Walk in the dark! 7



เธอมองเห็นภาพชัดเจนเรื่องป่าไม้ถูกทำลายก็ตอนสร้างบ้านตัวเองนี่แหละบ้านที่เธอสร้างเป็นบ้านสองชั้น เป็นบ้านปูนเกือบทั้งหลัง ส่วนพื้นชั้นบนใช้ไม้แดงทั้งหมด ตัวบ้านขนาด 8x8 เมตรต่อเติมพื้นที่ห้องครัวขนาดเล็กอีกหนึ่งห้อง ใช้ไม้ในส่วนที่จำเป็นรวมไปถึงบริเวณตกแต่งเพื่อความสวยงามแต่ดูเหมือนปริมาณไม้ที่ต้องการตามที่เต็น น้องชายซึ่งเป็นช่างไม้และรับผิดชอบพื้นที่ที่เป็นไม้เขียนรายการให้คำนวณได้เลยว่าต้องโค่นต้นไม้ใหญ่ๆ ที่กว่าจะโตก็ใช้เวลาเท่าชั่วอายุคนลงหลายต้น และถ้าหลาย ๆ คนสร้าง มองเห็นภาพป่าหายไปในพริบตาได้เลยถึงแม้จะมีโครงการรณรงค์ปลูกป่าทดแทนก็เถอะกว่าต้นไม้จะโตก็ต้องใช้เวลานาน บางที่มีแต่แผ่นป้ายสังกะสีเก่า ๆ แปะติดที่ต้นไม้ใหญ่ข้างถนนด้วยข้อความว่าเขตป่าสงวน แต่ก็ยังดูโล่งเตียนมองหาต้นไม้ใหญ่ ๆ แทบไม่มี ถึงแม้จะซื้อไม้แปรรูปโรงงานก็เถอะในจังหวัดชายแดนที่เธออาศัยอยู่มีบางส่วนที่สัมปะทานไม้มาจากประเทศเพื่อนบ้านนอกนั้นก็เป็นไม้จากตลาดมืดเธอพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า เกิดมาชาติเดียวขอสร้างบ้านแค่หลังเดียวพอ คราวที่แล้วบรรทุกไม้วงกบใส่ท้ายรถกระบะไม่กี่ท่อนยังไม่นับว่าเป็นการขนคราวนี้ได้ขนจริง ๆ รถที่จะขนได้มิดชิดหน่อยก็ต้องเป็นรถขนาด 6 ล้อในหมู่บ้านของเธอก็มีเจ้าหนึ่งที่รับจ้างขน

“ขนไม้เหรอ มันเสี่ยงนะถ้าขนวัว ควาย มันสำปะหลัง อ้อยล่ะก็พอว่า”น้าลามชายวัยกลางคนเจ้าของรถมีทีท่าว่าจะปฏิเสธ “ถ้าโดนจับได้ โดนยึดทั้งไม้ทั้งรถก็หมดกันพอดี”

“ถือว่าช่วยหนูนะคะ แถวบ้านเรา ไม่มีใครมีรถคันใหญ่เหมือนน้า”

“ช่วยครูเขาเถอะพ่อ ผู้หญิงตัวคนเดียวสร้างบ้าน น่าเห็นใจ”เสียงภรรยาของเขาตะโกนออกมาจากห้องครัว

“มันต้องผ่านด่านตรวจตั้งสองด่าน เสี่ยงมากเลยนะ เว้นแต่ว่าครูเตรียมปัจจัยเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางไว้พร้อมแล้ว”คำที่เขาใช้ฟังแล้วชวนขำ แต่ในสถานการณ์จริงอย่างนี้มันขำไม่ออก

“ค่ะ หนูเตรียมพร้อม”

พอถึงวันนัดหมายก่อนเคลื่อนรถน้าลามจุดธูปหนึ่งดอกบอกเจ้าที่เจ้าทางให้ปกปักรักษา ให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย เต็นน้องชายนั่งคู่ไปกับคนขับนัดหมายกันเรียบร้อยว่าให้รอตรงจุดไหน จากนั้นเธอก็ขับรถเก๋งล่วงหน้าไปก่อนจอดรถไว้ข้างคาเฟ่ข้างทางที่มีชื่อตามที่เขาแนะนำ มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่หน้ามาดู ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงไม่ได้แต่งหน้าทาปากกระนั้นก็ยังมีร่องรอยชัดเจนประเภทพอกเครื่องแต่งหน้าเข้มจัด หล่อนคงเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ เธอบอกหล่อนไปว่ามีใครแนะนำให้มาจอดหล่อนแค่มองเธอและพยักหน้าแล้วผลุบเข้าร้านไป เธอนั่งรอในรถไม่นานรถกระบะสีขาวของเขาก็โผล่มา

“หวัดดีพี่” เธอส่งยิ้มหวาน ๆ ให้

“หวัดดีจ๊ะ ฉันคิดถึงนายนะ แล้วนายคิดถึงฉันบ้างไหมนี่” คำพูดที่เธอฟังแล้วให้รู้สึกคลื่นไส้ จึงได้แต่นิ่ง

“...”

“สงสัยนายคิดถึงแต่เรื่องไม้ น้อยใจนะจะบอกให้”

“ไม่อยากคิดถึงคนมีเจ้าของ เพราะคิดแล้วมันปวดใจ” เธอเหน็บเข้าให้สังเกตเห็นเขาเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เธอจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“เพิ่งรู้ว่าตำรวจขับรถเร็วมาก”

“อ้าว ไม่งั้นจะตามผู้ร้ายทันหรือ”

“คนขับตามนะซี ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลัวอุบัติเหตุ”

“ไม่ถึงวัน ไม่ถึงฆาต” แล้วสีหน้าของเขาก็สลดวูบลง ตามมาด้วยอาการกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากจากนั้นก็ ต่างคนต่างเงียบ จนไปถึงบ้านที่รถน้าลามที่จอดคอยอยู่ จากนั้นพากันไปบ้านคนทำไม้เขากับลูกน้องขับรถเครื่องนำหน้าลัดเลาะตามทางเกวียน ที่เต็มไปด้วยฝุ่นทรายเส้นทางอย่างนี้รถของเธอคงมาไม่ได้ ไม้ที่แปรรูปแล้วอยู่ในเขตสวนร้างขนไม้ขึ้นรถเสร็จก็ห้าโมงกว่า ๆ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินต้องรอให้ค่ำมืดถึงเคลื่อนรถ

“ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน นายอยู่ข้างหลังทิ้งระยะพอสมควรอย่าให้คันอื่นแซงได้” เธอพยักหน้าเข้าใจ แล้วทั้งสามคันก็เริ่มเคลื่อนเขาขับล่วงหน้าไปก่อนทิ้งระยะห่างพอสมควรและรถหกล้อก็ใหญ่พอที่จะปิดกั้นการมองเห็น เธอจึงมองไม่เห็นรถของเขา แต่ก็แล่นเกาะกลุ่มตามกันไปเรื่อยๆ ไม่ติดขัดอะไรจนกระทั่งถึงด่านแรกที่ต้องผ่าน ด่าน สภต. หนองกกมองเห็นไฟด่านกระพริบวูบวาบมาแต่ไกล ๆ เธอเผลอเอามือแตะกระเป๋าสะพายเพื่อเช็คว่ามันยังอยู่ที่เดิมไหมวันนี้พกมาหมื่นกว่าบาท จำนวนไม้ไม่มากถ้าจำเป็นก็ต้องจ่ายดีกว่าเสี่ยงเจอคดีเธอเร่งรถเข้าไปใกล้รถน้าลามเห็นเขาชะเง้อมองกระจกข้างบ่อย ๆพอรถเคลื่อนเข้าไปใกล้เธอมองเห็นรถกระบะสีขาวจอดอยู่ข้าง ๆ ตู้ยาม เขายืนคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่ที่ใส่เครื่องแบบครึ่งท่อน ขณะที่รถหกล้อกำลังจะแล่นผ่านไปเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งก็ทำสัญญาณมือให้รถน้าลามชิดซ้ายเธอรีบวิ่งปาดหน้าไปจอดไม่ห่างจากรถหกล้อ ดับเครื่องยนต์คว้ากระเป่าสะพายเดินลงจากรถจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่คนนั้นวิ่งตรงมาที่รถขน

“ของสารวัตร”เขาพูดลากเสียงให้ดังพอได้ยิน เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงหยุดกึกหันไปพยักเพยิดขอโทษ เขากวักมือเรียกให้เธอไปหา เธอยกมือไหว้คนที่เขากำลังยืนคุยอยู่

“อีพี่ คนนี้แฟนผมมีอะไรช่วยไอ้น้องขอฝากเนื้อฝากตัวช่วยดูแลให้หน่อยนะ”

“เหรอ ทำงานที่ไหนล่ะ”เขาหันมาจ้องมองเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเธอไม่ตอบว่าทำงานที่ไหนแค่ส่งยิ้มกลับ จากนั้นเขาก็เอามือโอบไหล่เธอพาเดินไปส่งที่รถเธอเปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่คนขับเตรียมสตาร์ทเครื่อง

“ฉันส่งนายแค่นี้นะนาทรายคงไม่ตั้งด่านหรอก”

“พี่รู้ได้ไง”

“ก็ฉันเป็นตำรวจ นายจำเอาไว้เลยนะ หนองกก นาทราย โนนสูง จะผลัดกันตั้งด่าน ทุก 6 ชั่วโมง” เธอพยักหน้าเข้าใจ

“อืม.. ขอหอมแก้มให้ชื่นใจหน่อย เลิกงานก็ไม่ได้พักบี่งมาเลย เพื่อนายนะนี่” พูดจบเขาก็ก้มหอมแก้มเธออย่างเร็วริมฝีปากเย็นเฉียบปะทะแก้มขวาของเธอ ความรู้สึกมันแตกต่างจากเมื่อสิบหกปีที่ผ่านมาถ้าเป็นเมื่อตอนที่เธอยังเป็นสาวรุ่นและได้รู้จักความรักครั้งแรก ในตอนนั้นมันแสนจะอบอุ่นซาบซ่านและมีแรงดึงดูดแต่ตอนนี้มันกลับเย็นจืดชืดเหลือเกิน เขาก้มลงจะหอมอีกเป็นครั้งที่สองเธอยกมือดันอกเขาไว้เขาหัวเราะคิกคักอย่างนึกสนุก แล้วก็เดินไปขึ้นรถของเขา

เป็นอย่างที่เขาบอกที่ป้อมสภอ.นาทรายมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่ในตู้ยามสองสามคนแต่ไม่ได้ตั้งด่าน ทุกอย่างราบรื่นจนถึงบ้านทั้งเต็นและน้ารามต่างช่วยกันยกไม้ลงจากรถกว่าจะเสร็จก็เกือบห้าทุ่ม

“สงสัยเจ้าที่ปกปักษ์รักษาจริงๆ เต็นเห็นไหม” น้าลามถามขึ้น เต็นทำหน้างง ๆ “มีหมาดำตัวใหญ่วิ่งตามทั้งตอนขาไปและกลับ”

“น้าลามเห็นแถวไหนล่ะ”เธออดถามขึ้นไม่ได้

“บริเวณป่าสองข้างทางแต่ตอนผ่านหมู่บ้านน่ะไม่เห็น น้ามองจากกระจกหลัง มันแว็บมาแว็บไป จะบอกให้เต็นดูก็เกรงว่าเต็นจะกลัว”

“แล้วจะรู้ได้ไงว่าน้าลามพูดจริง”เต็นสวนกลับ

“ผมวิ่งรถตอนกลางคืนบ่อยๆ มักจะเห็นอะไรแปลก ๆ เป็นไก่ เป็นวัว ควายเป็นลิงก็มี โบราณเขาว่าถือเป็นลางดีมีเจ้าที่คอยดูแล”

“แต่ผมว่าเจ้าหน้าที่ดูแลมากกว่านะเกือบไปแล้วมั้ยล่ะ” เต็นพูดให้ฟังดูขบขัน ส่วนเธอค่อนข้างเห็นด้วยกับน้าลามเหมือนคืนที่น้องปุ๊กเล่าให้ฟัง หรือว่าเทพรักษาของดงโป่งแดงเป็นหมาดำ เธอคิด

ห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ต้องขนอีกเป็นครั้งที่สองคราวนี้รถน้าลามเสียซ่อมไม่ทัน น้าลามแนะนำให้ไปหาอีกคนซึ่งอยู่หมู่บ้านถัดไปห่าง3 กิโลเมตร เธอไปเจรจาตกลงราคา เจ้าของรถแก่พอที่จะเรียกพ่อได้ คำถามที่เขาถามแทบจะก๊อปปี้มาจากน้าลาม พอถึงวันนัดหมายคนขับกลับเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบต้น ๆ

“ผมแก่แล้ว ไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิมไปไหนมาไหนต้องให้ลูกชายขับแทน” คราวนี้ราบรื่นกว่าคราวที่แล้ว เขาตามมาส่งถึงบ้าน พอขนไม้ลงเสร็จ เขาคะยั้นคะยอให้ไปนั่งดื่มเบียร์เป็นเพื่อน ที่ไหนก็ได้ที่เธอสะดวกเธอจึงพาไปนั่งร้านคาราโอเกะท้ายหมู่บ้าน พยายามทำตัวให้ดูร่าเริง ปล่อยให้เขาพร่ำรำพันถึงความหลังเธอนิ่งฟังอย่างเดียว แต่เธอไม่ดื่มทานกับแกล้มเพียงเล็กน้อย สิ่งที่เขาพูดฟังได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่งเพราะเสียงดังอีกกะทึกเขาร้องเพลงสิบหกปีแห่งความหลัง เพลงเก่าของสุรพล สมบัติเจริญมอบให้เธอ กว่าจะเกลี้ยมกล่อมให้เขากลับได้เธอต้องแกล้งหาวนอนครั้งแล้วครั้งเล่า

“โธ่พี่ ทำยังกับว่าจะไม่ได้พบกันอีกแน่ะเดี๋ยวเราก็จะไปตะลอนป่าเขาด้วยกันอีก คืนนี้หนูง่วงเต็มที่แล้ว” สุดท้ายเขาก็ต้องยอมกลับดูเวลาก็เที่ยงคืนเข้าไปแล้ว

ตอนเธอไปซื้อกับข้าวในตลาดเธอสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในป้อมยามบางคนมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆเธอทำเป็นไม่รู้ไม่ซี้ วันต่อมาเธอขับรถไปดงโป่งแดงเจ้าหน้าที่ตรงด่านตรวจก็ทำสัญญาณให้ชิดซ้ายและหยุดรถพอรถจอดสนิท เธอเลื่อนกระจกข้างลงครึ่งหนึ่ง

“หวัดดีค่ะ”เธอส่งยิ้มหวานให้

“เอ๊ะรถคันนี้เห็นวิ่งผ่านบ่อยจังเลยอาจารย์คนสวย กับรถคันสวยจะไปไหนหนอ” เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนถามแบบยวน ๆแต่สายตาจ้องเธอไม่กระพริบ

“มีธุระค่ะ ”

“ธุระที่ไหนเอ่ยจะว่าไปท่องราตรีก็ไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่เหมือนจะไปเดินทางไกล”

“วันนี้รีบค่ะต้องขอตัว ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะคะ” พูดจบเธอก็สตาร์ทเครื่องเจ้าหน้าที่คนนั้นถอยห่างหลีกทางให้เธอไป พอขากลับก็เจอคนเดิม เขาทำสัญญาณมือให้หยุดรถ ส่องไฟฉายดูข้างในรถบอกให้เปิดฝาท้ายเธอทำตามอย่างว่าง่าย ช่วงดึก ๆ อย่างนี้เมืองชายขอบเล็ก ๆอย่างนาทรายแทบไม่มีรถราวิ่งผ่านจะมีบ้างก็รถบรรทุก รถสิบล้อรถพ่วง เจ้าหน้าที่จึงมีเวลาตรวจนาน

“ผมทำตามหน้าที่ครับ ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ”เขาพูดพร้อมกับผายมือให้เธอไป

“เขาตรวจรถทั้งขาไปและกลับเลยนะพี่”เธอบอก เขา ทางโทรศัพท์ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเขาจะตอบกลับ

“ฉันว่าพวกเขารู้ว่านายกำลังทำอะไร และก็คงรู้อีกว่ามีฉันร่วมด้วยนายต้องเปลี่ยนแผน” จากนั้นจากที่เคยไปตอนเย็นหลังเลิกงาน กลับดึก ๆ ดื่น ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นไปเช้ากลับมืดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แทน

