กลับมาอีกรอบ ไปมามาไป
Group Blog
 
All blogs
 

มิ้งกิทัวร์: ภาคเลยไปเลย (7)

เกริ่นนำ: ไม่น่าเชื่อว่ามาถึงบทที่เจ็ดไปแล้วววว โอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง!!!

นั่นแหละ สักสิบนาที มิ้งก็เปลี่ยนใจกระดึ๊บกลับเข้าวงไปอีกครั้ง เพราะได้ยินแม่บอกว่ามะม่วงน้ำปลาหวานที่มีคนยกมาให้อร่อยมาก แต่หนูก็ไม่ได้กินนะ ทำไมก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าเป็นแต่ลืมตาขึ้นมาดู แล้วก็กระดึ๊บกลับเข้าวงไปเฉย ๆ เอง

นั่นแหละ แล้วเราก็ตัดสินใจกลับเข้าโรงแรมไปหลับเอาแรงกันก่อน ซึ่งแม้จะมีเสียงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าเราจะกินข้าวกลางวันที่โรงแรมก่อนขึ้นไป “พักผ่อนตามอัธยาศัย” ก็ตาม แต่เมื่อกลับถึงมาถึงโรงแรม ...หนูก็ไม่ไหวแล้วค่า ขอสะกิ๊บสะก๊าบกระโดดข้ามมื้อนี้ไปเลยได้ไหมคะ หนูง่วงมาก ง่วงง๊วงง่วง ... นั่นแหละ แล้วมิ้งก็หัวปักไปบนเตียงแล้วหลับไป

จนกระทั่งบ่ายสองนิด ๆ ก็ตัดสินใจ จิกตัวเองขึ้นจากเตียงมาล้างหน้าและแต่งตัว เพราะว่านัดกันไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยมเยือน “แก่งคุดคู้” กัน แต่แล้ว.. เดี๊ยนก็พบว่าแม่ซึ่งนอนอยู่ข้างตัวโบกมือลาขอนอนหลับรอที่โรงแรมไปแทนเสียแล้ว

อ้าวคุณแม่ขา ... ตัดช่องน้อยแต่พอตัวได้ยังไงค้า ...

นั่งรถออกนอกเมืองกันไปอีกครั้ง โดยปราศจากคุณนายใหญ่ แล้วชาวเราก็เดินทางไปที่ “แก่งคุดคู้” กัน .... ทุกคน โดยเฉพาะคุณพี่สะใภ้แบบทางการแล้วท่าทางมีความสุขมาก ๆ ทั้งนี้นอกจากบรรยากาศการแต่งงานและพิธีที่น่ารักชื่นมื่นแล้ว การที่ได้อยู่ในที่ที่เติบโต คุ้นเคย และรักใครก็ทำให้คุณพี่อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เสมือนความรู้สึกเวลาเราเปิดกล่องของเล่นมหัศจรรย์ในวัยเด็ก แล้วหยิบของที่รักมาอวดคนรอบข้างทีละชิ้นกระมัง

เพราะคุณพี่มีท่าทางสุขใจที่จะอวดกล่องวิเศษที่เรียกว่า “เลย” นี้ให้แก่เรา และเราก็เต็มใจที่จะชมดู และชื่นชมความงดงาม สุขสันต์นี้อย่างกระตือรือร้นเสียด้วย .... ก็เป็นช่วงเวลาดี ๆ ของครอบครัวและคนใกล้ชิดนี่นะ

และอันว่า แก่งคุดคู้ นั้น เป็นแก่งหินขนาดใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงซึ่งแบ่งระหว่างฝั่งลาวและฝั่งไทยเอาไว้ ด้วยความที่มีส่วนที่เป็นแหลมหักศอกแบบหักโค้งหักองศาสุดชีวิตก็เลยได้สมญานามนี่มา

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้น้ำแห้งทำให้เกิดส่วนสันดอนสันทรายที่จะลงไปเดินเล่นได้ แล้วก็มีร้านไปเปิดร้านขายข้าวเหนียวส้มตำเอย ร้ายขายน้ำ เช่าห่วงยางเอย อยู่ข้างล่างเหมือนกัน (ไทย๊ไทยค่ะ คุณขา โอกาสทางการค้าเช่นนี้) หรือไม่ก็มีบริการนั่งเรือล่องแก่งคุดคู้ ซึ่งจะอธิบายให้เห็นภาพด้วยคำว่า ล่องแก่ง นั่นแหละ เรือลำเล็ก ๆ แล่นด้วยความเร็วมหาศาล คิดภาพตามก็แล้วกัน

ซึ่งหนูเนี่ยก็อยากกกแสนจะอยากเลือกข้อหนึ่งหรือไม่ก็ข้อสองนี้มากเลย หรือถ้าทำได้ก็เลือกมันทั้งหมดมากเลยย ... แต่ก็อย่างที่ได้เล่าไปแล้วว่าขาเดี้ยงงอยู่ จะทรมานสังขารไปก็ไม่งาม ขั้นบันไดก็สูงเป็นอาคารเจ็ดชั้นไปแบบนี้ ก็เลยต้องกลืนความอยากจากข้อหนึ่งไป

ส่วนข้อสองเหรอคะ ทำเองไม่ได้คนเดียว ถึงแม้จะไม่เกี่ยวกับขาก็เถอะ พอมองหน้าลุง ๆ ป้า ๆ พี่ ๆ น้า ๆ สมาชิกทั้งหลาย ไม่มีใครยกมือเห็นพ้องด้วยแน่นอน ก็แค่อาเจ๊เล่าว่าเร็วประหนึ่งหนังไล่ล่าฮอลลีวูดแล้ว ก็มีแต่เสียงตะหนกไม่เอาออกมากันนี่นา

เอาล่ะ ข้อหนึ่งและข้อสองก็ตกไปอย่างโศกา ซึ่งก็กลายเป็นว่าเดินไปรอบ ๆ เพื่อเก็บบรรยากาศและเก็บภาพประทับใจไว้แทน แล้วก็มีที่น่ารักมาก ๆ คือมีโรงเรียนพาเด็กมาทัศนศึกษาอยู่ริมฝั่งสวยหย่อม แล้วที่น่าประทับใจสุดชีวิตก็คือเหล่าคุณครูกำลังมือเป็นระวิงทำส้มตำเป็นของว่างให้แก่เด็ก ๆ ชนิดที่ว่าขนอุปกรณ์พร้อมมากยิ่งกว่าเป็นพ่อค้า-แม่ค้าส้มตำมาเองงง!

