Group Blog
 
All blogs
 
ร้ายนัก (ไม่) รักเสียจะดีไหม ตอนพิเศษ

ร้ายนัก (ไม่) รักเสียจะดีไหม ตอนพิเศษ

มีผู้คนมากมายยืนออรออยู่ใกล้ๆ ทางเข้าออกของสนามบินดอนเมือง บ้างก็นั่งมองนาฬิกาด้วยความร้อนใจ บ้างก็มองจดจ่อไปยังประตูเลื่อนที่มีผู้โดยสารทยอยเดินออกมาเป็นระยะด้วยความตั้งใจ พวกเขากำลังรอคอยการกลับมาของใครบางคน

“ทำไมเครื่องดีเลย์ตั้งหนึ่งชั่วโมง” เสี่ยลักบ่น อดที่จะหัวเสียเล็กน้อยกับการเลื่อนเวลาลงจอดของเครื่องบินที่ลูกสาวคนเล็กโดยสารมาไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่สิริสราจะได้กลับบ้านหลังจากที่เธอบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกากว่าสองปี

“คงมีอะไรขัดข้องนิดหน่อยมั้งคะ” อุรสา ลูกสาวคนรองบอกอย่างใจเย็น

“ได้ยังไง ป๊าอุตส่าห์มานั่งถ่างตารอยัยยี่ตั้งนาน ไม่ไหวเลย สายการบินอะไรนะ มาก็สาย แถมยังลงจอดตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นอีกต่างหาก คอยดูนะ คราวหน้าคราวหลังป๊าจะไม่ยอมให้ลูกป๊าใช้บริการสายการบินนี้อีกแล้ว” เสี่ยลักโวยวายโบ้ยโทษของความล่าช้าให้เครื่องบินโดยสารของลูกสาว

“เฮ้ย! ไอ้ลัก ใจเย็นหน่อยก็ได้โว้ย ยังไงวันนี้หนูยี่ก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าลูกสาวจะหนีไปไหนหรอก” เสี่ยมกรเดินเข้ามาตบบ่าเพื่อนอย่างหยอกล้อ ตัวเขาเองก็มารอรับเหมันต์ ลูกชายคนเล็กซึ่งเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมสิริสราด้วยเช่นกัน

“นั่นสิครับป๊า เดี๋ยวยัยยี่ก็มาแล้ว” คิมหันต์ ลูกเขยของเสี่ยลักสนับสนุน

แต่ก่อนที่ผู้สูงวัยทั้งสองจะได้ถกเถียงอะไรไปมากกว่านี้ อุรสาก็ขัดจังหวะขึ้นมาก่อน

“ยี่กับเหมมาโน่นแล้วคะ!” เธอร้องออกมาด้วยความดีใจ

“จริงด้วย นั่นไง เจ้าเหมเข็นรถเดินตามหนูยี่ต้อยๆ อยู่นั่น” เสี่ยมกรพยักพเยิดชี้ชวนให้เพื่อนซี้มองตาม

สองหนุ่มสาวในชุดลำลองแสนสบายเหมาะกับการนั่งเครื่องบินนานๆ เดินโปรยยิ้มให้สมาชิกในครอบครัวมาลิบๆ

“ป๊าคะ ยี่กลับมาแล้วค่ะ คิดถึงป๊าที่สุดในโลกเลย” ลูกสาวคนเล็กก็กระโดดกอดผู้เป็นบิดาแน่นก่อนจะหอมแก้มที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลาอย่างคิดถึง

“สวัสดีครับป๊า” ผิดกับเหมันต์ที่พนมมือไหว้บิดาอย่างเรียบร้อย แม้จะเป็นการกระทำที่ดูห่างเหิน ทว่าสีหน้าของสองพ่อลูกก็ต่างเต็มตื้นด้วยความยินดี

“ป๊าดีใจที่เหมกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ เหมไม่ได้ทำให้ป๊าผิดหวังเลย” ผู้เป็นพ่อโอบไหล่หนาของลูกชายอย่างภาคภูมิใจ

เมื่อทักทายบิดาเรียบร้อย เหมันต์ก็หันไปทำความเคารพไหว้ผู้อาวุโสอีกที่เหลือบ้าง “สวัสดีครับเจ็กลัก”

สิริสราก็เช่นกัน หญิงสาวยกมือไหว้เพื่อนสนิทและหุ้นส่วนใหญ่ของบิดาพร้อมทั้งเอ่ยทักท่านด้วยน้ำเสียงสดใส “สวัสดีค่ะเจ็กเล้ง”

“ไงหนูยี่ เรียนจบโทก็แล้ว กลับมาก็ถึงเมืองไทยแล้ว คิดจะตกลงปลงใจแต่งงานกับเจ้าเหมของเจ็กเมื่อไหร่” เสี่ยมกรแซวอย่างรื่นเริง เหมันต์และสิริสราคบกันมาสองปีแล้ว เขาอยากเห็นลูกชายตัวร้ายเป็นฝั่งเป็นฝาไปกับผู้หญิงดีๆ อย่างสิริสราเร็วๆ

คนถูกถามส่ายหน้าหวือและปฏิเสธทันควัน “โธ่! เจ็กเล้งขา ยี่เพิ่งอายุยี่สิบสี่เองนะคะ ความรู้ที่เรียนมาก็ยังไม่ได้เอาไปใช้ซักนิด แล้วอย่างงี้ยี่จะรีบแต่งงานไปทำไมล่ะคะ” เธองัดเหตุผลร้อยแปดมาอ้างซึ่งแปลความหมายได้ว่า ‘ไม่ เธอยังไม่อยากจะแต่งงานตอนนี้’

“ยี่ใจร้าย หลอกให้ผมคอยเก้อ” เมื่อเห็นคนรักทำท่าจะตัดรอน เหมันต์ก็รีบปรี่เข้าไปโอดครวญกับเธอเป็นการใหญ่

“หลอกอะไร ยี่ไม่ได้สัญญาอะไรกับเหมซะหน่อย ใครกันแน่ที่ขี้ตู่ไปเอง” หญิงสาวพูดพลางแกะมือตุ๊กแกของเขาออกด้วยความทุลักทุเล

“หน็อย ไอ้เหม ไอ้ลูกตัวแสบ หัดเกรงใจเจ๊กลักซะบ้างสิ จับมือถือแขนหนูยี่ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ไม่กลัวถูกไม้ตะพดตีหัวแบะรึไง” เสี่ยมกรปรามลูกชายด้วยสายตาดุๆ

เหมันต์หันไปมองว่าที่พ่อตาซึ่งส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมมาให้

เสี่ยลักไม่พูดว่าอะไร แต่สายตาของเขากลับจ้องมือของเหมันต์ที่กุมมือของสิริสราเขม็ง

คนวอนไม้ตะพดรีบปล่อยมือนุ่มที่เหลืออีกข้างราวกับว่ามันเป็นถ่านร้อนๆ รอยยิ้มเก้อผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า

เมื่อเป็นอิสระ สิริสราก็เลิกใส่ใจแฟนหนุ่มและตรงรี่เข้าไปบีบมือทักทายพี่สาวคนรองและพี่เขยด้วยความคิดถึง “เจ๊ยู้ เฮียคิม คิดถึงจังเลย”

“เจ๊ก็คิดถึงยี่เหมือนกัน ไปเรียนตั้งสองปีไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมเจ๊บ้างเลยนะ มัวแต่สวีทกับนายเหมจนลืมเจ๊หรือไง” อุรสาแซวยิ้มๆ

“เปล่าซักหน่อย ใครว่ายี่สวีทกับเหม คนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอย่างนั้น ไปให้ห่างๆ ยี่เลย” สิริสราว่าเหมันต์แก้เขิน เธอไม่ชอบให้ใครมาแซวเรื่องของเธอกับเหมันต์เพราะมันมักจะทำให้เธอหวนกลับไปคิดถึงตอนที่เธอและเขายังเป็นคู่กัดกันอยู่ หญิงสาวตะขวิดตะขวงใจที่กลืนน้ำลายตัวเอง ทั้งๆ ที่เคยพูดทำนองว่า ‘ต่อให้เหลือเหมันต์เป็นผู้ชายคนสุดท้ายในโลก เธอก็จะไม่เลือกเขาเป็นแฟน’ แต่ไปๆ มาๆ เธอกลับมาจับคู่กับเขาเสียได้

