเป็นความลับของลูกค้า การแลกเปลี่ยนเบอร์โทรฯ เป็นความสมัครใจของตัวลูกค้าเอง เธอไม่เกี่ยว

แม้จะตรงตามที่คาดการณ์ไว้ แต่ชลน่านก็หงุดหงิดเล็กน้อยที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจ ทว่าอัญชุลีก็อุตส่าห์บอกใบ้ว่าณัฐทินีทำงานที่บริษัทอะไร

ไอดีอีเอ บริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายใน

ก็เหมาะสมกับเธอดี เธอเป็นผู้หญิงมั่นใจและคล่องตัว

เว็บเพจบริษัทของเธอหรือบริการสอบถามเลขหมายช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก เขาได้แต่เบอร์ที่ทำงานของเธอมา แน่นอนว่ามันปิดวันเสาร์และวันอาทิตย์ เขาไม่อยากรอถึงวันจันทร์เลย อีกตั้งสองวันแน่ะ เขาจะอกแตกตายก่อนไหมเนี่ย

เอ...หรือว่าวันจันทร์เขาจะบุกไปเซอร์ไพรส์เธอถึงที่ทำงานเลย ไม่ทงไม่โทรฯ มันแล้ว

เมื่อคิดถึงเธอ เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่องโดยไม่รู้ตัว

อืม...ไปหาเธอที่บริษัทเลยนั่นแหละ ดีที่สุด เธอจะต้องคาดไม่ถึงแน่ๆ อยากเห็นหน้าเธอจริงๆ เธอจะทำหน้ายังไงเมื่อเห็นหน้าเขากันนะ

หวังว่าคงจะไม่ช็อกจนพูดไม่ออก เพราะเขาชอบฟังเธอพูดมากกว่า
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

เวลาล่วงเลยสองยามมานานแล้ว ผู้คนในห้องพักหลับกันหมดยกเว้นสดับพิณ เธอพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับสักที ไม่ว่าจะใช้วิธีคุยกับปัณณธรจนปัณณธรชิงหลับไปก่อน หรือนอนหลับตานับแกะถึงพันตัวก็ยังข่มตาให้หลับไม่ลง ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะอิทธิพลกาแฟที่ดื่มเข้าไปเพียงคำสองคำ แต่อาจเป็นเพราะเธอตื่นเต้นกับการมาเที่ยวและนอนแปลกที่มากกว่า เลยตื่นตาค้างแบบนี้ เธอหันไปมองปัณณธรซึ่งนอนกรนครอกอยู่ข้างๆ และถอนหายใจ

เฮ้อ...ไหนว่าจะอยู่เป็นเพื่อนกันไงปันปัน คุยด้วยกันไม่ทันไรก็กรนครอกฟี้ๆ ซะแล้ว

หลังจากกลับจากร้านกาแฟ นั่งพักได้ครู่พวกเขาก็เฮโลลงไปเล่นน้ำทะเล เล่นกันจนเหนื่อย กินข้าวเหนียวมูลหอมมันกับมะม่วงสุกแช่เย็นรสเปรี้ยวๆ หวานๆ พักอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ออกไปหาอาหารมื้อเย็นกินต่อ กลับมาถึงที่พักก็ยังอุตส่าห์ชวนกันไปเล่นน้ำอีก หากคราวนี้ลอยคออยู่ในสระว่ายน้ำใหญ่โตของรีสอร์ต พวกเขาอยู่เล่นกันจนมือเท้าเปื่อยกว่าจะได้เข้ามาอาบน้ำอาบท่า แน่ล่ะว่าใช้พลังงานมาตั้งแต่เช้าแบบนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจเข้านอนเร็วกว่าปรกติ แต่สดับพิณกลับหลับไม่ลง

เธอนอนกระสับกระส่ายอีกครู่ ก็ตัดสินใจลุกจากเตียง และย่องเงียบๆ ออกจากห้องโดยไม่ลืมคว้า ‘จ๊ะเอ๋’ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘น้องเอ๋’ ตุ๊กตากระต่ายสีขาวแต่ลักษณะเกือบจะเน่าออกไปเป็นเพื่อนด้วย มันเป็นตุ๊กตาตัวโปรดของเธอ เธอติดมันตั้งแต่เล็ก และจะไม่ยอมนอนโดยไม่มีมัน จึงต้องพามันมาเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน

บ้านพักทั้งหลังเงียบสนิท แต่ยังไม่มืดเสียทีเดียว เนื่องจากไฟทางเดินและไฟในห้องครัวถูกเปิดทิ้งเอาไว้ เธอป้วนเปี้ยนแถวตู้เย็นสักพักก็ได้คุกกี้ไส้ครีมหลอดเล็กและนมจืดหนึ่งกล่อง เธอมองซ้ายมองขวา ไม่คิดจะออกไปเดินเล่นนอกบ้าน จึงเลือกนั่งหย่อนขาแช่น้ำวนในอ่างจากุชชีตรงระเบียงบ้านแทน

น้ำเย็นฉ่ำไหลวนกระแทกปลีน่องเป็นระยะ เธอนั่งแหงนหน้าดูดาวระยิบระยับบนผืนฟ้าสีเข้ม ฟังเสียงเครื่องทำจากุซซีผสมเสียงจักจั่นกรีดปีกหวีดหวิวเพลินจนลืมกินขนมและนมที่หยิบติดมือมา

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สดับพิณไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะหลุดออกมาจากใต้ปีกอันปกป้องของพ่อแม่ได้ แต่เธอก็หลุดออกมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสามวัน และในความหวาดหวั่นต่อการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อย เธอรู้สึกถึงอิสระเสรีที่โหยหา

บางทีเธอคงอยู่ใต้โอวาทบิดามารดามากเกินไป

เธอนึกย้อนไปถึงสมัยเมื่อครั้งยังเด็ก ด้วยเป็นลูกสาวคนเล็กและคนเดียว ประกอบกับมีรูปร่างบอบบางคล้ายคนอ่อนแอ พ่อแม่จึงประคบประหงมเธอประดุจไข่ในหิน เอาอกเอาใจ ตามรับตามส่งถึงโรงเรียน ไม่ปล่อยให้ไปไหนตามลำพัง คัดสรรเพื่อนๆ ที่เหมาะสม รวมไปถึงเลือกการเรียนการศึกษาที่ตรงกับความพอใจของพวกเขา จนกระทั่งเธอเรียนจบปริญญาโท พวกเขาก็ยังเรียกกึ่งบังคับให้มาทำงานในบริษัทของครอบครัว เรียกว่าเธอไม่เคยได้ตัดสินใจด้วยตัวเองเลย มีช่วงปริญญาโทที่ไม่เร่งเรียนนี่แหละที่ทำให้เธอรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง เธอมีเพื่อน มีกิจกรรม มีสังคมของตัวเอง แม้จะยังถูกกักกันจำกัดสิทธิบางอย่าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนก็นับว่าดีกว่ามาก

เธอนึกสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทนไปได้อย่างไร เธออิจฉาเพื่อนๆ ที่ได้ไปโน่นมานี่ตามสะดวก ได้ขึ้นรถเมล์ไปโรงเรียนเอง ได้ไปกินไอศกรีมหลังเลิกเรียน ได้ไปค่ายเนตรนารี ได้เรียนอย่างที่ใจต้องการ ได้ทำงานที่ใฝ่ฝัน แล้วเธอล่ะ...เป็นอะไร เป็นคุณหนูของบ้าน พ่อแม่ตามใจแต่ไม่ปล่อย ต้องเรียนตามพ่อแม่สั่ง แถมยังทำงานกับบริษัทที่บ้านตามสูตรเป๊ะ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง เธอไม่เคยทำอะไรให้ตัวเองภูมิใจเลย ช่างน่า...สมเพช

เธอถอนหายใจ คอที่แหงนหงายตกลงอย่างช่วยไม่ได้

มือเย็นๆ แตะบนไหล่เปลือยของเธอ เธอตกใจจนสะดุ้ง อ้าปากกำลังจะกรีดร้อง ถ้าไม่ถูกตะครุบปากไว้แน่นจนแทบหายใจไม่ออก เธอดิ้นขลุกขลัก รับรู้ว่าใครบางคนที่ตัวโตกว่าเธอมาก กำลังรัดเธอจากทางด้านหลัง

“นี่ผมเอง อย่ากรี๊ดเชียวนะ เดี๋ยวคนอื่นก็พากันตื่นพอดี”

เสียงกระซิบนั้นคุ้นเคยจนสดับพิณหยุดดิ้นรน เธอหันไปมอง สบตากับดวงตาสีน้ำตาลใส หัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นตกใจ

“จำผมได้ใช่ไหม”

เธอพยักหน้า...ทำไมเธอจะจำเขาไม่ได้ เธอไม่ใช่คนความจำเสื่อมสักหน่อย

“หายตกใจแล้วนะ”

เธอพยักหน้าอีก ทั้งที่ใจยังเต้นระรัว

“งั้นผมจะปล่อยมือล่ะ ห้ามร้องกรี๊ดนะ”

เมื่อเห็นเธอผงกศีรษะรับ ดนัยภัทรก็ค่อยๆ ปล่อยมือจากปากของเธอ และขยับตัวนั่งเคียงข้างราวว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ขวัญอ่อนจริงคุณนี่” เขาเอ่ยยิ้มๆ

เธอมองค้อนเขา ใบหน้าแดงๆ เริ่มผ่อนคลายลงเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นตุ้บไม่เป็นส่ำ “ก็คุณเล่นมาเงียบๆ นี่ แถมเอามือเย็นเจี๊ยบมาจับ พิณก็นึกว่า...ผีน่ะสิ” มือเอื้อมไปหยิบจ๊ะเอ๋มากอดไม่ให้มือว่าง ดนัยภัทรมองตาตาม เห็นตุ๊กตายัดนุ่นเก่าโทรมของเธอแล้วนึกขัน

ยายตุ๊กตา ติดตุ๊กตาเหมือนเด็กๆ เลยแฮะ

“ขืนเมื่อกี้ผมปิดปากคุณไม่ทัน มีหวังตื่นกันทั้งบ้าน...เผลอๆ ลามไปถึงบ้านอื่นด้วยแหงๆ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถาม “ว่าแต่คุณมานั่งตรงนี้คนเดียวทำไม ไม่รู้จักหลับจักนอนหรือไง”

“แล้วคุณล่ะ มาทำอะไร ไม่หลับไม่นอน” เธอย้อน ไม่ตอบเขาก่อน

“นอนไม่หลับ ผมเป็นพวกหลับยากถ้านอนแปลกที่” เขากอดเข่าหลวมๆ สายตามองไปเบื้องหน้า รู้สึกได้ถึงความสงบเยือกเย็นของรัตติกาล

“แล้วคุณล่ะ” เขาถามซ้ำ

“พิณ...เอ้อ...ก็คงเหตุผลคล้ายๆ กับคุณ แล้วก็ตื่นเต้นด้วย” เธอซบศีรษะกับตุ๊กตา สูดกลิ่นเน่าๆ อันแสนคุ้นเคยอย่างรักใคร่

“ตื่นเต้น?” เขาถาม “ตื่นเต้นอะไรกัน” เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรชวนตื่นเต้นสักนิด

“ก็พิณไม่เคยถูกปล่อยมาเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ แบบนี้นี่” อย่าว่าแต่เที่ยวต่างจังหวัดเล้ย แค่เที่ยวนอกบ้านธรรมดายังต้องมีคนไปรับไปส่งอย่างกับเด็กอนุบาล

“อืม...” ดนัยภัทรทำเสียงรับในลำคอ จำได้รางๆ เหมือนกันว่าเธอเพิ่งจะเคยออกเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ครั้งแรก น่าสงสารเธอเหมือนกัน พ่อแม่เป็นห่วงเกินไป น่ากลัวว่าจะเป็นพ่อแม่รังแกฉัน...หรือเปล่า

“งั้นคราวนี้คงต้องเที่ยวให้เต็มที่ล่ะนะ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ

สดับพิณอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ รอยยิ้มของเธออ่อนหวาน เหมือนยิ้มของตุ๊กตา ชายหนุ่มใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว

“พิณก็ว่างั้น” เป็นครั้งแรกที่สดับพิณเห็นว่าเขาก็น่าคบหาไม่เลว

“พรุ่งนี้คุณคงจะสนุก จะไปน้ำตกป่าละอูกัน เคยเที่ยวน้ำตกหรือยังล่ะ”

เธอส่ายหัว “ไม่เคยเลยค่ะ ม้าไม่ชอบน้ำตก บอกว่าน่ากลัว” เธอคิดว่าน้ำตกไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มารดาคิด อาจจะมีบ้างในช่วงน้ำหลากและฝนตกที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งปลอดภัยและอันตรายในขณะเดียวกัน

“เอ...มันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนา”

“พิณก็ว่างั้น” เธอไม่ได้บอกแม่ว่ามีโปรแกรมเที่ยวน้ำตกรวมอยู่ด้วย กลัวแม่จะตื่นตระหนกจนไม่อยากให้เธอไปเที่ยว

นั่งคุยเรื่องไร้สาระเที่ยวกับการท่องเที่ยวได้สักพัก สดับพิณก็เริ่มตาเชื่อม เธอยกมือปิดปากหาว ก่อนจะกะพริบตาไล่น้ำตาที่เอ่อขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

“เริ่มง่วงแล้วล่ะสิ” ดนัยภัทรทัก

หญิงสาวพยักหน้า

“ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ท่าทางจะต้องใช้แรงเยอะ” ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เขาคุยกับเธอไปนานเท่าไหร่ แต่เขาแทบไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานเลย

“ค่ะ” สดับพิณเปิดปุ่มเปิด/ปิดของจากุชชีแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมคว้าจ๊ะเอ๋ขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเหลือบไปเห็นกล่องนมเปล่าและซองขนมที่แบ่งกินกับเขาจนหมดใกล้เท้า เธอก็เตรียมย่อตัวลงไปเก็บ แต่ดนัยภัทรโบกมือห้าม

“ผมทิ้งให้ คุณอุ้มตุ๊กตาไปเถอะ” เขาก้มลงไปเก็บเศษขยะด้วยมือข้างเดียว เมื่อเขายืดตัวเต็มความสูง เธอก็สบตาเขาและบอกว่า

“จ๊ะเอ๋ค่ะ...มันชื่อจ๊ะเอ๋”

เขาเข้าใจในทันทีว่าเธอเพิ่งจะบอกชื่อตุ๊กตาของเธอ

“ชื่อน่ารักดี” ดนัยภัทรเอื้อมมือไปยีหัวตุ๊กตากระต่ายเบาๆ “หน้าเหมือนคุณเหมือนกันนะเนี่ย” เขาไม่ได้บอกว่าโดยเฉพาะตากลมแป๋วสีดำคู่นั้น

“แน่นอน ก็น้องเอ๋เป็นน้องของพิณนี่” เธอรับสมอ้าง ไม่ค้อนใส่อย่างที่เขาคิด ทำเอาเขาหัวเราะเบาๆ ด้วยความประหลาดใจ

หลังจากทิ้งขยะเรียบร้อย สองหนุ่มสาวก็เดินด้วยฝีเท้าเงียบกริบไปตามทางเดิน ปลายทางของบันไดเป็นทางแยก พวกเขาหยุดเดินและหันมาสบตาพร้อมกัน

“ขอบคุณที่อยู่คุยเป็นเพื่อนค่ะ” มันทำให้เธอรู้ว่าการมีเพื่อนก็ดีกว่าการอยู่คนเดียว

“เช่นกันครับ” บทสนทนาก่อนหน้าเปลี่ยนมุมมองที่เขามีต่อเธอ แม้เธอจะดูเหมือนเด็ก และมีนิสัยบางอย่างเหมือนเด็ก แต่ก็ยังมีบางส่วนของเธอ...ส่วนลึกๆ ที่ดูโตกว่าอายุ และเป็นส่วนที่น่าค้นหาไม่น้อย

ดนัยภัทรไม่ทราบว่าเธอเพิ่งอายุยี่สิบ น้อยกว่าเขาหกปี เขาคิดว่าเธอเป็นญาติวัยเดียวกับปัณณธรซึ่งอายุน้อยกว่าเขาสองปี อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน ดังนั้นการกระทำบางอย่างแต่แรกเห็นของเธอจึงดูขัดใจเขาไปบ้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเฉยๆ กับการกระทำของเธอเสียแล้ว บางครั้งเห็นว่าน่าเอ็นดูด้วยซ้ำไป

เธอยิ้มเก้อให้เขา ก่อนจะหมุนตัวกลับ ยังไม่ทันจะได้ออกเดิน เธอก็หันกลับมา เขายังไม่ได้เดินไปไหน เธอจึงเห็นเขาเต็มๆ เธอหน้าแดงเล็กน้อย คล้ายเด็กถูกจับได้ว่าทำผิด

“เอ้อ...” เธอยืนอ้ำอึ้งอยู่ครู่โดยที่ดนัยภัทรไม่คิดเซ้าซี้ถามว่าเธอจะพูดอะไร

“ความจริง...พิณไม่ดื่มกาแฟหรอกค่ะ” เธอสารภาพ ก่อนจะรีบหันหลังให้เขาและออกเดินเร็วๆ ไม่กล้าหันไปมองสีหน้าของเขาหลังจากทราบคำตอบ

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอจึงสารภาพความจริงกับเขาทั้งที่ไม่จำเป็น เขาจะหาว่าเธอแหยหรืออวดเก่งหรือเปล่านะที่ทำเป็นสั่งกาแฟประชดทั้งที่ดื่มกาแฟไม่ได้...หวังว่าเขาจะไม่คิดเช่นนั้น ไม่งั้นเธอ...เธอคง...คงผิดหวัง

แต่เขาไม่ผิดหวัง...

ดนัยภัทรยิ้มกว้าง ดวงตาสีน้ำตาลมองตามร่างเล็กที่สาวเท้าด้วยความรวดเร็วทว่าเงียบเชียบเข้าไปในห้องนอน

บางทีเขาอาจจะตัดสินเธอเร็วเกินไป เธออาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

จบบทที่ 5
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่า

มาแปะต่อช้ามากๆ เลยค่ะ รอเคลียร์เรื่อง Hidden Love ที่แต่งจบพอดี แล้วก็นอกจากจะยุ่งงานมากๆ แล้ว ยังไม่สบายอีกค่ะ ไม่สบายมาหลายวันแล้ว แต่ตอนนี้หวัดกินงอมแงมเลย ทรมานมากๆ อยากหายไวๆ ตอนแรกว่าจะมาแปะคู่ร้ายฯ สองบทรวด แต่ไม่ไหว เลยขอแค่บทที่ 5 ก่อน คาดว่ามิถุนาจะยังยุ่งๆ แบบนี้ไปจนถึงสิ้นปีล่ะค่ะ จะพยายามแต่งให้ไวเข้าไว้ แต่ไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า ยังไงก็ขออภัยล่วงหน้าค่ะ

บทที่ 5 เน้นเรื่องของพิณกับภัทรอยู่นะคะ และคาดว่าบทที่ 6 ก็เช่นกันค่ะ แต่ยังไงก็คงเกลี่ยความสำคัญของทั้งสี่ให้เท่าๆ กัน และแน่นอนว่าคุณแม่ของทั้งสี่ก็จะมีบทบาทไม่แพ้กันเลย (ก็คุณแม่กำลังยุ่งกับการจับคู่นี่เนอะ)

ก่อนจากกันมีเกมมาให้เล่นอีกแล้วนะคะ โดยมีรางวัลเป็นหนังสือ “ปรารถนารัก” (หรือในชื่อเดิม “คืนปรารถนา”) มาแจกจำนวน 3 เล่มค่ะ

กติกาง่ายๆ อยากให้เพื่อนๆ เล่าความประทับใจที่เพื่อนๆ มีต่อคนในครอบครัว (จะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูก ลุงป้า ได้หมดเลยค่ะ) หรือเพื่อน/แฟน ว่าบุคคลดังกล่าวทำอะไรให้เพื่อนๆ ประทับใจมาก รักมากจนจดจำได้ถึงทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องยาวเป็นเรียงความนะคะ สั้นๆ แต่อ่านได้ใจความก็พอค่ะ

ส่งคำตอบมาที่อีเมล busaba401แอตhotmail.com โดยระบุชื่อล็อกอิน (ถ้าไม่มีก็ระบุชื่อเล่น ชื่อจริง นามแฝงก็ได้ค่ะ) และบอร์ดที่นิยายอ่านเรื่องนี้ ส่งมาภายในวันที่ 25 พ.ย. นี้ นะคะ

มิถุนาจะเลือกอีเมลที่อ่านแล้วประทับใจมากที่สุดจำนวน 3 อีเมลสำหรับแต่ละรางวัล ประกาศผลวันที่ 27 พ.ย. นี้ ในกระทู้เดิมนี้ และทางอีเมลผู้ได้รับรางวัลค่ะ ใครอยากร่วมสนุกก็ส่งคำตอบมาได้เลย

อ้อ และเนื่องจากเรื่องคืนปรารถนา ได้รับการตีพิมพ์ (ในชื่อว่าปรารถนารัก) และวางแผงเรียบร้อยแล้ว มิถุนาจะขอลบเรื่องนี้ออกจากบล็อกและบางเว็บที่ลงนิยายไว้ (อย่างของพันทิปจะสามารถสืบค้นอ่านได้ตามปรกติค่ะ) เพื่อตัดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์และปัญหาอื่นๆ เช่นเคยค่ะ โดยจะลบวันที่ 30 พ.ย. นี้นะคะ ใครยังไม่ได้อ่านก็อ่านได้ค่ะ (เนื้อหาบางส่วนจะได้รับการแก้ไข ดังนั้นจะไม่เหมือนในหนังสือเสียทีเดียวนะคะ) หรือถ้าคิดว่าจะอ่านช้ากว่านั้น เข้าพันทิป ห้องถนนนักเขียนและเลือกค้นหาโดยใช้คลังกระทู้เก่าช่วยก็สามารถอ่านได้ค่ะ

แล้วเจอกันค่ะ

มิถุนา
Busaba401แอตhotmail.com
//mithuna.bloggang.com




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 15:44:03 น.
Counter : 1228 Pageviews.  

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 4

ขอถามอะไรนิดนึงก่อนอ่านนิยายนะคะ

ไม่ทราบว่าใครที่คลิกเข้าบล็อกของมิถุนา เจอปัญหามี pop-up เด้งขึ้นมาไหมคะ พอดีมีเพื่อนคนนึงเจอ แต่มิถุนาลองเครื่องคอมพ์อื่นในบ้านแล้วไม่เป็นอะไร เลยลองถามเพื่อนๆ คนอื่นดูนะคะ ถ้ามีปัญหาเรื่อง pop-up รบกวนแจ้งด้วยนะคะ จะได้ลองหาสาเหตุดูได้ ขอบคุณค่ะ...และอ่านนิยายให้สนุกนะคะ

มิถุนา

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 4

หลังจากถ่วงเวลานัดบอดล้มเหลวไม่เป็นท่า ณัฐทินีก็ตั้งใจจะทำนิสัยให้ไม่น่าคบหาที่สุด กะให้คู่นัดกระเจิงชนิดไม่คิดจะขอมีนัดเป็นครั้งที่สอง!

