ORAPA --- No One Else
 
แต่งงาน #1 ... กว่าจะเป็น "เจ้าสาว"

ห่างหายไปนานสำหรับการเขียนบล็อก...น่าจะสองปีกว่าๆเห็นจะได้นะคะ  วันเวลาผ่านไป หลายๆสิ่งรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงตอนนั้นมิ้นกับเพื่อนๆยังเป็นนักศึกษาคณะการแพทย์แผนจีนปี6 จากบ้านมาฝึกงานตามวิถีของหมอจีนที่เซี่ยงไฮ้  ... ยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีเลยค่ะ“เหงาจับใจ” ยิ่งอากาศหนาวๆ โอ้โห --- คิดถึงเตียงและที่นอนอุ่นๆที่บ้านคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงหมาๆ คิดถึงคุณแฟน คิดถึงทุกคนที่เมืองไทยถึงแม้จะอยู่ไม่นาน แค่ปีกว่าๆ แต่มิ้นยังจดจำทุกความรู้สึกตอนนั้นได้ดีไม่มีวันลืม Smiley



.. ถึงแม้ว่าตัวจะกลับไทยแล้วแต่ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงที่นั่งฟังอยู่ในห้องที่เซี่ยงไฮ้ตอนนั้น..................น้ำตาหยดแหมะๆๆทุกทีละค่า.........................................ความรู้สึกเหงาและ home sick มันตามมาหลอกมาหลอนตลอดเวลาเหอๆ

กลับมาตอนนี้มิ้นก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้อีกแล้วค่ะ .. อยู่ที่นี่เวลาว่างเยอะอากาศหนาวๆอย่างนี้ก็ไม่อยากออกไปไหนเลยได้โอกาสกลับมาเขียนบล็อกแก้เหงาอีกครั้งนึง เหมือนได้ระบายความรู้สึกได้คิดทบทวนสิ่งต่างๆที่ผ่านมา ได้เก็บเรื่องราวทั้งดี ร้าย เหงา เศร้า ประทับใจ.....................ทุกสิ่ง everythings รอบตัว






ซึ่งครั้งนี้ก็คิดว่าจะเขียนเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตช่วงสั้นๆ  แม้ว่ามันจะผ่านไปแค่สองสามปีแต่ทุกๆอย่างมันไม่เหมือนเดิมเลยค่ะ .. มิ้นและเพื่อนๆเติบโตขึ้น วันนี้บางคนก็เป็นหมอจีนอยู่ในโรงพยาบาลคลินิกเอกชน ส่วนมิ้น......เป็นอาจารย์ฝึกหัดที่ถูกส่งมาเรียนป.โทที่นี่ 3 ปี เพื่อที่จะกลับไปเป็นอาจารย์ประจำ ม.หัวเฉียวฯบ้านหลังที่สองที่มิ้นรักและภูมิใจมาก เหมือนที่เพื่อนๆหลายๆคนก็รู้สึกเหมือนกัน... สองปีกว่าที่มีทั้งการสอบคอมพลีฯ สอบใบประกอบโรคศิลปะที่แสนจะทรหด เรียนจบ รับปริญญาจนเมื่อเร็วๆนี้ก็เพิ่งจะมี “สามี” เป็นตัวเป็นตนกับเค้า .....................ดีใจค่า เอิ๊กๆ




>>>>>>>> นี่แหละค่ะ ก็เลยอยากเขียนเล่าเรื่องราวของการเป็น “เจ้าสาวหมาดๆ”เก็บเอาไว้เล่าเป็นนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง อิอิ




ถือซะว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตส่วนหนึ่งให้เพื่อนๆหลายๆคนได้รู้ละกันนะค๊า...