“ดูพูดจาเข้าสิ ไม่ถนอมน้ำใจเหมบ้างเลย ไม่น่ารักเลยนะเราเนี่ย” พี่สาวตำหนิ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของน้องสาวสักนิด

“ช่าย เจ๊ยู้พูดได้ถูกต้องที่ซู้ด” เหมันต์เอ่ยแทรกเสียงยาว ดีใจที่อย่างน้อยๆ ก็มีอุรสาคนนึงล่ะที่เข้าข้างเขา ไม่ใช่เอะอะอะไรก็เข้าข้างสิริสราฝ่ายเดียว

สิริสราส่งสายตาเอาเรื่องให้คนพูดก่อนจะหันไปท้วงพี่สาวว่า “ทำไมเจ๊ยู้ต้องเข้าข้างเหมด้วยล่ะ เข้าข้างกันอย่างนั้น เดี๋ยวตานั่นก็ได้ใจกันพอดี”

“แต่เจ๊ว่าคนที่จะได้ใจคงจะเป็นยี่ซะมากกว่าละมั้ง เจ๊เห็นนายเหมกลัวยี่หงอเลยนี่” เห็นกันอยู่โต้งๆ ว่าเมื่อกี้น้องสาวเธอทำตาถลนใส่เหมันต์ยังไงบ้าง

“ยู้จ๋า หนังเหนียวอย่างนายเหม โดนแค่นี้ไม่กระเทือนหรอก…ยี่ เฮียอนุญาตให้จัดการนายเหมได้ตามสบายเลย” ประโยคหลังหันไปสนับสนุนน้องสะใภ้

“ทำเป็นพูดดีไปเถอะยัยยี่ แล้วจะเสียใจถ้าวันไหนเหมไม่เหลียวแล” อุรสาพูดขู่สิริสราก่อนจะหันไปถามสามีด้วยน้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า “ส่วนคุณนะคุณคิม ไม่ต้องไปยุยงให้ท้ายยัยยี่เลย แค่นี้ยัยยี่ก็ร้ายจะแย่แล้ว ไม่สงสารนายเหมก็อย่าให้ถึงตาคุณบ้างก็แล้วกัน เอ๊ะ! หรือว่ายู้จะกลับไปเกเรเหมือนเมื่อก่อนดี เอาให้คุณปวดหัวเล่นๆ ดีไหม”

“โธ่ๆๆๆ ยู้จ๋า ผมไม่พูดอะไรแล้วก็ได้ ขอเพียงอย่างเดียว คุณอย่ากลับไปทำตัวเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ ผมชอบที่คุณเป็นแบบนี้มากกว่า น่ารักกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ” คิมหันต์พูดอย่างกลัวๆ เขาไม่ต้องการให้ภรรยาสุดที่รักกลับไปทำตัวเกเรเหมือนสมัยก่อนเพราะกว่าจะปราบพยศเธอได้ เขาก็แทบหืดขึ้นคอ

“ขอบคุณคร้าบเจ๊ยู้ ถ้าเจ๊ยู้ไม่เข้าข้างผม สงสัยคงจะไม่มีใครเข้าข้างผมแหงๆ” เหมันต์สนับสนุนด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เขาก็รีบหุบหน้าบานๆ ราวกับดอกทานตะวันกะทันหันเมื่อเห็นคนแสนงอนตวัดสายตาจ้องเขาตาเขียวปั้ด

หน้าหงิกงอของแฟนสาวทำให้เหมันต์ใจฝ่อ เขาค่อยๆ กระดึ้บไปเกาะที่พึ่งพิงสุดท้ายอย่างออดอ้อน “ดูสิฮะเจ๊ยู้ น้องสาวของเจ๊ดุขนาดนี้ ผมยังรัก ฉะนั้น ถ้ายี่ไม่รักผมแล้วยี่จะไปรักแมวที่ไหน จริงไหมครับ” ชายหนุ่มหันไปหยอดดวงตาหวานฉ่ำให้แฟนสาว

“ฮึ! ไม่รักก็อย่ามารักสิ คิดว่ายี่สนเหรอ ไว้ยี่จะควงหนุ่มคนใหม่มาเย้ย เอาให้หล่อกว่า ดีกว่า น่ารักกว่าเหมด้วย แล้วอีกอย่างนะ ยี่ว่ายี่รักแมวดีกว่ารักเหม แมวน่ะน่ารัก นิสัยดี ตัวเบา กินน้อย ไม่เหมือนใครบางคน น่าเกลียด นิสัยเสีย ตัวหนัก แถมยังกินจุอีกต่างหาก” พูดจบสิริสราก็สะบัดหน้าพรืดและลากแขนพี่สาวเดินฉับๆ ไปยังรถของพี่เขยที่จอดอยู่ใกล้ๆ ทันที

เมื่อสองสาวเดินพ้นรัศมีแห่งการได้ยิน คิมหันต์ก็หันไปกระซิบกระซาบกับน้องชายว่า “นายเหมเอ๊ย เฮียว่างานนี้เหมคงจะลำบากซะแล้วล่ะ รักใครไม่รัก ดันมารักแม่เสือสาวตัวร้าย”

“เฮียว่าผมลำบาก แต่ตอนนั้นเฮียลำบากเรื่องของเจ๊ยู้ขนาดไหน เฮียยังไม่ยอมแพ้ ผมก็รักยี่เท่ากับที่เฮียรักเจ๊ยู้นั่นแหละ แล้วอย่างงั้นผมจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้ยังไง” ดวงตาของเหมันต์เป็นประกายด้วยปณิธานอันแรงกล้า

คำพูดของน้องชายโดนใจเขาเข้าอย่างจัง มันทำให้คิมหันต์คิดถึงวันคืนเก่าๆ ที่เขามีให้อุรสา คงเป็นเพราะความรักด้วยกระมังที่ทำให้เขาไม่ถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ ก็อย่างว่าล่ะนะ อานุภาพแห่งรักมันรุนแรงจะตายไป เขารู้ดีเพราะเขาได้สัมผัสกับมันมาแล้ว

“ไม่รู้ล่ะ ผมสัญญากับตัวเองตั้งแต่อยู่ที่ซานดิเอโก้แล้วว่ากลับมาผมจะต้องจับยี่แต่งงานให้ได้” เหมันต์มองตามแผ่นหลังของหญิงสาวคนรักไปก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ และบ่นเปรยออกมาว่า “ยี่นะยี่ สนุกนักรึไงที่ได้ทรมานผม ไม่รู้หรือว่าผมกำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อแล้ว”
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

ซอฟท์ คลอธ ไทยแลนด์มีโอกาสได้ต้อนรับพนักงานเก่าอย่างเหมันต์และสิริสราอีกครั้ง เหมันต์กลับเข้าดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขายตามเดิม ในขณะที่สิริสราต้องมารับหน้าที่ผู้ช่วยของเหมันต์แทนที่จะได้ทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดาเหมือนเช่นเมื่อก่อน

“ทำไมยี่จะต้องเป็นผู้ช่วยของเหมด้วยนะ” สิริสราถามเจ้านายคนใหม่ด้วยความสงสัย

“ยี่โตแล้วนะ จบก็ตั้งปริญญาโทแล้วด้วย ยี่ควรจะมาช่วยผมแบ่งเบาภาระแทนที่จะไปนั่งทำงานต๊อกต๋อยแบบเด็กๆ อย่างเดิมมากกว่า...หรือว่าไม่จริง” คำพูดของเหมันต์ฟังดูดีและเหตุผล แต่ความหมายแฝงของมันคือ ‘เขาอยากให้เธอมาทำงานเคียงข้างเขาต่อไปในอนาคต’

หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงเนิบๆ ของเขาทำให้เธอรู้สึกสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ “อืม...เหรอ มันก็จริงอย่างที่เหมว่านะ...แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรแอบแฝง” สิริสราย้ำถามประโยคหลัง ไม่ค่อยอยากจะไว้ใจคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าสักนิด

ดวงตาวาววับเหมือนพร้อมจะเอาเรื่องทุกเมื่อของหญิงสาวทำให้เหมันต์ขนลุกซู่ เขารีบส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “เปล่านะ ยี่คิดว่ามีอะไรแอบแฝงเหรอ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ” เขาตีหน้าซื่อสุดฤทธิ์

เมื่อเห็นท่าทางไม่รู้อะไรของแฟนหนุ่ม หญิงสาวก็เลิกซักไซ้แต่ยังไม่วายขู่สำทับว่า “ไม่มีอะไรก็แล้วไป แต่อย่าให้ยี่จับได้นะว่าเหมแกล้งตุกติกอะไร ถ้ายี่จับได้ล่ะก็ ฮึ่ม! โกรธร้อยปีอย่ามาดีร้อยชาติเลย” ข่มขู่เสร็จสิริสราก็เดินกลับไปทำงานต่ออย่างสบายใจ

ลับหลังหญิงสาว เหมันต์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

เฮ้อ...ขืนบอกกันตรงๆ คนที่จะตายเห็นทีจะไม่พ้นเขาแหงๆ

ความจริงเสี่ยลักอยากให้ลูกสาวทำงานในระดับล่างสักพักแล้วค่อยไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้ช่วยของเหมันต์มากกว่า แต่เขากลับขอร้องว่าที่พ่อตาให้ส่งสิริสรามาทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของเขาแทน เพราะว่าตำแหน่งนี้จะช่วยเอื้ออำนวยให้เขาได้ใกล้ชิดกับเธอมากกว่าตำแหน่งพนักงานธรรมดา และเขาจะใช้โอกาสงามๆ นี่แหละ ขอเธอแต่งงาน
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

สิริสรารู้ว่าเหมันต์กำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เธอพอจะเดามันได้จากที่ระยะหลังๆ มานี้เขาชอบพูดประโยคกินนัยกับเธอ แล้วไหนยังจะแววตาที่แฝงไปด้วยความหมายของเขาอีกล่ะ มันทำให้เธอคิดได้อย่างเดียวว่าเขากำลังจะขอเธอแต่งงาน!

แต่งงาน

ให้ตายสิ! แค่คิดก็แย่แล้ว

หญิงสาวบ่น ไม่ใช่ว่าเธอต้องการจะต่อต้านหรือไม่อยากจะแต่งงานกับเขา แต่สิ่งที่ทำให้ใจของเธอเป็นกังวลคือตัวของเหมันต์เอง

ที่ผ่านมาแม้ว่าเหมันต์จะรักและแคร์เธอมากมายขนาดไหน สิริสราก็ยังอดที่ระแวงไม่ได้ เธอไม่แน่ใจว่าลายเสือของเหมันต์จะโผล่ขึ้นมาอีกไหม หรือว่าถ้าเธอและเขาแต่งงานกันไปแล้ว เขาจะยังรักเธออย่างเสมอต้นเสมอปลายหรือเปล่า เพราะก่อนหน้าที่จะคบกัน เหมันต์ก็เป็นคนที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยสักเท่าไหร่

สรุปคือเธอกลัวว่าจะไม่ได้เป็นคนสุดท้ายในชีวิตของเขานั่นเอง!

สิริสรายังงงงวยไม่หายว่าเขามาหลงรักเธอได้ยังไง ในเมื่อแรกพบ ทั้งเธอและเขาต่างก็ศรศิลป์ไม่กินกัน แถมยังคอยงัดข้อหาเรื่องเอาชนะคะคานกันมาโดยตลอด เท่านั้นไม่พอ เธอสงสัยตัวเองด้วยซ้ำว่ารักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตั้งแต่วันที่เขาไปตามหาเธอที่อเมริกาเพื่อบอกความในใจของเขา เขาก็ไม่เคยบอกว่ารักเธออีกเลย ส่วนเธอก็ไม่ได้บอกรักเขาหลังจากนั้นเช่นกัน

นั่นสินะ เธอรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

แม้จะคิดจนหัวแทบระเบิด เธอกลับไม่พบคำตอบใดๆ ของคำถามนั้น

หรือว่าเราจะไม่ได้รักเขาจริงๆ

สมองของเธอเริ่มสับสน ว่าไปแล้ว เธอก็ไม่เคยหลงรักใครมาก่อน แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวว่าเวลาที่เขาอยู่ใกล้ๆ ใจของเธอก็มักจะเต้นแรงทุกครั้งไป

โอ๊ย! คิดแล้วปวดหัว ไม่คิดแล้วดีกว่า อีตาเหมบ้า! ชอบทำให้ยี่คิดหนักอยู่เรื่อย

สิริสราบ่นอุบในใจก่อนจะค้อนรูปถ่ายของเหมันต์ที่อยู่ในมืออย่างแสนงอน
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

ช่วงปลายปีอย่างนี้ ห้างสรรพสินค้าทั้งหลายในกรุงเทพฯ ต่างก็จัดรายการลดราคาประจำปีพร้อมกระหน่ำโปรโมชั่นพิเศษที่ทำให้ขาช้อปทั้งหลายตาโตกันไปเป็นแถบๆ ผู้คนมากมายเลือกที่จะมาเดินห้างเพื่อซื้อของขวัญให้คนที่ตัวเองรักหรือไม่ก็ซื้อรางวัลชีวิตให้ตัวเอง

สิริสราก็เช่นกัน พอเห็นป้ายโฆษณาลดราคาที่ไหน สาวนักช้อปอย่างเธอก็มักจะอดไม่ได้ต้องแวะเวียนเข้าไปดูทุกครั้ง วันนี้หญิงสาวตั้งใจมาเลือกชื้อของขวัญคริสต์มาสให้คนในครอบครัวและอาจจะมีของขวัญสำหรับคนรู้ใจพ่วงเข้าไปด้วยถ้าเหมันต์ไม่ออดอ้อนขอตามติดมาด้วยอีกคน

จะซื้อของขวัญให้กันทั้งที รู้ว่ามันเป็นอะไรก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ อย่างงี้ก็รอไปก่อนก็แล้วกันนะ อีตาเหมจอมตื้อ

เธอแอบย่นหน้า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาจะต้องคอยทำตัวเป็นเงาตามติดเธออยู่เรื่อย

“ยี่ คริสต์มาสปีนี้เราไปฉลองกันสองคนเหมือนเดิมนะ”

สองปีมาแล้วที่เขาและเธอมีคริสต์มาสร่วมกัน ดินเนอร์เล็กๆ สองต่อสองในซานดิเอโก้ มันเป็นงานคริสต์มาสเงียบๆ แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข

“อื้อ ก็เอาสิ แต่เหมต้องให้ยี่เป็นคนเลือกสถานที่นะ”

ทุกปีสิริสราจะเป็นคนเลือกสถานที่ดินเนอร์ ปีนี้ก็เช่นกัน แต่ปีนี้ที่กรุงเทพฯ แตกต่างไปจากเดิมตรงที่หญิงสาวเตรียมเรื่องเซอร์ไพรซ์พิเศษไว้ให้ชายหนุ่มด้วย
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

เนื่องจากวันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนของทั้งคู่ อาหารมื้อกลางวันจึงเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ กินข้าวเสร็จก็ถึงเวลาทำธุระสำคัญนั่นคือการเลือกซื้อของขวัญคริสต์มาส

สิริสราเขียนชื่อบุคคลที่เธอต้องซื้อของขวัญให้ใส่ไว้ในสมุดไดอารี่ หนึ่งในนั้นมีชื่อของเหมันต์รวมอยู่ด้วย

