SmileySmiley :: How Do I Enjoy Life while "Living with Cancer" ::
Group Blog
 
All blogs
 

การตักบาตรสไตล์หลวงพระบาง

การตักบาตรของชาวหลวงพระบาง



มีข้อแตกต่างกับการตักบาตรของชาวไทยในปัจจุบันเล็กน้อย

ซึ่งหากจะไปตักบาตรที่หลวงพระบางแล้ว ทำให้เหมือนชาวเมืองหลวง ก็จะทำให้ไม่เป็นที่ขัดตาขัดใจจ้า..เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จะดีกว่าใช่ไหม??

บางรูปมินนี่ขอเป็นผู้แสดงเองนะจ๊ะ


"แอ๊บข้าวใหญ่โพด แปลว่า กระติ๊บข้าวใหญ่เกินไป"


"นักท่องเที่ยวชาวไทยนั่งข้างๆ ใส่กางเกงตอนตักบาตร ได้คุยกับชาวเมืองหลวง เค้าไม่ค่อยชอบใจ ที่คนไม่นุ่งซิ่น"

1. ตักบาตรข้าวเหนียว หยิบข้าวเหนียวเป็นก้อนเล็กๆ โดยไม่ต้องปั้น ก่อนใส่ลงในบาตรให้หยิบข้าวเหนียวแล้วจดระดับหน้าผาก แล้วจึงใส่ลงในบาตร

2. การแต่งกาย :ผู้หญิง ให้ใส่เสื้อที่มีแขนคลุมไหล่ และนุ่งซิ่นยาวคลุมเข่า พาดด้วยผ้าเบี่ยง (เวลามีพิธีทางศาสนา ให้ใช้ผ้าเบี่ยงทุกครั้ง)ถ้าผมยาวให้มวยผมหรือเกล้าขึ้นไปให้เรียบร้อย ส่วนผู้ชาย ให้ใส่เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ๊ต กางเกงขายาว และพาดผ้าเบี่ยง

3. ผู้หญิง ให้นั่งบนเสื่อ ถ้านั่งไม่ไหว ให้นั่งเก้าอี้ตัวเตี้ยๆ สำหรับผู้ชายให้ยืนถอดรองเท้า ถ้ายืนไม่ไหว ให้นั่งเก้าอี้ได้



4. ให้เหลือข้าวก้นกะติ๊บไว้ สัก สองสามก้อน เพื่อใช้บูชา และทำทานให้สัตว์นกกา โดยการวางไว้ที่ต้นไม้ หรือตามกำแพง



5. หลังตักบาตรเสร็จ ก็กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร โดยใช้น้ำใส่แก้ว นั่งลงอธิษฐาน แล้วเทน้ำลงที่โคนต้นไม้



หมายเหตุ:
- ที่หลวงพระบาง จะมีชาวบ้าน เอาข้าวเหนียวและขนมมาขายให้ตักบาตร แต่ชาวเมืองหลวงไม่ให้การสนับสนุน เพราะชาวบ้านกลุ่มนี้ มักจะขายเกินราคามาก และยังออกแนวโกง คือมารุมกันยัดเยืยด ของให้ใส่บาตร ขณะที่เรากำลังใส่บาตรอยู่ มันก็สร้างความวุ่นวาย ไม่สงบ โดยเฉพาะตอนคิดตังค์ ตกลงกันยาก แถมบางทีแม่ค้าก็ทะเลาะกันเอง ทำให้เสียบรรยากาศ และไม่เป็นสุขใจ หลัง
ทำบุญส่งเสริมพุทธศาสนา..