แม่อยากจะหาคู่ให้ก็หาไปเถอะ ลองลูกสาวกลายเป็นผู้หญิงไม่น่าคบ คงจะไม่มีใครสนใจเธอเองนั่นแหละ แต่จะว่าไป ปรกติผู้หญิงนิสัยอย่างเธอก็ไม่ค่อยเหมาะจะมีแฟนอยู่แล้ว เพราะเธอทำแต่งาน เอาใจคนไม่เป็น และมีโลกส่วนตัวสูง ผู้ชายที่ไหนจะอยากได้ผู้หญิงไม่มีเสน่ห์แบบนี้มาเป็นแฟน

หญิงสาวก้าวลงมาจากรถยนต์ส่วนตัวคันหรู สะบัดผมยาวหยักโศกสีน้ำตาลไปด้านหลังและยืดตัวยืน ชุดกระโปรงสีชมพูบานเย็นที่สั้นอยู่แล้ว ร่นสั้นขึ้นไปอยู่เหนือเข่าเกือบคืบมือ ดวงตาสีน้ำตาลมองไปรอบๆ ลานจอดรถ ร้านไธม์ตั้งโดดเด่นตรงหน้า เธอพิศมองเก็บรายละเอียดด้วยความสนใจ

เข้าใจเลือกสถานที่นะเนี่ย...ณัฐทินีเปรยในใจ ถ้านี่ไม่ใช่นัดบอด เธออาจจะมีความสุขกับการมามากกว่านี้

ร้านไธม์มีโครงสร้างเป็นบ้านเรือนกระจกสีขาวขนาดใหญ่ ประดับไม้ระแนงสีน้ำตาล ดูโล่งโปร่งน่านั่ง ด้านนอกมีระเบียง โต๊ะและเก้าอี้เรียงรายเต็มพื้นที่ แดดช่วงใกล้เที่ยงส่องจ้าลงมา หญิงสาวรีบจ้ำเดิน หมายจะเข้าไปหลบแดดด้านในร้านโดยไว

ไม่ไหวล่ะ ตอนนี้ก็ดำจะแย่อยู่แล้ว ขืนปล่อยให้แดดเลียเล็กเลียน้อยอีก ผิวของเธอจะต้องกลายเป็นสีถ่านแน่ๆ

ความจริงณัฐทินีไม่ได้ดำอย่างที่นึกบ่นในใจหรอก เธอเป็นคนขาว แต่พอตากแดดช่วงลุยไซด์งานกับบิดานานครั้ง และขาดการเอาใจใส่เนื่องจากตอนนั้นยังอายุไม่มาก ไม่ได้รักสวยรักงาม อิทธิพลของแดดเลยทำให้ผิวของเธอคล้ำลงไปบ้าง แต่ก็เป็นสีแทนสวย แบบที่ดาราฝรั่งหรือดาราญี่ปุ่นนิยม

หญิงสาวเดินฉับๆ มุ่งไปยังทางเข้าร้านด้วยความมั่นใจ และจะด้วยโชคร้ายประเดิมนัดบอดแรกหรืออย่างไร จู่ๆ ขาข้างหนึ่งของเธอก็พลิกวูบ

“กรี๊ด!” เธอหวีดร้อง ร่างไร้การทรงตัว และกำลังจะร่วงลงสู่พื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก

ทว่าก็เป็นโชคดีของเธออีกเหมือนกันที่มีคนเข้ามาช่วยพอดี

“ระวังครับ!”

ร่างแข็งแกร่งช้อนร่างของเธอไว้ เสียงนุ่มทุ้มกระซิบริมหูของเธอ

“เกือบไปแล้ว”

สาบานได้ว่าเธอได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ เธอขนลุกซู่เมื่อลมร้อนจากปากของเขากระทบใบหู หัวใจเต้นระทึก ทั้งตื่นเต้นและวาบหวาม

ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหลือจะกอดเธอไว้นานเกินไป ดังนั้นเมื่อตั้งหลักได้ เธอจึงรีบเบี่ยงตัวออกห่างและถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

ยังไม่ทันจะได้ขอบคุณเขา เธอก็แทบล้มลงไปอีก เนื่องจากส้นรองเท้าหักข้างนึง

“ว้าย!” เธอร้องวี้ด และเขาก็มือไวพอที่จะตะครุบเธอไว้อีกครั้ง

“แหม...คุณนี่เผลอไม่ได้เลยนะครับ” ชลน่านกล่าวแซวยิ้มๆ คาดไว้ตั้งแต่ตอนเห็นเธอเดินฉับๆ ในรองเท้าส้นสูงปรี๊ดแล้วว่าเธอจะต้องหกล้ม...แหม เล่นเดินเร็วๆ แรงๆ ด้วยรองเท้าส้นเข็มกลางลานกรวดขรุขระแบบนี้ ก็สมควรอยู่หรอกที่จะหกล้ม

ณัฐทินีหน้าแดงก่ำ เหลือบตามองด้านบนนิดๆ และเห็นรอยยิ้มละลายหัวใจ เขาเป็นหนุ่มรูปหล่อชวนละลายพอๆ กับรอยยิ้มของเขา

“ขอบคุณค่ะ” เธออุบอิบเสียงเบา ก่อนจะดันตัวเองออกห่าง ทว่าครั้งนี้ใช้มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เขาเพื่อทรงตัว เธอมัวแต่ใจหายใจคว่ำกับการหล่นวูบสองครั้งสองครา จนไม่รู้สึกเลยว่าแม้จะไม่ได้กอดเธอไว้แล้ว แต่มือของเขายังคงจับแขนข้างที่ว่างของเธออยู่

“ส้นรองเท้าหักนี่ครับ” เขาก้มมองรองเท้าเจ้ากรรม สรุปว่าการเดินของเธอไม่มีปัญหา แต่เป็นรองเท้าต่างหาก

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ หากในใจบ่นยาวยืด...อะไรเนี่ย! ส้นรองเท้าหักได้ยังได้ เธอเพิ่งจะซื้อมา และใส่ครั้งเดียวถ้าไม่นับครั้งนี้ คู่นึงก็ไม่ใช่ถูกๆ ราคาตั้งสองพันกว่าบาทจะสามพัน ขนาดว่าซื้อตอนลดครึ่งราคาแล้วนะ ทำไมถึงได้คุณภาพห่วยแตกแบบนี้...หน็อย! ยี่ห้ออะไรนะ...เครซี...เครซีฟุตส์ ใช่ ยี่ห้อเครซีฟุตส์ ฮึ่ม! แบบนี้ต้องเคลมสินค้าและโวยวายกันหน่อยแล้ว เอาของเน่าๆ มาลดราคาขาย เอาเปรียบผู้บริโภคกันนี่หว่า

“แล้วคุณจะทำยังไงกับรองเท้าข้างนี้” เขามองซ้ายทีขวาที แถวนี้อย่าว่าแต่ร้านซ่อมรองเท้าเลย ร้านขายรองเท้าก็ไม่มี

“รถฉันจอดอยู่ตรงโน้นค่ะ ในรถมีรองเท้าเปลี่ยน” ณัฐทินีบุ้ยใบ้ไปยังรถยนต์ส่วนตัว เธอก็เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนที่ชอบซุกรองเท้ามากกว่าหนึ่งคู่ไว้ในรถ รู้ว่าทำให้รถรก แต่กระนั้นก็ไม่เคยเอาออกจากรถสักที นี่ต่อไปคงจะไม่คิดเอาออกไปแน่ๆ ใครจะไปรู้ว่าเธออาจจะมีเหตุจำเป็นให้ใช้พวกมันอย่างเช่นวันนี้

“ผมไปส่งไหม” เขามองเธอที่ยังคงยืนอยู่ได้ด้วยการเขย่งยงโย่ยงหยกในรองเท้าข้างที่สมบูรณ์และมือที่ยึดไหล่เขาเป็นที่พึ่งพิง

“ไปส่งหรือคะ?” เธอทวน สงสัยว่าเขาจะไปส่งเธอได้อย่างไร แล้วกะอีแค่ส้นรองเท้าหักแค่เนี้ย ต้องเดินไปส่งด้วยเรอะ

เขาไม่ปล่อยให้เธอคิดนาน จู่ๆ ก็ตวัดแขนรอบตัวเธอ แล้วอุ้มเธอขึ้นแนบอก แถมเขายังช่างคิด อุตส่าห์ระมัดระวังไม่ให้กระโปรงแสนสั้นของเธอเปิดพะเยิบด้วยการรวบปลายกระโปรงแนบท่อนขาเพรียวอีกด้วย

“ว้าย! คุณทำบ้าอะไรน่ะ” เธอรีบคล้องแขนรอบคอเขา รู้สึกไม่มั่นคงเมื่อปล่อยให้มือโล่งโจ้ง ไร้ที่ยึดเหนี่ยว

เขายิ้มกว้าง “พาคุณไปส่งที่รถ” รู้ว่าเธอจะต้องไม่ชอบ เธอดูเหมือนสาวมั่นทำอะไรด้วยตัวเองได้ แต่เขาอยากเสนอตัว

“ฉันเดินไปเองได้” ตัวเธอหนักจะตาย เขาอุ้มเธอแบบนี้ไม่เมื่อยหรือไง...เธอไม่กล้าป่าวประกาศออกไปว่าให้วางเธอลง เธอตัวหนัก เธออาย ไม่กล้าประจานตัวเอง จนลืมคิดไปด้วยซ้ำว่าเขาตัวโตกว่าเธอร่วมครึ่งฟุต และหนาหนักพอที่จะอุ้มเธอได้สบายๆ

“คุณจะกระโดดขาเดียวหรือว่าจะถอดรองเท้าเดินกันล่ะ” เขาเลิกคิ้ว

“ฉันจะเดินเขยกไปต่างหาก” เธอไม่ใช้คำตอบของเขา แถมยังค้อนเขาน้อยๆ

เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ และเดินต่อไป สีหน้าไม่แสดงออกว่าเธอหนักจนเขาเหนื่อยหรือเมื่อย

“ปล่อยฉันลงเถอะค่ะ” เธอไม่กล้าดิ้น กลัวว่าเขาจะทำเธอตก

“ผมปล่อยแน่ครับ” เขายิ้มอีก ดูเหมือนจะยิ้มกับเธอได้ตลอด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่เห็นว่าเธอเป็นสาวมั่นที่โก๊ะๆ เอ๋อๆ น่ารักดี

“เพราะคุณถึงรถแล้ว” เขาหย่อนเธอลงอย่างนุ่มนวล

ณัฐทินีซึ่งกลายเป็นคนขาไม่เท่ากันเนื่องจากส้นรองเท้าหัก เซไปพิงกับรถยนต์ ไม่ได้ตั้งตัวตั้งใจกับความรวดเร็วของเขา

“เอ้อ! ขะ...ขอบคุณค่ะ” เธอไม่รู้จะกล่าวอะไรดี

“ยินดีครับ” เขาแสร้งทำเป็นโค้งนิดๆ ดุจสุภาพบุรุษผู้ดี ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ณัฐทินียืนงงงวยกว่าครู่ จึงจะได้สติจัดการเปลี่ยนรองเท้าอย่างที่ควรทำมาตั้งนาน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ณัฐทินีโยนรองเท้าที่เสียหายใส่ท้ายรถอย่างโกรธเคือง นึกในใจว่าพรุ่งนี้จะต้องไปร้องเรียนปัญหาสินค้าชำรุดที่ห้างสรรพสินค้าโดยด่วน

อะไรกัน ซื้อยังไม่ถึงเจ็ดวัน ใส่ไปครั้งเดียว ก็เจ๊งบ้งเสียแล้ว

แล้วเธอก็โทษสาเหตุที่เธอปรากฎในวันนี้

บ้าชะมัด ซวยตั้งแต่ยังไม่เจอหน้าหมอนั่นเลย!

‘หมอนั่น’ หมายถึงคือคู่นัดบอดของเธอนั่นเอง

และความบังเอิญซวยเริ่มทำให้เธอเหม็นหน้าคู่นัดเพิ่มขึ้นอีก ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องถูกบังคับมานัดบอดบ้าบอนี่

แม่นะแม่ ทำไมทำกันได้แบบนี้!

เธอเดินฉับๆ ด้วยความคล่องแคล่วว่องไวเหมือนเดิม เพราะเป็นลักษณะการเดินประจำตัว เธอผลักประตูและก้าวขาเข้าไปข้างใน พนักงานร้านเดินมาต้อนรับโดยพลัน

“สวัสดีค่ะ”

เธอผงกหน้ารับนิดๆ ยังไม่ทันจะได้ถามถึงการจองโต๊ะของวีแมตช์เลิฟ อัญชุลีก็เดินเข้ามาก่อน

“ยายณัฐ”

“สวัสดีค่ะป้าอัญ” ณัฐทินียกมือไหว้

อัญชุลีรับไหว้ ก่อนจะบอกพนักงานว่าณัฐทินีมากับเธอ เดี๋ยวเธอจัดการเอง พนักงานจึงหลบฉากไป

“มาจ้ะยายณัฐ คู่นัดของหนูมาถึงแล้ว”

“เหรอคะ” น้ำเสียงของณัฐทินีฟังดูเนือยๆ ไม่กระตือรือร้น

อัญชุลีพอจะเข้าใจ เด็กสมัยนี้มักต่อต้านเรื่องโบร่ำโบราณอย่างการดูตัว กระนั้นเธอก็อดตื่นเต้นกับณัฐทินีและชลน่านไม่ได้ นอกจากรูปทรัพย์และคุณสมบัติอื่นๆ ของพวกเขาจะเข้ากันพอเหมาะพอเจาะแล้ว พวกเขายังดู ‘กินกันไม่ลง’ อีกด้วย

หึๆ เธอน่ะเห็นมานักต่อนักแล้ว ไอ้ที่ต่อต้านค้านคาดในตอนแรก สุดท้ายก็ลงเอยกันด้วยดีทั้งนั้น แล้วเธอจะรอดูว่าคู่นี้จะลงเอยกันแบบไหน

เพี้ยง! หวังว่าการจับคู่ของเธอจะสัมฤทธิ์ผล

“มาจ้ะ มาทางนี้ ที่ป้าเลือกร้านนี้เพราะมีมุมส่วนตัวเงียบสงบบรรยากาศดี เวลาพูดคุยทำความรู้จักกันจะได้ไม่ขัดเขิน” อัญชุลีเดินนำผ่านโต๊ะเก้าอี้โทนสีขาวละมุนเข้าไปด้านใน ซึ่งถูกกั้นด้วยระแนงไม้เป็นห้องเรือนกระจกแยกต่างหากจากส่วนอื่นๆ ของร้าน บนเพดานใสมีไม้เลื้อยประดับรกเรื้อช่วยลดทอนแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเข้ามาข้างใน

คงจะไม่ขัดเขิน แต่จะกระอักกระอ่วนใจมากกว่า...ณัฐทินีเถียงในใจ สายตามองตรงไปข้างหน้า เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งหันหลังให้ ลายเสื้อของเขาดูคุ้นตาอย่างไรพิกล

ไม่หรอกน่า ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นหรอก...เธอจำลายเสื้อเชิ้ตของผู้ชายที่ช่วยเหลือตอนส้นรองเท้าเธอหักได้ เสื้อเชิ้ตสีม่วง ขาว และฟ้า เป็นสีอ่อนเหมือนสีน้ำไล่สีลงมา แลดูไม่เหมือนใคร

“น่านจ๊ะ คู่นัดของน่านมาถึงแล้วจ้ะ” อัญชุลีเรียกด้วยน้ำเสียงร่าเริง

ชลน่านแหงนหน้าขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเบิกกว้าง ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มประหลาดใจ

“อ้าว! คุณนั่นเอง”

ณัฐทินีไม่ได้อุทานอย่างเขา แต่เม้มปากน้อยๆ...บ้าชะมัด! โลกมากลมอะไรตอนนี้ ทำไมถึงเป็นตานั่นไปได้

“รู้จักกันแล้วเหรอจ๊ะ” อัญชุลีถามด้วยความงุนงง

“เปล่าค่ะป้าอัญ ไม่ได้รู้จักกัน แต่บังเอิญเจอกันหน้าทางเข้าเมื่อกี้ค่ะ”

“งั้นเหรอจ๊ะ แสดงว่าดวงสมพงศ์กันแน่ๆ เลย” อัญชุลีหัวเราะร่วน มือโบกไปมาอย่างถูกอกถูกใจ

เฮอะ! ไม่เห็นอยากจะดวงสมพงศ์กันแบบนี้เลย...ณัฐทินีกรอกตาน้อยๆ

อัญชุลีกำลังตื่นเต้นดีใจ จนมองไม่เห็นท่าทีแหน่งหน่ายของหลานสาวนอกไส้ ผิดกับชลน่านที่มองเห็นเต็มๆ ท่าทางของเธอทำเอาเขากลั้นหัวเราะแทบแย่

บางทีการนัดบอดครั้งนี้อาจจะสนุกกว่าที่คิดก็ได้ ก็ดี ตอนนี้เขากำลังเบื่อๆ ได้หาอะไรแปลกๆ สนุกๆ ทำสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

“ณัฐนั่งเลยจ้ะ” เธอดันร่างโปร่งบางไปยังเก้าอี้ว่างที่จัดไว้ตรงข้ามกับชายหนุ่ม และกดให้ณัฐทินีนั่งลง บริกรหนุ่มประจำร้านนำเครื่องดื่มสีส้มสวยมาเสิร์ฟให้หญิงสาว อัญชุลีกำกับด้วยคำพูดว่า

“นี่เป็นพันช์ผลไม้รวมแสนอร่อยของทางร้าน ณัฐลองชิมดูนะ อร่อยมาก” เธอพูดเป็นคุ้งแคว ก่อนจะอุทานเมื่อนึกได้ “อ้อ! ป้าเกือบลืมแนะนำตัวแน่ะ...ณัฐจ๊ะ นี่ตาน่าน หรือชลน่าน” เธอผายมือไปยังชายหนุ่ม ซึ่งยิ้มที่มุมปากนิดๆ ให้ แต่ณัฐทินีทำคอแข็งใส่ ความดีที่เขาทำเมื่อครู่ดูจะไม่ได้ซึบซาบสู่ความรู้สึกของเธอเลย

“ตาน่านจ๊ะ นี่ณัฐ หรือณัฐทินีจ้ะ”

ชลน่านยิ้มกว้างขวางกว่าเดิม

แต่ณัฐทินีกำลังขมวดคิ้ว ไม่ได้ขมวดคิ้วให้เขา หากนึกสงสัยในสรรพนามและน้ำเสียงที่แสดงถึงความสนิทสนมปนเอ็นดูที่อัญชุลีมีต่อเธอและชลน่าน สำหรับเธอ ไม่น่าแปลกใจ เพราะอัญชุลีรู้จักเธอมาตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ ทว่ากับชลน่านนี่สิ...ป้าอัญรู้จักเขามาก่อนหน้านี้อย่างงั้นรึ

แต่อัญชุลีก็ช่วยไขข้อสงสัยของเธอในประโยคถัดไป

“สองคนนั่งคุยกันไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวอาหารจะทยอยเสิร์ฟทีละจาน แหม...ป้าล่ะดีใจจริงๆ ไม่คิดว่าจะบังเอิญจับคู่หลานๆ ของป้าได้”

“หลานๆ ของป้าหรือครับ” คราวนี้เป็นชลน่านที่เอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยระคนอยากรู้

“อ้อ! บังเอิญว่าทั้งน่านและณัฐเป็นลูกสาวเพื่อนสนิทป้าอัญน่ะสิจ๊ะ”

ณัฐทินีขมวดคิ้วยุ่ง อัญชุลีรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงกล่าวอย่างรู้ใจ

“ป้าไม่ได้ตั้งใจจับคู่น่านกับณัฐนะ เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ที่ระบบคอมพิวเตอร์เลือกจับคู่น่านกับณัฐ และป้าก็สกรีนดูอีกรอบแล้วเห็นสมควร จึงได้จัดการนัดในวันนี้” เธอไม่ได้เล่นนอกออกในกับอรุณีหรือสรียา มันเป็นผลมาจากการตอบแบบสอบถามความเข้ากันของสองหนุ่มสาวล้วนๆ

แต่ที่อัญชุลีไม่รู้คือหลานๆ ของเธอเล่นตลกกับแบบสอบถาม!

“งั้นเหรอคะ” ณัฐทินียังกังขา

“จ้ะ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว” อัญชุลียิ้มอ่อนโยน “ป้าไปก่อนดีกว่า สองคนจะได้ทำความรู้จักกันสักที” เธอพูดมากเกินไปแล้ว

“ป้าจะนั่งอยู่ด้านนอกนะ น่านกับณัฐคุยกันตามสบายเลย พอหมดรายการของหวาน ป้าจะมาหา” ไม่ต้องห่วงว่าทุกอย่างจะดำเนินการเร็วเกินไป เธอสั่งให้ห้องครัวลำเลียงอาหารทีละจาน ทิ้งช่วงอย่างเหมาะสม เพื่อสองหนุ่มสาวจะได้มีเวลาคุยกันแบบไม่รีบเร่งรวบรัด แต่ก็ไม่เชื่องช้าจนน่าเบื่อ

อัญชุลีเดินออกไป ทิ้งให้ชลน่านและณัฐทินีนั่งอยู่ตามลำพัง และชลน่านก็เป็นคนเริ่มพูด

“สวัสดีครับคุณณัฐ” เขาทักทายอย่างเป็นทางการพร้อมด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

ณัฐทินีไม่ได้ตอบ แต่เสหยิบแก้วน้ำพันช์มาดื่ม ยังคงอายไม่หายที่ทำส้นรองเท้าหักต่อหน้าเขา จนเขาถือวิสาสะอุ้มเธอไปส่งถึงรถยนต์

“ตกลงว่าเปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ” เขาไม่พูดเปล่า แต่สายตามองต่ำลงไปเบื้องล่าง เห็นรองเท้าสีน้ำตาลเมทัลลิกคู่ใหม่ ไม่ใช่รองเท้าสีดำที่เธอสวมใส่เมื่อก่อนหน้า

“ก็เห็นแล้วนี่คะ” ยังจะถามอีกทำไม อีตาบ้า...เธอย้อน แต่ไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด

“ครับ เห็นแล้ว” ชลน่านตอบยิ้มๆ ไม่ได้อินังขังขอบกับความขุ่นเคืองของเธอ นัยน์ตาสีเข้มเลื่อนกลับขึ้นมาตามขาเพรียวสีทองสวย ก่อนจะสบมองดวงตาสีน้ำตาลที่เปล่งประกายขึงขังใส่สายตาช่างซอกแซก

เสียมารยาท ใครใช้จ้องขาผู้หญิงแบบนี้ยะ...ณัฐทินีตัดสินใจไม่พูดออกไปดังๆ คิดว่าเขาคงไม่ใส่ใจ เผลอๆ อาจจะหัวเราะเธอเสียด้วยซ้ำ

“แล้วนี่คุณนึกยังไงถึงใช้บริการวีแมตช์เลิฟ” ชายหนุ่มสำรวจใบหน้าของเธอ นอกจากสเป็กจะตรงกับที่เขากรอกในแบบสอบถามแล้ว เขายังไม่อยากเชื่อว่าเธอคือผู้หญิงคนดังกล่าว

นี่น่ะหรือ ผู้หญิงที่อายุมากกว่าเขา บ้างาน มีงานอดิเรกคือการกินกับการนอน...เธอดูอายุพอๆ กับเขา เป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่มั่นอกมั่นใจในตัวเอง เขาเชื่อไม่ลงว่าผู้หญิงอย่างเธอจะมีงานอดิเรกดังกล่าว

“แล้วคุณล่ะ นึกยังไงถึงได้ใช้บริการบริษัทจัดหารัก” เธอถามกลับ ไม่ตอบคำถามของเขา

“ก็คงจะนึกเหมือนคุณ” เขาจึงตอบยวนเธอเสียเลย และก็เป็นณัฐทินีเองที่อดรนทนไม่ได้

“บ้าสิ ฉันไม่ได้นึกเหมือนคุณแน่ๆ ฉันมาตามคำขอของแม่ต่างหาก” หญิงสาวค้อนควัก หน้างอเป็นจวัก

“แหม...เหมือนผมเดียะๆ เลย” ชลน่านทำเสียงสูงและชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “ม๊า...” เขาชะงักไปนิด ก่อนจะแก้ไขเรียกมารดาด้วยคำที่เป็นกลางกว่า “แม่ก็ขอให้ผมมาเหมือนกัน”

ณัฐทินีถึงกับเขม่นมองอย่างไม่เชื่อ “คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า แม่คุณน่ะนะจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เหมือนกับแม่ฉัน”

“ผมจะล้อคุณเล่นทำไม ผมน่ะหัวอกเดียวกับคุณ ย่อมต้องเข้าใจคุณเป็นธรรมดา”

“โมเมเชียว ใครหัวอกเดียวกับคุณ” หญิงสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้ ดูเขาจะมั่นอกมั่นใจเกินไปแล้ว

“อ้าว! งั้นก็แสดงว่าคุณเต็มใจมานัดบอดน่ะสิ” เขาทำตาโตล้อเลียน

“ไม่เชิง” เธอค้อนอีก “ฉันแค่ยอมตามใจแม่ต่างหาก”

“ดีครับ จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย”

“คุยกันรู้เรื่องยังไงคะ” เธอเอียงคอน้อยๆ...นี่เขาคิดอะไรกันแน่ ทำไมดูท่าไม่น่าไว้วางใจเลย

“คุณณัฐคิดว่าแม่ๆ ของพวกเราจะหยุดอยู่แค่นี้ไหมล่ะ” สำหรับแม่ของเขา คงจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะปล่อยแพรพรรณรายไปแน่ๆ ซึ่งเขายังอยากเก็บแพรพรรณรายไว้อีกนิด...ไม่ใช่เพราะพิศวาสแพรพรรณรายมากมายนักหรอก แต่อยากต่อต้านแม่เท่านั้น นี่ถ้าวันนี้กลับไป เขาบอกว่าไม่โอเคกับนัดบอดครั้งนี้ ก็จะต้องมีนัดบอดครั้งต่อๆ ไปกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งเขาไม่ต้องการเลย...ว้า...เขาไม่อยากจะยอมรับเลยว่านัดบอดกับณัฐทินีดูน่าสนใจมากกว่าตั้งเยอะ

ณัฐทินีครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตอบตามความจริง “งานนี้ท่าทางจะยากค่ะ” แม่ไม่เคยจริงจังเรื่องผู้ชายกับเธอมากเท่ากับครั้งนี้มาก่อน