“ได้ของขวัญสำหรับเจ้าลมกับเจ้าฝนแล้ว” หญิงสาวใช้ปากกาขีดฆ่าชื่อ 'เจ้าลม' และ 'เจ้าฝน' ออกจากรายการ

'เจ้าลม' กับ 'เจ้าฝน' ที่สิริสราเอ่ยถึงคือหลานสาวของเธอหรือลูกสาวสองของคิมหันต์และอุรสานั่นเอง เด็กหญิงพระพายหรือสายลม หลานสาวคนโตวัยขวบกว่าของเธอที่ซนมหากาฬ และเด็กหญิงพิรุณหรือน้ำฝน หลานสาวคนล่าสุดที่ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงเดือน

“เหมไม่ซื้ออะไรบ้างเหรอ” เธอหันไปถามแฟนหนุ่มผู้ติดตามซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ไม่ล่ะยี่ ผมยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี เล็งไว้ก่อน พอใกล้ถึงวันคริสต์มาสเหมค่อยออกมาซื้อทีเดียว” เหมันต์ตอบในขณะที่วินโดว์ช้อปปิ้งไปเรื่อยเปื่อย

“ทีนี่ก็เหลือแต่ของ...” เสียงลากยาวของสิริสราเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองหน้าเธอลุ้นๆ

ของผมไง

เขาต่อให้ในใจ

เมื่อนึกไม่ออก (หรือแกล้งทำเป็นนึกไม่ออก) ว่าขาดอะไร สิริสราจึงก้มมองลิสรายการในมือก่อนจะร้องอ๋อเสียงดัง “อ๋อ ใช่แล้ว การ์ดอวยพรของเพื่อนยี่ไง ไปเหม เราไปแผนกกิฟต์ช้อปกันเถอะ” เธอว่าพลางลากมือใหญ่ตรงไปยังซุ้มบัตรอวยพรที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่ารอยยิ้มกว้างขวางเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มบูดบึ้งราวกับดอกไม้เหี่ยวแห้งเป็นที่เรียบร้อย
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

“อุ๊ย! เสื้อตัวนั้นสวยจัง” สิริสราอุทาน ‘เสื้อตัวนั้น’ เป็นเสื้อเชิ้ตผ้าไหมอิตาลีสีดำไม่มีลาย มันดูเรียบหรูเงียบขรึมทว่าเด่นสะดุดตามาก

หญิงสาวจูงเหมันต์เดินไปดูเสื้อตัวสวยใกล้ๆ มือเล็กสัมผัสเนื้อผ้าเรียบลื่นเบาๆ “นิ่มด้วย” เธอหยิบมันออกมาจากราวแขวนและทาบเข้ากับร่างสูงของคนที่อยู่เคียงข้าง

“ยี่จะซื้อให้ผมเหรอ” มุมปากของเหมันต์โค้งขึ้นด้วยความยินดี

“เปล่าหรอก ยี่จะซื้อให้เฮียบีต่างหาก ลืมเขียนชื่อเฮียบีใส่ไว้ในลิส พอเห็นเสื้อตัวนี้ ถึงได้นึกออกว่าลืมเฮียบีไปซะสนิท” สิริสราว่าพลางพิศเสื้อที่ทาบอยู่บนร่างสูงอย่างชั่งใจ ไม่ใส่ใจหน้าหงิกง้ำของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย

“เหมว่าเหมาะกับเฮียบีไหม” เธอถาม

“ไม่เห็นจะเหมาะเลย ของอย่างนี้ต้องให้แอนนาซื้อให้ต่างหาก แอนนาคงเลือกได้ดีกว่ายี่เป็นร้อยเท่า” เหมันต์ตอบพาลๆ เขากำลังขวางเพราะสิริสราซื้อของขวัญให้ทุกคนยกเว้นเขาคนเดียว

จริงๆ แล้วมันเหมาะกับผมต่างหาก

เขาบอกเธอในใจ อารมณ์ขุ่นเคืองผสมน้อยใจแล่นพล่านไปทั่วร่าง

นี่เขาไม่ได้พูดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ เสื้อผ้าไหมตัวนี้เหมาะกับเขามากกว่าเฮียบีจริงๆ เฮียบีผิวคล้ำออกอย่างนั้น ใส่สีดำไปก็ไม่ขึ้นเท่ากับคนขาวๆ อย่างเขาหรอก

เฮียบีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหมันต์ซึ่งแต่งงานกับแอนนา เพื่อนสนิทของสิริสราเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทั้งสองพบรักกันเพราะจอมยุ่งอย่างเหมันต์และสิริสรานั่นเอง (หมายเหตุ: เฮียบีและแอนนาจากเรื่องหัวใจรักไม่พักร้อน)

“ไม่เอา แอนนาให้ก็ส่วนแอนนาให้สิ ไม่รู้ล่ะ ยี่ตัดสินใจแล้ว ยี่จะซื้อตัวนี้” สิริสรากวักมือเรียกพนักงานขายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “คุณคะ เอาตัวนี้ค่ะ ห่อของขวัญให้ด้วยนะคะ” เธอส่งเสื้อและเงินให้

สิริสราเหลือบมองคนข้างกายเป็นพักๆ เธอรู้ว่าเหมันต์กำลังงอนที่เธอลืมซื้อของขวัญคริสต์มาสให้เขา ความจริงแล้วเธอไม่ได้ลืมหรอก แต่เธอทำเป็นแกล้งลืมต่างหาก ด้วยเหตุนี้ หญิงสาวจึงเข้าใจที่มาของอารมณ์ขุ่นขวางของเขาได้เป็นอย่างดี เธอจึงทำเป็นไม่ใส่ใจกับหน้าบูดบึ้งของเขา

ตอนนี้ปล่อยให้เศร้าเพราะคิดว่าเธอลืมของขวัญไปก่อนก็แล้วกัน พอถึงวันคริสต์มาสจริงๆ แล้วเห็นของขวัญ เขาคงจะหายโกรธหายงอนเธอไปเอง

หญิงสาวคิดยิ้มๆ

เหมจะเชื่อไหมนะว่าครั้งแรกที่ยี่เห็นเสื้อตัวนี้ ยี่รู้เลยว่ามันทำมาเพื่อใคร
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

กลับถึงบ้าน สิริสราก็รีบแจ้นขึ้นห้องนอนส่วนตัว เธอรื้อของทุกชิ้นออกมาจากถุงกระดาษ จัดของขวัญแต่ละอย่างแยกใส่ถุงและเขียนชื่อแปะเป็นคนๆ ไป เมื่อเสร็จเรียบร้อย เธอก็หันไปเขียนการ์ดอวยพรทีละแผ่น กว่าจะเขียนครบทุกใบ เธอก็ได้กองจดหมายตั้งโต

มือเล็กกำลังจะเอื้อมไปหยิบถุงของขวัญที่เหลือถ้าไม่ติดว่าเสียงเคาะประตูขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“คุณยี่ขา ทานข้าวได้แล้วค่ะ” แม่บ้านขึ้นมาตามเธอให้ลงไปรับประทานอาหารเย็น

“พี่แจ่ม บอกป๊ากับม๊าว่าทานไปก่อน ขอยี่จัดการงานตรงนี้แป๊บนึง แล้วยี่จะตามลงไป” เธอเหลือของสำคัญอีกชิ้นที่ยังไม่ได้จัดการ

เมื่อแม่บ้านเก่าแก่เดินกลับออกไป สิริสราก็เอื้อมมือไปหยิบของขวัญชิ้นสุดท้ายออกมาวางตรงหน้า กระดาษห่อของขวัญที่หุ้มกล่องไว้อย่างดีถูกเธอแกะลอกจนเหลือแต่เนื้อในซึ่งเป็นกล่องเปล่าๆ หญิงสาวดึงสกอตเทปใสที่ตรึงปากกล่องออก ฝากล่องเปิดออกกว้าง ข้างในเป็นเสื้อผ้าไหมสีดำตัวเมื่อกลางวันนั่นเอง

