Group Blog
 
All blogs
 
คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 6

คู่ร้ายหมายรัก บทที่ 6

แปดหนุ่มสาวนักเดินทางรับประทานอาหารเช้าแบบอเมริกันที่รีสอร์ตจัดไว้ให้ ก่อนจะออกเดินทางไปน้ำตกป่าละอู ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อยู่ห่างจากปราณบุรีราวสี่สิบกิโลเมตร สารถีและผู้โดยสารในรถยนต์คันเดิมขับรถผ่านภูเขา นำรถขึ้นลงไปตามเส้นทาง สองข้างรายทางเต็มไปด้วยต้นไม้ หนทางยาวไกลกว่าที่ป้ายบอกทางบอก...หรือมากกว่าที่พวกเขาคิด พวกเขาอยู่ในรถมากกว่าหนึ่งชั่วโมง ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายเท่าไหร่ เส้นทางก็ยิ่งกลับเข้าสู่ธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น ถนนราดยางมะตอยกลายเป็นถนนดินลูกรัง ฝุ่นควันสีแดงปลิวคุ้งตามแรงบดของยางล้อ ต้นไม้โปร่งขึ้นรกครึ้ม ผีเสื้อสีดำลายเหลืองและขาวบินผ่านกระจกรถ สดับพิณซึ่งหันศีรษะมองด้านนอกเหลียวมองตามจนมันลอยลับหายไป ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ ไม่คิดว่าจะได้เจอผีเสื้อแม้จะอยู่ท่ามกลางป่าไพร

ก็ทำไมจะคิดไม่ได้ล่ะ เธอไม่ได้เห็นผีเสื้อมานานเท่าไหร่แล้วนะ

หลายปี...น่าจะหลายปี

มนุษย์ขยายความเจริญรุกล้ำ จนธรรมชาติค่อยๆ เลือนรางจางหาย ไม่รู้เหมือนกันว่าในอนาคตข้างหน้า จะมีธรรมชาติแท้จริงที่ไร้การปรุงแต่งหลงเหลืออยู่เท่าไหร่ เธอไม่อาจบอกได้ ได้แต่หวังว่าผู้คนจะมีจิตสำนึกในการใช้ชีวิตเพื่อดำรงรักษาธรรมชาติมากกว่านี้

หลังจากจ่ายค่าเข้าและจอดรถเรียบร้อย พวกเขาก็เดินไปตามป้ายบอกทาง ป้ายหลักน้ำตกป่าละอูชั้นที่หนึ่งโดดเด่นชัดเจน ถัดไปเป็นสะพานไม้แข็งแรง สร้างผ่านโขดหินปุ่มปั่มกลางแอ่งน้ำน้อยๆ ซึ่งถ้าเป็นหน้าน้ำหลาก คาดว่าน้ำคงจะท่วมหินมิด เสียงน้ำไหลดังก้องเบาๆ มาจากด้านในป่า สะท้อนไปทุกทิศทาง เป็นท่วงทำนองไพเราะนุ่มนวลราวกับเสียงของวงดนตรีออเคสตร้า

ลินดาเดินนำหน้าสุด เธอเป็นคนตัวเล็ก คล่องแคล่วว่องไว และรักการผจญภัย ฤทัยเดินเคียงข้างลินดาด้วยความรวดเร็วครือกัน แม้จะเป็นลูกคุณหนูและตัวโตกว่าผู้หญิงไทยทั่วไป แต่เธอไม่ใช่คนต้วมเตี้ยมเทอะทะและเก่งกล้าพอตัว ชาติชายต่อท้ายสองสาว ตามมาด้วยหนุงหนิงและอังกฤษ ส่วนปัณณธรจับคู่กับสดับพิณเช่นเคย โดยมีดนัยภัทรเฝ้าระวังรั้งท้าย

สดับพิณมองไปรอบกาย เห็นแต่ก้อนหิน ต้นไม้ และน้ำตกแอ่งจ้อย สีหน้าของเธอดูผิดหวังจนคนที่เดินตามหลังสังเกตได้

“อย่าทำหน้าจ๋อยอย่างนั้นสิ เราเพิ่งเดินมาถึงน้ำตกชั้นที่หนึ่งเองนะ น้ำตกป่าละอูมีตั้งสิบห้าชั้น ต้องเดินอีกสักพักกว่าจะเห็นน้ำตกแบบน้ำตกจริงๆ” ดนัยภัทรพูดขึ้นมา น้ำตกชั้นที่หนึ่งมีแต่หินและน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ แต่ลึกเข้าไปด้านใน และไต่ระดับสูงขึ้นไป ความอลังการของน้ำตกสิบห้าชั้นจะประจักษ์แจ้งแก่สายตาของผู้มาทัศนะ

“เหรอคะ” สดับพิณตอบ สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เอาน่า เชื่อผมสักนิด ผมไม่โกหกหรอก” เขาขยิบตา

“มาทำเป็นรู้ดี ภัทรเคยมาที่นี่แล้วเหรอ” ปัณณธรถามอย่างหมั่นไส้ จำได้ว่าเขาไม่เคยพูดว่าเคยมาน้ำตกป่าละอูมาก่อน

“ยังไม่เคยมาหรอก ศึกษาสถานที่เที่ยวมาก่อนน่ะ” เขาเป็นคนขับรถ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแผนที่ ศึกษาเส้นทางที่จะใช้ในการเดินทาง เขาไม่ชอบไปคลำเอาข้างหน้า เพราะไม่ได้มาเที่ยวคนเดียว แต่เที่ยวเป็นหมู่คณะ แม้จะไม่ได้เป็นคนวางแผนการเดินทาง แต่เขาก็เป็นคนขับรถ เป็นหนึ่งในผู้นำ

“ฮี่โธ่! แล้วทำเป็นพูดอย่างกับรู้จริง” ปัณณธรย่นจมูกใส่

สดับพิณยิ้มแล้วเดินต่อไป ในความสูงชั้นที่สองเริ่มเป็นน้ำตกมากขึ้น น้ำใสไหลผ่านก้อนหิน ส่วนบริเวณที่เป็นแอ่งน้ำนิ่งที่เต็มไปด้วยปลามีสีขุ่นกว่าบริเวณอื่น ระหว่างทางขึ้นน้ำตกชั้นที่สาม เธอเห็นผีเสื้อหน้าตาแปลกๆ สีดำลายขาวหลายตัวเกาะเลียบอยู่บนผิวน้ำ เธอตาโตด้วยความตื่นเต้น

“ผีเสื้อเยอะมาก” เธออุทาน สายตาจับจ้องสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจ้อยบอบบางอย่างไม่คลาดคลาย

อังกฤษผู้เป็นหนึ่งในตากล้องถ่ายรูปผีเสื้อที่อยู่นิ่งเฉยปล่อยให้พวกเขาถ่ายรูปแต่โดยดี

“นั่นสิ ปันไม่ได้เห็นผีเสื้อมานาน...นานมากแล้ว” เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากี่ปี แต่จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก เธอเคยเล่นไล่จับผีเสื้อที่หน้าบ้านอยู่เป็นประจำ

“เห็นว่าที่นี่เป็นแหล่งผีเสื้อชุกชุม” ดนัยภัทรนิ่งไปนิดก่อนจะพูดต่อ “ไม่สิ จะว่าไปต้องบอกว่าน้ำตกเป็นแหล่งที่อยู่ของผีเสื้อ เพราะเต็มไปด้วยธาตุอาหารที่ผีเสื้อต้องการ”

“อืม...” ทุกคนยกเว้นลินดา ฤทัย และชาติชายที่ล่วงหน้าไปก่อนพยักหน้าและทำเสียงรับรู้พร้อมๆ กัน เป็นเกร็ดความรู้ที่พวกเขาไม่เคยทราบมาก่อน