เนี่ยล่ะ ถึงขนาด ขายเพิ่มเป็นกระติ๊บไม่ได้ ก็เล่นเอาข้าวเติมใส่ในกระติ๊บ ตอนเค้ากำลังตักบาตรอยู่ แย่มากๆ

ก็ควรไปซื้อข้าวเหนียวที่ตลาด แล้วเดินมาตักบาตรจะดีกว่ามาก และไม่ต้องยุ่งกับพวกแม่ค้าขายขนมเด็ดขาด




- พระจะออกบิณฑบาตร ทุกวัน ไม่เว้นวันฝนตก เวลาออกบิณฑบาตรก็ประมาณ 6.15 น. ที่จริงเห็นว่า จะดูว่า ถ้าเห็นลายมือชัดก็เป็นเวลาออกบิณฑบาตร




 

Create Date : 23 เมษายน 2549    
Last Update : 23 เมษายน 2549 21:46:03 น.
Counter : 3772 Pageviews.  

หลวงพระบางครั้งที่ 2 เดือนเมษายน 2549



มินนี่ไปหลวงพระบาง,ลาว ตั้งแต่วันที่ 9 แล้วก็แวะค้างคืนที่เวียงจันทร์เมื่อวันที่ 19 แล้วก็มาอุดร เพื่อบินกลับกรุงเทพ วันที่ 20 เมษา....

ครั้งนี้ ไปเป็นครั้งที่สอง คุณโธมัสเค้าเดินทางไปก่อนล่วงหน้า 2 สัปดาห์ พวกเรายังไม่ได้เช่าบ้าน ก็เข้าพักที่เรือนพัก ห้องเล็กๆ มีห้องน้ำในตัว เป็นห้องพัดลม แต่ค่อนข้างสะอาด และเย็นดี ในห้องน้ำก็อากาศถ่ายเทดี สังเกตได้จากการที่พื้นห้องน้ำจะแห้งภายในไม่กี่ชั่วโมง :) เจ้าของเป็นคนหน้าตาหล่อ อายุน่าจะสักเกือบ 50 ปี สะอาดสะอ้าน พูดจาดี และดูแลความปลอดภัยดีมากๆ ค่าห้องพัก ก็เลยสูงไปด้วย ช่วงฤดูท่องเที่ยวค่าเช่าห้อง 10 ดอลล่าร์ ช่วงนักท่องเที่ยวน้อยก็คิด 7 ดอลล่าร์ ส่วนวันหยุดเทศกาล อย่างเช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ก็จะเป็น 15 ดอลล่าร์ ... ห้องพัดลมห้องเล็กๆ นะเนี่ย :(

มีเรื่องตื่นเต้น เป็นไข้ต้องเข้าโรงพยาบาลในลาว ถึงตอนนี้ ไม่รู้สาเหตุว่า มันเกิดจากอะไร.... คงพอจำได้ที่เคยเล่าให้ฟังว่า มินนี่จะมีปัญหาเรื่องน้ำเหลืองเดินไม่ดี เนื่องจากการผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องออกไปด้วย เลยทำให้ต้นขาข้างซ้าย จะบวมเวลาใช้งานมากหน่อย ก่อนวันสงกรานต์สักสองวัน ก็ตื่นแต่เช้า ตีห้าครึ่ง แต่งตัวเพื่อจะไปตักบาตรข้าวเหนียวเหมือนเคย (คุณโธมัส เค้าจะตื่นก่อนแล้วไปตลาดเพื่อซื้อข้าวเหนียวหุงเสร็จใหม่ๆ) เสร็จจากตักบาตรก็ 6 โมงครึ่ง กลับมาเรื่อนพักเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปบริหารร่างกายตรงเนินใกล้แม่น้ำคาน ตรงนี้เป็นบริเวณวัด มินนี่ก็ถอดรองเท้าตั้งแต่เข้าบริเวณวัด แล้วก็ออกกำลังกายพวกชี่กง และโยคะท่ายืน ระหว่างนั้น คุณโธมัสก็กวาดลานวัดกับเณร.....