หญิงสาวบรรจงม้วนเสื้อเป็นก้อนแล้วหยิบเนกไทสีเทาเข้มที่เธอแอบซื้อมาก่อนหน้านี้มาพันรอบๆ มันก่อนจะเอาเชือกป่านย้อมสีเดียวกันกับเสื้อมัดไว้ไม่ให้มันคลายตัวออก

เหมจะดีใจกับของขวัญสองชิ้นนี้ไหมนะ

เธอเผลอยิ้มให้ของขวัญตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว

สิริสราวางก้อนของขวัญบนกระดาษสาสีแดงพิมพ์ลวดลายดวงดาวสีทองเล็กจ้อยและรวบมันเป็นรูปถุงก่อนจะเอาโบว์โปร่งใสสีเขียวเส้นโตผูกซ้อนกันหลายชั้น

“เย้! เสร็จแล้ว” หญิงสาวมองของขวัญชิ้นพิเศษของเธอด้วยความปลื้มใจพร้อมทั้งบิดตัวอย่างขี้เกียจ

“คุณยี่ขา คุณพ่อกับคุณแม่ให้พี่แจ่มขึ้นมาตามอีกรอบค่ะ” เสียงเคาะประตูและเสียงเตือนของแม่บ้านทำให้สิริสรารีบตอบกลับไปว่า

“เสร็จแล้วค่ะพี่แจ่ม ยี่กำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ” เธอหันไปมองตั้งของขวัญเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดประตูห้องตัวเองลง
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

Silent night, holy night
all is calm, all is bright
round your virgin mother and child
holy infant so tender and mild
sleep in heavenly peace
sleep in heavenly peace

เสียงเพลง Silent night กล่อมคลอสองหนุ่มสองซึ่งกำลังเดินทางไปฉลองคืนพิเศษด้วยกัน มันเป็นคืนวันที่ 24 ธันวา หรือที่เรียกกันว่าคริสต์มาสอีฟนั่นเอง

รถ BMW Z5 ของเหมันต์ซึ่งขับโดยสิริสราเลี้ยวเข้ามาจอดใต้อาคารแห่งหนึ่งในตัวเมืองกรุงเทพฯ

“ถึงแล้วค่ะ” สิริสราบอกเสียงใส

เหมันต์หันไปมอบรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ “นี่มันอพาร์ตเม้นต์ของไอกับยูไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” เมื่อเห็นสีหน้าที่ยังไม่คลายสงสัยของเขา สิริสราจึงตัดบทว่า “เอาน่าเหม อย่าเพิ่งถามอะไรยี่เลย เดินตามยี่มาเถอะ แล้วทุกอย่างจะดีเอง” เธอฉุดมือเขาให้เดินตามไปด้วย

ไม่ถึงสองนาทีพวกเขาก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของไอและยู สิริสราหยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋าสะพายก่อนจะลงมือไขกุญแจและบิดลูกบิดประตู

บานประตูเปิดกว้าง ภายในห้องมืดตื๋อเนื่องจากไม่มีไฟดวงใดเปิดไว้แม้แต่ดวงเดียว หญิงสาวลากเหมันต์เข้ามาข้างในเมื่อเห็นชายหนุ่มยืนรีรออยู่หน้าประตู

ทันใดนั้น ไฟทึกดวงในห้องก็สว่างพรึบ ดวงตาสีน้ำตาลของเหมันต์สะดุดเข้ากับต้นคริสต์มาสูงใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ใกล้ๆ กันนั้นมีโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวเขื่อง บนโต๊ะมีเชิงเทียนลูกสนซึ่งมีเทียนสีแดงและสีเขียวประดับตั้ง จาน ชาม และอุปกรณ์การกินครบมือถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

สิ่งที่เห็นทำให้เหมันต์ตะลึงจนถึงพูดไม่ออก

“นี่ไงคะ สถานที่ดินเนอร์ของเรา” สิริสราผายมือไปยังโต๊ะตัวนั้นด้วยความภูมิใจ เธออุตส่าห์มาจัดสถานที่ก่อนตั้งครึ่งค่อนวันเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ

หญิงสาวขอยืมอพาร์ตเม้นต์ของเพื่อนรักหนึ่งคืนเพื่อทำเซอร์ไพรซ์วันคริสต์มาสอีฟให้เหมันต์ ไอและยุรยาสละห้องพักให้เธอด้วยความเต็มใจ แถมไอยังอุตส่าห์ใจดีสอนเธอทำอาหารอีกด้วย ส่วนยุรยาก็ช่วยเธอจัดห้องและดูเตาอบก่อนจะออกไปเดทกับมงกุฎ คู่รักของเธอ

“เราจะดินเนอร์กันที่นี่น่ะเหรอ” เหมันต์งงกับเซอร์ไพรซ์ไม่หาย

สิริสราผงกศีรษะ ดวงหน้าสว่างไสวด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง “ก็ใช่น่ะสิ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างไง ยี่อยากลองทำอาหารให้เหมทานดูบ้าง”

เธอตักถั่วลันเตา แครอท และข้าวโพดอ่อนผัดเนยใส่จานก่อนจะเปิดเตาอบและหยิบหมูสีทองเกรียมสวยวางและราดน้ำเกรวี่ในหม้อซุปตามลงไป

“นั่งสิเหม วันนี้ยี่จะเป็นคนบริการเหมเอง” หญิงสาวรินค็อกเทลผลไม้ใส่แก้วทรงสูงและวางมันตรงหน้าชายหนุ่ม

“ยี่ทำทั้งหมดเองเหรอ” เหมันต์ไม่อยากจะเชื่อว่าสิริสราจะยอมทำอาหารให้เขาทานเนื่องจากเธอไม่ชอบทำอาหารเอาซะเลย ตอนเรียนอยู่ด้วยกันที่ซานดิเอโก้ เธอก็โบ้ยหน้าที่พ่อครัวให้เขารับไปแบบเต็มๆ แต่วันนี้เธอกลับอุตส่าห์ลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง และเป็นอาหารที่ทำเพื่อเขาเสียด้วยสิ

“แน่นอน ยี่ให้ไอสอนทำตั้งนานเชียวน้า รู้ไหม กว่ายี่จะปรุงรสให้อร่อยได้อย่างนี้ ยี่เสียหมูไปตั้งหลายชิ้นแน่ะ” เธอพูดโอ่ จำได้ดีว่ามันยากขนาดไหนตอนที่เธอหัดทำเป็นครั้งแรก

เหมันต์หั่นเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ และจิ้มใส่ปากก่อนจะเคี้ยวช้าๆ โดยมีสิริสรายืนมองด้วยอาการลุ้นๆ ปนตื่นเต้น

“อร่อยไหม” เธอถาม

“อื้อ อร่อยสิ ไม่น่าเชื่อว่ายี่จะทำสเต็กได้อร่อยขนาดนี้ ปรกติถ้ายี่ทำอาหารทีไร ผมจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินเข้าไปให้มันหมดๆ ทุกที แต่คราวนี้นะ ถึงให้กินสิบจานก็สู้ไม่ถอย” แต่เหนือสิ่งอื่นใด เหมันต์ปลื้มใจกับการกระทำของเธอ

“หน็อยแน่เหม หลอกด่ายี่เหรอ ยี่รู้หรอกว่ายี่ทำอาหารไม่อร่อย เหมไม่ต้องบรรยายสรรพคุณอาหารของยี่ถึงขนาดนั้นก็ได้ คนเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำให้กิน พูดมากอย่างงี้ วันหลังยี่จะไม่ทำอะไรให้กินแล้ว” สิริสราส่งค้อนวงเล็กให้อีกฝ่ายอย่างฉุนๆ

