Group Blog
 
All blogs
 
บทที่5:การกลั่นแกล้ง




ยัยซุ่มกับนายจอมซ่า


บทที่ 5 :การกลั่นแกล้ง





“เบื่อ ๆ เซ็งแบบนี้ ทำไมต้องมาทำรายงานส่งอาจารย์หมอนะ” น้ำเสียงที่บ่งพึมพำด้วยอารมณ์หงุดหงิดของใครบางคน


“เจ้าวิชูก็ร้ายจริง ปล่อยให้เราต้องมาหาข้อมูลทำรายงานคนเดียว คอยดูเถอะ จะเก็บเงินค่ารายงานให้หงายเก๋งไปเลย ทำกับเราไว้ดีนัก รู้จักนายสุดเดชน้อยเกินไปแล้ว”
บุคคลที่ขี้โมโหหงุดหงิดยังคงอารมณ์เสียไม่เลิกไม่รา ระหว่างที่บ่นพึมพำไปก็เดินแทรกตัวเข้าไปภายในชั้นเก็บหนังสือ เพื่อหาหนังสือที่ต้องการตามชั้นไปเรื่อยๆ ด้วยอารมณ์บูดสุดๆ แต่ก็ได้มาเพียงบางส่วนเท่านั้น
ว่าแล้วก็เดินถือหนังสือที่หาได้พร้อมกับเดินไปที่เคาน์เตอร์บริการของห้องสมุดซึ่งอยู่ใกล้ๆ บรรณารักษ์คนสวยผู้ให้บริการอยู่ส่งยิ้มให้กับเขาอย่างเป็นกันเอง


“มีอะไรให้ช่วยค่ะ” บรรณารักษ์ถามอย่างเป็นมิตร


“คือผมเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ อยากจะหาหนังสือเกี่ยวกับกายวิภาค (Anatomy) ของมนุษย์ในส่วนของสมองครับ ผมต้องไปค้นหาตรงส่วนไหนชั้นไหนครับ”
บรรณารักษ์จดคำถามที่เขาต้องการภายในสมุดบันทึกข้อมูลผู้ใช้บริการ


“คุณต้องการข้อมูลที่เป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย หรือจะเอาทั้งสองภาษาค่ะ” ระหว่างที่ถาม เธอก็ค้นหาข้อมูลภายในฐานข้อมูลของห้องสมุดอย่างคล่องแคล่ว


“ผมต้องการทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ถ้าได้เป็นภาษาอังกฤษจะดีมากครับ เพราะใช้มากกว่า"”เขารีบแจ้งให้ทราบทันทีภายใน 2-3 นาที บรรณารักษ์ก็พิมพ์รายการข้อมูลหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ที่ค้นได้ยื่นให้เขา


“นี่คือรายการหนังสือที่คุณต้องการค่ะ
คุณสามารถไปหาหนังสือเหล่านี้ได้จากบริเวณชั้น
3 รวมทั้งจะมีห้องที่เก็บเฉพาะข้อมูลทางการแพทย์ คุณอาจจะสนใจก็ได้ลองไปดูนะค่ะ ซึ่งอยู่ใกล้บริการตอบคำถาม ถ้าคุณหาไม่เจอลองสอบถามบรรณารักษ์ตรงนั้นได้ค่ะ เค้าจะช่วยคุณได้มาก” เธอกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เค้าอย่างเป็นมิตร


“ขอบคุณครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ เป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์ที่ต้องช่วยเหลือผู้ใช้บริการ”
พอดีมีผู้ใช้คนอื่นเข้ามาสอบถามข้อมูล เธอจึงหันไปให้บริการกับผู้ใช้คนอื่นต่อ แล้วเขาก็เดินดูรายการ และหนังสือบางส่วนที่หาได้ก่อน พร้อมกับเดินตรงไปขึ้นลิฟต์ เพื่อขึ้นไปยังชั้น
3



ลิฟต์เปิดกว้างออกพร้อมกับไอแอร์ที่เย็นฉ่ำไหลเข้ามาแทนที่ ชั้นนี้มีเครื่องปรับอากาศที่เปิดแรงกว่าทุกชั้น เขาคิดในใจ