หลังจากบริหารร่างกายเสร็จ ก็เดินไปร้านอาหารไทย กินอาหารเช้ากัน แล้วมินนี่ก็รู้สึกว่า ต้นขาตึงๆ เลยจะกลับไปนอนพัก พอดีเจอกับเพื่อนชาวลาว ขับรถตู้มากับครอบครัว (คุณพ่อ คุณแม่ และคุณป้า) เค้าชวนไปเที่ยวที่หมู่บ้านผานม ซึ่งเป็นหมู่บ้านทอผ้า และมีผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือสวยๆ ขาย แล้วก็จะไปเที่ยวชมรีสอร์ทที่ออกนอกเมืองไปสัก สิบกว่ากิโล

พอไปถึงที่บ้านผานม ก็เดินดูของนิดหน่อย รู้สึกว่า ขาบวมและมีความร้อนขึ้นมาก แถมเหมือนจะเป็นลม เลยไปนั่งเอาขาวางราบบนเก้าอี้ นั่งสักพักก็ขนลุก หนาว ตัวสั่นเลย มีไกด์สาวเค้าเอาผงเกลือแร่ผสมน้ำมาให้ดื่ม คุณแม่บอกว่า ควรจะเข้าเมืองไปหาหมอ ไม่ควรไปเที่ยวต่อ

เข้าเมืองไปโรงพยาบาล คุณแม่รู้จักกับคุณหมอหญิงที่เรียนจบมาจากฝรั่งเศส ก็จัดแจงให้เข้าตรวจ เลยได้นอนในห้องตรวจของคุณหมอนั่นแหละ เปิดแอร์ให้ด้วยล่ะ โชคดีนะเนี่ย ไม่งั้นต้องไปอยู่ห้องรวม ถึงตอนนั้น วัดไข้ สูงขึ้นไป 39.5 องศา หนาวมากๆ ก็เช็ดตัวกันตั้งหลายชั่วโมงไข้ถึงลดลงบ้าง แต่ก็ตัวรุมๆ มีเจาะเลือดไปตรวจด้วย เพราะตรงขาบวม ใต้ผิวหนังจะเห็นมีจุดแดงๆ กลัวจะเป็นไข้มาลาเรีย

ช่วงนั้น พวกเราตามน้องสาวจากโรงเรียนให้มาช่วยไปเอาโทรศัพท์ ผ้าห่ม และเตียงผ้าใบ แล้วก็โทรปรึกษาหมอเจริญ หลังจากที่รู้ผลตรวจเลือดว่า ไม่มีติดเชื้ออะไร แต่หมอฟังอาการแล้ว คิดว่าอาจเป็นพวกไวรัส เชื้อโรคทั่วๆ ไป ซึ่งมันยังไม่เข้ากระแสเลือดหรอก ก็สั่งให้กินยาแอสไพริน

ส่วนหมอที่โรงพยาบาล ก็ฉีดยาพาราเซ็ตตามอล ฉีดแล้วปวดมากๆ นอนไม่สบายเลย แล้วก็ให้น้ำเกลือ 2 ขวด กว่าจะหมด ก็ปาเข้าไป 3 ทุ่มโน่นแน่ะ

ระหว่างวัน มีคนมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล ก็เป็นคุณแม่ของน้องสาว คุณพ่อเอาด้ายมามัดข้อมือ เพื่อนคนไทยที่ทำร้านอาหารมากับภรรยา เอื้อยบัวลากับอ้ายมิ่งเจ้าของบ้านเช่าที่รู้จักกันเอาส้มมาเยี่ยมไข้ คุณโธมัสบอกว่า ไม่เห็นเหมือนกับมาต่างบ้านต่างเมืองเลย ป่วยก็มีคนมาเยี่ยมด้วย!!!.....