“โอ๋ๆๆ ยี่จ๋า อย่าทำใจน้อยสิจ๊ะ จะอร่อยหรือไม่อร่อย ผมก็กินได้หมดนั่นแหละ แค่ยี่ลงทุนทำอาหารให้ ผมก็ดีใจมากแล้ว” ชายหนุ่มรั้งเอวบางเข้ามากอดก่อนจะพูดเอาใจหญิงสาวว่า “แต่ยี่รู้ไหม สเต็กหมูของยี่อร่อยอย่างนี้เลย” เหมันต์ยกนิ้วโป้งให้ เขาไม่ได้ยอเธอหรอกนะ แต่มันอร่อยจริงๆ

ไม่นาน จานที่เต็มไปด้วยอาหารสองใบก็กลายเป็นจานว่างเปล่า

“ของหวานไม่มีนะ เพราะยี่ทำไม่เป็น” สิริสราบอกอายๆ การทำสเต็กหมูจานนึงให้อร่อยก็ใช้เวลามากพอแล้ว ขืนให้เธอทำของหวานเพิ่มอีก เธอคงเตรียมการไม่ทันแน่ๆ

“ไม่เป็นไรหรอก บอกแล้วไงว่าแค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว” เขาไม่คาดหวังให้เธอหัดทำอาหารเพื่อเขา แต่สิริสราเป็นคนที่ทำอะไรเหนือความคาดฝันอยู่แล้ว

คำชมของเขาทำเอาหญิงสาวยิ้มแก้มปริ “ยี่ดีใจที่เหมชอบ งั้นก็เหลืออย่างสุดท้ายแล้วล่ะ” มือที่ไขว้อยู่ด้านหลังค่อยๆ เลื่อนมาไว้ข้างหน้า ห่อของขวัญสีแดงผูกโบว์สีเขียววางเต็มอยู่บนสองมือเล็ก

“เมอร์รี่คริสต์มาสจ้ะ” ดวงตาสีอ่อนฉายแววจริงใจ

“แกะเลยนะ” น้ำเสียงของเหมันต์กระตือรือร้นจนคนให้หัวใจพองฟูด้วยความปลาบปลื้ม

สิริสราพยักหน้า ชายหนุ่มลงมือแกะห่อของขวัญอย่างตื่นเต้น เมื่อกระดาษห่อสีแดงเลื่อนหลุดออกไป ก้อนของขวัญก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เหมันต์คลายปมเชือกป่านและเนกไทก่อนจะคลี่ของข้างในออกดู

เสื้อตัวนั้น

เหมันต์ทาบเสื้อผ้าไหมกับตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายวิบวับด้วยความประหลาดใจ “คุณไม่ได้ซื้อเสื้อตัวนี้ให้เฮียบีหรอกหรือ”

“เปล่า ของเฮียบีซื้อให้ก่อนหน้านั้นแล้ว เสื้อตัวนี้ยี่ตั้งใจจะซื้อให้เหมตั้งแต่แรกต่างหาก เห็นปุ๊บก็รู้ปั๊บว่ามันเหมาะกับเหมที่สุด”

ความน่ารักของสิริสราไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารหรือของขวัญทำให้เหมันต์รู้สึกว่าตัวเองฉุนเฉียวใส่เธอไม่เข้าเรื่อง “ขอโทษนะที่วันนั้นผมแกล้งพูดว่ายี่อย่างโง้นอย่างงี้” ชายหนุ่มบอกอายๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ยี่ไม่โกรธ ยี่รู้น่าว่าเหมกำลังพาล คิดว่ายี่ลืมซื้อของขวัญให้เหม” หญิงสาวล้อเลียนอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มจากเหมันต์ได้อีกกระบุงโกย

“แล้วเหมล่ะ มีอะไรให้ยี่รึเปล่า หรือว่าลืมไปแล้ว” สิริสราแบมือทวง

“ไม่ลืมหรอก ใครจะกล้าลืมของขวัญของยี่ ผมยังอยากอยู่ดูโลกนี้ต่อไปนะ” เขาแซว ในเมื่อเธอเซอร์ไพรซ์เขาไปแล้ว คราวนี้คงถึงตาเขาเซอร์ไพรซ์เธอบ้าง

“เหมนะ พูดอย่างนี้เดี๋ยวยี่ก็ไม่พูดด้วยเลยนี่” หน้าของสิริสรางอราวกับจวักเมื่อได้ยินคำแซวไม่เกินจริงของเขา

“ว้า...แกล้งล้อหน่อยเดียวเอง งอนซะแล้ว อย่างนี้ไม่ให้ของขวัญเลยดีไหมน้า” เหมันต์ยั่วเย้า

“ไม่รู้ล่ะ เอาของขวัญมาให้ยี่ซะดีๆ” สิริสราเท้าสะเอวแบมือทวงคนตรงหน้ายิกๆ

“ครับผม” เขาแกล้งตะเบ๊ะให้เธอก่อนจะล้วงเอากล่องของขวัญใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อและเปิดมันออก แสงเพชรส่องวูบวาบล้อแสงไฟสีส้มทองจากโคมดวงใหญ่เหนือศีรษะของสองหนุ่มสาว เหมันต์บรรจงหยิบแหวนเพชรเม็ดเดี่ยววงจ้อยออกมา มืออีกข้างกุมกระชับมือนุ่มไว้ในอุ้งมือด้วยความทะนุถนอม

“แต่งงานกับผมนะ” เสียงทุ้มอ่อนหวานกระซิบแผ่ว

คำขอแต่งงานของเหมันต์ทำให้สิริสราถึงกับผงะไป ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง เธอไม่คิดว่าเขาจะจู่โจมเธอกะทันหันอย่างนี้

เหมันต์กำลังเลื่อนแหวนสวมใส่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ แต่สิริสรากลับสะบัดมือตัวเองออก

“ยี่!” ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ค่ะเหม ยี่...ยี่ยังไม่อยากจะแต่งงาน” สิริสราตอบตามความคิดที่มีมาตั้งแต่ต้น

“ทำไม” เขามองเธอด้วยสายตาตัดพ้อ ไม่คิดว่าเธอจะตัดรอนเขาอย่างนี้

“ยี่...ยี่...” สิริสราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอธิบายว่ายังไง เธอจึงหันหลังกลับและวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งให้อีกฝ่ายทรุดตัวนั่งแปะกับพื้นด้วยความรู้สึกหดหู่สิ้นหวัง
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

หลังจากผ่านพ้นคืนคริสต์มาสซึ่งล้มไม่เป็นท่าของทั้งสอง สิริสราก็พยายามหลบหน้าเหมันต์โดยไม่ยอมไปทำงานและอ้างว่าป่วย

“อายี่ วันนี้หนูไม่ไปทำงานอีกแล้วหรือ” คุณนายอี่ทรุดนั่งเคียงข้างลูกสาวที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

สิริสราโผล่หน้าออกมาจากโปงแล้วตอบว่า “ไม่ค่ะม้า วันนี้ยี่ปวดหัว ไปทำงานไม่ไหว”

“สองวันแล้วนะยี่ นี่หนูกะจะหยุดไปจนถึงปีใหม่เลยหรือไง” คุณนายอี่แตะหน้าผากเกลี้ยงเกลาของลูกสาวด้วยความเป็นห่วง อาการ ‘ปวดหัว’ ของสิริสราเหมือนคนป่วยใจมากกว่าป่วยกาย

“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ ไว้ยี่หายป่วยเมื่อไหร่ยี่จะไปทำงานแน่ๆ” สิริสราหลุบตาลงต่ำเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เธอถึงจะ ‘หายป่วย’

“ยี่ หนูมีอะไรจะบอกม้าไหม” มารดาคาดคั้นน้อยๆ ตั้งแต่กลับมาจากเดทกับเหมันต์เมื่อคืนวันคริสต์มาสอีฟที่ผ่านมา ลูกสาวของเธอก็ซึมไป นี่สงสัยคงงอนอะไรกันอีกแน่ๆ

“ไม่มีค่ะ” สิริสราส่ายศีรษะจนผมยาวกระจายเต็มหน้า

“ไม่มีแน่นะ” คุณนายอี่ถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ ลองถ้าสิริสราพูดแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ง้างปากให้เธอพูดความจริงไม่ได้