บรรยากาศของชั้นนี้เงียบสงบมาก มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น เมื่อได้ย่างก้าวเข้ามายังชั้นนี้ เขามองสำรวจไปทั่วบริเวณทางด้านขวามีป้ายระบุว่า “บริการตอบคำถาม”


เขาจึงเดินตามลูกศรนั้นตรงไปยังโต๊ะบริการตอบคำถาม
อย่างเงียบๆ ตามลักษณะของผู้ใช้บริการที่ดี


แล้วสายตาของเขาฉายแววประหลาดใจพร้อมรอยยิ้มขำกับภาพที่เห็นตรงหน้า


ภาพของหญิงสาวที่เขาเคยเจอเมื่อวันก่อนแจ่มชัดขึ้น ในสภาพสัปหงก แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า คงเป็นเพราะ เธอใส่แว่นอันใหญ่
และกรอบแว่นมีการประดับด้วยคริสตัลชั้นดีที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างบรรจง


โป๊ก โป๊ก.... เสียงศีรษะที่กระทบกับขอบโต๊ะ ยังคงดังก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณในช่วงเวลาที่เงียบสงบของยามบ่ายซึ่งไม่ค่อยมีผู้ใช้ห้องสมุดเท่าไรนัก เมื่อเขาเข้าไปใกล้ยังโต๊ะบริการตอบคำถามนั่นเอง โดยเธอไม่ทราบถึงการมาของเขา รอยยิ้มในดวงตาของคนเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ ผู้อารมณ์ร้อนจนดูน่ากลัว.. พลันสุดเดชก็เดินย่องอ้อมไปข้างหลังเคาเตอร์อย่างเงียบกริบ แล้วก้มตัวเข้าไปหาอย่างช้า..พร้อมกับเอามือป้องใส่หูของคนที่หลับอย่างไม่ได้สติ



“ตื่นได้แล้ววววววไฟไหม้ห้องสมุด...............................ครับ คุณบรรณารักษ์”


เสียงตะโกนก้องสุดเสียงดังเข้าหูผู้หลับ ที่ถูกเรียกสะดุ้งตกใจผลุนผลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว และผวาเข้ากอดแน่นกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดด้วยความไวเหนือเสียง พร้อมกับหลับตาปี๋ บ่นงึมงำด้วยความตกใจ เสียงร้องด้วยอาการตกใจสุดๆดังมาจากผู้อยู่ในอารามตกใจ จนคนแกล้งถึงกับแอบอมยิ้มปนขำๆ จนเผลอหัวเราะออกไปเบาๆ


“คุณบรรณารักษ์ครับ ปล่อยผมได้แล้วนะครับ ผมล้อเล่นนะ ลองลืมตาขึ้นมาดูเองสิครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีไฟไหม้อย่างที่คุณคิดหรอก เชื่อผมสิ” เขาพูดพร้อมกับแอบอมยิ้ม และยกมือขึ้นปิดบังอาการขำค้างจากเรื่องที่เพิ่งผ่านไป ด้วยอาการสะใจนิดหน่อย


นราวดียังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องโกหกยังคงกอดสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดไว้แน่นด้วยอาการหวาดผวา อย่างไม่สนใจสิ่งรอบๆข้าง จนคนแกล้งเริ่มรู้สึกผิด จึงพูดปลอบประโลมอีกครั้ง เพื่อย้ำให้เธอมั่นใจอีกครั้ง


“เชื่อผมสิครับ ลองลืมตาดูก่อน แล้วก็ช่วยกรุณาปล่อยมือที่กอดผมไว้หน่อยน่ะ ผมชักเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว เดี๋ยวผมป่วยจะว่ายังไงครับ”
ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน นราวดีเริ่มใจชื้นขึ้นแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ และเริ่มสำรวจขึ้นไปมองสิ่งที่เธอกอดอยู่ ทันทีที่สมองเริ่มทำงาน เธอถึงกับสะดุ้ง รีบผลักออกห่างจากสิ่งที่เธอกอดอยู่ด้วยอาการหน้าออกสีแดงเรื่อ