แล้วที่ขำมาก ๆ พี่สะใภ้ก็เล่าว่าเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ พี่ก็มามาแบบนี้เหมือนกัน แล้วก็ตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะได้มาเที่ยว โดยหารู้ไม่ว่ามันอยู่ใกล้บ้านสุด ๆ จนเมื่อมาถึงแล้วนั่นแหละ!

ขณะที่ถ่ายรูป มิ้งก็น้ำลายหกเมื่อได้มองเห็นเรือแล่นผ่านไปผ่านมายั่วยวนกวนกำหนัดสุด ๆ ฮืออฮืออ อยากเล่นน อยากนั่งเรือออ อยากนั่งเรืออออ .... พอเดินกลับมาที่ทางลง ก็มีการซาวเสียงกันว่าจะลงไปข้างหน้าไหม บุคคลในคณะมองหน้ากันไปมองล่างกันมา แล้วสักพักใหญ่ก็มีใครตัดสินตัดสินใจพูดแทนมาว่า ...ไม่ไหวมั้ง ...

นั่นแหละ ทัวร์กินนอนก็เลยเปลี่ยนเป้าไปกินของว่างอร่อย ๆ กันแทน และของว่างนี้จะเป็นข้าวเกรียบฮานามิชมสวนดอกไม้แกล้มน้ำชาดีไหมคะ ไม่เหรอคะ? ใช่แล้วค่ะ! เพราะว่าเรารู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ร้านส้มตำกันแล้ว แล้วก็กำลังกินส้มตำ-ข้าวเหนียวกันอยู่ กินตำแตงไข่ต้มไป แล้วมิ้งก็ส่งตำซั่วมากิน แต่เพราะเส้นขนมจีนไม่มีก็เลยเปลี่ยนมากินตำมะเขือแทน แล้วก็มีกุ้งแพอร๊อยอร่อยแกล้ม

แล้วหนูก็ไม่เข้าใจเล๊ยยยย ทำไมคะ ทุกครั้งที่มิ้งทำท่ากระตือรือร้นกระดี๊กระด๊าสั่งซุปหน่อไม้/ ส้มตำแบบใส่ปู ใส่ปลาร้า หรือกินตำซั่วตำมั่วอะไรสารพัดตามประสา ต้องมีคนตกใจว่า

“อ้าว กินเป็นด้วยเหรอ”
“กินปูกับปลาร้าน่ะนะ!”
“ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย”


อะไรอีกมากมาย ทำไมคะ ทำไม๊ ก็ชอบๆๆ แล้วพอบอกคุณพี่ว่าอยากกินแกงลาวมาก ก็มีคนทำหน้าอึ้งกันไปอีกรอบ

แต่จะบอกว่าพริกที่นี่เผ็ดแบบใจร้ายมากเลย คือตอนกินไม่เผ็ดเล๊ยย (ไม่รู้ว่าเพราะตะกละหรืออย่างไร) แต่พอรู้ตัวอีกที ก็ร้อนท้อง ๆๆ มาก ๆๆๆ ขนาดที่ถ้ากินปูนไปด้วย ก็คงไม่ร้อนเท่านี้

กินปูนร้อนท้อง..เอ๊ยย.. กินพริกร้อนท้อง จนมิ้งต้องสั่งชานมมากินต่อ

แล้วพอเริ่มอิ่มก็เหลือบไปเห็นหมากำลังเล่นน้ำลั้ลลาพอดี โอ๊ยยย อิจฉาค่ะ! อิจ! อิจ! อิจ!

ขนาดน้องหมายังได้เล่นน้ำเลยยย TT

+++++++++++

อ่านแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ คิดเห็นยังไง ติชมกันได้เลยนะคะ
เผื่อ “พูดไปไร้สาระ” จะได้เริ่มมีสาระได้กับเขาบ้าง ^^”
ขอบคุณค่ะ “D




 

Create Date : 09 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 9 พฤษภาคม 2549 2:42:58 น.
Counter : 622 Pageviews.  

มิ้งกิทัวร์: ภาคเลยไปเลย (6)

ก่อนเล่า: ช่วงวันวิสาขฯ จะต้องเดินทางไปจาริกจิกแสวงบุญกับพระมาร (ดา) และคณะที่ต่างจังหวัด ฉะนั้น เกรงว่าจะต้องรีบเพิ่มสปีดในการเล่าเสียแล้ว เดี๋ยวจะพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก เกิดเรื่องใหม่ซ้อนเรื่องเก่าขึ้นมา!

เอาล่ะ กลับไปดูตอนที่ห้า ไม่ได้เล่าไปว่ามีเรื่องเล็ก ๆ ที่ประทับใจอยู่อย่างคือ ก่อนจะผ่านประตูกั้นเงิน-ทอง-นาคไป ทางบ้านเจ้าสาวก็ได้เตรียมน้ำล้างเท้าให้คุณพี่ของเรา โดยคุณพี่ที่รักจะต้องยืนบนกองหิน แล้วก็ให้เด็ก ๆ มาราดน้ำลงไปให้ เป็นธรรมเนียมที่บอกว่าให้มาอย่างสะอาดสบายใจ เป็นที่ต้อนรับ และการยืนบนหินนั้นก็หมายความว่าให้หนักแน่น และมีฐานชีวิตที่มั่นคง น่ารักเสียจริง ๆ

เข้ามาในบ้าน ในห้องนั่งเล่นเตรียมพานบายศรีใหญ่ไว้กลางห้องแล้ว และหลังจากนี้ เมื่อคณะโห่ ....... ฮิ้ววววววววของเราถวายพานเอ๊ย มอบพานให้ทางครอบครัวคุณพี่ผู้หญิงนับเงินนับทองตามแบบฉบับแล้ว พระมาร (ดา) ก็ได้เวลาไปพาตัวเจ้าสาวออกมาจากห้อง แล้วก็ได้เวลาให้ทั้งคู่หมอบอยู่ข้าง ๆ กัน รับสายสิญจน์ และจุดเทียนจุดเทียนเพื่อให้พ่อครูทำพิธีให้ศีลให้พรและอบรมให้โอวาทเป็นภาษาถิ่น ซึ่งอีมิ้งเนี่ยจับความได้เป็นคำ ๆ เท่านั้น รู้แต่ว่าสำเนียงอินโทเนชั่น อินโทโลชั่นของพ่อครูนั้นสนุกสนานสูงต่ำมาก หลังจากนั้นก็ให้ทั้งคู่ทานอาหารมงคลพวกไข่ต้ม ข้าวสวยคนละคำสองคำ คุณป๋าของอิฉันท่าทางจะหนุกหนานจัดก็เลยกลายเป็นช่างกล้องไปอย่างเมามัน .... ถ่ายรูป และถ่ายรูปไป