“ไม่มีจริงๆ ค่ะ” สิริสรายืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียว

“ยี่จ้ะ ถ้ายี่ทนไม่ไหว ยี่ต้องบอกม้านะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว ม้าอยากให้ยี่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนมากกว่านะ” คุณนายอี่ลูบศีรษะทุยสวยอย่างรักใคร่ เมื่อสิริสราไม่อยากพูด เธอก็จะไม่บังคับฝืนใจลูกสาวให้ทำ แม้ใจจริงนั้นอยากจะรู้นักว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวเธอ

สิ้นคำพูดของมารดา สิริสราก็โถมตัวกอดเธอแน่นและกระพริบเปลือกตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาที่เอ่อท่วมขอบตา “รับรองค่ะม้า ถ้ายี่ทนไม่ได้ ยี่จะบอกม้าเป็นคนแรกเลย”


ตั้งแต่ถูกสิริสราปฏิเสธ เหมันต์ก็พยายามคิดอย่างหนักว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมแต่งงานกับเขาทั้งๆ ที่พวกเขาก็ออกจะรักกันมากมายขนาดนี้ เขาพยายามคิดทั้งวันแต่ก็คิดไม่ออก แต่ที่แย่ไปกว่าการคิดไม่ออกก็คือเธอจงใจหลบหน้าเขามาตั้งแต่เมื่อวานแถมยังมีทีท่าว่าจะหลบหน้าต่อไปอย่างนี้เรื่อยๆ เสียด้วยสิ

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานแต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนใจวางมันลงตามเดิม

ไม่เอาดีกว่า เมื่อวานโทรจนมือหงิกก็ไม่ยอมรับ วันนี้โทรไปก็คงจะเข้าอีหรอบเดิมนั่นแหละ

เหมันต์นิ่งคิดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไร

บุกไปที่บ้านเลยดีกว่า ยังไงวันนี้เขาจะต้องคุยกับเธอให้รู้เรื่อง ขืนปล่อยเอาไว้แบบนี้ รังจะมีแต่เสียกับเสีย
*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*+.+*

เมโลดี้น่ารักดังมาจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียง สิริสราคว้ามันขึ้นมาดูและวางมันลงไปตามเดิมเพราะคนที่เธอไม่อยากเจอหน้าที่สุดในโลกเป็นคนโทรเข้ามานั่นเอง

เสียงโทรศัพท์ดับไปแล้ว แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมามันก็ดังขึ้นอีก หญิงสาวหันไปทำหน้าบึ้งใส่เครื่องมือสื่อสารอันจิ๋วด้วยเพราะขุ่นเคืองคนที่โทรเข้ามา

“โอ๊ย! โทรมาอีกทำไม ไม่รู้รึไงว่าคนเค้าไม่อยากจะพูดด้วย” เธอบ่นอย่างเหลืออดก่อนจะทนรำคาญไม่ไหวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ

“ฮัลโหล” สิริสราทักทายด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ทว่าปลายสายกลับเงียบฉี่ ไม่มีการตอบรับกลับมาแต่อย่างใด

“ฮัลโหล!” คราวนี้เสียงแข็งขึงกลับเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกน นั่นทำให้เธอไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังเบาๆ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง หญิงสาวก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

“เข้ามาทำไม ยี่ไม่ได้อนุญาตให้เหมเข้ามาซักหน่อย” หญิงสาวหน้างอเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนบุกรุกความเป็นส่วนตัวของเธอ

“แต่ผมอยากเจอยี่นี่ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะ” น้ำเสียงของเหมันต์แฝงไปด้วยความน้อยใจ มันเป็นความน้อยใจที่มาจากส่วนลึกในใจของเขา ทำไมเธอถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลอย่างนี้นะ เธอน่าจะเปิดใจคุยกับเขา ไม่ใช่เอาแต่หนีเขาลูกเดียวอย่างนี้

“ถ้าเหมจะคุยเรื่องเดิม ยี่บอกได้คำเดียวว่ายี่ยังไม่อยากจะแต่งงาน” สิริสรายืนกรานเสียงแข็ง แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ คนฟังจะสังเกตได้ถึงความเปราะบางที่แทรกอยู่ในความหนักแน่น

“ทำไม การแต่งงานกับผมมันเลวร้ายขนาดที่ว่ายี่รับไม่ได้เลยหรือ ยี่ไม่รักผมแล้วรึไง” ดวงตาสีน้ำตาลมองหญิงสาวอย่างตัดพ้อ

คำพูดของเขาทำให้สิริสราถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เธอก้มหน้าไม่กล้าสบตาเขาด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนยอมความตามใจเขา

ไม่ใช่ว่ายี่ไม่รักเหม แต่ยี่ไม่พร้อมที่จะแต่งงานกับเหมต่างหาก เธอบอกความจริงในใจ

“ยี่...ยี่เปล่า” น้ำเสียงของเธอตะกุกตะกัก

“เปล่าแล้วคืนนั้นยี่ทำอย่างงั้นกับผมทำไม รู้ไหมว่าผมเจ็บ ยี่มีอะไรอยู่ในใจทำไมไม่บอกผม ยี่ปฏิเสธผมทำไม” ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในคืนนั้นนั้นยังคงประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของเหมันต์ราวกับว่ามันเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่นาทีนี้เอง เขายังจำถึงแรงสะบัดของเธอยามที่เขากำลังจะสวมแหวนให้เธอได้เป็นอย่างดี

“ยี่...ยี่...” สิริสราพูดไม่ออก ทว่าอีกฝ่ายกลับระบายความอัดอั้นออกมาเรื่อยๆ

“หรือว่าที่ผ่านมาผมเข้าใจไปเองฝ่ายเดียวว่าเราสองคนใจตรงกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมยี่ไม่บอกผมตั้งแต่แรก ผมจะได้ไม่ต้องถลำลึกไปมากกว่านี้ เห็นผมเจ็บแล้วสบายใจนักเหรอ สนุกที่ได้หลอกลวงผมใช่ไหม” เสียงของเขาดังก้องเข้าไปถึงข้างในใจของสิริสราเลยทีเดียว

หญิงสาวส่ายหน้าไปมา ขอบตาร้อนผ่าว “ไม่ใช่อย่างนั้น เหมไม่เข้าใจ”

“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมยี่ถึงทำกับผมแบบนี้” เหมันต์ตรงเข้าไปจับต้นแขนเธอไว้แน่น ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววเจ็บปวดจ้องลึกลงไปในดวงตาสีอ่อนราวกับต้องการค้นหาความจริงในใจของเธอ

“ยี่...ยี่...” สิริสราจะพูดได้เพียงแค่นั้น น้ำใสๆ เอ่อคลอเบ้าตาทั้งสองข้าง

“ทำไมยี่ไม่พูดออกมา ยี่เงียบอย่างนี้แล้วผมจะเข้าใจยี่ไหม อยากให้เราสองคนต้องผิดใจกันเพราะว่าต่างฝ่ายต่างเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ ไม่พูดออกมาตรงๆ เหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นนะหรือ” เหมันต์อ้างไปถึงเหตุการณ์พลิกผันที่ทำให้เขาและเธอได้ไปเรียนต่อด้วยกันที่อเมริกา

“ได้โปรดยี่ บอกผม อย่าปล่อยให้ผมเหมือนถูกทิ้งทั้งๆ ที่ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร”

คำพูดของเขาเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ด้ายอารมณ์ตึงเปรี๊ยะของสิริสราขาดผึง

“เปล่า เหมไม่ได้ผิดอะไร ยี่ไม่ดีเอง” สิริสราปาดน้ำตาลวกๆ ทว่าน้ำตาของเธอยังคงไหลรินต่อไปเรื่อยๆ

“ยี่กลัว ยี่ไม่มั่นใจในตัวเหม ยี่ต่างหากที่ไม่ดีเอง” เธอพูดย้ำซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