“ผมก็เหมือนกัน”

หญิงสาวนิ่วหน้าเมื่อเขาพูด ‘เหมือนกัน’ กับเธออีกครั้ง

“แม่คุณนึกยังไงถึงต้องจับคู่ให้คุณ” เธอถาม หน้าตาเขาก็ไม่ได้เลวเกว จัดว่าหล่อเหลาเสียด้วยซ้ำ...หล่อมากด้วยเอ้า! แถมยังร่ำรวย...เอ้อ! ถ้ามันเป็นความจริงตามแบบสอบถามที่เขากรอกนะ...ผู้หญิงน่าจะตอมให้หึ่ง ไม่น่าต้องพึ่งบริการแม่สื่อให้เปลืองเงิน...เอ๊ะ! หรือจะเป็นเพราะรับนิสัยส่วนตัวไม่ได้หว่า...เธอนึกถึงสรรพคุณที่ควรจะจับคู่ตรงกับงานอดิเรกของเธอ...อืม...ผู้ชายที่เอาแต่กินกับนอนอาจจะไม่เวิร์กสำหรับคบเป็นแฟนก็ได้...จริงไหม

ชลน่านไหวไหล่ “เห็นผมอายุมากแล้วมั้ง” เขาไม่ได้ตอบเธอตรงๆ ไม่เห็นถึงความจำเป็นข้อนั้น

“อายุมาก?” เธอทวนคำของเขา นึกได้ว่าตามแบบสอบถามนั้น เขาต้องอายุน้อยกว่าเธอ แต่ใบหน้าของเขาก็ดูไม่ห่างวัยจากเธอสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ถือว่าเป็นการพูดเข้าข้างตัวเอง เธอว่าเขาหน้าแก่กว่าเธอเสียด้วยซ้ำ

“เดี๋ยวนะ คุณอายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบเก้า” เขาตอบ พร้อมถามกลับ “แล้วคุณล่ะ” เธอควรจะแก่กว่าเขา แต่เท่าที่สังเกตดูริ้วรอยบนใบหน้า เธอน่าจะอายุน้อยกว่าเขานา

“สามสิบ” เธอเชิดหน้าน้อยๆ คล้ายจะข่มว่าเธอเป็นรุ่นพี่เขา ให้เขาทำตัวดีๆ เคารพเธอให้มากๆ

“ผมไม่เชื่อ หน้าคุณไม่ให้เลย คุณเกิดวันไหน”

“ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วยล่ะ” เธอมุ่ยหน้า

“น่านะ บอกผมหน่อย ถ้ามันเป็นความจริง ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนี่” เขาอ้อน

“บอกของคุณมาก่อนสิ” เธอต่อรอง

“ก็ได้” เขารับคำง่ายๆ

“สาม มกรา สองสาม” เขาบอกวัน เดือน ปีพ.ศ. เกิดตามลำดับ

ตายจริง! เขาอายุอ่อนกว่าเธอเจ็ดวันเอง...ณัฐทินีไม่คิดว่าแบบสอบถามจะช่าง ‘สรรหา’ หนุ่มจับคู่ให้เธอได้ตรงเป๊ะแบบนี้

“ว่าไงครับ ตกลงคุณณัฐเกิดวันไหน”

และเมื่อเธอเงียบ เขาก็ทวง

“แน่ะ! ห้ามเบี้ยวเชียวนะครับ ผมอุตส่าห์บอกวันเกิดของผมแล้ว”

ณัฐทินีเป็นคนใจนักเลง เมื่อรับคำท้าอะไรไป ไม่เคยสักครั้งที่จะปฏิเสธไม่ทำตามคำขอยามแพ้

“ฉันเกิดก่อนคุณเจ็ดวัน” กระนั้นเธอก็ยังอดทำเป็นข่มเขาว่าเกิดก่อนไม่ได้...ฮึ! ก็ดูหน้าระริกระรื่นของเขาสิ เห็นแบบนี้แล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้สักที

ชลน่านถึงกับยิ้มกว้าง “แหม...ผมก็นึกว่าจะห่างกันเป็นปีเสียอีก”

“ทำไม สเป็กคุณเป็นสาวแก่งั้นเหรอ” เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต่อปากต่อคำกับเขาไปเรื่อยๆ เธออาจเป็นคนชอบพูด แต่ไม่ใช่คนชอบเถียง

“ก็คงเหมือนคุณณัฐที่ชอบหนุ่มเอ๊าะๆ” หนุ่มเอ๊าะๆ หลิ่วตาให้

ณัฐทินีเกือบจะโวยวาย ถ้าไม่สำเหนียกว่าได้กลิ่นทะแม่งๆ จากเรื่องนี้

“คุณแอบมั่วข้อมูลในแบบสอบถามใช่ไหม” เธอชี้หน้าเขาอย่างกล่าวหา

ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ บริกรก็ยกของว่างมาเสิร์ฟ เป็นเปาะเปี๊ยะไส้ปูอัดชีส รับประทานกับน้ำจิ้มสองแบบ คือแบบครีมเปรี้ยวๆ มันๆ กับแบบน้ำเชื่อมรสหวานปนเผ็ด

ชลน่านแกล้งทำไก๋ ใช้ส้อมจิ้มเปาะเปี๊ยะทอดจิ้มน้ำจิ้มครีมแล้วเอาเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ

“คุณน่าน!” เธอย้ำและขึงตาดุๆ ใส่ เป็นครั้งแรกที่เรียกเขาด้วยชื่อเล่น

“ไม่ชิมสักหน่อยเหรอครับ อร่อยดีนะ” เขายื่นเปาะเปี๊ยะให้เธอ

เธอปัดมือเขาออก ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์อยากกินอะไรทั้งนั้น

“คุณมั่วข้อมูล” น้ำเสียงจริงจังมั่นใจ

มุมปากของชลน่านโค้งสูงเป็นรอยยิ้ม เธอจึงรู้ว่าเข้าใจไม่ผิด

“ผมคิดนะว่าถ้ากรอกข้อมูลให้แปลกเข้าว่า ตั้งสเป็กผู้หญิงสูงๆ เข้าไว้ คอมพิวเตอร์คงจะจับคู่ยาก แต่ที่ไหนได้” เขาเอาเปาะเปี๊ยะที่เธอปฏิเสธเข้าปากตัวเอง เคี้ยวและกลืน ก่อนจะพูดต่อ “ดูซิ ผมเพิ่งจะส่งแบบสอบถามเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง แต่ไหงถึงได้ถูกจับคู่เร็วแบบนี้ก็ไม่รู้”

“ฮึ! คุณนะ ฉันเลยพลอยซวยไปด้วย” เธอโทษเขา และเริ่มจิ้มเปาะเปี๊ยะกินบ้างด้วยความโมโห

“แหม...เราสองคนอาจจะเป็นคู่สมพงศ์ก็ได้นะ ถึงได้ทำอะไรตรงใจกันไปเสียหมด” เขาหยอกเล่น เน้นเสียงคำว่า ‘ตรงใจกัน’ เป็นพิเศษ

“แสดงว่าไอ้ที่คุณกรอกลงไปในแบบสอบถามนี่เป็นของเก๊ทั้งหมดเลยใช่ไหมเนี่ย”

“เปล่าครับ แค่นิสัยส่วนตัว สเป็กผู้หญิง แล้วก็งานอดิเรก” เหลือแต่พวกประวัติส่วนตัวเท่านั้นกระมังที่เป็นของจริง หรือจะว่าไปก็เกือบทั้งหมดนั่นแหละที่ปั้นแต่งขึ้น

ณัฐทินีเชื่อเขา เพราะเธอก็ทำเหมือนเขาเด๊ะๆ

“แล้วคุณณัฐล่ะ เมกข้อมูลอะไรบ้าง”

“สเป็กผู้ชายกับงานอดิเรก”

“กินกับนอน” เขาเอ่ยขึ้นมาเมื่อนึกถึงงานอดิเรกที่เขียนในแบบสอบถาม

“คุณคงไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการกินกับการนอนจริงๆ ใช่ไหม” เธอมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง

“เปล่าครับ ผมชอบดูหนังอยู่กับบ้านมากกว่า” ส่วนใหญ่ชีวิตเขาผูกติดกับออฟฟิศ ดังนั้นถ้ามีเวลาว่าง จึงมักชอบขลุกอยู่กับบ้านและผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการดูโทรทัศน์ ไม่ก็ดีวีดีภาพยนตร์ที่เขาซื้อมาเก็บไว้เป็นตั้ง

เมื่อทราบงานอดิเรกที่แท้จริงของเขา ณัฐทินีถึงกับเขม่นมองเขาด้วยสายตาดุๆ

“คุณอย่ามาล้อเล่นนะ”

“โธ่! ถึงขั้นนี้แล้ว ผมไม่ล้อเล่นหรอกน่า” ก็เหมือนกับไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่นั่นแล “อย่าบอกนะว่างานอดิเรกจริงๆ ของคุณคือดูหนังอยู่กับบ้านเหมือนกัน”

เธอตอบเขาด้วยการพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้

ชลน่านหัวเราะก๊าก...นี่มันสนุกจริงๆ นั่นแหละ

“หัวเราะทำไม” ณัฐทินีไม่ขำสักนิด

“ขอโทษครับ ขอโทษ” เขาโบกมือไปมา “นี่ตกลงว่าเราสองคนไม่อยากจะเล่นเกมจับคู่ของคุณแม่ เลยเมกข้อมูลมั่วๆ จนบังเอิญถูกจับคู่กันเองใช่ไหมครับเนี่ย” เขาสรุปพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง ตรงข้ามกับเธอที่ยิ้มบึ้ง

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นมั้ง” จะให้เธอเดาอะไรได้อีกล่ะ

“ถามจริงเถอะ คุณชอบนัดบอดหรือเปล่า”

“ฉันคงตอบเหมือนคุณ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้านิดๆ...เธอเหมือนคู่แฝดของเขาจริงๆ พับผ่า

“อยากจะใช้ชีวิตประจำวันแบบไม่ถูกคุณแม่รบกวนไปสักพักไหมครับ” เขาโน้มตัวมาข้างหน้า มือเท้ากับโต๊ะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มข้นเป็นประกายอย่างเจ้าเล่ห์

คิ้วของเธอหยักเป็นรอยขมวดม้วน “พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง” เธอไม่ค่อยจะอยากไว้ใจเขาเล้ย ก็สายตาที่เขามองเธอ น่าไว้ใจที่ไหนกัน

“แทนที่จะปล่อยให้นัดครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ลำบากอี๊อัญต้องคอยหาชายหญิงที่เหมาะสมมาจับคู่กับเราสองคนไปเรื่อยๆ สู้แกล้งทำเป็นว่าเราสองคนชอบพอกัน ถูกใจอยากจะลองคบหากันดู คงน่าจะช่วยให้พวกเรารอดจากนัดบอดครั้งอื่นๆ ได้บ้าง”

“พูดอย่างกับทำได้ง่ายๆ คุณรู้หรือเปล่าว่าถึงจะขอนัดเจอกันเรื่อยๆ แต่ในเมื่อยังมีแบบสอบถามนั่น เราก็ยังมีโอกาสถูกจับคู่กับคนอื่นอยู่ดี” เธอทำใจว่าจะต้องมีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่ตอนกรอกแบบสอบถามแล้ว นี่เป็นเรื่องวุ่นวายแรกที่เกิดขึ้น

“แต่เราจะปฏิเสธคนอื่นได้ง่ายขึ้น แล้วแม่ของพวกเราจะได้ไม่ต้องมาคอยจี้เรื่องนี้ด้วย คุณว่าแผนของผมไม่เข้าท่าหรอกหรือ”

เธอส่ายหน้า “ไม่รู้สิ แต่ฉันไม่เห็นว่าจะเข้าท่าตรงไหน” มันดูซับซ้อนเกินไป แล้วก็...สุ่มเสี่ยงเกินไป

“คุณณัฐลองเก็บไปคิดดูก็แล้วกัน” เขาไม่ยอมรับคำปฏิเสธของเธอ “ถ้าคุณคิดได้ตรงกับผมเมื่อไหร่ โทรฯ หาผมนะ” เขาดึงปากกามองต์บลังค์และซองนามบัตรยี่ห้อเดียวกันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขียนเบอร์โทรศัพท์มือถือใส่การ์ดแข็งและยื่นให้

“ผมไม่ค่อยให้เบอร์ส่วนตัวกับใครเท่าไหร่หรอกนะ” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเธอดูไม่ค่อยสนใจนามบัตรของเขา

“ทำอย่างกับฉันอยากได้เบอร์ของคุณนักนี่”

“งั้นแลกเบอร์กันก็ได้”

จะบ้าเรอะ! ทำไมเธอจะต้องให้เบอร์เขาด้วยล่ะ...คิดดังนั้น จึงรับนามบัตรของเขามาเก็บใส่กระเป๋า ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กินเปาะเปี๊ยะทอดต่อ

เขาถอนหายใจด้วยความเสียดาย ความจริงอยากจะได้เบอร์ติดต่อของเธอเหมือนกันนะ แต่จะโทรศัพท์หาเธอหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง

ไม่เป็นไร เบอร์โทรฯ คงจะเลียบเคียงถามจากอี๊อัญได้ไม่ยาก

ว่าแต่เขาจะเอาเบอร์เธอไปทำไมกัน...เขาสงสัยตัวเองอีกแล้ว

“อร่อยดีใช่ไหม” เขาเปลี่ยนเรื่องตามเธอ ทว่าในใจยังคงคิดถึงเรื่องเดิม

ณัฐทินี ผมมีลางสังหรณ์ว่าเราจะมีโอกาสได้เจอกันอีก

เราสองคนท่าจะดวงสมพงศ์กันของจริงแล้วล่ะ!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ดนัยภัทรเดินทางถึงซันเซ็ตรีสอร์ตราวเที่ยง เขาและชาติชายส่งเพื่อนคนอื่นลงไปติดต่อเคานเตอร์เช็กอินระหว่างหาที่จอดรถ

ด้านนอกของซันเซ็ตรีสอร์ตดูเล็กแคบ หากเมื่อเดินเข้าไปด้านในกลับใหญ่โตกว้างขวาง รีสอร์ตตกแต่งสไตล์โอเรียนทอลโมเดิร์น ให้กลิ่นอายบาหลีและทะเลเขตร้อน เคานเตอร์เช็กอินเป็นแบบเปิดโล่ง อยู่ภายใต้หลังคาโดมมุงจาก ใกล้เคียงกันนั้นเป็นล็อบบีตกแต่งแบบเดียวกัน เน้นความโอ่อ่าของสถานที่และบรรยากาศสบายๆ ของทะเล

ฤทัยและลินดาเดินนำหน้า อังกฤษและหนุงหนิงเดินตาม ตบท้ายขบวนด้วยปัณณธรและสดับพิณ

พนักงานในชุดเสื้อเชิ้ตฮาวายลายดอกดวงสีสดใสเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส พร้อมกับบริการผ้าเย็นกลิ่นหอมโคโลญและน้ำมะตูมเย็นชื่นใจ

ปัณณธรชะงักมือที่กำลังยื่นออกไปรับน้ำมะตูมเมื่อนึกได้ว่ายังถือแก้วกาแฟอยู่

“พิณ จะดื่มอีกหรือเปล่า ถ้าไม่ดื่มจะทิ้งแล้วนะ” แก้วใบนี้ไม่ได้ถูกเปลี่ยนมือตั้งแต่ที่เธอขอชิมกาแฟคำเดียว แถมยังถูกเธอดื่มคนเดียวไปกว่าครึ่งแก้ว

“เอ้อ มะ...ไม่เอาแล้ว ทิ้งได้เลย” สดับพิณตอบเสร็จก็รีบแสร้งทำเป็นดื่มน้ำมะตูมต่อ

ปัณณธรฝากพนักงานทิ้งแก้วกาแฟและหันมาถือแก้วน้ำมะตูมแทน เธอไม่ได้เข้าไปมุงที่เคานเตอร์กับฤทัยและคนอื่นๆ แต่หันมาซักเรื่องที่สงสัยกับญาติสาว

“แล้วนี่พิณนึกยังไงถึงได้ซื้อกาแฟทั้งที่ไม่ดื่มกาแฟ เปลี่ยนมาดื่มกาแฟตั้งแต่เมื่อไหร่ คราวก่อนไปร้านเค้กด้วยกัน พิณยังดื่มโกโก้อยู่เลยนี่”

สดับพิณยิ้มแห้งๆ “คือ...คือว่า...” แล้วก็พูดไม่ออก บอกไม่ถูกเสียอย่างงั้น “พิณไม่รู้จะอธิบายยังไงดีน่ะปันปัน”

“เอ้า! ก็อธิบายมาตรงๆ นั่นแหละ ทำเป็นมีลับลมคมนัย ปิดบังอะไรอยู่เหรอ”

“คือ...ก็...” ปัณณธรพูดแทงใจดำจนสดับพิณกระอึกกระอัก “พิณ...ก็พิณอยากลอง” สุดท้ายจำใจโป้ปดออกไป จะให้บอกปัณณธรได้อย่างไรล่ะว่าถูกดนัยภัทรต้อนด้วยสายตาจนจำต้องสั่งกาแฟแทนโกโก้

“เฮ้อ...พิณน้า จะลองไปทำไมในเมื่อรู้ตัวว่าดื่มไม่ได้ ดื่มทีไร เป็นต้องใจสั่นแล้วก็นอนไม่หลับทุกที”

“ปันปันอย่าบ่นพิณเลย พิณไม่ได้ชิมกาแฟนานแล้ว เลยอยากชิมอีกครั้ง” เมื่อหลุดพ้นจากข้อสงสัยได้ สดับพิณก็เกาะแขนอีกฝ่ายแจอย่างประจบเอาใจ

“เอาเถอะ คงจะไม่ได้ดื่มเยอะหรอกมั้ง ตอนปันรับแก้วมา กาแฟยังเต็มแก้วอยู่เลย”

“คำเดียว” เฉพาะตอนที่ดนัยภัทรจ้องมาด้วยสายตาจับผิดนั่นแหละ...เอ้อ! อาจจะสองคำ เพราะตกใจสายตาเขาแล้วดูดกาแฟเพิ่มอึกใหญ่

“ใจสั่นหรือเปล่าเนี่ย” ปัณณธรถามอย่างเป็นห่วง

“ก็...นิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากหรอก พิณดื่มกาแฟนิดเดียวเอง” ถ้าใจเต้นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม เธอจะสูดลมหายใจลึกๆ เธอรู้ว่าแม้ดื่มกาแฟนิดเดียวก็เป็นผลต่อร่างกาย แต่จำต้องดื่ม เพราะทนให้ดนัยภัทรมองด้วยสายตาเหยียดหยามไม่ได้ เขาต้องคิดว่าเธอเป็นลูกคุณหนูทำอะไรไม่เป็นแน่ๆ...แต่จะว่าไปเธอก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ...เฮ้อ...

“ระวังเถอะ คืนนี้จะนอนไม่หลับ”

“ไม่เป็นไร พิณมีปันปันเป็นเพื่อนอยู่ทั้งคืน”

“แหม...ใครจะบอกว่าปันจะยอมถ่างตาอยู่เป็นเพื่อน”

“พิณบอกเอง เพราะพิณรู้ว่าปันปันใจดี” สดับพิณถูศีรษะกับญาติสาวคล้ายลูกแมวอ้อนขออาหาร ระหว่างนั้น ดนัยภัทรกับชาติชายก็เดินเข้ามาพอดี ชาติชายอมยิ้ม ชอบใจท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆ ของหญิงสาว หากดนัยภัทรกลับนิ่วหน้า มองราวกับเห็นเธอเป็นสัตว์ประหลาดเขางอก ทำเอาเธอซึ่งช้อนตาขึ้นมาพอดีถึงกับหยุดออเซาะปัณณธรโดยพลัน

พนักงานรีสอร์ตเดินเข้ามาต้อนรับสองหนุ่ม พร้อมกับฤทัยและลินดาที่เดินเข้ามา

“เช็กอินแล้วล่ะ ห้องของพวกเราเบอร์สิบสอง” ลินดาชูอวดกุญแจในพวงกุญแจรูปพระอาทิตย์ซึ่งทำจากไม้ระบายสีส้มและเหลืองสด

“อยู่ตรงโน้น” ฤทัยชี้ไปยังอาคารฝั่งขวา ซึ่งเป็นอาคารปูนสีอิฐสูงสองชั้น มุงกระเบื้องสีเขียวไข่กา “ห้องริมสุด” ทั้งอาคารมีห้องทั้งหมดเก้าห้อง แต่ะละห้องมีสองชั้น เรียงติดกันเป็นแถว ทุกห้องมีระเบียง สามารถมองเห็นอ่างอาบน้ำจากุซซีกับฝักบัวกลางแจ้งได้จากจุดที่เธอกำลังเดินอยู่

สดับพิณแทบไม่ได้ฟังการสนทนาของคนอื่นๆ เธอกำลังดื่มด่ำกับสถานที่ใหม่ที่ไม่คุ้นเคย เธอเดินไปตามทางหินซึ่งแยกออกเป็นสองทาง ตรงกลางเป็นทั้งสระน้ำกับน้ำตก ต้นไม้สีเขียวรกครึ้ม และศาลาเปิดที่สร้างจากไม้และจาก ไม่รู้ว่าอุปทานไปเองหรือเปล่า เธอคิดว่าได้กลิ่นมะลิกับลาเวนเดอร์อวลน้อยๆ อยู่ในอากาศ แล้วเธอก็พบว่าตัวเองไม่ได้คิดเพ้อ เมื่อเห็นตะเกียงน้ำมันหอมซ่อนอยู่ริมทางเดินเป็นระยะ

“เป็นไงพิณ ชอบล่ะสิ” ปัณณธรถาม เห็นประกายตื่นเต้นระคนยินดีในดวงตาสีนิลของญาติสาวแล้วพลอยสุขใจไปด้วย เธอเองก็ชอบซันเซ็ตรีสอร์ตเหมือนกัน สวยงาม ร่มรื่น ไม่จอแจ ช่างเหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ

สดับพิณหันมายิ้มกว้าง

“ชอบสิ ชอบมากเลย” แม้จะเคยพักบูติกรีสอร์ตสวยหรูมาบ้าง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้เจอะเจอสิ่งแปลกใหม่ ครั้งนี้ยิ่งตื่นเต้นเป็นพิเศษเนื่องจากมาเที่ยวกับกลุ่มคนที่ต่างออกไปจากเดิม

“เออ! เกือบลืมไปเลย พิณโทรฯ รายงายตัวหรือยัง” ปัณณธรค่อนข้างซีเรียสเพราะรับปากยุทธการว่าจะดูแลสดับพิณเป็นอย่างดี และนั่นหมายถึงทุกเรื่อง

สดับพิณเบิกตากว้าง

“ตายแล้ว! ลืมไปเลย” เธอรีบคว้าโทรศัพท์มือถือสีชมพูออกมากดเบอร์บิดา ไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดเวลาที่สนทนากับบิดานั้น อยู่ในความสนใจของดนัยภัทรตลอดเวลา

ยายตุ๊กตานี่เป็นเอามากแฮะ ต้องรายงานตัวผู้ปกครองทุกฝีก้าว ทำเหมือนเด็กเล็กๆ แบบนี้ตลอดเวลาเลยหรือ

อืม...แต่ก็น่าจะต้องให้โทรฯ รายงานตัวล่ะน่า ถ้าลูกเขาดูหน่อมแน้มแบบนี้ ก็คงต้องเป็นห่วงเหมือนกัน ว่าแต่โทรฯ หาแม่บ้างดีกว่า แกล้งยวนยายตุ๊กตาเล่นๆ

ดนัยภัทรไม่รอช้า ล้วงเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่มากดโทรฯ ออกบ้าง

“ฮัลโหล แม่ครับ ภัทรถึงที่พักแล้วนะครับ...ฮ่าๆ นึกยังไงถึงโทรฯ มาเหรอครับ อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดี...” เขาเหล่มองสดับพิณที่หันมามองเขาอย่างสงสัย เขายิ้มให้เธอนิดๆ หากเธอสะบัดหน้าหนี

“พอดีคิดถึงแม่ เลยโทรฯ มาน่ะครับ ฮ่าๆ แม่ก็...อย่าเข้าใจเจตนาภัทรผิด ภัทรอยากเป็นลูกแหง่บ้าง แม่ไม่ชอบเหรอ...ฮ่าๆ ครับๆ แน่นอนครับ บ๊ายบายครับแม่” เขาวางสายลงก่อนจะผิวปากอย่างอารมณ์ดี

