*** All I want to do is find a way back into love ***
Group Blog
 
All blogs
 

โอ้ทะเลแสนงามที่หาดนางรำ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดอาการเบื่อหน่าย กะว่าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวแถวๆนครนายก แต่บังเอิญซุปเปอร์กิ๊กของเราไวกว่า จกตัวหนีบไปเยี่ยมหลานที่สัตหีบด้วย เลยมาลงเอยที่ชายหาดนางรำ อุว้าววว............เราไปสัตหีบมาหลายหนแล้วทั้งทำงานและเที่ยว แต่ไม่ยักกะรู้ว่ามีชายหาดสวย น้ำใส ขนาดนี้ ของกินก็อุดม ว่าแล้วก็อย่าช้า รีบตามมาเลยผองเพื่อน.....
สำหรับการเดินทาง จากกรุงเทพวิ่งเส้นมอเตอร์เวย์มาเรื่อยๆ ถึงพัทยาก็ตรงไปอีกประมาณ 30 กม.ก็ถึงสัตหีบแดนนาวีไทย เลยตัวเมืองสัตหีบมาหน่อยก็ถึงทางแยกเข้าช่องแสมสาร ชายหาดนางรำอยู่ติดกับท่าเรือสัตหีบ มีป้ายบอกทางตลอดจ้า



เย้...มาถึงแร้ววววว..............

เนื่องจากเรามาถึงกันแต่เช้า ประมาณ 9 โมงก่าๆ ชายหาดจึงยังค่อนข้างสงบ


มองไปเห็นเกาะเล็กๆ


บนหาดมีต้นสนขึ้นเป็นทิวยาว ปูเสื่อนอนเล่นก็เย็นใจ หรือจะเช่าเตียงผ้าใบเอนหลังก็เหมาะ

พอสายๆ ก็เริ่มมีคนทยอยหอบลูกจูงหลานมาลงหาด


หามุมถูกใจตั้งวงเล่นไพ่ เอ๊ย ตั้งวงคุยกัน


ส่วนเจ้า 3 ตัวนี้ก็ได้มุมส่วนตัวของพวกมัน






เด็กๆ ไม่รอช้า รีบลงหาดไปเล่นน้ำเล่นทรายกัน


ลุงรีบหามุมถ่ายรูปเก็บไว้แบล็คเมล์หลาน


ถ่ายรูปไปมา เอ๊ะ ลงเล่นน้ำมั่งดีก่า 3 ลุงหลานจึงลงไปลอยคอด้วยกัน


เกาะให้แน่น เรือพยูนจะออกรบแล้วววว..............


ส่วนสองหนุ่มนี้ ขอปลีกวิเวกไปในทะเลกว้าง

เรือคายัคสีสันปรี๊ดสะใจ รอบริการนักท่องเที่ยว


พี่สองคนกำลังขัดเรืออย่างขันแข็ง เข้าไปถามได้ความว่า ค่าเช่าเรือ ชม. ละ 80 บาท


มีบานาน่าโบ๊ท ด้วย แต่คนไม่ค่อยเล่นเท่าไหร่ อาจเพราะทะเลเรียบเหมาะกับการเล่นน้ำมากกว่า

อีกกิจกรรมริมหาดที่ได้รับความนิยม คือนวดฝ่าเท้า จ้า


สำรับของคนนั่งรอบนหาด อิอิ มะม่วงน้ำปลาหวาน


ติดชายหาด ด้านหลังลานจอดรถ มองไปเห็นร้านค้าตั้งเรียงราย ขาช็อปอย่างเราต้องแวะซะหน่อย


แม่เจ้า....อาหารทะเลทั้งน้านนนน............น่ากินที่ซู้ด....


ตาเริ่มลาย เลือกไม่ถูก


อุอุ ในที่สุดก็เลือกหมึกไข่ย่างมา 2 ตัว กินกันเปรม ขายตัวละประมาณ 50-90 บาทแล้วแต่ขนาด

อืม......อิ่มแล้วก็ได้เวลากลับพอดี ไว้วันหลังจะมาอีกนะ หาดนางรำ.....font>




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2550    
Last Update : 29 ตุลาคม 2550 18:02:25 น.
Counter : 1043 Pageviews.  

Baan Home Hak Story




ฝนยังโปรยลงมาไม่ขาดสาย อากาศภายในรถประจำทางที่ฉันนั่งยิ่งเพิ่มความอึดอัดชื้นแฉะ ถนนที่ทอดตัวคดเคี้ยวไปข้างหน้าแออัดด้วยรถหลายสีเหมือนลูกกวาดแท่งยาวๆ ซึ่งเกิดจากรถที่จอดติดนิ่งสนิทยาวเหยียด เด็กกระเป๋ารถเมล์เดินไปหมุนปุ่มวิทยุที่แผงหน้ารถไปมาสักครู่ก็มีเสียงเพลงร็อคที่ฮิตมาได้พักใหญ่กระแทกอากาศลอยมาให้ผู้โดยสารทั้งคันได้ยิน

“อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ.....”