ไหนๆ ก็เล่าแล้ว ที่โรงพยาบาล มีอีกฉากนึง... ตอนแรกคุณหมอบอกว่า ถ้าตัวยังรุมๆ มีไข้อยู่ จะต้องนอนให้น้ำเกลือต่อที่โรงพยาบาล คืนนึง โดยจะให้ย้ายขึ้นไปห้องพิเศษเดี่ยว ซึ่งอยู่ชั้นบน....มินนี่รีบกระซิบให้คุณโธมัส ขึ้นไปดูห้อง เค้ากลับมา แล้วบอกว่า "เป็นห้องขนาดใหญ่มาก ทาสีเขียวทึมๆ มีเตียงวางอยู่มุมห้อง 1 เตียง และก็ไม่มีของอย่างอื่นอีก" ฟังดูเหมือนฉากในหนังยังไงก็ไม่รู้..จึ๋ย.. พวกเราเลยบอกหมอว่า ถ้าน้ำเกลือหมดตอนดึกๆ เราจะกลับไปเรือนพักก็แล้วกัน....



เอาล่ะ เล่าเรื่อง แฮปปี้ ให้ฟังบ้างดีกว่า ไปที่โน่นแล้วบรรยากาศทำให้ตื่นแต่เช้าไปตักบาตรคงเพราะมีพระเยอะมากๆ รวมแล้ว กว่า 300 รูปนะ มาบิณบาตรทุกวัน สาธุใหญ่คำจัน วัดแสน ออกบิณฑบาตรทุกวัน ทั้งที่ท่านอายุ 85 ปีแล้ว ยกเว้นแค่วันที่ท่านอาพาต เราก็เลยมีความตั้งใจบ้างว่า ท่านยังมาได้ทุกวัน แล้วเราจะไปตักบาตรทุกวันไม่ได้เชียวหรือ.... ก็ยกเว้นวันที่ป่วยเหมือนกัน..

มีวันหนึ่งฝนฟ้าคะนองมาก ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนๆ เลย ฝนตกหนัก พวกเราก็คิดนะว่า แล้วอย่างนี้ พระท่านจะมาบิณฑบาตรมั้ย??? สักพักก็ได้ยินเสียงกลอง ก็เป็นกลองที่ตีให้พระและเณรเตรียมพร้อมออกมาเข้าแถวบิณฑบาตร เลยรีบเผ่นกันไปซื้อข้าวเหนียว ราคาก็ 1 กิโล 5,000 กีบ (20 บาท) ทั้งพระสงฆ์ และชาวบ้านก็กางร่มกันระหว่างตักบาตร นั่งพื้นบนเสื่อ ผ้าซิ่นเปียกเลย :)








 

Create Date : 23 เมษายน 2549    
Last Update : 26 ตุลาคม 2549 22:35:03 น.
Counter : 1098 Pageviews.  

รูปจากทริป "ไปลิ่นหลวงพระบาง"










ยังไม่มีอะไรจะเล่ามาก
รู้แต่ว่า คุณสามีกำลังหาข้อมูล จะไปใช้ชีวิตที่นั่นสัก 1 ปี....




 

Create Date : 11 มีนาคม 2549    
Last Update : 11 มีนาคม 2549 13:30:35 น.
Counter : 739 Pageviews.  

กลับจากหลวงพระบาง เป็น Holiday Syndrome

ไปเยือนหลวงพระบาง

มีความสุขมาก เป็นเมืองมรดกโลก ที่มีมุมโรแมนติกหลายมุม ทั้งเรื่องวัฒนธรรมพื้นถิ่น ผู้คน วิถีชีวิต อาคารบ้านเรือน และภูเขา แม่น้ำที่โอบรอบ

คงจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับหลวงพระบางกันมามากแล้ว แต่ที่สรุปอยู่ข้างบน ถึงแม้กาลเวลาจะทำให้อะไรอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่การได้รับการยกย่องให้เป็น "มรดกโลกด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต" ก็ทำให้หลวงพระบางมีแรงต้านกระแสโลกได้บ้าง ไม่มากก็น้อย

เพราะว่า หลวงพระบางกลายเป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและเริ่มจะมีรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว ทำให้ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวถีบตัวสูงขึ้น ถือได้ว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องจ่ายราคาอินเตอร์.. อย่าหวังว่า จะ "ราคาถูก"