“พรุ่งนี้นายต้องมาแต่เช้านะไม่เกิน 6 โมงมีอะไรจะให้ดู” เธอก็ต้องไปตามที่เขาบอก ไม่อยากขัดใจเขาและอีกอย่างไม้ตัวเองก็ยังได้ไม่ครบ“นายขับตามถนนสายหลักไปเรื่อย ๆ พอถึงโค้งหักศอกเนินเขาให้นายมองหารถฉัน”เธอขับรถไปตามที่เขาบอก พอไปถึงเห็นรถกระบะของเขาจอดอยู่ข้างทาง แต่มองไม่เห็นใครเธอลงจากรถเหลียวมองไปรอบ ๆ ได้ยินเสียงพูดคุยกันแว่วมาแต่ไกล ๆพลันก็มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวตรงหน้าผาที่มองเห็นหินสีขาว ๆ เธอเพ่งมองถึงรู้ว่ามีคนอยู่บนหน้าผานั่นมองดูตัวเล็กนิดเดียวกำลังพากันหย่อนเชือกที่ตรงปลายผูกท่อนไม้ไว้ลงมาทางหน้าผาตะลึงในความพยายามเพราะความอยากได้ของคน หน้าผาสูงชันต้นไม้อยู่บนยอดภูเขาก็เอามันลงมาจนได้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถอีแต๋นวิ่งออกมาบรรทุกท่อนไม้มาเต็ม

“เฮ้ย เหยียบหนัก ๆ หน่อยจะได้ถึงไวๆ” เสียงของเขาตะโกนบอกคนขับรถอีแต๋นอย่างอารมณ์ดี

“นายมาถึงนานรึยัง เห็นไหมตอนเขาโยงเชือกเอาไม้ลงน่ะ”

“เห็นค่ะ เสี่ยงมากเลยนะ”

“พะยูงนะนั่นน่ะพวกมันมากันตั้งแต่ตีสอง ดูสิกว่าจะเสร็จ” ตอนนั้นไม้พะยูงยังไม่ระบาดเหมือนตอนหลัง ๆ เธอจึงรู้สึกเฉย ๆ ตาไม่เบิกกว้างและไม่ใช่ชนิดที่เธอต้องการ เขาขับรถนำหน้าพาไปบ้านที่เอาท่อนไม้ไปเก็บ เจ้าของบ้านเป็นคนหน้าตาดีอายุราว ๆ สามสิบต้น ๆ พร้อมกับลูกน้องอีกสามคน เห็นต่อรองเรื่องส่วนแบ่งเปอร์เซ็นกันซึ่ง จากนั้นมีรถเครื่องวิ่งเข้ามาจอด คนขับเป็นชายรูปร่างผอมสูงแต่งตัวมอมแมมเหมือนขี้ยาลงจากรถเครื่องเดินนอบน้อมเข้าไปหาเขา

“สารวัตรช่วยให้ไก่มันหน่อยนะมันถูกสายตรวจป่าไม้จับเมื่อคืน” เธอสังเกตเห็นสีหน้าเขาสลดลงเล็กน้อย

“ไม้เยอะไหม”

“ก็เต็มรถกระบะครับสารวัตร” เขาเงียบไม่ตอบว่ากระไร และก็เงียบกันไปทั้งวงสนทนาด้วย สีหน้าของเขากลายเป็นบึ้งตึง

เธอจอดรถไว้ที่บ้านหลังนั้นเขาพาไปหาไม้ ไปดูไม้ ตอนนี้เธอคิดว่าแม้เขาจะเป็นผู้นำทางเธอไปแต่ในขณะเดียวกันเขาก็ทำธุระของเขาไปด้วยซึ่งอันนี้เธอไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว คนทำไม้ชี้บ้านยกโครงเตรียมขายให้ดูหลายหลังแต่เธอไม่สนใจออกบ้านนี้ไปบ้านนั้น บ้านโน้น ไปเรื่อย ๆ แม้แดดจะร้อนเธอก็ต้องอดทนไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว บางครั้งก็จอดรถไว้ข้างทางแล้วต้องเดินต่อ เธอชำเลืองมองดูเท้าข้างขวาของเขาที่บริเวณหลังเท้านูนเด่นขึ้นเวลาเขาสวมรองเท้าแบบเปิดส้นเท้าข้างขวาของเขาจะยัดเข้าไปได้แค่ครึ่งเดียวเวลาเดินจึงต้องลากรองเท้าทำให้เดินกระเผกเล็กน้อยเขาชำเลืองมาสบตาเธอเข้าพอดี แล้วทำหน้างอ

“ใครเป็นต้นเหตุ มันคงเตือนฉันความทรงจำของฉันตลอดชีวิตเลยแหละ”เขาพูดเบา ๆ ส่วนเธอเงียบ นิ่ง ก้มหน้าก้มตาเดินต่อ

“โอ้โฮ! ดูซิว่าใครมาเยี่ยม” คนที่ร้องทักอายุประมาณสามสิบต้นๆ รูปร่างหน้าตา ทรงผมเหมือนคนในเครื่องแบบ “เดี๋ยวผมให้คุณนายของผมเอาน้ำมาเสริฟนะครับ”

“นี่ก็พาคุณนายมาเหมือนกันมาหาไม้จะสร้างบ้านอยู่เอง” เจ้าของบ้านหันมามองเธอ สายตาที่มองแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง

“น้องมารู้จักกับคุณนายสารวัตรหน่อย” เขาตะโกนเรียกภรรยาของเขา เธอคาดเดาว่าอายุคงไม่เกินยี่สิบหล่อนยกมือไหว้เธออย่างนอบน้อม เธอเองก็รับไหว้ตามมารยาท สังเกตเห็นว่าดูเหมือนเขาจะรู้จักชายคนนี้ดีพอสมควร เห็นถามไถ่กันหลายเรื่อง

“พักนี้ไปกับรถขนไหม”

“สัปดาห์ที่แล้วก็ไปส่งที่ปทุมธานีเดือนหนึ่งก็ประมาณ 3-4 ครั้ง”

“รายได้งามละสิ”

“ไม่เหมือนเดิมครับเดี๋ยวนี้ด่านก็เยอะขึ้นด้วย” จากนั้นก็คุยเรื่องอื่น ๆแล้วก็วกมาเข้าเรื่องของเธอ

“ผมมีไม้ขาวสำหรับทำพื้นได้ทั้งหลังเลยเมตรละ 25 สนใจไหมครับ” ทั้ง เขา และเธอมองสบตากันเมื่อได้ยินข้อเสนอ “ไม้ขาวสวยนะครับคุณนาย ขัดขี้นเงาเลยถ้าสนใจจะพาไปดู แต่ตอนนี้จะพาไปดูบ้านยกโครงก่อน จะขายให้ราคาพิเศษเลย”พูดจบเขาก็เดินนำหน้า พอเห็นรถกระบะจอดอยู่เขาก็กระโดดขึ้นนั่งข้างหลังส่วนเธอนั่งคู่ไปกับ เขา พอถึงร้านขายของชำเขาก็บอกให้จอดรถและขอตัวแวะเข้าไปซื้อเครื่องดื่มพอเขาเดินออกจากร้าน เขา ก็เข้าไปซื้อมั่ง ส่วนเธอลงมายืนรออยู่ข้างรถพลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีโลหะเย็นเฉียบแตะที่ขมับ สายตาของเขาแข็งกร้าวแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์จ้องมองทะลุทะลวงดวงตาทั้งสองข้างของเธอ เธอเองก็จ้องตาเขายืนแน่นิ่งไม่ไหวติง

“เจ้ไม่ต้องมาเล่นบทคุณนายถ้ารู้ทีหลังว่าเจ้เป็นสายผมเป่าทิ้งแน่ อย่ามาตุกติกกับผมนะ” พอเขาเหลือบเห็นเขากำลังเดินออกจากร้านเขารีบเก็บปืนพกสั้น คำพูดและน้ำเสียงเปลี่ยนไปทันที

“สารวัตรไม่ซื้ออะไรให้คุณนายบ้างเหรอ”

“รายนั้นน่ะกินยากช่างเลือก และไม่กินจุบจิบ” จากนั้นก็พากันออกเดินทางพอไปถึงบ้านยกโครงเธอนิ่งเงียบไม่ออกความเห็น เพราะไม่สนใจ

“งั้นสเป็คที่คุณนายอยากได้ตอนนี้ไม่มี คงต้องรอ เออ แล้วสารวัตรไปหาพวกทำไม้ที่โนนก่อรึยังล่ะไม้แถวนั้นยังมีเยอะและพวกนั้นก็ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน”

“เออ เอางี้ถ้าไงไอ้พี่จะติดต่อไอ้น้องอีกทีนะ”

“ครับ ได้ครับสารวัตร”พอเขาขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เขาก็หันมา “โชคดีนะคุณนาย” เขาพูดพร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่งกำมือชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นทำท่ายิงปืนหันปลายนิ้วมาทางเธอพร้อม ๆ กับเป่าปากทำเสียงฟิ้ว เธอฉุนกึกรีบก้าวขึ้นรถพอรถเคลื่อนออก เธอรีบเล่าให้เขาฟัง

“ไม่เคยเจอใครหยาบคายอย่างนี้ แถมขี้อวดและขี้โอ่ มันคงไม่ตายดีแน่”เธอบ่นตบท้าย

“มันไม่น่าทำกับนายอย่างนั้นเลยมันน่าจะให้เกียรติฉันบ้าง” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “มันเป็นทหาร เอ่อ เคยเป็นยศร้อยตรีตอนนี้ถูกสั่งให้ออกจากราชการแล้วไอ้นี่มันร้าย มันรับจ็อบคุมรถสิบล้อขนไม้เข้ากรุงเทพฯมันพร้อมจะฆ่าใครเมื่อไหร่ก็ได้” แล้วเขาก็หันมาทางเธอ“ถ้ามันจะฆ่านายต้องข้ามศพฉันไปก่อน ฉันรักนายมากเลยนะรู้ไหม” เธอเมินหน้าออกนอกหน้าต่างรถ ไม่อยากฟังคำที่เขาพูด

รถวิ่งตามถนนสายหลักที่เชื่อมต่อระหว่างอำเภอไปเรื่อยๆ คราวนี้ไปไกลกว่าทุกครั้งที่เธอเคยไปพอมองเห็นป้ายชื่อหมู่บ้านก็เลี้ยวซ้ายเข้าไป ประมาณสองกิโลเมตรเป็นหมู่บ้านที่อยู่ตีนภูเขา ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม เธอสังเกตเห็นท่อนไม้ที่ทำเป็นเสาบ้านสองชั้นขนาดสูงลิบลิ่วโดยไม่ต้องต่อเสาไม้ท่อนใหญ่ ๆ ลำต้นยาว ๆ ทั้งนั้นเลยบ้านหลังหนึ่งต้องใช้เสาหลายต้น มองดูแล้วเหมือนเป็นการใช้ไม้ฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุไม่คุ้มกับประโยชน์ที่ควรจะได้ไม่กระดานปูพื้นแต่ละแผ่นหน้ากว้างขนาดเมตรเศษ ๆเธอนึกภาพต้นไม้ขนาดใหญ่ที่สองหรือสามคนโอบไม่รอบ ซึ่งตอนนี้แทบไม่มีหลงเหลือให้เห็น เขาถามหาชื่อเจ้าของบ้านตามที่แนะนำมาพอไปถึงเจอหญิงชาวบ้านวัยกลางคนบอกว่าสามีนางไม่อยู่บ้านพอเขาบอกว่าเป็นใครมาทำอะไร ผู้หญิงคนนั้นมองสำรวจเธอหัวจรดเท้าแล้วบอกว่าจะลองไปตามดูอาจจะอยู่บ้านเพื่อนแถว ๆ นี้ นางหายไปไม่นานก็กลับมา

“รอสักครู่นะ เดี๋ยวมา”แล้วนางก็เดินเข้าบ้าน ไม่นานชายรูปร่างตี้ยล่ำก็เดินมาตะโกนทักทายมาแต่ไกล

“โอ้ สวัสดีสารวัตรแล้วมากับใครนี่”

“มึงไม่ต้องถามมากกูอยากได้ไม้ไปสร้างบ้าน”

“หลังที่เท่าไหร่ล่ะสารวัตรหลังเล็กหรือหลังใหญ่ โอ๊ะ ของโทษนะคุณนายรู้จักสารวัตรดีหรอกถึงกล้าพูดหยอกเล่น มาถึงเฮือนถึงซานแล้ว กินข้าวกินข้าวกินปลาก่อนอย่างอื่นไว้ค่อยคุยกันทีหลัง แม่อีนางไปเรียกบักจอกมาทำลาบไก่หน่อยบอกพรรคพวกด้วยว่าสารวัตรมาเยี่ยมเยียน” ระหว่างรอกับข้าวต่างก็เจรจาต่อรองรายนี้ดูมีอำนาจต่อรองมาก ราคาจะสูงกว่าเจ้าอื่น ๆ

“กูเอาไปสร้างบ้านเองนะเว้ยลดลงหน่อยไม่ได้หรือ”

“มันต้องใช้ไม้ขนาดยาวนะสารวัตรพวกผมคงต้องไปเอาจากดงไกล ๆ กว่าจะขนมาได้ก็พอสมควรอีกอย่างพวกผมก็ต้องส่งรายเดือนอีก และตอนนี้ก็มีหลายเจ้ามาสั่งด้วย ถ้าได้ราคาตามนี้จะแซงคิวให้เลย”เธออยากตกลงอยากให้เสร็จสิ้นเร็วไว เธอรู้สึกเหนื่อยที่ต้องเทียวไปมาอยู่นานนับเดือนและคราวนี้จะเป็นเที่ยวขนสุดท้าย ถ้าต้อง การเพิ่มเติมอีกก็คงเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยเธออาจพอหาซื้อแถวใกล้ๆ บ้านได้ แต่ดูท่าทางเขาไม่ยอม เขาไม่อยากให้คนทำไม้มีอำนาจต่อรองสุดท้ายมีหนึ่งในกลุ่มนั้นเสนอขึ้น

“ผมขอพูดหน่อยนะสารวัตรผมจะยอมตกลงตามราคาที่สารวัตรเสนอมาแต่ผมและพรรคพวกอยากขอสารวัตรบ้าง”ทุกคนในวงสนทนานิ่งต่างหันไปมองเขา แต่เพื่อน ๆของเขาคงรู้แล้วว่านายคนนั้นจะพูดอะไรเพราะเห็นทำท่าพยักเพยิดยิ้มส่งยิ้มให้กัน “และพวกผมก็ขอกับคุณนายด้วยนะพบกับครึ่งทางนะ”

“มึงจะขออะไรล่ะลวดลายอยู่ได้”เขาตะคอกขึ้น

“คืองี้ถ้าพวกกระผมยอมให้ราคาตามที่ท่านเสนอมา ผมขอให้เลี้ยงพวกผมด้วยพวกผมอยู่บ้านนอกบ้านป่าไม่เคยได้เห็นแสงสี ถ้าท่านตกลง พวกผมก็จะตกลง” เขาหันมามองหน้าเธอแน่นอนว่าเขาตัดสินใจตรงนี้ไม่ได้แน่ เธอมองดูสีหน้าแต่ละคนที่กำลังรอคำตอบลูกน้องสี่คนกับหัวหน้าหนึ่ง เบียร์คงไม่เกินสองลังหรือถ้าเป็นเหล้าก็คงไม่เกินครึ่งโหลคงหัวทิ่มกันแล้ว กับแกล้มอีก ..” คงพอไหว เธอนึกถึงคาเฟ่ใกล้ปากทางที่มีสาวเสริฟเยอะแยะไปหมด

“ตกลง” เธอพูดเสียงดังฟังชัด คนพวกนั้นเฮลั่นด้วยความยินดีทันทีที่ลาบไก่ยกมาเสริฟ ต่างกินไปคุยไป บรรยากาศตึงเครียดมลายหายไปสิ้นเสียงหัวเราะเริงร่า บางคนทำท่ากระดี๊กระด๊าทำปากจิ๊บจ๊าบดีใจ

“คราวนี้แหละจะได้เจอสาว ๆ สวย ๆ เบื่อของเก่าที่บ้านเต็มทนแล้ว”

“เฮ้ย!งานนี้ต้องเก็บเป็นความลับนะโว้ย ถ้าพวกแม่อีนางที่บ้านรู้ เป็นโดนแน่ ๆ ” ส่วน เขามีสีหน้าบึ้งตึงบ่งบอกว่าไม่พอใจ เธอวางมัดจำไว้ครึ่งหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับ





Create Date : 08 ตุลาคม 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 16:10:12 น.
Counter : 431 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark! 6


“พี่ สบายดีไหม กว่าจะโทรติดก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน” เธอจริตเสียงตัดพ้อต่อว่า

“ส-บาย-ดีว่าไง” เขาพูดลากเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี

“คืนวันพุธที่ผ่านมาหนูไปขนไม้แบบกับยูคาที่แคนใหญ่ รถมันเกิดเสียกลางทาง ปาเข้าไปสี่ทุ่ม ห้าทุ่มก็ยังซ่อมไม่ได้หนูโทรหาพี่อยู่นะ กะจะให้ไปช่วยหน่อย แต่โทรไม่ติด”

“นายไปซื้อกับใคร”

“พี่ชายของเพื่อนน้องสาวชื่อโชคค่ะ”

“มันคิดนายเมตรเท่าไหร่”

“ไม้แบบเมตรละ30 ยูคา..”