ทว่าเสียงผิวปากของเขากลับกวนประสาทใครบางคนเสียนี่กระไร

จบบทที่ 4
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่า

มาแปะต่อแล้วนะคะ ช้ามากๆ เลยค่ะ ต้องขอโทษมากๆ ช่วงนี้ยุ่งสุดๆ เรื่อง Hidden Love ที่ว่าจะแปะให้ก่อนก็พลอยช้าไปด้วย นี่เลยแปะแก้ตัวให้สามบทรวด แต่สำหรับคู่ร้ายฯ ขอเป็นบทนึงไว้ก่อนนะคะ

บทนี้น่านกับณัฐได้เจอกันแล้ว อ่านแล้วชอบกันไหมคะ น่านก็ชักจะยังไงๆ 55 แต่ณัฐตงิดใจเลยค่อนข้างระวังตัวแจทีเดียว ส่วนพิณกับภัทร คงมีเรื่องวุ่นๆ ตามมาอีกเยอะ เพราะแอบหมั่นไส้ซึ่งกันและกันมาก่อนแล้ว (ชอบตอภัทรโทรศัพท์ไปหาแม่ปิดท้ายบทนี้)

บทที่แล้ว ในการตอบกระทู้ มีตอบคุณ choco ผู้อ่านคนหนึ่งเกี่ยวกับนิสัยการตอบแบบ “นางเอกน้ำเน่า” ของสดับพิณตอนเผลอสั่งกาแฟแทนโกโก้เพราะโดนดนัยภัทรกดดัน ตอนแรกมิถุนาตอบอีกแบบ แต่พอกลับไปอ่านบทที่ 3 ก่อนจะมาแต่ง/แก้บทที่ 4 จึงได้รู้ตัวว่ามิถุนาเบลอแล้ว (เขิน) เลยต้องไปเขียนคำตอบในกระทู้เพิ่ม สรุปว่ายายหนูพิณของเรา ตอบแบบนางเอกน้ำเน่าแหละค่ะ ไม่ยอมรับว่าดื่มไม่ได้ ก็ประมาณไม่ชอบหน้าภัทรเพราะเห็นภัทรไม่ชอบเธออยู่แล้ว และกำลังอยากจะทำแข็งบ้าง ภัทรที่มองเธอแบบข่มๆ หยามๆ เลยโดนฤทธิ์ยายหนูพิณ (จะว่าโดนฤทธิ์ก็ไม่ได้นะคะ เพราะพิณทำตัวเองอ่า) จะว่าไปมีแต่ภัทรล่ะค่ะที่ยายหนูพิณจะกล้าแข็งด้วย กับคนอ่านก็เหมือนเดิม (ต่อไปอาจจะต้องสงสารภัทรแทน)

ใกล้จะถึงงานสัปดาห์หนังสือแล้ว เพื่อนๆ เตรียมเงินไว้ซื้อหนังสือหรือยังคะ มิถุนาก็...พอมีบ้าง แต่ยังไม่ได้ลิสต์รายชื่อเลยค่ะ แต่คาดว่าจะเสียทรัพย์เยอะพอสมควร

ในงานสัปดาห์หนังสือจะมีนิยายใหม่ของมิถุนาวางแผงด้วยนะคะ เรื่อง “คืนปรารถนา” ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็น “ปรารถนารัก” ดังนั้นถ้าเห็นชื่อใหม่ก็ไม่ต้องงงไปนะคะ เรื่องเดียวกันค่ะ ไม่รู้หน้าปกจะเป็นยังไง ยังไม่ได้ถามทางสนพ. เลยค่ะ ถ้ามีข่าวจะมาอัพเดตเพิ่มนะคะ

บทต่อไป คาดว่าน่าจะช้าเหมือนกันค่ะ ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายมากเลย ขออภัยล่วงหน้านะคะ คนอ่านอย่าเพิ่งหนีหายไปก่อน มิถุนามาแปะให้จนจบแน่นอนค่ะ
มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mtihuna.bloggang.com




 

Create Date : 20 กันยายน 2552    
Last Update : 21 กันยายน 2552 10:16:26 น.
Counter : 766 Pageviews.  

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 3

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 3

...ถ้าวีแมตช์เลิฟหาผู้ชายที่เข้ากับ ‘เธอ’ ได้ เธอจะยอมนัดบอดด้วยความเต็มใจเลยเอ้า...

ประโยคคำพูดกึ่งไม่เชื่อ กึ่งดูถูกสะท้อนไปมาในหัวสมองของณัฐทินี เธอตื่นตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อมารดาโผล่มาหาเธอถึงห้องส่วนตัวในบริษัท และบอกข่าวดีว่า ‘วีแมตช์’ หรือแปลยาวๆ ว่าบริษัทจัดหารักหาคู่เดตให้เธอได้แล้ว

“อะไรนะคะ แม่ไม่ได้ล้อณัฐเล่นใช่ไหมคะ!” ณัฐทินีลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยความลืมตัว...บ้าน่า อะไรมันจะเจอคนที่เข้าคู่กันได้เร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งจะ...เพิ่งจะสามวัน นับจากวันที่เธอส่งแบบสอบถามคืนให้แม่เองนะ

“ณัฐ แม่จะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นทำไม” สรียาส่ายศีรษะน้อยๆ จะว่าอ่อนใจก็ไม่ใช่ จะขบขับก็ไม่เชิง “แม่พูดจริงจัง แม่ก็ต้องทำจริงจังสิจ๊ะ ไม่งั้นโดนป้าอัญถอนหงอกพอดี”

“แต่ว่านี่เพิ่งจะสามวันเองนะคะ” ณัฐทินีแย้ง “จับคู่เร็วแบบนี้ มั่วหรือเปล่าคะเนี่ย”

“โอ๊ย ไม่มั่วหรอกจ้ะ จะมั่วได้ยังไง ณัฐเขียนข้อมูลไว้ยังไง คอมพิวเตอร์ก็จับคู่ณัฐกับผู้ชายที่ณัฐเขียนไว้อย่างนั้นนั่นแหละ คอมพิวเตอร์เถรตรงจะตาย ยังไงก็ต้องจับคู่ตรงเผง ตรงตามความต้องการของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว”

ณัฐทินีอยากจะเอามือตบหน้าผากฉาดใหญ่...โอ๊ย เธอจะเป็นลม เธอเขียนอะไรลงไปบ้างเนี่ย ผู้ชายอายุน้อยกว่า ชอบกินกับนอน ทำงานบ้านคล่อง จะเป็นผู้ชายแบบไหนกัน ต้องเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องแน่ๆ เลย แม้ข้อดีส่วนที่ว่าหล่อล่ำร่ำรวยจะดูน่าสนใจ แต่เธอไม่ชอบผู้ชายที่อ่อนวัยกว่า และยิ่งเป็นผู้ชายเกียจคร้าน มีงานอดิเรกอย่างการกินและการนอนเนี่ยนะ โอยๆ ไม่อยากจะคิด

“ตกลงณัฐมีนัดวันเสาร์นี้นะจ๊ะ”

“เสาร์นี้เหรอคะ!” ณัฐทินีทวนคำเสียงสูง ตาโต

“จ้ะ เสาร์นี้ ปรกติวันเสาร์ณัฐก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้วนี่จ๊ะ แล้วอีกอย่าง ผู้ชายคนนั้นก็ว่างวันเสาร์เหมือนกัน” สรียาก็เลยถือโอกาสมัดมือชก รวบรัดตัดความ ออกรับนัดแทนลูกสาวไปเลย จะได้ดิ้นหนีไปไหนรอด...ไม่ได้หรอก แม้ณัฐทินีจะรับปากแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะต่อต้านการจับคู่ครั้งนี้อยู่มาก เธอจะไม่ยอมพลาดโดยเด็ดขาด

“ตะ...แต่...” ณัฐทินีอยากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก

“ไม่มีแต่จ้ะ นัดแล้วก็ต้องเป็นนัด หนูห้ามทำแม่ขายหน้าโดยเด็ดขาด”

ณัฐทินีทำหน้าเหมือนคนอมก้อนหินโตๆ ไว้ในปาก เธอพ่นลมหายใจเฮือกๆ พร้อมกับคำตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้

“ค่ะแม่”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ณัฐทินีคงจะดีใจถ้ารู้ว่าเธอไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายคนเดียว เธอมีเพื่อนร่วมปวดหัวกับการจับคู่สุดไฮเทคของบรรดาแม่ๆ ด้วย

ชลน่านอ้าปากค้างและงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อมารดาบอกว่าวีแมตช์เลิฟหาคู่นัดให้เขาได้แล้ว

“ม๊าว่าอะไรนะครับ” เขาทวนถามอย่างไม่เชื่อ

“ม๊าบอกว่าวันเสาร์นี้ น่านมีนัดกับวีแมตช์เลิฟนะ” อรุณียิ้มกว้าง ดีใจที่เพื่อนจับคู่ผู้หญิงให้ชลน่านได้อย่างรวดเร็วทันใจเธอ จนทำให้เธอขำลูกชายที่ทำหน้าเหวอหลุดเก๊กแบบนี้

“สิบเอ็ดโมง ที่ร้านไธม์ ตรงหลังสวน” เธอเอ่ยชื่อร้านอาหารตกแต่งเก๋ไก๋แห่งหนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี

“เดี๋ยวนะครับม๊า” ชลน่านยกมือห้าม อรุณีเอียงคอมองด้วยความสงสัย แต่ก็พอจะเดาได้ว่าพ่อลูกชายตัวดีจะถามอะไร

“ทำไมมันเร็วแบบนี้ล่ะครับ” เขาถามอย่างข้องใจ ความจริงเขาไม่ค่อยจะไว้ใจให้มารดาจัดการเรื่องจับคู่บ้าๆ นี่เท่าไหร่...ตอนนั้นเขาเป็นบ้าอะไรไปนะ ถึงได้ยอมตกปากรับคำมารดาง่ายๆ ไม่น่าเลยชลน่าน แกน่าจะใจแข็งต่อต้านให้มากกว่านี้ ดูซิว่าตอนนี้เกิดเรื่องยุ่งอะไรขึ้น

“อืม เห็นอี๊อัญบอกว่าน่านโชคดีมาก พอเอาข้อมูลใส่ฐานข้อมูล แล้วรันข้อมูลปุ๊บ ชื่อน่านก็โยงเข้าหาคู่นัดปั๊บ น่านเลยได้นัดหมายเร็วอย่างที่เห็นนี่แหละ” อรุณีไม่ได้บอกความจริงที่ว่าชื่อของชลน่านจับคู่กับสาวผู้โชคร้าย...เอ๊ย โชคดี...เพียงคนเดียว ไม่ล่ะ เธอบอกเขาไม่ได้หรอก ขืนบอกไป ลูกชายของเธอจะต้องแกล้งทำนัดเหลวแน่ๆ แล้วเขาอาจจะไร้คู่นัดไปอีกนาน ซึ่งเธอยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้

ชลน่านผ่อนแผ่นหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยอ่อน...ให้ตายเถอะ ผู้หญิงในแบบสอบถามนี่หาได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเรอะ หรือว่าเขาจะประเมินอะไรผิดไป

เขากรอกสเป็กหน้าตาหญิงสาวในอุดมคติเสียสูงลิบ เธอจะต้องเป็นคนสวย ดูดี มีเสน่ห์ หุ่นดี และสูงเกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร นอกจากนี้ คุณสมบัติสุดเวอร์อื่นๆ ที่เขาเขียนมั่วๆ ลงไปก็ยังมีชอบทำงาน มีงานอดิเรกคล้ายงานอดิเรกปลอมๆ ของเขาซึ่งก็คือกินกับนอน แถมยังชอบผู้ชายที่เด็กกว่า ตุ๋มติ๋ม ชอบทำงานบ้านด้วยเนี่ยนะ...จะบ้าเรอะ หรือว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงชอบมองหาทาสเอ๊าะๆ ส่วนตัวมากกว่าจะหาผู้ชายที่สามารถรักได้จริงๆ เสียแล้ว ให้ตายสิ มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ นี่มันฝันร้ายชัดๆ

“อย่าลืมนะจ๊ะน่าน กรอกใส่บันทึกนัดหมายไว้เลย จะได้ไม่ลืม” อรุณีทำลายภวังค์ของเขาด้วยการเคาะปลายเล็บเจียนมนอย่างดีลงบนโทรศัพท์ไอโฟนของเขา เธอดึงนิ้วออก แต่สายตายังคงจับจ้องที่ลูกชายและโทรศัพท์ของเขา คล้ายสื่อทำนองว่า...บันทึกตอนนี้เลยสิจ๊ะ ม๊ากำลังรออยู่

ชลน่านเม้มปากนิดๆ ก่อนจะจำใจดึงปากกาสไตลัสของไอโฟนมาเคาะหน้าจอเบาๆ เพื่อเข้าโปรแกรมออแกไนเซอร์ และพิมพ์นัดหมายลงในตารางวันที่

อรุณียิ้มกว้าง เธอแก้ปัญหาไปได้อีกเปลาะ แต่ยังเหลืออีกมากที่ต้องจัดการควบคุมอย่างใกล้ชิด

“คืนวันศุกร์ม๊าจะเตือนน่านอีกที อ้อ แล้วน่านไม่ต้องกลัววันเสาร์จะไม่ตื่นนะ เดี๋ยวม๊าปลุกเอง”

“ครับม๊า” ชายหนุ่มรับคำอย่างเซ็งๆ

เฮ้อ เกิดเป็นชลน่าน ช่างลำบากจริงหนอ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ดนัยภัทรซึ่งกำลังขับรถเพลินๆ ถึงกับกระทืบเบรก หยุดรถดังเอี๊ยดด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ทะเล่อทะล่าข้ามถนนตัดหน้ารถเขา เธอคนนั้นหันหน้าซีดๆ มาทางเขา และผงกศีรษะอย่างขอโทษขอโพย แต่เขาก็ยังไม่วายขมุบขมิบปากบ่นเจ้าหล่อนในใจ

ยายบ้าเอ๊ย ข้ามถนนไม่มองรถเลย เดี๋ยวก็โดนรถชนซี้แหงแก๋พอดีหรอก

เขาส่ายหน้า ขณะที่ ‘ยายบ้า’ วิ่งปรู๊ดข้ามไปอีกฝั่งด้วยความรวดเร็ว คล้ายคนที่ข้ามถนนไม่มองทาง หรือข้ามถนนไม่กลัวตาย

ข้ามถนนเป็นหรือเปล่าเนี่ย ทำอย่างกับเพิ่งเคยข้ามถนนเป็นครั้งแรกอย่างงั้นแหละ...เขาบ่นอุบซ้ำ ก่อนจะออกรถต่อ เพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของฤทัย ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางที่เพื่อนๆ มักจะไปรวมตัวกันยามนัดเที่ยวต่างจังหวัด ไม่เว้นกระทั่งการไปปราณบุรีในครั้งนี้

มันเป็นทริปสามวันสองคืนที่สองสาวจอมจัดทริป...ฤทัยกับลินดา...เป็นผู้จัดการ สถานที่พักเป็นรีสอร์ตเปิดใหม่ของเพื่อนซี้ลินดา ที่ได้ส่วนลดครึ่งหนึ่งสำหรับห้องพักพิเศษแลกเปลี่ยนกับการถ่ายรูปสวยๆ พร้อมคำบรรยาย อัพลงบล็อกท่องเที่ยวซึ่งฮิตติดลมบนของลินดา โดยมีเขากับชาติ หรือชาติชายเป็นสารถีหน้าเดิม ที่ต่างขับรถไปคนละคัน เพื่อบรรทุกเพื่อนๆ จำนวนเจ็ดชีวิต...อ๊ะ ไม่สิ ต้องเป็นแปดชีวิต เขาลืมนับญาติของปัณณธรเพิ่มอีกคนได้อย่างไร

เขาไม่รู้รายละเอียดใดๆ ของญาติสาวคนนี้ของปัณณธร รู้แต่ว่าเป็นคนเรียนเก่ง เรียนข้ามชั้นมาเรื่อยๆ จนจบปริญญาตรีตั้งแต่อายุสิบเจ็ด และเป็นลูกคุณหนูยิ่งกว่าปัณณธร ปัณณธรออกจะเป็นคุณหนูเปรี้ยวปรี๊ดปรูดปราดคล่องแคล่ว แต่เท่าที่ประเมินข้อมูลญาติของปัณณธรก็คงจะแนวๆ คุณหนูเนิร์ดๆ ที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็นกระมัง อาจจะเหมือนแม่คนเมื่อกี้ที่ทะเล่อทะล่าข้ามถนนจนเกือบโดนรถเขาชนก็ได้ แบบ...ทำเหมือนคนไม่เคยออกมาเที่ยวนอกบ้าน

ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้ามาในหมู่บ้านของฤทัย แล้วก็จ๊ะเอ๋กับแม่สาวที่ข้ามถนนไม่เป็น เขานิ่วหน้าเมื่อเห็นเธอเดินเข้าไปในบ้านของฤทัย

เฮ้ย ใครวะ อย่าบอกนะเป็นญาติของปัน สมาชิกอีกคนของทริป

เขาเทียบรถจอดหน้าบ้านฤทัยซึ่งว่างเปล่า ไร้วี่แววรถเก๋งคันเก่งของชาติชาย เขามาก่อนเวลาเล็กน้อย ชาติชายยังมาไม่ถึง ซึ่งเป็นเพราะต้องแวะรับเพื่อนๆ อันได้แก่ อังกฤษ และหนุงหนิง ตามรายทางที่ขับรถผ่าน

ดนัยภัทรลงจากรถ และเดินเข้าไปในบ้าน ประตูรั้วอัลลอยของฤทัยมักถูกเปิดทิ้งเอาไว้เมื่อทราบว่าเพื่อนๆ จะแวะมาที่บ้าน เขาเดินเข้าไปด้านในด้วยความคุ้นเคย เสียงโทรทัศน์รายการข่าวตอนเช้าดังแว่วๆ ผ่านเข้ามาในหูของเขา สี่สาวที่นั่งกระจุกอยู่ตรงโต๊ะรับแขกหันมามองผู้มาใหม่ สามคนเป็นคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี ส่วนอีกคนเป็น ‘ยายบ้า’ ที่ข้ามถนนไม่เป็นคนนั้น

ดูท่าเจ้าหล่อนจะยังไม่รู้ตัวว่าเดินตัดหน้ารถเขา...ช่างเถอะ ทำอย่างกับว่าถ้าเธอจำได้แล้วเขาจะว่าอะไรได้ หน้าซีดๆ ดูตื่นๆ แบบนี้ เกิดเขาตำหนิไปนิดนึงแล้วเป็นลมล้มพับลงไป ใคร้จะรับผิดชอบ เขาไม่เอาด้วยคนนึงล่ะ ไม่อยากจะยุ่งกับยายตุ๊กตาผีนี่เท่าไหร่...ชายหนุ่มตั้งปณิธานจะหลีกหนียายบ้าตั้งแต่ยังไม่รู้จักดีอย่างสุดความสามารถ แถมยังตั้งฉายาสุดแสบให้เธออีกต่างหาก

“หวัดดี” เขาโบกมือทักทายฤทัย ลินดา และปัณณธร ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ยายตุ๊กตาผี

“ภัทร นี่ญาติปัน ชื่อพิณ สดับพิณ” ปัณณธรรีบแนะนำญาติสาว

ดนัยภัทรเพียงแค่ผงกศีรษะเบาๆ สามสาวไม่ได้ใส่ใจความเฉยชาของเขาเท่าไหร่ เพราะกำลังเมาธ์กันเพลิน คงจะมีแต่เจ้าของเรื่องอย่าง ‘ยายตุ๊กตาผี’ เท่านั้นที่ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าเขาไม่ค่อยชอบหน้า เลยทำเป็นหลุบตาลง หลบสายตา ไม่สบตาเขา

อืม ความจริงหน้าตาของเจ้าหล่อนก็ไม่ได้จัดว่าแย่ขนาดตุ๊กตาผีหรอกนะ อาจจะเรียกว่าน่ารักน่าชังในสายตาของคนบางคนเสียด้วยซ้ำ

เขานั่งลงตรงข้ามสดับพิณ และลอบพิศมองเธอ สายตาของเขาไล่มองไปตามเส้นผมสีดำขลับเหมือนผมของตุ๊กตาญี่ปุ่น ผมหน้าม้าของเธอยาวปรกลงมาถึงคิ้วเรียวสีเข้ม ดวงตาสีดำของเธอกลมโตเหมือนนัยน์ตาตุ๊กตา จะว่าไปเธอดูเหมือนตุ๊กตาจริงๆ นั่นแหละ ยิ่งเมื่อถูกขนาบโดยสาวหุ่นนางแบบอย่างปัณณธร และสาวอวบร่างสูงอย่างฤทัย สดับพิณก็ดูเล็กกระจ้อยไปถนัดตา

“ชาติแวะรับหนุงหนิงแล้ว อีกไม่เกินสิบห้านาทีก็คงจะถึง” ฤทัยรายงานความคืบหน้าของชาติชาย สารถีอีกคนที่เหลือ

“อืมๆ” ดนัยภัทรพยักหน้ารับ แล้วสาวๆ ก็หันไปจ้อกันต่ออย่างไม่ขาดตอน

“นี่ปันยังไม่อยากเชื่อเลยนะว่าวันนี้อาแปะอาอึ้มจะยอมให้พิณมาที่นี่มาเอง นึกว่าจะมาส่งเหมือนอย่างเคยเสียอีก พิณทำยังไงแปะกับอึ้มถึงได้ยอมปล่อยพิณมาคนเดียวล่ะเนี่ย” ปัณณธรดูจะกรี๊ดกร๊าดมากเมื่อทราบว่าญาติสาวหอบกระเป๋าเดินทางมายังบ้านฤทัยเพียงลำพัง

สดับพิณยิ้มแหย ก่อนจะสารภาพด้วยเสียงอ่อนอ่อย “ก็...ก็...เอ่อ...พิณบอก...บอกว่าปันปันจะมารับ...เอ่อ รับพิณที่หน้าปากซอยน่ะ”

“อะไรนะ!” ปัณณธรเบิกตากว้างก่อนจะกรีดเสียงร้องด้วยความขัดใจ “อ๊าย ยายพิณ เธอไปโกหกแปะกับอึ้มแบบนี้ได้ยังไง เดี๋ยวปันก็พลอยซวย แล้วอีกหน่อยก็จะพาลอดเที่ยวไปหมดด้วยหรอก”

“ก็...ก็ถ้าไม่บอกแบบนี้ เตี่ยกับม๊าจะยอมให้พิณมาเองหรอกหรือ” สดับพิณทำหน้าเศร้า “ขนาดพิณบอกว่าปันปันจะมารับที่ปากซอย เตี่ยกับม๊ายังจะให้เฮีนน่านมาส่งพิณให้ได้เลย ปันปันอย่าโกรธพิณเลยนะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องปนออดอ้อน “พิณแค่อยากจะลองไปไหนมาไหนด้วยตัวเองบ้าง เห็นว่าวันนี้จะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด เลยถือโอกาสเสี่ยงมาคนเดียวดูน่ะ”

พ่อแม่มักจะดูแลเอาใจใส่สดับพิณอย่างใกล้ชิด ผิดกับชลน่านที่ค่อนข้างปล่อยปละพอสมควร ซึ่งคงเป็นเพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวที่อายุห่างจากพี่ชายกว่าเก้าปี ทุกคนรวมทั้งพี่ชายจึงพากันรุมดูเลเธอไม่ห่างหาย เรียกว่าแทบไม่ให้เธอพึ่งพาตัวเองเลยก็ว่าได้ เธอไม่เคยไปโรงเรียนด้วยตัวเอง ไม่เคยออกค่ายกับเพื่อนๆ ไม่เคยเที่ยวกลางคืน ไม่เคยค้างอ้างแรมที่ไหน ขนาดเรียนจบ เธอยังถูกบังคับกึ่งขอร้องให้ทำงานกับที่บ้านเลย แล้วการทำงานที่บ้านก็เป็นเพียงงานก๊อกๆ แก๊กๆ ที่แทบไม่มีหน้าที่อะไรจริงจัง จะว่าไปการไปเที่ยวปราณบุรีครั้งนี้จะทำให้เธอห่างอกพ่อแม่เป็นครั้งแรก เธอดีใจมาก แม้จะต้องโทรศัพท์รายงานตัวเป็นเวลาสามครั้งหลังอาหารก็เถอะ แต่ก็ถือว่ามันเป็นความอิสระที่มากที่สุดที่เธอเคยได้รับมาตลอดชีวิตเลยเชียวล่ะ

ฤทัยกับลินดาทำตาโตคล้ายไม่อยากเชื่อเรื่องราวแสนเวอร์ของคุณหนูสดับพิณ ส่วนดนัยภัทรแอบกรอกตาอย่างหน่ายๆ...มิน่าล่ะถึงได้ข้ามถนนไม่เป็น เฮ้อ แล้วอย่างนี้ทำอะไรเป็นบ้างเนี่ย จะว่าไปก็น่าสงสารยายตุ๊กตาผีเหมือนกันนะ โดนพ่อแม่ประคบประหงมซะจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ ถ้าเขาโดนพ่อแม่ทำแบบนี้ เขาคงจะต้องอัดใจตายแน่ๆ