ในฐานะที่แต่งงานตอนอายุน้อย(คนแรกของรุ่นหมอจีนเลยทีเดียวเชียว ใครจะคิด มิ้นยังไม่คิดเลย เหอๆ) คิดว่าเป็น how to สำหรับเพื่อนๆที่กำลังจะเป็น “ว่าที่เจ้าสาว”

(เพราะมิ้นเข้าใจดีว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอะไรยังไงงงไปหมด)

แล้วก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเป็นเจ้าสาวสำหรับเพื่อนๆพี่ๆที่แต่งงานแล้ว

มิ้นเชื่อว่าหลายๆคนพอได้กลับไปนึกถึงวันแต่งงานของตัวเองรับรองว่าต้อง “ยิ้มไม่หุบ” แน่ๆค่า

สุดท้าย ถือซะว่าเป็นการปลดปล่อยอารมณ์ของมิ้นผ่านตัวหนังสือก็แล้วกันนะคะ

เพราะปกติมิ้นชอบเมาท์ชอบเล่าชอบคุยชนิดที่ว่าสามารถเล่าเรื่องเดิมๆซ้ำๆให้คน10 คนฟังทีละคนได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อยแฮปปี้สุดๆจ้า แต่เจ้ากรรมดันถูกส่งมาอยู่เซี่ยงไฮ้ ทีนี้จะไปเล่าให้ใครฟังล่ะ ..ก็ต้องมาปลดปล่อยในนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดานะครัช เอิ๊กๆ




ชอบมีคนถามบ่อยเหลือเกิน....แต่งงานได้ไงวะ???? (มันแปลกมากรึไงจ๊ะ คนอย่างอรภาจะแต่งงาน ชริ!!!) แต่งแล้วมาเรียน แยกกันอยู่ตั้งสามปีแต่งทำไมวะ???? (เออน่า..คิดแล้ว) แกไม่กลัวสามีมีเมียใหม่รึไง๊????? (เหอะ!!!!!) แล้วก็บลาๆๆๆ .......................... มิ้นคิดแล้วค่ะคิดอย่างจริงจังด้วย เลยอยากให้บล็อกนี้เป็นที่ปลดปล่อยความคิดเล็กๆของผู้หญิงตัวไม่เล็กคนนี้ละกันนะคะSmiley






ตอนที่มิ้นรับปริญญาเสร็จใหม่ๆตอนนั้นน่าจะประมาณช่วงปีใหม่ของปี56 มิ้นกับพี่เอก(แฟนมิ้นที่คบกันมาสี่ปีกว่าๆ)ก็คุยกันแบบจริงๆจังๆเรื่องของ “เรา” .... ว่าเราจะเอายังไงกับชีวิตกันดี 

มิ้นกับพี่เอกอายุห่างกันค่อนข้างมาก(พี่เอกแก่กว่ามิ้นประมาณ10ปีค่ะ เหอๆ) แผนในชีวิตของเราก็เลยค่อนข้างต่างกันเพราะมิ้นยังไงก็ต้องมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้ แต่อยู่ที่ว่าจะมาปี(56)หรือปีหน้า(57)เท่านั้นเอง 

ตอนนั้นเราได้บทสรุปว่ามิ้นขอมาเรียนก่อนก็แล้วกัน สามปีเองแป๊บเดียว(หลอกตัวเองอีกแล้วจ้า)กลับไปแล้วค่อยแต่ง มันคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม(สำหรับมิ้น ฮ่าๆ) 

.. ซึ่งต้องบอกก่อนค่ะว่าจริงๆแล้วมิ้นกับพี่เอกเราค่อนข้างจะคุยกันแบบตรงๆแฟร์ๆยอมรับความจริงได้ และเชื่อมั่นเสมอว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ไม่มีอะไรแน่นอนเราเชื่อมั่นในปัจจุบัน เราก็คุยกันว่า ถ้าหากแต่งกันไปใครคนใดคนนึงไปเจอคนใหม่แล้วเราหย่ากัน ซึ่งโอกาสมันก็อาจจะมี ใครจะไปรู้อนาคต...คนที่เสียหายมากมายคือมิ้น แต่พี่เอกเป็นผู้ชายก็แทบไม่เสียหายอะไรเลย ...... 