ส่วนที่เป็นของท้องถิ่นจริงๆ จึงจะเป็นแบบค่าครองชีพถูก อย่างราคาผักกาดหอมในฤดูหนาว ออกจากสวนผักมาราคา 500 กีบต่อกิโล เท่ากับ 2 บาท แต่ทั้งนี้ แถวชนบทไทย ก็คงจะยังมีราคาแบบนี้ สงสารเกษตรกร... แต่ที่หลวงพระบางส่วนใหญ่ ชาวบ้านจะปลูกผัก ทำสวนกินกันเอง พอเหลือก็ออกขาย เป็นการประหยัดไปได้มาก

หลายๆ คน ไปเยือนหลวงพระบาง แล้วก็หลงรัก คอยวันที่จะกลับไปเยือนอีก เราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ที่หนักกว่า เห็นจะเป็นว่า เรากับคุณสามีตอนนี้ พักการทำงาน ทำให้ไม่มีภาระผูกพัน ก็เลยช่วยกันคิดว่า จะไปอยู่หลายๆ เดือน หรือเป็นปีเลย จะต้องทำยังไง ... โห้..เอาจริงแฮะ

คิดๆๆๆๆ ฟุ้งซ่าน จนนอนไม่หลับ วันๆ คิดแต่ หลวงพระบางๆ คิดถึงน้องสาว ที่น่ารัก 3 - 4 คน น้องชาย 3 - 4 คน ที่มีโอกาสรู้จักสนิทสนมที่นั่น คุณแม่คุณพ่อที่ยินดีให้เราเป็นลูกสาวไปเมื่อไหร่ให้ไปหากัน.... เหมือนต้องมนต์เลย..

เอาล่ะ เท่านี้ก่อน ว่างๆ จะโพสต์รูป (แต่รูปก็คล้ายๆ กันกับที่คนอื่นๆ โพสต์ในเน็ตค่ะ) ยกเว้นรูปตัวเองใส่ซิ่นพาดผ้าเบี่ยงตักบาตร... แฮปปี้จังเล้ยยยยย




 

Create Date : 07 มีนาคม 2549    
Last Update : 7 มีนาคม 2549 10:56:27 น.
Counter : 771 Pageviews.  

“กำลังจะไปเที่ยวแบบเจียมตัว”

เขียนมาถึงเพื่อนๆ ก่อนการเดินทางค่ะ กำลังจะไปเที่ยวลาว เป้าหมายหลักคือ หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ตอนแรกสุดเลย ตั้งแต่ช่วงปีใหม่ วางแผนกันว่าจะไปเที่ยวลาว เอาหนังสือเกี่ยวกับลาวมาอ่านหลายเล่ม เข้าเน็ตอ่านทริปต่างๆ ของคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว มีเส้นทางน่าสนใจหลายอัน เช่น ลงเรือที่ เชียงของผ่านห้วยทราย ล่องแม่น้ำโขงมาหลวงพระบาง

ส่วนอีกอันที่น่าสนใจมากๆ กับการเดินทางของคุณลุงคนหนึ่งที่เกษียณอายุแล้ว เค้าเดินทางคนเดียวโดดๆ ไป10 วัน เดินทาง เกือบทั่วลาวเหนือ ไม่ว่าจะเป็นเวียงจันทร์ วังเวียง หลวงพระบาง อุดมไซ พงสาลี และเซียงขวาง หมดสตางค์ไป แปดพันกว่าบาท !!! อ่านดูแล้วน่าจะลอกทริปไปตามนั้นเลยเชียว ทั้งหมดเป็นการเดินทางโดยรถโดยสาร.........