แล้วก็ถึงการผูกข้อมือรับขวัญเพื่อความเป็นศิริมงคล โอ .. ได้ข่าวว่าสายสิญจน์ที่ผูกข้อมือก็เป็นของที่คุณป้าคุณน้าสักคนทำไปน้ำตาท่วมด้วยความปลื้มใจเหมือนกัน ก็คนที่รักและผูกพันมาตั้งแต่เด็กจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วนี่นะ ... แล้วพอพระมาร (ดา) ในฐานะแม่ของเจ้าบ่าวผูกข้อมือเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ญาติ ๆ ทั้งมวลจะโถมพุ่งตัวไปผูกข้อมือต่อแล้ว โอ โอ เห็นญาติ ๆ ของคุณพี่ผู้หญิงแล้ว ก็เข้าใจได้เลยว่าทำไมคุณพี่ไม่ยอมแต่งงานในโรงแรมที่กรุงเทพฯ คุณพี่บอกก่อนหน้านี้ว่า ญาติเธอเยอะมาก และถ้าจะต้องไปกรุงเทพฯ กันโดยถ้วนหน้าก็ไม่สะดวก และแม้แต่จะจัดงานแต่งที่โรงแรมในเลยก็ไม่รุ่งเหมือนกัน เพราะว่าญาติเยอะ และก็เยอะอยู่ดี ไหนจะหลวงลุงอีก จัดที่บ้านนั่นแล ลงตัวพร้อมมูลที่สุดแล้ว

เอาล่ะ หลังจากนั้น มิ้งกิก็สังเกตการดูวิธีผูกข้อมืออย่างสนุกสนาน สนุกสนาน โดยที่มีคุณป้าคุณน้ามาจับมือจับตัวเป็นระยะ ๆ แล้วก็ชมว่า หน้าตาดีน้า ... เอ่อ คือ หนูเนี่ยก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยได้แต่ทำนิ่ง ๆ ยิ้มเล็กน้อยแล้วก็ขอบคุณค่ะ .. ขอบคุณค่ะ .. ไปตามเรื่องตามราว ทำให้รู้ว่าฉันทาคติน่ะมันมีอยู่จริง ๆ มีอยู่แบบนี้นั่นแหละ ……….. ส่วนอาซ้อของหนูน่ะหรือคะ ไม่ต่างกันค่ะ พี่ป้าน้าอาทั้งหลายกำลังกอดหลังลูบหน้าแล้วก็เล่าว่าเป็นญาติคนไหนของเจ้าสาวอยู่เลย

และแล้ว ขบวนการผูกข้อมือก็เสร็จสิ้น โดยที่มิ้งก็ได้เป็นหนึ่งในเหล่าชาวผูกข้อมือเหมือนกัน แล้วสงสัยมิ้งจะห่างไกลงานแต่งงานญาติไปหน่อย เอ ไม่ใช่สิ เป็นเพราะเป็นพี่ที่รักของหนูด้วยมัง หนูก็เลยแอบปลาบปลื้มมอยู่เหมือนกัน ฮือออ ซึ้ง .... ฮือออ ปลื้ม ...

แล้วก็ได้เวลากินเลี้ยงแล้ว เย้ ปลาอร่อยมาก ๆ เลย น้ำจิ้มปลาก็อร่อย แล้วเพราะโต๊ะเราไม่กินเนื้อกัน พ่อที่อินเลิ๊บบกะปลาอร่อยเด็ดมาก ก็ถึงขนาดเดินไปบอกเด็กว่า ขอปลามาแทนอีกตัวก็แล้วกัน แล้วเอาเนื้อนี่คืนไป โอ แล้วมิ้งก็กินหมูน้ำตกอร่อย และอะไรไปอีกมากมาย แล้วใครสักคนที่ทำหน้าเอ็นดูหนูก็ยัดข้าวแต๋นชิ้นพอดีอร่อยแบบซองมาให้ ซึ่งแน่ใจได้เลยว่ามิ้งก็แทะ ๆ ต่อด้วยความสุขใจ :D

ระหว่างที่กินนี้ เราก็ยังถ่ายรูปเล่นกันอยู่เป็นระยะ ๆ จนกระทั่งย้ายกลับไปถ่ายรูปหมู่แสนสุขด้วยกันที่หน้าบ้านอีกนั่นแหละ แล้วก็มีเรื่องขำมาก ๆ เลย คือพี่ของคุณพี่ผู้หญิงเปิดตู้เย็น แล้วก็เจอ .. ก็เจอ ... พวงมาลัยสำหรับคล้องคอเจ้าบ่าวเจ้าสาวค่ะ! ทุกคนก็อึ้งแกมขำไปโดยถ้วนหน้า ก็เล่าไปแล้วว่าเราสายกันไปมากใช่ไหมคะ พอมาถึงงาน ทุกคนก็ลืมไปเลยน่ะสิ

แต่ไม่เป็นไร .... ถ่ายกันใหม่ได้ แล้วเราก็เลยถ่ายรูปแบบที่มีออฟชั่นพิเศษคือพวงมาลัยกันอย่างขำขันอีกครั้ง ถ่ายกันหน้าบ้าน เอามุมซ้าย มุมขวา มุมโน่น นี่ นั่น ... ประเภทที่ว่า เอ้า เมื่อกี้ใครถ่ายอะไรไปกลับมาใหม่ เราจะมาถ่ายรูปแบบมีพวงมาลัยคล้องคอเจ้าบ่าวเจ้าสาวกันนะจ๊ะ เห็นประโยชน์ของกล้องดิจิตอลเมื่อเทียบกับกล้องมีฟิลม์เห็น ๆ ก็งานนี้ แต่ก็นะคะ แหม แหม เราก็เก็บกันมาหมดแหละ ก็ทุกภาพมีเบื้องหลัง มีอารมณ์ความรู้สึกซึ่งการถ่ายใหม่ทำไม่ได้นี่นา มันก็ต้องมีเวลาแบบ โอ้ ณ นาทีนั้น ณ ขนาดนั้นกันบ้าง