“เฮ้อ! ค่อยหายใจได้ทั่วท้องหน่อย คุณนี่แรงดีไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่า
บรรณารักษ์อย่างคุณเนี่ยจะแรงดีขนาดนี้ แต่ก็น่าเสียดายอยู่นา..รู้งี้น่าจะปล่อยให้กอดต่ออีกแป๊บจริงไหมครับ
”


พลางกอดอกและยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ส่งยิ้มให้กับสาวที่เข้ากอดเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวเองก็ไม่กล้ามองสบตาเท่าไรนัก แล้วก็เหมือนนึกอะไรได้ เธอเริ่มเงยหน้าขึ้นพูดตอบโต้ทันที


“คุณตะโกนเสียงดังลั่นห้องสมุดแบบนี้ เดี๋ยวก็มีคนว่าหรอก ทำให้คนอื่นตกใจแล้วยังหัวเราะอีก”


“ก็ผมเห็นคุณหลับในเวลาทำงานนี่คุณมันไม่ดี และอีกอย่างนะ ผมก็ไม่ได้รบกวนผู้ใช้บริการอย่างที่คุณว่าหรอกเพราะว่าบนชั้นนี้ที่ผมขึ้นมายังไม่เห็นใครเลย เห็นแต่ผมกับคุณนี่แหละ” ว่าแล้วก็ส่งสายตาเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เดินตรงเข้ามาใกล้ขึ้นๆ จากจุดเดิมที่ยืนห่างอยู่จนฝ่ายตรงข้ามเริ่มชักกลัวๆ เดินถอยหลังไปเรื่อยๆจนหลังชนกำแพงห้องสมุดหลังเคานเตอร์นั่นเอง


“แล้วคุณต้องการอะไร อย่าเดินเข้ามาใกล้ฉันได้ไหมฉันไม่ชอบนะ ไม่งั้นฉัน..” ยังไม่ทันกล่าวจบ หญิงสาวก็ถึงกับหายใจรดต้นคอ หลับตาและยกมือขึ้นป้องกันตัว ผู้ที่เดินเข้ามาจับแขนของเธอไว้ พร้อมกับก้มลงมองสบนัยน์ตาเธอ และยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนแทบประชิดกัน จนเธอหลับตาปี๋ หัวใจเต้นโครมครามอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน


“อืม...
ก็ไม่บาดเจ็บอะไรนะ ว่าแต่ทำไมมีรอยแผลที่แขนด้วยไปโดนอะไรมานะ แว่นตาก็ด้วยดูเหมือนมันจะต่างจากคราวที่แล้วน่ะ ยัยสี่ตา บอกตามตรงนะ แว่นอันนี้ดูไม่ค่อยเหมาะกับเธอเท่าไรเลย
” ว่าแล้วก็ยืดตัวขึ้น ถอยออกห่างจากเธออย่างช้าๆ พร้อมกับปล่อยมือที่จับแขนเธอไว้เบาๆ


“มันก็เรื่องของฉันนะ คุณไม่เกี่ยว” ว่าพลางก็ขยับแว่นให้เข้าที่ อย่างมีอารมณ์


“ผมขึ้นมาเนี่ย ก็เพราะต้องการหาหนังสือที่เกี่ยวกับกายวิภาคมนุษย์ในส่วนของสมองนะ บรรณารักษ์ข้างล่างเค้าก็บอกให้ผมมาหาบรรณารักษ์ที่ชั้นนี้” ว่าพลางก็ยื่นกระดาษที่มีรายการหนังสือที่ต้องการให้เธอดู เธอยื่นมือรับกระดาษที่ยื่นมา กวาดสายตาดูรายการหนังสือที่ได้รับ พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ใช้บริการที่บริการปลุกบรรณารักษ์ถึงที่โดยไม่ได้ร้องขอ