“นี่ไม่แน่ว่าเดินๆ ไปอาจจะเจอเสือดาวไม่ก็ช้างด้วยนะ”

“ล้อเล่นน่า” อังกฤษไม่เชื่อ

“อันตรายหรือเปล่า มีเสือดาวด้วยเหรอ” หนุงหนิงกล่าวเสียงสูง หันซ้ายหันขวาลอกแลกเพื่อมองหาเสือดาวที่ว่า

ส่วนสดับพิณทำตาโตเป็นไข่ห่าน ดูเชื่อ ‘ผู้รู้’ ทั้งที่ยังไม่เห็นสัตว์ที่เขากล่าวมาสักตัว “จริงเหรอคะ มันจะทำร้ายคนไหมคะ” ขอสารภาพว่าเธอกลัว ยังไงสัตว์ป่าก็เป็นสัตว์ป่าวันยังค่ำ มันดิบเถื่อนและเต็มไปด้วยสัญชาตญาณที่มนุษย์เราไม่ควรล้อเล่น

ดนัยภัทรเห็นสีหน้าจริงจังปนหวาดกลัวของยายตุ๊กตาก็อดหัวเราะไม่ได้

“หลอกเล่นเหรอคะ” ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันของเขา สดับพิณก็ถามเสียงแข็ง ดวงหน้าเล็กงอง้ำ ดวงตากลมมองเขาอย่างกล่าวหา

ชายหนุ่มยังคงยิ้มกว้าง “เปล่าครับ ไม่ได้หลอก มีจริงๆ นะ แต่ต้องมาเช้ากว่านี้ เช้ากว่านี้มากๆ เห็นว่ามีพวกกระทิง กวาง เลียงผา ด้วย”

“เมื่อกี้ไม่เห็นบอกว่าจะเจอตอนเช้าๆ นี่ บอกว่าเดินๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ” สดับพิณจำทุกคำพูดเขาได้ทุกเม็ด

“นั่นสิ” ปัณณธรยืนข้างญาติสาว “แหม...จะหลอกอำให้พวกเรากลัวใช่ไหม”

ดนัยภัทรไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะและเดินนำหน้าไป สมาชิกที่ยังค้างเติ่งเลยต้องเดินตามเขาอย่างช่วยไม่ได้

น้ำตกชั้นที่สามน้ำใสมาก นักท่องเที่ยวกระจุกตัวเล่นน้ำอยู่บริเวณนี้ ทุกคนใส่เสื้อยืดกางเกงกับขาสั้นและลงไปลอยคอเล่นน้ำ บ้างก็นั่งกินลมชมธรรมชาติบนโขดหิน สดับพิณไม่สนใจเล่นน้ำ เช่นเดียวกับเพื่อนๆ ของเธอ พวกเขาตั้งใจมาชมน้ำตกเท่านั้น

ยิ่งเดินขึ้นไปมากชั้นเท่าไหร่ น้ำตกก็ยิ่งสวยมากขึ้นเท่านั้น สดับพิณคิดว่ามันทั้งสวยและน่ากลัว เธอมองตามสายน้ำที่ไหลไปเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก มันไหลแรง และไหลลงไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทางขึ้นเริ่มชันกว่าเดิม เธอดีใจที่ตัวเองเลือกใส่กางเกงขาสั้น แม้จะเป็นกางกางสีขาว แต่ก็ดีกว่าเป็นกระโปรงที่ไม่สะดวกต่อการปีนป่าย รองเท้าแตะสร้างปัญหาบ้างเมื่อเธอเหยียบโคลนเลนและก้าวต่อไปบนก้อนหิน โคลนเละๆ บวกกับพื้นยางของรองเท้าพาลทำให้เธอลื่นง่ายๆ แม้จะย้ำเท้าลงอย่างมั่นคงและระมัดระวังแล้วก็ตาม เธอลื่นบ้าง ทว่าไม่หกล้ม เนื่องจากคว้าต้นไม้รายทางได้ตลอด แต่มันก็ทำให้เธอหัวใจเต้นตุ๊มต่อมด้วยความหวาดเสียวไม่น้อย เพราะเมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นความสูงที่พวกเขาเดินจากมา เธอกลัวตัวเองจะลื่นตกลงไป

พวกเขาพักเหนื่อยเป็นระยะ เพราะไม่คิดว่ามันจะเหนื่อยขนาดนี้ เลยไม่มีใครเตรียมน้ำดื่มมา ลินดาแบ่งลูกอมมินต์ที่พกติดกระเป๋าราวของจำเป็นให้เพื่อนแต่ละคน น้ำตาลช่วยเพิ่มพลังงานให้ทุกคนยิ่งกว่าอาหารทิพย์ สดับพิณเห็นค่าลูกอมเม็ดกระจ้อยก็คราวนี้ ตั้งปณิธานต่อไปว่าถ้าจะเดินทางไปไหน เธอจะพกลูกอมติดกระเป๋าด้วย มันใช้ทดแทนน้ำได้เลย

นักท่องเที่ยวน้อยลงเนื่องจากทางขึ้นสูงชันและขึ้นได้ลำบากกว่าน้ำตกชั้นแรก มีการใช้มือไม้ช่วยปีนป่ายเป็นระยะ สดับพิณทำเสื้อกับกางเกงสีอ่อนเลอะโคลนและฝุ่นเป็นหย่อมๆ แต่ก็ยังเดินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ เธอไม่รู้ตัวว่าทำให้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมานึกชมอยู่ในใจ

ดนัยภัทรแหงนมองทางขึ้นน้ำตกชั้นที่เจ็ด ทางยังคงสูงชันและเต็มไปด้วยต้นไม้ ลินดาเกาะเถาวัลย์ ใช้มันช่วยดึงตัวเองขึ้นไปข้างบน คอยตะโกนบอกทางที่เพื่อนๆ ต้องระวังเป็นระยะ เธอเป็นหญิงเก่งตัวจริง แต่ผู้หญิงตัวเล็กเบื้องหน้าเขาก็แกร่งไม่แพ้ลินดา

เขาไม่คิดว่ายายตุ๊กตาจะแกร่ง เห็นตัวเล็กๆ บางๆ หน้าซีดๆ แต่กลับปีนน้ำตกตามคนอื่นๆ โดยไม่บ่นสักคำ เขาเฝ้ามองสดับพิณโหนตัวอย่างเก้กังขึ้นไปด้านบน ปัณณธรยืนรอรับสดับพิณด้วยความเป็นห่วง ส่วนเขารอช่วยเหลืออยู่ด้านล่างถ้าเกิดว่าสดับพิณพลาดร่วงหล่น แต่สดับพิณก็ไม่พลาด แม้บางครั้งเธอจะทำให้เขาหวาดเสียวเป็นกำลัง

พวกเขาหยุดพักอีกครั้งเมื่อมาถึงน้ำตกชั้นที่เจ็ด เป็นจุดหนึ่งซึ่งสวยมาก น้ำตกสองสายไหลมาบรรจบกันก่อนจะไหลลงสู่เบื้องล่างรวมเป็นน้ำตกป่าละอูที่ใครๆ รู้จัก สดับพิณดื่มด่ำกลิ่นอายดินและน้ำ ความสวยงามของน้ำตกทำให้เธอลืมความเหนื่อย

“สวยล่ะสิ” ดนัยภัทรยืนค้ำศีรษะเธอ มองเม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ลามไหลจากใบหน้าลงไปตามลำคอเล็กๆ ของเธอ หักห้ามใจไม่ให้เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อนั้น

สดับพิณพยักหน้า “สวยค่ะ สวยมาก ดูยิ่งใหญ่มากด้วย” สายน้ำเส้นใหญ่พุ่งจากด้านบนลงมาด้านล่าง แตกกระจายเป็นฟองฝอยสีขาวพร่าง ความชื้นระเหิดจากน้ำใส แตะต้องผิวของเธอจนฉ่ำเย็น