ใจฉันลอยไปตามจังหวะของเพลง นึกถึงอีกคืนหนึ่งไม่นานมานี้ ...คืนที่ฝนตก อากาศอบอ้าว และเพลงร็อคบนรถตู้คันหนึ่งกับผู้โดยสารที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนอีกสิบกว่าคน...
.............................................
คืนนั้นรถก็ติดหนัก บนสะพานแคบๆ เลยแยกลำสาลีมาได้ไม่ไกลมีรถชะลอจอดแช่เรียงราย

“ปึ๊ก!!”, “เฮ้ย! ใครชนตูด”

พร้อมกับเสียงแรก รถตู้ทั้งคันก็สะเทือนด้วยแรกกระแทกจากรถคันหลัง เสียงอุทานเสียงหลังคงเป็นของพี่เล็ก ซึ่งนั่งอยู่หลังสุดคู่กับพี่ทรายและน้องกุ๊นลูกสาว คนขับรถของเราเปิดประตูลงไปเจรจากับรถคันหลังได้ไม่นานก็กลับมาเล่าให้เราฟังสั้นๆ ว่ากันชนบุบไปนิด รถคันหลังไม่มีประกันและบอกสาเหตุที่รถไถลมาจูบท้ายรถตู้ของเราว่า “ขอโทษที ป้าเผลอหลับไป” บรรยากาศในรถกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยเสียงหัวเราะ ปลายทางของเราอยู่อีกไกลหลายร้อยกิโลเมตร แต่ยังไม่พ้นเขตกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำเราก็มีเรื่องระทึกเสียแล้ว คุณจีกับคุณใหม่ที่นั่งข้างฉันเริ่มขยับตัวหาขนมขึ้นมาขบเคี้ยวแก้ง่วง พี่เจ พี่แตงโม พี่ปัทที่นั่งตอนหน้ายังวิจารณ์ถึงคุณป้ามหาภัยคนขับรถข้างหลังเราต่ออย่างสนุกสนาน น้องเจี๊ยบได้โอกาสงัดเอาบัญชีเงินบริจาคขึ้นมาเช็คอีกเป็นครั้งที่ 385 ส่วนน้องสุที่นั่งคู่กับคนขับหยิบแผ่นวีซีดีใส่เครื่องเล่นสักพักภาพเทปคอนเสิร์ตนักร้องซุปเปอร์สตาร์เมืองไทยก็ปรากฏขึ้นบนจอเล็กจิ๋วในรถ

“ อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ หน้าเนื้อใจเสืออย่างเธอ.....”
.............................................

เกือบเจ็ดนาฬิกาของวันรุ่งขึ้นรถตู้ที่เรานั่งมาก็เลี้ยวออกจากถนนใหญ่เข้าถนนเล็กๆที่ทอดตัวเข้าไปในแนวป่าโปร่งแห้งแล้งที่อยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองเท่าไหร่นัก รถโขยกซ้ายขวาไม่กี่ทีก็เลี้ยวอีกครั้งผ่านรั้วเตี้ยๆ และสนามฟุตบอลจิ๋วเข้าไปสู่ลานคอนกรีตยาวประมาณ 100 เมตร รายรอบด้วยอาคารสองชั้นทาสีขาวและกระท่อมไม้สามสี่หลัง อากาศเย็นสบายและบรรยากาศแสนสงบของบ้านโฮมฮักแทบจะเป็นสวรรค์บนดินสำหรับเราที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งร่วมเก้าชั่วโมง มาบนรถตู้ตลอดทางวิบากจากกรุงเทพฯ ถึงยโสธร ที่ลานด้านหน้าของอาคารหลังใหญ่สุดมีเด็กสองสามคนนั่งเคาะเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้นที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเสียงดังก๊องแก๊ง

“สวัสดีค่ะ”

เสียงทักข้างตัวดึงฉันกลับจากการเดินสำรวจมารวมกลุ่มกับเพื่อนเดินทางทั้ง 13 คน หญิงสาวที่เดินมาต้อนรับพวกเราอายุคงไม่ห่างจากฉันมากนัก หน้าตาสดใสและรอยยิ้มจริงใจทำให้ฉันรู้สึกสนิทกับเธอตั้งแต่ยังไม่เริ่มคุยกันด้วยซ้ำ น้องอ้อ หนึ่งในทีมงานบริษัททีวีบูรพาซึ่งนั่งมากับรถขนของบริจาคเข้าไปทักทายเธออย่างคุ้นเคย ทำให้ฉันได้รู้ว่าเธอชื่อแป๋ว เป็นพี่เลี้ยงหรือ “แม่” คนหนึ่งของเด็กๆ ในบ้านโฮมฮัก คุณแป๋วพาพวกเราเดินไปด้านหลังของอาคารหนึ่งในบริเวณนั้น ชานโล่งๆ ตรงนั้นมีเด็กสมาชิกบ้านโฮมฮักนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่พร้อมหน้า พี่ๆ ตัวโตๆ หน่อยตักข้าวเข้าปากตัวเองพร้อมๆ กับคอยดูแลกำกับน้องๆ ตัวเล็กๆ วัยไม่กี่ขวบ ทานเสร็จทุกคนมีหน้าที่ต้องล้างภาชนะของตัวเองยกเว้นน้องที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ภาพเด็กชายวัย 3 ขวบสวมเสื้อสีแดงแป๊ดและกางเกงขอบเอวย้วยๆ ยกถาดใส่ข้าวใบใหญ่เกินตัวไปที่อ่างล้างจานทำให้ฉันต้องหยุดกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปเสนอตัวช่วยเจ้าหนูล้างจานใบนั้นเพราะรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าแทบไม่ใช่ความเป็นจริง เสียงใครบางคนแถวนั้นเรียกชื่อเจ้าหนูทำให้ฉันได้รู้ว่าแกมีชื่อแสนจะเท่ว่า “อึ่งอ่าง”

