All Blog
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 12



อนามิกากำลังเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋าอยู่ในห้องของณภัทร โดยมีศรีนั่งอยู่ไม่ห่าง เพราะต้องการจะสอดรู้แต่ไม่คิดจะช่วยอะไร

“เกิดเรื่องอะไรเหรอ เธอไปทำอะไรเข้า คุณรัตน์ถึงไล่ออกจากบ้าน” ศรีถามอย่างอยากรู้
อนามิกานิ่งเงียบไม่ตอบคำ
“นี่..ฉันถามน่ะ ได้ยินมั้ย”
อนามิกาเสียงเข้มใส่ “ได้ยิน แต่ไม่อยากตอบ มีอะไรมั้ย”
“นี่..ถือดียังไงมาตวาดใส่ฉันยะ”
“แล้วเธอล่ะเป็นใคร ถึงกล้ามาพูดกับฉันแบบนี้”
“ฉันจะเป็นใครมันก็แค่นั้น ถ้าลองว่าคุณรัตน์ไล่เธอออกเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ ฉันคงไม่ต้องเกรงใจเธอแล้วหละ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นมาที่ประตู ศรีหันไปที่ต้นเสียง
“คุณณดล” ศรีอุทาน
ณดลกำลังยืนอยู่ที่ประตู แล้วเขาก็เดินเข้ามา ศรีก้มหน้าเดินหลบฉากออกจากห้องไปทันที ณดลเดินมายืนหยุดนิ่งมองอนามิกาอย่างโกรธขึ้ง จนอนามิการับรู้ถึงรังสีอำมหิตของเขา อนามิกาเก็บของจนเสร็จรูดซิปกระเป๋า แล้วหันมายืนพูดกับณดล
“คุณคงโกรธฉันมากสินะ แต่ก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนั้น...”
ณดลเฉยเมยไม่ตอบอะไร สักครู่อนามิกาจึงเอ่ยขึ้นอีก
“ฉันยอมรับว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ หวังว่าวันนึงคุณจะเข้าใจ และหายโกรธฉัน”
“หายโกรธน่ะ ไม่ยากหรอกนะ แต่ถ้าจะให้เรียกความรู้สึกดีๆ กับความไว้ใจกลับมา ฉันว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละ” ณดลพูด
อนามิกาสะอึกและเสียใจที่ณดลพูดเหมือนจะตัดขาดจากเธอเช่นนั้น
“รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว”
อนามิการู้สึกเจ็บแปลบในใจ เธอพยายามกลั้นน้ำตาและระงับความรู้สึกเสียใจเอาไว้

ศรีใช้สองมือหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของของอนามิกาเดินผ่านกอบชัยกับพนารัตน์ที่นั่งที่เก้าอี้รับแขกซึ่งมีณภัทรนั่งอยู่ด้วย
ศรีเหลียวหลังมาพูดกับอนามิกาที่เดินตามมา “ฉันเอาไปวางไว้ที่หน้าบ้านเลยนะ”
ศรีเดินออกไปหน้าบ้าน อนามิกาเดินตามมา ณดลเดินตามโดยรักษาระยะห่างจากอนามิกา อนามิกาวางกระเป๋าสะพายใบโตลงกับพื้น แล้วคลานเข่าไปกราบแทบตักของกอบชัย กอบชัยมองเมินเฉย
“ฉันขออนุญาตกราบลาคุณผู้ชายนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ”
แล้วอนามิกาก็ขยับมากราบพนารัตน์
“ฉันลานะคะคุณผู้หญิง กราบขอบพระคุณที่เมตตาค่ะ”
พนารัตน์พูดอย่างรำคาญ “พูดจบแล้วก็รีบออกไปจากบ้านฉันไป๊”
“คุณแม่...อะนาเค้าก็กราบลาดีๆ นะครับ” ณภัทรท้วง
“ก็ฉันไม่อยากพูดดีด้วยน่ะ มีอะไรมั้ย ทีหน้าทีหลังจะเลือกคบหาเพื่อนก็ดูดีๆ หน่อย อย่าคบกับผู้หญิงเหลวไหล ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนี้” พนารัตน์ว่าเป็นชุด
“แต่อะนาไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่คุณแม่พูดนะครับ” ณภัทรพูด
“ทำไมจะไม่ใช่ มากินนอนห้องเดียวกับผู้ชายได้เป็นเดือน พ่อแม่ไม่ห่วงบ้างรึไงที่ทำตัวแย่ๆ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวแบบนี้”
อนามิกาอึ้ง เธอได้แต่ทนรับความเจ็บปวดที่โดนพนารัตน์ดุด่าและดูถูก ณดลมองอนามิกาด้วยท่าทีที่ดูเฉยเมยแต่ลึกๆ ก็ยังเห็นใจอนามิกาที่โดนดุด่าแบบนี้
ณดลพูดกับอนามิกา “ฉันว่าเธอรีบออกไปดีกว่า”
“ค่ะ...ขอบคุณทุกคน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ”
อนามิกาสบตากับณดลอย่างเศร้าๆ ณดลเองก็มองตอบด้วยใบหน้าที่เหมือนโกรธขึ้งแต่ในใจก็เศร้าไม่ต่างกัน

อนามิกาเดินหิ้วกระเป๋าของเธอออกมา โดยมีศรีช่วยถือกระเป๋าออกมาวางกองที่หน้ารั้ว
“ขอบคุณนะศรี ขอให้โชคดีนะ” อนามิกาหันไปพูด
“อวยพรตัวเธอเองเถอะ ฉันน่ะโชคดีอยู่แล้ว อย่างน้อยฉันก็ยังมีที่ซุกหัวนอนในบ้านหลังนี้” ศรีตอบ
อนามิกาถอนใจอย่างเซ็งๆ เพราะไม่อยากจะต่อความด้วย ศรีเดินเข้ารั้วบ้านไป อนามิกามองย้อนกลับไปที่ตัวบ้าน เธอเห็นณดลออกมายืนที่หน้าประตูและทอดสายตามองเธออย่างอาลัย
ทั้งสองยืนมองกันในระยะไกล
ณภัทรเดินมายืนที่ประตู แล้วก็หยุดชะงักเมื่อเห็นอาการของณดลที่ดูเหมือนว่ายังอาลัยอาวรณ์อนามิกาอยู่ ณดลยังคงมองมาที่อนามิกาทำให้อนามิการู้สึกดีขึ้น สักพักณดลก็ตัดใจหันหลังกลับแล้วเดินผ่านณภัทรเข้าบ้านไป อนามิกาก็รู้สึกเศร้าลงเหมือนเดิม

อนามิกาหอบกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของหลายใบพะรุงพะรังมาหยุดยืนหน้าประตูห้องของธัญญาแล้วก็เคาะประตู แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ อนามิกาลองเคาะประตูอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายังเงียบก็ลองผลักประตูเข้าไป
“เคยล็อคห้องกับเค้าบ้างมั้ยนี่” อนามิกาบ่น

ในห้องของธัญญาปิดม่านจนมืดทึบ แสงที่ส่องผ่านประตูซึ่งเปิดแง้มเข้ามาส่องลอดเข้ามาในห้องที่มืด อนามิกาลากกระเป๋าข้าวของมากองในห้องแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิด
“ทำไมห้องเหม็นอับจัง”
อนามิกาเดินเข้ามาในห้องแล้วสะดุดสายตาเมื่อเห็นธัญญานั่งแผ่อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ปล่อยเนื้อปล่อยตัวอยู่ โดยมีขวดเหล้าขวดเบียร์ที่หมดแล้ววางอยู่หลายใบ
“พี่ธัญญา”
อนามิกาตรงเข้าไปประคองพี่สาวให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วเธอก็ต้องผงะเมื่อได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
“อื้อหือ...มีแต่กลิ่นเหล้า พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย”
ธัญญาพูดด้วยเสียงงัวเงีย “อ้าว..อะนา แกมาทำไม”
“ฉันจะมาอยู่ที่นี่น่ะพี่” อนามิกาตอบเสียงเศร้า “ฉันย้ายออกจากบ้านนั้นแล้ว”
“แกจะย้ายมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ” ธัญญาแค่นหัวเราะคล้ายประชดชีวิต “หึๆๆ”
“นี่พี่เป็นอะไรเนี่ย” อนามิกาเดินไปที่สวิตช์ไฟ “แล้วทำไมไม่เปิดไฟ”
อนามิกากดสวิตช์เพื่อเปิดไฟแต่ไฟไม่ติด เธอลองกดเปิดปิดอีกครั้งแต่ไฟก็ยังไม่ติดเหมือนเดิม
“สวิตช์ไฟเสียเหรอพี่” อนามิกาเดินไปเปิดม่านให้แสงเข้า
“เปล่า...เจ้าของคอนโดเค้าตัดไฟห้องเราแล้ว” ธัญญาตอบ
“หา...ว่าไงนะ”
ธัญญาหยีตาสู้แสง “ฉันค้างค่าเช่าเค้าไว้ ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่มีเงินไปจ่าย ฉันถึงขำไงว่าแกจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไง ในเมื่อเจ้าของคอนโดเค้าไล่ให้ฉันออกไปแล้ว”
“หา....แล้ว...ทำไมไม่จ่ายเค้าล่ะ พี่เอาเงินไปทำอะไรนักหนา นี่คงหมดกับกินเหล้ากะเล่นไพ่อีกหละสิ”
“แกนี่มันน้องบังเกิดเกล้าจริงๆ ที่ฉันไม่มีเงิน ก็เพราะฉันลาออก ฉันไม่ได้ไปร้องเพลงมาสองอาทิตย์แล้ว”
“อ้าว...รู้ทั้งรู้ว่าเดือดร้อนเรื่องเงิน แล้วยังจะลาออกทำไมล่ะพี่”
“ก็คุณพายัพเค้าติดนักร้องคนใหม่ เค้าบอกเลิกฉัน”
“แล้วทำไมต้องลาออกล่ะ”
“ใจคอแกจะให้ฉันไปร้องเพลงทำหน้าระรื่นที่นั่น ทั้งๆ ที่คนที่ฉันรักขลุกอยู่กับผู้หญิงคนอื่นเนี่ยนะ ฉันก็เลยลาออกมา เงินเดือนนี้เค้าก็จะไม่จ่ายฉัน”
“เฮ้ย...ทำงี้ได้ไงอ้ะ พี่ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวฉันไปทวงให้เอง ผู้ชายอย่างอีตาพายัพเนี่ย มันต้องเจอผู้หญิงอย่างฉันด่าซะบ้าง”
“แกมีเงินมั้ย เอาไปจ่ายค่าเช่าเค้าซะสิ”
“ยังเลยพี่ ที่บ้านนั้นมีเรื่องนิดหน่อย ฉันก็เลยยังไม่กล้าทวงนายภัทรเค้าน่ะ”
อนามิกากับธัญญานั่งกลุ้ม สักพักธัญญาก็เอ่ยถามขึ้น
“แล้วแกจะไปอยู่ไหนล่ะเนี่ย”
อนามิกาถอนใจ “ก็คงไปขออาศัยเพื่อนอยู่น่ะสิ บ้านยัยอาร์ทน่ะแหละ งั้นเดี๋ยวพี่เก็บเสื้อผ้าข้าวของเลยมั้ย เดี๋ยวฉันช่วย”
“จะดีเหรอ พี่ไปอยู่จะเป็นภาระหรือเปล่า เกรงใจเพื่อนแก”
“พี่...นี่เรายังมีทางเลือกด้วยเหรอ ลุกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว”
ธัญญารู้สึกเสียใจ “อะนา...”
“อะไรพี่”
“ขอโทษนะ ฉันเป็นพี่ที่ไม่เอาไหน ต้องให้แกช่วยดูแลตลอด”
“ไม่เอาน่าพี่ เราก็มีกันแค่สองพี่น้องนี่แหละ รีบลุกขึ้นเหอะพี่”
ธัญญาพยักหน้าแล้วยันกายลุกขึ้นก่อนจะดินไป
ดวงตาของอนามิกาฉายแววเศร้าที่พบว่าทุกอย่างดูเลวร้ายไปเสียหมด

อัธวุธกำลังนั่งเปิดสมุดสเก็ตช์ การดีไซน์เสื้อผ้าของตนให้เมธาวีดูอยู่ที่ห้องรนับแขกของบ้านของเขา เมธาวีดูด้วยท่าทีหงอยๆ ซึมๆ
“แกดูสิเนี่ย ฉันมีไอเดียอยู่เยอะแยะไปหมด แต่ลำพังตัวฉันมีแค่สองมือ จะไปทำอะไรไหว ฉันถึงอยากให้แกปิดร้านแกซะ แล้วออกมาช่วยฉันตรงนี้ นี่แกฟังฉันอยู่รึเปล่าเนี่ยยัยเม”
เมธาวีพยักหน้าอย่างหงอยๆ “อื้อ...ฟังอยู่”
“มาอยู่กับฉัน ก็เหมือนเป็นหุ้นส่วนกัน งานก็ช่วยกันทำ เงินก็ช่วยกันใช้ ถ้ารวยก็ต้องรวยด้วยกันทั้งคู่ นี่แกเป็นอะไรยะยัยเมธาวี ฉันบิ๊วท์ซะขนาดนี้ยังนั่งซึมกระทืออยู่ได้ ไม่เห็นอนาคตสดใสอย่างที่ฉันเห็นเหรอยะ” อัธวุธถาม
“เห็นจ้ะพี่อาร์ท เมก็ไม่ได้ปฏิเสธซะหน่อย ถ้าพี่อาร์ทอยากให้ช่วย ฉันก็ไม่มีปัญหา ดีเหมือนกัน เมทำคนเดียวดูแล้วไม่ค่อยจะรอดน่ะ”
“อืม...คนเราจะทำธุรกิจอะไร ก็ต้องมีเขี้ยวเล็บไว้ป้องกันตัวบ้าง แกมันเป็นคนดี แล้วก็อ่อนต่อโลกธุรกิจเกินไป ว่าแต่..แกพร้อมจะทำงานแล้วเหรอ”
“แล้วทำไมพี่อัธวุธถึงมองว่าเมยังไม่พร้อมล่ะ”
“ก็ดูแกยังกังวลเรื่องนายภัทรอยู่เลย แกกลัวว่านายภัทรจะต้องแต่งงานกับยัยแพรวาอะไรนั่นใช่มั้ย”
เมธาวีอ้ำอึ้ง ไม่ตอบอะไร
“แล้วแกจะทำยังไงต่อไปเนี่ยเม”
“เมจะทำอะไรได้ล่ะพี่อาร์ท อะไรจะเกิดก็เกิดแล้วกัน”
“ฉันว่าแกใจเย็นๆ แล้วรอดูทิศทางลมอีกหน่อยดีกว่า ตอนนี้อย่าว่าแต่แกเลยเม อีตาภัทรเองก็ยังมืดแปดด้าน ไม่รู้อนาคตตัวเองเหมือนกัน”
เมธาวีพยักหน้า เธอยังพอรู้สึกดีที่มีอัธวุธอยู่ใกล้ๆ
“เฮ่อ...เพื่อนฉันแต่ละคน เจอจัดหนักกันทั้งนั้น ทั้งแก ทั้งอีตาภัทร แล้วก็ยัยอะนา...พากันดวงแตกยกแก๊งค์เลยนะนี่”
อัธวุธ แตะตัวเมธาวีเพื่อปลอบและให้กำลังใจ

หนุ่มใหญ่เดินเข้าไปในคลับของพายัพที่มีพนักงานสาวเซ็กซี่ยืนสวัสดีต้อนรับ อนามิกาดึงแขนธัญญาที่ดูไม่ค่อยเต็มใจนักมาด้วย
“อะนา...พี่ว่าอย่าเลย” ธัญญาต่อรอง
“ไม่ได้นะพี่ ยังไงก็อุตส่าห์มาถึงนี่แล้ว ถ้าพี่กลัว พี่ยืนเฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดเอง” อนามิกาบอก
พนักงานสาวหน้าคลับเห็นธัญญาก็ทักขึ้น
“อ้าว...พี่ธัญญา กลับมาร้องเพลงแล้วเหรอ”
“เอ่อ...คือ...” ธัญญาอึกอัก
“ค่ะ...ใช่” อนามิกาตอบแล้วหันมาหาธัญญา “เข้ามาเลย เร็วสิ”
อนามิกาลากแขนธัญญาให้เข้าประตูคลับไป

อนามิกาลากแขนธัญญาเข้ามาในคลับ เธอสอดส่ายสายตาไปทั่วคลับ พอดึงธัญญาเดินต่อไปอีกนิดเธอก็ชะงักตกใจ
“ดูซะ พี่ธัญญา ดูซะให้เต็มตา”
ธัญญาหันมองไปตามที่น้องสาวบอกก็เห็นพายัพกำลังนั่งอี๋อ๋ออยู่กับนักร้องสาวเซ็กซี่คนใหม่ที่มุมหนึ่งในคลับ ธัญญาเห็นแล้วขึ้น ด้วยพิษรักแรงหึงเธอรีบเดินตรงรี่เข้าไป อนามิกาพยายามดึงไว้แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“มันจะมากเกินไปแล้ว” ธัญญาฉุนมาก
“พี่ธัญญา” อนามิกาเรียกไว้
ธัญญาพุ่งตรงเข้าไปกระชากนักร้องสาวนางนั้นออกมาจากที่กำลังนั่งตักอี๋อ๋อกับพายัพอยู่
“ว๊าย!” นักร้องสาวร้องออกมา
พายัพตกใจเมื่อเห็นธัญญา “ธัญญา!”
“เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย” นักร้องสาวหันมาถาม
ธัญญาพุ่งเข้าใส่ “ทำไม มีปัญหามั้ย หรือเธออยากจะลอง?”
ธัญญาขยับเข้าหา นักร้องสาวเซ็กซี่เห็นท่าไม่ดีก็เดินฉากออกไป
“คุณลาออกแล้ว จะกลับมาอีกทำไม” พายัพถาม
อนามิกเดินเข้ามา “ก็กลับมาทวงเงินที่คุณยังไม่จ่ายพี่ธัญญาน่ะสิคะ”
“อ้าว...วันนี้น้องสาวคนสวยมาด้วยเหรอ”
“ค่ะ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิคะ เคลียร์เรื่องเงินเดือนให้พี่สาวฉันก่อน”
“อะไรกันเนี่ย ธัญญา ดูแลน้องสาวคุณหน่อยสิ”
“อะนา...พี่ว่าพอดีกว่า” ธัญญาเริ่มได้สติ
“เฮ้ย...ได้ไงพี่” อนามิกาหันมาหาพายัพ “คุณก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ลูกน้องลาออก แล้วพาลเบี้ยวไม่จ่ายเงินเดือนแบบนี้ ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไง”
“เธอเป็นไงบ้างธัญญา” พายัพหันมาถาม
“เอ่อ...ก็...สบายดี แล้วคุณล่ะ” ธัญญาตอบ
“ก็ปวดหัวนิดหน่อย คุณก็รู้ ว่าเดี๋ยวนี้เศรษฐกิจเป็นไง ลูกค้าก็น้อยลง ร้านแถวๆ นี้ก็เริ่มทยอยปิดตัวกัน ร้านผมนี่ก็ติดลบมาหลายเดือนแล้ว”
ธัญญาเริ่มเป็นห่วง “จริงเหรอคะ เดี๋ยวก็ดีขึ้นมังคะ”
อนามิกาพูดแทรกขึ้น “ดะ..เดี๋ยวๆๆ พี่ธัญญา นี่เราจะมาโวย มาทวงเงินให้พี่นะ ไม่ต้องไปพูดกับเค้าดีๆ ขนาดนั้นหรอก” อนามิกาหันมาทำเสียงแข็งใส่พายัพ “พี่สาวฉันไม่ได้แคร์คุณหรือว่าร้านคุณจะลบจะบวกอะไรหรอกนะ จ่ายเงินเรามาเดี๋ยวนี้!”
“เธอแน่ใจเหรออะนา ว่าพี่สาวเธอไม่แคร์ฉัน” พายัพถาม
“ใช่! ฉันแน่ใจ” อนามิกาหันมาหาธัญญา “พี่บอกเค้าไปสิ ว่าพี่ไม่ได้แคร์ ไม่ได้รัก ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว”
“เอ่อ...แต่ว่า...ฉันยังเป็นห่วง แล้วก็ยังรู้สึกดีๆ กับคุณพายัพอยู่น่ะสิ” ธัญญาตอบ
อนามิกาแทบหงายหลังที่รู้ว่าพี่สาวตนเองยังรู้สึกแบบนี้
“พี่ธัญญา นี่มันอะไรกันเนี่ย”
พายัพยิ้มเยาะ “หมดธุระแล้วก็กลับออกไปเหอะนะ มาโวยวายในร้านฉันแบบนี้ เดี๋ยวก็เรียกตำรวจมาหิ้วปีกออกไปหรอก”
อนามิกาทั้งอึ้ง ทั้งเหวอ เธอรู้สึกอึดอัดคับข้องใจที่ทำอะไรพายัพไม่ได้

อนามิกาดึงแขนธัญญาเดินเร่งฝีเท้าออกมาจากคลับ พอพ้นปากประตูธัญญาก็สะบัดแขนออก
“นี่...แกจะลากจะจูงพี่ไปถึงไหน ฉันไม่ใช่วัวใช่ควายนะ”
“ถ้างั้นพี่ก็น่าจะคิดได้ นายพายัพทำกับพี่แย่ๆ ขนาดนี้ พี่ยังจะไปดีกับเค้า”
“ฉันไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ ฉันก็เพิ่งรู้ตัวเหมือนกัน”
“รู้ตัวว่าไงเหรอพี่”
“ก็รู้ตัวว่าฉันยังรักคุณพายัพอยู่น่ะสิ”
“หา...” อนามิกาตกใจ
อนามิกาทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก เธออึ้งไปพักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น
“พี่ธัญญา เค้ายังทำพี่เจ็บไม่พอใช่มั้ย ฉันขอร้องหละนะ อย่ามาเหยียบที่ร้านนี้อีก ฉันไม่อยากเห็นพี่ร้องไห้ ไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้อีกแล้ว”
ธัญญารู้สึกหนักใจเพราะเธอหลงรักพายัพไปแล้ว และก็หาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน
“ว่าไงพี่ ฉันขอนะ ไหว้หละ...อย่ามาที่นี่อีกเด็ดขาด” อนามิกาย้ำ
ธัญญาลังเลสักครู่ก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก

เสรี นลิณา และแพรวานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขก เสรีกับนลิณาหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ขณะที่แพรวาฝืนๆ ยิ้มตามไปโดยไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย
นลิณาพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ดูสิคะ ในที่สุด นังอะนามันก็แพ้ภัยตัวเองจนได้ ไม่ต้องหาทางกำจัดให้เหนื่อยแรง มันก็กำจัดตัวเองไปซะ”
“ก็สมควรแล้วหละ ที่โดนไล่ออกจากบ้าน ถ้าพ่อเป็นพวกคุณกอบ คุณรัตน์ จะแจ้งตำรวจจับด้วยซ้ำ” เสรีบอก
“ข้อหาหลอกลวงว่าตั้งครรภ์โดยเจตนาใช่มั้ยคะ ฮ่าๆ” นลิณาหันไปมองแพรวา “เอ๋...เป็นอะไรเนี่ยน้องแพร”
แพรวานั่งนิ่ง เสรีขยับมาโอบลูกสาวคนเล็กอย่างเอ็นดู
“ไม่ดีใจเหรอแพร สรุปว่านายภัทรไม่เคยมีเมียมีลูก โสดไม่มีตำหนิเลยนะ”
“เอ่อ...ก็...” แพรวาฝืนๆ ยิ้มแล้วพยักหน้าไปแกนๆ “ค่ะ”
เสรียิ้มอย่างสบายใจ นลิณาเข้ามาเกาะแขนอ้อนเสรี
“ดูสิคะ น้องแพรน่ะสมหวังไปแล้ว แต่นีน่าล่ะคะคุณพ่อ”
“ลูกก็น่าจะสบายใจได้แล้วนี่ เห็นเคยบอกว่าแม่อะนาชอบมาเกาะแกะนายณดล ตอนนี้เค้าก็โดนไล่ตะเพิดออกไปแล้วนี่”
“แต่คุณณดลก็เหลือเกินนะคะคุณพ่อ คนอะไรเย็นชายังกะภูเขาน้ำแข็ง” นลิณาบอก
“ถ้าเป็นภูเขาน้ำแข็งจริงก็ไม่น่าเป็นห่วงนะ ช่วงนี้กำลังเข้าสู่ภาวะโลกร้อนประกอบกับเสน่ห์ของลูกสาวพ่อ ต่อให้ภูเขาน้ำแข็งก็ต้องละลายได้น่ะ” เสรีมั่นใจ
นลิณายิ้มคิกคัก เสรีกอดลูกสาวทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดูอย่างสุดหัวใจ

ณดลนั่งซึมอยู่ในบริเวณสวนหย่อมของบ้าน ข้างๆ ตัวเขามีแก้ววิสกี้วางอยู่ ณภัทรเดินออกมาจากบ้านแล้วเห็นณดลก็หยุดยืนมองซักครู่ แล้วจึงก้าวเข้ามา
“นี่พี่ไม่คิดจะช่วยปกป้องอะไรบ้างเลยเหรอ” ณภัทรถาม
“ปกป้องใคร” ณดลถามกลับ
“ก็อะนาน่ะสิครับ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆ เลย เพราะเค้าชอบพี่ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพี่ก็ชอบเค้า”
ณดลอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็เก็บอาการรีบทำเสียงแข็ง “ถ้าเค้าชอบฉันจริง เค้าจะทำแบบนั้นกับฉันเหรอ”
“อะนาเค้าไปทำอะไรพี่”
“แกไม่เข้าใจหรอก”
“ก็จะไปเข้าใจได้ไง ในเมื่อพี่ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังน่ะ เอาสิ..พี่ก็เล่ามาสิ
“ก็...เอ่อ...ทำไมต้องเล่าให้แกฟัง ฉันไม่อยากเล่า”
“พี่ไม่อยากเล่าก็เพราะว่าพี่แอบชอบอะนา แต่พี่รู้สึกผิด เพราะคิดว่าอะนามีลูกกับผมใช่มั้ย”
ณดลตกใจที่ณภัทรรับรู้เรื่องนี้เลยได้แต่อึกอักแล้วหลบสายตา
“ผมรู้มาตลอดว่าพี่รู้สึกยังไงกับอะนา แล้วผมก็รู้ด้วยว่าอะนาเค้าก็รู้สึกดีๆ กับพี่เหมือนกัน” “แต่ถึงยังไง ฉันไม่ใช่คนที่เลวขนาดจะทำอะไรเกินเลยกับเมียน้องชายตัวเองได้หรอกนะ” ณดลบอก
“แต่ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วไงว่าอะนาไม่ใช่เมียผม แล้วพี่ยังจะรู้สึกผิดอยู่ทำไม ถ้าพี่ชอบเค้าจริง พี่ก็ควรจะช่วยปกป้องเค้าบ้างสิ ไม่ใช่ปล่อยให้คุณแม่ไล่เค้าออกไปเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้”
“แกคิดว่าแกเข้าใจฉัน...แต่จะบอกให้นะ จริงๆ แล้วแกไม่เข้าใจฉันเลย”
ณภัทรสวนขึ้น “ไม่เข้าใจยังไง พี่ก็ว่ามาสิครับ”
ณดลสวนกลับทันที “แกไม่เข้าใจว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานแค่ไหน ต้องรู้สึกผิดบาปแค่ไหน เค้าทำให้ฉันเหมือนตกนรกทั้งเป็น เค้าทำให้ฉันเกลียดตัวเองที่แอบชอบเมียน้องชายของตัวเอง แกไม่เป็นฉัน แกไม่มีวันเข้าใจหรอกไอ้ภัทร”
ณดลลุกพรวดแล้วหุนหันเดินชนไหล่ณภัทรจนณภัทรแทบเซ แล้วณดลก็เดินเข้าบ้านไป ณภัทรมองตามณดลไปด้วยความเห็นใจ