ก็โอเค ตกลง ความคิดตรงกัน อีกสามปีข้างหน้าค่อยแต่งงานใครๆถามก็บอกอย่างงี้ตลอดค่ะ “โอ้ย..อีกน๊าน” แล้วก็นั่งลุ้นทุนเซี่ยงไฮ้ว่ายังไงจะได้ไปมั้ย?ปีไหน??? ตึ่งโป๊ะ!!!!Smiley




แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้ค่ะ........ อีกสองเดือนต่อมา มิ้นก็ได้รับข่าวดี (หรือร้ายหว่า???) ว่ามิ้นได้ทุนมาเรียนที่เซี่ยงไฮ้แน่นอนแต่ก็ต้องลุ้นอีกก๊อกว่าจะได้ไปเรียนปีไหน??? (ไอ้ที่ลุ้นเนี่ยคือไม่อยากไปนะคะลุ้นให้ไม่ต้องไปปีนี้ ฮ่าๆๆๆ แต่อีกใจก็คิดว่า รีบไปรีบกลับดีกว่า) มิ้นเริ่มรู้สึกนึกถึงสภาพตอนอยู่เซี่ยงไฮ้..นึกทีไรน้ำตามันก็ไหลพรั่งพรูออกมาทุกทีไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนั่งกินข้าวกับพี่เอกน้ำตาไหลใส่จานข้าวจนพี่เอกพูดแซวตลอดว่า “เห้ย..อย่าร้องจิ่เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าแฟนรังแก ฮ่าๆ”ก็ขำกันไป....แต่ในใจน่ะทุกข์ตรมที่สุดในสามโลกค่าเอาล่ะสิ.........................ชีวิต!!!SmileySmiley





คิดแล้วก็คงเป็นเพราะพี่เอกสงสาร ..ก็เลยเริ่มประเด็นขึ้นมาอีกรอบ ให้มิ้นตัดสินใจเรื่องแต่งงานอีกครั้ง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าจะได้ไปปีนี้หรือปีหน้า 

มิ้นบอกเลยค่ะว่ามิ้นเครียดมากๆ เครียดขนาดนอนไม่หลับหลายอาทิตย์ 



ก็แหม.......มันเป็นอนาคตของเราคนเดียวซะที่ไหนล่ะมันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคนสองคน มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายรออยู่ข้างหน้าแต่งแล้วจะดีมั้ย???? แต่งแล้วจะเป็นยังไง???? เราจะมีความสุขมั้ย????สารพัดสารเพประเดประดังเข้ามาในหัวอีกใจนึงก็พะวงว่าปีนี้จะได้ทุนเซี่ยงไฮ้มั้ยว๊า??????? ยิ่งคิดยิ่งเศร้าค่ะ 

มิ้นไม่เคยคิดอะไรเยอะแยะขนาดนี้มาก่อน มิ้นไม่เคยคิดว่ามิ้นจะแต่งงานเร็วขนาดนี้ไม่เคยคิดว่าเราโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองและคนที่เรารักได้แล้ว .............มันยาก ยากมาก ยากกว่าการต้องตัดสินใจว่าจะเรียนแพทย์จุฬาฯหรือหมอจีนหัวเฉียวยากกว่าการไปยืนหน้าเวทีประกวดหรือหน้ากล้องถ่ายทำรายการ เพราะไม่มีใครรู้ว่า“อนาคต” เราจะดีมั้ย ?? เป็นการตัดสินใจที่จะถูกต้องรึเปล่า???? ประกอบกับคนรอบข้างก็พ่นใส่ตลอดค่ะ.. เห้ยแต่งแล้วอย่างงู้นอย่างงี้!!!

Smiley





>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>สุดท้าย....ก็มาคุยกับแม่มิ้นโชคดีที่มิ้นมีแม่เคียงข้างทุกๆเรื่องๆ คุยได้หมด ...แม่ก็บอกว่าแต่งไปก่อนก็ดีนะ แม่จะได้มีคนมาช่วยดูแลเพิ่ม อิอิ.....พอไปคุยกับคุณแม่พี่เอก คุณแม่บอกว่ายังไงก็ต้องไปเรียน ไม่ช้าก็เร็วแม่ว่าแต่งไปเลยดีกว่ามั้ย เวลาเอกไปหามิ้นที่เซี่ยงไฮ้จะได้เป็นการให้เกียรติ  มิ้นและครอบครัวของมิ้นด้วย ..........