คุณแป๋วพาพวกเรากลับออกมาที่ลานด้านหน้าอีกครั้ง ฉันกระมิดกระเมี้ยนไปชงกาแฟและหยิบขนมที่ทางบ้านโฮมฮักจัดให้และมานั่งละเลียดกินไปพร้อมกับคุยกับคุณแป๋วและแม่ๆ อีก 2 คนของบ้าน ใจยังนึกสงสัยว่าเด็กๆ ทานข้าวกับอะไรกันเช้านี้ สักพักเด็กๆ ก็เริ่มทยอยกันออกมาวิ่งเล่นที่ลานปูนและสนามฟุตบอล วันนี้วันเสาร์ ไม่ต้องไปโรงเรียน ปกติแม่ๆ จะปล่อยให้ได้เล่นกันเต็มที่ แต่วันนี้พิเศษเพราะมีแขกมาเยี่ยม เด็กๆ จึงรวมตัวกันที่ลานไม่หายไปไหน สักพักรถที่ขนของบริจาคก็ถอยหลังไปชิดประตูอาคารหลังหนึ่ง เด็กๆ กรูกันเข้ามาช่วยพวกผู้ใหญ่ขนของเป็นที่สนุกสนาน ของบริจาคเหล่านี้ได้มาจากผู้ใหญ่ใจดีหลายคนที่เป็นแฟนรายการคนค้นคนเมื่อทราบว่าพวกเราจะมีกิจกรรมนี้ก็ช่วยกันบริจาคเงินและข้าวของมาให้เด็กๆ อย่างล้นหลาม แม้จะมาเยี่ยมด้วยตัวเองไม่ได้อย่างพวกฉัน 14 คนก็ตาม

ขนของเสร็จทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็มานั่งเรียงกันหน้าสลอนที่หน้าลานปูนซึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นเวทีการแสดงเล็กๆ คุณแป๋วเดินออกไปหยิบไมโครโฟนและทำหน้าที่พิธีกรอย่างไม่มีพิธีรีตรอง เด็กๆ เวียนกันขึ้นไปแสดงตามคิว มีทั้งร้องเพลงประกอบกีต้าร์ ละครใบ้ และการแสดงรีวิวน่ารักๆ ของเด็กเล็ก เด็กโต ที่ร่วมใจกันฝึกซ้อมมาเป็นอาทิตย์ ฉันมองภาพเหล่านั้นอย่างอิ่มใจ เครื่องเสียงและเครื่องดนตรีของที่นี่ไม่ดีแม้สักครึ่งของคอนเสิร์ตเล็กๆ ในกรุงเทพฯ ที่ฉันเคยไปดู ฝีมือคนเล่นพอใช้แต่ห่างไกลมืออาชีพ ไม่มีเสื้อผ้าและฉากอลังการ คนดูก็เพียงคนแปลกหน้าจากเมืองกรุง แต่ฉันก็ยังเห็นความตั้งใจเต็มร้อยของคนแสดง ใจฉันหวิวๆ เมื่อนึกถึงความจริงว่าน้องแป้งที่สวมกระโปรงแดงเต้นสวยๆ คนนั้นเพิ่งอายุได้สามขวบเมื่อแกเข้ามารับการดูแลที่บ้านนี้เมื่อห้าปีก่อนพร้อมความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจและเชื้อ HIV เนื่องจากการถูกละเมิดทางเพศ ตอนนี้น้องแป้งอายุได้แปดขวบแล้วและมีชีวิตที่สดใสร่วมกับเพื่อนๆ แม่ๆ ที่บ้านโฮมฮัก ส่วนน้องแก้วแม้จะดูตัวเล็กกว่าเด็กสามขวบทั่วไปแต่ก็พยายามเต้นให้เข้าจังหวะกับเพื่อนๆ ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว ก ไก่ ของแกทำให้เราพอเดาได้ว่าน้องแก้วเป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกทอดทิ้งจากคนในครอบครัวและได้รับการตั้งชื่อจากแม่ๆ ที่บ้านโฮมฮักนี่เอง ส่วนน้องโต้งมือกีต้าร์สุดหล่อก็เคยมีอดีตที่มืดมนมานานปีเพราะยาเสพติดก่อนจะมาเจอบ้านหลังนี้ ...เสียงปรบมือดังสนั่นจากผู้ชมไม่กี่คนดึงฉันจากภวังค์... อย่างน้อยวันนี้ทุกคนก็ได้เจอบ้านที่อบอุ่นแล้ว...

คุณแป๋วออกไปประกาศเชิญพวกเราแสดงกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ ฉันหันไปปรึกษาน้องสุ น้องเจี๊ยบและคุณใหม่ก่อนออกไปร้องเพลงและเล่นเกมกับพวกเด็กๆ กันอย่างสนุกสนาน ได้เวลาทานอาหารกลางวัน เด็กๆ แยกย้ายไปล้างมือและเข้าประจำหน้าที่ของแต่ละคนอย่างเป็นระเบียบและรู้งาน พวกเด็กโตไปช่วยแม่ครัวยกกับข้าวและตักข้าวให้น้องๆ บ้านโฮมฮักเตรียมข้าวกล่องให้พวกเราที่เป็นแขก ส่วนเด็กๆ วันนี้...ปั้นข้าวเหนียวจิ้มกับส้มตำและหมูยอทอดกะล่อยกะหลิบอยู่อีกวงหนึ่ง ของหวานเป็นข้าวโพดต้มร้อนๆ หอมฉุยที่แม่ๆ กำชับว่าเด็กที่ทานข้าวหมดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์