ก็นึกภาพตามการบรรยายเกี่ยวกับการขึ้นรถโดยสารที่แน่นเอียด เราก็ขนกระเป๋าและหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ปุเลงๆ ไป 8 ชั่วโมง จากเวียงจันทร์ผ่านวังเวียง ไปจนถึงหลวงพระบาง จากนั้นแต่ละวันก็ต่อทริปไปเมืองโน้นเมืองนี้ เออ..ท่าจะไม่ไหวละมัง สุขภาพแบบนี้ สงสัยปวดร้าวไปทั้งตัวแน่ๆ

อ่านเจอว่ามีหลายคนเอารถยนต์ส่วนตัวไป....คงจะดีไม่น้อย เหมือนๆ กับที่ทุกทีที่เที่ยวไทยเอาของทุกอย่างใส่รถไป มีของใช้พร้อม...ของกินเพียบ...จะไปเที่ยวตรงไหน ก็ขับไป สะดวกสบายเสียจริงๆ เย้...

แต่..เดี๋ยวก่อน ต้องนั่งรถมุ่งหน้าจากกรุงเทพฯ ไปหนองคาย แล้วข้ามไปเวียงจันทร์ จากนั้นก็ไปหลวงพระบาง ที่ได้ข้อมูลมาว่าช่วงในลาว ถนนและลักษณะเส้นทางคล้ายกับการขับรถจากเชียงใหม่ไปอำเภอปายนั่นล่ะ แต่ไกลกว่า 3 เท่า.....

ส่วนเรื่องสุขภาพ ไปถึงตรงไหนถ้าเริ่มปวดเมื่อย คิดว่ากลัวจะเหนื่อยเกินไป ก็หยุดพักสักคืน เป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อน คำไหนนอนนั่น หรือยังไม่ค่ำก็นอนก่อนได้... เรื่องการขับรถ จากข้อมูลที่เจอเห็นว่า ในชนบทของลาว อาจจะหาน้ำมันเบนซิน 95 ไม่ได้ รถที่มีอยู่เป็นรถเก๋งยี่ห้อโฟล์ค ถ้าเกิดมันเสียกลางทางในลาว ถ้าหาช่างไม่ได้ ก็คงหาอะไหล่ไม่ได้อยู่ดี... เฮ้อ.. ดังนั้นการขับรถไปเองก็เป็นอันตกไป

กวางเอากล้องดิจิตอลฟูจิ ไปซ่อมที่ศูนย์ฟูจิที่ “นู๋หนุ่ม” เพื่อนของเราเป็นผู้บริหารอยู่ที่นั่น วันที่ไปถึงหนุ่มอุตสาห์มาบริการด้วยตัวเอง แล้วนั่งคุยกันตั้งนาน ชนิดให้หายคิดถึงกันไปเลย เห็นว่าโชคดีวันนี้งานไม่เยอะ.. แล้วหนุ่มก็พูดถึงทริปเที่ยวหลวงพระบางช่วงปีใหม่ กวางเลยขอเบอร์โทรบริษัททัวร์มาติดต่อ ไปทางเครื่องบิน....

สายการบินลาว มีจัดแพ็คเกจ เช่น บินจากเชียงใหม่ไปหลวงพระบาง ไปกลับ พร้อมที่พักวิลล่าสันติรีสอร์ท 2 คืน และรถรับส่งสนามบิน คิด 8,900 บาท อีกอัน บินจากเวียงจันทร์ไปหลวงพระบาง ไปกลับ 6,900 บาท ที่จริงจากกรุงเทพไปเลยก็มี แต่เราคิดว่า เดินทางด้วยรถไฟตู้นอน กรุงเทพไปอุดร แวะหาเพื่อนก่อนดีกว่า..ไม่ได้เจอกับ”คุณเหลี่ยม”ตั้งนานแล้ว ประหยัดสตางค์กว่าด้วย เอาเข้าจริงๆ ค่ารถไฟตู้นอนชั้น 1 ปาเข้าไป 1,250 แล้ว คิดสะระตะ บินด้วยโลว์คอสแอร์ไลน์ได้นี่นา ต่างกันไม่กี่ร้อยบาท