“ปันปันจ๋า พิณขอโทษนะ” สดับพิณอ้อน สองมือเกาะแขนอีกฝ่ายอย่างเอาใจ ดวงตาโตเป็นประกายวิ้งๆ อย่างกับนัยน์ตาการ์ตูนตาหวาน ซึ่งใครๆ เห็นเข้าเป็นต้องใจอ่อน ไม่เว้นกระทั่งปัณณธรที่เสร็จมุกนี้ของญาติสาวเป็นประจำ

ปัณณธรถอนหายใจเฮือก เห็นสีหน้าจ๋อยๆ ของสดับพิณแล้วโวยวายต่อไม่ลง “จ้ะๆ ปันไม่โกรธพิณหรอก แต่คราวหลังถ้าพิณจะทำอีก ก็ต้องระวังให้มากๆ ล่ะ ขืนถูกจับได้ พิณโดนอาแปะ อาอึ้ม แล้วก็เฮียน่านดุอ่วมแน่...เออ ว่าแต่พิณทำยังไงเฮียน่านถึงยอมไม่มาส่งได้ล่ะ” เฮียน่านเผด็จการแพ้อาแปะอาอึ้มเสียที่ไหน

“เฮียน่านกำลังเซ็งๆ เรื่องวันนี้จะต้องไปนัดบอดกับสาวที่แม่สื่อจัดให้ เลยไม่ค่อยจะมีอารมณ์มาฟังพิณตื้อเท่าไหร่น่ะ”

เอ ช่วงนี้เค้าฮิตใช้บริการแม่สื่อกันรึไง พี่ณัฐก็โดนแม่ขอร้องให้ไปนัดบอดกับแม่สื่อเพื่อนรัก เฮียน่านของยายตุ๊กตาผีนี่ก็อีกคน...เหอๆ หวังว่าแม่คงจะไม่เล็งเขาเป็นรายต่อไปหรอกนะ เขาล่ะเสียวสยองจริงๆ เลย...ดนัยภัทรนึกในใจอย่างขลาดๆ

“พูดถึงแม่สื่อกับเฮียน่าน อาอึ้มเอาจริงเหรอ” ปัณณธรนึกว่าอรุณีจะพูดขู่ชลน่านเล่นๆ เสียอีก

ยังไม่ทันที่สดับพิณจะได้ตอบอะไร ลินดาก็ถามขึ้นมา

“อะไรกัน เฮียน่านของแกออกจะหล่อ สมาร์ต ดูดี แถมรวยอู้ฟู่ ยังจะต้องพึ่งบริการแม่สื่ออีกเรอะ” เธอรู้จักชื่อของชลน่าน และรู้ว่าชลน่านเป็นญาติกับปัณณธร เขาเป็นหนุ่มสังคม ที่ค่อนข้างเปิดตัวต่อสาธารณะ ไม่เหมือนสดับพิณ...น้องสาวผู้เก็บตัวเงียบ...ที่เธอเพิ่งจะได้เจอจังๆ เอาวันนี้

“นั่นสิ แล้วแพรพรรณรายล่ะ เฮียน่านเลิกไปแล้วเหรอ วันก่อนยังเห็นข่าวสวีตกันอยู่เลย” ฤทัยช่วยซักเพิ่ม

“ถามปันไม่ได้หรอก ต้องถามนี่...คนนี้เลย” ปัณณธรชี้ไปยังน้องสาวเจ้าของเรื่อง “ปันไม่รู้เพราะปันคิดว่าอาอึ้มจะแกล้งดัดหลังเฮียน่านเล่นๆ เลยไม่ได้สนใจอะไร ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นจริง...ตกลงมันเป็นจริงใช่ไหมเนี่ยพิณ ที่ว่าเฮียน่านมีนัดบอดวันนี้น่ะ”

“จริง” สดับพิณพยักหน้า “ม๊าตั้งใจจะเขี่ยยายแพรพิลาปออกไปให้พ้นๆ เฮียน่านให้ได้น่ะสิ เลยเข็นเฮียน่านเต็มที่” เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในครอบครัวยกเว้นชลน่าน สดับพิณไม่ชอบแม่นางเอกสาวที่พี่ชายควงอยู่ ณ ขณะนี้สักนิด เธอเคยเจอแพรพรรณรายตัวต่อตัวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แพรพรรณรายไม่ทราบว่าเธอเป็นน้องของชลน่าน เธอเผลอซุ่มซ่ามชนแพรพรรณรายเข้า เธอขอโทษ แต่แพรพรรณรายกลับทำตาเขียวและพูดกระแทกเธอว่า ‘ขอโทษแล้วมันหายเจ็บไหม’ ทำเอาเธอเจ็บใจจี๊ดและเกลียดแพรพรรณรายมาตั้งแต่นั้น นี่เธอไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจุบันแพรพรรณรายจะรู้ไหมว่าเธอเป็นน้องสาวของชลน่าน สงสัยคงจะไม่ แพรพรรณรายไม่น่าจะจำเธอได้ด้วยซ้ำ คนที่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลอย่างแพรพรรณรายคงจะไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง

คำเรียกของสดับพิณทำเอาฤทัยกับลินดาที่ไม่เคยได้ยินหัวเราะลั่น

“ฮะๆ พิณตั้งชื่อใหม่ให้แพรพรรณรายตลกจัง คิดได้ยังไงเนี่ย”

“โอ๊ย เปล่าหรอก พิณไม่ได้เป็นคนตั้งหรอก ม๊าของพิณต่างหาก”

“แสดงว่าม๊าพิณไม่ชอบแพรพรรณรายเอามากๆ เลยนะเนี่ย”

“อื้อ ม๊ากับเตี่ยไม่ชอบอาชีพเต้นกินรำกิน แถมยายแพรพิลาปยังมีข่าวลบๆ อีกเพียบ แล้วนี่เฮียน่านดันคบแม่นี่นานเกินปรกติอีก ม๊ากับเตี่ยเลยชักเป็นห่วง กลัวเฮียน่านจะเสียที”

“ก็จริงแฮะ แพรพรรณรายชอบมีแต่ข่าวด้านลบจริงๆ ด้วย” ลินดาพยักหน้าหงึกๆ

“ปันไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเฮียน่านจะเสียที เปลี่ยนสาวๆ อย่างกับเปลี่ยนถุงเท้าแบบนั้น ประสบการณ์คงเพียบ ไม่หลงกลใครง่ายๆ หรอก”

“พิณก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ม๊าไม่ยอมนี่นา เฮียน่านทำตัวเองแท้ๆ ช่วยไม่ได้” สดับพิณยักไหล่

“ว่าแต่ม๊าของพิณสนใจว่าที่ลูกสะใภ้แบบไหนเหรอจ๊ะ” ฤทัยกระแซะถามเสียงหวาน

“อืม ก็ประมาณ...ผู้หญิงทำงานมั่นคง แก่สังคม เก่งๆ รวยๆ อะไรเทือกนี้ล่ะ” เรียกว่าเป็นผู้หญิงแบบที่คล้ายกับอรุณีนั่นแล

“อย่างนี้ฤทัยก็เข้าข่ายน่ะสิ” ฤทัยยิ้มกว้าง

“แหม ยายฤทัย กะฟันอาเฮียของปันฉับๆ หรือไง” ปัณณธรแซว

“บ้า อย่างฤทัยไม่ฟันเล่นๆ แต่รักจริงหวังแต่งย่ะ” ฤทัยค้อนก่อนถาม “ปันว่าไง คุณสมบัติอย่างฤทัย พอจะผ่านให้พิจารณาไหม”

ปัณณธรเอานิ้วแตะใต้คางตัวเองและปั้นหน้าครุ่นคิด “อืม...ปันยอมรับว่าฐานะทางสังคม ฤทัยผ่านเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หน้าตานี่ สงสัยจะต้องถามเฮียน่านเองนะ ปันเห็นสเป็กเฮียน่านแต่ละคน...หูย สูงลิบๆ ทั้งน้าน ประเภทสูงยาว เข่าดี หุ่นเจ๋ง หน้าสวยอะไรแบบนี้น่ะ” ถ้าพูดกันตามตรง ฤทัยไม่ใช่คนสวย เรียกว่าเป็นคนที่หน้าตาพอดูได้ อาศัยการแต่งเติมและแต่งตัวเข้าว่า ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอีกโข

“ยายปัน! ไม่ให้ความหวังเพื่อนบ้างเลย ไม่แน่หรอกว่าเฮียน่านอาจจะเบื่อความจำเจ อยากลองของแปลกอย่างฤทัยดูบ้าง” ฤทัยโต้อย่างไม่ถือโกรธ เธอเป็นคนเฮฮา และรู้ว่าเพื่อนไม่ได้ว่าปรามาสเธออย่างจริงจัง

“เออๆ เอาสิ ฤทัยนิสัยดี ได้เป็นพี่สะใภ้ก็ไม่เลวหรอก ไว้ปันจะแนะนำฤทัยให้เฮียน่านรู้จักก็ได้ เนอะพิณเนอะ” ปัณณธรหันไปพยักพเยิดกับญาติสาวซึ่งตอบด้วยการยิ้มแห้งๆ

สดับพิณไม่คิดว่าผู้หญิงอย่างฤทัยจะถูกใจชลน่าน ไม่ใช่ว่าฤทัยไม่ดีนะ ท่าทางฤทัยเป็นคนที่น่าคบหา แถมยังมีฐานะที่ดี ทว่าพี่ชายของเธอชอบคบผู้หญิงฉายฉวย เลือกสวยเข้าว่า แล้วก็ทิ้งง่ายๆ ไว้ก่อน ตามประสาคนขี้เบื่อ ดังนั้นฤทัยไม่เหมาะกับชลน่านหรอก...เอ แต่ก็ไม่แน่นะ อาจจะเป็นอย่างที่ฤทัยว่า บางทีชลน่านอาจจะเบื่อผู้หญิงแนวเดิมๆ แล้วก็ได้ ลองเสนอฤทัยดูก็ไม่เสียหายหรอกน่า ไหนๆ ตอนนี้ม๊าก็พยายามจะจับคู่ให้เฮียน่านอยู่แล้วนี่นะ

“แล้วฤทัยจะตั้งหน้ารอเจอเฮียน่านตัวจริง อยากรู้ว่าจะหล่อเหมือนในรูปหรือเปล่า”

“ถึงจะยังไม่ได้เจอกันตอนนี้ แต่ปันฟันธงให้ก่อนเลยว่าเฮียน่านหล่อกว่าในรูปมากกกก” ปัณณธรลากเสียงยาวยืนยันความหล่อ

แล้วฤทัยกับลินดาก็ร้องวี๊ดว๊ายขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

ดนัยภัทรซึ่งเอาแต่นั่งเงียบเงี่ยหูฟังเสียเป็นส่วนใหญ่ได้แต่คิดอย่างปลงๆ

ผู้หญิง เป็นเหมือนกันหมดสินั่น เรื่องนินทาล่ะ ที่หนึ่งเลย!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หลังจากชาติชายพาเพื่อนที่เหลือมาสมทบที่บ้านฤทัยจนครบถ้วน พวกเขาก็ออกเดินทาง อังกฤษ หนุงหนิง และลินดาโดยสารไปกับรถของชาติชาย ส่วนสาวๆ อีกสามคนที่เหลือไปกับดนัยภัทร พวกเธอส่งเสียงคุยจอกแจกไปตลอดการเดินทาง

เวลาผ่านล่วงมาร่วมชั่วโมงแล้ว ดนัยภัทรเป็นคนขับนำ เนื่องจากเขาขับรถเร็วกว่าชาติชาย พวกเขาขับตามกันไปแบบทิ้งห่างกันไม่มากนัก แต่ไม่ได้ผลัดกันแซง เนื่องจากชาติชายขับรถตามดนัยภัทรไม่ทันสักที

สดับพิณไม่ชินกับการนั่งรถแบบนี้ ดนัยภัทรขับรถเร็ว แรง และชอบแซงอยู่เป็นนิจ เห็นช่องทางเล็กๆ ที่พอจะไปได้นิดหน่อยเป็นไม่ได้ ต้องขอเบียดรถแทรกผ่านไป บางครั้งเขาแซงไม่ทัน ก็เร่งเครื่องแรงกว่าเดิม ไม่ก็เปลี่ยนเลนและไปแซงเอาข้างหน้า ทำเอาเธอใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อย แม้เขาจะไม่พลาดสักครั้ง แต่เธอก็อดกลัวไม่ได้ เธอไม่ได้กลัวแทนเขาหรอกนะ แต่เธอกลัวแทนตัวเอง เธอยังไม่อยากจะพบยมบาลตั้งแต่การออกเที่ยวด้วยโดยไม่มีครอบครัวครั้งแรก ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่เธออยากจะค้นหาและเรียนรู้ แต่เธอจะพูดอะไรได้ คนขับไม่รู้สึกรู้สา ผู้โดยสารอีกสามคนที่เหลือก็ดูจะชินชากับการขับรถของเขา แต่เธอไม่ชิน เธอไม่เคยนั่งรถของใครนอกจากของบิดาและพี่ชาย ซึ่งพวกเขาขับรถนุ่มนวลและดูปลอดภัยกว่าดนัยภัทรมาก

“ตายแล้วยายพิณ มือเย็นเฉียบเชียว”

สดับพิณหันไปยิ้มแหยให้ญาติสาวผู้นั่งเคียงข้าง ซึ่งจู่ๆ เกิดเอื้อมมาจับมือเธอเสียอย่างงั้น

“ไม่ชินใช่ไหม” ปัณณธรรู้ในทันทีว่าสดับพิณมือเย็นขนาดนี้ได้อย่างไรทั้งที่เครื่องปรับอากาศของรถก็ไม่ได้เย็นจนเกินไป และสดับพิณก็ไม่ได้นั่งโดนลมเครื่องปรับอากาศโชยใส่โดยตรง “ไม่ต้องห่วงนะ เห็นขับรถเร็วแบบนี้ แต่ภัทรขับรถดีนะ ปลอดภัยหายห่วง”

เจ้าของชื่อที่ถูกเอ่ยหลังเกร็งคล้ายเตรียมการระวังตัว เขาเหลือบตานิดๆ มองผ่านกระจกมองหลัง และเห็นยายตุ๊กตาสบตาเขาพอดิบพอดี เธอมองเขาด้วยสายตาหวาดๆ ราวกับเห็นเขาเป็นยักษ์กินคนยังไงยังงั้น และเขาไม่ชอบมันสักนิด ไม่เคยมีใครมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ เขาออกจะขึ้นชื่อในความเป็นคนอัธยาศัยดี

“ใช่ไหมฤทัย” ปัณณธรขอแรงยืนยันจากเพื่อนอีกคนที่เหลือซึ่งนั่งที่นั่งตอนหน้า

“ใช่ๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยนะพิณ ภัทรขับรถเก่งมาก แม้จะขับเร็วไปสักหน่อยก็เถอะ” ฤทัยบอก

“พวกเรานั่งรถฝีมือภัทรขับมาหลายหนแล้ว วางใจได้แน่นอน”

สดับพิณแทบจะเอาศีรษะมุดเบาะเมื่อโดนญาติสาวจับได้ว่ามีปัญหากับการนั่งรถ เธอไม่อยากทำตัวเป็นปัญหากับใครๆ เธออยากเป็นเหมือนคนอื่น แต่เธอบังคับร่างกายไม่ได้ เธอเกร็งทุกครั้งที่ดนัยภัทรเบรกรถ หรือได้ยินเสียงเครื่องยนต์เร่งแรง

“เอ่อ พิณ...พิณ...” เธออยากจะแก้ตัว แต่ก็พูดไม่ออก และดูเหมือนว่าคนอื่นจะไม่สนใจเธอเท่าไหร่แล้ว

“ภัทร เดี๋ยวแวะปั๊มข้างหน้าหน่อยสิ ฤทัยจะเข้าห้องน้ำ ปวดฉี่อ้ะ” ฤทัยบอกง่ายๆ และดนัยภัทรก็ไม่เกี่ยงงอน

“อื้อ ได้ แต่โทรฯ บอกชาติหน่อยสิว่าเราจะแวะปั๊ม...” เขาเอ่ยชื่อสถานีบริการน้ำมันชื่อดังข้างหน้าซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ใหญ่โตและมีร้านสะดวกซื้อกับร้านขายอาหารฟาสต์ฟูดอยู่ภายใน

“โอเค” ฤทัยตอบรับ มือล้วงไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์ของหนุงหนิงที่นั่งอยู่ในรถอีกคันทันที

ดนัยภัทรเบี่ยงออกถนนเลนนอก และเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน เขาจอดรถหน้าห้องน้ำ ทุกคนลงจากรถ ไม่เว้นกระทั่งเขา แต่เขาไม่ได้เข้าห้องน้ำเหมือนสาวๆ เขาเดินตรงไปยังร้านกาแฟสดที่เล็งไว้ตั้งแต่เลี้ยวรถเข้ามาด้านใน เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีสมาชิกอีกหนึ่งคนกำลังเดินตามเขามา

สดับพิณไม่ปวดปัสสาวะ แต่อยากดื่มอะไรสักอย่าง เธอเห็นดนัยภัทรไม่ได้เข้าห้องน้ำ เขากำลังเดินปรี่ไปที่ร้านกาแฟ เธอจึงเดินตามเขาไป เธอเดินตามเขาต้อยๆ เหมือนลูกไก่ตามแม่ไก่ เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังเดินตามเขา และเขาก็ปล่อยมือจากประตูโดยไม่ระวังคนที่เดินตามหลังมาอย่างเธอด้วย

หญิงสาวรีบจับบานประตูที่เด้งมาทางเธอ...เกือบเสยหน้าเธอ เธอกัดริมฝีปากล่างด้วยความขุ่นใจ...คนบ้า...เธอว่าเขาในใจ แล้วหน้าเธอก็กระแทกเข้ากับแผ่นหลังของเขา เพราะเขาหยุดเดินกะทันหัน

“โอ๊ย!” เธออุทาน และคลำจมูกป้อยๆ เธอเจ็บ หลังเขาแข็งชะมัด และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เธอก็เห็นใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆฝนของเขา

“ตามผมมาทำไม” ดนัยภัทรเขม่นมองยายตุ๊กตาที่มองเขาด้วยสายตาหาเรื่อง

“พิณไม่ได้ตาม” คนอะไร ขี้ตู่จริงๆ เลย เธอไม่ได้เดินตามเขาสักหน่อย “พิณจะซื้อน้ำ”

“น้ำ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “น้ำอะไร น้ำหวานน้ำอัดลมอยู่ในร้านสะดวกซื้อต่างหาก”

“ใครว่าพิณจะดื่มน้ำหวานน้ำอัดลม” เขาเห็นเธอเป็นเด็กเล็กๆ หรือไง ถึงปล่อยให้เข้าร้านกาแฟไม่ได้ ต้องไล่ไปดื่มน้ำหวานน้ำอัดลม

“คุณจะดื่มกาแฟ” ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเบิกกว้างเล็กน้อย “คุณดื่มกาแฟเป็นด้วย” เธอออกจะดูคุณนู๊คุณหนู...เขาไล่มอง ‘คุณหนู’ ในชุดกระโปรงยีนส์สีอ่อนเป็นชั้นๆ กับเสื้อผ้าบางสีขาว เธอสวมหมวกสานและสะพายกระเป๋าสาน ดูเหมือนสาวน้อยหวานแหว๋วสุดๆ...บอบบางแบบนี้ จะดื่มเครื่องดื่มขมๆ เข้มๆ โดยหัวใจไม่สั่นได้เรอะ

น้ำเสียงปรามาสและสายตาดูแคลนของเขาทำเอาสดับพิณลมขึ้นด้วยความโกรธ...อ๊าย นี่เขากำลังกวนประสาทเธอใช่ไหม

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงตอบเสียงห้วน “เป็น”

และใช่ เธอดื่มกาแฟไม่เป็น

ดนัยภัทรไหวไหล่น้อยๆ ลูกค้าข้างหน้าเขารับเครื่องดื่มและหลีกทางไป เขาก้าวไปสั่งกาแฟคาปูชิโนของตัวเอง ก่อนจะหันมาถามผู้หญิงที่เขาสบประมาทว่าดื่มกาแฟไม่ได้

“คุณจะดื่มอะไร”

“กะ...” โกโก้...สดับพิณรีบยั้งปากก่อนจะหลุดชื่อเครื่องดื่มประจำออกไป “กาแฟ...เอ่อ...” เธอไล่มองชื่อด้านบน และเลือกกาแฟรสอ่อนที่สุด “ลาเต้เย็นค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับและหันไปสั่งเครื่องดื่มสำหรับเธอ ไม่ถึงสิบนาที สองหนุ่มสาวก็ออกมายืนหน้าร้าน ในมือของแต่ละฝ่ายถือแก้วกาแฟไว้ สดับพิณมองแก้วกาแฟของตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เธอไม่ดื่มกาแฟ เธอดื่มไม่ได้ เพราะดื่มแล้วใจสั่น แต่เธอก็ซื้อมันมาแล้ว

แล้วเธอก็สะดุ้งน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นและพบกับสายตาชวนสงสัยของเขา เธอจึงจำใจดูดกาแฟอึกใหญ่...ถ้าเธอใจสั่นและคืนนี้นอนไม่หลับเพราะกาแฟ เธอจะโทษเขา!

“อ้าว ภัทร พิณ มาอยู่ตรงนี้กันน่ะเอง พวกเราหากันตั้งนาน” ปัณณธรเดินเข้ามา โดยมีฤทัยอยู่เคียงข้าง

“พวกชาติกำลังเข้าห้องน้ำอยู่” ฤทัยบอก “อ๊ะ ออกมาแล้วนั่น”

หนุ่มสาวสี่คนที่เหลือตามมาสมทบ คนขับรถทั้งสองคุยเรื่องเส้นทาง ก่อนจะแยกย้ายกันกลับขึ้นรถตามเดิม

ฤทัยนั่งด้านหน้าคู่กับดนัยภัทร ปัณณธรขยับตัวตามญาติสาวที่เขยิบไปชิดประตูอีกฝากฝั่ง รถออกตัว สาวๆ อยู่ในโหมดพูดคุยเหมือนเดิม

“น้ำอะไรน่ะพิณ ปันดื่มมั่งสิ”

“เอ่อ...ละ...ลาเต้เย็นน่ะ” สดับพิณตะกุกตะกัก ปัณณธรรู้ดีว่าเธอชอบดื่มอะไร ไม่ชอบดื่มอะไร

“หืม” หัวคิ้วของปัณณธรขมวดม้วนน้อยๆ แต่ก็รับแก้วที่ถูกยัดเยียดมาในมือแต่โดยดี “พิณ...” เธอกำลังจะอ้าปากถาม แต่สดับพิณส่งสายตาห้าม เธอจึงยอมหุบปาก

สดับพิณไม่กล้าเหลือบมองไปข้างหน้า เธอรู้สึกว่าดนัยภัทรกำลังมองเธออยู่...มองอย่างสงสัย

ปัณณธรดูดน้ำจากหลอด และมันก็เป็นกาแฟจริงๆ

ยายพิณเกิดบ๊องอะไรขึ้นมา ทำไมถึงได้ซื้อกาแฟทั้งที่รู้ว่าตัวเองดื่มไม่ได้

ปัณณธรสงสัย แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาเป็นคำถาม มันจุกจิกเกินกว่าที่เธอจะใส่ใจ แต่อะไรบางอย่างก็สะกิดหัวใจเธอตงิดๆ

จบบทที่ 3
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่ะ

มาแปะต่อแล้วค่า แอบชอบสดับพิณเป็นพิเศษ แต่ดูท่าดนัยภัทรจะไม่ชอบด้วย 55 ส่วนคู่น่านกับณัฐก็ ‘สมพงศ์’ กันตั้งแต่ตอนกรอกแบบสอบถามเลย แต่เรื่องวุ่นๆ จะเป็นยังไงต่อไป รออ่านกันต่อบทหน้าค่ะ

คงมาแปะ Hidden Love ช้าหน่อยนะคะ อยากให้แต่งครบอีกสักบทก่อนแล้วค่อยแปะ ช่วงนี้แอบยุ่งๆ เหมือนกันค่ะ ไม่ค่อยสบายด้วย หวังว่าจะไม่ทำให้ช้าไปกว่านี้ แล้วเจอกันค่ะ

มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mtihuna.bloggang.com




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2552    
Last Update : 25 สิงหาคม 2552 8:31:50 น.
Counter : 1076 Pageviews.  