ช่วงบ่ายเรายังมีกิจกรรมกันต่อ ทั้งแข่งชักคะเย่อและเกมสนุกต่างๆ ส่วนวิ่งกะลาถูกตัดออกจากรายการเพราะกะลาร้อยเชือกที่เตรียมไว้สำหรับแข่งนั้นมีเจ้าตัวซนเอาไปทดลองวิ่งจนพังเรียบตั้งแต่เช้า เล่นกันจนหมดแรงส้มตำแล้วก็ใกล้เวลาที่เราต้องออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ พวกเรามอบเงินบริจาคและข้าวของที่รวบรวมจากเพื่อนๆ ญาติๆ ของเราทั้ง 14 คน รวมทั้งแฟนรายการคนค้นคนที่ทราบข่าว จำนวนเงินดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายประจำวันของที่นี่ แต่พวกเราก็แสนจะปลื้มใจที่รู้ซึ้งว่ามันช่วยต่อความหวังให้แม่ๆ ที่บ้านโฮมฮัก และต่อชีวิตให้ลูกๆ ของพวกเธอได้จริงๆ เสร็จพิธีคุณติ๋ว-สุธาสิณี น้อยอินทร์ ได้ออกมากล่าวขอบคุณพวกเราอย่างจริงใจ จากนั้นพวกเราย้ายกลับไปที่ชานหลังบ้านอีกครั้งเพื่อร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญแบบอีสานแท้และกล่าวคำลากับคนที่บ้านโฮมฮัก
...................................

รถประจำทางที่ฉันนั่งเริ่มขยับเขยื้อนไปข้างหน้าช้าๆ การจราจรคงเริ่มคลายตัวหลังฝนหยุด ตอนนี้เพลงจากวิทยุเปลี่ยนเป็นเพลงที่ฟังสบายหูขึ้น ใจฉันยังวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของคนในบ้านโฮมฮัก ร้อนที่ขอบตาเมื่อนึกไปถึงคำขอบคุณของคุณติ๋วก่อนเราลาจากมาในวันนั้น...
“...นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนข้างนอกมาเยี่ยมและทำกิจกรรมร่วมกับเราแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กธรรมดาวิ่งเล่นกับเด็กๆ ของบ้านโฮมฮัก ขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ทำให้เด็กๆ ได้รู้ว่านอกรั้วบ้านหลังนี้ยังมีคนอื่นๆ ที่รักพวกเขาอยู่…”
...................................

ตุลาคม 2547




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2550    
Last Update : 11 สิงหาคม 2550 0:54:42 น.
Counter : 315 Pageviews.  

เที่ยวระยอง ฮิ!!




แนะนำตัวละคร:
1. ถุงชา/ถุงทอง/ถุงข้าว เป็นลูกๆ (น้องหมา) ของพี่วิชัยค่ะ
2. พี่วิชัย เป็นพี่ที่ทำงานด้วยกันที่ไบโอเทค จ้า
3. พี่กาญจน์ (กาญจนา) ภรรยาสุดเลิ้ฟของพี่วิชัย
4. พี่วัลย์ พี่เต่า พี่หลิน พี่หนุ่ย พี่ติ๊ก ก็เป็นพี่ที่ไบโอเทคเหมียนกาลล์
5. น้องมีนเป็นลูกสาวพี่ติ๊ก

เรื่องนี้มันมีอยู่ว่า.....

หวัดดีฮับ ป๋มชื่อถุงชาฮับ เป็นลูกสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์เทอเรีย ป๋มเป็นลูกของปาป๊าวิชัยกะหม่าม๊ากาญจนาฮับ วันนี้ป๋มตื่นเต้นมากเลยฮับ ที่ปาป๊ากะหม่าม๊าจะพาไปเที่ยวทะเล ครั้งแรกในชีวิตป๋มเลยนะฮับเนี่ย อยากเล่าให้พี่ป้าน้าอาทุกคนฟังฮับ แต่ก่อนอื่นป๋มขอแนะนำครอบครัวป๋มให้ทุกคนรู้จักก่อนนะฮับ

ป๋มมีพี่ชายกับพี่สาวอย่างละตัวฮับ พี่ชายป๋มแก่แล้ว เป็นสุนัขพันธุ์ชิสุ ชื่อถุงทองฮับ ถึงเค้าเป็นพี่ชายป๋ม แต่อายุเราห่างกันมาก ป๋มเลยไม่เรียกเค้าว่าพี่ฮับ แต่เรียกว่าลุง ลุงถุงทองอยู่กะหม่าม๊ามานานแล้วฮับ ปีนี้อายุตั้งเกือบสิบปีมนุษย์แล้ว น้ำหนักก็เกินพิกัดเพราะหม่าม๊าเลี้ยงพวกเราอย่างดี ลุงถุงทองเป็นหมาที่หน้าตาตลกมากเลยฮับ ตาโปนๆ ฟันล่างก็เหยิน ตัวก็อ้วน เดินอุ้ยอ้ายไปมาพุงแทบลากไปกะพื้นเลยฮับ ส่วนพี่สาวป๋มเป็นสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล ชื่อถุงข้าวฮับ พี่ถุงข้าวเค้าเป็นลูกสาวคน(ตัว)โปรดของปาป๊าฮับ ไปไหนต้องเดินพันแข้งพันขาปาป๊าตลอด ทำตาเชื่อมให้ปาป๊าอุ้มเรื่อยเลยทั้งที่น้ำหนักก็เกินพิกัดพุดเดิ้ลทั่วไปอีกเหมือนกัน นี่ล่ะฮับ ครอบครัวตัวอ้วนๆ ของป๋ม