เมธาวีกำลังเก็บกวาดกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่บริเวณหน้าบ้านของอัธวุธ เธอเก็บขยะ ยกถังขยะ และทำงานที่หนักเกินตัวผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ อัธวุธเดินออกจากบ้านมาเห็นก็รีบร้องทัก
“ยัยเม...แกทำอะไรของแกน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ไม่เป็นไรพี่อาร์ท เมมาอาศัยอยู่ ก็อยากจะช่วยทำอะไรบ้าง”
“โอ๊ย...ไม่ต้องหรอกย่ะ งานพวกเนี้ยฉันจ้างคนมาทำได้”
“แต่จะให้เมอยู่ที่เฉยๆ ไม่ช่วยอะไร เมก็เกรงใจนะพี่อาร์ท”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกย่ะ ไม่ใช่มีแค่แกหรอกนะยัยเมที่มาอยู่บ้านฉันนี่”
เมธาวีงง “แล้วมีใครอีกเหรอพี่อาร์ท ก็เห็นมีแต่เราสองคนนี่แหละ”
“อ๊ะ! นี่เธอยังไม่รู้ใช่มั้ย” อัธวุธถามกลับ
“รู้อะไร ใครจะมาอยู่กะเราเหรอ”
อัธวุธยังไม่ตอบ แต่มองไปทางหน้ารั้วครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น “นั่นไง มาพอดี”
เมธาวีหันไปมองที่หน้ารั้วตามอัธวุธ แล้วก็ร้องด้วยความดีใจ
“พี่อะนา”
อนามิกากับธัญญายืนหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของพะรุงพะรังลงจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้ารั้ว คนขับรถแท็กซี่ช่วยยกกระเป๋ามาวางหน้ารั้ว แล้วก็กลับเข้าไปนั่งในรถก่อนที่จะขับรถออกไป
“อ้าว..พี่ธัญญา” เมธาวีรีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ธัญญารับไหว้ “สวัสดีจ้ะ พี่ต้องขอรบกวนมาอาศัยอยู่ชั่วคราวก่อนน๊า”
“โถ...อย่าพูดอย่างงั้นสิพี่ธัญญา อยู่ถาวรก็ได้จ้ะ อยู่กันเยอะๆ จะได้ไม่เหงา” อัธวุธบอก
“ดูสิ ฉันรบกวนขออาศัยบ้านแกตั้งแต่อยู่ลอนดอน จนกลับเมืองไทย ฉันยังตามมาหลอกมาหลอนแกอีก” อนามิกาแซวตัวเอง
“โอ๊ย..มาหลอนเลยย่ะ ฉันไม่กลัว ในบ้านฉันมีพระ” อัธวุธหยอกกลับ
“มา..เมช่วยขนของเข้าบ้าน” เมธาวีเดินมาช่วยยกกระเป๋า
อัธวุธช่วยยกกระเป๋า แล้วผายมือเชิญ “เชิญจ้า... welcome to our home ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา”
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วช่วยกันหอบหิ้วกระเป๋าข้าวของเดินเข้าบ้านไป

ศรียกน้ำชามาเสิร์ฟที่โต๊ะรับแขกของบ้านกอบชัยที่กอบชัย พนารัตน์ และเสรีนั่งอยู่
“ขอบใจ” เสรีพูด
พนารัตน์หันมาพูดกับศรี “ศรี รีบไปดูแลหาน้ำ หาขนมให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ ด้านนอกด้วยล่ะ”
“ศรีจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะคุณรัตน์” ศรีตอบ
“ดี...” พนารัตน์ชม
ศรีถอยไปยืนนิ่งอย่างเสนอหน้าคอยรับใช้
“ศรี เค้าจะคุยธุระกัน เธอหลบไปที่อื่นก่อนไป๊” พนารัตน์บอก
“อ้อ..ค่ะ...” ศรีรีบถอยกรูดออกไป
พอพนารัตน์หันมา เสรีจึงพูดขึ้น
“ผมก็ไม่อยากจะจู้จี้ หรือพูดอะไรซ้ำๆ หรอกนะ แต่ตอนนี้เรื่องของนายภัทรก็เคลียร์กันจบแล้ว ไม่ทราบว่าคุณกอบกับคุณรัตน์จะดำเนินการยังไงต่อ”
“ไม่ต้องกังวลเลยครับคุณเสรี เรื่องของเจ้าณภัทรกับหนูแพรวานี่” กอบชัยมองไปทางพนารัตน์ “ทางผมกับคุณรัตน์ได้คุยกันแล้ว”
“ค่ะ..คือเดือนหน้านี่ก็จะครบรอบแต่งงานสามสิบปีพอดี” พนารัตน์บอก
พนารัตน์กับกอบชัยหันมามองตากันอย่างหวานเชื่อม ทั้งสองจับมือประคองมือกันอย่างทะนุถนอม
เสรีเห็นก็ชักอึดอัด “เอ่อ..ครบรอบแต่งงานคุณสองคนใช่มั้ย”
กอบชัยกับพนารัตน์ยิ้มแล้วตอบอย่างมีความสุข “ใช่ครับ / ใช่ค่ะ”
เสรีชักฉุน “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมกำลังพูดอยู่ไม่ทราบ ผมถามถึงเรื่องการแต่งงานของนายณภัทรกับลูกสาวผม ไม่ได้ถามถึงวันครบรอบแต่งงานของพวกคุณ”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วพนารัตน์ก็รีบหันมาอธิบาย
“ค่ะ เราสองคนก็กำลังพูดเรื่องเดียวกับคุณเสรีนี่แหละ”
“คือเราจะใช้งานครบรอบแต่งงานครั้งนี้ เพื่อประกาศงานหมั้นหมายของหนูแพรวากับเจ้าภัทรอย่างเป็นทางการน่ะครับ” กอบชัยอธิบาย
เสรีถึงบางอ้อจึงพยักหน้าว่าเข้าใจและเริ่มยิ้มออก

ณภัทรกับแพรวาต่างนั่งนิ่งอยู่ในสวนหย่อมหน้าบ้าน ต่างคนต่างชมวิวเหมือนคนไม่รู้จักกัน ขนมกับน้ำชาบนโต๊ะข้างๆ ถูกตั้งทิ้งไว้เฉยๆ นลิณายืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ชักอดรนทนไม่ไหว เธอส่ายหน้าแล้วเดินเข้ามายืนท้าวโต๊ะ
“นี่! สองคนเนี้ย ช่วยทำตัวให้เหมือนกับว่าที่คู่หมั้น คู่วิวาห์หวานชื่นหน่อยได้มั้ย นี่อะไร นั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จาเหมือนคนไม่รู้จักกัน”
“ก็ในเมื่อฉันกับคุณแพรไม่ได้มีเรื่องจะคุยกัน ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่นา” ณภัทรบอก
“แต่นายก็ควรเทคแคร์ หาเรื่องคุยกับน้องฉันมั่ง หรือว่าเขินที่ฉันอยู่ตรงนี้ จริงด้วยสินะ งั้นเดี๋ยวฉันไปหาคุณณดล” นลิณาหันมาบอกแพรวา “คุยกับนายภัทรเค้าบ้างนะยัยแพร”
แพรวารับคำอย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ...”
นลิณาเดินออกไป แพรวาหันมามองณภัทร ทั้งสองต่างพยายามจะนึกหาเรื่องคุยกัน แต่ก็อ้ำอึ้งเพราะต่างคนต่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา แต่ครู่หนึ่งทั้งสองก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาพร้อมกัน
“เอ่อ..คุณ”
“คุณแพรพูดก่อนสิ” ณภัทรบอก
แพรวาสวนทันที “คุณภัทรพูดก่อนดีกว่า”
“คือผมแค่ทักขึ้นมา ไม่ได้มีเรื่องจะพูดอะไร คุณว่ามาเถอะ”
“ฉันก็ไม่ได้จะคุยอะไรเหมือนกัน แค่เห็นเงียบไปนาน ก็เลยพูดขึ้นมา”
ณภัทรกับแพรวาต่างคนต่างหันกลับไปแล้วนั่งนิ่ง ครู่หนึ่งณภัทรก็พูดขึ้นมา
“เอ่อ...ผมต้องขอโทษด้วยนะ ผมไม่ใช่คนที่คุยเก่งอะไรนักหนา หวังว่าผมคงไม่ได้ทำให้คุณเบื่อนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แพรเข้าใจ แค่ต้องอยู่ใกล้ๆ แพร คุณภัทรก็ต้องฝืนใจจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะ ผมไม่ได้ฝืนใจอะไร คุณเป็นคนดี เป็นคนน่ารัก เพียงแต่ว่า...”
“แต่อะไรเหรอคะ” แพรวาถาม
“ผมมีใครคนนึงอยู่ในใจแล้วน่ะ” ณภัทรสารภาพ
“เหรอคะ...คนคนนั้นคงเป็น...คุณเมใช่มั้ย”
“เอ่อ...จะเป็นใครก็แค่นั้นแหละครับ เพราะถึงยังไง ทางผู้ใหญ่เค้าก็บังคับให้เราสองคนหมั้นกันอยู่ดี”
“แพรเข้าใจดีค่ะ ว่าหัวอกของคนที่โดนพ่อแม่บังคับจะเป็นยังไง เพราะแพรเองก็ไม่ได้ต่างไปจากคุณภัทรหรอกค่ะ”
ณภัทรหันขวับมามองมองหน้าแพรวา “คุณแพรก็ไม่ได้อยากหมั้นเหมือนกันใช่มั้ย”
“ก็...ทำนองนั้น”
“งั้นเราก็เห็นไปในทางเดียวกันน่ะสิ ถ้าเราสองคนยืนยันว่า เราไม่ได้รักกันแบบนั้น เราก็ยังมีความหวังที่จะล้มเลิกการหมั้นครั้งนี้ไง”
“แต่แพรไม่ได้อยากจะยกเลิกนะคะ เพราะยังไง แพรก็คงไปฝืนความตั้งใจของคุณพ่อไม่ได้อยู่ดี”
“คุณแพร เราจะยอมหมั้น ยอมแต่งงานกัน ทั้งที่เราสองคนรู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ได้รักกันแบบนั้นเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ แพรไม่ได้มีทางเลือกนี่คะ ถึงยังไงแพรก็จะต้องยอมหมั้นกับคุณภัทรอยู่ดี หรือบางทีเราก็ควรจะหมั้น จะแต่งกันไปก่อน แล้วค่อยไปคิดหาทางออกกันหลังจากนั้น”
“เอ่อ...แต่ว่า...มันจะดีเหรอคุณแพร”
“แล้วเราสองคนมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอคะคุณภัทร”
ณภัทรถอนใจยอมรับอย่างเศร้าๆ ว่าคงไม่มีหนทางอื่นแล้ว

ณดลกับนลิณาเดินคุยไปด้วยกันอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของบ้าน นลิณาพยายามเกาะแกะใกล้ชิดณดลอย่างออกนอกหน้า
“เห็นมั้ยคะ ตั้งแต่อยู่ลอนดอน นลิณาก็ว่าแล้ว จะเป็นไปได้ไง ที่ยัยอะนากับนายภัทรจะเป็นแฟนกัน” นลิณารีบพูด
“แต่หลังจากนั้นคุณก็เชื่อยัยอะนาซะสนิทเลยเหมือนกันนี่” ณดลบอก
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ เล่นหลอกว่าท้อง แถมยังเตี๊ยมกันทั้งขบวนการ ทั้งนายภัทร ยัยอาร์ท ยัยเม ไม่ว่าใครก็คงจะโดนต้มจนสุกเหมือนกันทั้งนั้น”
“ใช่...อย่าว่าแต่ต้มจนสุกเลย ผมนี่โดนต้มจนเปื่อยเลยหละ”
“แต่ก็ดีแล้วไงคะ ก็จะได้รู้เช่นเห็นชาติยัยอะนาไปเลย ว่าตัวตนจริงๆ เป็นคนลวงโลกขนาดไหน”
ณดลหยุดเดิน เพราะยังสับสน ทั้งรู้สึกโกรธทั้งคิดถึงอนามิกา “นีน่า...ผมว่าเราหยุดคุยเรื่องอะนากันดีกว่า”
“จริงสินะคะ นานๆ ครั้งจะมีโอกาสใกล้ชิดคุณณดลแบบนี้ งั้นเรามาคุยเรื่องของเราสองคนดีกว่า”
“เรื่องเราสองคน...เรื่องอะไรเหรอ” ณดลสงสัย
“ก็...เอ่อ...นีน่าอยากจะถามอะไรอย่างนึงได้มั้ยคะ”
“ลองถามมาสิ”
“คุณณดล...ไม่คิดอยากจะมีใครมาอยู่ข้างๆ ซักคนเหรอคะ”
“ผมว่าผมอยู่คนเดียวสบายใจกว่า”
“แน่ใจเหรอคะ ไม่คิดจะมีใครซักคนไว้เป็นคู่คิด คู่คุย แล้วก็...คู่รักน่ะค่ะ”
“ไม่หละ”
“ทำไมล่ะคะ”
“ก็เพราะ...” ณดลมองตานลิณาแล้วพูด “ผมยังมองไม่เห็นผู้หญิงดีๆ ซักคนที่จะทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นได้น่ะสิ ขอตัวก่อนนะ”
ณดลเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป ทิ้งให้นลิณายืนอึ้งอยู่คนเดียว
นลิณาพูดทบทวนกับตนเองเบาๆ “มองไม่เห็นผู้หญิงดีๆ ซักคน...เอ๊ะ! มันยังไงกันนะ ก็มองหน้าฉันอยู่เต็มๆ ตรงเนี้ย”
นลิณาเสียหน้าจนกลายเป็นรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา
“พูดกับฉันแบบเนี้ย รู้จักฉันน้อยไปแล้วหละคุณณดล ให้มันรู้ไปสิ ว่าคนอย่างฉันจะเอาชนะคุณไม่ได้”
นลิณาพูดอย่างมั่นใจว่ามีไม้เด็ดที่จะพิชิตใจณดลได้
อนามิกานอนลืมตาโพลงมองเพดานห้องในบ้านของอัธวุธ เธอเหลือบมองไปเห็นธัญญากำลังนอนหลับสบาย อนามิกาค่อยๆ ลุกขึ้นไปยืนที่ริมหน้าต่างแล้วเหม่อมองออกไปอย่างเศร้าๆ

ภาพของณดลที่รู้ความจริงเรื่องเธอแว่บเข้ามาในความคิด
“...ฉันรู้ความจริงจากไอ้ณภัทรแล้ว ที่เธอหลอกฉัน ก็เพราะหวังเงินค่าจ้าง นอกจากจะเป็นคนหลอกลวงแล้ว เธอยังเป็นคนเห็นแก่เงินอีกด้วย...”
อนามิการู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงตอนที่ณดลไล่เธอออกจากบ้าน
“...รีบเก็บข้าวของแล้วออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับเธออีกแล้ว...”
อนามิกาน้ำตาคลอ แต่พอได้ยินเสียงธัญญา เธอก็รีบปาดน้ำตากลบเกลื่อน
“อะนา” ธัญญาเรียก
ธัญญาเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วลุกขึ้นนั่ง อนามิกาหันไปหาพร้อมกับพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ
“นั่นแกร้องไห้เหรอ” ธัญญาถาม
“เปล่า...ฉันไม่ได้ร้อง” อนามิกาตอบ
ธัญญาพูดสวนขึ้น “อะนา ไหนแกเคยบอกว่าเรามีกันแค่สองพี่น้อง มีอะไรก็ต้องบอกกันสิ”
“ก็..ไม่มีอะไรจริงๆ” อนามิกาเดินมาที่เตียง “นอนเหอะพี่”
“แกเศร้าที่โดนบ้านโน้นเค้าไล่ออกมาหละสิ จะคิดมากไปทำไม๊...มาอยู่นี่ก็ดีแล้ว แกจะได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องคอยโกหกใคร” ธัญญาขยับลุกขึ้น
“พี่จะไปไหน” อนามิกาถาม
“ไปเข้าห้องน้ำน่ะสิ นอนไปเลยแกน่ะ ไม่ต้องเศร้าแล้วนะ”
พอธัญญาเดินไป อนามิกาจึงรำพึงเบาๆ กับตัวเอง
“จะไม่ให้เศร้าได้ไง ในเมื่อคนที่ไล่ฉัน ก็เป็นคนเดียวกับที่ฉันคิดถึงเค้าอยู่ตอนนี้น่ะ”
อนามิกาเหม่อมองออกไปในความมืดเพราะคิดถึงณดลขึ้นมาจับใจ

ฝ่ายณดลก็นั่งซึมเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ที่สวนหย่อมภายในบ้านของเขา ภาพของอนามิกาคตอนที่สารภาพผิดกับเขาแว่บเข้ามาในความคิด
“...ฉันยอมรับว่าฉันผิด แต่ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้ หวังว่าวันนึงคุณจะเข้าใจ และหายโกรธฉัน...”
ณดลถอนใจเพราะรู้สึกผิดที่ไล่อนามิกาและพูดจาไม่ดีกับเธอ
ภาพตอนที่ณภัทรที่พูดใส่ณดลแว่บเข้ามาในความคิดของเขาอีก
“แต่ตอนนี้พี่ก็รู้แล้วไงว่าอะนาไม่ใช่เมียผม” ณภัทรบอก “แล้วพี่ยังจะรู้สึกผิดอยู่ทำไม ถ้าพี่ชอบเค้าจริง พี่ก็ควรจะช่วยปกป้องเค้าบ้างสิ”
ณดลถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม พอได้ยินเสียงณภัทรจากด้านหลังเขาก็ถึงกับสะดุ้ง
“เป็นอะไรเหรอพี่”
ณภัทรเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ขึงขังกว่าทุกที ณดลรีบพูดกลบเกลื่อนแล้วทำตัวปกติ
“เปล่านี่...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจเหรอ พี่หลอกทุกคนได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะครับ”
“ฉันหลอกตัวเองยังไง?” ณดลถาม
“พี่คิดถึงอะนาอยู่ใช่มั้ย ในใจพี่ยังมีความรู้สึกดีๆ กับอะนาอยู่ใช่มั้ย”
“แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน เรื่องของแกน่ะเอาให้รอดก่อนเหอะ” ณดลว่า
“แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าใจผมอยู่ที่ใคร และผมก็ซื่อสัตย์กับหัวใจของผม”
“แกจะบอกว่าฉันไม่ซื่อสัตย์กับใจฉันเองงั้นเหรอ”
“ก็จริงมั้ยล่ะครับ พี่รู้สึกดีกับอะนา แต่กลับไล่เค้าออกไปจากชีวิตพี่ ถามจริง พี่คิดว่าผู้หญิงแบบอะนาจะหากันได้ง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ”
“แกพูดเพ้อเจ้ออะไรของแกเนี่ย”
ณภัทรพูดเสียงเข้ม “ใช่! ผมเพ้อเจ้อ แต่พี่ก็ควรจะฟังผมบ้าง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพี่แล้ว พี่จะดึงอะนากลับมา หรือว่าจะปล่อยให้เค้าหายไปจากชีวิตพี่ พี่ก็คิดให้ดีแล้วกัน”
ณดลครุ่นคิดตามคำพูดของน้องชาย แล้วสักครู่เขาก็มองหน้าณภัทร ก่อนจะก็ยิ้มแล้วขำขึ้นมา
ณภัทรงง “พี่ขำอะไร”
“ก็ฉันไม่เคยเห็นแกพูดจาเข้มแข็ง เด็ดขาดอย่างงี้มาก่อนเลยน่ะสิ”
ณภัทรพูดอ่อยๆ เหมือนสูญเสียความมั่นใจ “เอ่อ..แล้ว...” ณภัทรรีบทำเสียงเข้มอีก “แล้วไงเหรอพี่!”
“ก็ไม่มีอะไร ฉันแค่สงสัยว่าทีเรื่องของแกเอง ทำไมแกไม่เข้มแข็งแบบนี้ ไม่งั้นคงไม่มีใครกล้าบงการชีวิตแก จับแกคลุมถุงชนอย่างที่เป็นอยู่นี่หรอก”
ณภัทรสะท้อนใจเพราะย้อนคิดถึงตัวเองที่ไม่เคยจะแข็งข้อขึ้นมาเพื่อเรื่องของตนเองบ้าง

ในห้องมืดสลัวของอนามิกา ธัญญาหลับไปแล้วแต่อนามิกายังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด สักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของธัญญาที่วางอยู่หัวเตียงก็ดังขึ้น อนามิกาหันไปมองตามเสียง ธัญญาเริ่มรู้สึกตัว
“เสียงโทรศัพท์พี่น่ะ” อนามิกาบอก
ธัญญาเหยียดแขนไปหยิบโทรศัพท์มารับด้วยเสียงงัวเงีย “ฮัลโหล...” แล้วธัญญาก็ทำน้ำเสียงตื่นตกใจ “คุณพายัพ! “ ธัญญารีบขยับลุกขึ้นมาเปิดโคมไฟที่หัวเตียง “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
อนามิกาขยับลุกขึ้นมองพี่สาวอย่างเป็นห่วง ธัญญายืนพูดโทรศัพท์ด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังคุยเรื่องคอขาดบาดตาย
“เหรอคะ...ได้สิคุณพายัพ ไม่มีปัญหา ฉันจะรีบไปหาคุณเดี๋ยวนี้...ว่าไงนะ อ๋อ...ได้ค่ะ แล้วเจอกัน” ธัญญารีบกดปุ่มวางหู
อนามิกาสวนขึ้น “ไม่ได้นะพี่ พี่เพิ่งสัญญากับฉันว่าจะไม่ไปเหยียบที่ร้านของอีตาพายัพอีก นี่แค่ข้ามวันพี่ก็ผิดสัญญาซะแล้ว”
“ผิดสัญญาอะไร ฉันไม่ได้ไปที่ร้าน”
“ก็พี่บอกจะไปหาคุณพายัพ”
“ใช่! แต่ฉันจะไปหาเค้าที่โรงพัก”
อนามิกาตกใจ “โรงพัก?!”
“คุณพายัพโดนตำรวจจับ ตอนนี้อยู่ในตะราง แกช่วยไปกับฉันหน่อยสิ ฉันมีเรื่องรบกวนให้แกช่วยน่ะ”
อนามิกามีสีหน้าลังเลเพราะไม่เต็มใจให้พี่สาวไปหาพายัพ

อนามิกากับธัญญาเดินอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ ธัญญาดูร้อนรนเพราะอยากจะรีบเข้าไปช่วยพายัพแต่อนามิกาดึงตัวพี่สาวไว้
“ตกลงที่พี่เอาฉันมาด้วยนี่ก็แค่จะให้ช่วยกดเงินสดให้ใช่มั้ย”
“อย่าบ่นน่ะ แค่หมื่นเดียวเอง” ธัญญาบอก
“แค่หมื่นอะไร ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีแค่หมื่นกว่าๆ นี่แหละ น่าจะปล่อยให้นอนในตะรางไปเลย อยากหาเรื่องเข้าบ่อนทำไม โดนจับก็สมน้ำหน้าแล้ว”
“อะนา คุณพายัพเค้ากำลังเดือดร้อนนะ”
“โอ๊ย..คนรวยๆ อย่างเค้าจะเป็นอะไรไป”
“ใครบอกแก หลังๆ มานี่คุณพายัพมีแต่หนี้สิน เพื่อนฝูงที่เคยคบก็หายหน้ากันไปหมด เขาถึงต้องโทรมาตามให้ฉันไปช่วยประกันตัวไง”
“แล้วยัยเกดน้องสาวเค้าล่ะ”
“เค้าปิดไม่อยากให้ยัยเกดรู้ แม่นั่นน่ะยังใช้เงินมือเติบ คิดว่าพี่ชายเค้ายังร่ำรวยอยู่ด้วยซ้ำ รีบเข้าไปหาคุณพายัพก่อนเหอะ ไปเร็ว”
ธัญญาเดินตรงดิ่งเข้าสถานีตำรวจไป อนามิกามองตามอย่างขัดใจ
“ดีนี่ พอตกอับไม่มีใครค่อยจะมานึกถึงพี่สาวฉัน” อนามิกาเดินตามธัญญาไป

ธัญญายืนรออยู่ ตำรวจเดินนำพายัพออกมา ธัญญาโผเข้าไปสวมกอดพายัพอย่างเป็นห่วง
“คุณพายัพ...เป็นยังไงบ้าง”
“ขอบใจมากนะธัญญา นึกแล้วว่าคุณต้องมาช่วยผม” พายัพพูด
“ใช่ซี้...” อนามิกาโพล่งออกมา
พายัพสะดุ้งเมื่อหันมาเห็นอนามิกาที่เดินเข้ามาประชดใส่
“เวลามีความสุขดีก็ไม่เคยคิดถึงพี่สาวฉันหรอก แต่พอเดือดร้อนเข้าหน่อย ตีสามตีสี่ก็ยังโทรจิกออกมา” อนามิกาแขวะ
ธัญญาเสียงดุ “อะนา”
“ก็จริงมั้ยล่ะ” อนามิกาหันมาหาพายัพ “ผู้ชายอย่างคุณน่ะ นอกจากพี่สาวฉัน ก็ไม่มีใครมารักมาจริงใจแบบนี้หรอก”
พายัพพูดกับอนามิกา “ผมรู้น่า” แล้วเขาก็หันไปหาธัญญา “ยังไงธัญญาก็ไม่ทิ้งผมแน่ๆ ใช่มั้ย”
พายัพคว้าธัญญามากอดแล้วหอมซุกไซร้ที่แก้มกับคอ
“ว๊าย...อย่าสิคุณพายัพ จั๊กจี้”
อนามิกาทำหน้ารังเกียจ “นี่! เพลาๆ หน่อยเถอะ ที่นี่โรงพักนะไม่ใช่โรงแรม”
“ก็จะเป็นอะไรไปเล่า มา...หอมโชว์กลางโรงพักเลยก็ได้”
พายัพกอดธัญญาเข้ามาหอม ธัญญาหัวเราะคิกคักชอบใจ อนามิกาส่ายหน้ามองอย่างระอา

พายัพ ธัญญาและอนามิกาเดินออกมาจากสถานีตำรวจด้วยกัน จู่ๆ ธัญญาก็หยุดเดินแล้วเอ่ยลาพายัพ
“งั้นเดี๋ยวฉันกับน้องสาวขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“จ้ะ” พายัพยิ้มกรุ้มกริ่ม “ไว้ผมจะแวะไปหาที่คอนโดนะ”
“ฉันย้ายออกจากคอนโดแล้วค่ะ ตอนนี้มาอยู่กับอะนาที่บ้านเพื่อนเค้า”
“อ้าว! เหรอ” พายัพรวบตัวธัญญามาออดอ้อน “แล้วถ้าเวลาผมคิดถึง ผมจะแวะไปหาบ้างได้มั้ย”
ธัญญากับอนามิกาพูดพร้อมกัน “ได้สิคะ / ไม่ได้ค่ะ”
“ยัยอะนา” ธัญญาไม่พอใจ
“จะแวะไปหาทำไมอีกล่ะ พี่สาวฉันอุตส่าห์มาช่วยประกันตัวคุณแล้ว ก็จบๆ กันไปสิ อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันอีกเลย” อนามิกาบอก
“อะนา พอได้แล้ว” ธัญญาควงพายัพเดินห่างออกมา “แล้วค่อยโทรคุยกันทีหลังนะ”
“ได้จ้ะ” พายัพตอบรับ
พายัพจุ๊บที่ริมฝีปากธัญญา อนามิกาเห็นแล้วแทบอยากจะกรี๊ดออกมาด้วยความโกรธ พายัพผละออกไป ธัญญาเดินกลับมาที่อนามิกา
“พี่เจ็บแล้วรู้จักจำบ้างมั้ย ผู้ชายคนนี้ทำพี่เสียใจมากี่ครั้ง แต่พี่ก็ยังดีกับเค้าเนี่ยนะ” อนามิกาถาม
“นี่หยุดซะทีได้มั้ย แกเป็นน้องหรือเป็นแม่ฉัน แกมันจะไปเข้าใจอะไร ในเมื่อเกิดมา แกยังไม่เคยรักใครด้วยซ้ำ”
“ใครบอกพี่ล่ะว่าฉันไม่เคยรัก...เอ่อ...” อนามิกานึกได้ว่าพลั้งปากไป
“หา..ว่าไงนะ แกมีความรักแล้วเหรอ กับใครน่ะ”
“เปล่า...ไม่มี”
“ก็แกเพิ่งบอกเมื่อกี้ แกรักใครอยู่ บอกฉันมานะ” ธัญญาคาดคั้น
“เปล่า...จะกลับบ้านกันได้รึยัง ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว”
ธัญญายิ้มใส่อนามิกาอย่างรู้ทัน อนามิกาเบือนหน้าแล้วเดินหนีไปเรียกแท็กซี่

แพรวาเดินเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้าน ส่วนเสรีเดินพูดโทรศัพท์มือถือออกมาจากบ้านมาใกล้ๆ แพรวาจะร้องทัก แต่เสรีมองไม่เห็น แพรวาจึงยืนนิ่งอยู่กับที่
เสรีพูดโทรศัพท์มือถือ “ว่าไงนะ ของที่ส่งมาล็อตนี้ โดนตำรวจจับทั้งหมดเลยเนี่ยนะ”
แพรวาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอรีบหลบแล้วเงี่ยหูฟังต่อ
เสรีพูดด้วยความโมโห “แล้วไหนแกบอกว่าแกคุ้มครองของฉันได้ ไอ้ฉันก็อุตส่าห์ไว้ใจคราวนี้ไม่ใช่แค่หมดตัว แต่ฉันต้องกู้หนี้ยืมสินกันแล้ว”
เสรีหันไปเห็นแพรวายืนอยู่ก็ถึงกับชักสีหน้าตกใจ
เสรีพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เอาไว้ค่อยคุยกัน แกว่างวันไหนก็เข้ามาคุยกับฉัน แค่นี้นะ” เสรีกดวางหูแล้วถามแพรวา “ลูกแพรมายืนอยู่ตรงนี้เมื่อไหร่เนี่ยลูก”
“เอ่อ...” แพรวาอ้ำอึ้ง
“ได้ยินที่พ่อคุยโทรศัพท์หรือเปล่า”
“ก็...เปล่าค่ะคุณพ่อ แพรเพิ่งเดินมาค่ะ”
เสรียิ้มอย่างโล่งใจ แล้วเดินมาลูบศีรษะแพรวาอย่างเอ็นดู
“คุณพ่อโทรคุยกับใครเหรอคะ” แพรวาถามขึ้น
เสรีสะดุ้ง รีบหาข้ออ้าง “เอ่อ..ก็ไม่มีอะไร แค่ลูกน้องพ่อโทรมาถามเรื่องเซ็นเอกสารอะไรนิดหน่อยน่ะ”
แพรวาเห็นท่าทางของเสรีก็ยิ่งแน่ใจว่าเสรีโกหกตน เพราะดูเหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง

นลิณานั่งอยู่ที่เก้าอี้รับแขกภายในบ้าน แพรวาเดินเข้ามาเหลียวหน้ามองหลังพอเห็นว่าปลอดคนจึงหันมาสบตากับนลิณาที่มองแพรวาด้วยความสงสัยว่าน้องสาวเป็นอะไร
“มีอะไรยะยัยแพร ทำไมต้องทำท่าลับๆ ล่อๆ แบบนั้น”
แพรวายกนิ้วจุ๊ปากปรามนลิณา “อย่าเสียงดังสิพี่นีน่า” แพรวาขยับมานั่งใกล้ๆ แล้วกระซิบ ”แพรถามอะไรพี่อย่างนึงได้มั้ย”
นลิณางง “ก็ถามมาสิ”
“คือ....แพรได้ยินคุณพ่อพูดโทรศัพท์กับลูกน้อง เรื่องส่งของแล้วโดนตำรวจจับ คุณพ่อเค้าส่งของอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ...” นลิณาอึดอัดไม่รู้จะบอกอย่างไร “คือ...แกไม่ต้องรู้ซักเรื่องนึงได้มั้ย”
“ทำไมล่ะคะ หรือว่า...ที่โดนตำรวจจับก็เพราะเป็นของผิดกฏหมาย”
นลิณาตวาดสวนทันที “หุบปากไปเดี๋ยวนี้เลยนะยัยแพร” นลิณาชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง “แล้วก็อย่าได้ปริปากพูดเรื่องนี้อีก”
แพรวาช็อค “นะ..นี่หมายความว่าคุณพ่อ”
“แต่ที่คุณพ่อทำไปก็เพื่อพวกเรานะ แกก็รู้ดีว่าธุรกิจคอนโดของคุณพ่อมีปัญหา”
“แล้ว...ของผิดกฎหมายที่คุณพ่อไปพัวพันอยู่คืออะไรเหรอคะ”
“ฉันบอกแล้วแกต้องปิดปากให้สนิท อย่าได้ไปถาม หรือไปกวนใจคุณพ่ออีกนะ”
แพรวาพยักหน้า นลิณาขยับเข้ามากระซิบ
แพรวาช็อค แล้วอุทานออกมาเบาๆ “ยาบ้า!”
นลิณาพยักหน้าเครียดๆ แพรวายังช็อคเพราะไม่อยากจะเชื่อ

เสียงกริ่งหน้าบ้านอัธวุธดังขึ้น เมธาวีเปิดประตูบ้านออกมาพร้อมกับเหลียวหลังตะโกนไปบอกคนในบ้าน
“เดี๋ยวเมออกไปดูเองจ้า”
เมธาวีเดินออกมาจากตัวบ้าน ณภัทรยืนรออยู่หน้ารั้ว
เมธาวีดีใจ “ภัทร นึกว่าจะไม่ได้เจอแล้ว”
“ทำไมนึกอย่างงั้นล่ะ”
“ก็...คิดว่า...นายกับคุณแพร”
“ไม่ว่าฉันกับคุณแพรจะลงเอยยังไง พวกเราก็ยังเจอกันได้นี่”
เมธาวียิ้มปลื้ม
“เพราะยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดี”
เมธาวีหุบยิ้มทันที “อืม...จริงสินะ เรายังเป็น” เมธาวีพูดเน้นเสียง “ ‘เพื่อน’ กันเสมอ”
ณภัทรเห็นเมธาวีจ๋อยไปจึงทักขึ้น “เมเป็นอะไรเหรอ”
“เปล่า..ไม่มีอะไร แล้วนี่นายมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอ”
“เปล่า...ฉันมีธุระกับอะนาเค้าต่างหาก”
เมธาวียิ่งจ๋อยหนักลงไปอีก “อ้อ...มาหาพี่อะนา...งั้น...เชิญในบ้านเลย”
ณภัทรเดินเข้าบ้าน เมธาวียืนมองตามไปอย่างจ๋อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนณภัทรไม่เห็นตนอยู่ในสายตา

อนามิกานั่งคุยกับณภัทรที่เก้าอี้รับแขกอย่างค่อนข้างเป็นการเป็นงาน
“ว่ามาสิ นายมีธุระอะไรกับฉันเหรอ” อนามิกาถาม
ณภัทรล้วงซองจดหมายที่พับครึ่งมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้อนามิกา
อนามิการับมาอย่างงงๆ “อะไรเนี่ย” อนามิกาแง้มซองดู “เช็คของขวัญ ตั้งหลายใบ”
“อืม...เช็คของขวัญแบ๊งค์นี้เค้าจำกัดไม่เกินห้าหมื่นน่ะ ก็เลยต้องทำหลายใบหน่อย”
อนามิกานึกขึ้นได้ “นี่...นายอย่าบอกนะว่าเช็คพวกนี้”
ณภัทรพยักหน้า “ค่าแรงทั้งหมดของเธอไง ที่เธอต้องสวมบทบาทเป็นเมียที่ท้องอ่อนๆ ของฉันตั้งแต่วันแรกที่ลอนดอน” ณภัทรพูดเสียงเบาๆ ด้วยความเศร้า “...จนวันสุดท้าย”
อนามิกาฝืนยิ้มตอบ แล้วใช้มือข้างที่ว่างอยู่จับมือณภัทรเพื่อขอบคุณ “ขอบใจมากนะ”
อนามิกาหงายมือณภัทรแล้วใช้มือข้างที่ถือซองเช็คอยู่ยัดคืนให้ ณภัทรตกใจเพราะรู้สึกผิดคาด
“แต่ฉันคงรับไว้ไม่ได้หรอก” อนามิกาพูดเรียบๆ
ณภัทรพยายามยัดเยียดใส่มืออนามิกา “ไม่ได้นะอะนา...เอาไป”
อนามิกาพูดเสียงแข็ง “ฉันบอกว่าไม่เอา แล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจด้วย”
ณภัทรอ้อนวอน “อะนา...นี่เป็นค่าจ้างที่ฉันต้องจ่ายเธอตามที่ตกลงอยู่แล้ว รับไว้เถอะ”
“แต่ถ้าฉันรับไว้ ฉันคงกลายเป็นคนเห็นแก่เงิน ไม่ต่างอะไรกับที่พี่ชายนายด่าฉัน”
“แต่กับเวลาที่เธอต้องเสียไปตั้งหลายเดือนเพื่อช่วยฉัน เธอก็สมควรที่จะได้เงินตรงนี้นะ อย่าคิดมากน่า รับไปเถอะ”
“ภัทร ขอร้องหละ ที่ผ่านมา ฉันโกหกหลอกลวง ทำให้คุณพ่อคุณแม่แล้วก็พี่ชายนายต้องเสียความรู้สึก ฉันรับเงินตรงนี้ไม่ได้จริงๆ”
“อะนา แต่เธอก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าไม่ได้เงินตรงนี้แล้วเธอไม่เดือดร้อนเหรอ”
“เดือดร้อนรึเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ศักดิ์ศรีของฉันยังอยู่น่ะ”
ณภัทรถอนใจ “เฮ่อ...ก็ได้ ฉันยอมแพ้”
ณภัทรแสร้งทำเป็นแอบวางซองเนียนๆ ไว้ แล้วยกสองมือขึ้นทำเป็นเหมือนบิดขี้เกียจ
อนามิกาเหล่มองซองให้รู้ว่ารู้ทัน “แล้วถ้าขืนทำเป็นแอบเนียนทิ้งเอาไว้ ฉันจะฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโกยใส่ซองคืนให้นาย”
ณภัทรหน้าแหยเพราะโดนจับได้ เขาค่อยๆ หยิบซองเก็บเข้ากระเป๋า

เมธาวีนั่งซึมอยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นในบริเวณร่มรื่นหน้าบ้าน สักพักณภัทรก็เดินออกจากตัวบ้านมาหาเธอ
“คุยธุระกันเรียบร้อยแล้วเหรอ” เมธาวีถาม
ณภัทรพยักหน้าอย่างเซ็งๆ “คุยแล้ว แต่ไม่เรียบร้อย”
“อ้าว...ไหงงั้นล่ะ”
“ก็อะนาน่ะสิ ไม่ยอมรับเงินค่าจ้างที่ฉันเอามาให้ เมช่วยกล่อมทีสิ อะนาช่วยฉันจนตัวเองเดือดร้อน ถ้าไม่ได้ตอบแทนบ้าง ฉันคงรู้สึกไม่ดีน่ะ”
“ก็อยากช่วยนะ แต่คนอย่างพี่อะนา ถ้าตัดสินใจอะไรแล้ว ฉันคงไม่มีปัญญาไปเปลี่ยนใจเค้าได้หรอก”
“อืม..เข้าใจ ฉันก็รู้แหละว่าอะนาไม่มีวันเปลี่ยนใจแน่ๆ”
“แล้ว...นายเป็นไงบ้าง” เมธาวีฝืนยิ้ม “จะแต่งเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาแจกการ์ดล่ะ”
“เธอพูดเหมือนเธอดีใจถ้าฉันต้องแต่งงานกับคุณแพรอย่างงั้นแหละ”
“แล้วจะให้พูดยังไงล่ะ ภัทรแต่งงานทั้งที ฉันก็ต้องยินดีด้วยสิ” เมธาวีฝืนยิ้มเศร้าๆ
“แล้วใครบอกล่ะว่าฉันจะแต่ง”
“อ้าว...ใครๆ เค้าก็รู้กันทั้งนั้น”
“เอ...แต่ฉันกลับรู้มาอีกอย่างนึงนะ”
เมธาวีงง เธอมองณภัทรเป็นเชิงถาม
“ที่ฉันรู้คือการแต่งงานครั้งนี้ มันคงไม่เกิดขึ้นหรอก”
“อ้าว..ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะมีข่าวมาว่า ฝ่ายชายจะประกาศแข็งข้อไม่ยอมเป็นเจ้าบ่าวน่ะสิ”
เมธาวียังเหวอๆ แต่พอเห็นณภัทรยิ้มพร้อมทั้งพยักหน้าย้ำให้มั่นใจ เมธาวีจึงยิ้มออกมาอย่างมีความหวัง

ธัญญาถึงกับหน้าตาตื่นเมื่อรู้เรื่องจากอนามิกา หลังจากที่ทั้งสองนั่งคุยกันในห้องนอน
“หา! ว่าไงนะ แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง คนเค้าว่าจ้างแกทำงาน แต่ดันหยิ่งไม่รับเงินค่าจ้างซะงั้น ไหน...นายภัทรกลับไปรึยัง เดี๋ยวฉันรีบไปทวงให้”
ธัญญาจะรุดออกนอกห้อง แต่อนามิกาดึงข้อมือไว้
“พี่! เห็นแก่หน้าฉันบ้างเหอะนะ ฉันปฏิเสธเค้าไปซะขนาดนั้นแล้ว”
“อู๊ย..หมั่นไส้ ทำหน้าใหญ่ไม่รับเงิน ไม่นึกเลยว่าน้องสาวฉันจะโง่ขนาดนี้”
“ฉันยอมโง่ แต่ยังเหลือศักดิ์ศรี ดีกว่าไปเอาเงินเค้ามา แล้วต้องเกลียดตัวเองภายหลังนะพี่”
“ก็คิดซะอย่างงี้...ไอ้ศักดิ์ศรีอะไรของแกเนี่ย มันเอาไปแลกของในเซเว่นได้รึไง ที่ไหนไหนเค้าก็รับแต่เงินกันทั้งนั้น”
“ฉันก็รู้...ว่าเงินน่ะสำคัญ ฉันก็กำลังจะทำงานอยู่นี่ไง”
“โอ๊ย!จะทำงานแล้วเมื่อไหร่จะได้เงินกัน กว่าจะรอสมัครงาน รอสัมภาษณ์ รอเรียกเข้าทำงาน แล้วไหนจะต้องทำงานจนสิ้นเดือนก่อน”
อนามิกาสวนขึ้น “ฉันหางานได้แล้วพี่”
“เหรอ?! งานอะไรน่ะ” ธัญญาสงสัย

พนิดายืนกอดอก อยู่ใกล้ๆ โต๊ะที่ณภัทร เมธาวี และอัธวุธนั่งอยู่ด้วยกันภายในร้านของเธอ อนามิกาเดินยกอาหารไทยโบราณออกมาเสิร์ฟ
“โอ๊ย...คุ้นๆ นะ ภาพนี้ เหมือนเคยเห็นที่ลอนดอนตั้งแต่ชาติปางก่อน” พนิดาแซว
“เว่อร์แล้วเจ๊ แค่ไม่กี่เดือนเอง” อัธวุธบอก
อนามิกาวางจานอาหาร แล้วหย่อนก้นลงนั่ง “นั่งด้วยนะ”
“นี่! ยัยอะนา อย่าทำตัวตีเสมอลูกค้าสิยะ” พนิดาว่า
“อุ้ย! ลืมตัว งั้นเดี๋ยวเข้าไปช่วยงานในครัวก่อนนะ”
พูดจบอนามิกาก็คว้าของกินในจานชิ้นหนึ่งใส่ปาก พนิดาตีมืออย่างขำๆ
“เอ๊า!หนักเข้าไปอีก ขโมยกินของลูกค้า” พนิดาพูดยิ้มๆ “เดี๊ยะ..เดี๋ยวไล่ออกซะนี่” พนิดาหันมาพูดกับณภัทรและเมธาวี “เจ๊จำได้นะ ตอนอยู่ลอนดอน นายภัทรนี่กลุ้มใจอะไรไม่รู้ มาเมาที่ร้านเจ๊ซะเละเลย”
“จะบอกให้นะเจ๊ วันเนี้ย ผมกลุ้มยิ่งกว่าวันนั้นอีก มีอะไรแรงๆ ให้ดื่มมั้ย” ณภัทรถาม
“ว๊าย...ฉันไม่ขายย่ะ เดี๋ยวจะไปล็อกตู้สต็อกเหล้าข้างในเลย” พนิดาบอก
“ผมล้อเล่น”
“งั้นแล้วไป เชิญตามสบายนะ เดี๋ยวเจ๊ขอตัวก่อน” พนิดาเดินออกไป
ณภัทรกับเมธาวีนั่งมองกันแต่ทั้งสองเห็นอัธวุธนั่งอยู่ จึงคิดว่าคงคุยเรื่องส่วนตัวไม่ถนัด อัธวุธเริ่มรู้ตัวจึงลุกขึ้น
“ฉันขอตัวก่อนนะ จะไปดูยัยอะนาในครัวซะหน่อย”
อัธวุธลุกไป ทิ้งให้ณภัทรกับเมธาวีนั่งมองหน้ากันอยู่สองคน

อัธวุธยืนคุยกับอนามิกาในครัว ขณะที่แม่ครัวคนหนึ่งกำลังถือมีดเล่มใหญ่หั่นผักอยู่ด้านหลัง
“เป็นไง ฉันรู้งานมั้ย ที่เดินออกมานี่ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้นายภัทรกับยัยเมอยู่กันสองคนหรอกนะ” อัธวุธบอก
“จ้า...รู้งานที่สุด ฉลาด แล้วก็แสนรู้ที่สุด” อนามิกาประชด
“อันสุดท้ายนี่ฉันไม่รับได้มะ นี่! แล้วเธอล่ะยะ อุตส่าห์เรียนด้านแฟชั่นมาจากลันดั้น แต่ดันมามุดหัวดักดานอยู่ในครัวเนี่ยนะ” อัธวุธหันไปเจอแม่ครัวที่ยืนถือมีดเล่มใหญ่กำลังทำตาเขียวใส่ “อุ้ย!”
อัธวุธยกมือไหว้แม่ครัว “หนูไม่ได้ว่านะค๊า” อัธวุธรีบจูงแขนอนามิกาให้ห่างออกมาแล้วพูดต่อ “ฉันเสียดายความรู้ความสามารถของแกน่ะ”
“แกไม่ต้องซีเรียสเลยยัยอาร์ท ฉันมาทำงานร้านเจ๊เค้าแค่ชั่วคราว แค่หาเงินติดกระเป๋าระหว่างรองาน แล้วก็รออะไรบางอย่างน่ะ”
“อะไรบางอย่างที่ว่านี่คืออะไรเหรอยะ” อนามิกาจะตอบ แต่อัธวุธรีบปรามไว้ “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งบอก ให้ฉันทายนะ” อัธวุธตอบอย่างมั่นใจสุดๆ “เรื่องอีตาณดลใช่มั้ยล่า”
“ไม่ใช่!”
อัธวุธหน้าแตก “อ้าว…งั้นเรื่องอะไรเหรอ”
“คอลเลจที่เราเรียนที่ลอนดอนน่ะ เค้ามีทุนการศึกษาฟรี เป็นมาสเตอร์ดีกรีด้าน fashion business คอร์สสองปีเลยนะแก ฉันก็เลยคิดว่าจะลองลุ้นดู”
“อื้อ..เอาสิ เผื่อฟลุ้คนะแก”
“ฉันส่งเอกสารกับตัวอย่างงานไปให้เค้าพิจารณาแล้ว ถ้าได้ไปอยู่ไกลๆ ซะ บางที อาจจะทำให้ฉันลืมเรื่องแย่ๆ ที่นี่ได้บ้างน่ะ”
อนามิกาซึมเศร้าลงไป อัธวุธแตะตัวอนามิกาอย่างให้กำลังใจ









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:06:10 น.
Counter : 195 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 11 ต่อ



ณดลหน้าเครียดยืนเคลียร์อยู่กับณภัทรที่กำลังยืนหน้าจ๋อยเพราะกลัวพี่ชายด่าอยู่ที่มุมลับตาคนในโรงพยาบาล

“เป็นเพราะแกไม่อยากจะแต่งงานกับน้องแพร แกก็เลยต้องหลอกทุกคนว่าอะนาเป็นเมียแกที่กำลังท้องอยู่เนี่ยนะ”
ณภัทรไม่กล้าสบตาพี่ชาย “ชะ..ใช่ครับพี่”
“แกไปเอานิสัยโกหกหลอกลวงแบบนี้มาจากไหน ถึงได้หลอกฉัน หลอกได้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่”
ณภัทรพูดสวนขึ้น “แล้วถ้าเป็นพี่ พี่จะทำยังไงล่ะครับ”
“หา...ว่าไงนะ นี่แกกล้าย้อนฉันเหรอ”
“ผมไม่ได้ย้อน แต่ถ้าพี่เป็นผม แล้วถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก บอกผมหน่อยว่าพี่จะทำยังไง”
“ฉัน...ฉันก็จะ...ฉันไม่รู้”
“เห็นมั้ย ถ้าพี่เป็นผม พี่ก็ต้องโกหกเหมือนกันนั่นแหละ”
“ไม่จริง! ฉันจะไม่โกหกทุกคนแบบนี้ ฉันจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง”
“ก็นั่นมันพี่ แต่นี่มันเป็นผม ในบ้านนี้ มีใครฟังคำพูดผมบ้างล่ะ ทุกคนเอาแต่บังคับให้ผมแต่งงานกับน้องแพร แต่มีใครถามผมบ้างมั้ย ว่าผมรู้สึกยังไง”
“นั่นเป็นเรื่องของแก ที่ต้องอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจ ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะทางบ้านเราก็ตกลงกับทางบ้านของเค้าไปแล้ว”

อนามิกาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยสภาพที่หน้าผากมีรอยฟกช้ำและมีผ้าพันแผลเล็กๆ แปะอยู่ อนามิกามองไปรอบๆ อย่างพยายามรวบรวมสติ
นลิณายื่นหน้ามายิ้มเยาะ “ไงจ๊ะอะนา ฟื้นแล้วเหรอ ขอต้อนรับเข้าสู่ โลกแห่ง ‘ความจริง’ นะจ๊ะ”
“พี่อะนา…เป็นยังไงบ้าง” เมธาวีถาม
อนามิกาฝืนยิ้มแล้วตอบเบาๆ “ฉันไม่เป็นไร”
“แต่พวกฉันเป็น” พนารัตน์โพล่งขึ้น
อนามิกามองอย่างงงๆ
“เธอมีอะไรจะแก้ตัวกับพวกฉันมั้ย” พนารัตน์ถาม
อนามิกางง “แก้ตัวอะไรคะ”
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ พี่อะนาเพิ่งฟื้นขึ้นมาเอง เมว่าให้คนเจ็บได้พักผ่อนก่อนดีกว่า”
“งั้นก็รีบพากลับไปพักผ่อนที่เกาะ เธอไหวใช่มั้ย” กอบชัยถาม
อนามิกาค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งบนเตียง “ก็..ไหวค่ะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ คุณผู้หญิง...คุณผู้ชาย”
นลิณาหันมาพูดกับเมธาวี “ไม่อธิบายให้เค้าฟังหน่อยล่ะเม”
“พี่นีน่า...กลับไปที่เกาะแล้วค่อยคุยก็ได้” แพรวาบอก
“นั่นสินะ ฉันว่างานนี้จะเร็วจะช้า ผู้ต้องหาก็ดิ้นไม่หลุดแน่ๆ” เกตนิการ์เอ่ย
“งั้นรีบเรียกหมอมาดูอาการ ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็รีบออกจากโรงพยาบาลเลยดีกว่า” เสรีหันมาหาพนารัตน์และกอบชัย “เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกเยอะ”
อนามิกานั่งงง เมธาวีเอียงหน้ากระซิบ
“พี่อะนา คือว่าทุกคนรู้...”
อนามิกายกมือปรามให้เมธาวีไม่ต้องพูดต่อ “ฉันพอรู้แล้วหละ ว่าเป็นเรื่องอะไร”
อนามิกาถอนใจอย่างปลงๆ และพร้อมรับกับผลกรรมที่จะตามมา

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงเย็นย่ำ อนามิกานั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพัก ณภัทร เมธาวี อัธวุธ และจ๊อดอยู่ในห้องด้วย ทุกคนมีอาการกลุ้มใจ
“ภัทร...แกต้องช่วยอะนาบ้างนะ ไม่งั้นมีหวังโดนทุกคนรุมซักฟอกตายแน่”อัธวุธบอก
“ฉันรู้...” ณภัทรพูดกับอนามิกา “อะนา เธอไม่ต้องพูดอะไรนะ ฉันจะเคลียร์กับคุณพ่อคุณแม่ให้เอง”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกภัทร คิดเรื่องตัวนายเองเหอะ ทำยังไงนายถึงจะไม่โดนบังคับให้แต่งงานกับคุณแพรเค้าน่ะ” อนามิกาพูด
เมธาวีได้ยินเรื่องนี้ก็ถึงกับเศร้า
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทุกคนชะงักแล้วหันไปที่ประตู ณดลเปิดประตูเข้ามา
“พี่ณดล” ณภัทรตกใจ
“คุณพ่อคุณแม่เรียกแกไปกินข้าว” ณดลบอก
“ครับพี่” ณภัทรหันมาพูดกับทุกคน “พวกเราออกไปกินข้าวพร้อมๆ กันมั้ย”
ณดลเน้นคำด้วยเสียงดุ “คุณแม่เรียกแกไปคนเดียว”
“อ้อ...ครับ..”
ณภัทรค่อยๆ เดินไปช้าๆ แล้วหันมาพยักหน้ากับเพื่อนๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
ณดลเดินเข้ามายืนข้างเตียงอนามิกา แล้วมองหน้าเมธาวีกับอัธวุธ
“ฉันขอคุยกับอะนาหน่อยได้มั้ย”
อัธวุธกับเมธาวีอึกอัก “เอ่อ...”
อัธวุธกับเมธาวีหันมามองหน้าปรึกษากัน แต่พอทั้งสองหันไปทางอนามิกา อนามิกาก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร อัธวุธกับเมธาวีจึงยอมเดินออกจากห้องไป

อัธวุธกับเมธาวีเดินออกมาจากห้องอย่างไม่เต็มใจนักเพราะยังเป็นห่วงอนามิกา
เมธาวีพูดเบาๆ “พี่อะนาจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”
อัธวุธกระซิบตอบ “นั่นสิ...มีหวังเจออีตาณดลจอมดุด่ากระจายแน่” อัธวุธฉุกคิดขึ้นได้ “ถ้าอยากรู้ให้แน่..ก็ต้อง”
อัธวุธกับเมธาวีพยายามเอาหูแนบประตูเพื่อแอบฟังเสียงในห้อง แต่สักครู่ทั้งสองก็ได้ยินเสียงทัก
“ทำอะไรกันน่ะ”
อัธวุธตกใจรีบหันมา “ห๊ะ?!! ไอ้จ๊อด”
“แอบฟังอะไรอยู่เหรอครับ” จ๊อดถาม
อัธวุธรีบเอานิ้วจุ๊ปากปราม “ชู่ว..จะเสียงดังทำไม มานี่...วงแตกเล๊ย..เวรกรรม”
อัธวุธกับเมธาวีพากันจูงจ๊อดออกไป เมธาวีเหลียวมองไปที่ประตูเพราะเป็นห่วงอนามิกา

ณดลมองด้วยจ้องอนามิกาด้วยสายตาจับผิดไม่วางตา อนามิกานั่งนิ่งบนเตียงสักพักก็ชักอึดอัดจึงเอ่ยขึ้น
“อยากจะด่าอะไรฉันก็ว่ามาเลยค่ะ”
“แล้วเธอล่ะ อยากจะแก้ตัวอะไรก็ว่ามา”
“คงไม่มีอะไรจะแก้ตัวหละค่ะ เพราะฉันเองก็ทำไปโดยเจตนา”
“ในสายตาเธอ ฉันคงเป็นแค่ไอ้หน้าโง่ที่โดนเธอหลอกแล้วหลอกเล่า อย่างงั้นใช่มั้ย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน เธอก็หลอกฉันมาตลอด”
“ฉัน...ขอโทษ”
“ขอโทษงั้นเหรอ” ณดลตวาดใส่อย่างเหลืออด “กับการที่เธอมาล้อเล่นกับความรู้สึกฉัน รู้มั้ยว่าฉันเสียความรู้สึกแค่ไหน ทั้งหมดที่เธอทำลงไป เธอพูดได้แค่คำว่าขอโทษเนี่ยนะ”
“แล้วฉันจะทำอะไรได้มากกว่านี้ล่ะ ฉันเองก็อึดอัดเหมือนกัน ที่ต้องคอยโกหกคุณ อันที่จริง ฉันก็ตั้งใจจะบอกความจริงคุณอยู่แล้ว”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอกอะนา จะบอกตอนไหน เธอมันก็ไอ้แค่คนลวงโลกอยู่ดี”
“ก็ใช่...จะเรียกฉันอย่างงั้นก็ได้ ถ้าจะไม่คิดว่าที่ฉันทำไปก็เพราะต้องช่วยน้องชายคุณ”
“ช่วยอะไร ฉันรู้ความจริงจากไอ้ภัทรแล้ว ที่เธอหลอกฉัน ก็เพราะหวังเงินค่าจ้าง นอกจากจะเป็นคนหลอกลวงแล้ว เธอยังเป็นคนเห็นแก่เงินอีกด้วย พอกันที ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีกแล้ว”
พูดจบณดลก็เดินปึงปังออกจากห้องไป อนามิการู้สึกเจ็บแปลบในใจแต่ก็พยายามปลงเพราะจนปัญญาจะอธิบายให้ณดลมองตนในแง่ดีได้