“ยังมีที่สวยกว่านี้อีกนะ”

เธอหันมา สีหน้าสนอกสนใจ “จริงเหรอคะ” ก่อนจะนิ่วหน้าสงสัย “คุณแกล้งหลอกพิณอีกหรือเปล่า” ดูเหมือนเขาจะชอบแกล้งเธอไม่ใช่น้อย แกล้งเสร็จก็ยิ้มไม่ก็หัวเราะ ทำเอาเธออยากจะทุบตีเขาเพื่อเอาคืน แต่เธอก็ไม่เคยได้ทำจริง...เธอคงไม่กล้าไปทำร้ายเขาแบบถึงเนื้อถึงตัวด้วยเรื่องเพียงแค่นี้หรอก

ดนัยภัทรหัวเราะ ดูท่าเขาจะทำให้เธอกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเสียแล้ว

“เปล่าครับ ไม่ได้หลอก ถ้าคุณได้ไปเที่ยวน้ำตกทีลอซู คุณจะบอกว่าที่นี่เล็กไปเลย พอหลุดเข้าไปข้างใน คุณจะนึกว่าอยู่ในสวนสวรรค์ ทั้งหมดที่คุณเห็นจะเป็นสีขาวพร่าง น้ำตกเป็นชั้นลดหลั่นลงมา เหมือนชั้น...ชั้นขนม”

“ตะกละ” เธอคอด ริมฝีปากปริกว้างเป็นรอยยิ้มอ่อนหวานอย่างตุ๊กตาฝรั่ง

“ผมเปล่าตะกละนา มันเหมือนขนมจริงๆ เหมือนเค้กครีมชั้นๆ ผสมขนมสายไหม” เขาเชื่อว่าถ้าเธอได้เห็นมัน เธอจะต้องนึกถึงขนมเหมือนกับเขา

“ไม่ยักรู้ว่าคุณจะมีจินตนาการสูงขนาดนี้” เขาดูเก็กๆ แข็งๆ ไม่น่าคิดอะไรอย่างศิลปินได้

“มีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับผมที่คุณยังไม่รู้” เขาเอ่ยยิ้มๆ และกลับไปพูดเรื่องเดิม “รู้ไหมว่าทีลอซูเป็นน้ำตกที่สวยติดอันดับหนึ่งในหกของโลกด้วยนะ และการปีนน้ำตกก็ทรหดกว่ามากๆ ด้วย แต่ถ้าคุณเห็นมัน คุณจะตกหลุมรักทันที จนคุณเลิกคิดถึงความยากลำบากตอนปีนเลยเชียวล่ะ”

สดับพิณถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยง่าย “ขนาดนั้นเชียว” สีหน้าของเขาชวนเชื่อมาก

“อื้อ! แล้วคุณจะลืมที่นี่ ผมรับรอง”

“อืม...แต่พิณว่า...ยังไงพิณก็ไม่ลืมที่นี่หรอก ไม่ว่าจะยังไงสถานที่แต่ละแห่งก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง พิณไม่มีทางลืมป่าละอูแน่ๆ” เธอยืนยันด้วยน้ำเสียงอ่อนเบาทว่าหนักแน่น

“ก็ถูกของคุณ” ดนัยภัทรไม่เถียง เธอพูดถูก บางสิ่งบางอย่างใช่จะลืมได้ง่ายๆ และบางสิ่งบางอย่าง...บางคน...ก็มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง...เหมือนอย่างเธอยังไงล่ะ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

แผนนอนดูทีวีซีรีย์อยู่กับบ้านในวันหยุดของณัฐทินีมีอันต้องพับเก็บไปเพราะถูกมารดาขอร้องกึ่งบังคับให้ช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแลหลาน เธอขัดมารดาไม่ได้ และเห็นใจอชิระกับมิลินท์ที่อยากจะใช้เวลาตามลำพังบ้าง เลยจำต้องรับหน้าที่อันทรงเกียรตินี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูแลยายหนูให้” มิลินท์ผงกศีรษะอย่างขอบคุณเมื่อส่งอชิรญาให้แม่สามีเรียบร้อย อชิรญาไม่ร้องไห้โยเยสักแอะแม้จะถูกเปลี่ยนมือคนอุ้ม ยังคงยิ้มร่าและเขย่าของเล่นพลาสติกในมืออย่างคึกคะนอง

“เรื่องเล็กน่ามิลินท์ แม่เต็มใจ” สรียาบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจ หวังจะปัดความเกรงใจออกไปจากสีหน้าของลูกสะใภ้สาว “อยากให้ต้นกับมิลินท์ไปไหนสองต่อสองบ้าง ตั้งแต่มีลูกได้ไปเที่ยวไหนตามลำพังหรือยังล่ะ” เป็นแผนการของเธอที่คะยั้นคะยอให้ลูกชายเอาอชิรญามาฝากเลี้ยงระหว่างพวกเขาชมภาพยนตร์ในโรง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ทำมานาน ส่วนพวกเธอรวมทั้งอชิรญาจะเดินเล่นช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแทนการฆ่าเวลา

“ยังเลยครับ ยายหนูยังเด็กนัก จะทิ้งไปไหนคงไม่สะดวก” อชิระตอบ ไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเขาต้องเอายายหนูพ่วงติดไปด้วย แม้จะอยากมีเวลาอยู่กับมิลินท์เพียงลำพังบ้าง แต่อชิรญายังเด็กเกินไป และพวกเขาก็ห่วงลูกเกินไปด้วย แต่เมื่อมารดาออกปากอาสาและชักชวนให้เห็นถึงความสะดวก เขาก็เห็นดีด้วย

“สะดวกสิ เอามาฝากแม่นี่แหละ แม่ชอบ” สรียายิ้ม ยินดีเลี้ยงอชิรญา หลานรักอันดับหนึ่งและอันดับเดียวของเธออยู่แล้ว

“ต้องรบกวนแม่กับพี่ณัฐด้วย” อชิระพูด

“โอ๊ย! ไม่รบกวนหรอก” ณัฐทินีกล่าวเสียงสูง ความจริงก็รบกวนเธอหรอกนะ แต่ยังไงวันนี้เธอรับปากแม่แล้วว่าจะช่วยดูแลหลานด้วย ฉะนั้นก็...เลยตามเลยอย่างที่เห็น “ไปดูหนังให้สนุกเถอะ ไม่ต้องห่วงยายปลายหรอก” เธอสำทับ

“มา ส่งกระเป๋ายายหนูมา แล้วไปรอรอบหนังเถอะ” เธอกระดิกนิ้วไปยังกระเป๋าเด็กอ่อนใบโตสีชมพูที่อชิระสะพายอยู่ ข้างในมีข้าวของจำเป็นของเด็กหญิงอชิรญายามออกนอกบ้าน อย่างพวกผ้าอ้อมสำเร็จรูป ขวดนม ทิชชูเปียก เป็นต้น

“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ทั้งอชิระและมิลินท์พูดแทบจะพร้อมกันก่อนจะโบกมือร่ำลาทั้งลูกสาวกับแม่และพี่สาว พวกเขาเดินจูงมือกระหนุงกระหนิงออกไป ทิ้งให้อชิรญาไว้ในอ้อมแขนของผู้เป็นย่า แม่หนูยิ้มร่า โบกไม้โบกมือให้บิดามารดา ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกทิ้ง...เพราะไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น เธอรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักและต้องการเสมอ

“เลี้ยงเด็กคนเดียวมันจะยากสักแค่ไหนกันเชียว เนอะน้องปลายเนอะ” ณัฐทินีหันมาคุยเออออ ซึ่งยายหนูก็ตอบรับเป็นเสียงอ๊ะๆ ที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง

ริมฝีปากของสรียาโค้งเป็นรอยยิ้มกว้าง...ยายณัฐ หนูช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว การเลี้ยงเด็ก...ไม่ว่าจะกี่คน...ก็ยากทั้งนั้นแหละ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา ณัฐทินีแทบอยากคืนคำพูดเกี่ยวกับความยากง่ายในการเลี้ยงเด็ก เธอกำลังอุ้มยายหนูปลายผู้ร้องไห้โยเยอย่างไม่รู้สาเหตุ ขณะที่สรียาเดินหายไปในดงชุดชั้นในมากกว่าสิบนาที

“โอ๋ๆ น้องปลายจ๋า เป็นอะไรจ๊ะ ร้องไห้ทำไม” สีหน้าของหญิงสาวกลัดกลุ้ม เธอโยกร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนไปมา หวังจะปลอบโยนให้เจ้าตัวน้อยหยุดร้องไห้ แต่ดูเหมือนว่าวิธีการดังกล่าวจะไม่เป็นผล เพราะเสียงร้องไห้ของอชิรญายังคงดำเนินต่อไป

“แง...แง...” ดวงหน้าเล็กจ้อยบิดเบ้ ร่างเล็กดิ้นปั้ดๆ ไปมา

“โอ่โอ๊ เอ่เอ๊ หยุดร้องไห้เถอะนะน้องปลาย หนูเป็นอะไร ทำไมร้องไห้ไม่หยุด ป้าไม่เข้าใจ ทำอะไรไม่ถูกแล้ว” ณัฐทินีหันซ้ายหันขวามองหามารดาที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน

โอย...แล้วนี่แม่อยู่ไหน ไม่มาช่วยดู ทิ้งให้เธอดูยายปลายอยู่คนเดียว ส่วนตัวเองหนีไปช็อปปิ้ง เพราะอย่างงี้ใช่ไหม เลยต้องลากเธอออกมาช่วยดูหลานเป็นเพื่อน ตัวเองจะได้ช็อปสบาย

“ม้ะ...ม้ะ...แง...”

“โอ๋ๆ มะม้าไม่อยู่จ้ะ เดี๋ยวมะม้าก็มานะ” เธอเข้าใจว่าอชิรญากำลังร้องหามารดา

“ม่ายยยย...ฮือ...แง...” คำว่า ‘มะม้า’ พร้อมคำปลอบของผู้เป็นป้าไม่ได้ทำให้อชิรญาหยุดร้องไห้เลย

ณัฐทินีถอนหายใจ “น้องปลายจ๋า หนูอยากได้อะไร ป้าจะหามาให้ แล้วหนูต้องหยุดร้องไห้นะ”

อชิรญายังคงร้องเรียกม้ะๆ แต่เมื่อณัฐทินีพูดถึงมะม้า เด็กหญิงก็ยังร้องไห้กระอืดๆ

แล้วณัฐทินีที่กำลังท้อใจก็ปิ๊งไอเดีย

“อ๊ะๆ เรือบินอยู่โน่นนนน” เธอทำเสียงตื่นเต้นพร้อมชี้มือไปอีกทาง หมายจะดึงความสนใจของเด็กหญิง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเสียงร้องที่แผดดังยิ่งกว่าเดิม

“กะ...แง...ฮะ...ฮึก...ฮึก...” อชิรญาสะอึกสะอื้น ใบหน้าแนบไหล่คุณป้า น้ำหูน้ำตาเปียกเสื้อตัวสวยแสนแพงเป็นคราบ ซึ่งถ้าอยู่ในสถานการณ์ปรกติ ณัฐทินีจะต้องรีบส่งเด็กหญิงให้คนอื่นและทำความสะอาดเสื้อเปื้อนแล้ว ทว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไป...ต่างออกไปมากๆ

แม่นะแม่ ไม่ได้ยินเสียงยายหนูหรอกหรือ ร้องออกจะดังขนาดนี้ แม่มาช่วยณัฐหน่อย คนมองณัฐใหญ่แล้ว...ณัฐทินีรำพึงรำพันในใจพลางเขย่าหลานสาวที่ร้องไห้ฮือๆ ไปด้วย ดวงตากวาดมองออกไปรอบๆ ไม่พบแม้แต่เงาของมารดา หากเห็นแต่สายตาของผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมามองเธอด้วยความตำหนิปนสงสาร ราวกับเห็นว่าเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง แค่ลูกเล็กร้องไห้ก็จัดการให้เงียบไม่ได้ สร้างความรำคาญแก่คนอื่น

อย่านะ อย่ามองเธอด้วยสายตาแบบนั้น

โธ่! เธอจะไปจัดการกับเด็กได้อย่างไร เธอไม่เคยเป็นแม่คน ไม่เคยอ่านตำราเด็กอ่อน ไม่เคยเลี้ยงเด็ก อย่างยายหนูก็ได้แต่เล่นด้วยเท่านั้น พอยายหนูร้องไห้ อชิระกับมิลินท์ ไม่ก็เป็นสรียาจะเข้ามาดูแลแทน เธอไม่เคยจัดการอะไรสักอย่างนอกจากให้ความบันเทิงกับยายหนู ซึ่งดูท่าตอนนี้จะใช้ไม่ได้ผล

“หนูหิวแล้วใช่ไหม” ณัฐทินีถามแข่งกับเสียงร้องไห้ มือควานลงไปหยิบขวดนมที่มิลินท์ตระเตรียมไว้ให้ขึ้นมาจากกระเป๋าเด็กอ่อน เมื่อดึงจุกครอบออก เธอก็ยื่นขวดนมไปใกล้ปากเล็กๆ ที่กำลังแผดเสียงโมโหและไม่เข้าใจ

“อะ...อ้าม นมๆๆๆๆ นมอยู่นี่แล้ว” เธอพยายามป้อนจุกนมเข้าปาก แต่เด็กหญิงเบี่ยงหน้าหนีด้วยความรังเกียจ

“โอ๊ยตาย! น้องปลายจ๋า หนูไม่หิวนมหรอกเหรอ”

ณัฐทินีอยากจะเป็นคนที่ร้องไห้แทน แต่เธอก็ยังไม่หมดความพยายาม เมื่อนึกถึงตุ๊กตาวัวตัวโปรดของเด็กหญิงได้ ก็ล้วงมือไปหยิบมันออกมาหลอกล่อ แต่อชิรญาก็ไม่สน มือเล็กปัดตุ๊กตาทิ้ง ณัฐทินีย่อตัวลงไปเก็บตุ๊กตาอย่างทุลักทุเล มือหนึ่งพยายามประคองร่างเล็กในอ้อมแขน อีกมือก็เคลื่อนไปหาตุ๊กตาที่ดูจะไกลเกินเอื้อม เธอพยายามคว้ามัน แต่มีมือดีมาแย่งหน้าที่เก็บตุ๊กตาไปจากเธอก่อน

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดออกไปโดยอัตโนมัติ ใบหน้าแหงนเงยขึ้น และยิ้มค้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของมือผู้ช่วยเหลือนั้นเป็นใคร

“คุณน่าน!” เธออุทาน ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ตกใจราวกับเห็นสัตว์ประหลาดสามตาก็ไม่ปาน

ชลน่านกลั้นยิ้มไม่อยู่ มุมปากทั้งสองโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกึ่งขำกึ่งสงสาร...เธอคงไม่รู้ว่าหน้าเธอตอนนี้ดูตลกมากมายขนาดไหน...สาวสวยทันสมัยหน้าตาท่าทางสับสนกำลังยืนอุ้มเด็กที่กำลังแผดเสียงสิบแปดหลอด