วันนี้เป็นวันศุกร์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ฮับ ปาป๊าไม่ไปทำงาน พอบ่ายๆ ก็ช่วยกันกะหม่าม๊าขนของขึ้นรถแล้วพาพวกป๋มขึ้นรถมาด้วย ปาป๊าบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวที่ทำงานปาป๊าฮับ เพราะต้องไปรับพี่ๆ อีก 5 คนขึ้นรถไปเที่ยวทะเลด้วยกัน ป๋มนั่งตื่นเต้นไปตลอดทางเลยฮับ โอ้โห...ที่ทำงานปาป๊าใหญ่โตมากเลยฮับ แต่วันนี้ร้อนมากๆ เลย พวกป๋มเคยอยู่แต่ในบ้าน พอมาเจอแดดแจ๋แบบนี้ลุงถุงทองหอบจนลิ้นห้อยเลยฮับ สงสัยไขมันลุงละลายไปหลายขีด พวกป๋มมานั่งรอที่ทำงานปาป๊าตั้งนานแน่ะฮับ ทีแรกมีพี่วัลย์กะพี่เต่ามาก่อน แล้วพี่หน่อยก็วิ่งหัวฟูกระเจิงตามมาสมทบอีกคน พี่หน่อยเค้าต้องกลับไปเอากระเป๋าที่หอเค้าฮับ ตื่นเต้นจัดที่จะได้ไปเที่ยว ตอนเช้าเลยเดินตัวปลิวออกจากหอ ลืมหิ้วกระเป๋าเดินทางมาด้วย ทีนี้ก็รอคนร่วมทางอีก 2 คน คือป้าหลินกะป้าหนุ่ย ป้าหนุ่ยวันนี้มีประชุมที่ตึกโยธีฮับ พอบ่าย 2 กว่าๆ ป้าหนุ่ยก็ลุกขึ้นขอทำหน้าที่แทนประธานด้วยการปิดประชุมแล้ววิ่งมาขึ้นแท็กซี่กลับมาที่ทำงานปาป๊าที่รังสิต ก็เลยมาสมทบกะพวกเราทีหลัง ส่วนป้าหลิน ทีแรกทุกคนนึกว่าป้าหลินจะมาพร้อมกะป้าหนุ่ย แต่พอป้าหนุ่ยมาถึงก็ปฏิเสธว่าไม่ได้มาด้วยกันซักหน่อย มือถือก็ติดต่อไม่ได้ กรรม...พี่หน่อยเค้าเลยโทร.หาป้าหลินที่เบอร์ที่โต๊ะทำงานที่รังสิตถึงได้รู้ว่าป้าก็อยู่ที่นั่นล่ะฮับ พวกเราเลยขนกันขึ้นรถปาป๊า แล้ววิ่งไปรับป้าหลินที่ตึกที่ป้าหลินนั่งทำงานอยู่ อย่างนี้ภาษามนุษย์เค้าเรียกว่า ราชรถเกยถึงที่ฮับ (ฮิๆๆๆ) เฮ้อ...กว่าจะได้ออกเดินทางก็บ่ายสี่โมงกว่าแล้วฮับ คนกับหมารวมกัน 10 ชีวิตพอดีในรถคันเดียว