ณภัทรนั่งเกร็งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพราะรู้สึกถึงสายตาของ กอบชัย พนารัตน์ และเสรีที่จับจ้อง มาที่ตน ทุกคนบนโต๊ะยังไม่มีใครแตะต้องอาหาร สักครู่พนารัตน์จึงพูดขึ้น
“ภัทร...รีบกราบขอโทษคุณเสรี เดี๋ยวนี้”
ณภัทรอึดอัดเพราะทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...”
กอบชัยดุ “เร็วสิ แกกุเรื่องหลอกลวงผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ยังจะไม่สำนึกอีกเหรอ”
“ครับๆ” ณภัทรขยับจะนั่งกับพื้นเพื่อกราบแทบตักของเสรี
เสรีรีบปราม “เอาเถอะๆ ไม่ต้องหรอก” เสรีหันมาที่พนารัตน์ “เดี๋ยวเด็กๆ เค้าจะพาลเครียด ทานข้าวไม่อร่อยกันไปซะ”
ณภัทรกลับมานั่งแล้วยกมือไหว้เสรี “ผมขอโทษครับ”
“แล้วก็รีบขอโทษน้องแพรเค้าด้วย” พนารัตน์บอก
ณภัทรยังพนมมืออยู่แล้วจะหันไปที่แพรวา
แพรวารีบท้วง “อย่าถึงกับไหว้เลยค่ะคุณภัทร แพรไม่กล้ารับหรอกค่ะ”
“มาๆๆ ผมว่าเราทานข้าวกันดีกว่า” เสรีตัดบท “นะ...บรรยากาศกำลังดีๆ มา..ทานข้าวๆ”
พนารัตน์กับกอบชัย พยักหน้ารับแล้วเริ่มลงมือกินข้าว ณภัทรยังนั่งเกร็งๆ เครียดๆ ไม่ตักข้าวกิน ในขณะที่แพรวา กอบชัย พนารัตน์และเสรีต่างก็กินข้าวกันเป็นปกติ
“อ้าว...ไม่ทานล่ะนายภัทร” เสรีทักแล้วหันมาทางแพรวา “น้องแพรตักกับข้าวให้พี่ภัทรเค้าสิลูก ต่อไปนี้ แพรต้องดูแลภัทรเค้าให้ดี ไม่มีขาดตกบกพร่องนะ”
แพรวาอาย “เอ่อ...คุณพ่อขา...”
“นี่คุณเสรี เล่นพูดกับลูกสาวแบบนั้น เค้าก็เขินแย่สิคะ” พนารัตน์บอก
“คนเป็นพ่อคงเลี้ยงลูกสาวได้ไม่ถนัดอย่างคนเป็นแม่ใช่มั้ยคุณรัตน์” กอบชัยถาม
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มีแต่ลูกชายสองหน่อเนี่ย” พนารัตน์บอก
“ก็นี่ไงคุณรัตน์” เสรีแตะที่ศีรษะของแพรวาอย่างเอ็นดู “กำลังจะได้มีลูกสาวคนใหม่อยู่นี่ไง”
“เอ้อ...” พนารัตน์หันไปยิ้มแย้มกับกอบชัย “จริงด้วยสินะคุณ”
ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสยกเว้นณภัทรที่ดูหมองเศร้าแต่ก็ไม่กล้าออกปากอะไรเพราะยังจ๋อยที่โดนทุกคนจับโกหกได้อยู่

อนามิกาที่ใบหน้ายังมีผ้าปิดแผลเดินเศร้าอยู่คนเดียวที่ริมหาดตอนกลางคืน แล้วเธอก็มาหยุดยืนทอดสายตาไปยังทะเล สักพักเมธาวีก็เดินผ่านมา เมธาวีเห็นอนามิกายืนอยู่จึงเดินมายืนข้างๆ
“พี่อะนา” เมธาวีสวมกอดอนามิกา “พี่ณดลเค้าโกรธพี่หรือเปล่า”
อนามิกาแสร้งยิ้มฝืนๆ “จะเหลือเหรอ” อนามิกาลูบศีรษะเพื่อนรุ่นน้องอย่างเอ็นดู “ว่าแต่เธอล่ะเม อย่าเพิ่งหมดหวังกับเรื่องนายภัทรนะ บางทีนายภัทรอาจจะกล้าลุกขึ้นมาปฏิเสธงานแต่งงานกับคุณแพรเค้าก็ได้”
“พี่อะนา...พี่ไม่ต้องพยายามปลอบเมหรอก เมรู้ดีว่า เมหมดหวังแล้ว”
“ของอย่างงี้มันไม่แน่หรอกนะเม”
“เชื่อเมสิ นายภัทรปฏิเสธพ่อแม่ แล้วก็พี่ชายของเค้าไม่ได้หรอกค่ะ ว่าแต่พี่เหอะ มีทางที่เคลียร์กับพี่ณดลได้มั้ย”
อนามิการู้สึกเจ็บขึ้นมาเพราะเมธาวีพูดแทงใจดำ “ไม่มีทางหรอกเม คุณณดลเค้าด่าว่าฉันเป็นคนหลอกลวง แล้วก็เห็นแก่เงิน...” อนามิกาถอนใจ “เฮ่อ..แต่มันก็คงจริงของเค้า”
“แล้วกลับไปกรุงเทพฯ พี่อะนาจะทำยังไงต่อคะ”
“จะทำยังไงล่ะ ก็คงต้องรีบเก็บข้าวของเผ่นออกมา ก่อนเจ้าของบ้านเค้าจะไล่ตะเพิดเอาน่ะสิ”
“มาอยู่บ้านพี่อาร์ทกับเมมั้ย กลับมาอยู่กันสามคน เหมือนสมัยตอนอยู่ลอนดอนอีกไง”
อนามิกาส่ายหน้า “ไม่หละ ฉันคงออกไปอยู่กับพี่ธัญญา พี่สาวของฉันน่ะ”
“เมว่า..พี่ณดลเค้าชอบพี่อะนานะคะ ยิ่งได้รู้ว่าจริงๆ แล้วพี่อะนาไม่ได้มีอะไรกับนายภัทร ลึกๆ พี่ณดลเค้าก็น่าจะรู้สึกดีนะพี่” เมธาวีให้กำลังใจ
“หยุดพูดเหลวไหลซะทีเถอะ คนอย่างคุณณดล ไม่เคยมีใครมาลบเหลี่ยม กล้าโกหกหลอกลวงเค้าขนาดนี้ เค้าคงเกลียดฉันแล้วหละ”
อนามิกาเศร้าแต่ก็พยายามแอบปาดน้ำตาเพราะไม่อยากให้เมธาวีเห็น
“พี่อะนา..ทำไมเราสองคนต้องมารู้สึกแย่พร้อมๆ กันแบบนี้นะ”
เมธาวีสวมกอดอนามิกาแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมา
อนามิกาพยายามกอดปลอบแต่ตัวเองก็น้ำตาไหลเพราะสะท้อนใจเรื่องของตนเองด้วย

กรุงเทพยามเช้าตรู่เต็มไปด้วยรถราขวักไขว่ ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ความเจริญ และวุ่นวายผสมปนเปอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้
ศรีหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าเดินทางเต็มสองมือเดินเข้าประตูบ้านณดลไปวางในห้องรับแขก แล้วรีบรี่ออกมารับกระเป๋าจากณภัทรและจากอนามิกา พอกำลังจะเข้าบ้านไป ก็ได้ยินเสียงของพนารัตน์โพล่งขึ้น
“ไม่ต้อง”
ศรีงง “ขา?”
พนารัตน์ กอบชัย และณดลเดินตามณภัทรและอนามิกามา
“กระเป๋าของแม่อะนา กองไว้หน้าบ้านน่ะแหละ” พนารัตน์สั่ง
ศรีงง “เอ่อ..วางไว้ตรงนี้เลยเหรอคะ”
“แล้วก็รีบขึ้นไปช่วยอะนาเค้าเก็บเสื้อผ้าข้าวของบนห้องด้วย” กอบชัยสั่งต่อ
ศรีงงหนัก “เดี๋ยวนี้เลยเหรอคะ”
“ใช่...อะนาเค้าจะย้ายออกไป เค้าจะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว” พนารัตน์หันไปที่อนามิกา “ใช่มั้ย”
อนามิกาอึ้ง ณภัทรมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
พนารัตน์ถามอย่างใส่อารมณ์ “ฉันถามว่าเธอจะออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้ ใช่มั้ย”
อนามิกาตอบเสียงเศร้า “คะ..ค่ะ คุณผู้หญิง”
ณดลได้แต่ยืนมองอนามิกาด้วยความรู้สึกที่สับสน เพราะทั้งโกรธ ทั้งเห็นใจอนามิกา

ณภัทรพยายามอธิบายให้กอบชัยและพนารัตน์ฟัง โดยมีณดลมองอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนไล่อะนาเค้าแบบนี้เลยนี่ครับ ยังไงเค้าก็จะย้ายออกไปอยู่แล้ว คนที่ผิดจริงๆ คือผมมากกว่า”
“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วแกยังคิดจะแก้ตัวให้ยัยอะนาอีกเหรอ” พนารัตน์ถามฉุนๆ
“ก็อะนาเค้าไม่ได้ผิดอะไร ผมต่างหากที่เป็นคนขอร้องให้เค้าต้องทำแบบนี้”
พนารัตน์สวนขึ้น “หุบปากเดี๋ยวนี้”
ณภัทรหุบปากทันทีเมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองอารมณ์ขึ้นอย่างจริงจัง
“แกกับยัยอะนาทำเหมือนทุกคนโง่เง่า แล้วยังจะมีหน้ามาขอความเห็นใจอีกเหรอ”
“พ่อก็ว่าสมควรแล้วนะ” กอบชัยโพล่งขึ้น “พ่อกับแม่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เพื่อนเล่นที่จะมาหลอกกันแบบนี้”
“แต่มันก็ผิดที่ผม ไม่ได้ผิดที่อะนา” ณภัทรบอก
ณดลพูดสวนขึ้น “โกหกปลิ้นปล้อนแบบนี้ ยังไม่เรียกว่าผิดอีกเรอะ แกหยุดแก้ตัวแทนยัยอะนาซะทีเถอะ คนดีๆ ที่ไหนเค้าจะมารับจ้างหลอกลวงชาวบ้านแบบนี้”
“พี่ณดล เพราะอะนาเป็นเพื่อนผมต่างหาก เค้าถึงช่วยผม”
“แต่ลองแกไม่มีค่าจ้างให้ เค้ายังจะช่วยแกอยู่หละมั้ง” ณดลถาม
“อะนาไม่ใช่คนเห็นแก่เงินขนาดนั้น นี่เค้ายังไม่เอ่ยปากทวงผมเรื่องค่าจ้างด้วยซ้ำ”
“ภัทรเอ๊ย...แกมันยังเด็ก คงไม่ทันพวกสิบแปดมงกุฎ พวกต้มตุ๋น” กอบชัยว่า
“แต่อะนาไม่ใช่คนแบบนั้นนะครับคุณพ่อ” ณภัทรพยายามพูด
“โอ๊ย..จะให้พวกฉันไว้ใจแม่นี่อีกรึไง เงียบทีเถอะภัทร” พนารัตน์ตวาด
ณภัทรหยุดพูดแต่สีหน้าท่าทางก็ยังยืนยันอยู่ข้างอนามิกา
“ณดล” พนารัตน์เรียก
“ครับคุณแม่” ณดลรับคำ
“ขึ้นไปเฝ้าแม่อะนาเค้าหน่อยไป ไม่ใช่ว่ามัวแต่มาเถียงกันอยู่ตรงนี้ แต่บนห้องนั่นโดนยกเค้าไปซะหมด”
ณภัทรอ่อนใจ “คุณแม่!”
พนารัตน์วางเฉยใส่ณภัทร ณภัทรถอนใจเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงให้พ่อกับแม่เข้าใจ









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:04:18 น.
Counter : 245 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 11



ณภัทรอุทานเสียงหลง หลังจากรู้เรื่องของอนามิกาจากปากเมธาวี

“ว่าไงนะ! อะนาจะบอกความจริงกับพี่ณดลเนี่ยนะ”
เมธาวีพยักหน้ายืนยัน “ใช่ พี่อะนาเค้าตัดสินใจแล้ว”
ณภัทรลนลาน “เฮ้ย...ไม่ได้นะ ขืนบอกความจริงไปตอนนี้ ฉันก็โดนจับแต่งงานกับคุณแพรเท่านั้นสิ ไหน...ตอนนี้ยัยอะนาอยู่ไหน”
“อยู่...” เมธาวีหน้าแหย “อยู่กับพี่ณดลน่ะสิ”
ณภัทรร้องเสียงหลง “หา?”
ณภัทรหน้าเหวอสุดๆ เพราะคิดว่างานนี้มีหวังโดนจับแต่งงานแน่นอน

ณดลกับอนามิกายืนนิ่งจ้องตากันอยู่ที่ชายหาด สปีดโบ๊ทลำหนึ่งแล่นตรงมาที่หาด
“ก็ว่ามาสิ...ไหน...ความจริงอะไรของเธอ” ณดลถาม
อนามิกาลังเลสักครู่แล้วก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา “ความจริงแล้ว ฉันไม่ใช่...”
ทันใดนั้นเสียงอัธวุธก็ดังขึ้น “วู้ว”
อนามิกาชะงัก ณดลและอนามิกาหันไปตามเสียงก็เห็นเรือสปีดโบ๊ทแล่นเข้าฝั่ง บนเรือมีจ๊อดโบกไม้โบกมือและอัธวุธใส่แว่นดำกรอบโตยืนเฉิดฉายพร้อมกับชูผ้าสีสวยพลิ้วเป็นทางยาวขึ้นมา
อัธวุธตะโกนมาอย่างใส่จริตจกร้าน “เซอร์ไพรส์....”
จ๊อดตะโกนด้วย “จ๊อดก็มาคร้าบ” จ๊อดยกมือไหว้ท่วมหัว “หวัดดีคร้าบ”
ณดลกับอนามิกายืนนิ่งมองหน้ากัน ต่างคนต่างรู้ว่าคงไม่เหมาะจนสนทนาในเรื่องที่ค้างไว้ต่อไป ทั้งสองเดินไปที่ชายหาด
เรือสปีดโบ๊ทแล่นมาจอด อัธวุธแต่งตัวจัดจ้าน มีทั้งเสื้อคลุมพลิ้วไหวสีสันบาดตาบาดใจ
อัธวุธเห็นทั้งสองดูนิ่งๆ ไม่ยิ้มแย้ม “ไงยะ อึ้งกันไปเลยดิ” อัธวุธโพสต์ท่าเหยียบกราบเรือ “อันนี้ชุดเที่ยวทะเลชิลๆ นะยะ เดี๋ยวเจอจัดเต็มแบบเทศกาลแฟชั่นออนเดอะบีช”
อัธวุธก้าวลงจากเรือ แต่พลาดหน้าคว่ำ คะมำลงพื้นดังตุบ จ๊อดฮาแตก
“ฮ่าๆๆ พี่อาร์ทเอ๊ย...ไหวมั้ยเนี่ย”
อัธวุธลุกขึ้นมายืนพอยท์เท้าอย่างมั่นใจ แล้วมองเหล่ดุจ๊อด “นี่..มาด้วยกัน ไหงทับถมกันแบบนี้ล่ะยะ” อัธวุธพูดกับอนามิกา “วันก่อนไปนั่งร้านเจ๊แพนด้า เค้าได้ยินฉันบ่นว่าอยากตามแกมาเที่ยวที่นี่ เจ๊เค้าเลยฝากไอ้จ๊อดมาเที่ยวด้วย”
“แกก็บ้าจี้พามาด้วยเนี่ยนะ แล้วรับผิดชอบลูกเค้าไหวเรอะ” อนามิกาถาม
“ไหวสิยะ จะยากอะไร ให้เป็นเบบี้ซิทเตอร์ เป็นแม่นม ฉันทำได้ทั้งนั้น”
ณดลเดินมาช่วยอุ้มจ๊อดลงจากเรือ คนขับเรือช่วยแบกกระเป๋าเดินทางเต็มสองมือมาวางให้
“ยังจำกันได้มั้ยเนี่ย” ณดลถาม
“จำได้สิครับ พี่ณดล แล้วพี่จำผมได้มั้ย” จ๊อดถามกลับ
“ได้สิครับ คุณจ๊อด” ณดลอุ้มหิ้วปีกจ๊อดมาวางให้ยืนบนหาดทราย
อัธวุธย่อตัวไหว้ณดลอย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะคุณณดล เมื่อกี้อาร์ทมาขัดจังหวะพี่กำลังคุยอะไรกันอยู่รึเปล่าคะ”
“ก็..เอ่อ...” ณดลเหลือบมองอนามิกา
“เปล่านี่ ไม่มีอะไร” อนามิกาตัดบท “ไป! ยัยอาร์ท แกกับจ๊อดรีบเข้าที่พักก่อนดีกว่า”
“อะจร้า...” อัธวุธหันมาหาจ๊อด “ไป! หน้าเดิน”
อัธวุธ จ๊อด และอนามิกาช่วยกันหอบหิ้วสัมภาระเดินขึ้นหาดไป ทิ้งให้ณดลยืนมองตามไป อย่างคาใจว่าอนามิกาจะบอกอะไรกับตน

ณภัทรกับเมธาวีกำลังเดินเพื่อจะไปหาอนามิกา พอเห็นอนามิกาเดินสวนมาก็ชะงัก ณภัทรรีบพูดขึ้น
“อะนา...นี่เธอบอกความจริงพี่ณดลไปแล้วเหรอ”
อนามิกาส่ายหน้า “ยัง”
ณภัทรถอนใจ “โล่งอกไปที ขอร้องหละนะ เวลานี้เรายังไม่ควรบอก...เฮ้ย!”
ณภัทรตกใจที่เห็นจ๊อดหอบสัมภาระวิ่งรี่เข้ามายกมือไหว้ทุกคน โดยมีอัธวุธเดินตามมาห่างๆ
“หวัดดีคร้าบ...” จ๊อดทักทาย
“มาได้ไงเนี่ยจ๊อด อ้าว! อาร์ท แกลักพาตัวลูกเจ๊แพนด้ามาเรอะ” ณภัทรถาม
อัธวุธป้องปากพูด “ก็สงสารเด็กมันน่ะ เกิดมายังไม่เคยเห็นชายหาดสวยๆ แบบนี้เลยนะ”
“ก็แหม..จ๊อดเค้าเป็นเด็กลอนดอนนี่” เมธาวีบอก
อัธวุธป้องปากถามอนามิกาเพราะกลัวจ๊อดได้ยิน “แล้วเป็นไงยะ บทบาทเมียท้องอ่อนๆ ของเธอยังไปได้ฉลุยมั้ย”
เมธาวีสะกิดอัธวุธแรงๆ “อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้มั้ย คนเค้ากำลังซีเรียสกัน”
“แกนี่ไม่ได้รู้จักกาลเทศะเล๊ย” ณภัทรว่า
“เง้อ...ฉันผิดอะไรเนี่ย” อัธวุธงง
อนามิกาพูดกับอัธวุธ “แกกับเมพาจ๊อดเข้าที่พักก่อนไป ขอฉันคุยกับนายภัทรหน่อย”
“อุ๊ยตาย..อะไรยะ นี่มีความลับอะไรกัน ฉันตกข่าวอยู่คนเดียวใช่มั้ยเนี่ย”
“มานี่เหอะน่าพี่อาร์ท” เมธาวีดึงแขนอัธวุธ
จ๊อดยืนถือสัมภาระรออยู่ ก็หันมาเร่ง “เร็วสิคร้าบ ให้เด็กรออยู่ได้”
“เจ้าคร๊า คุณหนู” อัธวุธรับคำ
อัธวุธกับเมธาวีเดินตามจ๊อดที่เดินนำไปยังที่พัก อัธวุธเหลียวหลังมาพูดกับณภัทรกับอนามิกา
“เดี๋ยวคุยกันเรียบร้อยว่ายังไง ต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยนะยะ”
ทุกคนเดินออกไป ทิ้งให้ณภัทรอยู่กับอนามิกาเพียงลำพัง อนามิกาหน้าเครียดมองตาณภัทร ณภัทรเองก็หนักใจเพราะรู้สึกเห็นใจอนามิกาเช่นกัน

ณภัทรยืนคุยกับอนามิกา
“ไม่ได้ ฉันรู้สึกผิดจนทนไม่ไหวแล้ว” อนามิกาบอก “คุณพ่อคุณแม่นายก็เริ่มดีกับฉัน พี่ชายนายก็ดีกับฉัน จะให้ฉันโกหกพวกเค้าอีกต่อไปได้ยังไง”
“อะนา...ยังไงฉันก็เปลี่ยนใจเธอไม่ได้ใช่มั้ย” ณภัทรถาม
อนามิกามองหน้าณภัทร “นายก็รู้จักนิสัยฉันดีนี่”
ณภัทรถอนใจ “งั้น...อย่าเพิ่งเป็นที่นี่ได้มั้ย ฉันขอเวลาอีกหน่อย ให้เราทุกคนกลับบ้านกันก่อน แล้วเธอค่อยบอกความจริงได้มั้ย”
“ทำไม จะช้าจะเร็ว ฉันก็ต้องบอกอยู่ดี”
“แต่ฉันอยากให้เธอบอกความจริงกับครอบครัวฉันเป็นการภายใน ฉันไม่อยากให้พูดต่อหน้าคุณแพรวาเค้า”
อนามิกาลังเล
“ให้ฉันเคลียร์กับทุกคนในบ้านก่อน แล้วค่อยให้พวกคุณแพรรู้จะดีกว่านะ” ณภัทรขอ
อนามิกาคิดหนัก
“ขอร้องหละ คิดว่าช่วยชีวิตเพื่อนอีกซักครั้งนะอะนา”
อนามิกาครุ่นคิดตามอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ได้...”
ณภัทรดีใจ จับมืออนามิกา “ขอบคุณมากอะนา”
อนามิกาชักมือกลับ “ไม่ต้องมาขอบคุณ กลับไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ฉันจะรีบบอกความจริงทั้งหมดกับทุกคนทันที”
อนามิกาพูดอย่างมุ่งมั่นเอาจริง ณภัทรได้แต่สยองเพราะกลัวเรื่องใหญ่ที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้

ณ บริเวณที่ขึ้นเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการัง นลิณากำลังจัดแจงแบ่งกรุ๊ปดำน้ำให้ทุกคน
“กิจกรรมสำหรับวันนี้ เราจะออกเรือไปดำน้ำดูปะการังกัน” นลิณาบอก
จ๊อดดีใจ “เย๊...อยากไปดำน้ำจังเล๊ย”
“ดำน้ำเป็นด้วยเหรอจ๊อดน่ะ” อัธวุธถาม
จ๊อดส่ายหน้า “ไม่เป็นอ่ะ”
ทุกคนพูดพร้อมกัน “เอ๊า...”
“ฉันว่านะ” เกตนิการ์พูดกับอัธวุธ “เธอกับยัยเม ยัยแพร อยู่ดูแลเด็กที่นี่ดีกว่า”
“อ้าว..ทำไมล่ะ นึกว่าจะไปด้วยกันทั้งหมดนี่” เมธาวีงง
“แพรดำน้ำไม่ค่อยเป็น เอาแค่ snorkeling ดูปะการังน้ำตื้นแถวนี้ก็พอค่ะ” แพรวาบอก
“น้ำตื้นๆ แล้วปะการังจะสวยเหรอครับ” ณภัทรถาม
“สวยค่ะ แพรถามพวกคนงานที่นี่มาแล้ว”
“ก็ดีนะ จะได้หมดห่วงเรื่องเด็ก หรือบางคนที่ดำน้ำ ว่ายน้ำยังไม่แข็ง” ณดลพูด
“งั้นเราไปกันแค่สี่คนก็ดีนะคะ คุณณดล อนามิกา เกตนิการ์ แล้วก็ฉัน” นลิณาสรุป
“อ้าว..แล้ว..” ณภัทรชี้ตัวเอง
“ฉันฝากช่วยดูแลน้องแพรหน่อยนะ” นลิณาบอก
“แต่ว่า...” ณภัทรจะพูดต่อ
นลิณารีบตัดบท “ไปๆๆ เร็วเข้า เรือเค้ารอพวกเราแล้ว”
ทุกคนขยับเตรียมจะขึ้นเรือ นลิณาเดินมาที่เกตนิการ์แล้วแอบยิ้มร้ายๆ ให้กันก่อนจะหันไปมองที่อนามิกาเพราะทั้งสองรู้กันว่ามีแผนร้ายจะเล่นงานอนามิกา

เรือแล่นอยู่กลางทะเล ณดลกำลังจะเดินขึ้นดาดฟ้าของเรือ อนามิกาเดินลงบันไดสวนมาพอดี ณดลเห็นก็ชะงัก
“เธอมีความจริงอะไรจะบอกฉันเหรอ” ณดลถาม
“เอ่อ...เปล่านี่คะ” อนามิกาตอบ
“เปล่าอะไร ก็ก่อนหน้านี้เธอบอกเองว่ามีความจริงบางอย่างจะบอกฉัน”
อนามิกาหลบตา “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“เธอกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่กันแน่”
“บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ หลีกทางหน่อยได้มั้ย ฉันจะไปห้องน้ำ”
อนามิกาทำบึ้งตึงใส่แล้วเดินชนไหล่ณดลออกไป ณดลจ๋อยไปสักครู่จึงก้าวขึ้นบันไดไป

นลิณานอนอาบแดดสบายใจอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ เกตนิการ์นอนอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบที่อยู่ข้างๆ
เกตนิการ์พูดเบาๆ “นีน่า ทำไมเธอชิลอย่างงี้ล่ะ ไหนบอกจะมาเล่นงานยัยอะนากันไง”
“แล้วเธอจะรีบทำไม ดำน้ำดูปะการังให้สบายใจก่อนก็ได้ ยังไงมันก็ต้องอยู่บนเรือลำนี้ จะหนีเราไปไหนได้”
เกตนิการ์หันไป “อุ๊ย! คุณณดลมา”
“เธอก็รีบลุกไปสิยะ” นลิณาบอก
ณดลเดินมา เกตนิการ์รีบลุกให้
“คุณณดลเชิญเลยค่า”
“ไปเอาน้ำส้มเย็นๆ ให้คุณณดลด้วย” นลิณาสั่ง
เกตนิการ์ถอนใจอย่างเซ็งๆ แต่ก็ยอมไปหยิบน้ำส้มขวดเล็กๆ จากกระติกน้ำแข็งมายื่นให้
ณดลรับมา “ขอบคุณนะ”
ณดลเปิดขวดน้ำส้มดื่ม นลิณาเข้าขยับมาถาม
“นี่คุณณดลทาครีมกันแดดหรือยังคะ”
“ก็ทามานิดหน่อยก่อนออกจากห้องแล้วหละ” ณดลตอบ
“โอ๊ย...ต้องทาอีกครั้งนะคะ วันนี้แดดแรงด้วย เดี๋ยวผิวก็ไหม้กันพอดี”
นลิณาหันไปขยิบตากับเกตนิการ์เพื่อขอครีมกันแดด เกตนิการ์รู้สึกขัดใจแต่ก็ยอมไปหยิบครีมกันแดดจากกระเป๋าที่วางไว้แถวนั้นให้
“ขอบใจจ้ะ” นลิณาพูด
นลิณาลูบไล้ทาครีมกันแดดให้ณดล เกตนิการ์มองหน้านลิณาอย่างรู้ทัน แล้วก็ส่ายหัวใส่ เชิงแกล้งเพื่อน นลิณาเลยยิ่งลูบไล้หนักขึ้นแล้วทำหน้าล้อเลียนเกตนิการ์บ้าง
ณดลรู้สึกว่าครีมชักเยอะเลยขยับตัว “เอ่อ..ผมว่าไม่ต้องแล้วดีกว่า ผมทาเองดีกว่าเดี๋ยวมันจะดูไม่ดีน่ะ”
“ทำไมล่ะคะ ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณณดลอย่าคิดมากสิ”
อนามิกาเดินขึ้นมาเห็นณดลอยู่กับนลิณาก็ชะงัก
ณดลเงยหน้ามาสบตากับอนามิกา ต่างคนต่างนิ่งมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ณดลเห็นท่าทีมึนตึงจากอนามิกา ก็เลยประชดด้วยการพูดกับนลิณา
“ช่วยทาครีมให้ผมเยอะๆหน่อย”
ณดลขยับหันหลังให้นลิณาพร้อมกับมองสบตาอนามิกาเหมือนประชด อนามิกาหน้าจ๋อย ได้แต่เดินถอยออกไป ณดลมองตามไปจากที่เหมือนจะยิ้มก็กลายเป็นไม่สบายใจกับสิ่งที่ทำลงไป

เรือแล่นมาจอดลอยนิ่งอยู่บริเวณที่จะดำดูปะการัง ณดล อนามิกา นลิณา และเกตนิการ์ อยู่ในชุดที่เตรียมพร้อมจะลงดำน้ำ ทั้งหมดเตรียมตัวลงจากเรือ นลิณาเข้ามาคอยดูแล แตะต้องตัว ทำเป็นตรวจเช็คอุปกรณ์ให้ณดลตลอดเวลา
“คุณณดลต้องอยู่ใกล้ๆ นีน่านะคะ เผื่อว่านีน่าเป็นอะไร จะได้ให้คุณณดลช่วย”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา” ณดลตอบ
ณดล นลิณา และเกตนิการ์ ลงจากเรือไป ส่วนอนามิกานั่งเซ็งอยู่ที่กราบเรือ จนทุกคนค่อยๆ ห่างออกไป อนามิกาจึงค่อยหย่อนตัวลงน้ำ

ทุกคนดำน้ำลงมาที่ใต้ทะเล นักดำน้ำมืออาชีพพาทุกคนแหวกว่าย ชมปะการัง ชมฝูงปลาเล็กปลาน้อยและธรรมชาติอันสวยงามใต้ท้องทะเล

ขณะเดียวกัน อัธวุธก็คอยดูแลจ๊อดอยู่บริเวณน้ำตื้นๆ ส่วนณภัทรกับเมธาวีต่างก็ลอยอยู่ผิวน้ำเพื่อดูปะการังน้ำตื้นด้วยกัน แพรวาใส่หน้ากาก snorkeling กำลังลอยตัวบนผิวน้ำแล้วก้มหน้าดูปะการังแยกออกมาจากกลุ่ม
แพรวาลอยตัวสักพักก็เอามือปลดหน้ากาก snorkeling ออกแล้วตะโกนร้องเตือนทุกคนที่อยู่ห่างออกไป
“ระวังนะคะ มีหอยเม่นเพียบเลยค่ะ”
อัธวุธซึ่งคอยดูแลจ๊อดอยู่ปลดหน้ากากออกแล้วหันมาร้องถาม
“ว่าไงนะ”
“มีหอยเม่นค่ะ ระวังนะคะ” แพรวาเตือนอีกครั้ง
“หา?! พูดดังๆ หน่อย ฉันไม่ได้ยิน” อัธวุธตะโกน
แพรวาพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้น “มีหอยเม่นค่ะ ระวังอย่าเอาเท้าเหยียบลงพื้นนะคะ”
“อ๋อ...” อัธวุธหันไปบอกณภัทร เมธาวี และจ๊อด “อย่าเอาเท้าเหยียบลงพื้น เดี๋ยวจะเหยียบโดนหอยเม่น” ยังไม่ทันขาดคำอัธวุธก็สะดุ้งสุดตัว “ชะอุ๊ย!”
“เป็นอะไรเหรออัธวุธ” ณภัทรถาม
อัธวุธทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ แล้วแผดเสียงดัง “ฉันโดนหอยเม่นตำ”
ณภัทรกับเมธาวีต่างก็ปลดหน้ากากแล้วหันมาขำกัน จ๊อดก็ปลดหน้ากากกออกแล้วขำอัธวุธเช่นกัน
“อูย...ขำอะไรกันยะ” อัธวุธถาม
“ก็ดูสิ คุณแพรเค้าเพิ่งเตือนไปไม่ทันขาดคำ...” ยังพูดไม่จบ เมธาวีก็ตาโตแล้วสะดุ้งโหยง “อุ๊ย!”
“เป็นอะไรเหรอเม” ณภัทรถาม
เมธาวีทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ “โดนหอยเม่นเหมือนกันน่ะสิ”
อัธวุธขำอย่างสะใจ
“สมน้ำหน้า อยากหัวเราะเยาะฉัน โอ๊ย...อูย...”