วันนี้เขาถูกแพรพรรณรายตื้อให้ออกมาเจอทั้งที่เขาตั้งใจจะอยู่บ้านดูซีรีย์เรื่องใหม่ที่เพิ่งสั่งมาจากเว็บเมืองนอกแท้ๆ แต่เมื่อถูกอ้อนมากๆ เข้าก็จำใจออกมากับเธอ พวกเขากินอาหารกลางวันด้วยกัน ก่อนเธอจะลากเขามาซื้อชุดชั้นใน เขาไม่ได้อยากช็อปปิ้งกับเจ้าหล่อนด้วยเลย แต่ก็เหมือนเลยตามเลย นี่ไม่รู้เธอเดินหายไปไหน เขาไม่ได้สนใจจะตาม เดินลอยไปมาจนกระทั่งได้ยินเสียงเด็กร้องไห้น่ารำคาญ และเห็นใบหน้าคุ้นตากำลังอุ้มเด็กทารกเจ้าของเสียงร้องไห้ ท่าทางณัฐทินีดูจะร้องไห้ตามเด็กในอ้อมแขนไปด้วย สองเท้าของเขาก้าวเข้าไปหา ช่วยเธอเก็บตุ๊กตาเก่าๆ ที่ร่วงหล่นโดยอัตโนมัติ

“ไปขโมยเด็กที่ไหนมาครับเนี่ย” เขาไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเธอ...ก็ดูเธอสิ เลี้ยงเด็กเป็นเสียที่ไหน นอกจากจะจัดการให้เด็กหยุดร้องไม่ได้ เธอยังทำท่าตื่นตกใจอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก นี่ถ้าเขาไม่รู้จักเธอก่อนหน้านี้ จะต้องคิดว่าเธอลักขโมยเด็กมาแล้วไม่รู้จะปลอบเด็กได้ยังไงแน่ๆ

ณัฐทินีแยกเขี้ยวใส่ “บ้าสิ ไม่ได้ขโมยเด็กที่ไหนมา นี่น้องปลาย หลานฉัน”

พูดกันไม่ทันไร อชิรญาก็แผดเสียงร้องไห้แทรกเสียงการสนทนา ดึงความสนใจที่ชลน่านมีต่อคุณป้าไปยังเธอ

“นี่คุณ ช่วยฉันปลอบหลานหน่อยสิ” ณัฐทินีขอร้องเขา จนปัญหาจะทำให้อชิรญาหยุดร้องไห้ ใจจริงเธออยากจะโยนยายหนูให้ชลน่านอุ้มเสียด้วยซ้ำ เผื่อว่าเปลี่ยนมือคนอุ้มแล้วจะหยุดร้องไห้ แต่กลัวว่าจะยิ่งทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิม เลยยอมอุ้มไว้เหมือนเดิมดีกว่า

“อ้าว! คุณ ไหงโยนหน้าที่อย่างนี้ล่ะ” แม้จะโวย แต่ชลน่านก็ยังยิ้มและพยายามช่วย

“โอ๋ๆ น้องปลายคนสวยขา หยุดร้องไห้แล้วยิ้มให้ลุงหน่อยสิคะ” เขาทำหน้าเป็น หมายหลอกล่อเด็กหญิงให้หัวเราะ

แต่อชิรญาไม่ขำด้วย เธอเบะหน้า ครางกระซิก แล้วพลิกหน้าหนี

“โธ่! ไม่ชอบหน้าลุงหรอกหรือ” เขาตีหน้าเศร้า ก่อนจะนึกได้และถาม “คุณณัฐ น้องปลายหิวหรือเปล่า”

“ไม่น่าจะหิวหรอกค่ะ เมื่อกี้เอานมให้ก็ไม่ยอมกิน” ณัฐทินีนิ่วหน้า

“แล้วแม่น้องปลายไปไหน บางทีน้องปลายอาจจะอยากหาแม่”

“ไปดูหนังกับพ่อน้องปลาย ฉันแค่รับฝากชั่วคราว เฮ้อ...แล้วนี่แม่ฉันหายไปไหนไม่รู้ ทิ้งฉันไว้กับยายปลายเฉยๆ ทำอย่างกับว่าฉันโปรเรื่องเลี้ยงเด็กตายแล้วเนี่ย” ก่อนจะพูดบ่นมากไปกว่านี้ เธอก็เหลือบไปเห็นสรียาเดินตรงมา ในมือถือถุงช็อปปิ้งใบโต

ณัฐทินีไม่รอให้มารดาเดินเข้ามาหา เธอกระชับยายหนูในอ้อมแขนและเดินเร็วๆ ตรงไป โดยมีชลน่านเดินตามหลังมาติดๆ

สรียามองลูกสาวและหลานสาวที ก่อนจะเหลือบมองหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่เบื้องหลังสองสาวด้วยความประหลาดใจ...ใครกัน เธอไม่รู้จัก ไม่คุ้นหน้า แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่เพื่อนลูกสาวเธอ...หรือไม่ใช่เพื่อนที่เธอรู้จัก

เขายกมือไหว้ เธอรับไหว้อย่างงุนงง ณัฐทินีไม่สนใจจะแนะนำชลน่านขณะที่อชิรญากำลังเป็นปัญหา

“แม่คะ ยายปลายร้องไห้ใหญ่เลย ณัฐปลอบยังไงก็ไม่ยอมหยุด จะว่าหิวก็ไม่ใช่ เพราะป้อนนมก็ไม่ยอมกิน ณัฐไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” เธอส่งอชิรญาให้มารดาราวว่ากำลังอุ้มก้อนถ่านร้อนๆ

สรียารับยายหนูมาพิศดู อชิรญายังคงร้องไห้ เธอทำเสียงปลอบพลางลูบหลังเบาๆ แล้วถามลูกสาว “ผ้าอ้อมเปียกหรือเปล่า ตั้งแต่ออกมาเรายังไม่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยายปลายเลยนี่” เธอแสดงความเห็นอย่างคนเจนจัดเรื่องการจัดการเด็ก “ไป เราไปห้องน้ำกันดีกว่า” เธอพาอชิรญาซึ่งตอนนี้สงบลงมากออกเดิน ยายหนูส่งนิ้วเข้าปากดูดจ้วบๆ น้ำตาเปียกขนตาและจับตัวเป็นกระจุก หน้าอกสะท้อนน้อยๆ

ณัฐทินีเดินตามไป ทึ่งที่มารดาทำให้ยายหนูหยุดร้องไห้ได้...เฮ้อ...เธอคงเลี้ยงเด็กไม่ได้เรื่องจริงๆ นั่นแหละ

“คุณน่าน!”

เสียงใสที่ค่อนข้างแหลมเล็กเรียกให้ทั้งณัฐทินีและชลน่านหยุดเดิน ส่วนสรียานั้นหันไปมองแวบๆ และขมวดคิ้ว แต่ยังไม่หยุดเดิน มุ่งหมายจะไปห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยยายหนูให้คลายความอึดอัด

แพรพรรณรายเดินซอยเท้าเร็วๆ เข้ามาหาและคล้องแขนเขาหมับเบ้อเริ่ม แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชายหนุ่มเต็มที่ “หายไปไหนมาคะ แพรตามหาตั้งนาน” เธอจีบปากจีบคอพูด ใช้สายตาเย็นชามองประเมินณัฐทินีตั้งแต่หัวจรดเท้า

ณัฐทินีคอแข็ง แม้จะจำไม่ได้ว่าแพรพรรณรายเป็นดารา เนื่องจากไม่สนใจข่าวบันเทิง แต่กิริยาที่อีกฝ่ายแสดงต่อเธอและชลน่านก็ทำให้เธอเข้าใจสถานภาพระหว่างพวกเขาได้เป็นอย่างดี...อ้อ! มีแฟนอยู่แล้ว แต่ไปร่วมนัดบอด แถมยังมาทำเลียมลองล้อเล่นกับเธออีกแน่ะ คนทุเรศ!