“ค่ะ
งั้นฉันก็ต้องขอโทษคุณน่ะค่ะ ที่เสียมารยาทกับคุณ งั้นเดี๋ยวฉันจะช่วยหาหนังสือในรายการนี้ให้คุณแล้วกัน แต่คุณก็อย่าเอาเรื่องที่ฉันแอบนอนหลับไปบอกหัวหน้าห้องสมุดนะค่ะ ไม่งั้นอาจโดนลงโทษได้ เพราะแค่นี้ก็แย่อยู่แล้วค่ะ
”
นราวดีพูดพลางเดินนำเขาไปยังช่องที่เก็บหนังสือทางด้านการแพทย์ พร้อมกับมองลงบนกระดาษที่มีรายการหนังสือ และเงยหน้าสลับกันไปมา เพื่อมองหาหนังสือตามชั้นที่ต้องการให้ชายหนุ่ม


“ว่าแต่คุณบรรณารักษ์ตั้งแต่คราวที่แล้ว ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยคุณชื่ออะไรครับ บอกหน่อยได้ไหม เวลาเจอกันคราวหน้าผมจะได้เรียกถูก เวลาเรียกว่า บรรณารักษ์มันดูห่างเหินยังไงชอบกล ดูจากหน้าตาคุณก็น่าจะรุ่นเดียวกับน้องผมนะ ผมชื่อสุดเดชครับ เรียกว่า พี่เดชเฉยๆก็ได้ ” เขาเอ่ยแนะนำตัว พลางชำเลืองมองหาหนังสือจากอีกด้านหนึ่งเช่นกัน


“ฉันนราวดีค่ะ ส่วนใหญ่ใครๆก็เรียกนา หรือ นราวดีนี่แหละค่ะ รู้ชื่อแล้ว ก็โปรดเรียกให้ถูกๆด้วย อย่าเรียกว่า ยัยสี่ตา ฉันไม่ชอบค่ะ” เธอย้ำในถ้อยคำนั้น พลางหันไปส่งสายตาอาฆาตแค้น แยกเขี้ยวใส่ ด้วยอาการไม่ชอบใจอย่างที่สุด กับสรรพนามที่เขาชอบใช้เรียกเธอเป็นประจำ


“เอาน่า ผมจะพยายามไม่ลืมน่ะยัยสี่ตา เอ้ย...ม่ายใช่สิ น้องนราวดี” พลางส่งยิ้มแหยๆให้
ด้วยอาการกลัวเธอจะโกรธเอาง่ายๆ แล้วพาลไม่ช่วยเขาหาหนังสือทำรายงาน



หลังจากเวลาผ่านไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้หนังสือตามรายการที่ต้องการครบ ตำราทางการแพทย์ว่าด้วยเรื่องสมองทั้งไทย และอังกฤษตั้งเรียงรายบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ด้วยฝีมือการค้นหาของนราวดีเสียเป็นส่วนใหญ่ มีบางเล่มเท่านั้นที่สุดเดชหาเจอเอง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น


“เอาล่ะค่ะ แค่นี้ก็คงจะพอน่ะค่ะ หวังว่าคงจะใช้ได้”


“ต้องขอบคุณจริงๆครับ ยัยสี่ตา ยังไงไว้คราวหน้าจะมาใช้บริการน่ะครับ”
ว่าพลางแลบลิ้นใส่ ใช้มือคว้าหนังสือที่หาได้ขึ้นยกอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งไปยังลิฟท์ตัวเดิมก่อนที่จะรีบกดปุ่ม หนีลงลิฟท์ไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ใส่ใจอารมณ์ของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้า กำหมัดแน่นไว้ด้วยอาการเคืองสุดๆ


หลังจากสุดเดชออกจากลิฟท์แล้ว
เขาก้าวเดินช้าๆ ไปยังมุมหนังสืออ้างอิง เพื่อหาคำศัพท์บางตัวที่เขายังไม่เข้าใจเพิ่มเติม
เมื่อไปถึงมุมนั้น เขาวางหนังสือที่หาได้ไว้บนโต๊ะ ก้าวเดินไปตามช่องเพื่อหาหนังสืออ้างอิงตามปรกติ ระหว่างที่กำลังยื่นมือหยิบหนังสือชั้นที่สูงที่สุดนั้น พลันสายตาก็ไปกระทบกับบางสิ่งเข้า ทำให้หมดความสนใจกับหนังสืออ้างอิงที่ต้องการ