แพรวาเดินประคองอัธวุธที่เดินเขยกๆ และมีหน้าตาบูดเบี้ยวเดินขึ้นมาที่ชายหาด จ๊อดก็ขนาบข้างคอยช่วยด้วย ส่วนณภัทรก็ประคองเมธาวีที่โดนหอยเม่นตำฝ่าเท้าเดินขึ้นมา
ที่บริเวณชายหาดเช่นกัน
อัธวุธพูดอย่างสำออย “อู๊ย..ตายแล้ว โอย..ปวด นี่ฉันจะเป็นอะไรมั้ย หอยเม่นมันมีพิษรึเปล่า มันจะลามเข้ามาทางเส้นเลือดใหญ่มั้ย”
“ใช่...คงต้องตัดขาทิ้งแล้วหละ” ณภัทรตอบนิ่งๆ
“หา!!?? ว่าไงนะ” อัธวุธร้องโวยวาย “ไม่นะ ไม่จริง!”
ณภัทรพูดเสียงดังใส่ “เออ! ก็ไม่จริงน่ะสิ”
แพรวากับจ๊อดถึงกับหัวเราะ อัธวุธหันมาตวาด
“ขำอะไรยะ”
แพรวากับจ๊อดรีบหุบปากทันที
“โถ..ยัยอาร์ท..แค่หอยเม่นตำ ทำจะเป็นจะตาย ดูเมซิ เค้ายังไม่เป็นไรเลย” ณภัทรบอก
ทุกคนหันไปมองเห็นเมธาวีเงยหน้าขึ้นมาด้วยหน้าตาเหยเกเหมือนจะร้องไห้
“ใครบอกไม่เป็นไร เจ็บจะตายอยู่แล้ว” เมธาวีบอก
“อุ้ย! งั้นรีบๆ เดินหน่อยพวกเรา อีกแป๊บเดียวนะเม” ณภัทรปลอบ
- ตัดไป -

เมธาวีกับอัธวุธนั่งอยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองต่างไขว่ห้างแล้วเอากุมเท้าข้างที่โดนหอยเม่นตำ จ๊อดกับแพรวายืนดูอย่างเป็นห่วง จ๊อดอยากรู้อยากเห็นจนอดใจไม่ไหวเลยเอานิ้วลองจิ้มฝ่าเท้าของอัธวุธดู
“อ๊าย!” อัธวุธร้องลั่น
“เจ็บมั้ยครับ” จ๊อดถาม
“เจ็บสิยะ แล้วจะจิ้มทำไมเนี่ย”
“ก็อยากรู้ว่าเจ็บรึเปล่า”
ณภัทรเดินมาจากบริเวณที่พัก ในมือของเขาถือขวดน้ำอัดลมไซส์เล็กสองขวดกับจานใส่มะนาวหั่นครึ่งมา 4 ซีก
“นี่เอามาให้ใครทานเหรอคะ” แพรวาถาม
“ไม่ใช่ครับ คุณแพร อันนี้คือการปฐมพยาบาลเวลาโดนหอยเม่นตำครับ” ณภัทรบอก
“มีมะนาวด้วยเนี่ยนะ ไม่เอาพริก เอาน้ำปลามาด้วยล่ะ” อัธวุธประชด
“ก็เนี่ย..แบบตำราชาวบ้านไง คุณแพรทำตามผมนะ”
พูดจบณภัทรก็ย่อตัวลงนั่งแล้วจับเท้าของเมธาวี ก่อนจะบีบมะนาวใส่ฝ่าเท้าที่โดนหนามหอยเม่นตำ
“บีบมะนาวใส่ตรงจุดที่โดนตำ ให้หนามของหอยเม่นนิ่มลง”
แพรวาจับเท้าของอัธวุธแล้วบีบมะนาวใส่ตามที่ณภัทรบอก
“เสร็จแล้วก็เอาขวดนี่ ใช้ตรงก้นขวดนะครับ ตีๆๆไปที่รอยที่โดนตำให้หนามหอยเม่นมันสลายไปน่ะครับ”
ณภัทรเอาก้นขวดทุบเบาๆ ที่ฝ่าเท้าของเมธาวี แพรวาขยับจะหันไปหยิบขวดแต่เห็นจ๊อดถืออยู่แล้วในมือ
“เดี๋ยวจ๊อดทุบให้เองครับ” จ๊อดอาสา
แล้วจ๊อดก็ทุบแบบใส่ฝ่าเท้าอัธวุธแบบไม่ยั้งด้วยความเมามัน
“อ๊ากก...ไอ้จ๊อด เบา...โอ๊ย...เบา อูย..” อัธวุธโอดครวญ
แพรวาขำแล้วถอยออกมายืนดูปล่อยให้จ๊อดทำเต็มที่ พอเหลือบมองไปที่ณภัทรกับเมธาวีแพรวาก็ถึงกับสลดเพราะเธอเห็นณภัทรที่ย่อตัวลงกำลังใช้มือหนึ่งประคองฝ่าเท้าเมธาวีอย่างทะนุถนอม ส่วนอีกมือใช้ก้นขวดทุบเบาๆ แถมยังส่งสายตาอย่างเป็นห่วงเป็นใยให้กันอีกด้วย
แพรวาถอยออกมาเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีใครสนใจ

กอบชัยกับพนารัตน์เดินเคียงข้างกันไปที่บริเวณเคาน์เตอร์เช็คอินของที่พัก
“บอกตรงๆ นะคุณกอบ ฉันสังหรณ์ใจว่าที่คุณเสรีเจาะจงจะมาหาเราที่นี่ ต้องมีเรื่องให้ปวดหัวแน่ๆ”
“กลัวจะไม่แค่ปวดหัวน่ะสิ คนอย่างคุณเสรี เวลาต้องการอะไรขึ้นมา ใครจะไปขัดใจเค้าได้” กอบชัยบอก
ทั้งสองเดินไปหาเสรีที่กำลังยืนพิงเคาน์เตอร์อยู่ โดยมีพนักงานหญิงยืนอยู่ข้างๆ กระเป๋าเดินทางไซส์เล็กของเสรี
พนารัตน์กับกอบชัยยกมือไหว้ทักทาย “สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับคุณเสรี”
เสรีรับไหว้ “สวัสดีครับคุณรัตน์ คุณกอบ” เสรีมองไปรอบๆ “ที่นี่ดูดี แล้วก็กว้างขวางกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ ณดลเค้าก็นิสัยแบบนี้ ชอบคิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก” พนารัตน์บอก
“ใช่...เรียกว่า จากหน้าหาดกินไปถึงบนเขาโน่นแน่ะครับที่ณดลเค้าซื้อไว้” กอบชัยคุย
“ฉันว่าเราพาคุณเสรีไปเดินชมวิวกันก่อนดีกว่ามั้ย” พนารัตน์หันมาหาพนักงาน “ฝากกระเป๋าไปเก็บด้วยนะ”
“ที่ผมมานี่ ไม่ใช่ว่าจะอยากเดินชมวิวอะไรหรอกนะครับ” เสรีโพล่งขึ้น
พนารัตน์กับกอบชัยหันมองมาเสรีเป็นเชิงถาม
“ผมจะมาประกาศจัดงานแต่งงานให้หนูแพรลูกสาวผม กับนายภัทรลูกชายของคุณสองคนน่ะครับ” เสรีพูดหนักแน่น
พนารัตน์กับกอบชัยอุทานออกมาพร้อมกัน “หา!”
พนารัตน์กับกอบชัยถึงกับช็อกและอึ้งไป
เด็กเสิร์ฟรินน้ำชาจากกาใส่ถ้วยชาของกอบชัย พนารัตน์ และเสรี ตรงกลางโต๊ะน้ำชามีขนมวางบนชั้นวางอย่างสวยงาม


เสรียกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดขึ้น “ผมไม่เห็นประโยชน์อะไรที่เราจะต้องรอ และในเมื่อทั้งสองครอบครัวของเรามาอยู่พร้อมหน้ากันที่เกาะนี้แล้ว เราก็น่าจะประกาศให้เด็กสองคนนี้ได้แต่งงาน ได้ดองกันไปซะเลย”
“เอ่อ...แต่ว่า...” พนารัตน์อ้ำอึ้ง
เสรีชักสีหน้าไม่พอใจ คุณรัตน์มีปัญหาอะไรขัดข้องเหรอ”
“คือ...ด้วยความเคารพนะคะคุณเสรี ดิฉันยังเป็นห่วงอยู่ว่า...ตอนนี้เจ้าภัทรก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย...” พนารัตน์สะกิดกอบชัย “ช่วยหน่อยสิคุณ”
กอบชัยพยักหน้ารับ แล้วพูดกับเสรี “ใช่ๆ คือลูกของนายภัทรก็ยังอยู่ในท้องของอะนา ผมคิดว่าเรายังไม่ควรประกาศเรื่องแต่งงานอะไรทั้งสิ้น”
เสรีไม่พอใจขึ้นมาทันที “แล้วหนูแพรของผมต้องรออะไรไม่ทราบ ถ้าคุณสองคนจะอ้างเรื่องเด็กในท้อง เดี๋ยวพอเด็กมันคลอดโผล่หัวออกมา คุณก็อ้างได้อีกอยู่ดี”
กอบชัยเริ่มขึ้นเสียงบ้าง “แล้วคุณเสรีจะให้ผมทำยังไง”
“ก็บอกให้ลูกชายคุณทิ้งยัยนั่น แล้วแต่งกับลูกสาวผมสิ”
“คุณเสรีขา อะนาเค้าท้องอยู่นะ แล้วเค้าเองก็ไม่ได้ผิดอะไร จะว่าไป เค้าก็มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ฉลาด ดูแลเจ้าภัทรลูกชายฉันได้ดี” พนารัตน์บอก
เสรีตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล “คุณคิดว่าผมมาถึงที่นี่เพื่อฟังคำปฏิเสธงั้นเหรอ”
กอบชัยสวนกลับอย่างไม่กลัวเกรง “ทางเราไม่ได้อยากปฏิเสธนะคุณเสรี แต่เราเล็งเห็นแล้วว่าเจ้าภัทรจะเหมาะสมคู่ควรกับอะนามากกว่า”
“ว่าไงนะ นี่เดี๋ยวนี้คุณกล้าพูดกับผมแบบนี้เหรอ”
เสรีฉุนขาดลุกยืนกระชากคอเสื้อของกอบชัยแล้วตะคอก
“เมื่อก่อน ตอนที่คุณสองคนยังไม่มีเงิน ไม่มีกระทั่งบ้านซุกหัวนอน ตอนที่คุณสองคนมาขอความช่วยเหลือจากผม คุณพูดจากับผมดีกว่านี้นะ”
“คุณเสรี บุญคุณในอดีตน่ะ ผมกับคุณรัตน์สำนึกบุญคุณอยู่ในใจเสมอ แต่คุณเสรีจะอ้างเรื่องบุญคุณ มาบังคับให้เด็กแต่งงานกันอย่างงี้ไม่ได้นะครับ”
“นี่คุณหาว่าผมทวงบุญคุณอย่างงั้นเหรอ จะมากเกินไปแล้ว”
เสรีกระชากคอเสื้อกอบชัยขึ้นมาแล้วเงื้อมือจะตบสั่งสอน
“หยุดนะคุณเสรี!” พนารัตน์ตวาด “คุณจะทำอย่างงี้กับครอบครัวฉันไม่ได้ ปล่อยสามีฉันเดี๋ยวนี้”
เสรีปล่อยมืออย่างขัดใจ
“แล้วก็ปล่อยลูกชายฉันให้เป็นอิสระซะ” พนารัตน์พูดต่อ “ฉันรักลูกฉัน และฉันก็ดูออกว่าลูกสะใภ้คนไหนที่จะดูแลลูกชายฉัน กับฉันสองคนให้มีความสุขได้ และคนที่ฉันหมายถึง ก็ไม่ใช่ลูกสาวคุณ”
เสรีช็อคและโกรธจัดเพราะไม่คิดว่ากอบชัยกับพนารัตน์จะกล้าพูดตอกหน้าตนแบบนี้

ที่บริเวณดำน้ำดูปะการัง อนามิกาก้าวขึ้นเรือโดยมี ณดลช่วยดึงขึ้นมา
“เป็นไง ปะการังแถวนี้สวยมากเลยใช่มั้ย” คนขับเรือถาม
อนามิกายิ้ม “ใช่ค่ะ สวยมาก สวยจนพอที่จะทำให้ลืมหน้าใครบางคนไปได้บ้าง”
ณดลเดินเข้ามาประจันหน้ากับอนามิกา “ฉันกำลังจะยกกิจการที่กรุงเทพฯให้เจ้าภัทรดูแลแล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่เกาะนี้”
“แล้วคุณจะบอกฉันเพื่อ...?” อนามิกาถามกลับ
“เอ่อ...คือ...ฉันอยากให้เธอรู้ว่า...ฉันตั้งใจจะหนีให้ไกลจาก...”
“จากฉันใช่มั้ย คุณรังเกียจฉันใช่มั้ย”
“ฉันรังเกียจตัวเองต่างหาก”
อนามิกามองหน้าณดลอย่างตกใจ
“เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก ความรู้สึกผิดมันกำลังจะฆ่าฉัน” ณดลพูดต่อ
อนามิกามองอย่างเข้าใจแต่เธอก็เฉลยความจริงไม่ได้
“ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ...ฉันกลัวใจตัวเองที่มัน...รู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกผิดบาปมากขึ้นเท่านั้น”
“นี่...คุณกำลังสารภาพความในใจกับฉันเหรอ”
ณดลรู้สึกตัวจึงรีบแก้ตัว “เปล่านะ ไม่ใช่เธอ เธอเป็นเมียน้องชายฉัน ฉันจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไง”
“แล้วถ้าฉันไม่ใช่เมียนายภัทรล่ะ”
ณดลอึ้ง “อย่าพูดจาไร้สาระน่า ที่ฉันพูดมาทั้งหมดเนี่ย ฉันไม่ได้หมายถึงเธอหรอกนะ ฉันไม่คุยแล้ว ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
ณดลหันเดินหนี อนามิกามองตามไปแล้วยิ้มเศร้าๆ
“คุณยังจะรู้สึกดีๆ กับฉันอีกมั้ย เมื่อคุณได้รู้ว่าฉันโกหกคุณมาตลอดน่ะ” อนามิการำพึงออกมาเบาๆ

นลิณากับเกตนิการ์ยืนอยู่ด้วยกันที่บันไดสำหรับขึ้นไปดาดฟ้าของเรือ แววตาของนลิณาฉายแววอำมหิต ในขณะที่เกตนิการ์ยืนเหวอเพราะรู้สึกกลัวนลิณาไปด้วย
เกตนิการ์พูดเบาๆ “เธอเป็นบ้าไปแล้วยัยนีน่า แผนของเธอคือจะกอดรวบตัวยัยอะนาให้ตกบันไดลงไปพร้อมๆ กันเนี่ยนะ”
“ใช่” นลิณาตอบ
“นี่เรียกว่าแผนเหรอ เธอจะเสี่ยงตายเกินไปหรือเปล่านีน่า”
นลิณายกนิ้วจุ๊ปากให้เงียบ “ก็เพราะวิธีนี้จะทำให้ไม่มีใครสงสัยว่าฉันจงใจเล่นงานมัน ฉันถึงต้องลงทุนเจ็บตัวนี่ไง”
“เออ..จริงด้วยนะ”
“หวังว่าตัวมันกับลูกในท้องของมัน จะเป็นเบาะรองรับฉันไว้นะ”
นลิณาพยักหน้าแล้วยิ้มร้ายๆ เกตนิการ์เหลือบมองแบบชักจะกลัวๆ เพื่อนคนนี้ขึ้นมา นลิณายืนกอดอกคอยอยู่ เธอมองไปที่บันไดเรือก็เห็นศีรษะอนามิกาโผล่ขึ้นมา นลิณาเตรียมพร้อม อนามิกาค่อยๆ เดินขึ้นมาจากที่เห็นแค่หน้านลิณาก็เริ่มเห็นตัวของอนามิกาแล้ว
นลิณาขยับเข้ามาเตรียมพร้อม อนามิกาเดินขึ้นมาจนถึงบริเวณสุดบันไดขั้นสุดท้าย ทันทีที่ก้าวขึ้นมายืนเสมอกับระดับที่นลิณายืนอยู่ นลิณาก็พุ่งเข้ากอดรวบทันที อนามิกามีหน้าตาตื่นตกใจเพราะเห็นนลิณาถลาพุ่งเข้ามารวบเธอ ทำให้อนามิกากับนลิณาหงายหลังตกลงไปทั้งคู่
เกตนิการ์ช็อคหน้าตาตื่นจนร้องออกมาเสียงดัง
“ว๊าย!!”

อนามิกาหงายหลังตกลงมาโดยมีร่างของนลิณารวบและทับไว้ข้างบน โดยที่ทั้งอนามิกาและนลิณาต่างก็ร้องออกมาทั้งคู่
“อ๊าก!!”
เสียงของร่างทั้งสองคนตกกระแทกพื้นเรือดังสนั่น เกตนิการ์โผล่หน้ามาจากชั้นบนแล้วมองลงมาดูก่อนจะรีบวิ่งลงมา
“กรี๊ดดด!!! นีน่า...อะนา”
คนขับเรือวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ”
“คนตกเรือ ช่วยด้วย” เกตนิการ์บอก
คนขับเรือรีบวิ่งเข้าไปดูแล ณดลวิ่งเข้ามา คนขับเรือประคองนลิณาที่คว่ำหน้าให้หงายขึ้นมาโดยที่นลิณายังหมดสติอยู่
“คุณ..คุณครับ” คนขับเรือพยายามเรียก
ณดลประคองอนามิกาลุกขึ้นมา
“อะนา...”
ณดลเขย่าตัวอนามิกาเบาๆ แต่อนามิกายังไม่รู้สึกตัว
ณดลเรียกเสียงดัง “อะนา!”

เสรีนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะรับประทานอาหาร เขายกถ้วยชาขึ้นจิบ กอบชัยกับพนารัตน์ก็พยายามวิงวอนขอร้อง
“อยากให้คุณเสรีเห็นใจเราด้วยน่ะค่ะ นายภัทรกำลังจะเป็นพ่อคนนะคะ” พนารัตน์พูด
“ใช่...ยังไงซะเราก็คงจะปัดความรับผิดชอบเรื่องลูกในท้องของอะนาไปไม่ได้” กอบชัยเสริม
“แล้วลูกสาวผมล่ะ มีใครรับผิดชอบอะไรลูกสาวผมบ้าง ตกลงหมั้นหมายจนประกาศไปทั่วแล้ว ก็มายกเลิกกันง่ายๆ แบบนี้”
ทันใดนั้น ทั้งสามก็ได้ยินเสียงตื่นตกใจของณภัทรดังแว่วมา
“คุณพ่อ...คุณแม่..”
พนารัตน์ กอบชัย และเสรีชะงักด้วยความตกใจ สักพักณภัทรก็วิ่งแตกตื่นเข้ามา
“เกิดเรื่องแล้วครับ” ณภัทรหันไปเห็นเสรี “อ้าว...สวัสดีครับ” ณภัทรยกมือไหว้
“เกิดเรื่องอะไรเหรอภัทร” พนารัตน์ถาม
“อะนาครับ อะนาตกบันไดเรือ”
“หา...แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” กอบชัยถามกลับ
“พี่ณดลกำลังไปพาส่งโรงพยาบาลบนฝั่งครับ” ณภัทรหันมาหาเสรี “นีน่าก็ตกลงมาด้วยกันครับ
เสรีตกใจ “ห๊ะ?”
เสรี พนารัตน์ และกอบชัยลุกพรวดขึ้นมามองหน้ากัน

อนามิกานอนอยู่บนเตียงเข็นคนไข้ โดยมีบุรุษพยาบาลและนางพยาบาลคอยเข็นรถและดูแลอยู่ ส่วนณดล นลิณา และเกตนิการ์ เร่งฝีเท้าเดินตาม
ณดลบีบมืออนามิกา “อะนา เธออย่าเป็นอะไรไปนะ”
นลิณากับเกตนิการ์มองเห็นอาการของณดล แล้วก็หันมองหน้ากัน โดยที่นลิณาออกอาการขัดใจอย่างชัดเจน

ณดลร้อนใจเดินกระวนกระวายเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน นลิณากับเกตนิการ์นั่งเบื่อๆ อยู่หน้ห้อง นลิณาเห็นณดลเป็นห่วงอนามิกาอย่างออกนอกหน้าก็รู้สึกไม่พอใจ เกตนิการ์ต้องคอยปลอบให้เพื่อนเย็นลง สักพักเมธาวีกฌเดินนำณภัทรเข้ามา หน้าตาตื่น
“พี่ณดล พี่อะนาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่รู้เลย ฉันก็รออยู่เนี่ย” ณดลบอก
ณภัทรมีสีหน้าเป็นห่วง ณดลจ้องหน้าณภัทร ด้วยความฉงนสงสัย
ณภัทรงง “มีอะไรเหรอพี่”
“นี่แกจะไม่ถามถึงลูกแกในท้องเลยเรอะ” ณดลทัก
ณภัทรเพิ่งนึกได้ “อ้อ...เอ้อ..แล้วเด็กในท้องเป็นยังไงบ้างครับพี่”
ขณะนั้นพนารัตน์กับกอบชัยก็เดินเข้ามา
พนารัตน์ถามณดล “เป็นยังไงกันบ้าง หา?”
“อะนายังอยู่ในห้องฉุกเฉินเลยครับคุณแม่” ณดลบอก
แพรวากับเสรีเดินตามเข้ามา นลิณารีบลุกขึ้นไปสวมกอดทักทาย
“คุณพ่อ”
“นีน่า...เป็นยังไงบ้างลูก” เสรีถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อยน่ะคุณพ่อ” นลิณาตอบ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ พี่นีน่า ทำไมถึงตกบันไดมากับคุณอะนาได้” แพรวาถาม
“เอ่อ....” นลิณาหันมองแล้วอึกอักๆ เพราะกลัวจะหลุดให้คนอื่นจับพิรุธได้
ทุกคนหันมารอฟังคำตอบจากนลิณา ทุกคนต่างจ้องนลิณาเป็นตาเดียว
“มะ..ไม่รู้สิจ๊ะ สงสัยอะนาเค้าคงหน้ามืด วูบมาชนหละมั้ง” นลิณาตอบ
“จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างเถอะ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก” เสรีบอก
เสรีกอดนลิณาไว้ นลิณาแอบถอนใจด้วยความโล่งอก
หมอคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินพร้อมกับพยาบาลที่ถือชาร์ทคนไข้ ณดลดเห็นก็รีบพุ่งเข้าไปหาทันที
“คุณอะนาเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“ปลอดภัยดีครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หมอตอบ
“แล้วเด็กในท้องล่ะครับ”
ณภัทรกับเมธาวีหน้าตาตื่นต่างก็หันมองหน้ากัน ไวเท่าความคิดณภัทรรีบปราดเข้ามา แทรกระหว่างณดลกับหมอ
“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ โล่งอกไปที”
ณภัทรใช้สองมือดันไหล่หมอออกไปอย่างเนียนๆ แล้วหันไปบอกทุกคน
“คุณหมอมีเคสด่วน ต้องรีบไป” ณภัทรหันมาบอกหมอ “ขอบคุณอีกครั้งนะครับคุณหมอ”
“ครับ...เราย้ายให้ไปอยู่ที่ห้องพิเศษ ถ้าเช็คอาการที่ศีรษะไม่พบปัญหาอะไร ก็จะอนุญาตให้เช็คเอ๊าท์ได้นะครับ”
ณภัทรทั้งผลักทั้งดันหมอ “ขอบคุณครับ รีบไปดูแลคนไข้รายอื่นได้เลยครับคุณหมอ”
หมอเดินจากไปพร้อมกับมองณภัทรอย่างงงๆ ว่าจะดันทำไม แต่พอเดินไปแค่สองก้าว ณดลที่ยังคาใจเรื่องท้องอนามิกาก็เดินมาดักหน้าไว้
“ขอโทษนะครับ คุณหมอแน่ใจนะครับ ว่าเด็กในท้องไม่เป็นอะไร”
หมองง “คุณว่าไงนะครับ”
ณภัทรรีบเข้ามาแทรก “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณหมอเชิญเลยครับ”
ณภัทรพยายามจะดันคุณหมอออกไป แต่ณดลไม่ยอม เขาเอามือดันณภัทรให้หลบออกไป
“เด็กในท้องคุณอะนาน่ะครับคุณหมอ” ณดลถามต่อ
หมองง หันไปมองหน้าพยาบาล “นี่เข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า หรือว่าผิดคน พยาบาล” หมอก้มดูชาร์ท “คุณอนามิกา นามสกุลมานะพงษ์นะคะ”
ณดลชักใจร้อน “ก็ใช่น่ะสิครับ ผมถามว่าเด็กในท้องเธอเป็นยังไงบ้าง”
“เด็กในท้องใครครับ คุณพูดอะไรของคุณ” หมองง
“ก็อะนาเค้าท้องได้สามสี่เดือนแล้วนะครับคุณหมอ”
ณภัทรกับเมธาวีมองหน้ากันเพราะรู้ว่าความลับต้องแตกคราวนี้แล้ว หมองงเป็นไก่ตาแตก หันไปมองหน้าพยาบาล พยาบาลก็ส่ายหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น
หมอหันมาที่ณดล “คุณอะนาไม่ได้ท้องนะครับ”
“หา?!” ณดลตกใจ “ว่าไงนะครับ นี่คุณหมอตรวจละเอียดหรือเปล่า”
“ละเอียดสิคุณ” หมอตอบ
“หรือว่าที่โรงพยาบาลนี่อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือไม่ได้มาตรฐาน” ณดลงง
“ถึงที่นี่จะเป็นแค่โรงพยาบาลท้องถิ่น แต่เราก็มีมาตรฐานสูง แล้วผมก็เรียนจบหมอมา คุณล่ะเรียนจบอะไร ทำไมถึงไม่รู้คุณอะนาเค้าไม่ได้ตั้งครรภ์”
ณดลช็อค นลิณากับเกตนิการ์ก็ช็อค พนารัตน์ กอบชัย เสรี และแพรวามองหน้ากันอย่างงงๆ เมธาวีกับณภัทรก้มหน้าแต่ก็แอบมองหน้ากันอย่างรู้ตัวว่าคราวนี้ความลับแตกแน่นอน

อนามิกายังนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องพิเศษ ทุกคนยืนอยู่รอบๆ เตียงแต่ก็ยังมีอาการมึนงงจากการช็อคที่ได้รู้ความจริงเมื่อสักครู่
“ไอ้ภัทร” ณดลโพล่งขึ้น
“คะ...ครับพี่ณดล”
“แกออกมาคุยกับฉันหน่อย”
“เอ่อ...ค..คุยอะไรเหรอพี่”
ณดลสวนขึ้นทันที “ฉันบอกให้แกออกมากับฉัน”
ณดลลากแขนณภัทรเดินออกไปจากห้อง เมธาวีขยับจะตามไป แต่ณดลหันมาพูดเสียงดุ
“ฉันจะคุยกับน้องฉันสองคน”
เมธาวีชะงักแล้วถอยกลับมา
ณดลลากแขนณภัทรออกไป พอประตูปิด นลิณาก็รีบพูดใส่ไฟกับพนารัตน์
“นี่ยัยอะนามันหลอกถอนหงอกคุณแม่มาตลอดเลยนะคะ”
“เค้าทำเหมือนกับเราทุกคนโง๊..โง่ โง่สุดๆ เลยนะคะ” เกตนิการ์รีบเสริม
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะคะ พี่อะนาเค้ามีเหตุจำเป็น” เมธาวีช่วยแก้ต่าง
“หยุดแก้ตัวให้กันซะที รอมันลุกขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะเฉ่งให้ยับเลยคอยดู” พนารัตน์พูดด้วยความโมโห
นลิณากับเสรียิ้มให้กันอย่างมีความหวังที่จะจับคู่แพรวาให้กับณภัทร