“ไม่ได้หายไปไหน ก็ยืนอยู่แถวนี้แหละ” เขาไม่ได้โทษว่าเธอนั่นแหละที่ล่องหนไปเสียเฉยๆ

“แล้วนี่ใครคะ”

ชลน่านสบตาณัฐทินีก่อนจะตอบ “เพื่อน” เขาไม่คิดจะบอกแน่ว่าเป็นคู่นัดบอดของเขา

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลาน” ณัฐทินีชูกระเป๋าเด็กอ่อนประกอบ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่กล่าวลา เธอไม่รอการแนะนำตัว ไม่อยากรู้จักผู้หญิงคนนี้ และไม่อยากจะเสวนากับคนเจ้าเล่ห์อีกแม้แต่วินาทีเดียว!

แพรพรรณรายหน้าง้ำ “เพื่อนคุณนี่ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เลยนะคะ”

ชลน่านไม่ตอบ รู้แต่ว่าณัฐทินีโกรธเขาเสียแล้ว และเขาไม่สบายใจเลย

“ว่าแต่...เธอเป็นเพื่อนคุณน่านแน่หรือคะ” แพรพรรณรายซักต่อ มองเขาด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยแววสงสัย สัญชาตญาณความเป็นผู้หญิงทำให้เธอตงิดใจ

ชลน่านมองหน้านางเอกสาวคู่ควงอย่างเบื่อๆ “ทำไมถามแบบนี้ล่ะแพร”

“คุณน่านแอบคบคนอื่นลับหลังแพรใช่ไหมคะ” เธอไม่ยอมแพ้

“แพร เราแค่ควงกันเล่นๆ ไม่ใช่หรือ” เขาถอนหายใจ ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ หากทวงถามถึงคำมั่นแรกคบ

“แต่มีข่าวแพรกับคุณน่านลงหราในหนังสือ”

“แพรบอกเองว่ารับได้” เขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมผู้หญิงบางคนถึงชอบทำนิสัยแบบนี้ ตอนแรกก็รับเงื่อนไขที่เขาวางเอาไว้เป็นอย่างดี หากนานวันเข้ากลับคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของเขาได้ และแสร้งทำเป็นลืมว่าเคยรับปากอะไรกับเขาไว้

“แต่แพร...”

“พอเถอะแพร” เขาแทรกก่อนเธอจะได้พูดจบ “ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้ว เราควรจะจบกันได้แล้ว” ถึงเวลาที่เขาจะพูดมันสักที เขาปล่อยเธอมานานเกินไปแล้ว

“จบ? จบแบบไหนคะ” สายตาของเขาสร้างคำถามแก่เธอ เธอกับชลน่านไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยพูดไม่ดีใส่กัน เขาไม่เคยทำกิริยาน่ารำคาญใส่เธอด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรก

“จบ...” เขายักไหล่ สีหน้าไม่แคร์ “จบแบบ...จบกันสักที” เขามองหน้าเธอ คล้ายจะถามเธอทางสายตาว่า...อะไรกัน แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือไง

“คุณน่านอย่าล้อแพรเล่นนะ” เธอกล่าวเสียงสูง น้ำเสียงเจือไปด้วยความไม่พอใจ รู้ว่าเขาเอาจริง เธอรู้สึกตัวมาสักพักแล้ว แต่ใจก็ยังหวังว่าจะรั้งเขาไว้ให้นานที่สุดได้ เธอยังรักเขา รักของเธอคือการครอบครองเป็นเจ้าของ

“แพรก็รู้ว่าคบกับผมไม่มีอนาคต และผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัว” แต่เขาก็ไม่เอาเปรียบเธอด้วยการไม่บอกความจริงกับเธอ หลอกเธอไปวันๆ เหมือนผู้ชายบางคน เขาซื่อสัตย์ในสามัญสำนึกของตัวเองมากพอ

ไม่จริง เธอไม่เชื่อ เธอเชื่อว่าสักวันเขาจะต้องหลงรักเธอ และยอมอ่อนข้อให้เธอ...แพรพรรณรายเถียงเขาในใจ เพราะคิดแบบนี้ เธอจึงดื้อด้านเป็นพิเศษ เธอกำหมัดแน่นและเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจและเริ่มพูดช้าๆ ด้วยความใจเย็น

“อย่าเพิ่งคุยกันเลยค่ะ วันนี้คุณน่านอารมณ์ไม่ดี คงคุยกันไม่รู้เรื่อง”

ชลน่านส่ายหน้าเบาๆ ไม่ซ่อนยิ้มสมเพชบนใบหน้า “แพร ไม่ว่าจะยังไงคำตอบก็เป็นเหมือนเดิม แพรก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราชืดชามาสักพักแล้ว ผมกำลังจะยุติมันในไม่ช้า และคิดว่าเวลานี้เป็นเวลาดีที่สุด”

เธอยืนนิ่ง ซ่อนความโกรธและไม่พอใจไว้ข้างในใจ...เธอรักเขา เขาไม่มีสิทธิ์จะมาทำแบบนี้กับเธอ

“กลับกันเถอะ แพรซื้อของได้แล้วนี่” ชลน่านเปลี่ยนเรื่องพูดพลางพยักพเยิดไปยังถุงกระดาษในมือของเธอ “มา ผมถือให้” เขารับถุงมาจากมือเธอ

ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องเดิม ยังไงเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจ เขารู้ และเธอเองรู้ดี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

ณัฐทินีตามเข้าไปสมทบกับมารดาในห้องน้ำหญิง สรียาแกะผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกจากอชิรญาแล้ว เด็กหญิงนอนเปลือยครึ่งท่อน ปล่อยให้อากาศโบกเป่าจนก้นแห้งสนิท ดวงหน้ากลมเล็กหัวเราะร่า สองมือไขว่คว้าไปข้างหน้า เล่นกับสรียา ดูมีความสุขกว่าเดิมมาก

“ตกลงว่าผ้าอ้อมเปียกหรอกหรือคะ” ณัฐทินีถาม

“จ้ะ เต็มผืนเลย” สรียาบุ้ยใบ้ไปยังกองผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่เธอถอดวางไว้ข้างๆ ยังไม่ได้กำจัดลงถังผง “ทั้งหนักทั้งเปียกอย่างนั้น ยายปลายก็ต้องไม่สบายตัวเป็นธรรมดา”

“โธ่! ณัฐก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ยายหนูร้องไห้เพราะอะไร” เธอหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปออกมาจากกระเป๋าเด็กอ่อนและยื่นให้มารดา “ร้องแต่ม้ะๆ ณัฐก็นึกว่าร้องหามิลินท์”

“เวลาเด็กๆ ร้องไห้น่ะ ต้องการไม่กี่อย่างหรอก หิว ปวดฉี่ปวดอึ ป่วย อยากให้คนกอด อยากให้คนเล่น แต่แกพูดไม่เป็น” แม้อชิรญาจะพูดได้หลายคำ แต่ก็ยังบอกว่าปวดฉี่หรือปวดอึไม่เป็น “เลยใช้วิธีร้องไห้แทน...ณัฐ ส่งทิชชูเปียกกับแป้งให้แม่ด้วย”

ณัฐทินีควานหาของในกระเป๋าและดึงออกมา

“มาช่วยแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมดีกว่า...มา” สรียาเรียก ถึงเวลาที่ณัฐทินีต้องหัดเลี้ยงหลานบ้างแล้ว ซ้อมไว้ก่อนมีลูกยังไงล่ะ

ณัฐทินีนิ่วหน้าอย่างไม่แน่ใจ แต่สรียาไม่ให้เธอตัดสินใจเอง

“เอาผ้าเปียกเช็ดจุ๋มจิ๋มกับก้น เช็ดไล่ลงไปนะณัฐ เช็ดย้อนขึ้นมามันสกปรก” สรียาดึงทิชชูเปียกออกมาจากซองแล้วยัดใส่มือลูกสาว “เอ้า! ลองทำดู ยายปลายคงไม่อยากโป๊นานหรอก เนอะปลาย” เธอหันไปพยักพเยิดกับหลานสาว ซึ่งหัวเราะตอบรื่นเริง

ณัฐทินีเอาผ้าเปียกเช็ดตามที่มารดาสั่งอย่างกล้ากลัวและเก้กัง สรียาถึงกับส่ายหน้า

“ยายณัฐ ไม่ต้องทำหน้ารังเกียจขนาดนั้น นี่แค่ฉี่ ไม่ใช่อึ แล้วอีกอย่าง...แต่ก่อนแม่ยังทำให้ณัฐได้ ณัฐก็ต้องทำให้หลานได้เหมือนกัน...ใช่ไหม” แหม...แค่ฉี่ยังทำหน้าทำตาขนาดนี้ ไว้วันหลังต้องใช้ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมตอนยายปลายอึซะแล้ว จะได้รู้ว่าฉี่น่ะเรื่องเล็ก

ณัฐทินีทำหน้าเมื่อยและตอบเสียงอ่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ค่ะ”

“เช็ดเสร็จแล้วก็เอาแป้งทา ก้นจะได้แห้ง กันผดผื่น” สรียาสั่งไปสอนไป

การทาแป้งไม่เป็นปัญหาสำหรับณัฐทินีสักเท่าไหร่ แต่การเปลี่ยนผ้าอ้อมนี่สิ...