“เฮ่ยนั่นมันแพงมากนายรู้ไหม”

“แต่เขาก็ส่งให้ถึงบ้านขอค่ำน้ำมันเพิ่มอีกแค่ 500”

“เอางี้ วันนี้นายเลิกงานแล้วมาเจอฉันให้รอฉันที่ปั้มน้ำมันตรงทางโค้งเลยแยกแคนใหญ่ไปราว ๆ 1 กิโล

ตกลงตามนั้นนะ

เธอมองหาปั้มน้ำมันตามที่เขาบอกมันเป็นปั้มหัวจ่ายขนาดเล็ก ข้าง ๆ ปั้มเป็นเพิงหมาแหงนขายก๋วยเตี๋ยว เธอหาที่จอดรถที่ไม่เกะกะขวางทางเวลารถเข้า ออกมาเติมน้ำมัน จากนั้นจึงเข้าไปนั่งในเพิงร้านก๋วยเตี๋ยว เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนส่งยิ้มให้เธอ

“จะสั่งอะไรไหมครับ”

นอกจากตู้กระจกที่ตั้งโชว์อุปกรณ์ทำก๋วยเตี๋ยว ชามใบโตที่วางซ้อน ๆกัน และหม้อต้มใบใหญ่แล้ว ในร้านก็ไม่มีอะไรที่พอจะสั่งมานั่งทานเล่นฆ่าเวลาได้

“เอ่อ..รอเพื่อนก่อนเดี๋ยวค่อยสั่งค่ะ”

“ครับ ได้ครับ” พ่อค้าพูดอย่างนอบน้อมและยังคงยิ้มกว้าง เธอนั่งรอไม่นานรถบรรทุกกระบะตอนเดียวสีขาวกลางใหม่กลางเก่าก็แล่นมาจอดข้างๆ รถของเธอ พอเขาก้าวเข้ามาในร้านเธอรีบยกมือไหว้

“นายสั่งอะไรรึยัง”

“หนูไม่หิวค่ะ”เขาจึงหันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวมาทาน พอคนขายยกชามก๋วยเตี๋ยววางลงตรงหน้าเขาก็ออกคำสั่งแบบวางอำนาจทันที

“มึงไปตามไอ้จืด ลูกน้องไอ้โชคมาให้ที”

“ได้ครับสารวัตร” พูดจบพ่อค้าก็รีบสตาร์ทรถเครื่องแล่นปร๋อออกไปไม่นานก็กลับมา

“เดี๋ยวมันตามมาครับสารวัตร”

“เออ ขอบใจ” ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีก็มีรถเครื่องพร้อมผู้โดยสารซ้อนท้ายมาอีกสองคนเธอจำหน้าได้ทันที เพราะทั้งสามคนคือคนที่นั่งกระบะรถไปขนไม้ในคืนนั้น ทุกคนต่างเดินเจียมเนื้อเจียมตัวเข้ามาในร้านเพิงหมาแหงนยกมือไหว้ทักทายเขาและเธอแล้วก็พากันไปนั่งโต๊ะว่างถัดไป ‘เขา’ ถามเรื่องไม้ทั้งไม้ที่เธอซื้อและไม่ได้ซื้อด้วยน้ำเสียงตรึงเครียดดุดัน

“มึงไปตามลูกพี่มึงมาเดี๋ยวนี้บอกว่ากูอยากคุยด้วย”

“ครับสารวัตร”หนึ่งในนั้นลุกขึ้นไปสตาร์ทรถเครื่อง ที่เหลืออีกสองคนคงนั่งที่เดิมไม่นานเสียงรถเครื่องก็วิ่งเข้ามาจอด

“พี่โชคอาบน้ำเสร็จแล้วจะรีบมาครับ”

“พับผ่าสิแทนที่มันจะรีบมายังจะมีลีลาให้กูคอยอีก” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ ไม่นานเสียงรถบรรทุกหนักๆ ก็วิ่งใกล้เข้ามา พอมันโผล่พ้นแนวโค้งมาเธอก็จำรถสีเทาคันนั้นได้รถที่เธอนั่งไปกับน้องปุ๊กคืนนั้นนั่นเอง เจ้าของคนขับพี่ชายน้องปุ๊กมีสีหน้าตึงเครียดขณะเดินเข้ามาในร้านก๋วยเตี๋ยวเขายกมือไหว้ก้นยังไม่หย่อนลงเก้าอี้ก็โดนตวาดเข้าให้

“ไอ้โชคมึงค้ากำไรเกินควร มากไปแล้วนะมึง มึงรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” เธอได้แต่นั่งนิ่งเพราะเธอเองก็วางตัวไม่ถูกยิ่งตอนพี่โชคปลายตามองเธอถึงกับหลบสายตา เพราะเธอคิดว่าพี่โชคไม่มีความผิดอะไร“ไม้แบบน่ะทุกทีมึงขายกันแถวนี้เมตรละไม่เกิน 20 บาทนี่มึงฉวยโอกาสกินไปตั้งเท่าไหร่ มึงอย่าลืมว่ามึงมีหมายหัวอยู่แล้วนะกูสั่งเด็ดหัวมึงได้ทุกเมื่อนะ”

“ขอโทษครับสารวัตรผมก็ทำมาหากินของผม แล้วผมก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เขามับน้องสาวผม”

“ไม่รู้ก็จงรู้ไว้ ฟังเอาไว้นะทุกคน ฝากบอกคนอื่น ๆ ด้วย ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนกูถ้าเข้ามาในเขตดงโป่งแดงแล้วมีอะไรเกิดขึ้นแม้แค่ปลายเส้นผมกูเอาพวกมึงตายแน่”พูดจบเขาก็โอบไหล่ของเธอรั้งเข้ามาหอมแก้มฟอดหนึ่งเธอเบือนหน้าหลบอย่างเร็วรู้สึกอายจนหน้าแดงริมฝีปากของเขาจึงโดนที่หัวแทน ตั้งแต่เขาประกาศก้องในวันนั้น เขาจะทำจริงอย่างที่ลั่นวาจาออกไปหรือไม่เธอไม่มั่นใจแต่เธอก็รู้สึกว่าถนนเข้าออกเขตดงโป่งแดงดูขยายกว้างมากขึ้น เวลาไป มาแต่ละครั้งเธอก็สูดลมเต็มปอดปล่อยอารมณ์ชมวิวสองข้างทางได้โดยไม่มีอาการหนาวๆ สั่น ๆ จากวันนั้นการสั่งไม้แต่ละครั้งจะต้องผ่านเขาโดยเขาจะพาไปหาคนทำไม้ ไม้มีเยอะก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ เธอได้ไปในที่ ๆ ไม่เคยไป บางครั้งจอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินลัดตัดทุ่งนา ขึ้นเขา ลงห้วย ปีหน้าผา ซึ่งเธอเองก็ไม่ปริปากบ่นสักคำเวลาเจรจาพูดคุยกับกลุ่มคนทำไม้เธอก็ได้แต่นิ่ง ปากเม้มสนิท ไม่จำเป็นไม่พูดถ้าพูดก็พูดให้น้อยที่สุด สัญชาตญาณเธอบอกว่า ผู้คนรอบกายเธอขณะนี้ ไว้ใจไม่ได้ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ คนทำไม้พวกนี้ดูมีอิทธิพลระดับหนึ่งในวงการของพวกเขามีลูกน้องที่ขอเพียงแค่ลูกพี่สั่งจะจัดการทันที เหนือขึ้นไปมีคนคอยคุ้มหัว อยู่ที่ว่าใครเด็กใคร และต้องไม่ล้ำเส้นกัน บางวันเธอก็ทานมื้อเย็นกับกลุ่มคนทำไม้อาหารตามแต่จะหาได้ ต้มไก่ ลาบเป็ด ลวกผัก นึ่งเห็ด จิ้มแจ่ว ป่นปู ป่นปลา กว่าจะกลับถึงบ้านแต่ละคืนก็อยู่ระหว่างสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน จากที่ตระเวณไปเรื่อยๆ เธอได้เห็นสภาพว่า แท้ที่จริงแล้วคนทำไม้ก็ใช่ว่าจะมีฐานะดี มีเงินมีทองมากมายแค่ทำให้พอมีเงินใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย บ้านช่องก็ไม่ได้ใหญ่โต ยังเป็นบ้านเก่า ๆโทรม ๆ ยกเว้นคนที่ตั้งตนเป็นหัวหน้าจะดูมีฐานะกว่าคนอื่น ๆ ได้เงินมาแต่ละงวดก็แบ่งปันกัน ไหนจะค่าเบิกทางไหนจะส่วย และต้องเก็บออมไว้ซื้อเลื่อย รถลาก อาวุธไว้ป้องกันตัวอีก ไม้ตามสเปคที่เธอต้องการหาซื้อได้ไม่ง่ายนักคนทำไม้แต่ละคนก็รับออร์เดอร์มายาวเป็นหางว่าว

“ตอนนี้ผมและพรรคพวกกำลังเร่งมือหาให้ผู้กำกับอยู่ครับ”

“ผู้ว่าฯจะเกษียณเห็นบอกว่าจะเอาไปสร้างอยู่ทางภาคตะวันออก รายการมาตรึมเลย”

“ถ้าเป็นไม้อย่างอื่นน่ะมีเป็นรถสิบล้อเลย”

“ซื้อเป็นหลังไหมครับมีบ้านเลขที่เรียบร้อยรื้อถอนไปได้เลย”

“หลังละเท่าไหร่ล่ะ”เธอถาม

“มีตั้งแต่สี่หมื่นถึงแสนแล้วแต่ขนาดและปริมาณไม้” เขาพาเธอไปดูสองสามหลังที่ยกโครงมุงหลังคาและปูลื้นลวก ๆไว้ แต่อข้อเสียคือ ไม้ไม่ใช่ขนาดที่ต้องการ อาจต้องตัดทิ้งเสียไม้เปล่า ๆ และคุณภาพไม้ไม่ได้ตามที่ต้องการ แต่พวกเขาก็พยายามให้ข่าวสารว่าตอนนี้ใครกำลังทำไม้อะไรประเภทไหนไว้ขายหรือรอปล่อย เธอกับเขาก็จะไปตามที่บอก

“ผมไม่มีครับสารวัตร”ชายหนุ่มผิวขาวร่างเล็กบาง อายุราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ บอกกับเขา

“ไอ้แซวมึงอย่าแหลกับกู มีคนบอกมาแล้ว” คนที่เขาเรียกชื่อว่า แซว เกาหัวแกรก ๆ ยิ้มแหย ๆ

“โธ่ สารวัตรก็ผมนึกว่าพาสายมาสอดแนมพวกผม”

“สายที่ไหนนี่เมียกูและกูก็จะเอาไปสร้างบ้าน” ไอ้แซวทำสีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่อพอเขาหันไปพูดคุยกับคนอื่น ไอ้แซวก็เดินเข้ามาพูดเบา ๆ กับเธอ

“แต่คนที่ผมเห็นที่บ้านตัดผมบ๊อบนะสารวัตร”ไอ้แซวกล้าพูดแซวสมชื่อ จนเขาถลึงตาใส่ แล้วไอ้แซวก็หันมาทางเธอซึ่งยังคงนิ่งเงียบ “ผมไม่เชื่อว่าเจ้เป็นแฟนเขาเพราะผมเคยเห็นแม่บ้านสารวัตรแล้ว ไม่สวยเหมือนเจ้ เจ้มาหาพวกผมโดยตรงเลยไม่ต้องผ่านเขา บอกหน่อยสิว่าเขาคิดเจ้เมตรเท่าไหร่”

“เขาไม่ได้กินกำไร.. จริง ๆ “ พอดีเขาหันมา

“มึงพูดอะไรลับหลังกู”

“ไม่มีอะไรครับ”

“เขาพูดอะไรกับนาย”

“เขาแค่ถามว่าพี่บวกเปอร์เซ็นต์เพิ่มไหม”

“นี่มึงไม่เชื่อใจกูเลยเหรอ ฮะ”โดนตะคอกไปไอ้แซวหน้าจ๋อยทันทีจากนั้นไอ้แซวก็ยอมปริปากบอกว่ามีไม้อะไรบ้างที่รอปล่อยออก

“ผมจะพาเจ้ไปดูไม้ตะเคียน ถ้าเจ้จะซื้อผมจะซอยให้”เธอเดินตามไอ้แซวกับลูกน้องอีกสองคน เดินตัดป่าละเมาะจนถึงลำห้วยตั้งแต่เกิดมาไม้ตะเคียนก็เคยได้ยินแต่ชื่อในหนังสยองขวัญ อยากเห็นกับตาว่าต้นจริงๆ ของมันเป็นอย่างไร

“ถึงแล้ว นั่นไง” ไอ้แซวชี้ให้ดูซุงไม้ใหญ่เบ้อเริ่มที่โผล่บางส่วนขึ้นมาเหนือน้ำ“เจ้สนใจไหม” เธอส่ายหัวไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันจัดอยู่ในหมวดไม้มงคลรึเปล่า เธอสนใจแต่ไม้แดงกับไม้ดู่เท่านั้น แล้วไอ้แซวก็ตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาเผ่าชี้มือชี้ไม้ไปที่ลำห้วยเธอฟังไม่เข้าใจ ลูกน้องไอ้แซวกระโดดลงไปในห้วยแล้วช่วยกันงมหาอะไรสักอย่างไม่นานไม้วงกบก็ถูกลำเลียงขึ้นมาและขนมาบรรทุกใส่รถกระบะของเขา นับได้ 25 ท่อนแต่ละท่อนเขลอะไปด้วยโคลนตมคลุกเคล้าใบไม้ใบตองเน่าโชยกลิ่นเหม็นจนต้องปิดจมูก เธอจ่ายเงินไอ้แซวและขอตัว

“วันหลังเจ้แวะมาดูใหม่นะ และไม่ต้องมากับเขาผมยังพอมี แค่ขอราคาเพิ่มอีกนิดแค่นั้นแหละ”

“นายจะเอายังไงกับไม้พวกนี้จะหาที่เก็บก่อนหรือจะเอากลับเลย”

“พี่ว่าไง หนูว่าตามนั้นค่ะ”เขาทำสีหน้าครุ่นคิด

“ตำรวจด้วยกันน่ะ พอคุยกันได้ แต่ถ้าเจอพวกป่าไม้ก็ยากหน่อยบางทีอาจไม่คุ้ม” เธอเงียบ

“เอางี้นะ ให้นายมาขับคันนี้แล้วฉันขับรถของนาย”

“ได้ค่ะ” แต่พอถึงที่ฝากรถของเธอเขากลับเปลี่ยนใจ

“อ๊ะ เอาไงก็เอา นายขับตามหลังฉันเรื่อย ๆทิ้งระยะพอสมควรนะ” พูดจบเขาก็กระชากรถออกอย่างแรงและวิ่งเร็วมาก เธอเหยีบคันเร่งตามไปติด ๆรู้สึกเหมือนกำลังจะหนีอะไรสักอย่างค่ำมืดอย่างนี้ถนนสายนี้ไม่มีรถสวนไปมาอยู่แล้ว 52 กิโลเมตรทำไมรู้สึกมันไกลมาก ใช้เวลานานเหลือเกิน อีกประมาณไม่ถึง 20 กิโลจะถึงถนนใหญ่มีรถเครื่องวัยรุ่นสองคันโผล่ออกมาจากถนนแยกข้างทาง รถเครื่องทั้งสองคันบิดอย่างแรงเสียงดังจนแสบแก้วหูปาดหน้าปาดหลังพวกมันพยายามตีคู่ไปกับรถกระบะ ขาของมันข้างหนึ่งยื่นออกไปพยายามจะถีบท่อนไม้ลงจากรถ เธอเปิดไฟสูงแล่นจี้เข้าไปติด ๆ รถเครื่องอีกคันหันขวับมามองแล้วชะลอรถแสงไฟสาดส่องทำให้เห็นหน้าตาชัดเจนเป็นวัยรุ่นอายุไม่เกินยี่สิบ อีกคันยังคงบิดประกบไปติด ๆ พลันรถคันนั้นก็หักหลบออกขวาอย่างเร็วแล้วตกลงไปข้างทางเสียงโลหะกระแทกต้นไม้ข้างทางดังโครม! รถของเธอกำลังวิ่งด้วยวามเร็วสูงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเหลือบมองและไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำอย่างนั้นได้ อย่างน้อยก็ยังมีรถเครื่องอีกคันคงดูแลกันและกันได้ พอออกสู่ถนนใหญ่ ไม่เจอด่านตรวจนับว่าโชคดีไป พอใกล้จะถึงบ้านเธอโทรหาเต็นน้องชายให้มาช่วยขนไม้ลงจากรถ

“มีรถเครื่องวิ่งตามใช่ไหม” เขาถามทันทีที่จอดรถ

“ใช่ และมันพยายามจะถีบไม้ลงจากรถ”

“ฉันมัวแต่เหยียบคันเร่งไม่ได้สังเกตมันวิ่งประกบไปถึงไหน”

“เลยโค้งต้นไม่คู่ไปไม่ไกล แล้วมันตกข้างทาง”

“อ้าว! แต่มันคงไม่ถึงตายมั้ง”