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา เราก็เปิดโอกาสให้คุณพี่และอาเจ๊ (แบบทางการแล้ว) ไปเปลี่ยนชุด แล้วระหว่างนั้น ชาวเราทั้งหลายก็นั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ เป็นต้นว่าแม่ของคู่บ่าวสาวก็คุยกันอย่างกลมเกลียมชื่นมื่น เป็นต้น และเพราะว่ารอนานมาก ๆ นานชนิดที่เราแอบสันนิษฐานว่าคุณพี่และคุณพี่ผู้หญิงซึ่งเมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยอาจจะหนีไปหลับแล้วก็ได้ วงสนทนาก็เลยเนือย ๆ ลง ดังนั้นมิ้งซึ่งกำลังวิชาการจัดก็เลยคว้าหนังสือบทความเศรษฐศาสตร์ออกมาอ่าน แต่ด้วยที่ไอ้เล่มนี้เป็นบทความแปลซึ่งแปลได้ห่วยมาก ห่วยจนมิ้งแทบจะปาหนังสือทิ้ง (ใช่สิคะ ใครจะบอกว่า มิ้งห่วยหนังสือไม่ดีล่ะคะ?) ประกอบกับหนืด ๆ เนือย ๆ สักพักมิ้งก็เริ่มกลิ้งตัวอยู่กับพื้นบ้านแล้วก็กระดึ๊บเลื้อย (แปลว่าขยับตัวแบบใช้ศอกลากตัวไป และแปลว่าเหมาะสมกับวัยมาก ^^”) กลับเข้าไปสู่วงสนทนาอีกครั้ง

แต่สักพัก ก็ตัดสินใจหลับตาฟัง ไม่ได้หลับนะ หลับตาเฉย ๆ ฉะนั้นจึงแอบได้ยินแม่บอกว่า ที่มิ้งหลับก็เป็นเพราะหนังสือแน่ ดูชื่อหนังสือก็น่าหลับแล้ว (อ้าว แม่ ... พูดอย่างนี้ไง แต่ก็อ๊ะ ดี มิ้งไม่มีทางขี้เกียจจนหลับไปได้อยู่แล้ว นอกจากมีเหตุปัจจัยจำเป็น – เช่นผีงูเหลือมสิง หรือเพราะหนังสือน่าเบื่อ แบบนี้ก็ว่าไปอย่าง)

(จบตอนที่หกแล้ว ตอนที่เจ็ดจะตามมาเร็วพลัน สาธุ )

+++++++++++

อ่านแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ คิดเห็นยังไง ติชมกันได้เลยนะคะ
เผื่อ “พูดไปไร้สาระ” จะได้เริ่มมีสาระได้กับเขาบ้าง ^^”
ขอบคุณค่ะ “D




 

Create Date : 01 พฤษภาคม 2549    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2549 0:28:27 น.
Counter : 636 Pageviews.  

มิ้งกิทัวร์: ภาคเลยไปเลย (5)

ก่อนลงเนื้อหา : ดีใจจัง! เราก็มาถึงตอนที่ห้ากับเขาแล้วว และเรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะมีอนาคตมากขึ้นกว่าเดิม เรื่องใด ๆ ที่เคยแต่งยาวที่สุดก็มีแค่ถึงตอนสี่เอง เรื่องไปเลยนี่มีอนาคตแล้วๆๆๆๆๆ สาธุ สาธุ ขอบคุณมิตรรักแฟนเพลงที่ถือมีดถือขวานกระตุ้นเตือนอยู่รอบตัวเป็นที่สุด!

เอาล่ะ แล้วเมื่อคุณพี่และคุณพี่ผู้หญิงมาเจอเรากำลังอลหม่านสนุกสนานสับสนกับการถวายภัตตาหารยามเช้าแล้ว ทั้งคู่ก็ตะลึงงันไปอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ด้วยเพราะบุคคลใด ๆ อันเป็นพ่อ/ แม่งานนั้นมีหน้าที่จะต้องรักษาเวลา และก็แน่ใจได้ว่าเราช้ากันไปมาก ดังนั้น สักพัก เมื่อรวบรวมสติได้ ประโยคแรกที่ดังขึ้นมาจึงเป็น ….

.....ทำอะไรกันอยู่เนี่ย..
.........ขึ้นรถได้แล้ว .... อาหารเช้าไปกินที่งานเลยก็ได้ จัดไว้แล้วว ...


และอีมิ้งก็ดันเป็นพวกที่ถูกสอนมาว่า กินข้าวเหลือหนึ่งเม็ดจะต้องแบกข้าวในนรกห้าสิบกระสอบเสียด้วย ลุงป้าน้าอาเลี้ยงหนูด้วยกุศโลบายที่ดีมากขนาดนี้มา ถึงตอนนี้หนูไม่เชื่อด้วยความแก่พรรษาแล้ว แต่นิสัยบางอย่างที่ติดตัวมาก็ยังคงติดตัวอยู่ใช่ไหมคะ เหลือบไปดูจานข้าวผัดที่ค้างอยู่ โอ เหลือประมาณทัพพีนึง ถ้าไม่กินหนูจะต้องแบกข้าวกันกี่กระสอบคะ? เอ๊ยยย.. ลืมตัว ตอนนี้โตแล้ว ไม่เชื่อเรื่องต้องไปแบกข้าวแล้ว (นอกเหนือจากเป็น discourse เพื่อด่าคนอื่นทางอ้อม!! เหอเหอ..) แต่เชื่อในเรื่องคุณค่าของทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของอาหารร! ก็เลยไม่ได้การรรร ไม่ได้การรค่า รีบกินอย่างเร็วมากท่ามกลางเสียงจิกเรียกของพระพี่สุดเลิ๊บบบ

....ไปกินที่งานเลยก็ได้ ที่งานก็มี .....

ใช่ค่ะ ที่งานมี แต่นี่ ถ้าหนูไม่กิน เค้าก็ต้องทิ้งนะคะ ตักมาแล้ว จะมาทิ้งอาหารทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้อย่างไร ในแอฟริกาเด็กอดตายปีละเท่าไหร่....
แต่อีมิ้งไม่ได้เถียงโต้พี่ชายกลับไปหรอก คุณ ๆ ที่อ่านถึงตอนนี้อาจจะคิดว่านังมิ้งเป็นน้องเป็นนุ่งที่น้ำใจงาม กตัญญู และเคารพพี่เคารพเชื้อใช่ไหมคะ? ผิดถนัดค่ะ!ขืนเอาเวลาไปเถียง ก็ไม่เหลือเวลาให้ข้าวผัดกันพอดี แล้วก็รีบเคี้ยวอยู่เสียด้วย!