โอ้โหคุณแม่ช่างรู้ใจ ไอ้ใจเราตอนนั้นก็อยากแต่งใจจะขาด แต่ยอมรับเลยว่า “กลัว” ค่ะเลยไม่กล้าตัดสินใจ 

ก็แหม...การแต่งงานมันเป็นความฝันของมิ้นเลยทีเดียวขนาดตอนเด็กๆมักจะมีคนมาสัมภาษณ์ลงหนังสือเว็บไซต์หรือนิตยสารคอลัมภ์ประเภทแนะแนวการศึกษา มิ้นก็จะโดนถามตลอดว่า“ความฝันสูงสุดของมิ้นคืออะไร???” และมิ้นก็จะตอบตลอดเหมือนกันว่า“ความฝันสูงสุดของมิ้นก็คือ การแต่งงานค่ะ” .. เอิ๊กๆ เค้าก็ฮากันไปแต่มันคือเรื่องจริงค่ะ ........................

ท้ายสุดก็เลยบอกพี่เอกว่า“มิ้นตัดสินใจละ ..มิ้นจะแต่งงานก่อนไปเรียน” พี่เอกก็ใจดีแล้วก็เข้าใจมิ้นตลอดเค้าก็พูดง่ายๆว่า “โอเค” .... เท่านี้จริงๆค่ะ 

ปล.เสียใจอยู่อย่างนึง....ไม่มีฉากขอแต่งงานกันแบบในละครเลยอ่ะเซ็งสุดๆไปเลยจ้า

Smiley


จริงๆแล้ว...สิ่งที่ทำให้มิ้นตัดสินใจมีชีวิตปัจจุบันและอนาคตแบบนี้ เป็นเพราะมิ้นเชื่อมั่นในตัวของคุณแฟนของมิ้นค่ะ เราคบกัน เราอยู่ไกลกันเกือบครึ่งนึงของเวลาทั้งหมดที่เราคบกันเสียอีก 

ความห่างไกลมันทำให้เราคิดถึงกันจริงๆ ทุกวินาทีที่อยู่ด้วยกัน ได้เจอหน้า กินข้าว พูดคุย ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ มันเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าตลอดสำหรับมิ้น 

มิ้นไม่เคยห้ามไม่ให้เค้าทำในสิ่งที่เค้าชอบหรืออยากทำ ในขณะเดียวกัน เค้าก็ไม่เคยห้ามอะไรมิ้นเลยเหมือนกัน (จนบางครั้งต้องขอร้องว่า..ช่วยห้ามมิ้นหน่อยได้มั้ย มิ้นว่าอันนี้มันดูบ้าเกินไปที่จะทำ ฮ่าๆ) มันทำให้เราสบายใจที่ได้คบกัน ได้อยู่ด้วยกัน 


มีคนเคยบอกมิ้นค่ะ...ว่าการแต่งงาน มันมาจากคำว่า "รัก" 

"รัก" ประกอบด้วยอักษรสองตัว คือ ร. กับ ก. 

ร.เรือ หมายถึง "เรา" แน่นอนค่ะคนสองคนรู้สึกดีต่อกัน ห่วงใยเอื้อเฟื้อกัน มีความผูกพันและมีความรู้สึกพิเศษให้กัน ไม่นานก็จะก่อเกิดเป็น "ความรัก" เป็นคำว่า "เรา"

ส่วน ก.ไก่ หมายถึง "กู" ถึงแม้ "เรา" จะคบกัน มีหัวใจเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แต่ในความเป็น "เรา" ก็ยังต้องมีชีวิตของ "กู" อยู่ด้วย ... ไม่มีใครไม่อึดอัด ถ้าหากต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หาความเป็นส่วนตัวไม่ได้ แต่ละคนก็ยังคงต้องการพื้นที่ส่วนตัว ต้องการแสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเอง

เราทั้งคู่ก็เลยมีความเป็น "เรา" และ "กู" โดยไม่ต้องฝืนธรรมชาติของตัวเอง


นอกจากความเชื่อมั่นในตัวเค้าแล้ว....เค้าเองที่เป็นคนบอกมิ้นเสมอเลยว่า "คนเราคบกัน..มันอยู่ที่ใจของเราสองคน ถ้าคนสองคนยังมั่นใจ เชื่อใจ และมีความรักให้กัน ต่อให้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรืออยู่ไกลกันเท่าไหร่ ก็จะยังมีกันแบบนี้เสมอ" ... 