อาการขาดสติของหญิงสาวทำให้เหมันต์ต้องดึงเธอเข้ามากอดปลอบ “ไม่จริงหรอก ยี่เป็นคนดี เป็นคนน่ารักของเหมเสมอ” น้ำตาของเธอซึมผ่านเสื้อเชิ้ตของเขาจนมันเปียกชุ่มไปหมด

ชายหนุ่มดึงร่างบางออกห่างและจ้องลึกลงไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของเธอ “ยี่กลัวอะไร บอกผมได้ไหม เผื่อผมจะเปลี่ยนมันได้ แก้ไขมันได้ ผมสัญญา ผมจะเปลี่ยนนะ ผมยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อยี่ของผม”

แพขนตางอนยาวหลุบต่ำ เสียงสะอื้นทำให้คำพูดของสิริสราขาดห้วง “ฮึก...หะ...เหมไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อยี่หรอก ยี่รักเหมที่เหมเป็นเหม ยี่ไม่รู้จริงๆ นะว่ายี่รักเหมมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ยี่เชื่อไหมว่าผมก็รักยี่มากเท่ากับที่ยี่รักผมเหมือนกัน ถ้าเรารักกันอย่างนี้แล้วคนเก่งของผมกลัวอะไรล่ะ” เหมันต์พยายามดึงความจริงออกมาจากปากของเธอ เขาไม่ต้องการให้มีอะไรมาขวางกั้นความรู้สึกของเขาและสิริสราอีก

“มะ...ไม่รู้สิ ยี่...ยี่กลัวว่าถ้าเราแต่งงานผูกพันกันแล้ว เหมจะกลับไปทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีก” สิริสราก้มหน้างุด ไม่กล้ามองหน้าเขาด้วยกลัวว่าจะไม่พบเห็นความรักในดวงตาคู่สวยของเขาอีกแล้ว

“ทำตัวเหมือนเมื่อก่อน?” ดูเหมือนเหมันต์จะจำไม่ได้ว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำอะไรไม่ดีลงไปบ้าง

“ก็...ก็ยี่ไม่สวยเหมือนผู้หญิงที่เหมเคยควงด้วยนี่ นิสัยก็ไม่ดี เอาแต่ใจ ขี้ใช้ แถมยังขี้งอนที่สุดอีกด้วย คนอย่างเหมคงหาผู้หญิงดีๆ ได้อีกเยอะแยะไป เหมแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะหยุดตัวเองอยู่ที่ผู้หญิงนิสัยเสียอย่างยี่จริงๆ” พูดไปน้ำตาก็ร่วงไป

เมื่อฟังสิริสราระบายความใจในออกมาจนหมด เหมันต์ก็เริ่มเข้าใจต้นตอของปัญหาระหว่างเขาและเธอ

เธอไม่มั่นใจในตัวเขา

ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาซับน้ำตาให้หญิงสาวเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ ระบายออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สงสัยงานนี้คงจะได้อธิบายกันยาว

เหมันต์โอบร่างบางแนบอกพร้อมทั้งลูบศีรษะเล็กๆ อย่างรักใคร่ “ยี่เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า แม้ว่ายี่จะไม่สวยและนิสัยไม่ดี แต่ถ้าผมไม่จริงใจไม่รักจริง จ้างให้ผมก็ไม่ขอยี่แต่งงานหรอกนะ แต่นี่เป็นเพราะผมมั่นใจในตัวเองแล้วก็มั่นใจในตัวยี่แล้วต่างหาก ผมถึงได้ตกลงปลงใจขอยี่แต่งงาน ยี่เชื่อไหมว่าผมวางแผนเรื่องขอยี่แต่งงานมาตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังอยู่ที่อเมริกาโน่นแน่ะ แล้วอีกอย่างนะ ผมรักยี่เพราะยี่เป็นยี่ ยี่ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรอก เมื่อก่อนผมอาจจะเคยควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าหัวใจของผมอยู่ที่ใคร”

สิริสราเงยหน้ามองอีกฝ่ายตาแป๋ว หรือว่าเธอจะคิดมากไปเองจริงๆ

“เอาอีกแล้ว มองผมอย่างนี้อีกแล้ว ทีหลังอย่าไปมองใครอย่างนี้เชียวนะ” เหมันต์จ้องตาดุๆ ใส่

“ทำไมล่ะ” หญิงสาวถามอย่างไม่เข้าใจ

“โธ่! ยี่จ๋า ไม่น่าถามเลย ก็ยี่ทำหน้าแบบนี้ คนอื่นเค้าจะคิดว่ายี่เป็นหมูที่เอาไปหลอกต้มได้ง่ายๆ น่ะสิ” ก็เจ้าหล่อนเล่นมองด้วยดวงตาใสซื่ออย่างนั้น ผู้ชายที่ไหนมันจะอดใจทนไหว

“เพราะฉะนั้นห้ามมองคนอื่นด้วยสายตาแบบนี้นะ ผมอนุญาตให้ใช้มองผมได้คนเดียวพอ” เหมันต์ย้ำซ้ำพร้อมทั้งปัดผมรุ่ยร่ายที่ตกลงมาระสองข้างแก้มนิ่มให้เข้าที่

“เหมแน่ใจนะว่าอยากจะแต่งงานกับยี่” ยังมีความไม่แน่ใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงของสิริสรา

“ยี่จ๋า แม่คุณทูนหัว รู้ไหมว่าผมไม่เคยมั่นใจอะไรเท่านี้มาก่อนแล้ว ถ้าวันนี้ยี่ยังไม่ยอมตกปากรับคำว่าจะแต่งงานกับผม ผมจะพายี่หนีจริงๆ ด้วย”

เมื่อเห็นร่างเล็กในวงแขนเงียบเสียงไป ชายหนุ่มจึงถามต่อไปว่า “แล้วอย่างงี้ตกลงจะแต่งงานกับผมไหมครับ คุณนายยี่”

สิริสราได้แต่เงยหน้าจ้องเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ น้ำตาที่ไหลรินเมื่อครู่แห้งเหือดหมดสิ้น เหลือแต่คราบน้ำตาทิ้งเอาไว้เป็นหย่อมๆ ดวงตาที่หมองหม่นมาหลายวันกลับดูสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่พูดอย่างนี้แสดงว่าตกลงแล้วนะ ไม่รู้ล่ะ ถือว่าตกลงแล้ว ผมไม่ยอมให้ยี่คืนคำด้วย” เหมันต์ถือโอกาสโมเม แต่เท่าที่สังเกตดูศีรษะที่เอียงซบเขาอยู่ในขณะนี้ เขาก็รู้ว่าหญิงสาวในอ้อมแขนได้บอกคำตอบของเธอไปเรียบร้อยแล้ว

ใช่ เธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป

Right here with you is right where I belong
I lose my mind if I can't see you
Without you there's nothing in this life
That would make life worth living for
I can't make it if you're not there
I can't fight what I feel any more

I need to have your arms next to mine for all the time
Holding for all my life
I need to be next to you
I need to be next to you, oh I, oh I
Need to be, need to be next to you
Share every breath of you
I need to feel you in my arms baby, in my arms baby
I need to be next to you, oh I, oh

จบ
โดย มิถุนา
15/12/2003

หมายเหตุ*** เพลง Need to be next to you ของ Leigh Nash

















Create Date : 27 กันยายน 2553
Last Update : 27 กันยายน 2553 1:36:35 น. 2 comments
Counter : 923 Pageviews.

 
อย่างนี้เรียกว่าเจ้าสาวกลัวฝนได้ไหมเนี่ย


โดย: yuechan IP: 119.42.124.131 วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:0:33:11 น.  

 
yuechan น่าจะได้นะคะ ทั้งนี้ก็เพราะเหมทำตัวเองแท้ๆ เลยเนอะ พอเจอสาวที่จะจริงจังด้วย เจ้าตัวกลับไม่แน่ใจ แต่ยังดีที่สุดท้ายก็ลงเองด้วยดี :-))


โดย: มิถุนายน วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:24:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.