... พอคว้าแก้วน้ำมาดื่ม เดี๊ยนก็คว้ากระเป๋าข้าวของและวิ่งถลาขึ้นรถตู้ด้วยความเร็วสูง แหมม.. อารมณ์รีบกินข้าวเช้าไปขึ้นรถโรงเรียน (ซึ่งก็ไม่เคยขึ้น) เชียว

งานจะจัดที่บ้านของคุณพี่ผู้หญิงของเรา และอยู่ออกนอกเมืองไปประมาณ 40 นาที ระหว่างนี้ อีเด็กบ้าพลังอย่างหนูก็คิดจะหลับหรอกนะคะ ยิ่งด้วยหนูเป็นพวกตื่นเช้าไม่ถนัดอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่ได้วิ่งไล่ล่า เอ๊ยย เริงร่าทำบุญรับอรุณแล้ว ก็ไม่รู้ว่าความอิ่มอกอิ่มใจจากการตักบาตรหรือต่อมอะดรีนาลีนหลั่งเมื่อได้ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกันแน่ที่ทำให้ไม่หลับ ง่วง ๆ หนืด ๆ แต่ก็ไม่หลับ ก็เลยเล่นคนเดียวไปในรถเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมื่อตัดสินใจว่าจะหลับนั่นแหละ ก็ได้รู้ตัวว่า มาถึงงานแล้ว อ้าว! อ้าว! อ้าว!

งานของเราจะจัดแบบเรียบง่าย นั่นก็คือเป็นการทำบุญตักบาตรร่วมกันของคู่บ่าวสาว ตามมาด้วยการผูกข้อมือ ..... แล้วพระสงฆ์ทั้งเก้ารูปก็นิมนต์มาจากวัดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบ้านนั่นเอง คุณพี่ชายเล่าว่า เมื่อเช้าด้วยความที่ไปเช้าม๊ากมาก ก็เลยกลายเป็นว่าต้องไปปลุกองค์ที่เป็นเจ้าอาวาสมา .... ระหว่างใส่บาตรนั่นเองก็สังเกตเห็นว่าหลวงลุงน้ำตารื้นเล็กน้อย และพอเสร็จสิ้นการใส่บาตร คุณพี่ของหนูก็ได้ไขความให้รู้ว่า หลวงลุงน่ะเป็นลุงของคุณพี่ผู้หญิง เห็นกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก ๆ ที่คุณพี่หญิงของเรายังวิ่งเล่นไปมา จึงไม่น่าแปลกใจที่รักใคร่ผูกพันกันมาก

และแล้วก็มาถึงการแห่ขบวนขันหมาก .... ไม่แน่ใจว่าได้เห็นหนูติดใจรักข้าวผัดมากหรือไร จึงได้ให้หนูถือพานขนมเช่นนี้ คนอื่นก็ยังถือพานหมากพลู พานข้าวตอกดอกไม้กันนี่นา นั่นแหละ นั่นแหละ แล้วพระมาร (ดา) ของหนูก็กลายเป็นต้นเสียงโห่ของขบวนตามประเพณีทันที ก็ไม่งั้นเดี๋ยวเค้าจะไม่รู้ว่ากำลังแห่ไปขอลูกสาวเขานี่นะ

โหหห ....... ฮิ้วววววววววววววววววววววว กันไปจนถึงหน้าบ้านนั่นแหละ โอ ดีนะคะ ที่ระยะทางไม่ไกล ไม่งั้นหนูอาจจะกลับมาพร้อมอาการกล่องเสียงอักเสบก็เป็นได้ …. เมื่อถึงหน้าบ้าน คุณแม่ก็เอื้อนเอ่ยวาจา .....พาลูกชายมาว่าจะมาขอลูกสาวบ้านนี้ซะหน่อย..... ได้ข่าวว่าลูกสาวบ้านนี้สวยและเก่ง… และการพูดจาประสาดอกไม้เพื่อความเป็นศรีเป็นศิริมงคลของทั้งสองฝ่ายก็ตามมาอีกมากมาย ตามมาด้วยการผ่านประตูกั้นเงิน-ทอง-นาค

แล้วซองเงินในมือพี่ชายก็ค่อยเปลี่ยนผ่านอยู่ในมือเด็ก ๆ น้อง ๆ ที่มากั้นประตูจนกระทั่งเราได้เข้าไปในบ้านนั่นแหละ นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มิ้งได้ร่วมขบวนแห่ขันหมากไปกับเขาด้วย จึงไม่แปลกใจอะไรที่จะสนุกสนานและอารมณ์ดีไม่ต่างจากน้อง ๆ หนู ๆ ที่มากั้นประตู

(จบตอนที่ห้าแล้ว ตอนหน้าจะมาเล่าเรื่องงานต่อนะคะ TT)

+++++++++++

อ่านแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ คิดเห็นยังไง ติชมกันได้เลยนะคะ
เผื่อ “พูดไปไร้สาระ” จะได้เริ่มมีสาระได้กับเขาบ้าง ^^”
ขอบคุณค่ะ “D




 

Create Date : 23 เมษายน 2549    
Last Update : 24 เมษายน 2549 15:35:15 น.
Counter : 705 Pageviews.  

มิ้งกิทัวร์: ภาคเลยไปเลย (4)

ความในใจก่อนเริ่ม: ไฟในตัวได้มอดลงไปเป็นอันมาก แล้วก็เห็นสมควรที่จะรีบ ๆ มาแต่งตอนที่สี่ก่อนที่จะหมดไฟเรื่องนี้ไป เพราะถูกตราหน้ามาแล้วว่าแต่งเรื่องไม่เที่ยวไม่เคยจบ แล้วก็ดูว่าเรื่องนี้จะซ้ำรอยเดิมอีก

โอ ... อภัยให้หนูด้วยนะคะ ถ้าเรื่องนี้จะไม่มีตอนต่อไป กับนะคะ .... มีคนดักทางตอนต่อของเรื่องได้ถูกหลายคน ก็ขอให้รับไปคนละสองแต้มสามแต้มตามอัธยาศัยค่ะ :D