ณดลเดินนำณภัทรมาที่มุมลับตาคนในโรงพยาบาลท้องถิ่น ณดลหยุดเดินแล้วหันมาประจัญหน้ากับณภัทรที่หน้าจ๋อยจนหดเหลือสองนิ้ว
ณดลพยายามคุมอารมณ์แล้วพูดอย่างใจเย็น “บอกฉันมา”
ณภัทรพูดเสียงอ่อย “บะ..บอกอะไรเหรอครับพี่ณดล”
ณดลพูดอย่างใจเย็น “แกรู้ว่าต้องบอกอะไร”
ณภัทรพูดเสียงอ่อย “เอ่อ...บอกอะไรล่ะครับ”
ณดลทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์ กระชากคอเสื้อณภัทรมาพูดใส่หน้า “ก็บอกความจริงทั้งหมดน่ะสิ นี่แกยังจะมาทำหน้าซื่ออีกเหรอก ใครเป็นคนเริ่มต้นกุเรื่องนี้ขึ้นมา แกหรือยัยอะนา นี่แกหลอกให้ฉันกินหญ้าตั้งแต่ตอนที่แกสองคนอยู่ที่ลอนดอนใช่มั้ย”
“กะ..กินหญ้าอะไรเหรอพี่”
“ก็ตัวอะไรล่ะ ที่มันชอบกินหญ้าน่ะ แก ยัยอะนา กับเพื่อนทุกคนของแก เห็นฉัน เห็นคุณพ่อคุณแม่ เป็นตัวอะไร...หา”
ขณะนั้น นางพยาบาลคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดีก็ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ณดลหันไปสบตานางพยาบาลแล้วจึงค่อยๆ คลายความเดือดดาลลง
“เล่าความจริงทั้งหมดให้ฉันฟัง...เดี๋ยวนี้”
ณภัทรยืนหน้าแหย เขาจำยอมต้องเล่าความจริงให้ณดลฟัง

อนามิกายังหลับอยู่ โดยมีเมธาวีคอยเฝ้าอย่างใกล้ชิดด้วยความรู้สึกใจไม่ดีเพราะรู้ว่าถ้าอนามิกาฟื้นคืนสติมาจะต้องโดนทุกคนรุมแน่ๆ เสรีขยับมาคุยกับกอบชัยและพนารัตน์
“แม่นี่ไม่ได้มีเด็กอยู่ในท้อง ถ้างั้นเรื่องของเรา ก็คงเคลียร์กันไปในทางที่ดีได้ อย่างงั้นใช่มั้ย คุณรัตน์ คุณกอบ”
“เอ่อ...อะไรก็เอาเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันมึนไปหมดแล้ว” พนารัตน์ตอบ
“อย่าว่าแต่คุณรัตน์เลย ผมเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน” กอบชัยบอก
“ถ้างั้น...ลูกแพร” เสรีหันไปเรียก
“ขา คุณพ่อ” แพรวาขานรับ
“รีบฝากเนื้อฝากตัวกับคุณพ่อคุณแม่ซะสิลูก”
“เอ่อ...” แพรวาเกรงใจจึงยังไม่กล้าทำตามที่พ่อบอก
นลิณาเอามือดันหลังน้องสาว “เร็วสิ ยัยซื่อบื้อ”
แพรวาเดินเข้าไปยกมือไหว้กราบที่ต้นแขนของพนารัตน์และกอบชัย
“โถ..ไหว้พระเถอะลูก” พนารัตน์บอก
“จ้ะ...เจริญๆ นะลูกนะ” กอบชัยพูด
เมธาวีเห็นแพรวาฝากเนื้อฝากตัวกับกอบชัยและพนารัตน์ก็ยิ่งจ๋อย เธอยิ่งรู้สึกเหมือนณภัทรคงจะต้องถูกจับแต่งงานกับแพรวาอย่างแน่นอนแล้ว
นลิณารีบใส่ไฟกับกอบชัย และพนารัตน์ต่อ “แล้วคุณพ่อคุณแม่จะทำยังไงกับลูกสะใภ้ลวงโลก กำมะลอ คนนี้ต่อเหรอคะ”
“โอ๊ย..จะทำไงได้ หลอกให้พวกเราทุกคนกินหญ้าแบบนี้ ถ้าไม่ไล่ออกจากบ้าน ก็ต้องเรียกตำรวจมาจับเข้าตะรางกันแหละค่ะ” เกตนิการ์เสริม
“พี่อะนาไม่ใช่คนลวงโลก แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงทุกคนนะคะ พี่อะนาแค่ทำไปเพราะต้องช่วยเพื่อนต่างหาก” เมธาวีโพล่งออกมา
“เธอน่ะหุบปากไปซะยัยเม” นลิณาพูดเสียงดัง “ฟังพูดเข้าก็รู้แล้วว่าเธอก็ร่วมขบวนการลวงโลกกับยัยอะนาด้วย”
“งั้นก็ควรจะไล่ให้ไปด้วยกันทั้งขบวนการซะเลยนะคะ” เกตนิการ์ยุ
ทันใดนั้น อนามิกาก็ร้องครางขึ้นเบาๆ “โอย...”
ทุกคนก้มมองอนามิกาเป็นตาเดียว อนามิกาขยิบตาแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาด้วยท่าทางยังปวดเนื้อปวดตัวและยังปวดศีรษะอยู่ “โอย...”
นลิณากระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความสะใจ
“ตื่นแล้วเหรออะนา...”










Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:03:00 น.
Counter : 207 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 10 ต่อ



ขวดไวน์ที่หมดแล้ววางนอนอยู่กับพื้น ณดลนั่งกับพื้นเอาหลังพิงผนังห้อง โดยมีอนามิกานั่งเบียดกอดเข่ากอดอกขดตัวด้วยความหนาว

อนามิกาเริ่มสัปหงกแล้วเอียงตัวหลับมาเบียดณดล ณดลหันมองอนามิกาแล้วก็เผลอปล่อยใจด้วยความรู้สึกชอบพอที่มีในใจ อนามิกาหลับแต่ก็ยังหนาวจนตัวสั่น ริมฝีปากสั่น ณดลค่อยๆ ยกมือขึ้นโอบ
ณดลพูดเบาๆ “หนาวสั่นไปหมดแล้ว”
ณดลโอบกอดอนามิกาไว้ในวงแขนให้ใบหน้าของอนามิกาซบอยู่ที่อกของเขา ณดลพยายามจะกอดเพื่อให้ไออุ่นกับอนามิกาให้มากที่สุด
อนามิกาที่หลับอยู่สวมกอดตอบเพื่อหาไออุ่นโดยสัญชาตญาณ เธอซบกับอกอุ่นๆ ของณดล ณดลรู้สึกถึงอ้อมกอดของอนามิกาแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ณดลชั่งใจอยู่เล็กน้อยแต่พออนามิกาขยับมากอดแน่นขึ้น ณดลก็ค่อยๆ ปล่อยใจแล้วสวมกอดตอบ
ณดลนิ่งมองใบหน้าของอนามิกาอยู่พักใหญ่ แล้วเอียงแก้มไปซบศีรษะของอนามิกา ณ เวลานี้ ณดลรู้สึกมีความสุขเหมือนอยู่ในฝัน

แก้ว และอ่างเครื่องดื่มที่หมดแล้ววางอยู่บนโต๊ะในห้องพักของณภัทร ณภัทรกับเมธาวีเมาและนอนอิงแอบกันอยู่ที่โซฟา
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะดังขึ้นถี่ๆ แล้วประตูก็ถูกผลักเข้ามา เกตนิการ์เดินนำนลิณากับแพรวาเข้ามาในห้อง เกตนิการ์เห็นสภาพของเมธาวีกับณภัทรแล้วก็ตะลึงจนตาค้าง นลิณากับแพรวาตามเข้ามาเห็นก็เหวอพอกัน
“ว๊าย...นี่มันอะไรกัน” นลิณาตกใจ
เกตนิการ์เข้าไปดึงคอเสื้อเมธาวี เมธาวีเงยหน้ามาอย่างงงๆ
“แกทำอะไรยะ กระทั่งสามียัยอะนา เธอยังกล้ามั่วไม่รู้หัวรู้หางแบบนี้เรอะ”
“มั่วอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย” เมธาวีตอบเสียงมึนเมา
เมธาวีหันไปมองแล้วเห็นว่าแขนของณภัทรยังโอบตนอยู่ก็ตกใจแล้วผงะออกมา
“ว้าย!”
เกตนิการ์รีบเข้าไปประคองณภัทร “ภัทร นายเป็นอะไรหรือเปล่า โถ”
นลิณาเห็นเกตนิการ์ประคองณภัทรถึงเนื้อถึงตัวก็รีบดักคอ
“นี่...ยัยเกดทำอะไรก็ให้เกรงใจกันบ้าง น้องแพรยังยืนอยู่ตรงนี้นะยะ”
“อ้าว..เอ่อ...ฉันไม่ได้คิดอะไรนะ มาสิ แพร มาช่วยกัน” เกตนิการ์ชวน
“ค่ะ” แพรวาเข้าไปช่วยอย่างไม่เต็มใจ เพราะรังเกียจที่ณภัทรเมาหมดสภาพ “แล้วนี่อะไร ทำไมต้องเมาขนาดนี้ด้วย”
“งั้นให้น้องแพรดูแลนายภัทรต่อแล้วกันนะ เธอยัยเกด ยัยเม รีบออกไปจากห้องเลยไป” นลิณาสั่ง
“พี่นีน่า แพรไม่เอาหละค่ะ เหม็นเหล้าจะตาย ใครช่วยดูแลแทนทีเถอะ”
แพรวามองณภัทรอย่างผิดหวังแล้วก็หันเดินออกจากห้องไป
“แพร..ยัยแพร โอ๊ย! น้องสาวฉัน ไม่ได้อย่างใจเล๊ย” นลิณาโมโห
เมธาวีเขย่าตัวปลุกณภัทร ณภัทรงัวเงียขึ้นมา
“นี่...แล้วรู้มั้ยว่าคุณณดลหายไปไหน” นลิณาถามขึ้น
“พี่ณดลเหรอ” เมธาวีนึกขึ้นได้ ก็ตกใจรีบถามณภัทร “ภัทร นายเปิดประตูให้พี่ณดลแล้วใช่มั้ย”
ณภัทรส่ายหน้าอย่างมึนๆ “หึ...ยังอ่ะ”
“หา!” เมธาวีตกใจมาก

ณดลกับอนามิกายังนั่งกอดกันกลมเพราะความหนาว ณดลค่อยๆ ขยับหน้าจากที่เอียงไปซบศีรษะของอนามิกาออกมามองหน้าของอนามิกาที่กำลังหลับสบาย
ณดลเผลอยิ้มออกมา เขามองอนามิกาอยู่ครู่ใหญ่ ณดลเผลอใจถลำลึกค่อยๆ เอียงไปหาอนามิกาอย่างช้าๆ อย่างห้ามใจที่จะหอมแก้มอนามิกาไม่ไหว
ณดลเอาจมูกแตะสัมผัสแก้มอนามิกา แล้วเขาก็คืนสติจึงผงะกลับมา อนามิกาลืมตาโพลง เธอขยับมือสัมผัสแก้มตัวเองเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ว่าณดลหอมแก้มตน ณดลใจหายเพราะรู้สึกผิดและอาย
“อะนา...ฉัน..” ณดลพูดเบาๆ “ฉันขอโทษ”
อนามิกายิ้มอย่างรู้สึกดีๆ แต่ก็หลบตาณดล
ทันใดนั้น ประตูก็เปิดผัวะเข้ามา เมธาวี ณภัทร นลิณา เกตนิการ์พรวดเข้ามาในห้องเก็บไวน์ พอเห็นณดลกับอนามิกากำลังนั่งตระกองกอดกันอยู่ที่พื้น ทุกคนก็นิ่งอึ้ง
“นี่มันอะไรกัน คุณณดล...ยัยอะนา” นลิณาโวยขึ้น
นลิณาตรงไปกระชากคอเสื้ออนามิกา แต่เมธาวีกับณภัทรช่วยกันปรามไว้
“นีน่า...ไม่เอา อะนาเค้ายังท้องอยู่นะ” ณภัทรหันไปหาเกตนิการ์ “เกด ขอร้องหละ เธอพาเพื่อนเธอออกไปก่อนได้มั้ย”
เกตนิการ์ดึงนลิณาออกไป “ออกไปก่อนเหอะ”
“ไม่! ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ยัยอะนา แกมาขลุกกับคุณณดลตรงนี้ได้ยังไง” นลิณาโกรธจัด
“นีน่า หยุดทีเถอะ” ณดลตวาด
ณดลค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วประคองอนามิกาขึ้นมาด้วย
“ไอ้ภัทร รีบพาเมียแกออกไปสิ อะนาเค้าหนาวจนตัวสั่นเป็นลูกนกแล้ว”
“ครับๆๆ” ณภัทรรับคำ
ณภัทรกับเมธาวีช่วยกันประคองอนามิกาออกไป อนามิกาเดินกอดอกตัวสั่นออกมา นลิณารีบไปดูแลณดลที่เดินรั้งท้ายออกมา
“คุณณดล เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เดี๋ยวนีน่าดูแลให้นะคะ”
ณดลยกมือขึ้นปราม “ขอโทษนะ ผมอยากอยู่คนเดียว”
แล้วณดลก็เดินผ่านหน้านลิณาออกไป นลิณาแทบจะกรี๊ดอกแตกตายด้วยความคลั่งแค้น เธอหันมาระบายกับเกตนิการ์
“ยัยอะนา แกอีกแล้ว ฉันจะฆ่าแก”
“ก็ฆ่าซะทีสิ” เกตนิการ์บอก
“หา...เธอว่าไงนะยัยเกด”
“เธอก็พูดแต่ว่าจะฆ่ามัน จะเล่นงานมัน จะทำให้มันแท้ง แต่ฉันก็ไม่เห็นเธอจะจัดการขั้นเด็ดขาดซะที”
“ก็ได้...งั้นเธอคอยดู...พรุ่งนี้ฉันจะช่วยกำจัดมารหัวขนให้มันเอง”
เกตนิการ์แอบยิ้มพอใจเพราะต้องการให้นลิณากำจัดอนามิกาให้พ้นทาง
นลิณาพูดด้วยแววตาเคียดแค้น
“นังอะนา พรุ่งนี้หละจะเป็นวันชะตาขาดของแก”

ณภัทรนอนเหยียดยาวหลับสบายอยู่บนโซฟาในห้องมืดสลัว ส่วนอนามิกานอนก่ายหน้าผากลืมตาโพลงอยู่บนเตียงเพราะภาพของณดลที่หอมแก้มตนแว่บเข้ามาในความคิดของเธอ อนามิกานอนอมยิ้มอย่างมีความสุข

ณดลยืนมองหน้าตัวเองในกระจกที่อยู่เหนืออ่างล้างหน้าในห้องน้ำซึ่งอยู่ในห้องพักของเขาด้วยความรู้สึกสับสน ใจหนึ่งมีความสุขอย่างคนตกหลุมรัก แต่อีกใจก็รู้สึกผิดบาปที่ทำกับเมียของน้องชายแท้ๆ ของตนแบบนี้
ภาพใบหน้าอนามิกาที่หลับในอ้อมกอดของเขาแว่บเข้ามาในความคิด ณดลเผลอยิ้มกับตัวเองอย่างมีความสุข
ณดลนึกถึงตอนที่เขาก้มไปหอมแก้มอนามิกา พอเงยหน้ามาเห็นว่าอนามิการู้ตัว มองตนอยู่ อนามิกายกมือลูบแก้มตัวเอง
ณดลรู้สึกผิด
ณดลตำหนิตนเองในกระจก “ทำไมเราถึงทำอะไรชั่วๆ แบบนั้น อะนาเป็นเมียของน้องชายเราแท้ๆ ทำไมเรายังกล้าทำเลวๆ แบบนั้น”
ณดลน้ำตาไหลเพราะความรู้สึกผิดท่วมท้นจนทนไม่ไหว เขาเงื้อหมัดจะต่อยหน้าตัวเองในกระจก แต่ก็ยั้งหมัดไว้ก่อนที่จะถึงกระจก
“โธ่โว้ย...ต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว ขืนปล่อยไป เราคงต้องทำสิ่งที่ผิดบาป แล้วก็จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
ณดลน้ำตาไหล เขาก้มหน้าเพราะรู้สึกผิดทำให้ไม่กล้าสบตากับตัวเองในกระจก

เช้าวันใหม่ พนารัตน์กับกอบชัยกำลังรับประทานอาหารเช้าควบคู่กับจิบชา กาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร ณภัทรเดินงัวเงียเข้ามาหา
“อ้าว...เจ้าภัทร นี่แกมาคนเดียวเหรอ” กอบชัยทักลูกชาย
“แล้วอะนาล่ะ พนารัตน์ถาม
“อะนาอยู่ที่ห้องน่ะครับ พี่ณดลโทรตามให้ผมมานี่ มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
กอบชัยกับพนารัตน์หันมองหน้ากันอย่างงงๆ ณภัทรนั่งลงแล้วรินชาใส่ถ้วยหน้าตนเองก่อนจะยกขึ้นจิบ สักพักณดลก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางขึงขังเหมือนมีธุระสำคัญจะแจ้งให้ทุกคนทราบ
“ณดล จะกินอะไรก่อนมั้ย” พนารัตน์ถาม
“ดีเลยครับ ผมก็หิว” ณภัทรบอก
ณดลพูดกับณภัทร “อย่าเพิ่ง แกฟังฉันพูดก่อน”
“มีอะไรเหรอพี่ณดล ทำไมต้องทำหน้าซีเรียสด้วย” ณภัทรถาม
“ก็เพราะฉันซีเรียสน่ะสิ” ณดลบอกแล้วหันไปหากอบชัยกับพนารัตน์ “คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ กิจการทั้งหมดในกรุงเทพฯ ที่ผมดูแล ผม...ขอลาออกครับ”
ทุกคนผงะด้วยความตกใจ
“เดี๋ยวนะ กิจการในกรุงเทพฯนั่นก็เป็นของณดลเอง นี่ลูกจะลาออกจากบริษัทของลูกเองได้ยังไง” กอบชัยถาม
“ได้สิครับคุณพ่อ” ณดลบอก
“ณดลออกไปแล้วใครจะมาทำแทนล่ะลูก” พนารัตน์ถาม
“ก็เจ้าภัทรไงล่ะครับ”
ณภัทรกำลังยกชาขึ้นจิบพอดีถึงกับสำลักพรวดออกมา
“ห๊ะ?! ผมเนี่ยนะ ปรึกษาผมรึยังพี่” ณภัทรตกใจ
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะย้ายมาดูแลที่เกาะนี่ ส่วนที่กรุงเทพฯ ฉันจะยกให้แกดูแลทั้งหมด”
ณภัทร กอบชัย และพนารัตน์ต่างงงเป็นไก่ตาแตก ทั้งสามหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

อนามิกานั่งคุยกับเมธาวีอยู่ที่โขดหินริมชายหาดด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม
“ฉันไม่ไหวแล้วนะเม ฉันไม่ใช่เมียนายภัทร ฉันไม่ได้ท้อง ฉันไม่อยากหลอกทุกคนอีกต่อไปแล้ว”
“ใจเย็นๆ พี่อะนาไม่ได้หลอกใครซะหน่อย ที่ทำไปก็เพราะพี่ต้องช่วยให้นายภัทรไม่ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักต่างหาก”
“ในมุมของนายภัทรมันก็ใช่..ฉันอาจเป็นคนที่ช่วยเหลือเค้า แต่ในมุมมองของครอบครัวเค้าล่ะ ฉันคงไม่พ้นเป็นไอ้คนลวงโลก” อนามิกาบอก
“ก็ถ้าถึงเวลานั้น เราอธิบายเหตุผลให้เค้าฟัง เค้าก็น่าจะเข้าใจนะ”
“ถ้ามันง่ายอย่างงั้นก็ดีสิ” อนามิกาเศร้า “ถ้าคุณณดลรู้ความจริงเมื่อไหร่ ฉันตายแน่”
เมธาวีเศร้าตาม “ก็คงงั้นนะ คุณณดลคงไม่พอใจมากๆ” แล้วเมธาวีก็นึกได้จึงยิ้มขึ้นมา “แต่ก็ไม่แน่นะ พี่ณดลอาจจะดีใจก็ได้”
“ดีใจเนี่ยนะ”
“ใช่! ภัทรเค้ายังสงสัยเลยว่าพี่ณดลรู้สึกดีๆ กับพี่อะนา ถ้าเขารู้ว่าพี่อะนาไม่ใช่เมียของน้องชายเค้า เค้าก็ต้องดีใจสิ”
“แต่ไอ้ความรู้สึกดีๆ ที่คุณณดลมีให้ฉัน ก็คงกลายเป็นติดลบ เค้าต้องโกรธ ต้องเกลียดฉันแน่ๆ ที่ไปล้อเล่นกับความรู้สึกเค้าแบบนั้น”
“อืม..ก็จริงนะ แล้วถ้างั้น...พี่อะนาจะทำยังไงคะ”
“ฉันไม่อยากโกหกใครอีกต่อไปแล้ว” อนามิกาตัดสินใจแน่วแน่ “ถึงครอบครัวนายภัทรจะต้องเกลียดฉัน ฉันก็จะบอกความจริงกับทุกคน”
อนามิกาตั้งใจแน่วแน่กับคำพูดของตน

กอบชัย พนารัตน์ และณภัทรยังคงนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ที่โต๊ะที่กำลังกินอาหารเช้ากัน
“เดี๋ยวๆๆ ช่วยบอกพ่อหน่อยซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ณดลถึงอยากทิ้งกิจการที่กรุงเทพฯ มาดูแลที่เกาะนี่ล่ะ” กอบชัยถาม
“ผมไม่ได้ทิ้งครับ ผมแค่ส่งต่อให้เจ้าภัทรรับช่วงดูแล ยังไงธุรกิจที่กรุงเทพฯก็ยังเป็นของตระกูลเราอยู่ดี” ณดลบอก
“แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะดูแลกิจการระดับนี้หรอกนะครับพี่” ณภัทรรีบบอก
“ณดลบอกแม่ได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” พนารัตน์ถาม
“ก็..ไม่มีอะไรหรอกครับคุณแม่”
“ถ้าลูกเหนื่อย ก็ลาพักร้อนยาวๆ ซักเดือนสองเดือน แล้วค่อยกลับมาบริหารใหม่ก็ได้นี่นา” พนารัตน์เสนอ
“ผมไม่ได้เหนื่อยหรอกครับ ผมแค่ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯอีกแล้ว ขอให้ผมได้ย้ายออกมาให้ไกลๆ จากกรุงเทพฯ เถอะครับ”
พนารัตน์กับกอบชัยหันมามองหน้ากันอย่างจนปัญญาที่จะเจรจา ณภัทรมองณดลอย่างจับผิด เพราะเขาสงสัยว่าสาเหตุน่าจะมาจากอนามิกา

ณดลเดินเลียบชายหาดมา ณภัทรเร่งฝีเท้าตามมาคุยกับพี่ชายตัวเอง
“พี่ณดล..พี่...”
ณดลชะงักแล้วหันมา “มีอะไร”
“เพราะอะนาใช่มั้ย”
ณดลอึ้ง แต่ก็รีบทำกลบเกลื่อน “แกพูดอะไรน่ะ”
“เหตุผลที่พี่ต้องการหนีจากกรุงเทพฯ ก็เพราะพี่จะหนีห่างจากอะนาใช่มั้ย”
“เอ่อ..” ณดลยังทำปากแข็ง “อะนาเป็นน้องสะใภ้ฉัน เป็นแม่ของหลานฉันด้วย ทำไมฉันถึงต้องหนีด้วยล่ะ”
“เพราะพี่รู้สึกผิดบาปที่เกิดความรู้สึกดีๆ กับอะนาเค้าน่ะสิ”
“ไอ้ภัทร แกพูดบ้าอะไรออกมา อะนาเค้าเป็นเมียแกนะ”
“พี่ณดลฟังผมนะ พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดบาปอะไรทั้งนั้น ผมอยากให้พี่อดทนอีกนิด อย่าเพิ่งทิ้งกิจการที่กรุงเทพฯ”
“แกพูดอะไรของแก ฉันไม่เข้าใจ”
“อีกไม่นาน พอพี่ได้รู้ความจริง พี่ก็จะเข้าใจ”
ณดลยิ่งงง “เข้าใจอะไรวะ”
“ขอโทษนะพี่ ผมยังบอกอะไรพี่มากกว่านี้ไม่ได้ เอาเป็นว่า พี่เชื่อผม พี่ไม่ต้องทิ้งกิจการที่กรุงเทพฯ แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกผิดด้วย โอเคนะพี่”
ณภัทรยืนเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้จะปลอบใจณดลยังไง สักพักเขาก็ยื่นมือตบไหล่พี่ชายอย่างเขินๆ สองที ก่อนจะเดินไปทางที่พัก
ณดลมองตามณภัทรไปอย่างงงๆ เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกกับสิ่งที่ณภัทรพูด

เมธาวีกับอนามิกาจะเดินไปรับประทานอาหารบริเวณที่พัก
สักพักอนามิกาก็หยุดเดิน “เธอไปกินคนเดียวเหอะเม ฉันยังไม่หิวน่ะ”
“พี่อะนา ยังไงก็ควรจะทานอะไรรองท้องบ้างนะ”
เมธาวีเห็นอนามิกาอึ้งๆ เหวอๆ พร้อมกับมองไปด้านหลังเธอ เมธาวีจึงเหลียวหลังมองตาม จึงเห็นณดลเดินก้มหน้ามา พอณดลเงยหน้ามาเห็นอนามิกา ทั้งสองก็ต่างอึ้งๆ และหลบตากันเหมือนต่างคนต่างมีอะไรในใจ
เมธาวีหลีกทางให้ “เอ่อ...” เมธาวีหันมาบอกอนามิกา “งั้นเมไปทานก่อน แล้วเดี๋ยวพี่อะนาตามไปนะ”
เมธาวีรีบชิ่งออกมา
อนามิกาก้าวขาขยับเดินไปแต่พอจะผ่านณดล ณดลก็ดักขวางหน้าเธอไว้
“คุณ...มีอะไรเหรอคะ” อนามิกาเอ่ยถาม
“เอ่อ..คือ...เรื่องเมื่อคืนน่ะ ฉัน...คือว่า...ฉันขอโทษ” ณดลพูด
“ขอโทษเรื่อง...?”
ณดลยิ่งอึดอัด “เอ่อ...ก็...ที่ฉัน..” ณดลพูดเสียงเบา “หอมแก้มเธอ” แล้วเขาก็พูดเสียงดังขึ้น “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉัน...ไม่ได้คิดอะไรกับเธอนะ
“คุณจะบอกฉันว่า ที่คุณทำไป ก็เพราะแค่คุณเมา...ไม่ได้รู้สึกอะไรใช่ไหมคะ”
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น คือ..ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไรเลย”
“งั้นก็แปลว่าคุณรู้สึก”
“ก็...ไม่เชิง...คือ...โอ๊ย! ฉันจะพูดยังไงดีล่ะเนี่ย”
“ก็พูดความจริง จากความรู้สึกในใจจริงๆ สิคะ”
“เอ่อ...ก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันรู้สึกดีๆ กับเธอ แต่มันต้องหยุดแค่นี้ ก่อนที่ฉันจะเสียใจ และไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปจนวันตาย”
อนามิกาก้มหน้า แต่พอเงยหน้ามาอนามิกาก็อมยิ้ม
ณดลงง “เธออมยิ้มทำไมเนี่ย ฉันซีเรียสนะ คิดว่าฉันล้อเล่นเหรอ”
“เปล่า..ก็คุณบอกว่ารู้สึกดีๆ กับฉัน ฉันก็ต้องยิ้มสิ มีคนรู้สึกดีๆ กับเรา จะให้ร้องไห้รึไง”
“แต่สำหรับฉัน อย่าว่าแต่ร้องไห้เลย ไอ้ความรู้สึกนี้ มันกำลังฆ่าฉันให้ตายทั้งเป็น...”
ณดลน้ำตาไหลเอ่อแล้วก้มหลบหน้า อนามิกามองณดลด้วยความรู้สึกทั้งสงสาร ทั้งรู้สึกผิดที่การสวมบทเป็นภรรยาของณภัทรทำให้ณดลเจ็บแบบนี้

นลิณากำลังทาครีมกันแดดอยู่ในห้องพัก โดยมีแพรวากับเกตนิการ์อยู่ใกล้ๆ
“ยัยแพร...ช่วยทาครีมกันแดดที่หลังให้ทีสิยะ”
“ค่ะ พี่นีน่า...” แพรวาแบมือรับครีมที่นลิณาบีบให้ แล้วนำไปทาที่แผ่นหลังของนลิณา “พอแล้วค่ะ เยอะไปแล้ว”
“ไม่เยอะหรอกย่ะ หนาๆ เยอะๆ สิดี ฉันกลัวดำ” นลิณาบอก
“นี่ แม่คุณ ถ้ากลัวดำขนาดนั้นก็พอกโคลนเคลือบไปทั้งตัวเลยดีมั้ยยะ” เกตนิการ์ประชด
แพรวาขำ “แบบปลาช่อนเผาน่ะเหรอคะพี่เกด”
“นี่..หุบปากไปเลย ทั้งคู่แหละ โอ๊ย...อารมณ์เสีย”
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น นลิณาผละไปหยิบมาดูหน้าจอแล้วก็ดีใจรีบกดรับทันที
“คุณพ่อ!”