พอรถเริ่มวิ่ง ลุงถุงทองแกก็หลับฮับ แกนอนบนตักหม่าม๊า แผ่หราเต็มที่ แถมกรนครืดๆ ไปตลอดทาง ลุงแกคงเหนื่อยมากน่ะฮับ เลยหลับรวดตั้งแต่รังสิตจนถึงรีสอร์ทที่ระยองเลยฮับ ป๋มล่ะนับถือแกเลย นอนเข้าไปด๊ายยยยยย........ ขนาดพี่ถุงข้าวยังหลับแต่พองาม มีตื่นมาบ้าง ส่วนป๋ม หลับไม่ลงฮับ บอกแล้วว่านี่ครั้งแรกในชีวิต ป๋มเลยตื่นเต้นหนักไปหน่อย ปีนขึ้นปีนลงตามเบาะที่นั่งในรถไปตลอดทาง ปาป๊าขับรถเก่งฮับ แค่ 2 ชม. ครึ่งเราก็มาถึงระยองกันแล้ว ที่ตลกก็คือ รถของปาป๊า มาถึงก่อนรถของพี่ติ๊กฮับ พี่ติ๊กเค้ามากะพวกเราเหมือนกันแต่นั่งรถมาอีกคันนึง มากะสามีและลูกสาวแก ความจริงพี่ติ๊กขับรถออกจากบ้านแกตั้งแต่บ่าย 3 กว่าๆ แต่มาถึงทีหลังปาป๊าเพราะแกหลงทางมาตลอดเลยฮับตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ แล้ว ฮิๆๆๆ พอมาถึงรีสอร์ท พวกเราก็ไม่มีใครฟังใครเลยฮับเพราะหิวกันหน้ามืดทั้งคนทั้งหมา หม่าม๊าเลยต้องรีบทำข้าวให้พวกป๋มกิน ส่วนปาป๊ากะคนที่เหลือทั้งหมดก็ออกไปหาข้าวกินกันที่ร้านใกล้ๆ รีสอร์ทฮับ ป๋มลืมบอกไป รีสอร์ทที่พวกเรามาพักชื่อวังแก้วฮับ อยู่ห่างจากตัวระยองมานิดนึง ใกล้ๆ ท่าเพฮับ ข้าวเย็นวันนี้ (พี่หน่อยเค้ากลับมาเล่าให้ป๋มฟังฮับ)ของพวกปาป๊ามีป้าหนุ่ยกะป้าหลินคอยสั่งให้กินฮับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง เมนูไหนว่าดีว่าเริ่ดป้าสองคนจัดการสั่งมาให้กินได้หมดฮับ เสร็จจากมื้อค่ำมื้อแรกในระยอง พวกปาป๊าก็มาแวะตุนเสบียงพวกน้ำดื่ม น้ำแข็ง ขนมนมเนยเอาไว้กินยามดึก แล้วก็กลับมาอาบน้ำนอนกันฮับ บ้านพักที่หม่าม๊าจองไว้มี 2 หลังฮับ หลังนึงมี 2 ห้องนอน พวกปาป๊านอนกันที่หลังแรก แล้วอีกหลังนึงยกให้ครอบครัวพี่ติ๊กฮับ ความจริงหลังที่พี่ติ๊กพักมีห้องว่างอีกห้อง แต่พี่เต่าแกไม่ยอมไปนอนฮับ โสงสายยยยยยยยตื่นมาตอนดึกมีคนมานอนด้วยข้างๆ น่ะฮับ ฮี่ๆๆๆๆๆๆๆๆ พี่เต่าแกเลือกมานอนที่โซฟาในห้องโถงของบ้านหลังแรกแทน อบอุ่นดีฮับ ฮ้าวววววววว...........ป๋มง่วงแล้วล่ะฮับ คงต้องขอตัวไปนอนก่อน ปาป๊าเอาเสื้อมาใส่ให้พวกเรา 3 ตัวแล้ว พวกเราถูกสอนมาดีนะฮับ ก่อนนอนต้องใส่เสื้อกันหนาวซะก่อน พอปาป๊าบอกว่ายกแขนซ้าย ยกขาขวา พวกเราก็ฟังรู้เรื่องนะฮับ ใส่เสื้อแค่นี้ จิ๊บจ๊อยมากฮับ
*********
หวัดดีฮับ เช้านี้อากาศดีจังเลย พวกป๋มตื่นกันแต่เช้า พี่ๆ เค้ายังไม่ตื่นกันเลยฮับ โดยเฉพาะพี่หน่อย เดินหัวฟูออกมาจากห้องนอน เพื่อนหายหมดเลยฮับ พอป๋มเจอพี่หน่อย พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนนี้ก่อนนอนเค้าไปเดินเล่นกันที่ชายหาดหน้าบ้านพักด้วยฮับ โอ้โห...โรแมนติกกันน่าดู เสียดาย หันซ้ายเจอพี่วัลย์ หันขวาเจอพี่เต่า หมดอารมณ์โรแมนติกเลยฮับ (ฮ่าๆๆๆ) ตื่นมาพี่หน่อยก็หาโอวัลตินกินก่อนเลยฮับ แล้วพอ 8 โมงเช้า ปาป๊าก็ชวนทุกคนไปกินอาหารเช้าที่รีสอร์ทจัดไว้ให้ รีสอร์ทวังแก้วนี่กว้างขวางมากเลยนะฮับ ป๋มเองก็เพิ่งเห็นเต็มตาเช้านี้นี่เอง เพราะเมื่อวานตอนเรามาถึงกันก็มืดแล้ว เห็นเค้าว่ามีพื้นที่ตั้งหลายร้อยไร่นะฮับ มีเนินเขา มีป่า มีบ้านพักหลายแบบปลูกกระจายกัน และที่เป็นบ้านพักยื่นไปในทะเลก็มีฮับ ร้านอาหารที่พวกปาป๊าไปกินข้าวเช้ากันอยู่ด้านหน้าของรีสอร์ทฮับ ยื่นไปในทะเล รับลมยามเช้าสดชื่นมากเลย น่าเสียดายฮับ พวกป๋มเข้าไปในร้านไม่ได้ หม่าม๊าเลยต้องนั่งอยู่เป็นเพื่อนพวกป๋มในรถ พี่หน่อยมาเล่าเยาะเย้ยพวกป๋มด้วยฮับ ว่าอาหารเช้าของที่นี่อร่อย มีให้เลือกระหว่างข้าวต้ม มักกะโรนีต้ม แล้วก็พวกอาหารเช้าแบบฝรั่ง ป้าหลินเห็นอาหารแล้วตื่นเต้นเลือกไม่ถูกเลยฮับ ต้องระงับใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเลือกได้ กินข้าวเช้ากันไปก็ปรึกษากันไปว่าวันนี้จะมีโปรแกรมอะไรกัน สำหรับปาป๊าหม่าม๊าแล้วก็พวกป๋มนั้นก็ไม่ได้ไปไหนกันอยู่แล้ว กะจะพักผ่อนกันที่บ้านพักรอทำกับข้าวให้พี่ๆ เค้าฮับ พี่หน่อยกะพี่วัลย์เค้าไม่เคยไปเกาะเสม็ดกัน ก็เลยชวนเชิญแกมบังคับให้ทุกคนไปด้วย ทีแรกว่าจะขอติดรถปาป๊าไปลงที่ท่าเพ เพราะปาป๊าจะออกไปจ่ายตลาดพอดี บังเอิญสามีพี่ติ๊กเค้าใจดีไปส่งให้และก็จะข้ามไปเสม็ดด้วยกัน ก็เลยเปลี่ยนแผนแห่มาขึ้นรถพี่ติ๊กกันหมด เฮ้อ...พวกพี่ๆ ป้าๆ เค้าไปกันแล้วล่ะฮับ พวกป๋มต้องเฝ้าบ้านตามระเบียบ แต่พี่หน่อยก็สัญญาว่ากลับมาจะเล่าให้ป๋มฟังฮับว่าไปเที่ยวเสม็ดเป็นไงกันบ้าง ปรากฏว่า เย็นนั้นพี่หน่อยหน้าดำเป็นเหนี่ยงมาเลยฮับ เพราะแดดแรงมาก พี่หน่อยเค้าไปนั่งเล่นสร้างปราสาททรายแล้วก็เล่นน้ำทะเลกับน้องมีนฮับ ครีมกันด่งกันแดดก็ไม่เคยมีกะใครเค้า เดินๆ อยู่ในบ้านนี่บางทีป๋มเห็นแล้วสะดุ้งฮับ นึกว่าเจ้าที่ เห็นแต่เสื้อสีขาวๆ ลอยมาแต่ไกล มองใกล้ๆ อ้อ พี่หน่อยนี่เอง ส่วนเรื่องที่ไปเสม็ด พี่หน่อยก็เล่าใหัฟังอย่างนี้ฮับ