เอาล่ะ เราก็ได้ลาจากแมวโมบายจากหล่มศักดิ์มาแล้ว (ชื่อสมเป็นสัตว์เลี้ยงร้านขายมือถือมากน้องเหมียว ดีนะ ตอนที่เธอมาอยู่เจ้าของร้านเปลี่ยนจากขายมอเตอร์ไซด์มาเป็นมือถือแล้ว ไม่งั้นได้ชื่อว่า คาวาฯ เหมือนลูกชายเจ้าของร้านแหง๋แซะ!!) หลังจากนี้เราก็ควรจะตัด ๆ เรื่องให้เข้าสู่เลยเสียที เรื่องจะได้คืบหน้าไปเร็ว ๆ

ถึงเลย แวะเหยียดแข้งเหยียดขาโดยคุณป๋าขากินกาแฟที่ร้านกาแฟชงซึ่งไม่อร่อยแม้แต่น้อย แถมเด็กคนขายก็ยังติดละครสลับวิ่งไปวิ่งมาระหว่างทีวีกับเตาไฟอีกตังหาก ดีนะ ที่ไม่ได้สั่งนมร้อนไป ไม่งั้นอาจจะต้องลิ้นเพี้ยนเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้ นั่นแหละ ... ตัดตอนมาแร้น เราก็มาถึงโรงแรมสักที

เย้ ๆ พี่สุดที่เลิ๊บบเรามารอแล้วอย่างโล่งอกโล่งใจที่ในที่สุดพวกเราก็มากันสักที ... แต่เนื่องจากมาถึงดึกเหลือเกิน กับเพราะต้องการไปพิธีแต่งงานคุณพี่วันพรุ่งนี้ได้ไว ๆ เราจะข้ามรายละเอียดไปล่ะ
..........

วันรุ่งขึ้น อีมิ้งตื่นมาด้วยความตระหนกตกใจ กรี๊ดดด … ทำไมปวดขาแบบนี้ หรือว่าป้าจะเกร็งขาตอนนอนยาวสามวาในรถตู้คะ? นัดกันไว้ตอนเจ็ดโมง แล้วแม้ว่าหนูจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ไก่โห่ตีห้าครึ่ง (ไปทำงานยังไม่เคยตื่นเช้าแบบนี้เล๊ยยย แง๊) แต่เพราะความตื่นตระหนกนั่งเอาน้ำมันนวดขาและสระผม ประกอบกับรอคุณพระมาร(ดา) กว่าจะลงมากินข้าวก็เกือบเจ็ดโมงง แล้วก็นัดออกจากโรงแรมเจ็ดโมงเสียด้วย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง และมิ้งก็ต้องเริ่มวันใหม่อย่างสดใสด้วยอาหารนะคะ ... อ-า-ห-า-ร เท่านั้น ดังนั้นแล้ว มิ้งก็รีบทำท่ากลมกลืนเหมือนตื่นและลงมาตั้งแต่หกโมงไป แล้วนะคะ ตอนแรกหนูก็นึกว่าจะลงมาช้าที่สุดแล้ว แต่ แต่ แต่.. ลงมาเป็นคนแรก!! ทุกคนถูกงูเหลือมมมสิงไปหมดแล้ว คณะนี้ยังไม่ใครลงมาเล๊ยย..

อิฉันซึ่งทำท่ากลมกลืนก็รีบพับอาการตระหนักแบบเจ๊กตื่นไฟเก็บลงกระเป๋าที่ถือ แล้วก็จัดแจงเปลี่ยนท่าทางท่าทีเป็นคุณนายชมสวนทันที นั่งโต๊ะริมหน้าต่างดีกว่า ดูเหมาะกับยามเช้าดี .. หลังจากเริ่มมื้ออาหารด้วยผักสดกับไส้กรอกไปแล้ว มิ้งก็กำลังจะเจี๊ยะข้าวผัดต่อตามติด แต่แล้ววว ทันใด หนูก็เห็นพระสองรูปกำลังบิณฑบาตพอดี

“แม่ ... พระกำลังบิณฑบาตล่ะ” นังเด็กค้างคาวนกฮูกซึ่งไม่ได้เห็นพระยามเช้ามานานกรี๊ดกร๊าดขึ้น ณ บัดดล

แม่กับพ่อ ซึ่งนั่งอยู่อีกข้างก็ เหรอ เหรอ.. ขึ้นมา แล้วเพราะอยู่อีกฝั่งฟากของถนน เราก็นึกว่าพระท่านจะเดินผ่านไป แต่แล้วท่านก็เดินเข้ามาใกล้จนถึงระยะสบตากัน ... แล้วความชอบทำบุญของคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพก็พลุ่งพล่านขึ้นนน

“เอาอะไรใส่บาตรดี? เอาอะไรใส่บาตรดี?” แม่กรีดมาด้วยอาการติดจะลน ก็เรากำลังบุฟเฟท์อาหารเช้าอยู่ในโรงแรมนะคะ ไม่ใช่ตลาดสด จะได้ไปหาซื้อบัวบูชา ซื้อข้าวเหนียวหน้าสังขยา หรือแม้แต่แกงหน่อไม้ไก่ได้อย่างไร

“เอาครัวซองใส่บาตรไหม ดูท่าทางจะใช้ได้นะ” แม่ที่สมองทำงานยิ่งกว่าจรวดก็รีบคิดขึ้นมา แล้วก็ให้พระป๋าไปตักครัวซองมาทันที

ระหว่างนี้ พระสองรูปก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ อิฉันซึ่งกลายเป็นเจ๊กตื่นไฟอีกรอบก็ได้ลืมไปเลยว่าปวดขามหาศาลอยู่ รีบพุ่งตัวไปช่วยคุณป๋าตักขนมปังโรลและครัวซองด้วยทันทียิ่งกว่าตอนขนตู้เย็นและตุ่ม พอเริ่มพูนเต็มจานขนมปัง คุณป๋าก็รับไม้ผลัด แล้วเร่งเครื่องไปที่พระ ... ซึ่งพระมารดาได้ไปเรียกไว้ก่อนแล้ว