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 2

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 2

ยุทธการ...ชายวัยปลายหกสิบ รูปร่างสูงใหญ่ มีเนื้อหนังส่วนเกินเพิ่มขึ้นตามวัยและการกินอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ ศีรษะที่แต่ก่อนมีผมดกหนา ปัจจุบันกลับเถิกร่นและเป็นสีเทา เขาดูใจดีแต่ภายนอก ภายในแกร่งกร้าวเข้มแข็ง เขากำลังนั่งดูรายการเคเบิลทีวีประจำวันหยุดขณะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา เขาจำได้ว่ามันเป็นเสียงรองเท้าแตะเดินภายในบ้านของอรุณี...ภรรยาคู่ใจที่อ่อนวัยกว่าเขาห้าปี เธอดูสาวกว่าวัยราวสิบปี อันเนื่องมาจากการดูแลรักษาร่างกายและการแต่งตัวที่ทันสมัย ผมของเธอยาวเลยไหล่ ม้วนเป็นลอนสวย แม้จะเป็นวันหยุดที่ไม่ได้ออกไปไหน เธอก็ยังคงแต่งหน้าเล็กน้อยเพื่อดึงจุดน่าสนใจบนใบหน้าออกมาอย่างโดดเด่น เธอเป็นผู้หญิงที่เขารัก เป็นแม่ของลูกชายหญิงของเขา...ชลน่าน อายุยี่สิบเก้า และสดับพิณ อายุยี่สิบ

“ดูสิคะคุณยุทธ พ่อลูกชายตัวดีของเรามีข่าวหราลงหน้ากอสสิปของอุตพิตอีกแล้ว” มารดาของ ‘พ่อลูกชายตัวดี’ เปิดฉากบ่น เธอทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างกายสามีอย่างหงุดหงิด ขณะชี้ชวนให้เขาดูหัวข้อคอลัมน์ซุบซิบของนักเขียนข่าวบันเทิงในหนังสือพิมพ์หัวสีวันนี้ที่พาดตัวหนาโตกว่าปรกติ

“ไหน อะไรกัน” ยุทธการชะโงกหน้าไปใกล้ สายตาไล่ไปตามนิ้วเรียวเคลือบยาทาเล็บสีแดงสดปนกากเพชรของภรรยา และอ่านออกเสียง

“แพร-น่าน สวีตหวาน บอก ปีหน้ามีลุ้น”

อรุณีเม้มปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อมองภาพใบหน้ายิ้มระรื่นของ ‘แพร’ ในข่าวกอสสิป ส่วนลูกชายของเธอนั้น กำลังยืนหันข้างและยืนห่างๆ ไม่รับรู้หรือสนใจที่ตัวเองโดนถ่ายรูปติดไปด้วย

“เจ้าน่านมันจะลุ้นอะไรของมัน” เขาทำหน้านิ่ว พลางนึกถึงเจ้าน่าน หรือชลน่าน ลูกชายคนโตและคนเดียวของตระกูลธรรมาภิรักษา ซึ่งกำลังคบหากับแพร หรือแพรพรรณราย นางเอกสาวคลื่นลูกใหม่ ซึ่งกำลังมีผลงานในวงการบันเทิงอย่างต่อเนื่อง “ลุ้นมีลูกเรอะ”

“บ้าสิคุณยุทธ” อรุณีฟาดมือเพียะบนแขนของสามี “ห้ามพูดแบบนี้เชียวนะ ณีไม่เอาด้วยหรอก หลานจากยายแพรอะไรเนี่ย” เธอค้อนเขาวงโต ก่อนจะบอกว่า “คุณยุทธอ่านเนื้อความข้างในสิคะ ไม่เยอะหรอกค่ะ กระชับสั้นได้ใจความทีเดียว” เธอขบฟันน้อยๆ เน้นประโยคหลังหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ชอบเนื้อหาข่าวดังกล่าวเป็นอย่างมาก จะว่าไปเธอไม่ชอบข่าวใดที่เกี่ยวกับลูกชายและแม่แพรพรรณรายอะไรนี่เลย

“แหม ถ้ามีหลานจริง ณีจะไม่ยอมรับเลยเชียวหรือ” ยุทธการบอกเสียงอ่อน สายตาเลื่อนลงไปอ่านข้อความด้านล่างตามที่เธอแนะนำ แม้ต่อหน้าคนอื่น เขาจะเป็นคนแข็งและค่อนข้างเผด็จการ แต่กับอรุณี ภรรยาผู้เป็นที่รักแล้ว เขาแทบกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ ของแม่เสืออย่างเธอเลยทีเดียว

“ฮึ ก็ต้องยอมรับล่ะค่ะ หลานเราก็เลือดเนื้อเชื้อไขตาน่านทั้งนั้น แต่ยายนั่น ณีขอให้ไปไกลๆ หน้าณี” นอกจากจะไม่ชอบอาชีพเต้นกินรำกินของแพรพรรณรายแล้ว เธอยังไม่ชอบการวางตัวและนิสัยของเจ้าหล่อนอีกด้วย ชลน่านยังไม่เคยพาผู้หญิงคนนี้มาให้เธอรู้จักอย่างเป็นทางการหรอกนะ แต่แค่อ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับแม่คนนี้ เธอก็อกจะระเบิดตายด้วยความอัดอั้นตันใจอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าพ่อลูกชายเห็นอะไรดีในตัวแพรพรรณราย ถึงได้คบหากันเป็นนานสองนาน เธอนึกว่าพวกเขาจะเลิกร้างกันหลังจากคบกันได้เดือนเดียวเสียอีก แต่ที่ไหนได้ นี่ปาเข้ามาจะเกือบสี่เดือนแล้ว เกินระยะเวลาที่เธอประเมินจากนิสัยขี้เบื่อของลูกชายได้อย่างไร

“เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” สามีเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแขวะ เขาแค่แซวภรรยาเล่นๆ แต่อรุณีไม่ขำด้วย

“อย่ามาทำเป็นพูดดีไปเลย คุณยุทธก็ไม่ชอบแม่แพรพล่ามพรรณานี่เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ” ด้วยความหมั่นไส้ เธอจึงเปลี่ยนชื่อเรียกแพรพรรณรายเสียใหม่ จะว่าไปก็มีหลายชื่อเหมือนกัน อย่างเป็นต้นว่า แพรพิลาป แพรรำพันพิลาป แพรพิรี้พิไร แล้วแต่ความอยากเรียกและอารมณ์ของเธอในตอนนั้น

ยุทธการจบการอ่านคอลัมน์ซุบซิบ ที่เนื้อความข้างในระบุว่าเห็นแพรพรรณรายกระโดดกอดชลน่านแนบแน่น ณ ล็อบบีใต้คอนโดมิเนียมของฝ่ายหญิง ก่อนจะตอบนักข่าวที่เข้ามาทำข่าวเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของพวกเขาว่าอาจจะมีข่าวดีฤกษ์สีชมพูในปีหน้า

“ผมก็ไม่ชอบแม่คนนี้เหมือนณีนั่นแหละ” เขาไม่ชอบแพรพรรณรายด้วยเหตุผลเดียวกับภรรยา นอกจากจะเป็นคนจีนแท้หัวโบราณที่ไม่นิยมชมชอบอาชีพขายเรือนร่างแล้ว เขายังไม่ชอบข่าวเกี่ยวกับดาราสาวอีกด้วย ไม่รู้ว่าโลกมันกลับตาลปัตรไปหมดแล้วหรือไร คนธรรมดาๆ ดีๆ ส่วนใหญ่กลับไร้ชื่อเสียง แต่คนที่มีข่าวคาวเรื่องรักใคร่ชู้สาว ขี้วีน ขาดภาพลักษณ์ที่ดี กลับเป็นดารามีชื่อเสียง ผู้ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทน เป็นตัวอย่างของคนในแก่สังคม

“แต่ผมคิดว่าน่านฉลาดพอที่จะรู้ว่าพวกเราชอบใครไม่ชอบใคร น่านคงไม่น่าจะพลาดท่าเสียทีหรอกน่า” เขาปลอบ เขารู้จักลูกชายดีพอจะทราบว่าชลน่านเป็นคนแกร่งและเขี้ยว ไม่ยอมเสียผลประโยชน์หรือโดนลูบคมง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว “หรือว่าณีไม่เชื่อว่าเจ้าน่านจะแกร่งพอ”

“อย่าทำเป็นชะล่าใจไปนะคะ ผู้หญิงสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ดูอย่างวันก่อนสิ ข่าวบ้าอะไรนะ” อรุณีทำเป็นนึก ก่อนจะพูดต่อด้วยความรวดเร็ว “ที่ว่าหลอกแชตผู้ชายทางอินเตอร์เนต ตอนหลังนัดพบเพื่อมีความสัมพันธ์กัน แล้วก็ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอแบล็กเมล์เรียกเงินจากผู้ชาย...ผู้หญิงอะไร” เธอสั่นหน้าอย่างรับไม่ได้ “เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องระวังตัวนะคะ ผู้ชายก็เหมือนกัน ภัยร้ายมาได้ทุกรูปแบบ”

“ณีจ๋า นั่นมันคนละเคสเลยนะ” ยุทธการยิ้มอ่อนใจ บางครั้งอรุณีก็เป็นห่วงลูกมาเกินไป อย่างปัจจุบันที่อรุณีมักจะยึดสดับพิณไว้ เนื่องจากเห็นลูกสาวคนเล็กเป็นเด็กที่ไม่โตอยู่เสมอๆ

“ถึงจะคนละเคส แต่ก็คล้ายกันในเรื่องของความไว้ใจ ความไม่ปลอดภัยล่ะค่ะ” เธอเถียง “ณีล่ะกลัวตาน่านจะพลาดท่าเสียทีโดนแม่แพรพิลาปจับ” สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ชลน่านเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา วันใดวันหนึ่งอาจผิดพลั้งอย่างมิตั้งใจ “ขืนได้แม่รีแม่แรดนั่นมาเป็นลูกสะใภ้ ณีจะต้องลมจับแน่ๆ”

“ระวังเถอะณี เคยได้ยินหรือเปล่า เกลียดสิ่งไหนมักได้สิ่งนั้น” เขายังคงหยอกเย้าไม่เลิก

“คุณยุทธ! เงียบไปเลยนะคะ ณีบอกแล้วไงว่าจะไม่ฟังอะไรแบบนี้” เธอทำเสียงสูงไม่พอใจ ก่อนจะสรุปว่า “ไม่รู้ล่ะ ยังไงณีก็จะไม่ปล่อยให้แม่แพรพิลาปจับตาน่านได้สำเร็จ”

“แล้วณีจะทำอย่างไร” เขาถามเรื่อยๆ อย่างใจเย็น ไม่เดือดร้อน

“ณีจะหาผู้หญิงให้ตาน่านเอง” เธอประกาศมั่น

“อะไรนะ หาผู้หญิงให้!” เขาเบิกตากว้าง

“ใช่ค่ะ หาผู้หญิงให้ ณีมีคิดเอาไว้แล้วล่ะ” เธอปั้นสีหน้าตั้งอกตั้งใจ...ในเมื่อชลน่านไม่ยอมเลิกยุ่งเกี่ยวกับแพรพรรณรายตามที่เธอบอก เธอก็จะไม่ว่า แต่ชลน่านจะต้องยอมออกเดตกับผู้หญิงที่เธอหาให้ คอยดูนะ เธอจะหาผู้หญิงที่ตาน่านปฎิเสธไม่ได้เลยเชียวล่ะ

“ณีว่าเจ้าน่านจะยอมเรอะ” พูดอย่างกับว่าลูกชายของพวกเขาเป็นคนหัวอ่อนยอมใครอย่างนั้นแน่ะ ชลน่านน่ะได้นิสัยหัวดื้อมาจากพวกเขาทั้งนั้น ทำให้หน้าที่คนหัวอ่อน ยอมตามใจทุกคนในบ้านตกอยู่ที่สดับพิณเพียงคนเดียว

“ไม่ยอมก็ต้องยอมค่ะ ถ้าทำเพื่อม๊าแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาคุยกันเลย” เธอทำเสียงสะบัดอย่างงอนๆ

ยุทธการได้แต่หัวเราะเบาๆ ด้วยความจนใจ คร้านจะเข้าไปขัดขวางภรรยาซึ่งไม่ค่อยยอมคน...แน่ล่ะว่าไม่ค่อยยอมเขาด้วย แต่เขาก็เชื่อว่าชลน่านจะต้องยอมอรุณีอย่างที่เธอประกาศ คนอย่างอรุณี นอกจากจะหว่านล้อมเก่งแล้ว ยังบังคับคนเก่งอีกด้วย ไม่งั้นพ่อปลาไหลอย่างเขาจะเสร็จเธอแบบนี้น่ะหรือ

และก่อนที่อรุณีจะพูดบ่นไปมากกว่านี้ ผู้มาใหม่อีกสองคนก็เดินเข้ามาด้านใน

เป็นสดับพิณนั่นเอง

ร่างแบบบางที่สูงเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบสองเซนติเมตรของลูกสาวเด่นชัดในสายตาของผู้เป็นบิดาและมารดา สดับพิณอายุยี่สิบปีแล้ว แต่ยังคงดูเหมือนเด็กมัธยม เนื่องจากผอม และตัวเล็ก เธอมีรูปร่างหน้าตาเหมือนย่า ผิดแผกจากพ่อแม่และพี่ชาย ผิวของเธอละเอียดและมีสีขาวนวลเหมือนนมสด ผมสีดำเป็นมัน ยาวถึงกลางหลัง เธอไว้ผมหน้าม้าปรกเสมอคิ้ว และประกอบรวมกับการเป็นคนตัวเล็ก ทำให้เธอดูเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่นที่น่ารักน่าเอ็นดู เธอได้ชื่อว่าสดับพิณ เนื่องจากตอนที่อรุณีตั้งครรภ์ฝันว่ามีนางฟ้ามาเล่นเพลงพิณให้ฟัง เธอจึงได้ชื่อที่มีความหมายว่า ‘ฟังเสียงพิณ’

“สวัสดีค่ะเตี่ย...ม๊า” สดับพิณยกมือไหว้บิดามารดา เธอไม่ทักเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายที่บังเอิญได้ยินระหว่าเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทั้งที่ใจนั้นอยากจะรู้เนื้อความมากกว่านี้เต็มแก่ เนื่องจากตอนนี้ตัวเองมีเรื่องวุ่นวายต้องสะสางก่อน...เอาเถอะ กะอีแค่เรื่องจับคู่ด้วยแม่สื่อ เก่งๆ อย่างเฮียน่าน คงจะจัดการได้สบายล่ะน่า

เคียงข้างร่างเล็กบางของสดับพิณ คือปันปัน หรือปัณณธร ลูกสาวของยุทธภูมิ น้องชายคนเล็กของยุทรการ หรือก็คือหลานสาวของพวกเขา ปัณณธรยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองและทักทาย

“หวัดดีค่ะอาแปะ อาอึ้ม” ปัณณธรดูต่างจากสดับพิณชนิดฟ้ากับเหว เธอแต่งหน้าครบเครื่อง ทำสีผมเป็นสีน้ำตาลเหมือนสาวญี่ปุ่น เธอตัวสูง มีอกและเอวดูสมส่วน เธอแต่งตัวเปรี้ยวทันสมัย ชุดกระโปรงสั้นกุดสีน้ำเงินโคบอลต์กับเลกกิงสีดำของเธออาจจะล้ำสมัยเสียด้วยซ้ำ ถ้าเปรียบเทียบกับชุดกระโปรงติดกันประดับลูกไม้สีขาวและชมพูหวานจ๋อยของสดับพิณ

ยุทธการและอรุณีรับไหว้ สดับพิณโผไปนั่งกระแซะข้างๆ มารดา ส่วนปัณณธรเลือกนั่งโซฟาเดี่ยวข้างๆ ญาติสาว

“ว่าไงปัน ไม่ได้มาหาแปะกับอึ้มนานแล้วเหมือนกันนะเนี่ย” ยุทธการทัก

“แหะๆ คือว่าปันมัวแต่ยุ่งกับงานใหม่น่ะค่ะ” ปัณณธรลูบศีรษะเก้อๆ ความจริงเธอไม่ได้ยุ่งกับงานเสียทีเดียวหรอก แต่เธอก็เหมือนผู้อ่อนวัยทั่วไปที่มักเลี่ยงการเข้าหาผู้ใหญ่ถ้าไม่จำเป็น “อาแปะกับอาอึ้มสบายดีนะคะ”

ยุทธการเพียงแค่พยักหน้านิดๆ แทนคำตอบ ส่วนอรุณีก็ตอบสั้นๆ ว่าสบายดี แล้วยุทธการก็ซักถามตามประสาคนที่ไม่ได้พบเจอกันนาน

“เออ เห็นเมื่อกี้ว่าทำงาน ตอนนี้ปันทำงานที่ไหนนะ” เขาพยายามนึก แต่ก็นึกไม่ออก หากเขาไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เพราะปัณณธรรีบตอบเขาแทบจะทันที

“ที่... น่ะค่ะ” เธอเอ่ยชื่อบริษัทโฆษณาชื่อดังติดอันดับของประเทศไทย ที่เธอเพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่ไม่นาน หลังจากหนีเที่ยวพักผ่อนหลังเรียนจบอยู่หลายเดือน

“อ้อ” เขาจำบริษัทที่หลานสาวกล่าวได้ มันเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงพอตัว “แล้วเป็นไง งานสนุกไหม”

“ดีค่ะ สนุกดีค่ะ ปันชอบงานที่ทำมากๆ”

“ดีแล้วที่ชอบ แต่ปันน่าจะไปช่วยงานพ่อนะ เจ้าอันด้วย ปล่อยให้เพียวช่วยคนเดียว สงสารเพียวมัน” เพียวที่เขากล่าวถึงคือเพียวเพียว หรือพิชัยยุทธ พี่ชายคนโตของปัณณธร ซึ่งช่วยยุทธภูมิธุรกิจของครอบครัว ตรงข้ามกับอันอัน หรืออัญชิสา ลูกสาวคนรอง และปัณณธร ลูกสาวคนเล็กผู้หลีกเลี่ยงงานที่บ้านราวกับโรคร้าย

ปัณณธรหัวเราะเสียงแห้ง “ก็...กะว่าทำงานสักพักก่อน แล้วปันก็คงจะกลับไปช่วยงานเตี่ยกับเฮียน่ะค่ะ” แต่...สักพักของเธอ คงจะอีกนาน...นานแสนนานทีเดียว

ยุทธการพยักหน้ารับ ไม่ได้ตอบอะไร หากสายตาของเขาพอจะเดาคำตอบที่แท้จริงของหลานสาวได้ โชคยังดีที่สดับพิณและชลน่านไม่ได้ต่อต้านเรื่องการทำงานกับที่บ้าน และยอมมาช่วยงานเขาหลังเรียนจบ ไม่งั้นเขาคงจะปวดหัวเป็นแน่แท้ เพราะทุกสิ่งที่เขาก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เขาทำเพื่อครอบครัวของเขาเท่านั้น

“เอ่อ ม๊าคะ เตี่ยคะ พิณ...” สดับพิณกอดมารดาไว้อย่างออดอ้อน ดวงตาที่สบมองผู้อาวุโสทั้งสองแฝงไปด้วยแววแห่งความกล้ากลัวและความคาดหวัง

“พิณอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดกับปันปันน่ะค่ะ” แม้จะอายุห่างจากปัณณธรสี่ปี แต่เธอก็เรียกชื่อปัณณธรโดดๆ โดยไม่มีคำนำหน้า แถมยังเรียกด้วยชื่อเล่นเด็กๆ ที่ไม่มีใครเรียกนอกจากเธออีกด้วย เนื่องจากว่าพวกเธอเรียนชั้นเดียวกัน สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กๆ สดับพิณเป็นเด็กที่เรียนเร็วกว่าเด็กส่วนใหญ่ เธอหัวไว เรียนเก่ง ทำให้ได้สิทธิ์เรียนข้ามชั้นจากโรงเรียนของเธอเป็นประจำ เธอเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุสิบห้า และใช้เวลาสามปีในการเรียนหลักสูตรที่เด็กทั่วไปใช้เวลาเรียนสี่ปี เธอเพิ่งจะมาชะลอการเรียนเอาตอนเรียนปริญญาโท ที่เธอใช้เวลาสองปี แทนที่จะเป็นหนึ่งปีอย่างที่ควรค่าแก่ความสามารถของเธอ เนื่องจากเธออยากจะใช้ชีวิตแบบนักศึกษามหาวิทยาลัยกับเขาบ้าง แม้จะสายไปนิดที่มาเริ่มเอาตอนเรียนปริญญาใบที่สอง แต่เธอก็มีความสุขกับเวลาสองปีดังกล่าว เธอได้เปิดหูเปิดตากว่าเดิมมาก แม้จะไม่มากอย่างใครอื่นเขา แต่เธอก็ดีใจที่ตัดสินใจไม่ผิด และตอนนี้เธอกำลังจะก้าวไปอีกขั้นด้วยการขอบิดามารดาไปเที่ยวต่างจังหวัดกับญาติสาวและกลุ่มเพื่อน เธอตื่นเต้นเหลือเกิน เพราะมันเป็นครั้งแรกที่เธอจะขอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้ออกไปเที่ยวห่างไกลสายตาของคนในครอบครัวเลย

“หือ อะไรนะ ไปเที่ยงต่างจังหวัดเหรอ” อรุณีย่นหน้าผากน้อยๆ ราวกับไม่เห็นด้วยกับการไปเที่ยวดังกล่าว

“ม๊าให้พิณไปนะคะ พิณอยากไป...อยากไปมากที่สุดเลยค่ะ” สดับพิณเอ่ยเสียงหวาน และถูมือทั้งสองข้างกับแขนนุ่มของท่าน ด้วยรู้ว่าถ้าชนะใจมารดาได้ อุปสรรคของเธอก็จะเลือนหายไปมากกว่าครึ่ง

“อาแปะอาอึ้มให้พิณไปเถอะนะคะ ไปกับปัน...กับเพื่อนปันน่ะค่ะ” ปัณณธรช่วยขอร้อง เมื่อหลายวันก่อนเธอเล่าถึงแผนการไปเที่ยวต่างจังหวัดที่กำลังจะมาถึงให้สดับพิณฟัง ญาติสาวของเธอตาลอยฝันเฟื่องคล้ายกำลังจินตนาการถึงการไปเที่ยว เธอจึงลองชวน และสดับพิณก็ตอบตกลง ทว่าสดับพิณตอบตกลงเพียงลำพังไม่ได้ สดับพิณต้องการการยืนยันจากบิดามารดาก่อน อาแปะกับอาอึ้มของเธอไม่เคยปล่อยสดับพิณไปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เลย จะว่าไปสดับพิณถูกเลี้ยงมาแบบเก็บเนื้อเก็บตัวเสียด้วยซ้ำ และนั่นทำให้การขอไปเที่ยวต่างจังหวัดธรรมดาเป็นเรื่องยากสำหรับสดับพิณ

“เพื่อนที่ไหน ไปกี่คน ไปที่ไหน พักที่ไหน” ยุทธการพ่นคำถามออกมารวดเดียวชนิดที่เกือบครบถ้วน ทำเอาคนเตรียมตอบอย่างปัณณธรอึ้งจนแทบพูดไม่ออก ตอบไม่ถูก

“หือ ว่าไงยายปัน” เขาถามซ้ำ เมื่อเห็นหลานสาวนิ่งไป

“เอ่อ...คะ...คือ...เพื่อนปอโทน่ะค่ะ ไปกัน...” ปัณณธรนับจำนวนผู้ร่วมเดินทางในใจ ก่อนจะตอบ “แปดคน ถ้ารวมพิณด้วยนะคะ” เธออุตส่าห์ช่วยญาติสาวด้วยการทำให้ยุทธการและอรุณีคุ้นเคยว่าจะมีสดับพิณร่วมทริปไปด้วย

“พวกเราจะไปปราณบุรี จองที่พักชื่อซันเซ็ตรีสอร์ตน่ะค่ะ”

เมื่อตอบเสร็จ คำถามต่อไปก็จ่อชิดติดตามมา

“ผู้ชายกี่คน ผู้หญิงกี่คน”

มันเป็นคำถามที่ทำเอาปัณณธรถึงกับอึ้งไปนิดๆ เตี่ยกับม๊าของเธอไม่เคยซักละเอียดยิบถึงขนาดนี้เลย อาจเป็นเพราะพวกท่านรู้จักและคุ้นหน้าของเพื่อนๆ เธออยู่ก่อนแล้ว จึงไม่กังวลในตัวเพื่อนๆ ของเธอสักเท่าไหร่ แล้วอีกอย่าง เพื่อนๆ ของเธอก็ไว้ใจได้ด้วย แต่ละคนก็ลูกคนมีสตางค์ประวัติดีๆ ทั้งนั้น บางคนมีอันจะกินกว่าครอบครัวเธอเสียด้วยซ้ำ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นครอบครัวหาเช้ากินค่ำและมีความเป็นอยู่แบบธรรมดา