เสรีพูดโทรศัพท์มือถือกับนลิณาด้วยท่าทางเคร่งเครียดอยู่ในห้องรับแขกที่บ้าน
“เป็นไง...ลูกกับน้องแพรสบายดีใช่มั้ย...พ่อแค่โทรมาถามความคืบหน้าน่ะ...พอจะมีสัญญาณอะไรดีๆ ออกมาจากทางนายภัทรกับพ่อแม่ของเค้ามั้ย”
นลิณากำลังพูดโทรศัพท์มือถือโดยมีแพรวาคอยทาครีมกันแดดให้ ส่วนเกตนิการ์ก็คอยเงี่ยหูฟังอย่างสนใจ
“ไม่มีสัญญาณตอบรับเลยน่ะสิคะคุณพ่อ”
เสรีเดือดดาลขึ้นมาทันที
“ว่าไงนะ พ่อแม่นายภัทรเค้าไม่ได้ช่วยอะไรน้องแพรเราเลยเหรอ”
“ช่วยอะไรล่ะคะคุณพ่อ ดูเค้าจะปลื้มยัยอะนาอะไรนั่นมากกว่าอีก ยัยแพรก็เหมือนเดิม เอาแต่นิ่ง เนิบนาบ ไม่ทันกินหรอกแบบเนี้ย”
“แล้วนีน่าไม่ได้ช่วยอะไรน้องแพรเลยเหรอลูก”
“โอ๊ย...คุณพ่อขา หนูช่วยจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว คุณพ่อก็รู้จักยัยแพรดี เอาแต่ยืนนิ่งเป็นคนดี เหมือนอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ จะไปแย่งผู้ชายอะไรกับเค้าได้”
เสรีฉุนจัด “งั้นพ่อจะไปจัดการให้เอง”
“ได้เลยค่า คุณพ่อมาเลย” นลิณานึกขึ้นได้ก็หน้าตาตื่น “หา! คุณพ่อจะตามมาที่นี่จริงๆ เหรอคะ”
“ก็จริงสิ คุณกอบกับคุณรัตน์ เค้าจะได้เกรงใจเราบ้าง อะไรกัน เห็นลูกสาวพ่อเป็นตัวอะไร ไม่จัดการให้เป็นเรื่องเป็นราวซะที คราวนี้ถ้ายังบิดพลิ้วอีก พ่อจะไม่คุยดีๆ กับพวกมันแล้ว”
เสรีพูดด้วยหน้าตาท่าทางเอาจริง

ณดลยังคงก้มหน้าเสียใจ เขาพยายามเอานิ้วปาดน้ำตา แล้วจึงเงยหน้ามาเพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาลูกผู้ชาย
“ฉันต้องขอโทษเธอ แล้วก็ต้องขอโทษเจ้าภัทรด้วย ฉันผิดเอง ฉันมันเลวที่ทำกับเธอไปแบบนั้น”
อนามิกาสวนขึ้นอย่างอดทนไม่ไหว “คุณไม่ได้ผิด แล้วคุณก็ไม่ได้เลวอะไรทั้งนั้น”
“หา!? เธอว่าไงนะ”
“คุณซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง แถมยังมีความยับยั้งชั่งใจ คนแบบคุณจะนับเป็นคนเลวได้ยังไง”
“เลวสิ ชั่วด้วยซ้ำ เมียของน้องชายตัวเองแท้ๆ ฉันยังเผลอใจคิดแบบนั้นได้”
“คุณไม่เข้าใจ เรื่องจริงมันไม่ใช่แบบนั้น”
ณดลงง “เรื่องจริงอะไรของเธอ”
“ก็เรื่องจริงที่ว่าฉันไม่ใช่....เอ่อ...”
“เธอไม่ใช่อะไร พูดออกมาสิ ความจริงอะไรของเธอ พูดออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็ได้ ฉันจะบอกความจริงคุณเดี๋ยวนี้แหละ ตั้งใจฟังฉันให้ดีๆ นะ”
ณดลตั้งใจรอฟังความจริงจากอนามิกา









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 16:01:23 น.
Counter : 315 Pageviews.

0 comment
แหม่มแก้มแดง ตอนที่ 10



บริเวณที่พักซึ่งเต็มไปด้วยความร่มรื่นมีคนงานกำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ โดยมีเชษฐ์ยืนคุมงาน เมธาวีและณภัทรเดินอย่างใช้ความคิดอยู่ใกล้บริเวณนั้น

เมธาวีครุ่นคิด “เราจะช่วยจับคู่ให้พี่อะนากับพี่ณดลยังไงดีล่ะ”
ณภัทรคิดสักครู่แล้วก็โพล่งขึ้นมา “นึกออกแล้ว...ลองอย่างงี้มะ”
“ยังไงเหรอ”
ณภัทรยืนอธิบายให้เมธาวีฟัง
เชษฐ์ผละจากคนงานเดินเข้าไปหาณภัทรกับเมธาวี
“เป็นไงบ้างครับคุณ ชอบบรรยากาศที่นี่มั้ย” เชษฐ์ถาม
“ก็ดีนะ แต่ว่า...” ณภัทรชี้ไปทางป่าเขา “ถ้าเดินออกไปทางด้านหลังนี่ พอจะมีที่เที่ยวที่บรรยากาศดีๆ บ้างมั้ย”
“แล้วที่นี่บรรยากาศไม่ดีเหรอครับ” เชษฐ์ถาม
“ก็ดีค่ะ แต่อยากเปลี่ยนบรรยากาศเป็นแบบโรแมนติก..โรแมนติกบ้าง” เมธาวีบอก
“งั้นลองไปทางโน้นมั้ยครับ” เชษฐ์ชี้ไป “แต่อาจจะเดินไปไกลหน่อย”
“ทางโน้นมีอะไรเหรอ” ณภัทรถาม
“คือมันจะเป็นลานหินโล่งๆ มีแต่หินเลยครับ ไม่มีต้นไม้ซักต้น”
“แล้วแดดไม่ร้อนแย่เหรอ” ณภัทรถามต่อ
“จะเหลือหรือครับ” เชษฐ์ตอบ
ณภัทรกับเมธาวี เหล่มองหน้ากันเพราะอึ้งกับเชษฐ์
“เอ่อ...งั้นขอแบบไม่ร้อนมีมั้ย” ณภัทรบอก
“ถ้าชอบเย็นๆ งั้น...ตรงไปทางนี้ดีกว่าครับ” เชษฐ์ชี้นิ้วไป “เดินตรงไปไม่ถึงชั่วโมงก็จะเจอสระมรกต”
“สระมรกต” ณภัทรถามเชษฐ์ “สวยมั้ย”
“สวยสิครับ ขนาดเคยมีฝรั่งมาถ่ายหนังด้วยนะครับ” เชษฐ์บอก
ณภัทรและเมธาวียิ้มและพยักหน้าให้กัน ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าที่นี่เหมาะ
“อ้อ! แล้วยังมีดอกบัวผุดสีชมพูให้ดูด้วยครับ” เชษฐ์พูดต่อ
“บัวผุดสีชมพู” ณภัทรทวนคำ
“ใช่ครับ...ไหนๆ มาถึงที่นี่แล้ว ก็ควรเดินไปดูนะครับ แล้วไม่ชวนคุณณดลกับคุณอะนาไปด้วยกันล่ะครับ”
“ชวนสิ ชวนแน่ๆ ใช่มั้ยเม”
เมธาวีและณภัทรพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้กันอย่างเจ้าเล่ห์

อนามิกานั่งเล่นอยู่บริเวณหน้าห้องพัก ในขณะที่เมธาวีพยายามชักชวนอนามิกา
“ไปด้วยกันเถอะพี่อะนา ไหนๆ มาแล้ว จะมัวอุดอู้อยู่ตรงนี้ทำไม”
“ฉันก็อยากไปหรอกนะ แต่ว่า...” อนามิกาป้องปากกระซิบ “พ่อแม่นายภัทรเค้าเข้าใจว่าฉันท้องอยู่ จะให้ไปตะลอนๆ ลุยป่าไปสระมรกตอะไรเนี่ยนะ”
“ก็บอกเค้าไปสิว่านายเชษฐ์บอกว่าเดินไปสบายๆ ทางไม่โหด....ไปนะพี่อะนา พวกเราก็ไปด้วยกันทั้งสี่คนนี่แหละ”
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงนลิณา “จะไปไหนกันเหรอจ๊ะ”
อนามิกากับเมธาวีหันไปเห็นนลิณากับเกตนิการ์เดินเข้ามา อนามิกากับเมธาวีจึงรีบหยุดคุย
“ว่าไงจ๊ะ จะไปไหนกัน” เกตนิการ์ถามย้ำ
“เปล่า ไม่ได้ไม่ไปไหนซะหน่อย” อนามิกากระซิบกับเมธาวี “ไปเหอะเม ฉันไม่อยากมีเรื่อง”
“นี่..ฉันไม่ได้มาหาเรื่องนะยะ เดี๋ยวก่อน” นลิณาเรียกไว้
อนามิกากับเมธาวีไม่สนใจรีบเดินออกไปทันที นลิณามองตามไปอย่างขัดใจ

เกตนิการ์กับนลิณาเดินคุยมาด้วยกัน
“ฉันว่าพวกมันต้องแอบซุ่มไปเที่ยวไหนกันแล้วไม่บอกเราแน่ๆ” เกตนิการ์สัณนิษฐาน
“ฉันก็ว่างั้น แถมมันบอกว่าไปสี่คน คงจะชวนนายภัทรกับคุณณดลไปด้วย ...นังสองคนนี้มันแสบจริงๆ” นลิณาฉุนกึก
“หรือเราจะเล่นงานมันซะวันนี้เลย ไม่ต้องรอแล้ว” เกตนิการ์เสนอ
“ก็ดี ถ้าเราย่องแอบตามมันไป แล้วรอจังหวะดีๆ แกล้งผลักมันซะ”
“กะให้แท้งเลยใช่มั้ยงานนี้” เกตนิการ์ถาม
“ตายๆ ไปเลยยิ่งดี หลังๆ นี่ชักจะมาสนิทกับพี่ณดลของฉันอีกคน ยัยนี่...คิดจะกินรวบทั้งพี่ทั้งน้อง”
“แต่ถ้าจะเอางั้น ก็ต้องสะกดรอยตามไปให้เนียน อย่าให้มันรู้ตัว เพราะถ้ามันเห็น จะกลายเป็นคดีความใหญ่โตนะเธอ เจตนาฆ่าเนี่ย” เกตนิการ์บอก
“ฉันรู้น่ะ ฉันจะจัดการมันอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้มันรู้ตัว ไม่ให้มันเห็นหน้าฉันด้วยซ้ำ...เรียกว่างานนี้ มันมีสิทธิ์แท้งโดยไม่รู้ตัวเลยหละ”
พูดจบแววตาของนลิณาก็ฉายแววเหี้ยมโหดออกมา

กอบชัยกับพนารัตน์เดินมาด้วยกันที่บริเวณชายหาด แล้วทั้งสองก็สะดุดสายตาเมื่อมองไปเห็นณดลนั่งที่เตียงผ้าใบซึ่งมีร่มคันใหญ่กางป้องแดดอยู่คนเดียว กอบชัยกับพนารัตน์มองหน้ากันเพราะเป็นห่วงลูก แล้วทั้งสองจึงเดินเข้าไปหา
“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะลูก” กอบชัยทักขึ้น
“แล้วนี่ได้กินอะไรหรือยัง” พนารัตน์ถามต่อ
“ยังเลยครับคุณแม่” ณดลตอบ
“อ้าว..แล้วไม่มีใครดูแลเลยเหรอ” พนารัตน์หันไปทางกอบชัย “คุณ..ไปเรียกเด็กมาจัดการหาอะไรให้ลูกกินหน่อยสิ”
“ไม่ต้องหรอกครับ” ณดลบอก
“อ้าว..ทำไมล่ะ” พนารัตน์สงสัย
“ผมมีคนดูแลเรื่องกินแล้ว”
กอบชัยกับพนารัตน์ยิ่งสงสัย “หือ?”
ณดลหันมองไป กอบชัยกับพนารัตน์มองตามก็เห็นอนามิกาเดินถือถาดเสิร์ฟอาหาร ที่มีข้าวผัดพร้อมถ้วยกับข้าว 2 อย่าง และแก้วพร้อมน้ำส้มอีกหนึ่งเหยือกเดินเข้ามา
“โอ้โห...นี่ยกมาเองเลยเหรอ” กอบชัยงง
“นั่นสิ เดี๋ยวคุณแม่ฉันก็ว่าเอาที่ใช้คนท้องคนไส้แบบนี้” ณดลว่า
“เด็กทุกคนกำลังงานยุ่งค่ะ เห็นว่ามันไม่ได้หนักมาก ก็เลยยกเองดีกว่า” อนามิกาตอบ
อนามิกาวางถาดอาหารลงที่โต๊ะข้างๆ เตียงผ้าใบ
“คุณผู้ชาย...คุณผู้หญิงสนใจมั้ยคะ เดี๋ยวฉันไปยกมาให้”
“โอ๊ย..ไม่ต้องหรอกจ้ะ ฉันกับคุณกอบเพิ่งกินข้าวมา” พนารัตน์บอก
ณดลตักข้าวผัดชิมคำแรกก็รู้สึกคุ้นๆ
“รสชาติคุ้นๆ นะ”
“ในครัวทุกคนก็กำลังยุ่ง ฉันเลยลงมือเองน่ะค่ะ” อนามิกาบอก
“ถึงว่า...” ณดลหันไปหาพนารัตน์ “คุณแม่ลองชิมมั้ยครับ” ณดลตักข้าวป้อนแม่ตัวเอง
“เอ้อ...” พนารัตน์หันไปบอกกอบชัย “อร่อยกว่าที่เรากินเมื่อกี้เยอะเลยคุณ”
“พอแล้วคุณน่ะ อย่าไปแย่งลูกกิน” กอบชัยบอก
“จ้ะๆ งั้นแม่ไปก่อนนะ”
กอบชัยกับพนารัตน์เดินห่างออกมา

พนารัตน์กับกอบชัยเดินคุยกันมาตามทางเลียบชายหาดอีกมุมหนึ่ง
“จะว่าไป ผู้หญิงคนนี้ก็ดูแลลูกเราได้ดีเหมือนกันนะคุณ” กอบชัยเอ่ยขึ้น
“ก็ดูจะมีความเป็นแม่บ้านแม่เรือนใช้ได้” พนารัตน์บอก
“ตอนไปช่วยงานที่ออฟฟิศณดล เห็นว่าก็ทำได้ดีอีกต่างหากนะ”
“นั่นสิ หรือเราสองคนเป็นพวกหัวล้านได้หวี เป็นพวกวานรได้แก้ว”
“ยังไงเหรอคุณ” กอบชัยถาม
“ก็เหมือนเจ้าภัทรลูกเราก็ได้แม่บ้านที่ดีเพียบพร้อมแล้ว แต่เรากลับไม่รู้ค่า เอาแต่ผลักไสไล่ส่งกันซะ”
“คุณรัตน์พูดอย่างงี้ก็ใจร้ายกับหนูแพรเกินไปหรือเปล่า ยังไงก็ต้องถือว่าหนูแพรเค้ามาก่อน ขืนจับคู่เจ้าภัทรกับยัยอะนา หนูแพรก็เสียใจแย่” กอบชัยบอก
“ฉันรู้...ก็กำลังดูๆ อยู่เนี่ยว่าจะเอาไงดี เฮ่อ...กลุ้ม”
พนารัตน์ครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล

เมธาวี ณภัทร อนามิกา และณดลเดินออกจากรั้วไปสู่ชายป่า โดยที่ณดลสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปคู่กายมาด้วย พอเมธาวี ณภัทร อนามิกา ณดล เดินลับตาไปนลิณากับเกตนิการ์ในชุดทะมัดทะแมงก็เดินตามมา นลิณากับเกตนิการ์พยักหน้าให้กันแล้วเดินสะกดรอยตามกลุ่มของณดลไป

ณภัทรเดินนำหน้า เมธาวี อนามิกา และณดลมาตามทางในป่าที่ค่อนข้างโปร่ง อนามิกาพยายามเร่งฝีเท้าเดินตามให้ทัน ส่วนณดลเดินปิดท้ายคอยดูอนามิกาอยู่ห่างๆ
อนามิกาตะโกนกัดณภัทร “มาคนเดียวหรือไง เดินไม่รอใครเลยนะ”
“นั่นสิ เห็นใจอะนาบ้าง เมียแกท้องอยู่นะ” ณดลบอก
“ครับพี่” ณภัทรหันมาแกล้งเปิดวงแขนแล้วเดินถลาจะมาโอบอนามิกา “โถ...เมียจ๋า”
ณภัทรโผเข้าไปกอดอนามิกา อนามิกาแอบกำหมัดถองใส่ท้องเขาไปหมัดหนึ่ง
“อุ้บ! เอ่อ” ณภัทรพูดกับณดล “ดูท่ายังแข็งแรงดี คงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
แล้วทุกคนก็เดินต่อ สักพักณดลก็ถามขึ้น
“เมื่อกี้เห็นเมพูดเรื่องดอกบัวผุดสีชมพู มันเป็นยังไงเหรอ”
“เมก็ไม่เคยเห็นหรอกนะคะ แต่นายเชษฐ์โฆษณาไว้ว่า หาดูได้ยาก มีอยู่ที่เดียวในประเทศไทย”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะพี่ เค้าบอกด้วยว่าปีนึงมันจะบานแค่ไม่กี่วันเองนะ” ณภัทรเสริม
“แล้วบานช่วงไหน หน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว” อนามิกาถาม
“หน้านี้แหละพี่อะนา ช่วงเนี้ยกำลังบานเลย”
“โห...จังหวะดีเลยนะ โชคดีจริง พวกเรา” อนามิกายิ้ม
ทั้งสี่เดินเลยไป ครู่หนึ่งนลิณากับเกตนิการ์จึงเดินตามมาติดๆ แต่ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อย เกตนิการ์ล้วงเป้หยิบน้ำดื่มขึ้นมาดื่ม นลิณาเห็นแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก
“กินด้วยสิ” นลิณาล้วงหยิบน้ำในเป้ของเกตนิการ์ขึ้นมาดื่ม
“เร็ว..เดี๋ยวตามไปไม่ทัน” เกตนิการ์เร่ง
เกตนิการ์รีบรุดไป นลิณากำลังจะจรดปากดื่มน้ำจากขวดพลาสติกแต่ก็โดนเกตนิการ์เร่งขัดจังหวะ เธอรู้สึกขัดใจแต่ก็ต้องรีบเดินตามเกตนิการ์ไป

ณภัทร เมธาวี อนามิกา ณดล เดินมาตามทางในป่ามาถึงบริเวณร่มรื่นใกล้โขดหิน ทุกคนมีท่าทางเหนื่อยหอบจึงหยุดพักแล้วยกน้ำดื่มกินกัน ณดลมองอนามิกาอย่างเป็นห่วง
“พักก่อนมั้ยพวกเรา” ณดลเอ่ยขึ้น
“อะไร แค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ โธ่เอ๊ย...ตัวก็ออกใหญ่ เป็นผู้ชายอะไร” อนามิกาแขวะ
“นี่..ฉันแค่ห่วงเธอต่างหาก ยังท้องไส้ อย่าทำเก่งนักเลย แล้วอีกอย่างฉันจะขอตัว...เอ่อ...” ณดลอึกอัก
ณดลเดินไปหาณภัทรแล้วก็กระซิบอะไรบางอย่างกับณภัทร ณภัทรพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินไปด้วยกัน อนามิกากับเมธาวีเดินตาม ณดลกับณภัทรหยุดชะงัก
ณดลหันมา “พวกเธอนั่งพักแถวนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา”
ณดลกับณภัทรเดินออกไป แต่ว่าอนามิกากับเมธาวียังเดินตามไปด้วย ณดลกับณภัทรเร่งฝีเท้า อนามิกากับเมธาวีก็ยิ่งเร่งฝีเท้าตาม ณดลกับณภัทรหยุดเดินแล้วหันมามองอนามิกากับเมธาวีอย่างหงุดหงิด
“จะตามมาทำไม” ณดลถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“เอ๊า...ก็มาด้วยกัน ขืนไม่เดินตามก็หลงทางสิ” อนามิกาตอบ
“ไม่หลงหรอก รอแถวนี้ก่อน” ณภัทรบอก
ณดลกับณภัทรขยับเดินต่อ อนามิกากับเมธาวีก็ขยับตาม
ณดลหันขวับมาทันที “ฉันจะไปฉี่”
“อ้าว.....แล้วก็ไม่บอก” อนามิกาพูด
นลิณากับเกตนิการ์ซ่อนตัวอยู่ที่พุ่มไม้บริเวณนั้น ทั้งสองรีบหดหัวให้มิดชิดเพราะณดลกับณภัทรเดินมายืนใกล้ๆ
ณดลกับณภัทรกำลังเตรียมจะปลดเข็มขัด ทั้งสองมองหาสถานที่แล้วก็ตัดสินใจเลือกพุ่มไม้ที่เกตนิการ์กับนลิณาซ่อนตัวอยู่ นลิณาทำท่าจะร้องออกมาแต่เกตนิการ์รีบเอานิ้วจุ๊ปากเตือนให้เงียบ ทั้งสองหลับตาปี๋แล้วทำหน้าตาขยะแขยง รอรับชะตากรรม
ทันใดนั้นเสียงอนามิกาก็ดังขึ้น “นี่! สองคนน่ะ”
ณดลกับณภัทรชะงักแล้วหันไป
อนามิกากับเมธาวียืนท้าวสะเอวอย่างไม่พอใจอยู่
“ให้มันพ้นหูพ้นตานิดนึงได้มั้ย น่าเกลียดที่สุด ไปไกลๆ ไป๊” อนามิกาไล่
“เดี๋ยวก็ได้เป็นตากุ้งยิงกันพอดี” เมธาวีเสริม
ณดลกับณภัทรกระชับหัวเข็มขัดเข้าที่แล้วเดินห่างจากอนามิกากับเมธาวีไป นลิณาและเกตนิการ์เป่าปากด้วยความโล่งอก

อนามิกาและเมธาวีก้าวขึ้นมายืนชมวิวบนโขดหินที่อยู่สูงประมาณเมตรครึ่ง นลิณาและเกตนิการ์แอบซุ่มดูอนามิกากับเมธาวีอยู่ในพุ่มไม้
“ได้จังหวะ จัดการมันแล้ว” เกตนิการ์บอก
“เดี๋ยวสิเธอ มันยังอยู่กันสองคน” นลิณาเบรก
อนามิกากับเมธาวียังคงชมวิวอยู่บนโขดหินอย่างสดชื่น
“พี่อะนา...” เมธาวีเรียก
“ว่าไง”
“เห็นหนุ่มๆ ไปยิงกระต่ายแล้วเม...เอ่อ..เมขอไปเก็บดอกไม้บ้างนะ”
“แหม...ใช้คำโบราณจังนะ ก็พูดมาเหอะว่าไปฉี่” อนามิกาแซว
“แหม...ก็สุภาพนิดนึง งั้นเดี๋ยวมานะ”
เกตนิการ์กับนลิณาแอบซุ่มดูจนเห็นว่าเมธาวีเดินออกไปแล้ว ทั้งสองจึงหันมามองหน้ากัน
“โอกาสทองฝั่งเพชรเลยหละคราวนี้ จัดการมันเลยนีน่า”
นลิณาพยักหน้า “เธอดูต้นทางให้ด้วยนะ”
นลิณาขยับออกจากพุ่มไม้แล้วค่อยๆย่องไปข้างหลังอนามิกาที่กำลังยืนเหม่อเพลินๆ นลิณาเดินใกล้เข้ามาพร้อมกับยื่นสองมือเตรียมผลักเต็มที่ เกตนิการ์ซึ่งหลบซุ่มอยู่ก็ลุ้นไปด้วย แต่พอหันไปอีกทางเกตนิการ์ก็ต้องหน้าตาตื่นพร้อมกับรีบหลบ
“แล้วเมล่ะ” เสียงณภัทรถามดังขึ้น
นลิณาตกใจจึงรีบพุ่งกระโจนมุดเข้ามาในพุ่มไม้จนเกิดเสียงดังสวบ!!
ณภัทรเดินเข้าไปหาอนามิกา
“ยัยเมน่ะเหรอ” อนามิกาพยักหน้าไปทางหนึ่ง “ไปเก็บดอกไม้ทางนู้นน่ะ”
“เหรอ...เอ้อ..เดี๋ยวไปช่วยเก็บ” ณภัทรจะเดินไปตามทางที่อนามิกาพยักหน้าบอก
อนามิการีบเดินตามไปคว้าแขนณภัทรไว้ “จะบ้าเหรอ เก็บดอกไม้แปลว่าไปฉี่..โอ๊ย! ต้องให้แปลด้วยเหรอนี่”
นลิณานอนพังพาบอยู่ข้างๆ เกตนิการ์ในพุ่มไม้
นลิณาร้องออกมาเบาๆ “อูยย...”
เกตนิการ์ถามเสียงเบา “เป็นอะไรหรือเปล่า”
นลิณาค่อยๆ หันมาทำให้เกตนิการ์เห็นว่าทั้งกิ่งไม้ ทั้งหนามตำอยู่ที่ใบหน้า และริมฝีปาก และมีใบไม้ติดที่ผมของนลิณา
“อุ้ย!” เกตนิการ์ตกใจ
“ชะ..ช่วย ช่วยแกะหนามหน่อย” นลิณาขอ
“ได้ๆๆ” เกตนิการ์แกะหนามกิ่งไม้เล็กๆ ที่ตำริมฝีปากให้นลิณา
“อุ๊ย...อูย”
“ชู่ววว เบาๆ สิเธอ” เกตนิการ์ปราม
เกตนิการ์ดึงหนามกิ่งไม้ให้ ในขณะที่นลิณทำหน้าตาบูดเบี้ยวเพราะเจ็บปวดแต่ก็ต้องกลั้นเสียงร้องไม่ให้ดังเกินไป

ณดล อนามิกา ณภัทร เมธาวี เดินเข้ามาหยุดที่จุดชมวิวบริเวณสระมรกต ทั้งสี่ตื่นตาจนแทบลืมหายใจไปกับวิวตรงหน้าเพราะบริเวณอันกว้างขวางของสระมรกตดูสดชื่นสวยงาม
“วาว...” อนามิการ้องออกมา
“สวยจริงๆ เลยเน๊อะพี่อะนา” เมธาวีบอก
“อืม...เห็นแล้วหายเหนื่อยเลย” อนามิกาชื่นชม
ณภัทรชวนเมธาวี “มานี่เร็ว”
ณดลรีบยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายเก็บความประทับใจ ณภัทรเดินนำเมธาวีไปที่ลำธารตรงสระมรกต เมธาวีเดินเหยียบโขดหินเดินตามไปอย่างไม่ค่อยถนัด ณภัทรหันมาช่วยจับมือเมธาวีไว้ เมธาวียิ้มเขินอาย แล้วทั้งสองก็เดินไปที่ริมสระมรกต
อนามิกายืนชมสระมรกตอยู่ ณดลเดินมายืนข้างๆ แล้วหลับตาพริ้มสูดอากาศ อนามิกาเหลือบมองณดลอย่างรู้สึกดีๆ ครู่ใหญ่ณดลจึงเหลือบมองมา อนามิการีบหลบตาแล้วทำเป็นมองชมวิวสระมรกต
ทุกคนชื่นชมกับธรรมชาติของสระมรกตอย่างมีความสุข ณดลยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอิริยาบถของแต่ละคน