เธอทิ้งตัวลงนอนด้วยความเพลียทันทีที่หลับตาเสียงรถเครื่องบิดดังจนแสบแก้วแว๊บผ่านเข้ามาในหัวเหมือนมันย้อนภาพให้ดูอีกครั้ง ไม่นานก็ม่อยหลับไป ตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามีเวลานั่งทบทวนเหตุการณ์ตื่นเต้นหวาดเสียว จำได้ว่าเมื่อคืนขับรถเร็วมากฝ่าถนนที่มืดตึดตื๋อแล้วยังมีวัยรุ่นสองคนนั่นอีกเรื่องอย่างนี้ถ้าเธอไม่ปริปากพูดก็ไม่มีใครรู้ เธอเหลือบมองนาฬิกาสายมากแล้วต้องรีบไปโรงเรียน

พอเลิกงานเธอพาหลานชายซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นม.2 แวะซื้อของกินที่ตลาดสด ชานนวิ่งไปยืนเข้าคิวรอซื้อเต้าหู้นมสดเธอซื้อของเสร็จเดินไปรอจ่ายเงินให้หลาน มีวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังยื่นตังค์ให้คนขายแว๊บหนึ่งเธอจำหน้านั้นได้ ยมซอยถากยาว ย้อมสีน้ำตาลเหลือง ใบหน้าอูมกลม เธอมองตามจนเด็กหนุ่มคนนั้น ขับรถเครื่องออกไปมุ่งหน้าลงไปทางใต้ โรงพยาบาลที่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดก็คือ รพ.นาทรายนี่เองหัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ตอนนี้เธอเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าวัยรุ่นคนนั้นอาการเป็นอย่างไรบ้าง เธอรีบพาหลานไปส่งที่บ้าน

“ป้าจะไปทำฟันที่โรงพยาบาลนะ” หลานชายพยักหน้าเข้าใจและเดินเข้าบ้าน ส่วนเธอถอยรถออกจากบ้านย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลไม่รู้จะไปตรวจหาอะไรจึงตัดสินใจเอาขูดหินปูนเข้าท่าที่สุด หาที่จอดรถได้ เธอก็เดินอ้อยอิ่งขึ้นตึก สอดส่ายสายตาหาใครบางคนที่เธออยากเจอ

“ชื่อชันษา สุภาคิน มาขูดหินปูนค่ะ”

“ไปนั่งรอที่หน้าห้องทำฟันเลยครับเดี๋ยวบัตรจะตามไป”

เธอผละจากเคาท์เตอร์ กำลังจะเดินไปตามที่เจ้าหน้าที่บอกทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต้นพองโตเมื่อเห็นเด็กวัยรุ่นคนที่เพิ่งซื้อเต้าหู้นมสดที่ตลาดกำลังเข็ญล้อเข็ญคนเจ็บซึ่งมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะที่หัวไหล่และแขนข้างขวา หน้าตาบิดเบี้ยวเขียวคล้ำบวมเป่งจนปิดตาข้างหนึ่งมีหญิงแก่คนหนึ่งสะพายย่ามเดินตามมาติด ๆ ล้อเข็ญผ่านเธอไปมุ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินเธอสอยเท้าก้าวตามไปห่าง ๆ พอส่งคนไข้ให้หมอ เด็กวัยรุ่นคนเข็ญรถออกไปยืนรอนอกห้องส่วนยายคนที่มาด้วยนั่งรอตรงเก้าอี้รอรรับการเรียกตรวจเธอถือโอกาสไปนั่งลงข้าง ๆ

“ยายเป็นอะไรมาคะ”

“ยายไม่ได้เป็นอะไรพาหลานมาล้างแผล”

“หลานยายเป็นอะไรมาล่ะ”

“รถลงเมื่อคืน โชคยังดีที่คอไม่หักตาย”

“โอ๊ะ! รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ” ในตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่ตำรวจมือถือแฟ้มเดินตรงไปที่เตียงลากเก้าอี้มานั่งข้าง ๆ สอบถามเหตุเกิด เพราะคนไข้ต้องการเคลมประกัน เธอจึงได้โอกาสสะกิดแขนยายให้ลุกไปยืนฟังใกล้ๆ

“เหตุเกิดบนถนนสายดงโป่งแดง ห่างจากถนนสายหลักราว ๆยี่สิบกิโลเมตร ผมกำลังขับรถกลับบ้านถนนมืดมาก จู่ ๆ ก็มีหมา เอ่อ สัตว์คล้ายหมาวิ่งตัดหน้า ผมจึงหักหลบ” คนป่วยเล่า

“ถนนเบื้องหน้ามีสิ่งกีดขวางไหม”

“ไม่มีครับ”

“หมายถึงไม่มีสิ่งกีดขวางไม่มีรถวิ่งสวนไปมา”

“ครับ”

“มีคนอื่นไปด้วยไหม? “

“เพื่อนคนหนึ่ง”

“ก่อนขับรถเครื่องได้ดื่มเครื่องดื่มของมึนเมาหรือไม่”คนไข้ไม่ตอบ “เดี๋ยวข้อมูลส่วนนี้ผมจะขอผลตรวจเลือด ตรวจฉี่จากทางรงพยาบาลนะ” เธอสังเกตเห็นคนเจ็บก้มหลบสายตาลงมองพื้นแม้อาการจะสาหัสแต่ก็ยังพูดได้เธอรู้สึกโล่งใจที่เหตุการร์นับว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าเขาพูดตามความเป็นจริงหรือถึงขั้นจำหมายเลขทะเบียนรถได้ งานนี้มีร้อนมีหนาวแน่




Create Date : 26 กันยายน 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 15:31:38 น.
Counter : 521 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark! 5


ชันษา กดหมายเลขโทรศัพท์มือถือครั้งแล้วครั้งเล่าสลับเปลี่ยนเบอร์ไปมา เสียงตอบรับอัตโนมัติจาก คอลล์ เซ็นเตอร์แจ้งเตือนว่า ไม่มีสัญญาณจากสายที่เรียกและ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ บอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า

‘พากันหายหัวไปไหนหมด คลื่นก็ไม่มี และไม่มีใครโทรหาเลย’ เธอสบถออกมาเบา ๆ ฟึดฟัด หงุดหงิดอารมณ์เสีย เที่ยวนี้เป็นเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดและตั้งใจให้เป็นเที่ยวสุดท้าย เธอจ่ายเงินไปค่อนแสน ที่สำคัญเธอไม่ค่อยไว้ใจพ่อค้าไม้เถื่อนเท่าไหร่นัก ถ้าไม่มี ‘เขา’ ร.ต.อ วันชัย โพธิ์เงิน สารวัตรฯ ในเขตพื้นที่คนที่เธอเรียกได้สนิทปากว่า’พี่’ ส่วนเขาจะเรียกเธอว่า ‘นาย’ ยื่นมือเข้ามาช่วย ลำพังเธอคนเดียวไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่อำเภอดงโป่งแดงหรอก

“นายนี่ร้ายจริง ๆทำตัวเป็นแม่เลี้ยงตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาเคยพูดกับเธอ

“แม่เลี้ยงต้องมีธุรกิจมืดมีตังต์เยอะ ๆ มีมือปืน มีลูกน้องไว้ใช้งาน แต่นี่หนูไม่มีอะไรเลยตังค์ก็กู้แบงค์มา”

“นายทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งฉัน”

“หนูไม่มีอำนาจพอ หนูขอพึ่งบารมีพี่ค่ะ” คำพูดประโยคนี้ทำให้เขาหัวเราะชอบอกชอบใจ

พื้นที่อำเภอดงโป่งแดงเป็นพื้นที่ความเป็นอยู่ของผู้คนยังล้าหลังแต่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ พื้นที่ป่าดงดิบซึ่งเป็นที่กอบโกยของผู้มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับปลาซิวจนถึงปลาใหญ่เวลามีการโยกย้ายตำแหน่งอยากมีไม้หน้าใหญ่ ๆ สวย ๆ ฝากนายก็เพียงแค่จิ้มโทรศัพท์สั่ง ส่งให้ถึงที่แทบจะทันที แล้วเธอเองล่ะทำไมต้องมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจตลาดมืดเธอก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า เพียงแค่เอาไปสร้างบ้านสำหรับอยู่อาศัยไม่ได้เอาไปค้าไปขาย และบ้านที่เธอสร้างก็เป็นบ้านที่เกือบจะทั้งหลังเป็นปูนยกเว้นในส่วนที่เป็นพื้นชั้นบน ทังหมดเธอต้องการไม้แดงเพราะคนโบราณกล่าวไว้ว่าไม้แดงเป็นไม้เนื้อแข็งและเป็นยา กลิ่นอายของมันหรือเวลาสัมผัสจะทำให้ผู้อยู่อาศัยสุขภาพดี ส่วนพวกวงกบ ประตู กรอบหน้าต่างเพดานตกแต่งด้านนอกเป็นไม้แดงผสมกับไม้ดู่ และเธอก็รู้มาว่าไม้ชนิดเดียวกันนี้ถ้าซื้อจากตลาดมืดถูกกว่าไม้โรงงานครึ่งต่อครึ่งบางครั้งตลาดมืดยังมีการลดการแถมให้อีกด้วย ชีวิตของเธอช่วงนั้นอยู่แบบสองภพ เช้าไปโรงเรียนสอนตามปกติ ตกเย็นแต่งชุดที่เน้นสีดำเข้าไว้ขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคสีบลูไซโคลนแล่นโฉบฉิวตามถนนสายขรุขระมีลาดยางเป็นบางส่วนมุ่งตรงไปเขนพื้นที่อำเภอดงโป่งแดงซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านของเธอ52 กิโลเมตร ถนนที่หลังหกโมงย็นแล้วแทบไม่มีรถวิ่งผ่านหรือคนสัญจรไปมาเนื่องจากมีข่าวคราวจี้ ปล้นกันบ่อยมาก ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน ถนนสายนั้นก็มืดมิด ไม่มีไฟข้างทางจะผ่านหมู่บ้านอยู่สามสี่หมู่บ้าน จากนั้นก็มุ่งหน้าลอดอุโมงค์ต้นไม้สองข้างทางที่แผ่กิ่งก้านประชันกันปกคลุมถนนทุกครั้งที่ขับรถมาบริเวณนั้น เธอรู้สึกเหมือนกำลังแล่นรถวิ่งลึกลงอุโมงค์ใต้ดินไปเรื่อยๆ อุณหภูมิรอบ ๆ ตัวรึก็เย็นเฉียบ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าสาวร่างแบบบางอย่างเธอต้องมาเดินเส้นทางนี้นี่กระมังที่เขาเรียกกันว่าชีวิตด้านมืด

“หวัดดีพี่โทรหาตั้งหลายครั้งแน่ะ กว่าจะติด” เธอดัดเสียงให้ฟังดูตัดพ้อ

“เออ..นายก็รู้นี่ว่าที่นี่ไม่ค่อยมัสัญญาณว่าไงจะชวนไปเลี้ยงข้าวเหรอ”

“โธ่พี่ อย่าพูดเป็นเล่นก็รู้ว่าน้องไม่มีตังต์” เธอลากเสียงยานคาง

“เออ.. นายน่ะไม่มีทั้งปีฉันนะทั้งช่วยนายแถมต้องเลี้ยงข้าวนายอีก ..ถ้าไม่รักจริงไม่ช่วยนะ”

“จ้า ก็ซึ่งน้ำใจอยู่นี่แหละ” ทำเสียงออดอ้อน

“ซึ้งอย่างเดียวเหรอ เปลี่ยนจากซึ้งเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ”

“เอาเป็นอันว่าพี่กับน้องต้องคุยกันอีกยาวค่ะ แต่ตอนนี้ขอเรื่องงานค่ะไม้ของน้องไปถึงไหนแล้ว”

“เฮ้ย นายต้องใจเย็น ๆ นะนายสั่งเยอะด้วย ต้องให้เวลาพวกนั้นหน่อย”

“นี่ก็เกือบจะครบเดือนแล้วนะพี่ได้โทรหาพวกนั้นบ้างไหม”

“นายก็รู้ว่าแถวนั้นไม่มีสัญญาณ”

“พี่ก็หาเวลาแวะไปถามให้มั่งสิคะ”

“เออ จะพยายามติดตามให้ ถ้ายังไงจะติดต่อมานะ”

“ค่า..ขอบคุณพี่มากๆ ค่า” จริตเสียงให้หวานใส

ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ไม่มีสายจาก ‘พี่’ เรียกเข้า เธอเริ่มกระวนกระวายใจ เธออยากจัดการให้ทุกอย่างมันเรียบร้อยเธอไม่ต้องการรอ ยิ่งรอนานจิตใจของเธอก็ยิ่งร้อนรนเธอกดโทรศัพท์ติดต่อเขาอีกครั้ง เสียงตอบรับมาว่าไม่มีสัญญาณ เธอโทรไปที่โรงพักเจ้าหน้าที่เวรยามรับสายเธอบอกไปว่าต้องการพูดสายกับใครเมื่อได้รับแจ้งว่าไม่อยู่เธอฝากข้อความให้โทรกลับแล้วใจของเธอก็จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ จากกลางวันเป็นกลางคืนแล้วก็ถึงรุ่งเช้า ไม่มีสายเรียกจากเขา เธอต้องตั้งสตินับหนึ่งถึงสิบแล้วพยายามคิดในแง่ดี ที่ผ่าน ๆ มาทุกอย่างไปได้ดี เธออาจใจร้อนไป อาจเป็นเพราะอยากให้บ้านเสร็จเร็วๆ แล้วเธออยากย้ายเข้าไปอยู่ เธอเหลียวมองรอบกายบ้านที่อยู่ตอนนี้ก็เหลือเพียงเธอกับหลานชาย แม่ก็ย้ายออกไปอยู่บ้านน้องชายแล้ว

“ตอนกลางคืนลูกไม่หลับไม่นอนรึไงเหมือนเดินเข้า เดินออกจากห้อง มีเสียงขลุกๆ ขลัก ๆ แม่นอนหลับไม่สนิท”

“หนูก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนกันเสียงกรนของแม่เหมือนดังอยู่ข้างหูของหนู”

“เออ..นังนี่ว่าให้แม่นะ”

“หนูขอโทษ แค่หยอกเล่นค่ะ”

เธอพูดความจริงต่างหากบ่อยครั้งเวลานอนหลับเธอได้ยิน เสียงวุ่นวายดังมาจากทั่วสารทิศ เสียงกรนของแม่ก็ชัดเจนทั้งๆ ที่แม่นอนชั้นล่าง เสียงหายใจที่ดังมาจากบ้านข้างเคียง แมลงแผดร้องเสียงแหลมเหมือนมันร้องอยู่ข้างหูเสียงแมวทะเลาะกัน เสียงฝีเท้าสุนัขวิ่งขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน สารพัดเสียงที่ฟังดูวุ่นวายไปหมด จนงบางครั้งเธอต้องเอาหมอนอุดหูซึ่งมันก็พอช่วยให้เสียงพวกนั้นเบาลงบ้าง

“แม่ หนูอยากไปหาที่อยู่ใหม่”

“จะไปไหนกันล่ะ อยู่ที่นี่ เลี้ยงหลาน บ้านเขาก็สร้างให้แล้ว ไปแล้วใครจะมาอยู่รถเขาก็ดาวน์ให้ แล้วจะหอบกันไปไหน” เธอต้องการบ้านที่อยู่ห่างไกลผู้คนสักหน่อยและการเดินทางไปมาสะดวก แล้วเธอก็เล็งเห็นพื้นที่ไร่สวนมะม่วงของเศรษฐีประจำหมู่บ้าน

“ลูกจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเงินเดือนก็น้อย ไหนจะผ่อนรถด้วย”

“หนูจะยื่นกู้ค่ะ”

“ลูกก็จะเป็นหนี้ อีกอย่างเขาเป็นเศรษฐี เขาไม่เดือดร้อนเงินเขาคงไม่ขายให้หรอก”

ตอนที่เธอเดินเข้าไปหาเศรษฐีเจ้าของที่ดินหัวใจเธอเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ในใจก็ภาวนาให้สำเร็จผลเธอทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจที่เขายอมแบ่งขายให้และให้เธอชี้เอาเลยว่าชอบตรงไหน

“หนูจะปรับถมที่ไว้ เก็บตังค์สักระยะค่อยสร้างบ้านค่ะ”เธอบอกกับแม่ แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่พูด นับวันเธอยิ่งรู้สึกอึดอัดเสียงดังวุ่นวายมันทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกร้อนรุ่ม วุ่ชีวิตอยู่ไม่เป็นสุขอยากอยู่ในที่เงียบ ๆ จึงรีบวิ่งหาเงินมาสร้างบ้าน เริ่มจากยืมโฉนดที่ดินที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองของน้องสาวแม่ของหลานชายซึ่งประเมินได้ราคาสูงหน่อยจากนั้นก็ติดต่อช่างก่อสร้างทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่มีอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น

“เอายกโครงมุงหลังคาก่อนเพราะเหล็กปูนหาซื้อง่าย จากนั้นค่อยต่อเติม”

“ทำไมไม้สร้างเป็นบ้านปูทั้งหลังล่ะจะได้เสร็จเร็วไว” เต็น น้องชายซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้ออกความเห็น