“เอ้อ ก็มี...ผู้ชายสาม ผู้หญิงห้าน่ะค่ะ”

“เหรอ”

“อ่า...ค่ะ” ปัณณธรตอบแทบไม่ถูกแล้ว

“เตี่ยคะ ให้พิณไปเถอะนะคะ ไปแค่สามวันเอง พิณยังไม่เคยไปปราณบุรีเลย” สดับพิณจับแขนบิดา และมองท่านด้วยสายตาขอร้องแบบเด็กๆ ที่มักจะได้ผลเวลาเธออ้อนขอของเล่นหรือของใช้ที่อยากได้

“เพื่อนๆ ไว้ใจได้หรือเปล่าเนี่ย” ยุทธการหรี่ตาน้อยๆ ส่วนอรุณีก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสามีในการซักถาม

“ไว้ใจได้สิคะอาแปะ กลุ่มเพื่อนสนิทของปันเอง เรียนโทมาด้วยกันตั้งสองปี รู้นิสัยกันดีค่ะ” ปัณณธรยืนยันหนักแน่น ทำให้สดับพิณลอบถอนใจน้อยๆ ที่ญาติสาวไม่ผวะพ่อแม่ของเธอ และทิ้งเธอกลางคัน

“พิณรู้จักด้วยเหรอ” ยุทธการหันไปถามลูกสาว

“เอ่อ เปล่าค่ะ พิณไม่รู้จัก” สดับพิณตอบเสียงอ่อย

“แล้วอย่างนี้จะดีเหรอ ไปกับคนที่ไม่รู้จัก”

“อาแปะคะ ปันก็ไปด้วยค่ะ พิณเป็นญาติของปัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอกค่ะถ้าพิณจะไปด้วยอีกคน” เธอบอกเพื่อนคร่าวๆ แล้วว่าญาติของเธออยากจะไปเที่ยวด้วย และเพื่อนเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร เนื่องจากว่ายังมีห้องพักเหลือว่าง เช่นเดียวกับที่นั่งประจำรถ

“แล้วจะไปกันวันไหน”

“อาทิตย์หน้าค่ะ”

“เร็วขนาดนั้นเชียว”

“ไม่เร็วหรอกค่ะ นัดกันมาสักพักแล้ว เพราะต้องจองห้องพักล่วงหน้า มันติดช่วงวันหยุดพอดีน่ะค่ะอาแปะ” ไม่งั้นพวกเธอก็คงจะได้เที่ยวปราณบุรีแค่สองวัน ซึ่งไม่ค่อยจะคุ้มค่าเหนื่อยและค่าใช้จ่ายในการขับรถไปกลับสักเท่าไหร่

“แล้วไปกันยังไง”

“ขับรถกันไปสองคันค่ะ พิณจะนั่งรถคันเดียวกับปัน” แต่ถึงจะให้แยก สดับพิณก็คงไม่ยอมหรอก ก็สดับพิณรู้จักเพื่อนเธอเสียที่ไหนกันเล่า

“ใครเป็นคนขับ ขับปลอดภัยหรือเปล่า” ยุทธการดูจะสามารถป้อนคำถามได้เรื่อยๆ และอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เพื่อนผู้ชายน่ะค่ะ อาแปะไม่ต้องห่วง สองคนนี้ขับรถดี” ปัณณธรไม่ได้เสริมต่อว่า ‘แต่เร็ว’ เข้าไป ด้วยรู้ว่าผู้ใหญ่จะต้องไม่เห็นชอบแน่ๆ

ยุทธการเงียบไป เขาสบตาภรรยา คล้ายจะขอความเห็นว่าควรทำอย่างไร

อรุณีไม่ได้ตอบ แต่ใช้สายตาคุยกับเขาอย่างเข้าอกเข้าใจ ฝ่ายคนรอคำตอบอย่างสดับพิณและปัณณธรใจตุ้มๆ ต่อมๆ แล้วสดับพิณก็ทนความเงียบต่อไปไม่ได้ ต้องพูดขอร้องอ้อนวอนอีกครา

“เตี่ยคะ ให้พิณไปเถอะนะคะ” ก่อนจะหันไปประจบมารดา “นะคะม๊า พิณอยากไป”

“ไม่มีกินเหล้ากันใช่ไหม” อรุณีถามบ้าง เธอพอจะรู้อยู่หรอกว่าคนบางกลุ่ม พอออกต่างจังหวัดทีก็หอบหิ้วเหล้าไปกินดื่มกันจนเปรมอีกด้วย เธอไม่อยากให้ลูกสาวคนเดียวเผลอไปร่วมดื่มเหล้าด้วย...โธ่ ก็ยายพิณดื่มเหล้าเป็นเสียที่ไหนกัน

“โอ๊ย ไม่มีหรอกค่ะ พวกเราไม่ค่อยดื่ม” ไม่ค่อยดื่มน้อยล่ะสิไม่ว่า...ปัณณธรขยักคำพูดไว้ในใจอีกครั้ง ถ้าจะให้ตอบตรงๆ ออกไป สดับพิณก็อดแหงแก๋ไปน่ะสิ...ยายพิณนะยายพิณ ถ้าได้ไปปราณบุรีจริงๆ ล่ะก็ เธอจะต้องขอบใจฉันยกใหญ่เชียวล่ะ

“อืม” อรุณีทำเสียงในลำคอราวกับตัดสินใจไม่ได้

“ม๊าจ๋า รับรองว่าพิณจะเป็นเด็กดี ไม่ทำตัวเหลวไหล ให้พิณไปเที่ยวเถอะนะคะ พิณยังไม่เคยไปต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เลย ปราณบุรีก็ยังไม่เคยไปด้วย” สดับพิณขอร้องอย่างน่าสงสาร เธอถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน ในสายตาพ่อแม่และพี่ชาย เธอเป็นลูกสาวคนเล็กและคนเดียว อายุน้อย อ่อนด้อยประสบการณ์

คำพูดของลูกสาวเริ่มทำให้ผู้เป็นพ่อและแม่คิดได้...บางทีพวกเขาก็ลืมไปว่าเก็บตัวสดับพิณไว้เคียงกายมากแค่ไหน ขนาดปัจจุบันสดับพิณเรียนจบแล้ว พวกเขายังบังคับให้สดับพิณทำงานกับที่บ้านเลย ดังนั้นมันจึงอาจเป็นการดีที่พวกเขาจะปล่อยให้ลูกมีอิสระเสรีสักนิด

“ก็ได้...”

สดับพิณเบิกตากว้าง พูดแทรกขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ “ก็ได้เหรอคะ พิณไปได้ใช่ไหมคะ” น้ำเสียงทั้งตื่นเต้น ดีใจ และคาดไม่ถึง

“ได้จ้ะ...”

“โอ๊ย ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ พิณรักม๊ากับเตี่ยที่สุดเลย” เธอตบท้ายด้วยคำบอกรักหวาน พร้อมกับหอมแก้มบิดามารดาคนละฟอดโตๆ

ยุทธการได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะแปรเปลี่ยนใบหน้าให้เรียบขรึม เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เปล่งออกไป

“แต่...” เขาทิ้งช่วงในการเงียบ

“แต่...งั้นเหรอคะ” สดับพิณหน้าซีด...หรือว่าเธอจะโดนเตี่ยกับม๊าหลอกให้ดีใจเก้อ

“แต่พิณต้องโทรฯ รายงานตัวเตี่ยกับม๊าหลังอาหารสามมื้อทุกวันด้วยนะ” เขายื่นเงื่อนไข “ว่ายังไง แค่นี้ทำได้ไหม” คิ้วเลิกสูง ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

“ทำได้ค่ะ ทำได้ ทำได้แน่นอนค่ะ” ประกายแห่งความยินดีอาบไล้ดวงตาสีดำของเธอ

“ดี งั้นเตี่ยกับม๊าก็อนุญาต”

สดับพิณเฮลั่น สีหน้าและท่าทางอิ่มสุขตั้งแต่ยังไม่ได้ไปเที่ยวของลูกสาวทำให้ยุทธการและอรุณีทราบแน่ว่าพวกเขาตัดสินใจไม่ผิด ส่วนปัณณธรก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกและพลอยดีใจไปกับญาติสาวด้วย

หมดปัญหาไปหนึ่งเปลาะ ทีนี้ก็เหลือแต่ต้องดูแลลูกสาวของอาแปะอาอึ้มให้กลับมาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพเท่านั้นแหละ ไม่งั้นคนที่จะแย่ เห็นจะเป็นเธออย่างไม่ต้องสงสัย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

อรุณีวางแผนจับคู่รวดเร็ว ฉับไว และเงียบกริบจนกระทั่งคนที่จะถูกจับคู่ยังตั้งตัวไม่ติด หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไร เธอก็โทรศัพท์หาเพื่อนเก่าแก่ที่กำลังจับงานแม่สื่อแม่ชักทันที และเธอก็นัดเพื่อนคนดังกล่าวมาหาเธอในวันรุ่งขึ้น

“ขอบใจมากนะอัญที่อุตส่าห์มาด้วยตัวเองแบบนี้” เธอทักทายอัญชุลี เจ้าของบริษัทจัดหารัก...วีแมตช์เลิฟ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเธอ

“โอ๊ย เล็กน้อยน่าณี เรื่องของคนกันเอง ฉันต้องจัดการด้วยตัวเองอยู่แล้ว แล้วอีกอย่าง อยากมาเจอเธอด้วยล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว คิดถึง” อัญชุลียิ้ม แต่ก่อนเธอเป็นแม่ก้นครัวดูแลบ้านช่องจนหัวยุ่งฟู ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่เธอลอกคราบ กลายเป็นสาววัยกลางคน ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัยด้วยชุดแพนต์ส์สูทสีม่วงเปลือกมังคุด แถมยังทำผมแต่งหน้าเสียเช้งวับ

“ว่าแต่เธอสวยขึ้นนะ เห็นในทีวียังสู้ตัวจริงไม่ได้เลย” อรุณีไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด ลองถ้าได้รู้จักอัญชุลีมาก่อน จะต้องไม่เชื่อว่านี่คือคนเดียวกับยายเพิ้งก้นครัวที่เคยรู้จัก

“ขอบใจจ้ะ” อัญชุลียิ้มกว้างกว่าเดิม “ทำงานที่เกี่ยวกับการพบปะผู้คนก็อย่างงี้แหละ ต้องทำตัวให้ดูดีตลอดเวลา”

“ดีแล้วที่เธอออกมาทำงาน อยู่แต่กับบ้าน เป็นฉันคงเฉาตายเลย” แม้อรุณีจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนเมื่อสมัยที่เธอบุกเบิกงานร่วมกับสามี เนื่องจากมีลูกชายและลูกสาวลุยงานแทน แต่เธอก็ยังมีโผล่ไปดูแลผลประโยชน์ของบริษัทอยู่บ้าง

“แล้วนี่เธอสบายดีนะ”

“สบายกาย แต่ไม่สบายใจ” ในประโยคสุดท้าย อรุณีทำหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

“เรื่องที่คุยกันไว้ล่ะสิ” มันเป็นเรื่องทำให้อัญชุลีต้องแล่นมาหาเพื่อนถึงที่...และโดยเร็วที่สุด ตามที่เพื่อนขอร้อง

“ตอนนี้ก็มีอยู่เรื่องเดียวนั่นแหละ” อรุณีถอนอกถอนใจคล้ายว่ามันเป็นเรื่องหนักหนาเสียเต็มประดา

“ก็นะ ตาน่านทั้งหล่อและรวย ก็ต้องเป็นเป้าหมายสำหรับผู้หญิงบางคนบ้างล่ะน่า” ลำพังแค่การทายาทเจ้าของกิจการเซอร์วิจอพาร์ตเมนต์และคอนโดมิเนียมหรูหราทั่วเมืองกรุงและต่างจังหวัด ก็ทำให้เป็นที่สนใจอยู่แล้ว แต่นี่ชลน่านดันได้ส่วนดีๆ บนใบหน้าของบิดาและมารดามาอย่างละนิดอีกด้วย จึงทำให้เขาเป็นขวัญใจสาวๆ ในวงสังคมได้ไม่ยากเลย

“แต่ไม่รู้ทำไม พ่อลูกชายของฉันถึงได้ตาแชแหมไปคว้าแม่รำพันพิลาปมาเป็นแฟนด้วยก็ไม่รู้” เธอบ่นเรื่องลูกชายและแพรพรรณรายกับเพื่อนไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังอดบ่นเปรยขึ้นมาอีกไม่ได้

“โฮ้ย ฉันว่านะณี พ่อลูกชายของเธออาจจะแค่ควงเล่นๆ ไปอย่างนั้นเองแหละ แม่แพรพิลาป...เอ๊ย...” อัญชุลีรีบแก้ไขเมื่อทำท่าจะเรียกชื่อผิดตามเพื่อนไปด้วย “แม่แพรพรรณรายออกจะเป็นดาราดัง คบไว้ก็ไม่เสียหลาย ได้เปิดหูเปิดตากว้างไกลดีออก” เธอเชื่อในเรื่องคอนเน็กชันหรือเครือข่ายสายใยคนรู้จัก เหตุที่เธอได้ทำหน้าที่แม่สื่อก็มาจากการพบปะคนมากมายนี่แหละ

“ฉันก็คิดว่าตาน่านคงแค่ควงแม่นั่นเล่นๆ ตามประสานิสัยขี้เบื่อ เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยน่ะ เพียงแต่ว่าที่ฉันกังวลเพราะคราวนี้ตาน่านออกจะคบแม่แพรพิลาปนานกว่าผู้หญิงคนอื่น แถมช่วงนี้ยังมีข่าวทำนองสวีตหวานแหว๋ว ไม่ก็ฤกษ์แต่งงานออกมาให้ฉันเห็นโครมๆ มันก็ทำให้ฉันอดกลัวไม่ได้น่ะสิ เกิดตาน่านพลาดขึ้นมา จะทำยังไงล่ะ ฉันไม่อยากได้ยายแพรมาเป็นลูกสะใภ้หรอกนะ”

“จ้ะๆ ฉันรู้แล้ว ใจเย็นๆ นะณี” อัญชุลีรีบปรามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าลมขึ้น “แล้วฉันจะช่วยสกรีนผู้หญิงดีๆ น่ารักๆ มาให้ตาน่านนะ”

อรุณีหันมายิ้มหวาน สีหน้าสีตาผ่อนคลายลงไปมาก “ขอบใจนะจ๊ะอัญ นี่ถ้าไม่ได้เธอ ฉันก็ไม่รู้จะหาควานหาผู้หญิงที่ไหนมาให้ดึงตาน่านออกจากแม่แพรพิลาปเหมือนกัน ลูกเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นผู้ชาย ก็แต่งงานแต่งการไปหมดแล้วแทบทั้งนั้น...เอ๊ะ เธอก็มีลูกสาวนี่นา ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงนะ” เธออุทาน มัวแต่มองบริษัทจัดหารักจนลืมที่จะสนใจชีวิตส่วนตัวของเจ้าของบริษัท

“อย่าไปสนลูกสาวฉันเล้ย ยายเหมี่ยวน่ะต่อต้านเรื่องพวกนี้จะตายไป ไม่รู้จะหวงความโสดไปถึงไหน” เหมี่ยวหรือมะเหมี่ยวเป็นลูกสาวคนเดียวของอัญชุลี อายุอานามก็ใกล้สามสิบเต็มแก่ แต่ไม่ยอมมีแฟนสักที จะว่าเป็นเพราะเห็นครอบครัวมีปัญหา เลยไม่อยากเป็นเหมือนก็ไม่ได้ เพราะเธอกับสามีก็รักกันดี เธอเคยถามถึงสาเหตุ มะเหมี่ยวก็บอกเพียงว่าไม่อยากมี เธอเซ้าซี้เท่าไหรก็ได้แต่คำตอบเดิม จนเธอเบื่อที่จะถามไปเอง “ยิ่งเห็นฉันมาเป็นแม่สื่อแบบนี้นะ ยายเหมี่ยวยิ่งต่อต้าน...ฉันหมายถึงต่อต้านเรื่องการจับคู่ให้เหมี่ยว แต่ไม่ต่อต้านเรื่องให้ฉันทำงานนี้นะ” จะว่าไปมะเหมี่ยวนี่แหละที่เป็นคนสนับสนุนให้เธอจัดตั้งบริษัทจัดหาคู่

“น่าเสียดาย” อรุณีพูด “แต่ช่างมันเถอะ ยายหนูลูกเธอไม่สนก็ไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าเธอมีสาวๆ ในสังกัดเยอะ...ใช่ไหมจ๊ะ”

“ก็มีพอตัวล่ะ เปิดบริษัทมาเกือบปีแล้วนี่นะ” มีผู้หญิงสาวโสด ประวัติดีเลิศมาใช้บริการของวีแมตช์เลิฟเพียบ จนทำให้เธอนึกสงสัยด้วยซ้ำว่าผู้ชายในโลกนี้หายไปไหนหมด ทำไมจึงทิ้งผู้หญิงน่าสนใจเหล่านี้ให้เคว้งคว้าง

“แล้วนี่ฉันต้องทำยังไงบ้าง”

“ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เอานี่ให้ตาน่านกรอกตามความจริงเท่านั้นก็พอ” อัญชุลีดึงซองพลาสติกใส่เอกสาร...ซึ่งเป็นแบบสอบถามเกี่ยวประวัติ ความชอบ งานอดิเรก และทัศนคติ เพื่อใช้ในการจับคู่บุคคลที่มีความคล้ายคลึง หรือความเข้าขากันมาที่สุด...ออกมาจากกระเป๋า และยื่นให้เพื่อน ก่อนจะนิ่วหน้าเล็กน้อย

“ไม่สิ อาจจะต้องทำอะไรนิดหน่อย น่านยังไม่รู้ใช่ไหมว่าเธอจะใช้บริการแม่สื่อ” ถ้าเป็นการจับคู่ด้วยความเต็มใจ เธอจะไม่เป็นห่วงอะไรเลย แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยากมีคู่ขึ้นมาล่ะก็ ความสำเร็จคงจะเป็นไปได้โดยยาก แต่สำหรับกรณีนี้ เนื่องจากอรุณีขอมา ความเป็นเพื่อนจึงทำให้เธอตอบรับอย่างช่วยไม่ได้

“ตาน่าน...” ยังไม่ทันที่อรุณีจะได้พูดจบ เสียงทักทายทุ้มห้าวของชลน่านดังขึ้น พร้อมๆ กับการปรากฎตัวของเขา ณ ตรงทางเดิน

ชลน่าน...ซึ่งได้รับการตั้งชื่อนี้เพราะว่าพ่อกับแม่พบกันที่จังหวดน่านจนกลายมาเป็นความรัก...เป็นหนุ่มเชื้อจีนแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทว่ากลับมีใบหน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่งเสียมากกว่า อาจเป็นเพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ผิวขาวเหมือนน้ำนม รูปหน้าเป็นเหลี่ยมแข็งแกร่ง เห็นกรามชัดเจน จมูกโด่งเป็นสัน ตาโตสีน้ำตาลเข้มที่มีชั้นตาและเบ้าตาลึกชัดเจน รวมไปถึงผมสั้นของเขาเป็นสีน้ำตาลชนิดที่ไม่ต้องพึ่งครีมเปลี่ยนสีผม ซึ่งนับว่าเขารับส่วนดีอย่างละนิดละหน่อยมาจากทั้งพ่อและแม่ ผิดกับน้องสาวของเขาที่มีใบหน้าและรูปร่างกระเดียดไปทางไหล่ม่าหรือแม่ของพ่อ ทำให้พวกเขาดูไม่เหมือนพี่น้องที่คลานออกมาจากท้องเดียวกันสักนิด

ชายหนุ่มเดินมาหาหญิงสาวทั้งสอง และยกมือไหว้มารดาและผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคย แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร

“ม๊าว่าอะไรนะครับ เรียกน่านหรือเปล่า” เขาแทรกถามขึ้นมา ไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะใดๆ แต่บังเอิญเขาได้ยินเสียงแม่...หรือใครบางคนพูดหรือเรียกชื่อเขาหลายครั้ง

“ยังไม่รู้ แต่กำลังจะรู้เดี๋ยวนี้ล่ะ”อรุณียังอุตส่าห์กระซิบบอกเพื่อนต่อ ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ลูกชาย “กลับมาแล้วหรือจ๊ะตาน่าน เป็นไงบ้าง เที่ยวสนุกไหม” เธอรู้ว่าชลน่านซึ่งออกไปเที่ยวกับยายแพรพิลาปจะกลับบ้านราวๆ นี้ เธอก็เลยนัดอัญชุลีให้มาพบเธอในเวลาที่เหลื่อมซ้อนกันดังที่เห็น

“ก็ดีครับ” ชลน่านตอบอย่างระมัดระวัง วันนี้แม่มาแปลกที่ถามถึงนัดของเขากับแพรพรรณราย ทั้งที่ปรกติแม่เขาออกจะ...เอ่อ รังเกียจแพรพรรณรายจะตายไป

เขาไม่ได้เป็นลูกพยศที่ชอบต่อต้านพ่อแม่ถึงได้คบหาแพรพรรณรายทั้งที่พวกท่านไม่ชอบ แต่เขาคิดว่าชีวิตรักเป็นเรื่องส่วนตัวของเขามากกว่าของพวกท่าน มันเป็นความสุขของเขา เขาสามารถแยกแยะได้ว่าจะคบผู้หญิงคนไหนจริงจัง จะคบผู้หญิงคนไหนแบบเป็นเพื่อนรู้ใจ หรือจะคบผู้หญิงคนไหนเพื่อความสุขทางกาย ซึ่งเขาวางแพรพรรณรายเป็นเพียงเพื่อนที่ให้ความสุขทางกาย ที่เมื่อถึงเวลาสมควรจะต้องแยกจากกัน ด้วยรู้ว่าไม่มีทางที่บิดาและมารดาจะยอมรับแพรพรรณรายเป็นแน่

“น่านจำอี๊อัญได้หรือเปล่า”

“เอ่อ ก็คุ้นๆ หน้าน่ะครับ”

“อี๊อัญที่แต่ก่อนเป็นแม่บ้าน แต่ตอนนี้เปิดบริษัทแม่สื่อยังไงล่ะ”

“อ้อ พอจะนึกออกแล้วครับ” ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างไรชอบกล

“มานี่สิน่าน มานั่งตรงนี้” อรุณีกวักมือเรียก

“เอ้อ...ครับ” ชลน่านอึกอักแต่ก็ตอบตกลง ตอนแรกเขาว่าจะแค่ทักทายแล้วเผ่นขึ้นห้อง เนื่องจากมักจะเกร็งเมื่อต้องคุยกับแม่และบรรดาเพื่อนๆ ของเธอ ไม่ใช่ว่าเขาเข้าหาผู้ใหญ่ไม่เก่งนะ เพียงแต่ว่าเขาไม่ชอบเอาตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่...โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนๆ ของแม่...ถ้าไม่จำเป็นเท่านั้น

“ช่วยม๊าทำนี่หน่อยสิจ๊ะ” อรุณียื่นซองแบบสอบถามให้ลูกชาย อัญชุลีเฝ้ามองปฎิกิริยาทั้งจากฝ่ายแม่และฝ่ายลูกอย่างเงียบๆ

“อะไรครับเนี่ย” ชายหนุ่มเปิดซองกระดาษและดึงเอกสารออกมาอ่านดู มันเป็นกระดาษปึกใหญ่ที่จ่าหัวกระดาษเป็นชื่อบริษัทวีแมตช์เลิฟ...บริษัทจัดหารัก ต่ำลงไปเป็นคำถามต่างๆ ที่เป็นคำถามส่วนตัวเป็นอย่างยิ่ง

“ก็...ม๊าอยากจะใช้บริการของอี๊อัญน่ะจ้ะ”

“ม๊าหมายความว่ายังไงครับ” เขาถาม ทั้งที่พอจะสำเหนียกถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นได้

“ก็หมายความว่าแบบสอบถามชุดนี้เป็นของน่านน่ะสิจ๊ะ”

“เอ่อ ม๊าครับ น่านมีแพรอยู่แล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องใช้บริการอี๊อัญก็ได้มั้งครับ” และถึงจะไม่มีแพรพรรณราย เขาก็คิดว่าจะหาผู้หญิงอื่นมาแทนได้ไม่ยาก เขาไม่จำเป็นต้องใช้บริการหาคู่สักนิด เว้นแต่ว่า...

