^0^ BiEnVeNuE ^0^

ตำนานพ่อมด

กล่าวถึงพ่อมด.. ในยุคอัศวินโต๊ะกลมถ้าขาดเมอร์ลิน กษัตริย์อาร์เธอร์ ก็ขึ้นครองบัลลังก์ของอังกฤษได้ยาก

เรื่องของเมอร์ลิน ในวงสังคมชั้นสูงร่ำลือกันว่า เมอร์ลินเป็นลูกของนางชีที่ได้เสียกับปีศาจ และเนื่องจากทั้งพ่อและแม่ต่าง

ก็มีเวทมนต์คาถาด้วยกันทั้งคู่ จึงทำให้เมอร์ลินมีอำนาจวิเศษอยู่ในตัว แต่เขาจะใช้มันได้ก็แต่เฉพาะในการประกอบคุณงามความ

ดีเท่านั้น



โดยธรรมชาติของพ่อมดจะต้องคอยระมัดระวังตัวเสมอ ไม่ให้ใครจำลองรูปลักษณ์ของตนได้ เพื่อป้องกันไม่ให้

ศัตรูแอบขโมยเวทมนต์ของเขานั่นเอง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีใครรู้จักรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของเขา แต่ส่วนใหญ่ก็เชื่อกันว่าเป็นชาย

วัยกลางคนไว้เคราดกหนา ตาลึกมีประกายกล้า สวมชุดพ่อมดมีหมวกยอดแหลม และเสื้อคลุมพลิ้วลมที่ปักสัญลักษณ์แห่งจักรราศี

เมอร์ลินมีพลังอำนาจเหนือโลหะ น้ำ และหิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความสามารถที่จะเอาดาบปักลงไปในทั่งตีเหล็ก ทำให้โม่หินลอยน้ำ

ควบคุมการขึ้นลงของน้ำทะเล และสั่งให้กำแพงปราสาท (Camelot) สลัดศัตรูที่กำลังปีนขึ้นไปตกลงมาได้ นอกจากนั้นเขายังมี

พรสวรรค์ที่สามารถล่วงรู้อนาคต แต่น่าเสียดาย ที่กษัตริย์อาร์เธอร์ไม่เคยเชื่อคำทำนายของเขาเลย



อย่างไรก็ตาม อำนาจเวทมนตร์ของเมอร์ลินไม่สามรถคุ้มครองเขาให้พ้นจากจุดอ่อนของมนุษย์ได้ เขาตกหลุมเสน่ห์

ของเทพีแห่งทะเลสาบที่มีนามว่า นิเมียน (Nemeine) นางออดอ้อนให้เขาสอนเวทมนตร์คาถาแก่นางจนหมดสิ้น ครั้นพอนางเกิด

เบื่อหน่ายเมอร์ลินขึ้นมา นางก็ใช้เวทมนตร์ที่เมอร์ลินสอนให้ สาปเขาเข้าไปกักขังไว้ในต้นโอ๊ก

คนที่เดินทางรอนแรมเข้าไปในป่า บางครั้งจะตกอกตกใจเมื่อเห็นใบหน้าอันซึมเศร้าของชายคนหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาบน

เปลือกต้นโอ๊ก นั่นก็คือเมอร์ลิน แต่เมอร์ลินก็ไม่สามารถออกมาทำร้ายใครได้ เขาติดอยู่ในต้นโอ๊กตราบนานเท่านานตลอดไป จนกว่า

นิเมียนจะยอมถอนคำสาปนั่นเอง…





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550   
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 22:06:21 น.   
Counter : 1353 Pageviews.  

ตำนานแม่มด

แม่มด ดำ-ขาว

เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักแม่มดกันดี ภาพลักษณ์ของแม่มดที่ติดตาเราดี มักเป็นหญิงแก่ แต่งกายด้วยชุดดำ มีความน่ากลัวและลี้ลับอยู่ในตัวเอง ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป้นผู้หญิงชนิดพิเศษ สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถา ขี่ไม้กวาดเหาะไปมาได้ แถมยังแบ่งแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอก แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่เจ้าประคุณแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก



แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลย



ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ ( Supreme being ) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม



นี่แหละ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกันครับ พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน พ่อมดเฒ่าที่ปรึกษาของพระเจ้าอาร์เธอนั่นเอง

คำว่า \" Witch \" หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า \" wit \" ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง -To know หรือหยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ ( ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต



แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ - ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอก แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง



ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าว แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง เข้าข่ายเดียวกับบริษัทผลิตอาวุธสงครามครับ มีหน้าที่ผลิต ส่วนจะเอาไปฆ่าใครบ้าง มันก็เรื่องของคุณ



แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดที่ว่ากิ๊ก สุวัจนีชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆนะครับ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ



มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่ทุเรศและทรมานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะว่ากันตามหลักของชาวพุทธล่ะก็ คงเรียกได้ว่ากรรมตามทันมั๊งคะ เพราะทำร้ายชาวบ้านเค้าไว้มาเหลือเกิน



การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเหี่ยวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต( ที่ร้ายๆ ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็นสัตว์ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย



ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าดังภาพประกอบ ว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด

แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คนครับ เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ.) วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายวึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีนค่ะ



ตำนานของชาวบุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์



แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนักครับ สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ครับ ยาที่ว่าคือขนเพชรของมัมมี่ ( ไปเอามาได้ยังไงฟะ? ) รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย



กล่าวกันไปแล้วในตอนต้น ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ \" เชือด \" เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น



ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักซานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย



เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า \" สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต \" -Thou shlt not a suffer a witch to live

ก็เวรน่ะสิครับคราวนี้ มีการเฆี่ยนประจาน การทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆที่จะนึกออกได้ ใครที่ทนการทรมานไม่ไหวก็จำต้องรับสารภาพ เพื่อจะได้ตายด้วยวิธีที่ไม่ทรมานนั่นคือการเผาทั้งเป็น ! !






 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550   
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 22:02:47 น.   
Counter : 622 Pageviews.  

ธรรมเนียมโยนหัวโยนก้อย

ในสมัยโบราณคนเชื่อว่าการตัดสินใจสำคัญใด ๆ ในชีวิตควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระผู้เป็นเจ้า คนโบราณจึงคิดค้นรูปแบบต่าง ๆ ในการเสี่ยงทายเพื่อวอนขอคำตอบจากพระเจ้าว่า \"ใช่\" หรือ \"ไม่ใช่\" ต่อคำถามสำคัญ


ถึงแม้ว่าเหรียญซึ่งเหมาะมากกับการตอบใช่/ไม่ใช่ ทำขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๐ ก่อนคริสตกาล โดยชาวลิเดียน (the Lydians) เหรียญยุคเริ่มแรกนี้ก็ไม่ได้ใช้เพื่อการตัดสินใจแต่อย่างใด

จนอีก ๙๐๐ ปีต่อมา...


จนอีก ๙๐๐ ปีต่อมาจักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์ (๑๐๒-๔๔ ก่อนคริสตกาล) คือผู้ริเริ่มให้เกิดธรรมเนียมการโยนหัวโยนก้อยขึ้น เนื่องจากหัวของซีซาร์ปรากฏอยู่บนด้านหนึ่งของเหรียญโรมันทุกเหรียญ ผลที่ตามมาก็คือในการโยนเหรียญเสี่ยงทายเหรียญด้าน \"หัว\" ได้กลายเป็นตัวตัดสินว่าใครถูกใครผิดใครเป็นฝ่ายชนะในข้อขัดแย้งโต้เถียงใด ๆ ทั้งยังเป็นตัวบ่งชี้คำตอบว่า \"ใช่\" จากพระผู้เป็นเจ้า


ธรรมเนียมการโยนเหรียญสะท้อนความเคารพของผู้คนในสมัยนั้นต่อซีซาร์ เรื่องสำคัญที่ต้องฟ้องร้องกันในศาลอันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สิน ที่ดิน การแต่งงาน ความผิดทางอาญา ล้วนตกลงกันได้โดยอาศัยการโยนหัวโยนก้อย ถ้าเหรียญออกด้านหัวของซีซาร์ แสดงว่า จักรพรรดิแม้มิได้อยู่ ณ ที่นั้น ทรงเห็นด้วยกับการตัดสินใจนั้น ๆ และไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจเป็นอย่างอื่น





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550   
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 21:59:27 น.   
Counter : 630 Pageviews.  

โรคระบาด \'\'มรณะดำ\'\' คือโรคอะไร ?