“มันไม่สวยนะซี อยากได้ไม้แต่งสวย ๆ”

“ไม้มันแพง ถ้าเป็นไม้ตลาดมืดแถวเราก็ไม่ค่อยมีแล้ว ป่าไหนดงไหนก็โล่งเตียนหมดแล้ว”

ในตอนนั้น สถานการณ์ทางการเมืองก็ร้อนระอุมีการเลือกตั้งซ่อมในเขตที่เธออาศัยอยู่ และเธอก็ได้ไปเป็นกรรมการนับบัตรเลือกตั้ง

“ไง คนสวย เธอทำท่านับบัตรซิกล้องนี้จะถ่ายทอดสดนะ”เพื่อนนักข่าวเข้ามาขอถ่ายชนิดโคลส อัพ แบบชิดติดกล้อง จากนั้นก็มีคนมายื่นกระดาษโน้ตสั้นๆ ให้ “มีคนอยากเจอ” ไม่มีลายเซ็นไม่มีชื่อ เธอส่ายสายตามองไปรอบ ๆผู้คนมากมายทั้งเจ้าหน้าที่สวมใส่เครื่องแบบเต็มยศตามหน่วยงานที่สังกัดทั้งฝ่ายรักษาความสงบ อาสาสมัคร ผู้สังเกตการณ์ รวมทั้งกรรมการนับคะแนนเต็มไปหมด เธอหย่อนกระดาษโน๊ตแผ่นนั้นลงกระเป๋าถืองานที่อยู่ตรงหน้าวุ่นวายจนลืมมันไป กว่าทุกหน่วยจะส่งหีบบัตรครบก็เกือบหกโมงเย็นเธอทั้งเหนื่อยทั้งหิว พอเสร็จงานจึงลุกเดินตั้งใจจะไปหยิบเอาขวดน้ำดื่มที่จุดบริการ เธอเดินก้มหน้าเพราะไม่อยากเจอคนรู้จักแล้วต้องหยุดทักทายมีตำรวจแต่งตัวเต็มยศสามคนเดินมาหยุดกึกขวางทางเดิน รู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยมีใครเล่นบทแปลกๆ กับเธออย่างนี้มาก่อน จึงเงยหน้าขึ้นมอง พลันก็เหมือนถูกสายฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆความเจ็บปวดในอดีตวิ่งแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่เธอกลับยืนนิ่งปากเม้มสนิท

“ไม่คาดฝันว่าจะได้เจอนายอีก ” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินขนาบข้างมาทั้งสองคนก้าวเท้าถอยหลังออกไปสามก้าวสายตายังคงจับจ้องมาที่เธอกับเขา

“เออฉันส่งโน้ตหานายไม่รู้ว่าเด็กเอาไปส่งให้ถูกคนรึเปล่า”

“ นาย คือคำที่เขาใช้เรียกเธอและมีคนเดียวในโลกที่ใช้คำนี้“

“นาย เอ่อ ยังสวยเหมือนเดิมฉันคิดถึงนายเสมอนะ ตอนนี้ฉันย้ายมาตำแหน่งรองผู้กำกับอยู่ที่ดงโป่งแดง” เขาพูดพร้อมกับควักนามบัตรยื่นให้ “มีอะไรให้ช่วยก็ติดต่อไปได้นะ” เธอไม่ตอบแต่ก็รับนามบัตรนั้นมาแต่โดยดี

“ฉันกับลูกน้องจะกลับแล้วหวังว่าคงได้มีโอกาสเจอนายอีก”

ตอนเดินแยกจากกันเธอกลับรู้สึกเฉยๆ ความเจ็บที่เคยเป็นแผลลึกในใจนานถึงสิบหกปี มันคงด้านชาเสียแล้ว และคงตายไปพร้อมกับกาลเวลา แต่ก็แปลกที่โลกมันช่างกลมเหลือเกิน เธอเก็บนามบัตรไว้ไม่ถึงสัปดาห์ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้จ้องมองหมายเลขโทรศัพท์แล้วจิ้ม ๆ

“พี่คะหนูกำลังสร้างบ้านและอยากได้ไม้ค่ะ” เธอเปล่งเสียงใสแจ๋ว พูดช้า ๆ เนิบนาบกาลเวลากระมังที่ทำให้เธอรู้จักเลือกใช้คำ เลือกใช้ภาษาและเลือกใช้ลีลา

“เออ เหรอ ได้ ได้ เดี๋ยวฉันสั่งให้เขียนรายการมาเลยนะ” น้ำเสียงเขาดูตื่นเต้นมาก ไม่กี่วันถัดมาเขาโทรมาบอกว่าจะมาทานข้าวบ้านเพื่อนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของเธอ เธอจึงเอารายการไม้ที่ต้องการสั่งไปให้เธอจอดรถริมถนนใหญ่แล้วโทรให้เขาออกมาหา เธอมองเห็นแล้วว่าในร้านมีใครอยู่บ้าง

“อ้อ! เดี๋ยวนี้นายขับซิวิคงรวยแล้วสิ”

“นี่ค่ะรายการที่ต้องสั่งงวดแรก” เธอทำเป็นไม่สนใจคำทักทายส่งยิ้มหวานให้ขณะยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้เขา “ต้องวางมัดจำไหมคะ”

“ไม่ต้อง ไว้เรียบร้อยเมื่อไหร่ฉันจะโทรหานายนะ”

เธอเฝ้ารอสายจากเขาแต่ก็เงียบหายไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอโทรหาก็ไม่มีสัญญาณ ‘เชอะ..ก็คงดีแต่พูด’ เมื่อพึ่งเขาไม่ได้ก็ต้องพึ่งตัวเอง

“พี่ชายหนูก็ทำไม้ขายเหมือนกันส่งให้ถึงที่เลยแถมคนงานช่วยขน แต่ขอค่าน้ำมันค่ะ” น้องปุ๊กเพื่อนของน้องสาวซึ่งทำงานเป็นพยาบาลเสนอมา เธอยื่นรายการให้กับน้องปุ๊ก รอบนี้สั่งไม้ยูคาทำโครงก่อสร้างกับไม้แบบสามวันถัดมาเธอก็ขับรถไปพื้นที่อำเภอดงโป่งแดงตอนบ่าย ๆ ตามนัด เธอจอดรถไว้ที่หน้าบ้านน้องปุ๊ก แล้วขึ้นนั่งรถกระบะซึ่งมีน้องปุ๊กเป็นคนขับส่วนรถขนไม้เป็นรถ 6 ล้อ พี่โชค พี่ชายน้องปุ๊กขับนำหน้าไปมีลูกน้องห้าคนนั่งข้างหลังแต่ละคนดูคึกคักส่งเสียงคุยกันโหวกเหวกเพราะได้งานได้เงิน รถแล่นตามเส้นทางเกวียนลึกเข้าไปในดงในป่าไกลพอสมควร ถนนเลี้ยวลดคดเคี้ยว รถกระโดดโครมครามโยกเยกไปมาเวลาตกหลุมตกบ่อ พอไปถึงเธอกับน้องปุ๊กก็นั่งดูคนงานลำเลียงไม้ขึ้นรถพระอาทิตย์คล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ จนลาลับขอบฟ้าความมืดก็เข้ามาแทนที่ พี่ชายน้องปุ๊กก็ให้สํญญาณให้รถกระบะวิ่งออกหน้า

“อ้าวไม่รอให้ดึกก่อนหรือ” เธอตะโกนถามออกไป

“ทุ่มสองทุ่มกำลังพอดี เพราะเป็นช่วงรถพลุกพล่าน รถอีแต๋น รถขนวัว ควาย สารพัดมันกลมกลืนกันง่าย” พูดจบเขาก็กระชากรถออกอย่างแรง ธุรกิจตลาดมืดครั้งแรกในชีวิตของเธอเกิดขึ้นแล้วเธอภาวนาว่าขอให้รอดปลอดภัยถึงบ้าน

เสียงรถ6 ล้อหนัก ๆ พ่นควันโขมงวิ่งส่ายไปส่ายมาตามร่องขรุขระของถนน มันแล่นไปช้า ๆ เพราะถนนไม่เป็นใจ ตรงไหนหลุมบ่อลึกติดหล่ม คนงานก็ลงจากรถช่วยกันเข็ญ คนขับแหยียบคันเร่งจนจมมิดท่อไอเสียพ่นควันโขมง ทำท่าจะไม่รอดแต่ก็ผ่านไปได้ ทุกครั้งที่เคลื่อนไปได้ พวกคนงานก็ร้องเฮจากนั้นก็ต้องเฮกันไม่ออก เมื่อมันเจอหลุมทรายกลางทุ่งนา พี่โชคเหยียบคันเร่งเท่าไหร่ล้อของมันก็ยิ่งจมลงไปคนงานช่วยกันเข็ญก็ไม่ขยับเขยื้อนต้องพากันขนไม้ลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาแต่เร่งเครื่องยังไงมันก็ไม่ขยับเขยื้อนพอเหยียบคันเร่งมาก ๆ เครื่องก็ดับ สตาร์ทไม่ติด ต้องซ่อม

“ทุกทีไม่เคยเสียทำไมต้องมาเสียคืนนี้ด้วย” น้องปุ๊กหันมาพูดกับเธอ เธอไม่ออกความเห็นเพราะคนงานแต่ละคนก็ดูสีหน้าไม่ดี พี่โชคลงมือซ่อมเอง คนอื่น ๆก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ที่เหลือก็นั่งลุ้น นั่งรอ ยืนรอ เวลาก็ผ่านไปเรื่อย ๆจากสองทุ่มเป็นสามทุ่ม สี่ทุ่ม โชคดีที่คืนนั้นจันทร์เดือนหงาย จึงมีแสงส่องสว่างให้เห็นท้องทุ่งสุมทุมพุ่มไม้เป็นเงาเลือนลาง เธอจึงเดินเล่นไต่คูนาไปเรื่อย ๆ เธอรู้ว่าจากที่นี่ไปสถานีตำรวจห่างกันราว ๆ แปดกิโลเมตร ลองโทรหาเขาแต่ก็ไม่มีสัญญาณ เดินไปไกลพอสมควรแล้วก็วกกลับทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบห้าทุ่มผ่านไป

“พี่ชันษา”เสียงน้องปุ๊กตะโกนเรียก เธอจึงเดินกลับไปหาพวกเขา

“เจอหมาหลงทางเหรอ”น้องปุ๊กถามเธอ

“หมาที่ไหนไม่เห็นมีเลย” แม้แสงจันทร์ไม่ส่องสว่างมากแต่เธอก็มองเห็นสีหน้าซีดเผือด ของน้องปุ๊กชัดเจน พี่โชคหันขวับมามองแต่ไม่พูดอะไรลูกน้องของเขามองหน้ากันเลิกลั่กแต่ต่างก็เงียบกริบมีคนหนึ่งพยายามไปยืนหลบอยู่หลังเพื่อนมือไม้สั่นเทาจนเห็นได้ชัด เธอหันไปมองเส้นทางที่เธอเดินไปมาก็ไม่เห็นมีวี่แววความเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากเงาทมึนของสุมทุมพุ่มไม้ ได้ยินเสียงพูดออกมาจากในกลุ่มเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบมันก็ดังพอที่จะได้ยินกันทุกคน

“คืนนี้เจอดีเข้าให้แล้ว” เงียบกันไปอีก และแล้วน้องปุ๊กก็เป็นคนทำลายความเงียบ

“รถคงซ่อมไม่เสร็จในคืนนี้ อีกอย่างพี่ต้องกลับบ้านไปอีกไกล หนูจะไปส่งพี่เรื่องไม้หนูขอรับประกัน รถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่จะรีบไปส่งให้”เธอพยักหน้าตกลงตามนั้น น้องปุ๊กขับรถเร็วกว่าตอนขาไปคงเป็นเพราะชำนาญเส้นทาง ไม่นานก็พ้นแนวป่ากลับเข้าหมู่บ้าน ตลอดเส้นทางน้องปุ๊กหน้าตึง เงียบกริบจนเธอไม่กล้าชวนคุย จนรถมาจอดเทียบรองของเธอ เธอจึงถามออกไป

“หมาที่ว่าน่ะน้องปุ๊กเห็นที่ไหน”

“มันเดินตามหลังพี่ต้อย ๆ “ เธอมีสีหน้าแปลกใจ

“ตาฝาดไปรึเปล่า”

“อืม ..ไว้พรุ่งนี้น้องโทรหาขอให้พี่กลับบ้านปลอดภัยนะ”

เธอกลับถึงบ้านเที่ยงคืนเอารถเข้าจอดในโรงรถ ก้าวเท้าเดินเบา ๆ เปิดประตูเข้าบ้าน เดินผ่านห้องหลานชายคงกำลังหลับสนิท เธอเข้าห้องนอน ดึกเกินไปและง่วงเกินกว่าที่จะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าล้มตัวลงนอนมาสะดุ้งตื่นเอาตอนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอกดรับด้วยเสียงอู้อี้

“ขอโทษที่รบกวนแต่เช้าพี่ไม้ส่งให้เรียบร้อยแล้วนะครบตามสั่ง” เสียงน้องปุ๊กนั่นเอง

“แล้วน้องอยู่ไหนนี่”

“อยู่ที่บ้านใหม่ของพี่ จะกลับแล้ว พี่โชคมีงานด่วนต้องทำ ไว้พี่ค่อยแวะมาตรวจเช็คอีกรอบนะคะ”

“ทำไมมาถึงเช้าจัง”

“ออกจากโน่นตีสี่ค่ะ”

“เจอด่านมั้ย”

“ตำรวจที่นั่งอยู่ก็แค่มองๆ คงไม่สงสัยอะไร”

“เหรอ ถือว่าดวงดี เดี๋ยวพี่จะไปหา รอแป๊บนะ”

“ไม่ต้องค่ะ จะออกรถแล้ว”ได้ยินเสียงรถดังรบกวน

“เออ..แล้วเอารถที่ไหนขนล่ะ”

“คันนั้นแหละพี่ ไม่อยากเชื่อเลยพอเรากลับ รถก็สตาร์ทติด พี่โชคเห็นว่ามันดึกจึงขับไปจอดไว้ที่บ้านสงสัยโดนเจ้าที่ทัก แถวนั้นน่ะเจ้าที่แรงนะพี่ มีคนได้ยินเสียง หรือเห็นอะไรแปลก ๆเหมือนเมื่อคืนพี่เป็นคนแปลกถิ่น มันคงอยากหยอก จึงทำให้เห็นลูกน้องพี่โชคขวัญผวาไปตาม ๆ กัน อีกคนแทบจับไข้”

“หมาที่ว่าน่ะพันธุ์อะไร”

“หมาตัวใหญ่ สีดำถ้าน้องเห็นคนเดียวคงคิดว่าตาฝาด แต่นี่เห็นกันทุกคน ยกเว้นพี่”

“ฮื่อ ...คงเป็นเจ้าที่จริง ๆ นั่นแหละโชคดีแล้วที่พี่ไม่เห็น” เธอรู้สึกขนลุกซู่ขณะกดวางสาย





Create Date : 13 กันยายน 2559
Last Update : 1 มีนาคม 2560 15:28:56 น.
Counter : 496 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark!4


เธอไปทำงานตามปกติและลืมเรื่องหมาไปสนิท จนกระทั้งถึงเวลาเข้านอนทันทีที่หลับตาก็เห็นมันกระโจนพรวดออกมาจากที่ไหนสักแห่งมานั่งก้มหน้าอยู่หน้าห้องนอนของเธอ เธอลืมตาขึ้นอยากพิสูจน์ว่ามันมีอยู่จริงไหม ลุกไปเปิดไฟเปิดประตูห้องนอนออกไปดูแต่ก็พบกับความว่างเปล่า เธอรู้สึกหงุดหงิดที่มีสิ่งมาขัดจังหวะการหลับนอน ปิดไฟและกลับไปที่เตียง ทิ้งร่างลงอย่างแรงหนังตาหนักอึ้ง ขณะกำลังสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เห็นมันเดินทะลุผ่านประตูเข้ามา และนั่งลง อารามตกใจเธอจึงตะโกนไล่มันยื่นมือออกไปสะเปะสะปะ

“ไป๊ อออกไปเดี๋ยวนี้ ไป..”พลันก็ได้ยินเสียงทุบประตูห้องดังปึง ๆ

“กลาง ยายกลางเป็นอะไรไปลูก” เธอสะดุ้งตื่น หัวใจเต้นเร็ว หอบหายใจฮัก ๆ พอได้สติ เธอลุกขึ้นไปเปิดไฟและเปิดประตู เห็นแม่ยืนอยู่สีหน้าตื่น ๆ “เป็นอะไรไป ร้องเสียงลั่นบ้านเชียวฝันร้ายเหรอ”

“หนูเห็นหมา เออ..ฝันเห็นหมาหมาตัวใหญ่สีดำ มันเข้ามาในห้องหนู ”