พนักงานก็คงงงที่อีครอบครัวนี้ออกอากาศเล่นไล่จับวิ่งวุ่นวายไปมารับอรุณกันอลหม่าน เพราะซักแป๊บ หนูก็นึกออกว่าน่าจะเอาข้าวผัดไปถวาย ท่านน่าจะฉันได้ง่ายกว่าขนมปังและครัวซอง (ซึ่ง เอ มานึก ๆ ดู ป๋าเอาแยมถวายไปด้วยไหมว้า?) ก็เลยรีบตัดข้าวผัดใส่ถ้วยแปะหน้าด้วยไส้กรอก ได้สองถ้วย แล้วก็เร่งฝีเท้าไปหาคุณป๋า แต่ด้วยความที่ไม่อยากตัดออกด้านหน้าล๊อบบี้ อีเว่อร์อย่างมิ้งก็เลยใช้วิธีเปิดหน้าต่าง direct line กันไปเลย แล้วก็เรียกพ่อมารับของไป หลังจากนั้น สมองก็นึกออกแล้วก็เลยพุ่งไปตักผลไม้ต่อไป ... แหม ถ้ามีเวลามากกว่านี้อาจจะซิ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่ตลาดเพื่อซื้อดอกบัวบูชาพระ หรือมาลัยทันนะเนี่ย เสียดาย ๆ ... (ฮ่าฮ่า บ้าไปแล้ว)

อย่างไรก็ตาม ต้องขออนุโมทนาคุณพี่พนักงานในโรงแรมเป็นอย่างยิ่งจริง ๆ ตอนแรกก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะโวยวายที่เอาของไปตักบาตร (เฉยเลย) แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร สาธุ ๆๆ

แล้วพี่ชายกับคุณพี่ผู้หญิงที่ตื่นไปโป๊ะหน้าและแต่งตัวตั้งแต่เช้าก็กลับมาพอดี ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งคู่จะพิศวงงงงวยกับความอลหม่านยามเช้าของสามชีวิตจอมเว่อร์ไปเพียงใด ……….

(จบตอนที่สี่แล้ว ท่าทางจะอีกไกลล่ะน้อ TT)

+++++++++++

อ่านแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ คิดเห็นยังไง ติชมกันได้เลยนะคะ
เผื่อ “พูดไปไร้สาระ” จะได้เริ่มมีสาระได้กับเขาบ้าง ^^”
ขอบคุณค่ะ “D




 

Create Date : 10 เมษายน 2549    
Last Update : 11 เมษายน 2549 15:46:50 น.
Counter : 629 Pageviews.  

มิ้งกิทัวร์: ภาคเลยไปเลย (3)

เกริ่นก่อนเล่า
โอ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีประชาชนบุคคลต่าง ๆ ประทับใจตื้นตันไปกับเรื่องยาวหลายตอนจบเช่นนี้ได้ ด้วยผลบุญและอานิสงค์ของการติดตามและสงสัยใคร่รู้เช่นนี้ก็ดลบันดาลให้ดิฉันเกิดความกระตือรืนร้นพวยพุ่งยิ่งกว่าน้ำเดือดร้อยยี่สิบองศา จนมาแต่งต่อตอนที่สามได้

.......... สาธุ สู้ ๆ นะค้า คนอ่านขา ถ้าไม่จบจะได้ไม่เสียใจ (และไม่ประณามหยามเหยียดเจ้าของบล็อก)


เอาล่ะ ... เมื่องูเหลือมสิงแล้วมิ้งที่น่าสงสารใสซื่อและที่สำคัญจิตอ่อนก็หลับไป จนกระทั่งเมื่อรถขึ้นเข้ามาในเมืองเนี่ยแหละ คาดว่าวิญญาณงูเฮี้ยนแผลงฤทธิ์มากไม่ได้ในที่ชุมชนที่ไร้ป่า มิ้งก็ตื่นขึ้นมาได้ โอ พระป๋าและคุณแม่กำลังจะหาอาหารเย็นรับประทานกันอยู่นี่เอง หรือ อ๊ะ .... เสียงบอกทิศทางและหารือกับคนขับทำให้หนูตื่นนะคะ?

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราอยู่ที่เพชรบูรณ์กันแล้ว และด้วยความเคยชิน หนูที่เพิ่งลืมตาตื่นก็ได้หยิบเอามือถือขึ้นมาส่องดู ไม่มีมิสคอล ไม่มีข้อความใด เฮ้อ ... โล่งอก แต่อ๊ะ .. กะ กะ กรี๊ดดด.... แบตฯ กำลังจะหมดนี่คะ ตาหนูฝาดไปหรือเปล่า และซ้ำร้าย เมื่อเห็นแบตเตอรี่ที่ใกล้จะลาโลก หนูก็เกิดดวงตาเห็นธรรมทะลุแจ้งถึงบางสิ่ง เพราะหนูมัวแต่สนใจและให้คุณค่ากับถุงเครื่องนอนราชนิกูลเกินเลยไปหน่อย

ก็ปรากฏว่า ........ หนูลืมเอาที่ชาร์ตแบตฯม้าาา............. กรี๊ดดดด แล้วหนูก็ไม่ได้ใช้โนเกียเสียด้วย จะไปหาหยิบยืมใครดีล่ะคะ หันไปทำหน้าตื่นใส่พ่อกับแม่สักพัก ทั้งคู่ก็ทำหน้าตะลึงสวนกลับมา พร้อมกับบอกว่า ไม่ได้เอาที่ชาร์ตฯมาเหมือนกัน แล้วคุณทั้งสองก็ใช้ซัมซุงเสียด้วย

.... พ่อแม่ที่รักขา ครอบครัวที่รักขา ชาวเราจะทำอย่างไรได้ ต้องแสวงหาเสาะซื้อที่ชาร์ตแบตฯ จากร้านมือถือแล้วนะคะ

กินข้าวกันก่อนก็แล้วกัน กองทัพเดินด้วยท้องนี่นา ... แล้วแม่ซึ่งกลายมาเป็นหลักชัยของตระกูลก็ได้บอกให้พี่วีระคนขับแสนดีตระเวนหาอาหารรับประทาน แต่เนื่องจากคิดอะไรไม่ออกกัน และเนื่องจากเราออกจากกรุงเทพฯ ช้ากันมาก เห็นสมควรต้องทำเวลา จึงตกลงจะหาร้านโต้รุ่งใส่ท้องกัน

... ราดหน้าไม่เอา ... ก๊วยเตี๋ยวเนื้อเราไม่กิน .... ข้าวต้มก็เบื่อ ... แล้วก็ลงท้ายที่แผงร้านตามสั่งที่ขนาบไปด้วยร้านก๊วยเตี๋ยวหมูแดง ขนาบจริง ๆ นะ ร้านโต้รุ่งอยู่ตรงกลางแล้วด้านซ้ายขวาก็เป็นร้านก๊วยเตี๋ยวหมูแดงที่ร้านหน้าตาเหมือนกันมาก ชนิดที่ว่ามีอาหารเหมือนกัน และก็มีป้ายลักษณะเดียวกันเรียงลำดับอาหารเหมือนกันเป๊ะ ๆ จะว่าเป็นแฟรนไชน์ก็ไม่น่าจะติดกันแบบมีร้านตามสั่งคั่นอย่างนี้นี่คะ