ช่วงระหว่างยุคกลางโรคระบาดร้ายแรงลุกลามไปทั่วทวีปยุโรป ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔

ฆ่าผู้คนตายไปเป็นจำนวนมหาศาลถึง ๒๕ ล้านคน โรคร้ายแรงนี้เรียกกันว่า มรณะดำ หรือ \"the Black Death\"

เนื่องจากผู้ป่วยด้วยโรคนี้ตัวจะดำคล้ำ ชื่ออื่นของโรคนี้คือ กาฬโรค (bubonic plague) และโรคระบาดตะวันออก

(oriental plague) เพราะเชื้อโรคแพร่มาจากทวีปเอเชีย โดยมากับเรือที่วิ่งล่องจากทะเลดำมายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน


โรคร้ายนี้แพร่เชื้อติดต่อกันอย่างรวดเร็วจนคนตายกันทั้งหมู่บ้าน บางข้อมูลชี้ว่า หนึ่งในสามของประชากรชาวอังกฤษ

ตายด้วยโรคนี้ภายในช่วงเวลาเพียง ๒ ปี (ในสมัยนั้นประเทศอังกฤษมีประชากรประมาณ ๓ ล้านคน)

ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของทวีปเอเชียและยุโรปพากันล้มตายลงด้วยโรคมรณะดำนี้เช่นกัน



ในยุคนั้นถนนหนทางและบ้านเรือนไม่ถูกสุขอนามัย ไม่มีระบบระบายน้ำและของเสีย แม้ว่าโรคระบาดเคยเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ

แต่ มรณะดำ เป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โรคเริ่มต้นจากหนูซึ่งติดเชื้อแล้วหมัดจากหนู

ไปกัดหนูตัวอื่นและกัดคนด้วย เป็นผลให้เชื้อโรคแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว นักเขียนในสมัยนั้นเขียนเล่าไว้ว่า

ฝูงวัวเดินเร่ร่อนไปทั่วโดยไม่มีเจ้าของดูแล พืชผลเน่าเสียคาไร่นาไม่มีใครเก็บเกี่ยว และพระที่เหลือรอดชีวิตอยู่มีน้อยจนกระทั่งพระสันตะปาปาต้องประทานอนุญาตให้ฆราวาสสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาให้แก่ผู้ตายได้



ในช่วงเวลา ๓๐๐ ปีต่อมาโรคระบาดเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ แต่ไม่เคยร้ายแรงรุนแรงเท่าโรคระบาด มรณะดำ อีกเลย เมื่อบ้านเมืองสะอาดมีสุขอนามัยเพิ่มขึ้นและมีการจำกัดการแพร่พันธุ์ของหนู โรคระบาดก็ค่อย ๆ หมดไปจากยุโรปเมื่อช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550   
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 21:50:20 น.   
Counter : 446 Pageviews.  

โลกนี้มีกี่ภาษา??

จากการสำรวจ พบว่าทั่วโลกมีภาษาแตกต่างกันถึง ๕,๐๐๐ ภาษา ภาษาที่ใช้กัน มากที่สุดในโลกคือ

ภาษาจีน มีคนพูดภาษานี้ ถึงพันล้านคนเศษ รองลงมาคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาฮินดี



ที่ปาปัวนิวกินีประเทศเดียว มีภาษาพื้นเมือง อยู่ประมาณ ๗๐๐ ภาษา ในประเทศอินเดีย

มีภาษาแตกต่างกัน อย่างน้อย ๘๔๕ ภาษา เฉพาะที่รัฐอัสสัม ซึ่งอยู่ทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ

ของอินเดีย ก็มีภาษาพูด นับร้อยภาษาแล้ว



\"ซองคำถาม\" เคยรู้มาว่า มีผู้พยายาม สร้างภาษาโลก (world language) ที่คนทั้งโลก

สามารถสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องมี กำแพงภาษา นั่นคือ ภาษาเอสเพอแรนโต (Esperanto)

ผู้คิดค้นคือ นักภาษาศาสตร์ และแพทย์ชาวรัสเซีย ชื่อ ดร. แอล. ซาเมนฮอป

แต่ความตั้งใจของเขา ไม่บรรลุผล





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2550   
Last Update : 4 มิถุนายน 2550 21:48:49 น.   
Counter : 1468 Pageviews.  

1  2  3  

Milintaria
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ยิ้มให้ความผิดหวัง....อย่างคนคุ้นเคย
ยิ้มให้ความมืดมน อย่างคนรู้จักกัน
นี่คือเพื่อน เก่า ที่เรา ต้องเจอ
เจอกันเมื่อนานแสนนาน

ร้องไห้ให้กับมัน ช่างดูง่ายดาย
เหมือนมันไม่ท้าทาย เท่า เรายิ้มให้มัน
สุขก็ยิ้มได้ เจ็บก็ยิ้ม ได้
ให้ราคามันเท่ากัน ยิ้มให้มันก็ พอ.....
[Add Milintaria's blog to your web]