“อ๊าย! ยายปลาย อย่าเพิ่งคลาน อยู่เฉยๆ ให้ป้าใส่ผ้าอ้อมก่อน” เธอรีบตะครุบเจ้าตัวเล็กที่เริ่มจะลุกคลาน พยายามจับมานอนนิ่งๆ แต่อชิรญากลับแปลงร่างเป็นลูกลิงอยู่ไม่สุข ดิ้นไปมาในพื้นที่เล็กๆ ของเคานเตอร์ห้องน้ำที่จัดไว้ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก

สรียายิ้มกว้าง พยายามกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นณัฐทินีดูกล้าๆ กลัวๆ กับการจัดการหลานสาว

“แม่ ยายปลายไม่ยอมอยู่นิ่งๆ ให้ณัฐใส่ผ้าอ้อม” ณัฐทินีฟ้อง สีหน้าอับจนปัญญา พอเธอจะติดเทปยึดผ้าอ้อม อชิรญาก็ดิ้นไปมาจนเธอไม่สามารถติดเทปได้

สรียาหัวเราะ แต่ยังคงยืนเฉย ไม่เข้าไปช่วย “ยายณัฐ แค่จับยายปลายดีๆ อย่ากลัวก็พอแล้ว จับหลวมๆ กล้าๆ กลัวๆ แบบนั้น ยายปลายก็ดิ้นหลุดทุกทีน่ะสิ”

“โธ่! แม่นะ ยืนหัวเราะเฉยๆ อยู่ได้ยังไง” ณัฐทินีโอด

“เร็วเข้า เจ้าปลายอยากเล่นเต็มแก่แล้วนั่น” สรียาขู่ และเธอขู่จริง ไม่ได้ขู่เล่น อชิรญาสบายตัวและพร้อมจะเล่นแล้ว

“ใช้มือข้างนึงยกยายปลายขึ้น...ไม่ๆ รวบขาขึ้นสิ ใช้มือข้างเดียวนั่นแหละ สอดผ้าอ้อมเข้าไป” เธอบอก “เอาขาลงแล้วพับผ้าอ้อมขึ้น ติดเทปได้แล้ว ติดแน่นๆ นะ เดี๋ยวผ้าอ้อมหลุด ถ้าผ้าอ้อมหลุดแม่จะให้ณัฐเช็ดที่ปลายทำเลอะ” เธอขู่ก่อนจะย้ำเตือน “แต่อย่าติดแน่นเกินไป เดี๋ยวยายหนูอึดอัด”

ณัฐทินีฟังอย่างเดียว มือก็ทำตาม แม้จะช้า แต่สุดท้ายเธอก็ใส่ผ้าอ้อมได้สำเร็จ เล่นเอาเธอเหงื่อแตกซิกๆ

“เฮ้อ...เสร็จซะที”

“ยังไม่เสร็จ อย่าลืมใส่กางเกงด้วย” สรียาชี้ไปยังกางเกงสีชมพูที่กองอยู่ข้างๆ

“ปลาย มา ยืนขึ้นลูก เกาะแขนย่าไว้” เธอเข้าไปช่วยดึงหลานขึ้นมายืนและบังคับมือให้ยึดเธอไว้แทนหลัก

“เราจะใส่กางเกงกันนะจ๊ะ...เอ้า! ณัฐ เอาเกงกางมาเร็วสิ” ลูกสาวเธอเซ่อซ่าอีกแล้ว สงสัยจะต้องส่งไปหัดเลี้ยงหลานกับมิลินท์มากๆ เก้ๆ กังๆ แบบนี้ ไม่ได้ดังใจเธอเลย

“เอ้อ! ค่ะๆ” ณัฐทินีหยิบกางเกงมากางรอ

“เกง” อชิรญางึมงำ

“จ้ะ กางเกง”

อชิรญาเอาขาสั้นๆ หย่อนลงไปในรูของขากางเกง ณัฐทินีช่วยใส่ขาอีกข้างและดึงกางเกงขึ้น ขอบยางเกาะเอวเล็กๆ มั่น อชิรญาแต่งตัวเรียบร้อย เนื้อตัวก็แห้งสนิท เธอจึงไม่โหยกเหยกงอแงอีกแล้ว

ณัฐทินีจัดการกับขยะและเก็บของลงกระเป๋า สรียาเล่นกับหลานและได้โอกาสถามสิ่งที่เธอสงสัย

“ณัฐ ผู้ชายเมื่อกี้เป็นใคร”

ณัฐทินีกำลังรออยู่เหมือนกันว่ามารดาจะถามเมื่อไหร่ เธอรู้ว่าแม่จะต้องถาม ไม่ช้าก็เร็ว และเธอไม่เลี่ยงคำตอบ

“คู่นัดบอดของณัฐยังไงล่ะคะ”

“นัดบอด...นัดเมื่อวานกับวีแมตช์เลิฟน่ะนะ” หลังจากณัฐทินีกลับมาจากร้านไธม์ เธอยังไม่มีโอกาสได้ซักถามอะไร และเธอไม่ต้องการซักถามในตอนนั้นด้วย เพราะอยากให้เวลาณัฐทินีบ้าง การจับคู่โดยวีแมตช์เลิฟถือเป็นการกระทำที่เอาแต่ใจเธอแต่บีบบังคับณัฐทินีมากแล้ว

ณัฐทินีเท้าสะเอวอย่างหน่ายๆ “ยังมีนัดบอดไหนอีกล่ะคะ ณัฐเพิ่งจะไปแค่ครั้งเดียว”

“เขามีแฟนแล้วเหรอ” สรียาจำผู้หญิงที่เดินตามมาสมทบกับผู้ชายคนนั้นและแสดงความเจ้าข้าวเจ้าของอย่างออกนอกหน้าได้ เธอชื่อแพรพรรณราย เป็นนางเอกละครหมายเลขหนึ่งในตอนนี้ของโทรทัศน์ช่องยี่สิบ

“ค่ะ” ณัฐทินีตอบเสียงเรียบ กดความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ...คนหลอกลวง!

สรียาขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “แม่เพิ่งรู้ว่าคนที่มีแฟนแล้วก็เข้าร่วมวีแมตช์เลิฟได้”

“โอ๊ย! แม่คะ เขาคงไม่โง่เขียนในใบประวัติว่าตัวเองมีแฟนถ้าต้องการจับคู่นัดบอดหรอกค่ะ” ไอ้ที่บอกว่าโดนแม่บังคับก็คงจะโกหกทั้งเพ “หรือไม่บางที คำว่าโสดของคนบางคนหมายความว่ายังไม่แต่งงานมั้งคะ ฉะนั้นมีแฟนก็ยังเรียกว่าโสดได้ เพราะไม่ได้แต่งงาน!” ณัฐทินีกระแทกเสียงอย่างหมั่นไส้

“ต๊าย! เป็นผู้ชายที่แย่มาก” สรียาอุทาน “นี่ณัฐคงไม่ได้คิดจะมีนัดครั้งต่อไปกับเขาหรอกนะ” เธอทราบว่าถ้าคู่นัดพอใจซึ่งกันและกัน ก็จะสามารถติดต่อให้ทางวีแมตช์เลิฟจัดนัดให้อีกได้

“ไม่มีทางค่ะ ไม่มีครั้งต่อไปแน่ๆ” อีตาชลน่าน ฉันขอสาปส่งนาย!