เขาค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปหยิบสิ่งๆนั้นออกจากชั้นหนังสือด้วยอาการประหลาดใจ แล้วยกขึ้นส่อง มันคล้ายๆกับแว่นตาที่เขาเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ซึ่งตอนนี้สภาพมันไม่บ่งบอกว่า อยู่ในสภาพที่ใช้การได้เลย แต่ที่แน่ๆเค้าก็พอเดาได้ว่า แว่นตาอันนี้เป็นของใคร


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เก็บมันลงไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ตัวเก่งของเขา แล้วค้นหาหนังสืออ้างอิงที่ต้องการต่อไป


เขาจัดแจงนำหนังสือบางเล่มที่เขาไม่สามารถยืมออกให้จากห้องสมุดได้ไปให้ร้านถ่ายเอกสารทำการสำเนาไว้ เพื่อจะได้สะดวกในการเอาไปใช้ในโอกาสหน้า หลังจากที่เขาบอกให้พนักงานถ่ายเอกสารให้เสร็จแล้ว และแจ้งว่า จะกลับมารับทั้งหมดในช่วงเย็น เขาก็จัดแจงเก็บของและถือหนังสือที่ยืมได้
เดินออกมาจากห้องสมุด


ระหว่างที่เดินเขาก็ดึงเอาของที่เก็บได้จากในห้องสมุดขึ้นมา พินิจพิเคราะห์ เพื่อนึกถึงเรื่องราวบางอย่าง


ทันใดนั้น อาการปวดหัวจี๊ดๆก็เริ่มทำให้เขามีอาการมึนงงจนต้องนั่งลงกับม้านั่งที่ใกล้ที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะล้มลงหมดสติได้


“อะไรมันจะมาเป็นตอนนี้นะ
ไม่เข้าใจเลย” เขาบ่นพึมพำ


ชายหนุ่มค่อยๆเอนตัวลงบนม้านั่งที่อยู่ด้านในสวนของมหาวิทยาลัยอย่างผ่อนคลายที่สุด


เพราะกลัวเพื่อนๆคนอื่นที่ไม่ใช่ เจ้าวิชู
จะมาเห็นว่า ตัวผมไม่แข็งแรง มันทำให้ผมหัวเสียมิน้อย ตั้งแต่ที่หมอที่รักษาพยายามให้เขาพยายามนึกถึงเรื่องต่างๆ
ในอดีตก่อนที่ผมจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนั้น จนทำให้ต้องสูญเสียคุณพ่อไป


มันทำให้ผมเจ็บปวดมาก จนบางทีการที่จำอะไรไม่ได้เลย ก็น่าจะดีกว่าต้องมารับรู้และเจ็บปวดแบบนี้


แต่..นี่ผมกลับจำได้ตั้งแต่ตอนที่ประสบอุบัติเหตุ
แต่เรื่องก่อนหน้านั้น ผมจำอะไรไม่ได้เลย แม้ว่าคุณแม่ ท่านจะพาไปรักษากับหมอที่เก่งๆในต่างประเทศ
แต่ดูเหมือนความทรงจำเก่าๆเหล่านั้น ก็ไม่กลับคืนมา


คุณหมอคนสุดท้ายที่รักษาด้วยบอกว่า
วิธีเดียวที่จะทำให้เขาจำอดีตได้ ก็คือการกลับมาอยู่ที่ประเทศไทย ดังนั้น
คุณแม่จึงตัดสินใจพาผมกลับมาที่นี่ และมารักษาต่อกับคุณหมอที่รู้จักกันในประเทศไทย ซึ่งตอนที่กลับมาก็เป็นช่วงสอบเอ็นทรานซ์พอดี ผมเลยต้องคร่ำเคร่งเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม จนกระทั่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์