ระหว่างนั้นอัญชุลีที่เริ่มเล็งเห็นว่าเหตุการณ์เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัวมากขึ้นก็ฉวยโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก เธอแกล้งทำทีเป็นว่าจะออกไปโทรศัพท์ เพื่อเปิดโอกาสให้สองแม่ลูกได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่

“ก็เพราะน่านมีแม่แพรพรรณพิลาปนี่แหละ แม่ถึงได้ต้องให้น่านใช้บริการแม่สื่อ” อรุณีทำเสียงแข็งน้อยๆ

“โธ่ม๊า” เขาลากเสียงโอดครวญ

“ไม่ต้องมาโธ่ม๊าเลย น่านก็รู้ว่าม๊ากับเตี่ยไม่ชอบแม่คนนี้ แต่น่านก็ยังดันทุรังจะคบหา ม๊ากับเตี่ยก็หยวนๆ ไม่ว่าอะไร แต่พักนี้น่านมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับแม่นี่เยอะเหลือเกิน แถมทำท่าจะเป็นข่าวดีอีกด้วย” เธอค้อนลูกชาย ยังคงเคืองขุ่นกับข่าวซุบซิบไม่หาย

“มันเป็นแค่ข่าวลือครับม๊า ไม่มีอะไรในกอไผ่”

“แต่ช่วงนี้ลือหนาหูจังนะ มีข่าวทุ้กวันเลย เมื่อวานก็พาดหัวตัวหนาเบ้อเร่อ” น้ำเสียงประชดประชัน

“มันเป็นข่าวลือจริงๆ ครับม๊า น่านไม่ได้คิดจะจริงจังกับแพรถึงขั้นแต่งงานหรอกครับ” มันอาจฟังดูโหดร้าย แต่เขารักครอบครัวของเขามากกว่าแพรพรรณราย และเธอกับเขาก็คบหากันด้วยเงื่อนไขที่เข้าใจกันมาตั้งแต่แรก คืออย่ามุ่งหวังในอนาคต และเขาก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นการให้ความหวังเธอด้วย นอกจากทำวันนี้ระหว่างพวกเขาให้ดีที่สุด

“งั้นน่านก็คงจะไม่ขัดข้องอะไรถ้าม๊าจะหาผู้หญิงดีๆ ให้น่าน” อรุณีกอดอก เธอเชิดหน้าน้อยๆ และมองลูกชายด้วยสายตาขึงขัง

“ม๊า น่านไม่สนใจการจับคู่แบบนี้จริงๆ” เขาชอบเลือกอะไรด้วยตัวเองมากกว่า

“การใช้บริการแม่สื่อไม่จำเป็นจะต้องจบลงด้วยการแต่งงานสักหน่อย” เธอไม่ยอมแพ้ พยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมแม่น้ำที่ชื่อน่านให้มารวมเป็นสายเดียวกับเธอให้ได้

“ถ้าพบกันคุยกันแล้วไม่ถูกใจ ก็คบกันเป็นเพื่อนเฉยๆ ก็ได้ ไม่มีใครบังคับน่านให้คบกับผู้หญิงคนไหนได้หรอก” แต่ถ้าชลน่านตกหลุมหลงรักผู้หญิงบางคนจากบริษัทจัดหารัก นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เธอไม่คาดหวังอะไรมากนอกจากจะแยกชลน่านและแพรพรรณรายออกจากกัน และถ้าจะให้ดี...ควรจะแยกออกจากกันโดยเร็วที่สุด

ชลน่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดยุ่ง จนหน้าผากย่นเป็นรอยหยักน้อยๆ เขากำลังครุ่นคิดถึงผลดีผลเสีย แต่อรุณีไม่ได้ปล่อยให้เขาคิดนานเลย

“ตกลงนะจ๊ะน่าน ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย” เธอหยุดไปนิดก่อนจะถาม “ที่น่านปฏิเสธ คงไม่ได้เป็นเพราะน่านกลัวว่าจะตกหลุมรักใครจากการจับคู่หรอกนะ”

“เปล่าครับม๊า” เขาไม่ได้กลัว แต่เขาแค่...กระอักกระอ่วนใจ...คนอย่างเขาเนี่ยนะ ต้องพึ่งบริการแม่สื่อ รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น เผลอๆ อาจมีพาดหัวข่าวกอสสิปว่า ‘ชลน่านหมดปัญหาหาผู้หญิงเคียงกาย ต้องแล่นไปใช้บริการแม่สื่อจับคู่ชื่อดัง’

“งั้นก็แสดงว่าน่านตกลงแล้วนะ” เธอจับปากกาพิมพ์ชื่อบริษัทจัดหารักที่ถือไว้ในมือเมื่อก่อนหน้ายัดใส่มือลูกชาย

“ก็...ก็ได้ครับ” สุดท้าย ชลน่านก็รับปากพร้อมกับระบายลมหายใจดังเฮือกด้วยความจำยอม

“งั้นก็รีบทำซะสิ เดี๋ยวจะได้ให้อี๊อัญเอากลับไปเลย”

“ว่าแต่...ทำแบบสอบถามนี้แล้วจะช่วยเรื่องจับคู่ได้จริงๆ หรือครับ”

“ได้สิ เดี๋ยวพอน่านกรอกข้อมูลเสร็จ อี๊อัญก็จะเอาข้อมูลของน่านบันทึกลงคอมพิวเตอร์ แล้วก็ใช้โปรแกรมวีแมตช์เลิฟช่วยจับคู่ผู้หญิงที่มีหน้าตา นิสัย ทัศนคติ การใช้ชีวิตประจำวันหรืองานอดิเรกที่ตรงกับน่าน แล้วจากนั้นอี๊อัญก็จะนัดน่านกับผู้หญิงคนนั้นออกมากินข้าวด้วยกัน มาคุยกัน ถ้าเกิดถูกใจ อยากพบกันอีกก็จะมีครั้งต่อไป...และต่อไป จนกระทั่งต่างฝ่ายต่างอยากเลื่อนขั้นความสัมพันธ์มากกว่านี้ ก็เป็นสิทธิ์ร่วมกันของทั้งสอง” เธอบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับบริการของวีแมตช์เลิฟอย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเจ้าหน้าที่เสียเอง

ชลน่านพยักหน้าเบาๆ สายตาเลื่อนอ่านคำถามในทุกๆ หน้าของแบบสอบถามแบบผ่านๆ

“งั้นเดี๋ยวน่านเอาขึ้นไปทำบนห้องนะครับ” เขาบอก

“อย่าเลย นั่งทำตรงนี้นี่แหละ มีอะไรสงสัยจะได้ถามอี๊อัญได้” เธอพยักพเยิดไปข้างหน้า อัญชุลีเดินกลับเข้ามาในห้องรับแขกพอดีราวกับนกรู้

ชายหนุ่มปลงในใจ ก่อนจะตอบ “ก็ได้ครับ”

เขาตัดขาดตัวเองจากโลกภายนอก ปล่อยน้ำหนักของร่างให้จมลงในฟูกโซฟา สายตาอ่านตัวอักษรไล่ไปทีละบรรทัด ส่วนมือก็ขยับตามไป
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ชลน่านรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง แม้ว่ามารดาและอัญชุลีจะคุยเรื่องจุกจิกตามประสาผู้หญิง ทว่าเขารู้สึกได้ถึงรังสีแห่งความอยากรู้อยากเห็นแผ่ซ่านออกมาล้อมรอบเขา เขาทำเป็นนั่งทำแบบสอบถามอย่างนิ่งเฉย ไม่สนใจสภาพแวดล้อมรอบๆ ทั้งที่กำลังนึกเข่นเขี้ยวขุ่นข้องใจ

บ้าชะมัด ทำไมเขาต้องมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้ด้วยนะ

ม๊านะม๊า น่านบอกว่าไม่ได้คิดจะจริงจังกับแพร ม๊าก็ไม่เชื่อ

เขาทำไปบ่นไป ความจริงเขาอยากจะเขวี้ยงปากกาและฉีกแบบสอบถามทิ้ง แต่ก็ทำไม่ได้ เขาเพิ่งจะผ่านคำถามส่วนที่เป็นข้อมูลเบื้องต้นประเภท ชื่อนามสกุล ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ ตอนแรกเขากะว่าจะใส่เบอร์มั่วๆ ลงไป ทว่ารู้ดีว่าไม่นานก็ต้องถูกจับได้ ดังนั้นจึงจำใจต้องเขียนข้อมูลตามความจริง

ทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ นี่ได้...หัวสมองของเขาไม่เคยหยุดนิ่ง...อย่าบอกนะว่าเขาจะต้องกลายเป็นเหยื่อของการจับคู่จริงๆ...ถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมคน แต่กับบิดามารดาผู้เป็นที่รักของเขาแล้ว เขามักอ่อนข้อให้พวกท่านเสมอ

เฮ้อๆ รู้ไปถึงไหน อายไปถึงนั่น คนอย่างชลน่านจะต้องมาพึ่งแบบสอบถามเพื่อการหาแฟน ไอ้เพียวรู้เข้าจะต้องหัวเราะเขาแน่ๆ...เขานึกไปถึงพิชัยยุทธ ญาติผู้พี่ ที่อายุห่างจากเขาปีเดียว ทว่าสนิทสนมราวกับเป็นคนรุ่นเดียวกัน

แล้วนี่ถ้าแพรรู้จะว่าอย่างไร คงมีหวังบ่นเขาไปสามบ้านแปดบ้านแน่ๆ...เอ้อ อาจจะไม่บ่น แต่คงจะกรีดเสียงวีนปรี๊ดๆ ใส่เขาแหงๆ

แพรพรรณรายเป็นนางเอกละครที่นิสัยไม่เป็นนางเอกเอาซะเลย ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงสีสันเล็กๆ น้อยๆ ของเธอที่ถูกนักข่าวป้ายระบายอย่างไม่ยุติธรรม แต่พอได้มีโอกาสคบควงแพรพรรณรายจริงๆ เขาก็พบว่าเจ้าหล่อนเป็นอย่างที่คอลัมน์ข่าวปะหัวไว้ไม่มีผิด ช่วงเดือนแรกๆ ที่คบหากัน เธอยังไม่เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงหรอก เธอเพิ่งจะมาแพลมมันเมื่อราวเดือนก่อนนี้เอง มันทำให้เขาเริ่มเบื่อเธอ เขาไม่ชอบผู้หญิงขี้วีน เอาแต่ใจ เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เพราะเขาเองก็เอาแต่ใจพอแล้ว ไม่ต้องการคบผู้หญิงเอาแต่ใจเหมือนเขา และทำให้เขาร้อนเป็นไฟ นี่ไม่รู้ว่าเขานึกยังไงถึงได้สนใจเข้าไปจีบแพรพรรณราย สงสัยคงเพราะมึนเสน่ห์หน้าตาหวานๆ ดวงตาโตๆ เหมือนตุ๊กตาของเจ้าหล่อนกระมัง แต่ตอนนี้ตุ๊กตาที่ว่าดูจะไม่น่ารักเอาเสียแล้ว

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสดีที่เขาจะสลัดแพรพรรณรายทิ้ง บอกเธอว่าแม่จะให้เขาจับคู่ดูตัว และพวกเขาจำเป็นต้องเลิกร้างกัน

อืม เจ้าหล่อนจะยอมปล่อยมือจากเขาง่ายๆ ไหมนะ...ชลน่านคงจะส่ายศีรษะถ้านั่งอยู่เพียงลำพัง

ไม่ยอมยังไงก็ต้องยอม เพราะใจของเขาเริ่มจะหลุดคลายจากเธอแล้ว ในเมื่อเธอผูกใจเขาไว้กับตัวเองไม่ได้ เธอก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบความผิดพลาดนั้น

ถ้าจัดการแพรพรรณรายได้แล้ว จะจัดการบริษัทจัดหารักนี้อย่างไรดี...ชายหนุ่มขยับมือไปเรื่อยๆ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรบางอย่างระหว่างการอ่านหัวข้อ ‘ลักษณะนิสัยและอุดมคติ’

ถ้า...ถ้าแกล้งทำเป็นกรอกไม่ตรงกับความจริง กรอกข้อมูลทุกอย่างแบบกลับตาลปัตรล่ะ

เพราะมันเป็นการจับคู่ผ่านแบบสอบถาม เสาะหาคนสองคนที่มีแนวโน้มว่าจะเข้าขาถูกคอกันได้นี่นา

แต่มันจะได้ผลไหมนะ...เขาถามตัวเองก่อนจะตัดสินใจ

ได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างมัน ลองดูไปก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา

ชลน่านเริ่มนึกข้อมูลใหม่ของเขา ในใจหัวเราะร่า

โอ รับรองเลยว่าสิ่งละอันพันละน้อยที่เขากรอกลงไปจะต้องไม่ใช่สิ่งที่หากันได้ดาษดื่นแน่ๆ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ดนัยภัทรก็เดินออกไปเป็นคนแรก ณัฐทินีกำลังจะเดินตามน้องชายไป ทว่าสรียาเรียกเธอไว้

“เดี๋ยวจ้ะยายณัฐ คืนนี้หนูเอาแบบสอบถามนี่ไปกรอก แล้วเอามาคืนแม่พรุ่งนี้นะ” สรียายื่นซองเอกสารให้

ลูกสาวรับมาอย่างงงงวย “แบบสอบถามอะไรคะ”

“วีแมตช์เลิฟ...บริษัทจัดหารักยังไงล่ะจ๊ะ อย่าบอกนะว่าณัฐลืมไปแล้วว่าตกลงอะไรกับแม่ไว้”

โอ๊ยตาย บริษัทแม่สื่อนั่นน่ะเอง...ณัฐทินีแทบลืมไปแล้ว...เอ่อ ไม่หรอก เธอไม่ได้ลืม แต่เธอไม่อยากเก็บมาใส่ใจมากกว่า

“ณัฐห้ามเบี้ยวแม่นะ แม่อุตส่าห์ฝากฝังณัฐกับป้าอัญเสียตั้งเยอะ”

หูยยยย แม่เอาเธอไปฝากฝังยังไงบ้างเนี่ย

“นี่จ้ะ” สรียายัดเยียดซองแบบสอบถามใส่มือแข็งเกร็งของลูกสาว “ทำเสร็จแล้วค่อยเอามาให้แม่พรุ่งนี้เช้า เพราะแม่นัดป้าอัญไว้ตอนบ่าย”

โหหหห ส่งแบบสอบถามพรุ่งนี้แล้วจะเอาให้ป้าอัญในตอนบ่ายเลยเรอะ ไม่เร่งไปหน่อยหรือคะแม่ ณัฐจะตั้งตัวไม่ติดอยู่แล้วนะ

“อย่านะณัฐ หนูไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย บอกตามตรงว่าแม่กลัวหนูเบี้ยวที่สุด” ผู้เป็นแม่ขยับนิ้วใส่หน้าลูกสาวน้อยๆ “ดังนั้นห้ามมีการหมักดองแบบสอบถามเด็ดขาด หวังว่าหนูคงจะไม่ทำให้แม่ต้องนัดป้าอัญเก้อหรอกนะ”

ณัฐทินีแอบกรอกตาขึ้นบนเพดาน ก่อนจะยิ้มแห้งๆ และขานรับ “โอเคค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะ คืนนี้ณัฐจะทำแบบสอบถามให้”

สรียาจึงค่อยยิ้มออกมาได้ “ดีมากจ้ะ” ก่อนจะปลอบ “ณัฐอย่าคิดว่าเป็นการหาคู่อย่างเดียวนะจ๊ะ คิดว่ามันเป็นการหาเพื่อนด้วย ไม่แน่ว่าณัฐอาจได้เพื่อนนิสัยดี น่าคบหาเพิ่ม”

โถ แล้วณัฐทินีผู้ถูกปิดหนทางในการปฎิเสธจะตอบอะไรได้นอกจากคำว่า

“ค่ะ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

คนถูกมัดมือชกทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ฟูกเบาะยวบลงไปตามน้ำหนักตัวของเธอ ก่อนจะฟูขึ้นมาเล็กน้อยเนื่องจากสปริงเตียงนุ่มมากๆ ณัฐทินีติดนอนที่นอนนุ่มมากกว่าที่นอนแข็ง ที่หลายคนบอกว่าไม่ทำให้ปวดหลัง เธอรักเตียงนอนของเธอเป็นที่สุด เธออุตส่าห์ไปเลือกลองตั้งหลายยี่ห้อ ก่อนจะเลือกซื้อเตียงปัจจุบันหลังนี้ที่เธอใช้อยู่

“แบบสอบถามบ้าอะไรเนี่ย” เธอแกะซองและดึงกระดาษคำถามออกมาอ่าน

“โหๆ ซักละเอียดยิบเลยแฮะ” เธอพลิกอ่านมันไปสองสามหน้า อ่านหัวข้อใหญ่ ตามมาด้วยหัวข้อยิบย่อยที่มีอีกเพียบ

“เอาวะ ทำให้เสร็จๆ ไป กะอีแค่แบบสอบถาม คงไม่สามารถทำให้เธอเลือกผู้ชายที่เธอชอบได้จริงๆ หรอกน่า” เธอปรามาส ไม่อยากเชื่อระบบการจับคู่แบบนี้สักเท่าไหร่

“แหม มีปากกามาให้พร้อมเสียด้วย กลัวว่าจะไม่ได้ทำหรือไง” ณัฐทินีประชดขณะหยิบปากกาสีแดงพิมพ์ชื่อบริษัทจัดหารักสีชมพู ที่แนบคู่กับแบบสอบถามมาพิศมอง เธอกดปุ่มที่ก้นปากกา ดันหัวน้ำหมึกให้โผล่พ้นด้าม และลงมือกรอกข้อมูลส่วนตัว

“น้ำหนักกับส่วนสูงเกี่ยวข้องกับการหาคู่ด้วยเรอะ” ปากบ่นไป แต่มือก็ขยับกรอกข้อมูลตามจริงไป

เธอเร่งมือเนื่องจากอยากโยนแบบสอบถามที่ตอกย้ำถึงการจับคู่ทิ้งแต่โดยเร็ว เธอใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงในการกรอกแบบสอบถามสามส่วนแรก จนมาถึงหัวข้อท้ายๆ

“ผู้ชาย/ผู้หญิงในอุดมคติ” เธอทวนหัวข้อเบาๆ แล้วสมองชั่วร้ายของเธอก็จุดประกายความคิดวาบไหว

เอ...การจับคู่ของวีแมตช์เลิฟใช้แบบสอบถามเป็นข้อมูลหลักนี่นา ถ้าเธอบิดเบือนข้อมูลบางอย่างของตัวเองให้ผิดเพี้ยนไป เธอก็จะสามารถบังคับผลของการจับคู่ได้...อย่างนั้นใช่ไหม

แม้จะไม่แน่ใจกับผลลัพธ์ของมัน แต่ณัฐทินีรู้สึกมีความหวัง เธอไม่รอช้า รีบลงมือเขียนข้อมูลตามที่ตัวเองตั้งใจในทันที

ข้อมูลส่วน ‘ผู้ชาย/ผู้หญิงในอุดมคติ’ ถูกเธอเติมเสียเลิศเลอ ชนิดที่ว่าคงจะไม่ได้หาเจอได้ง่ายๆ

ใช่ เธอคิดว่าคงจะหาไม่ได้ง่ายๆ

ผู้ชายในอุดมคติของ ‘เธอ’ เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่า หุ่นดี ไม่ลงพุง สูงร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นไป หัวไม่ล้าน ผิวขาว หล่อเข้ม มีรสนิยมในการแต่งตัว ร่ำรวย มีอาชีพการงานที่ดีและเข้ากับการงานของเธอ

ณัฐทินีอ่านทวนแล้วหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

แค่หาผู้ชายตัวสูง หุ่นดี หัวไม่ล้าน หน้าตาหล่อเหลาก็ว่ายากแล้ว ยังจะต้องเป็นหนุ่มน้อยที่มีรสนิยมชอบสาวแก่...เอ๊ย ไม่ใช่สิ...เธอยังไม่แก่ เธอแค่สามสิบ...ต้องบอกว่ามีรสนิยมชอบพี่สาว ซึ่งผู้ชายส่วนใหญ่มักชอบสาวเอ๊าะๆ มากกว่าอยู่แล้ว แถมยังต้องร่ำรวยเงินทองและมีหน้าที่การงานที่ดี คุณสมบัติเลิศเลอแบบนี้คงจะหาได้ง่ายๆ หรอก แล้วเธอยังอุตส่าห์เสริมว่าต้องการผู้ชายที่ชอบทำงานบ้าน และต้องยอมรับงานประจำและงานอดิเรกของเธอได้อีกด้วย

หึ และงานอดิเรกของเธอเป็นงานน่าสนใจมากกกก

เธอกระโดดผลุงลงจากเตียงไปหยิบน้ำยาลบคำผิดมา เนื่องจากมีอะไรให้เธอต้องแก้ไขอีกเยอะ เธอกลับมานอนคว่ำบนเตียงตามเดิม พลิกแบบสอบถามกลับไปหน้าเก่าที่เขียนเสร็จแล้ว และระบายสีขาวๆ ทับลงไปบนตัวอักษรสีน้ำเงิน

“งานอดิเรกคือกินกับนอน”

โอเค เธอยอมรับว่าเธอชอบทั้งการกินและการนอน แต่มันไม่ใช่งานอดิเรกของเธอ เธอชอบดูภาพยนตร์ไม่ก็ภาพยนตร์ชุดในวันว่าง แต่การดูหนังเป็นงานอดิเรกออกจะ ‘ดูดี’ เกินไปสักหน่อย ‘เธอ’ กำลังเป็นผู้หญิงขี้เกียจและไม่น่าดึงดูด

ณัฐทินีทยอยแก้ไขข้อมูลทีละนิดละหน่อย ก่อนตรวจทานดูอีกรอบว่าเขียนอะไรตกหล่นหรือไม่สัมพันธ์กันรึเปล่า เมื่อกรอกข้อมูลใหม่เสร็จและทบทวนสิ่งที่เขียนไว้ทั้งหมดอย่างละเอียดดี เธอก็เก็บแบบสอบถามใส่ซองน้ำตาล แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ที่สุดก็ปรากฎออกมา

ถ้าวีแมตช์เลิฟหาผู้ชายที่เข้ากับ ‘เธอ’ ได้ เธอจะยอมนัดบอดด้วยความเต็มใจเลยเอ้า

จบบทที่ 2
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่า

มาแปะต่อแล้วนะคะ เปิดตัวตัวละครใหม่เพียบเลย ไม่รู้จะถูกใจกันไหม ชอบชื่อสดับพิณกับชลน่านเป็นพิเศษเลย ชอบลักษณะของทั้งสองคนด้วย สำหรับตัวชลน่านนี่ เอาลักษณะมาจากน้องของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนจีนแท้ แต่ว่าหน้าดันเหมือนฝรั่ง ผิดแผกไปจากคนอื่นๆ ในบ้าน แต่น้องก็ยังคงเค้าหน้าพ่อแม่อยู่นะคะ เพียงแต่ว่าผิวกับผมนี่ เหมือนฝรั่งไปเลยล่ะค่ะ ชลน่านก็ประมาณนั้นเลย

มีใครเคยเรียนพาสชั้นเยอะๆ ไหมคะ มิถุนาเคยแต่สอบเทียบ สมัยมิถุนาเรียนหนังสือ ฮิตสอบเทียบกันมาก (บอกอายุเลยใช่ไหมเนี่ย เพราะเด็กสมัยนี้คงไม่ได้สอบเทียบกันแล้ว) เพราะจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเร็วๆ เคยเห็นบางคนพาสชั้นเร็วมาก ข้ามตั้งแต่มัธยมต้น จนเรียนอุดมศึกษาก็ยังไม่หยุดเร่งการเรียน มิถุนาเร่งแค่ช่วงม. ปลายล่ะค่ะ แอบเสียดายเวลาที่หายไปเหมือนกันนะคะ พิณก็รู้สึกคล้ายๆ กัน แต่พิณคงรู้สึกยิ่งกว่ามิถุนา เพราะถูกเร่งให้โตก่อนวัยมากๆ จนอาจทำให้เธอดูผิดแผกไปจากเพื่อนๆ คนอื่นที่เรียนปรกติ

อ่านถึงบทนี้แล้ว เพื่อนๆ อาจจะพอเดาอะไรได้บ้างอีกนิดหน่อยแล้วมั้งคะ ช่วงแรกๆ ของเรื่องค่อนข้างดำเนินไปรวดเร็วทีเดียว แต่ตอนหน้าจะเป็นยังไงนั้น รอติดตามต่อไปนะคะ เรื่องนี้มิถุนาแต่งสบายๆ ฮาๆ หวังว่าคนอ่านจะยิ้มไปด้วยได้ค่ะ

อ้อ เกือบลืมไปเลย ใกล้หมดเขตร่วมสนุกชิงหนังสือมุกมนตราแล้วนะคะ (รายละเอียดอยู่ในท้ายบทที่ 1) ใครอยากร่วมสนุกด้วย อย่าลืมส่งเมลมานะคะ

มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mtihuna.bloggang.com




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2552    
Last Update : 13 สิงหาคม 2552 21:52:11 น.
Counter : 795 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.