สายวันนั้นพวกพี่หน่อยไปถึงท่าเพประมาณ 10 โมงเช้า ก็ไปซื้อตั๋วเรือข้ามฟากกัน เรือมีหลายบริษัทมากครับ ตามแต่จะเลือก ราคาเรือข้ามฟากก็คนละ 50 บาท พวกพี่หน่อยซื้อตั๋วแบบทั้งขาไปขากลับ ก็คนละ 100 บาทฮับ คนเยอะพอสมควรทีเดียว เต็มเรือพอดีๆ จากฝั่งที่ท่าเพข้ามไปท่าด่าน ก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง พอไปถึง พี่เต่าในฐานะคนเคยมาก็พาพวกพี่หน่อยเดินๆๆๆ ไปที่ชายหาดที่ใกล้ที่สุดกัน ตรงนั้นก็เป็นหาดทรายแก้วฮับ เนื่องจากเป็นหาดที่ใกล้ที่สุด คนก็เลยเยอะ ส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ แหม...ป๋มล่ะเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ไปด้วย พี่หน่อยบอกว่าพวกแหม่มพากันใส่บิกินี่นอนอาบแดดกันตึมเลย แต่คิดอีกที ไม่เห็นก็คงดีแล้วล่ะฮับ อย่างสามีพี่ติ๊ก แกนั่งๆ อยู่ในร้านอาหารบนชายหาด ซักพักมีแหม่มแก่ๆ กลุ่มนึงเดินเข้าร้านมา มาถึงก็จัดการถอดเสื้อออกหมดเลยฮับ ก้มตัวลงทีนี่โอ้โห โทงเทงเกือบถึงพื้นเลย ขนาดสามีพี่ติ๊กยังแทบหัวใจวาย ถ้าเป็นลูกหมาอย่างป๋มคงช็อคซีเนม่าแน่ๆ เลยฮับ

เนื่องจากกว่าพวกพี่หน่อยเค้าจะเดินมาถึงที่ชายหาดก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี อย่างแรกที่คณะทำก็คือ...หาของกินฮับ ครอบครัวพี่ติ๊กกับป้าหลินก็เลยแยกไปสั่งกับข้าวกินในร้าน ส่วนป้าหนุ่ย พี่วัลย์ พี่หน่อย พี่เต่า ก็แบกเสื่อไปหาทำเลปูใต้ร่มไม้ที่ชายหาด นั่งคุยกันไป งัดเสบียงออกมาขบเคี้ยวเล่นไปพลางๆ มองดูคนที่เดินไปมาบนชายหาด เนื่องจากว่างจัดพวกพี่เค้าเลยตั้งหน้าตั้งตาวิจารณ์ทั้งคนทั้งหมาที่เดินผ่านไปมาอย่างเมามัน ขนาดพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นยังไม่รอดการวิจารณ์ของพวกพี่เค้าไปได้เลยฮับ สักพักอาหารที่สั่งไว้ก็ทยอยมาถึงโดยมีพี่ติ๊กเดินมาส่งที่เสื่อ ก็นั่งล้อมวงกินกันที่นั่นเลยฮับ ได้บรรยากาศมากๆ ลมพัดมาทีทรายก็เข้าปากพร้อมกับส้มตำน้ำตกหมูที่กะลังตักเข้าปากพอดี พอกินอิ่ม น้องมีนก็ลากพี่วัลย์กะพี่หน่อยไปเล่นก่อปราสาททรายแล้วก็เล่นน้ำทะเลกัน สนุกสนานเจี๊ยวจ๊าวจนนึกว่ารุ่นเดียวกันหมด ถึงแม้อากาศจะร้อนไปนิด คนเยอะไปหน่อย แต่ชายหาดก็สวยใช้ได้ น้ำทะเลใสแจ๋ว ลมพัดเย็นสบาย เหมาะแก่การงีบ(ของสามีพี่ติ๊ก)และการเม้าท์กระจาย(ของพวกป้าหลิน ป้าหนุ่ย พี่ติ๊ก) มากๆ เลยฮับ บ่ายๆ ก็เก็บข้าวของ เตรียมกลับขึ้นฝั่ง ขากลับนี่ทุกคนส่ายหัวไม่ยอมเดิน เลยตกลงขึ้นรถสองแถวจากหาดทรายแก้วกลับไปที่ท่าด่าน ค่ารถก็คนละ 10 บาทฮับ พอขึ้นเรือ ชาวคณะก็หลับกันเป็นแถว อืม...กินอิ่ม ลมเย็น เรือโยกน้อยๆ อย่างนี้ หลับดีกว่า