ถึงแม้คุณแม่ท่านจะไม่เห็นด้วย เพราะเป็นห่วงสุขภาพของลูกชายที่รัก


แต่ผมเอง กลับคะยั้นคะยอไม่เลิกรา
ท่านก็เลยตามใจและสนับสนุนผม


ท่านคอยเป็นกำลังใจดูแลอยู่ห่างๆไม่ให้เขาต้องหักโหมเกินไป


ใครๆก็ตกใจที่ตัวผมสามารถสอบติดคณะแพทยศาสตร์ได้
ก็คงไม่แปลกเพราะ คุณพ่อผม ท่านเป็นศัลยแพทย์มือดีในสมัยก่อน ดังนั้นอาจารย์บางท่านในคณะ จึงเกรงใจผม


เพราะคุณพ่อของผม ท่านเคยเป็นอาจารย์สอนท่านเหล่านั้นมาก่อน


แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ
การที่ท่านเหล่านั้น มาพูดแสดงความเสียใจเรื่องคุณพ่อกับผม
มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีคนมาร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้า
บ้างก็มาพูดสรรเสริญเยินยอ จนผมเอือมระอาจริงๆ


เขาได้แต่ถอนใจ อาการปวดหัวค่อยทุเลาลงแล้ว
หลังจากนั่งสักพัก


ผมคิดว่า มันอาจจะเป็นเพราะ
ผมได้เจอกับอะไรบางอย่างในอดีตที่เกิดขึ้น
เพราะบ่อยครั้งที่หมอที่รักษาเล่าเรื่องเก่าๆ พอเริ่มจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เขาจะปวดหัวขึ้นมาทันที


อยู่ๆเขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
ก่อนจะเอามือล้วงเอาแว่นที่เก็บได้ในห้องสมุดขึ้นมาดู


ทำไม?
มันคุ้นจัง หรือว่า เขาจะเคยเห็นมาก่อน


สัญชาติญาณบอกเขาอย่างนั้น
ว่า ของชิ้นนี้แหละ น่าจะเป็นของที่สำคัญของใครบางคน..ที่เขาน่าจะรู้จัก
และบางทีอาจจะเป็นคนบางคนในอดีตที่เขาเคยเจอก็ได้


ส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขา..หรือ?


 



โปรดติดตามตอนต่อไป


ตอนที่ 5 มาแล้วค่ะ ถึงยังไม่มีใครมาอ่านแต่ก็ขอโพสต์ตามเวลาที่วางไว้นะคะ


Free TextEditor


Create Date : 01 มีนาคม 2555
Last Update : 1 มีนาคม 2555 21:54:13 น. 4 comments
Counter : 362 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ามาเยี่ยมเยือนเพื่อน ๆ ชาวบล็อกเลย แหะ ๆ แต่วันนี้มีของมาอวดค่ะ 555

มาให้กำลังใจด้วยล่ะ ขอโทษที่ยังอ่านตอนนี้ไม่ได้ แต่จะกลับมาอ่านแน่ ๆ ค่ะ


โดย: งานหนักก็เหนื่อยงานน้อยก็หน่าย วันที่: 4 มีนาคม 2555 เวลา:12:01:18 น.  

 
อ่านอยู่ค่ะ.....เป็นกำลังใจให้นะค่ะ


โดย: ณิญา IP: 110.171.134.56 วันที่: 4 มีนาคม 2555 เวลา:13:51:41 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ทั้งติ๊ก และคุณณิญานะคะ ที่มาตามอ่านกัน ยังไงตอนหน้ามีการลงกลางเดือนตามกำหนดเดิมแน่นอนค่ะ


โดย: ปีกแห่งลม (นายยีราฟน้อย ) วันที่: 6 มีนาคม 2555 เวลา:9:05:32 น.  

 
มาอ่านตามสัญญาแล้วจ้า อิอิ


โดย: งานหนักก็เหนื่อยงานน้อยก็หน่าย วันที่: 4 เมษายน 2555 เวลา:12:27:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นายยีราฟน้อย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




แม้ว่าจะคอยาว ตัวจะอ้วนกลม ขนาดนี้ ก็น่ารักนะขอรับ




Friends' blogs
[Add นายยีราฟน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.