...ผมไม่ค่อยให้เบอร์ส่วนตัวกับใครเท่าไหร่หรอกนะ...

ยิ่งคิดถึงคำพูดของเขา เธอก็ยิ่งเคือง...หน็อย! คงจะมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองมาก หวังจะล่อให้เธอโทรฯ ไปหาก่อน มาแผนสูง เว้นระยะห่าง ไม่รุกเร้า! อย่างนี้ต้องเจอแก้เผ็ด แม่จะเอาเบอร์ไปแกล้งโพสต์ในบอร์ดเกย์ จะได้จำเอาไว้ว่าอย่าเอาเบอร์โทรศัพท์ไปแจกซี้ซั้ว!

“แม่จะต้องคุยกับอัญ ปล่อยให้ผู้ชายแบบนี้ลอยนวลในวีแมตช์เลิฟไม่ได้หรอก มารผู้หญิงชัดๆ”

‘มารผู้หญิง’ ไม่รู้ตัวเลยว่านิสัยเจ้าชู้ขี้เบื่อกำลังจะทำให้เขาซวยบรรลัย!

จบบทที่ 6
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
================================================================

หวัดดีค่า

งวดนี้มาไม่ช้ามากนะคะ บทนี้ตัวละครเยอะแยะเลย คงจุใจทั้งสองคู่ ภัทรกับพิณดูอ่อนๆ ลงไปแล้ว แม้ภัทรจะมีแหย่ๆ บ้าง แต่ดูพิณก็ไม่ถือสาอะไร ส่วนณัฐกับน่าน กำลังสนุกเลย ขำตอนยายหนูปลายร้องไห้ ฮี่ๆ

มิถุนาเคยช่วยแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้น้อง อารมณ์เดียวกับณัฐเลยค่ะ ประมาณ...อี๋ อะไรเนี่ย แหวะ เหม็นจัง น่ารังเกียจ เช็ดก้นน้องก็เช็ดแบบแหยะๆ (ไม่ว่าจะเช็ดกี่ครั้งก็ยังเป็นแบบนั้น ยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี) แม่ก็บอกว่าไม่ต้องเช็ดแบบกลัวๆ เลย สมัยก่อนแม่ก็ทำให้เราเหมือนกัน ฮี่ๆ  เห็นไหมคะว่าคนเป็นแม่ลำบากขนาดไหน ต้องทนทำทุกอย่างเลย แม่เคยถามมิถุนาด้วยค่ะว่าถ้าอีกหน่อยแม่แก่มากๆ และมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย จะกล้าทำความสะอาดให้แม่ไหม มิถุนาก็บอกว่าทำได้ เพราะมันต้องทำนี่นา 55 แม้จะต้องอี๋ๆ แต่ก็แม่ของเราทั้งคน ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ...ใช่ไหมคะ

ความจริงอยากแปะรูปน้ำตกป่าละอูที่เคยไป แต่หาซีดีเซฟรูปไม่เจอ เลยอดเลยค่ะ แต่จำได้ว่าตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ไปน้ำตก ปีนไปสูงเหมือนกัน สูงจนมันชันแบบไปต่อไม่ได้ถึงได้กลับลงมา ได้เห็นผีเสื้อที่ไม่ได้เห็นมานานด้วยค่ะ จำได้ว่าตอนเด็กๆ จะต้องเห็นผีเสื้อช่วงเย็นๆ ทุกวัน แต่ปัจจุบันนี้ ไม่เห็นผีเสื้อมานานแล้ว (ไม่นับผีเสื้อกลางคืนนะคะ)

แล้วเจอกันคราวหน้านะคะ มาดูกันว่า ‘มารผู้หญิง’ ของเราจะเป็นยังไง 555 จะเจอหนูณัฐเล่นงานขนาดไหน เกมชิงรางวัล (หนังสือปรารถนารัก) ยังไม่หมดเขตนะคะ ยังส่งคำตอบเข้ามาได้ ใครที่สนใจเข้าไปอ่านกติกาที่กระทู้นี้เลยค่ะ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W8538152/W8538152.html อยู่ด้านล่างๆ ช่วงทักทายท้ายบท

มิถุนา
Busaba401@hotmail.com
//mtihuna.bloggang.com



Create Date : 16 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2552 16:27:33 น. 4 comments
Counter : 1019 Pageviews.

 
อ่านไปก็ยิ้มไป โดยเฉพาะตอนณัฐเลี้ยงหลาน ทำให้คิดถึงตอนตัวเองเลี้ยงหลาน ^____^


โดย: unna_jung IP: 10.8.101.187, 202.28.169.166 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:16:20 น.  

 
unna_jung ดีใจที่ทำให้คนอ่านยิ้มได้ค่ะ
ส่วนมิถุนาแต่งไปก็นึกถึงตอนตัวเองเลี้ยงน้องไปล่ะค่ะ จะมีเรื่องให้ฮาตลอดเลย :-))


โดย: มิถุนายน วันที่: 17 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:26:33 น.  

 
เขียนเหมือนมีประสบการ์ณเลี้ยงเด็กมาก่อนเลยนะค้า
รู้ลึกรู้จริง อิอิ


โดย: Rumbles IP: 62.6.163.65 วันที่: 8 มีนาคม 2553 เวลา:3:23:33 น.  

 
Rumbles 555 มือเลี้ยงน้องเลยล่ะค่ะ ตอนเช็ดฉี่เช็ดอี๊น้อง ก็ทำท่าแบบณัฐ แล้วก็โดนแม่ว่าแบบนั้นล่ะค่ะ 5555


โดย: มิถุนายน วันที่: 8 มีนาคม 2553 เวลา:11:47:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

มิถุนายน
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]





บล็อกนี้เริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมนิยายของมิถุนาให้เป็นหลักแหล่ง และต่อมาได้เพิ่มความชอบเกี่ยวกับเครื่องสำอาง การท่องเกี่ยว การกิน และเรื่องจิปาถะอื่นๆ ค่ะ ว่างๆ ก็แวะมาทักทายกันบ้างนะคะ

มิถุนา (busaba401แอตhotmail.com)

แวะทักทาย/ฝากคำถามได้ที่ cbox นะคะ แล้วจะมาตอบให้ทุกคนค่า








Fanpage นิยายของมิถุนา
(เฉพาะนิยายนะคะ ไม่ได้อัพเรื่องเครื่องสำอางค่ะ)
มิถุนา Mithuna นิยาย

โฆษณาหน้าของคุณด้วยเลยสิ



E-book ของมิถุนา
คืนปรารถนา
มิถุนายน
www.mebmarket.com
ทั้งหมดเริ่มต้นจากความเข้าใจผิด...อชิระคิดว่ามิลินท์หักหลังเขา เขาจึงใช้ความรักที่เธอมีให้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้น มิลินท์จาก...
ร้ายนัก(ไม่)รักเสียดีไหม
มิถุนายน
www.mebmarket.com
เมื่อยอดคุณป๊า ที่ถือคติที่ว่า “เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน” พยายามจับคู่ลูกๆ ที่เหลือให้ครบ อดีตคู่กัดสมัยละอ่อนเลยได้โคจรมาพบกันอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว...
New Comments
Friends' blogs
[Add มิถุนายน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.