“เอาอีกแล้ว เมื่อเช้าก็ถามหาหมาสีดำ ลูกคงเก็บเอามันไปคิด จึงฝันเห็นมัน”คำพูดของแม่ไม่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น “ให้แม่นอนเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่..ไม่เป็นไรหรอกแม่มันก็แค่ฝันน่ะ” พอแม่เดินกลับลงไปชั้นล่าง เธอยังรู้สึกใจไม่ดี ไม่อยากอยู่กับความมืดกลัวจะเห็นมันอีกจึงเอื้อมมือไปเปิดไฟหัวเตียงแสงสลัวของมันส่องไปทั่วห้องเธอพยายามทบทวนเหตุการณ์ สามคืนติดกันแล้วนะที่เธอฝันเห็นหมาตัวเดิมและมันเหมือนจริงมากกว่าฝัน แล้วความคิดก็ค่อย ๆ ลางเลือนเมื่อเธอม่อยหลับไปหลับสนิทและจมดิ่งลึกแล้วก็เห็นตัวเองเดินตัวเบาอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่เขียวขจีในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังโพล้เพล้เตรียมลาลับจากโลกไป ตรงหน้าเธอสุนัขขนดกหนาสีดำตัวใหญ่หูทั้งสองใหญ่ตั้งชันกำลังวิ่งมาหาด้วยท่าทางอารมณ์ดี หางฟูของมันกระดิกส่ายไปมาพอวิ่งมาถึงมันกระโดดกอดรัดเธอ ลิ้นสีชมพูของมันเลียมือ เลียหน้าของเธอ มือทั้งสองข้างของเธอโอบกอดมันด้วยความรักมันเป็นหมาของเธอ จำไม่ได้ว่าเอามันมาจากไหน มีมันตั้งแต่เมื่อไหร่รู้แต่ว่ามันเป็นหมาของเธอ แล้วทั้งสองก็วิ่งเคียงคู่กันไปอย่างร่าเริงพลันมันก็หยุดกึกไม่ยอมวิ่งตามเธอไป เธอหันมามอง กวักมือเรียกให้มันวิ่งตามมันกลับนั่งลงกับพื้นไม่ยอมขยับเขยื้อน

“มาเร็ว ..เอ่อ..” จะเรียกชื่อของมันกลับนึกไม่ออกว่าเคยเรียกมันว่าอย่างไร“เอ่อ..เจ้า..เอ่อ..มาเร็ว”

“ข้า หิวข้าวไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว ” อา! มันพูดอีกแล้ว แต่เธอกลับไม่นึกแปลกใจ เพราะในฝันอะไร ๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ

“อ้าว! แล้วที่ผ่านมาเจ้ากินที่ไหนล่ะ”

“ต่อแต่นี้ไปเจ้าต้องให้อาหารข้า ทุกครั้งที่เจ้ากินอาหาร เจ้าต้องนึกถึงข้า เชิญข้ากินด้วย”

“อ้าว! แล้วทำไมไม่กินเอง”

“มันเป็นข้อปฏิบัติ”

“ฉันไม่เข้าใจ”

“แล้วเจ้าจะค่อย ๆเข้าใจ”

แสงอาทิตย์เริ่มหายไปเงาความมืดคลืบคลานเข้ามาแทนที่เธอต้องกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก เธอหันกลับไปดูเส้นทางที่เดินมา มันช่างทอดยาวไกลเสียเหลือเกินพอหันกลับมาหมาก็หายไปแล้ว เธออดแปลกใจไม่ได้จนเผลอเอามือทาบ อก เธอสะดุ้งตื่นและมือยังวางอยู่ที่อก ลำแสงสีส้มของอาทิตย์แรกแย้มสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาเธอเหลือบมองนาฬิกา อีกสิบนาทีจะหกโมงเช้า วันนี้วันเสาร์ ไม่ต้องไปโรงเรียนเธอนอนอ้อยอิ่งทบทวนความฝัน แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจรีบลุกจากที่นอนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินเข้าไปในห้องครัว ตั้งใจจะเล่าความฝันให้แม่ฟังแต่แม่ไม่อยู่ที่นั่น เธอชะโงกหน้ามองออกนอกประตูได้ยินเสียงแม่คุยกับพี่สาวอยู่บ้านถัดไปเธอจึงเตรียมอาหารมื้อเช้า มีไข่ดาว ขนมปังปิ้ง แอปเปิลฟูจิหนึ่งลูกและแก้วน้ำส้มก่อนจะตักไข่ดาวเข้าปาก เธอนึกถึงคำพูดของหมาดำในฝัน เธอจึงลองทำตามที่มันแนะนำอดขำไม่ได้ที่ตัวเองทำอะไรแปลก ๆ ดูมันบ้าบอสิ้นดี ถ้าคนอื่นรู้เข้าคงหาว่าเธอบ้าแต่ก็คงไม่มีใครรู้ตราบใดที่เธอยังไม่ได้บอกใคร แล้วเธอก็ไม่เคยบอกใครเลย พอตกตอนกลางคืน ทันทีที่นอนหลับตาหมาดำก็ผุดขึ้นมาให้เห็น เธอเริ่มชินกับมันแล้ว มันจะมาจากทางไหน ไปเมื่อไหร่ จะพูดอะไรเธอก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว

“วันนี้ท้องข้าอิ่ม”

สองปีต่อมาขณะนอนหลับเธอก็ฝันเห็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนตุ้นนุ้ยมายืนเกาะประตูห้องนอน พอเธอพลิกตัวก็ต้องสะดุ้งเพราะไปทับตัวเด็กเข้าผลุดลุกขึ้นหันไปมองข้างเตียงกลับไม่เจออะไร แล้วเธอก็นอนลืมตาโพลงทบทวนความฝันวกไปวนมาจู่ ๆ ก็นึกอยากเจอหมาดำเผื่อมันรู้อะไรบ้าง

“เด็กจะมาอยู่ด้วย”เสียงกระซิบของมันดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เธอแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันได้ยินสิ่งที่เธอคิด พอรุ่งเช้า เธอรีบลุกจากที่นอนเดินตามหาแม่เพราะมีเรื่องจะถาม แม่นั่งเล่นอยู่ที่บ้านน้องชายซึ่งอยู่ด้านหน้าบ้านของเธอมีน้องสะใภ้ร่วมวงด้วย เสียงคุยกันดังขรม เสียงหัวเราะผสมผสานกันเริงร่า

“ยายน้อยคลอดลูกรึยัง”เธอถามเข้าไปกลางวงสนทนา

“อ้าวพี่กลางไม่รู้หรือ คลอดแล้วเมื่อคืนตอนตีสาม..”

“ได้ลูกชายใช่ไหม”เธอรู้สึกตื่นเต้นขณะรอคำตอบ

“ก็รู้ตั้งนานแล้วว่าคงได้ลูกชายดูท้องใหญ่เบ้อเริ่มเลย ”

มันตรงตามที่เธอฝันแต่จะเป็นจริงอย่างที่เสียงนั้นบอกหรือไม่เท่านั้นเองน้องสาวของเธอชื่อน้อย เป็นพยาบาล สามีเป็นตำรวจ และเพิ่งคลอดลูกคนแรกไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะยกให้เธอ อีกอย่างเธอก็เป็นโสดต้องทำงานจะเลี้ยงดูเด็กอ่อนคงเป็นไปไม่ได้ แต่แล้วเด็กชายชานนพ่อของชุนทิราก็ได้มาอยู่กับเธอออกจากโรงพยาบาลวันแรก น้อยก็ส่งให้เธอ จากให้ยายเลี้ยงช่วงเป็นเด็กอ่อนเธอก็ช่วยเลี้ยงทุกวันทุกคืน บางคืนก็นอนด้วยกันพอเด็กเริ่มจำความได้ก็ติดเธอแจเลย กลายเป็นความรักความผูกพัน ช่วงที่เธอวุ่น ๆ ภาพเจ้าหมาดำก็ไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นจนบางครั้งเธอลืมนึกถึงมันด้วยซ้ำ และคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอนในฝันบางช่วงของความรู้สึกแต่จากนั้นไม่นานเธอก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดถนัด

ชานนเป็นเด็กเลี้ยงง่ายนับวันโตวันโตคืน แม้จะวุ่นอยู่กับหลานแต่เธอกก็เกิดความรู้สึกอยากไปโน่นไปนี่

“แม่วันนี้ฝากดูแลหลานด้วยนะ หนูจะไปดูสวนสักหน่อย”คำพูดของเธอราบเรียบแต่ทำเอาคนฟังสะดุ้ง

“เกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยลูกแทบไม่ย่างกรายไปใกล้สวนใกล้นาเลยแล้ววันนี้นึกยังไงถึงอยากไป” แล้วเธอก็ไปจริง ๆ มันอยู่ห่างจากหมู่บ้านสามกิโลเมตร ขับรถเครื่องไปแป๊บเดียวก็ถึง พอเห็นประตูทางเข้าเธอรู้สึกตื่นเต้นจนบอกไม่ถูกมันเหมือนจากบ้านไปที่อื่นนาน ๆ แล้วได้กลับบ้าน เธอจอดรถเครื่องไว้ที่หน้าประตูแล้วเดินเลียบเลาะดูต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้ต้นมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ขนุน น้อยหน่า ดูเธอคุ้นเคยมันดึเหลือเกินและรู้ด้วยว่าต้นไหนอยู่ตรงไหน จากพื้นที่สวนทั้งหมดยี่สิบไร่ เธอเดินเลาะจนทั่วโดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยจากนั้นก็ขึ้นไปสำรวจดูกระท่อมที่พ่อชอบเรียกว่าบ้านสวน ที่พ่อใช้เกือบทั้งชีวิตอยู่ที่นี่ย่างเข้าปีที่ห้าแล้วนะที่พ่อจากไป สวนนี้ก็แทบจะเป็นสวนร้างแม่มาเก็บผลไม้เป็นบางครั้ง แต่ก็กลับไปพร้อมกับน้ำตาทุกครั้ง บนชานบ้าน มีโอ่งน้ำใบเล็กมีฝาครอบตั้งอยู่หิ้งที่สานจากไม่ไผ่สำหรับใส่ถ้วยชามไม่กี่ใบ กาต้มน้ำที่ดำปี๋ยังวางอยู่บนเตาฟืน มีแก่นไม้รากไม้มัดเล็กๆ วางอยู่ข้างเตา คงเป็นพวกสมุนไพร เสื้อผ้าเก่า ๆ ผ้าขาวม้าขาดรุ่งริ่งวางพาดอยู่ที่ราวไม้ เธอเปิดประตูบ้านแล้วกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นเตียงไม้เก่า ๆ ผ้านวมที่เต็มไปฝุ่นยังคงวางอยู่บนเตียงเหมือนพ่อเพิ่งลุกจากเตียงไปทำธุระแล้วจะกลับมานอนต่อเหนือหัวเตียง มุ้งที่เก็บพับไว้ก็มีหยากไย่เกาะเต็มไปหมด หนังสือวรรณคดีเล่มโปรดของพ่อเรื่องรามเกียรติ์เก่าจนดูซีดเหลืองแต่กระนั้นสันหนังสือก็เย็บร้อยด้วยเชือกปออย่างดีและหนังสือกฎหมายเบื้องต้นที่มีคราบปลวกกัดกินทั้งสองเล่มวางอยู่บนพื้นข้างเตียงสะดวกที่มือจะคว้าหยิบได้ พ่อชอบจุดตะเกียงอ่านหนังสือก่อนนอนเสมอ ๆ รอบ ๆ ห้องข้าวของเครื่องใช้อื่นแทบไม่มี เธอนั่งลงบนขอบเตียง ดึงผ้าห่มออกเห็นหมอนใบเก่าที่ปลอกหมอนมีคราบสึดำ ๆ ด่าง ๆ เธอเอามือตบมันเบา ๆฝุ่นลอยคลุ้งกระจาย สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม หลับตาพริ้มสูดเอากลิ่นสาบอับชื้นกลิ่นทีเธอคุ้นเคย เอื้อมมือไปหยิบหนังสือรามเกียรติ์ขึ้นมา เปิดไปตรงที่มีซีกไม้ไผ่คั่นมันเป็นตอนพระลักษณ์ต้องหอกโมขศักดิ์ เธอกวาดสายตาไปได้ไม่กี่บรรทัดก็ม่อยหลับหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ พอตื่นขึ้นมาก็พบว่าท้องร้องจ๊อก ๆ เหลือบมองนาฬิกาข้อมือ บ่ายสองโมงครึ่งเธอรีบลุกจากที่นอน ออกจากห้องลงบันไดแล้วตรงดิ่งไปที่รถเครื่อง สตาร์ทรถ ขี่กลับบ้าน พอถึงบ้าน เห็นแม่ซึ่งมีหลานนั่งบนตักกับพี่สาวกำลังคุยกัน พอได้ยินเสียงรถของเธอ พี่สาวเดินรี่มาหา

“นึกว่าหายไปไหนกำลังจะพากันออกไปตามหา ข้าวน้ำก็ไม่มากิน” เธอขอโทษพวกเขา แล้วตรงดิ่งเข้าไปที่ห้องครัว ควานหาอาหารพี่สาวเดินตามเข้ามาถึงห้องครัว

“เป็นไงกี่ปีแล้วที่เธอไม่ได้ไปสวน ดูมันเปลี่ยนแปลงไปมากไหม”

“มันรกไปหน่อยไม่มีใครไปดุแลมันเลย หนังสือที่พ่อชอบอ่านเป็นประจำก่อนนอนก็ปลวกขึ้นแล้ว”

“รู้ได้ไงว่าพ่อชอบอ่านหนังสือก่อนอน”

“ก็เคยได้ฟังเป็นประจำ..อ๊ะ”แล้วเธอเองก็รู้สึกแปลกใจ

เรื่องที่เธอไปสวนกลายเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่พี่น้องในครอบครัวแม่เองก็แปลกใจ จากที่สวนก็เหลือที่นาที่ต้องไปอีกมันอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปห้ากิโลเมตร ตอนยังเด็กโรงเรียนจะหยุดในช่วงฤดูเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวพ่อกับแม่น้องที่ตัวเล็ก ๆ และน้องที่ยังเดินไม่เก่งจะอพยพจากบ้านไปอยู่นา ส่วนพี่ๆ และคนที่เดินคล่องแล้วจะต้องตื่นแต่เช้าพี่สาวคนที่โตที่สุดจะนึ่งข้าวใส่กระติ๊บใบใหญ่แล้วเอาใส่ย่ามสะพายพี่คนโตกับคนรองจะผลัดเปลี่ยนกันสะพาย ส่วนกับข้าวไปหาเอาที่ทุ่งนา จากนั้นพี่ ๆ ก็จะจัดแจงดูแลน้อง ๆสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพากันออกเดินเท้าเปล่า เช้าไป เย็นกลับเส้นทางที่เดินก็เป็นทางเกวียน และลัดเลาะตามภูเขา ทำอย่างนั้นทุกวันจนปักดำเสร็จ พอหน้าเก็บเกี่ยวก็ทำเหมือนเดิมอีก พอเธอโตขึ้นหน่อยก็มีหน่วยราชการมาตัดถนนเทลูกรังก็ทำให้สะดวกขึ้น ตั้งแต่พ่อจากไป พี่ ๆ น้อง ๆ ต่างก็ทำการทำงานไม่มีใครทำนาจึงให้คนอื่นทำแล้วแบ่งปันข้าว บ่ายวันนั้นพอหลานชายนอนหลับเธอก็ขับรถเครื่องออกจากบ้าน พอไปถึงก็จอดรถไว้ใต้เถียงนา เดินเลียบเลาะคูนาไปเรื่อยๆ พื้นที่นามีทั้งหมดสิบสองไร่เธอรู้จักพื้นที่ดีว่าตรงไหนดินเป็นอย่างไร ข้าวดีหรือไม่ดี พอเดินทั่วแล้วก็นึกถึงคุ้งห้วยน้ำดำที่อยู่ติดปากถ้ำบนภูไม่ไกลจากที่นาไหน ๆ ก็มาถึงนาแล้ว ขอขึ้นไปดูสักหน่อย เธอจึงเดินลัดเลาะไต่เขาไปเรื่อย ๆขณะเดินก็สอดส่ายสายตามองรอบ ๆ  ตรงไหนที่เคยมาเก็บผักหวาน หน้าผาไหนเก็บหอยหอม กลิ่นอายดินลอยโชยมาให้รู้สึกสดชื่น เสียงกบเขียดส่งเสียงร้องระงมไปทั่วระหว่างทางได้พบกับสองตายายที่กำลังหาบฟืนเดินลงเขา ทั้งสองมองเธอด้วยสีหน้างง ๆและพูดซุบซิบกันเบา ๆ

“มาเก็บฟืนกันเหรอ”เธอร้องทักไปก่อน

“จ้า” คุณยายตอบ” เจ้าเป็นใครเป็นคนแถวนี้เหรอ”

“หนูเป็นลูกสาวพ่อทองไทค่ะ”

“อ้อ! หัวนาอยู่ตรงนั้นนะเหรอ เออ ทองไทมีลูกหลายคน ยายจำได้บางคนที่โต ๆ น่ะ “

“หนูเป็นลูกคนกลางค่ะ”