สถานที่ๆ จะได้ไป ก็จะตัดรายการออกไปหลายอัน เช่น พงสาลี อุดมไซย ส่วนเซียงขวาง เมืองแห่งทุ่งไหหินเนี่ย ค่อยไปตัดสินใจกันอีกที เวลาส่วนใหญ่จะใช้ที่หลวงพระบางนั่นแหละ บางคนบอกว่า หลวงพระบางจะมีความเจริญประมาณเชียงใหม่เมื่อ 20 ปีก่อน... เอ.. มันก็เหมือนตอนที่พวกเราเรียนอยู่มอชอนี่นา..

หรือบางคนก็ประมาณไปว่าน่าจะล่าช้ากว่าสัก 30 ปี ตรงนี้ คงเป็นพวกแถวชนบท หรือว่านอกเมืองออกไปหน่อย ซึ่งก็ดี จะได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศเหมือนที่เคยอยู่ต่างจังหวัดตอนเด็กๆ แต่ที่จะไม่เหมือนสมัยก่อนแน่ๆ ก็ตอนนี้ ทั้งเวียงจันทร์และหลวงพระบาง มีร้านอินเตอร์เน็ตเกลื่อนเมือง......

ส่วนที่ยังห่วงตัวเอง ก็เป็นเรื่องอาหารการกิน กำลังจัดเตรียมเสบียงที่พอจะเอาตัวให้รอดใน 10 วันข้างหน้า เริ่มด้วยการตุนอาหารใส่ท้อง ให้ตัวอ้วนๆ นี่น้ำหนัก 53.5 แล้ว เท่าๆ กับตอนก่อนผ่าตัด หน้ากลมนิดๆ มีพุงหน่อยๆ.... เอาไว้กลับมาต้องชั่งน้ำหนักอีกทีนึง

พวกอาหารที่จะเตรียมไปเอง ก็มีข้าวกล้อง หม้อหุงข้าวไฟฟ้าประจำตัว ข้าวโอ๊ตอบ นมถั่วเหลืองสูตรไม่ใส่น้ำตาล (อันนี้ กินแค่วันละกล่อง เพื่อสร้างสมดุลของฮอร์โมน) จมูกข้าวสาลีอบ รำข้าวสาลีอบ ลูกเกด กล้วยตาก สาหร่ายวากาเมะแห้ง สาหร่ายแผ่นอบ น้ำพริกข่าแห้ง ซีอิ้วขาว (สูตรไม่ใส่ผงชูรส) แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่า ไปที่นั่นแล้วกินอะไรได้มั่ง.....

เป็นอันว่า ไปเที่ยวแบบเจียมตัวที่ว่าน่ะ ก็คือ

เจียมตัวหนึ่ง เรื่องค่าใช้จ่าย สำหรับคนไม่ได้ทำงานไม่มีรายได้เอง ก็เที่ยวแบบให้มันพอไหวอย่าให้มันเกินไป

เจียมตัวสอง ก็เอาแค่พอหอมปากหอมคอ บางเมืองตัดออกไปได้ก็เอาออกไปก่อน เยี่ยมเยือนลาว คงไม่ได้มีเพียงหนเดียว....

เจียมตัวสาม อันนี้สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด เหมือนที่บางคนเปลี่ยนไปใช้คำ “ไม่เจียมสังขาร” ยังไม่ถึงเวลาจะกลับไปแบกเป้ปีนเขาแบบที่ชอบ จะกลับมาตอนต้นเดือนมีนาคม พอกลางเดือนก็มีนัดกับหมอไปตรวจติดตามพอดี... คิดว่าคงไม่มีอะไรเป็นปัญหา เพราะว่าเรา “เจียมตัว” ไว้แล้วจ้า...




 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2549    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2549 17:11:35 น.
Counter : 707 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

Minie'
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]




รู้โลกเรียนธรรม

Friends' blogs
[Add Minie''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.