เพราะความที่หนูเพิ่งตื่นยังงง ๆ และหลงทาง คิดอะไรไม่ออกก็เลยสั่งเกาเหลาหมูแดงกิน แต่นะคะ.... ปัญหาชีวิตหนักอกมาเยือนเราแล้ว งั้นจะสั่งร้านไหนดีล่ะคะ ซ้ายหรือขวาดี ถึงแม้จะเป็นของแบบเดียวกัน เป็นแฟรนไชน์เหมือนกัน คนทำก็คนละคนใช่ไหมคะ (ยกเว้นแต่พี่คนขายบะหมี่แกจะวิ่งไปวิ่งมาสับกันสองร้าน ซ้อมไว้เวลาสับราง) แล้วไอ้คนทำคนละคนเนี่ย มันมีผลนะคะ หนูไม่ได้เวอร์จริง ๆ แต่แค่การสะบัดมือเวลาลวกเส้นก็ทำให้รสชาติและความอร่อยของบะหมี่แตกต่างกันได้แล้ว เอายังไงดีคะ อีมิ้งขา?

แต่เพราะความง่วงและขี้เกียจ (งูเหลือมยังมีพิษอยู่จาง ๆ) ก็เลยใช้วิธีสั่งเอาร้านที่มันใกล้ตัวหนูที่สุดก็แล้วกัน แต่ก็นะ พ่อกินคะน้ากะเพราหมูกรอบบวกไข่เจียว น่ากิ๊นน่ากินนน รู้อย่างนี้พยายามใช้ให้สมองสั่งงานทำงานมากกว่ากระดูกไขสันหลังก็ดี ก็เลยใช้วิธีอ้อน ๆๆ ตอดขออาหารจานพ่อมากินเป็นระยะ ๆ ยิ่งกว่าลูกหมาเดือนสอง แหม ..... ก็หนูต้องออกมาเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์นี่คะ กำหนด campaign ไว้แล้วนี่

กินเสร็จแล้วก็อยากกินวุ้นน้ำแข็งขึ้นมา อยากกิน อยากกิน .. แต่ในละแวกนั้นไม่มีร้านอะไรเลย ชีวิตรันทดเสียจริงหนอ ไปร้านมือถือซื้อเอาที่ชาร์ตแบตฯ มาก่อนก็ได้วะ พรุ่งนี้มีแนวโน้มถูกโทรจิกตามจากที่ทำงานแหง๋ ก็ที่ถูกปล่อยให้มาต่างจังหวัดได้ ก็เพราะมีเงื่อนไขเป็นตายอย่างหนึ่งว่าต้องเปิดมือถือตลอดด้วยนี่นา (อ๊ะ ถ้างั้นให้หนูทำแบบศรีธนญชัย เปิดมือถือไว้ แต่ไม่รับ ได้ไหมคะ หะเหอเหอเหอ...)

พอเจอร้านมือถือ พระบิดา (หรือที่เรียกกันว่าคุณป๋า) ก็พุ่งตัวเข้าไปร้าน โดยมีอาเจ๊และอีมิ้งเยื้อนตามไป ตอนแรกก็คิดว่าจะถามคนขายเป็นงานเป็นการดีหรอก แต่แล้วก็เจอสิ่งล่อลวงหลอกล่อความสนใจที่เรียกว่า “แมว” ไปแทน

ดังนั้น อีมิ้งก็พุ่งตัวทะยานไปหาน้องแมว แล้วก็กรี๊ดกร๊าดกร๊าดกรี๊ดอยู่อย่างสนุกสนาน เมื่อได้ลูบไล้ลุ่มหลงคุณแมวและพูดจารักใคร่กันประหนึ่งอยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตแล้ว อีเด็กสมาธิสั้นและสัมปชัญญะต่ำก็ลืมไปทันทีว่าเข้าร้านมาทำอะไร

........ จนกระทั่งเดินไปดูขนมในร้าน (คือร้านนี้คอมโบ้มโหระทึกมากนอกจากอุปกรณ์มือถือยังมีชั้นขนมของดีของฝากจากเพชรบูรณ์และตู้ขายเครื่องดื่มอยู่อีกมุมอีก) และได้กระป๋องท๊อฟฟี่มะขามกลับมาให้พ่อแล้ว ก็เพิ่งนึกได้ว่า อ้าว เดี๊ยนมาซื้อที่ชาร์ตแบตฯ นี่คะ

แต่ก็นั่นแหละ เวลาที่ได้ใช้ไปกับแมวก็ทำให้พระป๋าได้เจรจาผูกเสี่ยวกับคุณคนขายไปเรียบร้อย ถึงขนาดที่ว่าพอมิ้งจะซื้อน้ำกระป๋องเพิ่ม คุณน้าเธอก็ให้มารับประทานฟรี ๆ เป็นอภินันทนาการเลยทีเดียว (เวลล์ (well).. อาจจะเว่อร์ไปสักนิด แต่จริง ๆ ก็คือซื้อที่ชาร์ตแบตฯ ไปหลายอันด้วยแหละ)

(แง๊บบ ตอนที่ 3 ก็ยังเพิ่งกินข้าวเย็นเสร็จ อะไรกันคะเมื่อไหร่จะจบเนี่ยยยย)

+++++++
อ่านแล้ว ชอบ-ไม่ชอบ คิดเห็นยังไง ติชมกันได้เลยนะคะ
เผื่อ “พูดไปไร้สาระ” จะได้เริ่มมีสาระได้กับเขาบ้าง ^^”
ขอบคุณค่ะ “D




 

Create Date : 05 เมษายน 2549    
Last Update : 5 เมษายน 2549 4:55:51 น.
Counter : 644 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  

หมาเลี้ยงแกะ
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




"มากระโดดโลดเต้นสนุกสนานไร้สาระไปกับหมาเลี้ยงแกะไฮเปอร์ที่ขยายสาขามาจาก blogspot กัน!"

หลงเข้ามาใหม่? คิดอะไรไม่ออก? แวะไปดูโครงสร้างบล็อกและการอัพเดทเรื่องได้เลยนะคะ




[* เรื่องล่าสุด ]


เล่าล่าสุด 2009
ทางแยก
ดื่มน้ำไหมแมว
วาดวัว



Friends' blogs
[Add หมาเลี้ยงแกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.