“อ้อ! หนูกลาง ตอนยังเด็กที่ตัวขาวโพน ผมแดง ๆ นั่นเหรอ ยายนึกออกแล้ว แล้วจะไปไหนล่ะนี่ ”

“จะไปดูคุ้งห้วยน้ำดำสักหน่อยว่ามีน้ำเยอะไหม”

“อุ้ย! หนู ทำไมกล้าไปคนเดียว แล้วนี่มันก็ค่ำแล้วนะขากลับมันจะไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินน่ะ ไม่กลัวเหรอ” คุณตาสามีทำปากจุ๊ ๆ ให้ยายเงียบ

“หนูจะรีบไปรีบมาค่ะ” เธอยิ้มให้สองตายาย แล้วมุ่งหน้าเดินต่อ

พุ่มใบ้ใบหญ้ารกชัฏกอไม้ไผ่ป่าแผ่กิ่งก้านปกคลุมไปทั่ว เธอก้าวเท้าสวบสาบมุ่งตรงไปข้างหน้าเรื่อย ๆไม่นานก็เจอลำห้วยเล็ก ๆ เดินเลาะริมห้วยขึ้นไปซึ่งมันขยายกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แสงอาทิตย์สีส้มเข้มเป็นสํญญาณบ่งบอกว่ามันกำลังจะลาลับขอบฟ้าเธอก้าวเท้าให้เร็วขึ้นรู้ว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงคุ้งห้วยน้ำดำแล้วยิ่งใกล้เท่าไหร่เสียงกบ เขียด เสียงแมลงก็ขาดหายไปเรื่อย ๆ นั่นไง ผืนน้ำสีดำนิ่งอยู่ตรงหน้า มองดูไกล ๆคล้ายลานหินใหญ่สีดำทมึน เธอเปลี่ยนเป็นก้าวเท้าเดินเบา ๆ เหมือนเกรงว่าอาจมีบางสิ่งที่เธอเองก็ไม่รู้ได้ยินเสียงฝีเท้าของเธอหรือไม่ เสียงฝีเท้าของเธออาจไปรบกวนบางสิ่ง พอเข้าไปใกล้เธอก็หยุดยืนนิ่งอยู่ริมตลิ่งจ้องมองคุ้งน้ำที่เกือบครึ่งหนึ่งอยู่ใต้แผ่นหินก้อนใหญ่ คุ้งที่น้ำไม่เคยเหือดแห้งและไม่เคยมีใครลงไปพิสูจน์ว่าลึกตื้นแค่ไหน จะมีก็แต่เรื่องเล่าขานกันว่าภายใต้หินก้อนนั้นมีถ้าขนาดใหญ่ เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงศีล บรรดาสัตว์มีอิทธิฤทธิ์มากมีจากภูเขาเหล่ากอทั้งหมดทีทอดยาวต่อ ๆ กับไปเรื่อย ๆที่แห่งนี้คือศูนย์กลางของทั้งมวล บริเวณนี้เป็นเขตต้องห้ามสำหรับเด็ก ๆที่มาเลี้ยงวัว ควาย หรือพวกที่หายิงนก ยิงกิ้งก่า เพราะมีตำนานเล่าขานมากมาย ไม่มีใครอยากเฉียดมาใกล้แม้แต่เธอเองนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาเห็นด้วยตา พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สายลมเย็น ๆพัดวูบมาอย่างแรง เธอหันหลังกลับจู่ ๆ ฝนก็เทโครมลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เธอวิ่งไปนั่งหลบอยู่ใต้ชะง่อนหินที่อยู่ไม่ไกลสายฝนที่กระเซ็นกระสายซัดสาดเข้ามาทำให้เธอเปียกปอนไปทั้งตัวฝนตกนานเกือบสามสิบนาที ก็หยุด เธอออกจากชะง่อนหิน ตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณมืดมิด เธอมุ่งหน้าเดินกลับก่อนจะพ้นบริเวณนั้นเธอหันกลับไปมองคุ้งน้ำอีกครั้ง และก็ต้องสะดุ้งโหยง ขนลุกซู่ทั้งตัวเมื่อมองเห็นไฟสีแดงฉานส่องสว่างมาจากดวงตาหลายคู่ที่ลอยอยู่เหนือน้ำจนทำให้ทั่วทั้งคุ้งส่องสว่าง เธอกึ่งวิ่ง กึ่งเดิน ลื่นถลาล้มเป็นครั้งคราพอลงมาถึงเถียงนา ก็ตรงรี่ไปที่รถเครื่อง พอล้วงกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกควานหากุญแจก็ต้องใจหายวาบ มันคงหล่นหายตอนที่เธอลื่นล้ม เนื่องจากหมู่บ้านที่อยู่ถัดไปเป็นหมู่บ้านปิดยามค่ำคืนบนถนนแทบไม่มีใครสัญจรไปมา ตอนนั้นการสื่อสารยังไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้ เธอจึงตัดสินใจทิ้งรถเครื่องไว้ที่เถียงนาไว้รุ่งเช้าจะชวนน้องชายมาเอา คิดได้ดังนั้นก็เร่งฝีเท้าออกเดินฝ่าความมืด เหลือบมองนาฬิกา มันเพิ่งจะหกโมงครึ่งแต่เนื่องจากฝนตกก้อนเมฆสีดำบดบังไปทั่วมันจึงดูมืดกว่าที่ควรจะเป็น จะต้องกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุดถ้าจะเดินตามถนนลูกรังก็อ้อมค้อมคงกินเวลามาก เธอตัดสินใจเดินตามเส้นทางลัดที่เคยเดินสมัยเมื่อยังเด็กและก็ดูเหมือนเธอรู้จักมันดี ไม่นานก็ผ่านพ้นทุ่งนาจากนั้นก็แทรกตัวเข้ากับสุมทุมพุ่มไม้ปีนป่ายภูเขา เส้นทางที่เธอเคยสัญจรเมื่อตอนยังเด็กตอนนี้มันไม่มีร่องรอยของทางอีกแล้วตั้งแต่มีถนนลูกรังตัดผ่านก็แทบไม่มีใครใช้เส้นทางนี้เลย แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเธอ พอพ้นเขาก็เป็นถนนทางเกวียนเชื่อมต่อกับถนนสายหลัก เธอย่ำเท้าไปเรื่อย ๆ ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากข้างทางมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า เธอหยุดเดิน ยืนนิ่ง ทันใดนั้นก็ปรากฎแสงสีเงินสลัวๆ โผล่ออกมา หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นที่เห็นงูเห่าขนาดเท่าลำแขนกำลังชูคอแผ่แม่เบี้ยแลบลิ้นแผล็บๆ มันกำลังจับทิศทางการเคลื่อนไหว หัวของมันส่ายไปมาแล้วมันก็ค่อย ๆ ลดหัวลง เลื้อยไปข้างหน้าช้า ๆเธอรอจนมันหายลับเข้าป่าข้างทางจึงมุ่งหน้าเดินต่อ ถึงบ้านราว ๆ หนึ่งทุ่มโชคดีที่แม่เข้านอนแต่หัวค่ำพร้อมหลานเธอจึงไม่ต้องคอยตอบคำถาม

“เมื่อคืนกลับตอนไหนติดฝนเหรอ” แม่ถามในตอนรุ่งเช้า เธอเล่าเรื่องนา เรื่องกุญแจรถเครื่องหล่นหายแต่ไม่เอ่ยถึงคุ้งน้ำดำ

“ตรงทางเกวียนตัดผ่านหลังวัดป่าน่ะเห็นงูเห่าชูคอแผ่แม่เบี้ยตัวเบ้อเริ่มเลย เลื้อยตัดผ่าน ลำคองี้มีแถบสีม่วงคล้ำพิษมันคงเยอะน่าดู” เธอเล่าต่อ

“คิดไปเองรึเปล่ามืดออกขนาดนั้น ไฟเฟยก็ไม่มีแล้วจะมองเห็นโน่นเห็นนี่ได้ยังไง” คำพูดของแม่ทำให้เธอสะดุดอะไรบางอย่าง ใช่ทำไมเธอไม่คิดตั้งแต่แรก เธอเห็นทางเดินลงเขาทางเดินกลับบ้านชัดเจนทั้ง ๆ ที่เธอไม่มีไฟส่องทาง ความรู้สึกสั่นสะท้านแล่นวาบไปทั่ว


 




Create Date : 28 สิงหาคม 2559
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2560 14:57:48 น.
Counter : 640 Pageviews.

1 comment
Walk in the dark! 3



ในตอนเช้าพยาบาลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลมาฉีดมอร์ฟีนระงับความเจ็บปวดให้ย่ากลาง หลังจากพยาบาลถอดเข็มออกได้ไม่นานอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดของย่ากลางก็ผ่อนคลายลงแม้ใบหน้าจะดูซีดเซียวแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา

“ชุน ..ชุนอยู่ไหนลูก” ทันทีที่ย่ากลางลืมตาขึ้นปากก็เรียกหาหลานสาว“มาใกล้ ๆ ย่าหน่อยซิ ..เมื่อวานย่าไม่ได้ทักทายเวลาเจ็บปวดทรมาณย่าไม่อยากพูดไม่อยากฟังไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น”แม้น้ำเสียงจะฟังดูเบาหวิว แต่ก็ชัดถ้อยชัดคำ ชุนทิราขยับเข้าไปนั่งข้าง ๆ เตียง ย่ากำลังป้อนข้าวต้มร้อน ๆที่อาบัวเมียของอาหลิวเอามาให้ ย่ากลางดูกลืนลำบากมากทานได้สองคำก็ดื่มน้ำตามทานได้อีกสองสามคำก็หยุด

“แม่นนพี่อยากให้หมอฉีดยาก่อนนอนให้อีกเข็ม จะทนไม่ไหวแล้ว”

“เกรงว่ามันจะบีบหัวใจนะซี” คุณย่ามีสีหน้าวิตกกังวล

“ก็อย่างที่รู้นั่นแหละมาถึงขนาดนี้แล้วให้หายมันก็ไม่หายหรอก คนมันใกล้จะตายแล้ว ก็ให้ตายเร็วไว อย่าให้ทรมานนักเลย”แววตาของย่ากลางเขียวปัดดูไม่สบอารมร์เมื่อถูกขัดใจ คุณย่าพยุงย่ากลางพลิกเปลี่ยนท่านอนไม่ให้นอนทับข้างหนึ่งข้างใดนานเกินไปชุนทิรารีบเข้าไปช่วยคุณย่า ขณะพลิกตัวผ้าซิ่นที่นุ่งหลวม ๆ ของย่ากลางก็หลุดลุ่ยลงไปถึงเชิงกรานทำให้เห็นท้องที่กลมเกลี้ยงนูนป่องอย่างชัดเจน ชุนทิราค่อย ๆ เอามือไปลูบเบา ๆมันอัดแน่นแข็งปึกเลย เธอรีบหดมือกลับ อาการมือไม้สั่นมาจากไหนก็ไม่รู้เธอรู้สึกกลัว สิ่งนี้หรือที่คร่าชีวิตคนได้ ย่ากลางจะรู้สึกอย่างไรนะที่เห็นความตายเฝ้ารออยู่ตรงหน้าคิดถึงตรงนี้น้ำตาของเธอทำท่าจะไหล

“ถ้าเจาะท้องแล้วควักก้อนเนื้อออกมาได้ย่าก็คงหาย..แต่มันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทุกคนต้องมีสามอย่าง มีเกิดมีแก่ และตายย่าได้ก้าวย่างมาถึงช่วงที่สามแล้ว” น้ำเสียงย่ากลางราบเรียบ เหมือนคนที่เตรียมตัวพร้อมแล้วจากนั้นก็อ้าปากหาว ไม่นานก็ม่อยหลับ คุณย่าจึงขอตัวกลับ ชุนทิราจำได้ดีว่าบ้านของย่าอยู่ห่างลงไปทางจทิศใต้ราวๆ หนึ่งกิโลเมตรกับอีกห้าสิบเมตร ที่หน้าประตูรั้วหน้าบ้านอาหลิวจอดรถเครื่องรอรับอยู่แล้ว คล้อยหลังคุณย่าไปก็เหลือแต่ชุนทิรากับเจ้าหงาว

หง่าว อยู่คอยดูแลย่ากลาง

ทันทีที่เสียงรถเครื่องเคลื่อนออกไปทุกอย่างดูเงียบเหงา เหมือนบ้านทั้งหลังมีเธออยู่คนเดียว เธอหันไปมองที่ประตู อยากให้มีใครสักคนโผล่เข้ามาเธอรู้สึกไม่ชอบความเงียบเอาเสียเลย จู่ ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังอย่างหาสาเหตุไม่ได้เธอพยายามเตือนสติตัวเองว่าอย่าคิดแต่งเรื่องมาหลอกตัวเอง พลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็แว๊บมาสะกิดความรู้สึก เธอพยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไป แล้วก็รู้สึกเหมือนมีใครมายืนอยู่ข้างหลังเธอรวบรวมสมาธิตั้งสตินับหนึ่งถึงสามในใจ เริ่มนับหนึ่ง สองและสามพร้อมกับหันขวับไปมอง แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงตกใจที่สายตาของเธอประสานกับสายตาของย่ากลางซึ่งกำลังจ้องจับมาที่เธอ แววตาของย่ากลางดูทื่อ แข็งกร้าวเหมือนมีอำนาจบางอย่างสะกดจิตของเธอให้ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ เธอพยายามมองหาเจ้าหงาวหง่าวตอนนี้ไม่รู้ว่ามันไปอยู่เสียที่ไหน พลันย่ากลางก็พลิกหน้าหันไปทางอื่นเธอยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เหลือบไปมองนาฬิกา เพิ่งจะเก้าโมงเศษเธอเกิดความรู้สึกไม่อยากอยู่กับย่ากลางตามลำพังเธอตัดสินใจจะโทรหาย่าให้มาอยู่เป็นเพื่อนทันทีที่เธอก้าวเท้าเดินก็ได้ยินเสียงกระซิกเบา ๆ เท้าที่ก้าวเดินต้องหยุดกึก เธอทำใจให้กล้าเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงย่ากลางรู้สึกกล้าๆ กลัว ๆ แต่ก็ถามออกไป

“คุณย่าคูณย่าเป็นอะไร” เสียงกระซิกยังคงดังไม่หยุด “คุณย่ารู้สึกเจ็บเหรอ...” เมื่อไม่มีคำตอบเธอก็ได้แต่นิ่ง

“ฉันอยากตาย แต่มันไม่ยอมให้ฉันตายมันทรมาณฉัน..มัน..มัน..”

“โถ..คุณย่า”ชุมทิรารู้สึกสงสารย่ากลางขึ้นมาจับใจ จนเธอน้ำตาซึมเธอเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังย่ากลางเบา ๆ ทำให้หวนนึกถึงวัยเด็กที่ย่ากลางเคยแบกลูบหลังให้เธอก่อนนอนอยากตำหนิตัวเองเหลือเกินที่รู้สึกกลัวคุณย่า เสียงกระซิกเริ่มจางหายไป คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าตอนคุณพ่อยังเด็กคุณพ่อเป็นคนตุ้ยนุ้ยเจ้าเนื้อย่ากลางอุ้มคุณพ่อหนักจนตัวเอียงไปข้างหนึ่ง ลำแขนเล็ก ๆ ของย่ากลางแข็งแกร่งแบกอุ้มคุณพ่อไปโน่น ไปนี่ ตลอดเวลาที่คุณอยู่ด้วยกันย่ากลางเป็นคนแข็งแรง ไม่มีประวัติเจ็บไข้ได้ป่วย แต่พอเป็นแล้วก็ร้ายสุด ๆ อย่างที่เห็นอยู่นี่แหละ

“พ่อของลูกเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงของย่ากลางแม้จะอู้อี้บ้างแต่ก็จับใจความได้

“คุณพ่อสบายดีสุดสัปดาห์นี้ก็คงขึ้นมาเยี่ยมคุณย่าค่ะ”

“ปลัดอำเภอ..เขยเมืองนนท์..เลยไม่มีโอกาสย้ายกลับมาอยู่บ้านเลย” ชุนทิรานิ่งไม่ออกความเห็น

“แล้วแม่ของหนูล่ะ”

“คะ..เออ..ตอนนี้แม่ก็ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านแล้วค่ะ”

“ดี..แล้วชิวภัทรล่ะ”ย่ากลางพูดคุยโดยไม่ลืมตา รอบขอบตามีรอยชื้นแฉะ

“พี่ชิวก็ทำงานค่ะ”

“แล้วชุนทิราล่ะ”

“ก็อยู่กับคุณย่านี่ไง”เธอพูดหยอกล้อหัวเราะเสียงใส

“เออใช่ อืมย่าชอบฤดูใบไม้ผลิ ตอนย่าไปเมืองจีนเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดีมีเทศกาลชุนเจี๋ย ที่ทางบ้านเราเรียกวันตรุษจีน เทศกาลชุนเจี๋ยถือว่ายิ่งใหญ่มาก เป็นการเริ่มต้นของทุก ๆ สิ่งฤดูใบไม้ผลิที่เมืองจีนสวยมาก มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ผลิยอด แตกกิ่งก้านสาขาเขียวขจีไปหมดพวกดอกไม้ก็ผลิดอกออกใบ เสียงนกร้อง นกทำรังวางไข่ฤดูใบไม้ผลิภาษาจีนเรียกชุนเทียน เวลาคนจีนออกเสียงคำนี้จะฟังดูเป็น ชุน ทีอานถ้าหนูเป็นผู้ชายก็จะชื่อชุนเทียน แต่หนูเป็นหญิง เลยเรียกให้เป็นผู้หญิงหน่อย ชุนทิ รา ” แล้วย่าก็กัดฟันกรอด หัวเราะ หึ ๆหึ ในลำคอเบา ๆ

“อืม..เออ..ค่ะคุณพ่อเคยบอกหนู”

“ส่วนพี่ชิวพ่อของหนูขอตั้งเอง เพราะเป็นลูกชายคนแรก เห่อกันทั้งพ่อ ทั้งแม่ ย่าขอแค่ว่าต้องขึ้นต้นด้วย ช ช้างและให้ตั้งชื่อเล่นว่าชิว ซึ่งแปลว่าฤดูใบไม้ร่วง”

“อืม..คูณแม่เคยบอกหนุว่าตอนคลอดหนูออกมาใหม่ ๆ คุณย่าเป็นคนแรกที่อุ้มหนู คุณพ่อก็ว่าหนูเป็นหลานคนโปรด..”