มิ้นว่ามิ้นโชคดี เพราะเราทั้งคู่เคารพในตัวเอง เคารพในกันและกัน และให้เกียรติกันเสมอมา


สุดท้าย ... มิ้นมีความเชื่ออย่างหนึ่งค่ะ ว่าคนเราบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่คนอื่นคิดว่าเรา "ฉลาด" เสมอไป --- ทำในสิ่งที่ "โง่" บ้างก็ได้ ถ้าสิ่งนั้นมันจะทำให้เรา "มีความสุข" 

มิ้นไม่ได้บอกว่าการเลือกแต่งงาน เป็นทางเลือกที่ "โง่" นะคะ ... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆคนก็คิดว่าการแต่งงานก่อนไปเรียนมันเป็นช่วงเวลาที่ยัง "ไม่เหมาะสม" ความเสี่ยงสูงในหลายๆเรื่อง แต่งแล้วอยู่ไกลกันจะแต่งทำไม? ลูกก็ยังมีไม่ได้ บลาๆๆ...

แต่เชื่อเถอะค่ะ .. สุดท้ายแล้ว คนที่จะอยู่กับทุกสิ่งที่มิ้นเลือกไปชั่วชีวิต ก็คือ "ตัวมิ้นเอง"  

ฉะนั้น ตัวเรานี่แหละค่ะที่ย่อมจะรู้ดีที่สุด ว่าการ "เลือก" แบบไหนที่จะเหมาะสมกับตัวเราเอง ซึ่งไม่ว่ามันจะ "สุข" หรือ "ทุกข์" ...เราก็จะมีเรี่ยวแรงในการแบกรับเอาไว้อย่างมหาศาล 

เพราะมันเป็นสิ่งที่ "เราเลือกเอง...ด้วยหัวใจ" 





แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ ปัญหามันยังไม่หมด!!!..........


ยังมีอีกข้อนึงค่ะ .. แล้วมิ้นจะได้ไปจีนปีไหนล่ะ?????


อีกไม่กี่วันต่อมามิ้นก็รู้ข่าวดีค่ะ 

ว่ามิ้นได้ไปเซี่ยงไฮ้ปีนี้ (ปี56) เอิ๊กๆๆๆ ... 

แต่ตอนนี้น้ำตาไม่ร่วงละจ้า ไม่รู้ทำไม รู้สึกเฉยๆ 

อาจจะเป็นเพราะเราสบายใจ มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ 

นั่นก็คือรู้แล้วว่าต่อไปนี้ตลอดทั้งชีวิตเราจะมีคนอยู่ข้างๆเราแล้ว................สบายใจจริงๆ





เมื่อปัญหาทุกข้อมีคำตอบในตัวของมันแล้ว.....ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการ “เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว" 

แล้วค่ะSmiley


คงต้องต่อตอนหน้าแล้วค่า...หน้าไม่พอ ฮ่าๆๆๆ 




วันนี้ขอตัวไปนอนก่อน.................ราตรีสวัสดิ์จ้าSmiley










Create Date : 16 ตุลาคม 2556
Last Update : 17 ตุลาคม 2556 15:22:51 น. 1 comments
Counter : 1662 Pageviews.  
 
 
 
 
เธอเขียนเรื่องเล่าได้สนุกไม่เปลี่ยนเลยอรภา :)
 
 

โดย: katoonix IP: 31.205.30.16 วันที่: 23 ตุลาคม 2556 เวลา:5:14:19 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ปักเข็มจอมยุทธิ์
 
Location :
Shanghai China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




O-R-A-P-A ... no one else ^^
[Add ปักเข็มจอมยุทธิ์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com