พอขึ้นฝั่งที่ท่าเพ ก็ไปแวะตลาดกันนิดหน่อยเพื่อซื้อเครื่องปรุงเพิ่มเติมให้พ่อครัวแม่ครัวประจำคณะ กลับถึงบ้านพักก็ประมาณ 4 โมงเย็น ปาป๊ากับหม่าม๊ากำลังเริ่มทำกับข้าวพอดีเลยฮับ มื้อเย็นมื้อนี้ปาป๊ากะว่ากินกันให้ตายไปข้างนึง เลยไปดักซื้อของทะเลสดที่อ่าวนึงในบริเวณของรีสอร์ท ซึ่งชาวประมงจะเอาของทะเลมาขึ้นท่าที่นี่เพื่อขายให้พ่อค้าแม่ค้า ปาป๊าไปดักขอแบ่งปูม้า กุ้ง ปลาหมึก หอย มาเยอะแยะเลยฮับ หม่าม๊าก็แสดงฝีมือเต็มที่ มีทั้งปูนึ่ง ผัดปูกับพริกไทยดำ ไข่เจียวหอยนางรม ผัดผักรวมมิตร ของทะเลเผาสดๆ โอ๊ย ....อร่อยกันใหญ่ฮับ กินกันไม่พูดไม่จาผ่านไปได้สักพัก ป้าหลินก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า ใครตักข้าววะ ทำไมตักเยอะจัง กินเท่าไหร่ไม่หมดซักที คือ ป้าหลินแกเคืองน่ะครับ ที่คนตักข้าวให้แกเยอะ แกเลยกินกับได้น้อย เพราะทีแรกหิวหน้ามืด โซ้ยข้าวเข้าไปเยอะ ก็ฮากันไป สรุปว่าคืนนั้นพวกพี่ๆ เค้าก็กินอาหารทะเลกันไม่หมด ปาป๊าเลยวางแผนว่า งั้นวันรุ่งขึ้นก็อยู่กินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยกลับกรุงเทพฯ จะได้เอาของทะเลที่เหลือมาทำกับข้าวให้หมดซะ เป็นอันว่าตกลงตามนั้นฮับ กินข้าวเสร็จ ครอบครัวพี่ติ๊กต้องกลับกรุงเทพฯ เย็นนั้น เพราะมีธุระ ก็น่าเสียดายมากฮับ ส่วนพวกป้าหลิน ป้าหนุ่ย พี่วัลย์ พี่หน่อย ก็เดินไปย่อยอาหารกันที่ชายหาด คืนนี้แสงจันทร์ยังสว่างสุกใส เพราะเพิ่งผ่านวันมาฆบูชามาไม่นาน ลมทะเลโชยมาเย็นสบายมากเลยฮับ พี่วัลย์งัดตำราวิชาดูดาวมาสอนพวกพี่ๆ ที่เดินด้วยกัน คือพี่วัลย์เค้าว่าคุณตาเค้าเคยสอนเค้าตั้งแต่สมัยเด็กๆ น่ะฮับ เค้าก็เลยมีฟามรู้ว่าดาวไหนเป็นดาวไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่หน่อยเค้ารีบตื่นแต่เช้าเลยฮับแล้ววิ่งไปหามุมถ่ายรูปที่ชายหาด แต่ก็ยังสายกว่าพวกป๋มอยู่ดี เพราะพวกป๋มตื่นมาปาป๊าหม่าม๊าก็พาไปวิ่งเล่นที่ชายหาด พวกป๋มเล่นน้ำทะเลกันใหญ่เลยฮับ ป๋มชอบมากเลย ชายหาดหน้าบ้านพักที่วังแก้วเป็นหาดส่วนตัว ก็ค่อนข้างสงบและสะอาด ป๋มเล่นน้ำทะเลไป ตาก็สอดส่ายไปเจออะไรแปลกๆ เยอะเลยฮับที่น้ำซัดเข้าฝั่งมา อย่างปลากระพรุนงี้ หอยสีม่วงงี้ ป๋มก็เดินดมกลิ่นไปเรื่อยๆ เฮ้อ...อยากอยู่ที่นี่ซักเดือนนึง คงมีความสุขมากเลยฮับ

กลับจากชายหาด ก็พากันไปกินข้าวเช้าของรีสอร์ท เสร็จแล้วปาป๊าก็พาพวกพี่ๆ เค้านั่งรถไปเยี่ยมชมชายหาดและบ้านแบบต่างๆ ภายในบริเวณรีสอร์ท กลับมาพักผ่อนกันนิดหน่อยแล้วก็ถึงเวลากินอีกแล้ว เที่ยงนี้ปาป๊าหม่าม๊าทำต้มยำโป๊ะแตก อิ่มกันไปอีกมื้อแล้วก็ได้เวลาเก็บของกลับกรุงเทพฯ กัน กว่าจะเก็บของเสร็จ เคลียร์ค่าใช้จ่ายกับรีสอร์ท กว่าจะออกเดินทางก็บ่ายสองโมงกว่าฮับ ปาป๊าพาพวกเราแวะซื้อของฝากกันที่แถวๆ ศรีราชา แล้วก็ยิงยาวมาส่งพวกพี่ๆ ที่อนุสาวรีย์ชัย แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน พลังงานที่ไปชาร์จมามีเต็มเปี่ยมเลยฮับ แต่เรื่องน้ำหนักตัวและคอเลสเตอรอลที่แถมมาด้วยน่ะ ตัวใครตัวมัน... ทริปนี้ก็จบลงด้วยประการฉะนี้ฮับ ส่วนทริปหน้า แว่วๆ ว่าอาจเป็นเกาะที่ไหนสักเกาะแถวชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ไว้เจอกันคราวหน้าฮับป๋ม!!!




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2550    
Last Update : 10 สิงหาคม 2550 20:22:28 น.
Counter : 272 Pageviews.  


missmarple
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add missmarple's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.