“พอพอ หยุดพูด ” อารมณ์ของย่าเปลี่ยนฉับพลันจนชุนทิราตั้งตัวไม่ติด มือที่กำลังลูบหลังหยุดชะงัก ย่ากลางเบือนหน้าหนีทั้งที่ยังหลับตา ตามด้วยเสียงขบกรามดังกรอดเสียงพูดกราดเกรี้ยวที่เล็ดลอดไรฟันออกมา

“แกไปให้พ้นข้าเลยไป..ไปให้ไกล ๆ ปล่อยให้ข้าตาย อย่าทรมาณกันเลย..ข้าอยากตาย”ตามด้วยเสียงร้องไห้อวดโอย “แต่มันไม่ยอมให้ตายฮือ ฮือ.. ..ไม่น่ะ อย่า..อย่ามายุ่งนะ..แกต้องไปกับฉัน ไปกับฉัน” เสียงลมหายใจดังฟืดฟาดมือทั้งสองข้างกำแน่นลำตัวโก้งโค้งคุดคู้ จากนั้นก็เงียบสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชุนทิราตกใจคิดว่าย่ากลางไล่เธอไปจริง ๆ แต่ฟังดูแล้ว มันคงเป็นอาการเพ้อของคนป่วย

“คุณย่า..ใครไม่ยอมให้คุณย่าตายคุณย่าจะให้ใครไปด้วย”

“นั่นไงมันยืนอยู่ปลายเตียงนั่นไง” ชุนทิรารู้สึกเย็นวาบมองไปที่ปลายเตียงแต่ก็ว่างเปล่าเธอจึงรู้สึกดีขึ้น

“ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นหรอกคุณย่า ลืมตาดูสิคะ” ย่ากลางลืมตา หันไปมองที่ปลายเตียง แล้วหันมามองหลานสาว

“ฮื่อ เหรอ ไม่มีใครเหรอ”จากนั้นเบือนหน้าไปอีกทางปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เงียบกันไปชั่วครู่ ชุนทิราก็ได้แต่นิ่ง คุณย่าเริ่มมีอาการเพ้อแล้วจากนั้นเธอลุกจากเก้าอี้ เดินตรงไปที่ประตูเรียกหาเจ้าหงาวหง่าวมาเล่นเป็นเพื่อนแก้เซ็ง เห็นมันนอนขดตัวกลมอาบแดดอยู่บนเสารั้วบ้าน

“หงาวหง่าวมานี่เร็ว เข้ามามะ มามะ” มันหรี่ตามองแต่ยังคงนิ่งไม่ยอมเคลื่อนไหว เธอจึงเดินไปคว้ามันลงมาอุ้ม พอก้าวพ้นขอบประตูบ้านเข้ามาตัวมันแข็งทื่อ ขนตั้งชัน มันดิ้นพรวดพราดจนหลุดจากมือเธอ แล้ววิ่งออกนอกประตูไป

“หงาวหง่าวกลับมานี่ เป็นอะไรไปฮึ ไม่ยอมเข้าบ้าน”

“คอแห้งหิวน้ำ”เสียงเหนื่อยอ่อนของย่ากลางทำให้เธอละจากเจ้าหงาวหง่าวมารินน้ำอุ่นแล้วพยุ่งย่ากลางลุกขึ้นดื่มจิบได้นิดเดียวย่ากลางก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าพอแล้วจากนั้นย่ากลางก็เอนหลังพิงหมอนสายตาอ่อนล้าจ้องจับอยู่ที่เพดาน ชุนทิราจัดเก็บแก้วน้ำเสร็จ เธอก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง สายตาจับอยู่ที่ย่ากลางที่เริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แสดงว่าอาการเจ็บเริ่มกลับมาอีกแล้วฤทธิยาระงับความเจ็บปวดคงหมดไปแล้ว

“หนูชุน..ย่าคงอยู่ได้ไม่นาน ถ้าย่าเอาอะไรให้ หนูอย่ารับนะ” ชุนทิราทำหน้างง ๆ ไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็ถือว่าตามใจคนป่วย เธอรีบพยักหน้าหงึกหงักแทนคำพูดย่ากลางถอนหายใจเบา ๆ สีหน้าโล่งใจ แล้วแค่นเหยียดริมฝีปากยิ้มออกมา จากนั้นค่อย ๆปิดเปลือกตาลงน้ำตาไหลซึมผ่านข้างแก้มที่เหี่ยวย่นซีด ซูบผอม หลานสาวอันเป็นที่รักที่อยู่ในวัยสดใสจะต้องไม่เดินตามเส้นทางที่เธอเคยเดินหนูชุนต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองอย่างปกติธรรมดาไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำของสิ่งใด ๆ เธอย้อนรำลึกถึงอดีตทำไมนะเธอจึงถูกพ่อเลือกจากบรรดาลูก ๆ ทั้งหมด สิบคน ภาพความทรงจำในอดีตลอยเด่นขึ้นมาคำพูดที่พ่อบอกเธอในขณะที่เธอกับเต็นน้องชายที่อยู่ลำดับติดกับเธอเฝ้าไข้ข้างเตียงช่วงจะถึงวาระสุดท้ายของพ่อ อาการป่วยของพ่อกับเธอไม่ต่างกันพ่อป่วยด้วยโรคมะเร็งถุงน้ำดี ส่วนเธอมะเร็งลำไส้ สุขภาพของพ่อแข็งแรงมาโดยตลอดป่วยรุนแรงครั้งแรก ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย วันนั้นอาการของพ่อทรุดหนัก ดื่ม หรือทานอะไรเข้าไปจะไอออกมาเป็นเลือดสีดำและมีกลิ่นเหม็นคาวความตั้งใจของพ่อก่อนหน้านั้นคือขอออกจากโรงพยาบาลและมานอนรอความตายที่บ้าน แม้อาการจะทรุดลงทุกวัน ๆ แต่พ่อก็พูดคุยรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจนถึงวาระสุดท้ายแต่ละวันก็จะมีคนคอยเกลี้ยกล่อมให้พ่อไปโรงพยาบาลจะได้ใกล้หมอใกล้พยาบาลเพราะการขอเบิกยาควบคุมออกนอกโรงพยาบาลก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่จนกระทั่งถึงเวลาที่คุณพ่อไอออกมาเป็นเลือด

“พ่อคะพ่อต้องไปโรงพยาบาลนะ เพื่อไปพบหมอ เป็นถึงขั้นนี้แล้วพวกหนูช่วยพ่อไม่ได้นะ”พ่อจ้องหน้าลูกสาววัยยี่สิบแปดปีเขม็งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากับลูกสาวคนนี้อยู่กันแบบมีฉากมาขวางกั้นแต่วันนี้เขากลับพยักหน้าว่าตามลูกสาวคนนี้อย่างว่าง่าย พอถึงโรงพยาบาลบุรุษพยาบาลเอาล้อเข็นมารับและส่งจนถึงเตียงคนไข้สิ่งแรกที่พ่อหันมาถาม ขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ นั่งรออยู่ที่ระเบียงข้างนอก เธอกับน้องชายยืนอยู่ข้างเตียงตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมงเศษ ๆ

“นี่ลูกเอาไม้ท่อนจิ๋วของพ่อมาด้วยรึเปล่ามันอยู่ในรถน่ะ”

“ไม้อะไรล่ะพ่อไม่เห็นมีเลย” เธอไม่รู้ว่าพ่อหมายถึงสิ่งใดจำได้ว่าตอนพยุงพ่อขึ้นรถ พ่อไม่ได้ถืออะไรเลย และพ่อก็ไม่เคยใช้ไม้เท้าด้วย

“ไม่มีได้ยังไงพ่อเอามันติดตัวมาด้วย” เธอกกับน้องชายมองตากัน น้องชายทำสีหน้างง “อ้อ! นี่ไง เจอแล้วมันอยู่ในมือพ่อนี่ เก็บมันไว้หน่อยลูก” พ่อพูดพร้อมกับพยายามควานหามือของเธอเธอจึงใช้สองมือคว้ามือพ่อมากุมไว้ ส่วนน้องชายก็ได้แต่นั่งมอง

“ไหนล่ะพ่อไม่เห็นมีอะไรเลย”

“อยู่ที่มือนี่ไงเก็บเอาไว้นะ มันเป็นของดี” เธอจ้องมองมือตัวเองที่กุมมือพ่อที่ว่างเปล่าไว้ด้วยความแปลกใจ พ่อดึงมือกลับแล้วพลิกตัวนอนตะแคงไม่พูดอะไรไปอีกนาน พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็ร้องครางเบา ๆ ว่าหิวน้ำ เนื่องจากหมอห้ามให้น้ำเด็ดขาด เธอรู้สึกสงสารพ่อจับใจจึงแอบเอานิ้วจุ่มน้ำแล้วหยดลงไปที่ปากของพ่อสองสามหยดพ่อแลบลิ้นเลียแผล็บ ๆ

“ขอเยอะ ๆ หน่อย”

“หมอห้ามไว้ค่ะพ่อ” พ่อจึงนอนแน่นิ่งไปจนถึงห้าโมงกว่า ๆ พ่อก็บอกเธอว่าจะตายจากลูกหลานไปแล้วนะมีคนมารอรับแล้ว

“พ่อจะไปไหน”

“ไม่รู้ แล้วแต่เขาจะพาไป”

“เขาไหน”

“นั่นไงที่ประตู”

“มากันกี่คน”

“สองคน”แล้วพ่อก็เบือนหน้าหนี หลับตาทำหน้านิ่วคิ้งขมวด ส่วนเธอเอาแต่ร้องไห้ จากนั้นพ่อก็ไม่พูดอะไรอีกเลยตอนกลางคืนมีพี่สาวและพี่ชายมาเฝ้าด้วยส่วนน้องชายกลับไปทำธุระที่บ้าน เธอยืน ๆนั่ง ๆ อยู่ข้างเตียงคอยเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวถึงตอนนี้น้ำตาก็เหือดหายแห้งไปหมดแล้ว พอถึงสี่ทุ่มทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากมันเหมือนเอาไฟจุดสายป่านทั้งสองข้างให้ลามลุกไหม้มาบรรจบกันตรงกลางเมื่อมันไหม้หมดแล้วไฟก็ดับพ่อของเธอในขณะนั้นก็มีเพียงลมหายใจที่ดังฟืดฟาดและอกที่กระเพื่อมตามจังหวะการหายใจเข้าออกทุกอย่างหยุดนิ่งเย็นชืดเริ่มจากศีรษะไล่ต่ำลงไปจากเท้าทั้งสองข้างแล่นขึ้นมาข้างบน เมื่อบรรจบกัน ทุกอย่างก็ดับลง

แล้วช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกก็ผ่านพ้นไปคงเหลือไว้แต่ความทรงจำ สมาชิกทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เธอเองก็ไปโรงเรียนไปสอนหนังสือ กาลเวลาก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปพ่อจากไปปลายฤดูหนาว ฤดูร้อนมาเยือนแล้วก็ผ่านไป ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ปีนั้นฝนมาเร็วเริ่มโปรายปรายตั้งต้นเดือนพฤษภาคม มีคืนหนึ่งเธอนอนหลับแล้วฝันว่าฝนเทเม็ดลงมาอย่างหนักมืดฟ้ามัวดินเสียงเม็ดฝนกระทบกับหลังคาดังโครมโครม และเธอก็ได้ยินเสียงร้องครางของสุนัขดังสอดแทรกปนมากับสายฝนเสียงนั้นดังมาจากข้างนอกรั้ว เธอจึงลุกเปิดไฟ ปรากฏว่าไฟดับจึงคว้าไฟฉายที่หัวเตียง ลุกขึ้นไปหยิบร่มที่แขวนไว้ข้างบันไดเปิดประตูบ้านเดินฝ่าสายฝนออกไป เธอสาดไฟฉายส่องไปยังที่มาของเสียงเห็นหมาสีดำตัวใหญ่หางตกวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ข้างรั้วคงพยายามหาทางเข้าบ้านคงหาที่หลบฝน เธอเดินตรงไปที่ประตูรั้วตั้งใจจะเปิดให้มันเข้ามาพอเอื้อมมือไปจับประตูแล้วกลับเปลี่ยนใจ มันคงเป็นหมาจรจัด หมาหลงทางหรืออาจเป็นหมาบ้ามันเสี่ยงเกินไปที่จะให้เข้ามา เธอจึงเปลี่ยนใจเดินหันหลังกลับเข้าบ้าน พอเธอตื่นขึ้นในตอนเช้าพยายามทบทวนความฝันซึ่งมันเหมือนจริงมาก กวาดสายตาสำรวจรอบ ๆ ทุกอย่างเป็นปกติ ยกเว้นเมื่อคืนมีฝนตกหนักจริง ๆ จนน้ำเจิ่งนองไปทั่วเธอรีบตรงไปที่รั้วเพื่อมองหาสุนัขสีดำที่เธอฝันเห็นเมื่อคืน แต่ก็ปราศจากร่องรอยของมัน แล้วเธอก็หัวเราะกับตัวเอง ไม่เห็นตัวมันจริงๆ ก็เพราะนั่นมันอยู่ในฝัน ผ่านไปอีกไม่กี่วัน คืนนั้นฝนตก มีลมกรรโชกแรงไฟฟ้าดับตลอดสาย ต้องจุดเทียน ซึ่งก็ให้แสงสว่างไม่พอที่จะทำงาน เธอจึงเข้านอนแต่หัวค่ำแล้วเธอก็คล้าย ๆ กับหลับ ๆ ตื่น

“ชันษา ชันษา” มีเสียงเรียกดังมาจากข้างนอก เธอจึงลุกเดินออกไปตามเสียงเรียกตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว

“เปิดประตูให้หน่อย” เธอต้องแปลกใจที่เห็นหมาพูดได้ มันนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ตรงหน้าประตู เธอจ้องมองดูมัน มันยังคงนั่งท่าเดิมไม่เงยหน้ามองไม่กระดิกหาง มันเป็นหมาสีดำตัวที่เธอเห็นในคืนวันฝนตกหนักเธอจำรูปร่างที่ใหญ่โตของมันได้ดี แม่ในความมืดเธอยังสังเกตเห็นร่างกายผอมโซของมัน คงอดข้าวมาหลายมื้อด้วยความสงสารเธอจึงเปิดประตูให้มันเข้ามา คิดว่ารุ่งเช้าจะให้อาหารมัน จากนั้นค่อยป่าวประกาศหาเจ้าของ เธอเปิดประตูรั้ว มันก็ยังคงนั่งนิ่งท่าเดิม

“เข้ามาข้างในสิ” จบคำพูดแค่นั่นแหละมันกระโดดผล็อยตัวลอยเข้ามาข้างใน เธอปิดประตูและหันหลังเดินกลับ ก็ต้องแปลกใจที่มองหามันไม่เห็นหรือเป็นเพราะความมืดมันอาจหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง เธอไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายเดินกลับเข้าไปนอนต่อ พอตื่นขึ้นมาในตอนเช้าทันทีที่ลุกจากเตียงก็ต้องแปลกใจที่เห็นรอยเท้าเปื้อนดินของตนเองยาวเป็นทางเธอพยายามทบทวนความทรงจำ แล้วรีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่างเห็นแม่กำลังพรวนดินให้ผักในกระถางหน้าบ้าน

“แม่ เห็นหมาตัวใหญ่สีดำไหม”

“หมา เหมอที่ไหนกัน ไม่เห็น” แล้วแม่ก็หันไปสนใจผักในกระถางต่อปล่อยให้เธอยืนงง




Create Date : 14 สิงหาคม 2559
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2560 14:50:43 น.
Counter : 462 Pageviews.

1 comment
1  2  3  

Maya_II
Location :
มุกดาหาร  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



Star sign : Gemini
Hobby : Reading & Writing
Interest : variety