พนารัตน์นั่งดื่มกาแฟและกินของว่างยามบ่ายอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นที่ร่มรื่นใกล้กับที่พัก
ในขณะที่กอบชัยกำลังเพ่งอ่านข่าวจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ พนารัตน์มองไปรอบๆ
“พวกเด็กๆหายไปไหนกันหมดเนี่ย” พนารัตน์แปลกใจ
กอบชัยยังเพ่งมองหน้าจอโทรศัพท์ “เห็นเค้าว่าเดินไปดูสระมรกตกัน ผมก็อยู่กับคุณตลอดคุณจะถามอะไรผมนักหนาล่ะ”
พนารัตน์หันมาทำตาเขียวใส่ กอบชัยยังไม่รู้ตัวจนหันมาเห็นหน้าพนารัตน์ กอบชัยถึงกับสะดุ้ง
“อุ้ย!” กอบชัยยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็ไปสะดุดที่แพรวาซึ่งกำลังเดินอยู่คนเดียว
“อ้าว...ไหงหนูแพรมาเดินอยู่คนเดียวอย่างงั้นล่ะ” กอบชัยทักขึ้น
“ฉันก็อยู่กับคุณตลอด คุณว่าฉันจะรู้มั้ยล่ะ”
กอบชัยผงะที่เจอภรรยาย้อน เขารีบหันไปเรียกแพรวา
“หนูแพร”
แพรวาหันมาเห็นก็ยิ้มแล้วเดินเข้ามา พนารัตน์กับกอบชัยลุกขึ้นต้อนรับ
“นึกว่าไปเที่ยวสระมรกตกับเค้าซะอีก ใช้ไม่ได้เลย ตาภัทรเนี่ย ทำไมไม่ชวนหนูแพรไปด้วย” พนารัตน์ตำหนิลูกชาย
“นั่นสิ อุตส่าห์กำชับให้คอยเทคแคร์หนูแพรแล้วนะ กลับมาต้องดุกันหน่อยแล้ว” กอบชัยบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แพรขี้เกียจเดินน่ะค่ะ คุณณภัทรเค้าคงอยากไปกับว่าที่ภรรยาเค้ามากกว่า” แพรวาตอบ
“โถ...ว่าที่ภรรยาอะไร ภัทรเค้ายังไม่ได้จดทะเบียนกับใครทั้งนั้นแหละ อย่าน้อยใจไปเลยนะหนูนะ” พนารัตน์ปลอบ
แพรวายิ้มอย่างรู้สึกสบายดี “แพรไม่ได้น้อยใจเลยค่ะ”
“ไม่น้อยใจซักนิดเลยเหรอ” พนารัตน์ถามย้ำ
แพรวาส่ายหน้าปฏิเสธอย่างจริงใจ “ไม่เลยค่ะ ไม่น้อยใจ ไม่โกรธ ไม่รู้สึกอะไรเลย แพรแฮปปี้ดีค่ะ”
พนารัตน์หันกับกอบชัยมองหน้ากันอย่างงงๆ
“เอ่อ...งั้นตามสบายเถอะจ้ะ”
แพรวาลุกขึ้นแล้วเดินไป พนารัตน์กับกอบชัยกลับมานั่งที่เดิมด้วยความฉงนสงสัย
“คุณรู้สึกมั้ย หนูแพรเนี่ย ดูๆไปก็ไม่เห็นเค้าจะรู้สึกรู้สาอะไรกับเจ้าภัทรเลย” พนารัตน์บอก
“คุณรัตน์กำลังสงสัยว่าเค้าไม่ได้รักลูกชายเราจริงๆ....อย่างงั้นใช่มั้ย” กอบชัยถาม
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ แต่ถ้าลูกชายเราไม่รู้สึกอะไร ลูกสาวเค้าก็ไม่รู้สึกอะไร แล้วถ้าจับคู่ให้อยู่กันไปมันจะรอดมั้ยล่ะคุณ”
กอบชัยกับพนารัตน์มีสีหน้าไม่สบายใจ

ณภัทรและเมธาวีนั่งเล่นอยู่ที่โขดหินห้อยขาลงไปในลำธาร ทั้งสองนั่งมองไปที่คู่ของอนามิกากับณดลซึ่งกำลังเดินเตะน้ำเล่นในลำธารที่ตื้นๆ
“ดูสองคนนั้น ท่าทางกำลังชิลเลยนะ” ณภัทรเอ่ยขึ้น
“งั้นเราก็ควรจะชิ่ง ให้เค้าอยู่กันสองคนแล้วใช่มั้ย” เมธาวีถาม
ณภัทรพยักหน้าหงึกๆ
อนามิกากับณดลยังคงเดินเตะน้ำเล่นอยู่ด้วยกัน
“โชคดีชะมัดเลย เธอรู้มั้ย ตอนฉันซื้อที่บนเกาะนี้ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเดินมาแค่ไม่ถึงชั่วโมงจะมีสระมรกตแบบนี้ เรียกว่าคุ้มสุดๆ” ณดลบอก
“นี่...คุณก็คิดแต่เรื่องคุ้ม ไม่คุ้ม มองอะไรเป็นเรื่องธุรกิจ เรื่องการลงทุนไปซะหมด” อนามิกาว่า
“ไม่ใช่อย่างง้าน เลิกมองฉันเป็นคนอย่างนั้นซะทีได้มั้ย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันซื้อที่นี่ เพราะฉันรักธรรมชาติ”
“รักแบบคิดจะครอบครอง เป็นเจ้าของธรรมชาติน่ะสิ” อนามิกาแขวะ
“ครอบครองอะไรกัน คนเราน่ะ ควรจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติในฐานะผู้ขออาศัย ไม่ใช่คิดจะครอบครองเป็นเจ้าของ”
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเมธาวีเรียก “พี่อะนา พี่ณดล”
อนามิกากับณดลหันมาเห็นเมธาวีเดินหน้าเหยเกเข้ามาหา โดยมีณภัทรเดินตาม
“เป็นอะไรเหรอเม” อนามิกาถาม
“เม..ปวดท้อง”
“ปวดท้องอะไร เป็นอะไรเหรอ” ณดลถาม
“เอ่อ...อ่า...คือ” เมธาวีไม่ตอบณดลแต่เดินเข้าไปกระซิบบอกอนามิกา “เมปวดท้องเมนส์น่ะ ขอกลับก่อนนะ มียาอยู่ที่ห้องน่ะ”
“เหรอ...งั้นเราสองคนกลับก่อนดีกว่ามั้ย” อนามิกาชวน
เมธาวีรีบปราม “ไม่ต้องๆ พี่อะนาอยู่นี่แหละ เมกลับเอง”
“เดี๋ยวฉันเดินไปส่งเอง” ณภัทรอาสา
“เดี๋ยวก่อนนะ” ณดลหันมาหาเมธาวี “ฉันถามว่าเธอปวดท้องอะไร”
“เรื่องของผู้หญิง คุณไม่ต้องรู้หรอกน่ะ” อนามิกาตอบแทน
“ฉันถามดีๆ ก็ช่วยตอบดีๆ ได้มั้ย”
“โอ๊ย...จะรู้ไปทำไม เอ๊า...บอกก็ได้” อนามิกาพูดเสียงดัง “ยัยเมปวดท้องเมนส์”
“พี่อะนา” เมธาวีเขินอาย
ณดลหน้าเจื่อนไปทันที
“เอ่อ..โทษที ฉันเข้าใจแล้ว”
“งั้นไปหละนะ” เมธาวีเอ่ย
แล้วเมธาวีกับณภัทรก็จะเดินไปด้วยกัน แต่ณดลรีบทักไว้
“เดี๋ยว! ภัทร”
ณภัทรหันมา “อะไรพี่”
“แกอยู่กับเมียแกที่นี่แหละ เดี๋ยวฉันไปกับเมเอง” ณดลบอก
“เอ่อ..แต่ว่า...” ณภัทรอ้ำอึ้ง
“แต่ว่าอะไรของแก นี่เมียแกนะเว้ย แกก็ต้องดูแลสิ”
“เอ่อ..คือ...” ณภัทรยังคงอ้ำอึ้ง
ณภัทรหันมองหน้ากับเมธาวีเชิงปรึกษาว่าเอาไงดี สักครู่ณภัทรก็นึกขึ้นได้จึงรีบเอามือกุมท้องทำเป็นปวดท้อง
“เป็นอะไรของแกเนี่ย” ณดลถาม
“โอ๊ย...อูย..ปวดท้อง” ณภัทรร้องออกมา
“อะไรกัน อย่าบอกนะว่าปวดท้องเมนส์อีกคน” ณดลพูด
“จะบ้าเหรอพี่ ของผมปวดท้องแบบ..แบบจัดหนักน่ะพี่ สงสัยเพราะข้าวต้มกุ้งเมื่อเช้าจะออกฤทธิ์ ไปก่อนนะพี่ ไม่มีเวลาแล้ว”
ณภัทรกับเมธาวีรีบเดินย้อนกลับไปทางที่ไปเกาะ
“เฮ้ย..เดี๋ยวสิ ไอ้ภัทร...ว้า...แล้วมันจะกลับไปทันมั้ยนั่นน่ะ” ณดลเป็นห่วง
อนามิกายิ้มขำๆ เพราะรู้ทันว่าณภัทรแกล้งฟอร์มแต่เธอก็ปล่อยเลยตามเลย เพราะเธอก็อยากให้เมธาวีได้ใกล้ชิดณภัทรอยู่แล้ว

ณภัทรและเมธาวีเดินออกมาจากสระมรกตผ่านพุ่มไม้ที่นลิณากับเกตนิการ์ซ่อนตัวอยู่ ทั้งสองรีบมุดหัวหลบให้มิดชิด พอณภัทรกับเมธาวีเดินเลยไป นลิณากับเกตนิการ์ก็ค่อยๆโผล่หน้ามา
“เหลือสองคนแล้ว ยังมีโอกาสให้แก้ตัวอีกครั้งนะ” เกตนิการ์บอก
นลิณาหันไปแล้วร้องด้วยความตกใจ “หลบก่อนเร็ว”
นลิณาดึงเกตนิการ์ให้มุดหลบ แล้วชี้ไปที่ณภัทรกับเมธาวีที่เดินย้อนกลับมา หลบอยู่ที่อีกพุ่มไม้หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่นลิณากับเกตนิการ์หลบอยู่
“มันจะมาหลบทำไมเนี่ย” เกตนิการ์งง
“ฉันก็งงเหมือนกันเนี่ย” นลิณาบอก
ณภัทรกับเมธาวีหลบอยู่ในพุ่มไม้อีกพุ่มไม้หนึ่ง ทั้งสองเพ่งมองไปทางณดลกับอนามิกา
เมธาวีพูดเบาๆ “ปล่อยให้เค้าอยู่กันสองคนไม่ดีกว่าเหรอภัทร”
“ขออยู่ดูผลงานหน่อยน่า” ณภัทรบอก
นลิณาและเกตนิการ์หันไปมองณภัทรกับเมธาวี จึงเห็นณภัทรและเมธาวีที่ซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้ไม่ห่างจากพวกเธอ ทั้งคู่จึงเริ่มเซ็ง
“ดู๊...ดู ไอ้สองคนนี้ มาทำลายโอกาสงามๆ ของฉันซะงั้น” นลิณาเซ็ง
“ใจเย็นๆ น่า ขากลับยังมี” เกตนิการ์ดึงนลิณาให้หลบมิดชิดขึ้น “หลบมาก่อน”
นลิณากับเกตนิการ์ก้มหลบอย่างมิดชิดด้วยหน้าตาเซ็งๆ
แพรวาเดินอยู่บริเวณแนวรั้วที่พักซึ่งเป็นทางเดินจากที่พักไปสู่แนวป่า จู่ๆ เกตนิการ์กับนลิณาก็เดินหัวเราะกันมาก่อนจะเร่งฝีเท้าตามแพรวา

“ยัยแพร” นลิณาเรียกน้องสาว “ฉันมีข่าวดีมาบอก เธอต้องขอบคุณฉันมากๆ เลยนะ ที่ช่วยกำจัดเสี้ยนหนามให้เธอ”
“เสี้ยนหนาม?” แพรวางง
เกตนิการ์ป้องปากบอกแพรวา “ก็ยัยอะนาไง”
แพรวาหน้าเสียอย่างรู้สึกผิดเพราะไม่อยากจะทำร้ายใคร
“คุณอะนาเค้าเป็นอะไรเหรอคะ”
นลิณาทวนคำถาม “เป็นอะไร? เป็นผีตายทั้งกลมเฝ้าป่าอยู่หละมั้ง”
นลิณาหันมายิ้มขำกับเกตนิการ์ เกตนิการ์หันมองแพรวาที่ดูจะช็อคไป
“ดู๊..ดู...ไหงน้องสาวเธอไม่ยักจะดีใจแฮะ”
“อู๊ย..ไม่อยากจะคิดนะว่ามันจะโดนหามมาในสภาพไหน สงสัยจะยับเยินไม่มีดี” นลิณาบอก
“แบบนั้นน่ะเหรอคะ”
พูดจบแพรวาก็ชี้ไป เกตนิการ์กับนลิณาหันมองตามไปก็เห็นณดลแบกอนามิกาขี่หลังมาจากแนวป่า ทั้งสองมีสีหน้ายิ้มแย้มและคุยเล่นกันมาตลอดทางโดยไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บหนักเลย
นลิณากับเกตนิการ์หันมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
เกตนิการ์พูดเบาๆ “ไหงสภาพมันถึงหน้าระรื่นอย่างงั้นล่ะ”
นลิณาหน้าเหวอเพราะผิดคาดสุดๆ

ณดลเดินเข้ามาแล้วค่อยๆ วางอนามิกาลงบนโต๊ะนั่งเล่นบริเวณนั้น แต่ด้วยน้ำหนักของอนามิกาซึ่งกำลังโอบรอบคอณดลอยู่จึงหน่วงเอาณดลจนเกือบหน้าคะมำคว่ำไป
“โอ๊ย..วางเบาๆ สิ ฮ่าๆๆ” อนามิกาหัวเราะ
นลิณาเห็นแล้วแทบคลั่ง เธอหันไปกระซิบกับเกตนิการ์
“มันไม่เป็นอะไรเลย” นลิณาแสร้งเดินไปหาพร้อมกับทำเป็นตื่นตกใจ “อุ๊ยตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้นน่ะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่าอะนา”
เกตนิการ์เข้ามาเสริม “มีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ยจ๊ะ ไหน...เจ็บตรงไหน”
แพรวายืนเหวอๆ ที่นลิณากับเกตนิการ์เสแสร้ง แพรวามองหน้านลิณากับเกตนิการ์อย่างเข้าใจเรื่องทั้งหมดดี สักพักพนารัตน์ก็รี่เข้ามาอีกคน
“อะไรกันจ๊ะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
“ข้อเท้าพลิกนิดหน่อยน่ะค่ะคุณผู้หญิง” อนามิกาตอบ
“แล้ว...” พนารัตน์ชี้ที่ท้องอนามิกา “ในท้องเธอ”
“ไม่กระทบกระเทือนค่ะ แค่ปวดที่ข้อเท้า” อนามิกาตอบ
“อืม..” พนารัตน์หันมาหาณดล “งั้นแม่ว่านะ รีบพาอะนาไปหาเจ้าภัทรก่อนดีกว่า ให้สามีเค้าเห็นหน้าซักหน่อย”
ณดลได้ยินก็ถึงกับสะอึก
แพรวา นลิณา และเกตนิการ์ก็สะอึกกับคำพูดของพนารัตน์
“รายนั้นก็เดี้ยงกลับมาเหมือนกัน” พนารัตน์ชี้ไป “นอนอยู่ในห้องโน่นน่ะ”
“ครับคุณแม่” ณดลรับคำ
ณดลประคองอนามิกาให้ลุกขึ้นยืน อนามิกายันกายลุกขึ้นยืน ณดลประคองให้อนามิกากอดคอแล้วเดินไป พนารัตน์เดินตาม ทิ้งให้เกตนิการ์กับนลิณา และแพรวายืนอยู่ด้วยกัน
แพรวาโล่งใจที่อนามิกาไม่เป็นอะไรมาก ส่วนนลิณากับเกตนิการ์มองตามอย่างขัดใจสุดๆ
“ตายๆๆ ทางโน้นนายภัทรก็อี๋อ๋อกับยัยเม ทางนี้ก็เดินกอดกันกลม” เกตนิการ์พูด
“แต่ฉันยังไม่หยุดหรอกนะ ถ้ามันจะโชคดีรอดไปได้ทุกครั้งก็ให้มันรู้ไปสิ”
นลิณาพูดด้วยสายตาเคียดแค้นเอาจริง

ณภัทรกับอนามิกานอนอยู่ด้วยกันบนเตียงในห้องพัก โดยที่ทางฝั่งณภัทรมีเมธาวีนั่งที่ข้างเตียงคอยดูแล ส่วนทางฝั่งอนามิกาก็มีณดลนั่งอยู่ข้างๆ กอบชัยกับพนารัตน์ยืนดูอยู่ไม่ห่าง
“นี่ แกแค่เจ็บเข่านิดหน่อย อย่าสำออยนักเลย ลุกขึ้นมาดูแลเมียแกได้แล้ว” ณดลบอก
ณภัทรขยับลุกขึ้นมา “ครับๆๆ”
ณภัทรรับครีมบรรเทาปวดมาจากเมธาวี แล้วมาถูนวดข้อเท้าให้อนามิกาอย่างนุ่มนวล พนารัตน์สะกิดกอบชัยแล้วกระซิบบอกสามีอย่างชอบอกชอบใจ
“ดูสิคุณ...ฉันไม่เคยมาก่อนเลยนะ”
กอบชัยงง “ไม่เคยเห็นอะไรคุณ”
“เจ้าภัทรน่ะสิ ฉันไม่เคยเห็นเค้าทำตัวเป็นผู้ชายอบอุ่น โรแมนติก นุ่มนวลกับภรรยาแบบนี้”
“อะไรของคุณ เห็นดีเห็นงามไปกับคู่นี้แล้วเหรอ แล้วหนูแพรล่ะ” กอบชัยถาม
พนารัตน์จุ๊ปากให้สามีเงียบ “ชู่วว...ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า” พนารัตน์พูดกับทุกคนในห้อง “มีคนดูแลกันแล้ว แม่กับพ่อขอตัวก่อนนะ”
ทุกคนส่งเสียงขานรับ “ครับ / ค่ะ” แล้วพนารัตน์กับกอบชัยก็เดินออกไป
ณภัทรทาครีมบรรเทาปวดที่ข้อเท้าให้กับอนามิกาอย่างทะนุถนอม ณดลมองแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ในใจ เมธาวีแอบสังเกตเห็นอาการของณดลก็รู้สึกเห็นใจณดลที่ต้องทนทุกข์และรู้สึกผิดเพราะไม่รู้ความจริงว่าอนามิกาเป็นแค่เมียกำมะลอของณภัทรเท่านั้น

เตาปิ้งบาร์บีคิวตั้งอยู่ที่มุมหนึ่งที่ลานกว้างของเกาะ ส่วนโต๊ะที่จัดเป็นมุมเครื่องดื่มอยู่อีกมุม บนโต๊ะมีชามอ่างใส่ sangria สีสวยวางอยู่ ส่วนอีกมุมมีโต๊ะที่วางอาหารต่างๆ เช่นสปาเก็ตตี้ สลัดผัก และผลไม้ตั้งอยู่
พนารัตน์กับกอบชัยนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะรับประทานอาหาร อนามิกาเดินถือจานอาหารมาสองจาน
อนามิกาวางจานอาหารให้บนโต๊ะ “สลัดผักกับกุ้งเผาของคุณผู้หญิงค่ะ แกะกุ้งให้แล้วนะคะ” อนามิกาวางอีกจาน “แล้วนี่ของคุณผู้ชาย ปลากะพงเผาค่ะ”
ทันใดนั้น เกตนิการ์และนลิณาก็เดินแทรกเข้ามา นลิณายกจานปลาหมึกย่างมาวางแทรกจานของอนามิกา
“จิบเครื่องดื่มแกล้มปลาเผาจะไปอร่อยอะไร ทานปลาหมึกย่างนี่เป็นกับแกล้มดีกว่าค่ะ” นลิณาพูดกัดอนามิกา “เธอนี่ไม่รู้อะไรเล๊ย..”
กอบชัยดันจานของนลิณาออกอย่างเกรงใจ “เอ่อ..คือ..ช่วงนี้หมอห้ามน่ะ”
“ห้ามอะไรเหรอคะ” นลิณาถาม
“ช่วงนี้คุณหมอสั่งงดอาหารที่คลอเลสเตอรอลสูง ปลาหมึกเนี่ยตัวดีเลย” อนามิกากัดนลิณาคืน “เธอนี่ไม่รู้อะไรเล๊ย”
เกตนิการ์กับนลิณาถึงกับสะอึก
“นี่เธอว่าเพื่อนฉันเหรอ” เกตนิการ์ถามฉุนๆ
นลิณาเหล่มองพนารัตน์แล้วทำเป็นสร้างภาพ “ไม่เป็นไรหรอกเกด ใครจะว่าอะไรก็ช่าง เราจะไม่ตอบโต้ คุณอาทั้งสองจะได้สบายใจนะจ๊ะ”
“อุ๊ยตาย..น่ารักจังหนูนีน่าเนี่ย...มา...จานเนี้ย ฉันกินเองก็ได้” พนารัตน์บอก
พนารัตน์ยิ้มแล้วเลื่อนจานมา พอพลิกอีกด้านของปลาหมึกย่างก็เห็นว่าปลาหมึกเกรียมเป็นรอยดำๆ พนารัตน์ลังเลนิดหนึ่งแล้วก็ใช้ส้อมจิ้มปลาหมึกไปจิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ด กำลังจะส่งเข้าปากอยู่แล้ว แต่อนามิกาจับมือพนารัตน์ไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
พนารัตน์อ้าปากค้างที่โดนเบรก ก่อนจะใช้สายตาเหล่มองอนามิกาเชิงตำหนิ
“อะนา ไปจับมือคุณแม่อย่างงั้นได้ไง จะเล่นอะไรก็ให้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่บ้าง” นลิณาต่อว่า
พนารัตน์ส่งสายตาตำหนิ “นั่นสิ เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย...หา”
“คืองี้ค่ะ อาหารปิ้งย่างที่ไหม้เกรียมจนเป็นดำๆ แบบนี้ มันจะมีสารก่อมะเร็งน่ะค่ะ” อนามิกาบอก
“เออ จริงสิ” พนารัตน์เห็นด้วย
“ใช่....ผมก็เคยอ่านเจอในหนังสือเหมือนกันนะคุณรัตน์” กอบชัยสนับสนุน
พนารัตน์รีบวางทันที “ขอบใจนะจ๊ะอะนา” พนารัตน์ผลักจานเลื่อนส่งคืนนลิณาด้วยสายตาไม่พอใจ “เธอเอาของเธอคืนไปแล้วกัน”
นลิณารับจานมาด้วยหน้าเจื่อนๆ เกตนิการ์รีบสะกิดบอกเพื่อน
“ถอยก่อนเหอะ”
นลิณากับเกตนิการ์ถอยออกมา แต่ก็ยังมองหน้าอนามิกาอย่างไม่พอใจ อนามิกาทำเมินเหมือนไม่ใส่ใจ พนารัตน์ตักสลัดและกุ้งเผาที่อนามิกาเสิร์ฟให้ กินไปพลางคุยกับกอบชัยไป
“เกือบไปแล้ว ดีนะได้ยัยอะนาเตือนไว้”
กอบชัยพูดเบาๆ “ผมก็เคยบอกคุณแล้วไง หนูอะนาเนี่ย เรื่องการดูแล เป็นแม่บ้านอะไรนี่เค้าใช้ได้เลยนา”
ทั้งสองทานอาหารกันต่ออย่างมีความสุข อนามิกายิ้มอย่างดีใจที่ผู้ใหญ่ทั้งสองเริ่มเห็นความดีที่ตนทำ

แพรวายืนปิ้งบาร์บีคิวแต่ด้วยความที่เป็นคุณหนูไม่เคยทำอะไรจึงยักแย่ยักยัน ทั้งกลัวร้อน และกลัวไอร้อนระเบิดขึ้นมา เธอเอาแปรงชุบบาร์บีคิวซอสทาที่เนื้อก็ยื่นมือเข้าไป แต่หลบหน้าแหยงๆ แล้วไฟก็ปะทุขึ้น แพรวาร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ว๊าย!”
ณภัทรเดินถือเครื่องดื่ม พนารัตน์ถือบาร์บีคิวมาไม้หนึ่งแล้วมายืนประกบหลังก่อนจะสะกิดณภัทร
พนารัตน์พยักหน้าไปทางแพรวา “ไปช่วยหนูแพรเค้าหน่อยสิลูก”
“ครับคุณแม่” ณภัทรรับคำ
ณภัทรเดินตรงไปช่วย พนารัตน์ยืนมองลูกชายอยู่ห่างๆ
“โอ๊ย” แพรวาร้องด้วยความตกใจ
ณภัทรเข้ามาพูดกับแพรวา “แพร...ไหวมั้ยคุณ ผมช่วยมั้ย”
“ไม่ต้องค่ะ คุณไปนั่งดีกว่า เนี่ย..แพรกำลังทำให้คุณภัทรทานนี่แหละ”
“โอย..อย่าลำบากเลยครับ ผมว่าผมจัดการเองดีกว่า”
“แพรทำให้ค่ะ” แพรวาพลิกไม้แต่น้ำมันปะทุใส่พร้อมกับไอร้อนวูบที่มือ “ว๊าย”
แพรวาตกใจทำบาร์บีคิวที่ถือในมือตกพื้น เธอรีบก้มเก็บแลดูลุกลี้ลุกลนไปหมด ณภัทรเดินไปเอาเครื่องดื่ม พนารัตน์ยกบาร์บีคิวที่ถือในมือขึ้นมากินหนึ่งคำก่อนจะส่ายหน้าว่าแพรวาท่าทางจะไม่ผ่าน
สักพักเมธาวีก็เดินมาที่แพรวากับณภัทร
“คุณแพร...ให้ฉันช่วยดีกว่า” เมธาวีอาสา
“คุณเม” แพรวามองเมธาวีอย่างรู้สึกผิด “โกรธแพรอยู่หรือเปล่าคะ”
เมธาวีงง “โกรธ? ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะคะ”
“ก็เรื่องออเดอร์เสื้อผ้าที่พี่นีน่ากับพี่เกดแคนเซิ่ล ทำให้คุณเมต้องเดือดร้อนน่ะ”
“มันผ่านไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันเลยค่ะ แล้วจริงๆ มันไม่ใช่ความผิดของคุณแพรซะหน่อย” เมธาวีบอก
“ขอบคุณนะคะ คุณเมนี่เป็นคนจิตใจดีจริงๆ เลยนะคะ”
“โอ๊ย..ไม่กล้ารับหรอกค่ะ ฉันไม่ใช่คนดีขนาดนั้น มา..ทางนี้ฉันช่วยจัดการเอง คุณแพรไปนั่งพักเถอะ”
แพรวาพยักหน้าแล้วถอยออกมาก้าวหนึ่ง เมธาวีจับไม้บาร์บีคิวพลิกอีกด้านแล้วเอาแปรงทาซอสอย่างคล่องแคล่ว พนารัตน์ที่ยืนมองอยู่พยักหน้าช้าๆ อย่างพอใจ
“ดูสิคะ ขนาดปิ้งบาร์บีคิว คุณเมยังทำได้ดีกว่าแพรเยอะเลย” แพรวาพูด
“แหม...ก็ฉันเคยทำงานร้านอาหารที่ลอนดอน กะไอ้เรื่องปิ้งๆ ย่างๆ แค่นี้ ถือว่าเด็กๆ ค่ะ”
ณภัทรเดินกลับมา เขาเอาเครื่องดื่มให้แพรวา
“มา...ฉันช่วยอีกคน” ณภัทรอาสา
ณภัทรกับเมธาวีช่วยกันปิ้งบาร์บีคิวอย่างดูเข้าขา แพรวาถอยออกมามองด้วยสายตาที่ยอมรับว่าตนไม่ดีพอที่จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนให้ใคร

อนามิกากำลังยืนตักแซงเกรีย (sangria) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีแอปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นสวยๆ จากชามอ่างใส่แก้วทรงกว้าง ณดลเดินเข้ามายืนข้างๆ
“อะไรเนี่ย...พั้นช์หรือเปล่า” ณดลถาม
“คล้ายๆ กันค่ะ แต่นี่เค้าเรียกว่า แซงเกรีย” อนามิกาบอก
“แซงเกรีย?”
“ก็เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของทางสเปนเค้าน่ะ ลองชิมดูมะ”
อนามิกาตักให้ชิมเล็กน้อย ณดลรับมาจิบแล้วก็รู้สึกผิดคาด
“อืม...อร่อยนี่ เติมอีกหน่อยได้มั้ย เร็ว..อย่างกสิ”
อนามิกาตักเพิ่มให้
ณดลจิบอีก “อื้ม...อร่อยมากเลยอ่ะ เอาอะไรมาผสมกันบ้างนี่”
“ก็คล้ายๆ พั้นช์ แต่เพิ่มไวน์แดง กับดาร์กรัมเข้าไป”
ณดลหยุดกึก “อ้าว! ใส่เหล้าด้วยเหรอ งั้นขอผ่านเลย เธอก็รู้ว่าฉันคออ่อน แตะแอลกอฮอล์แทบไม่ได้ แล้วยังจะตักให้ฉันกินอีก”
“เอ๊า..แล้วเมื่อกี้ใครคะยั้นคะยอให้เติม พอเติมช้า ก็หาว่างก”
ณภัทรกับเมธาวี ถือแก้วที่ว่างเปล่าแล้วมาขอเติม
“ขอเติมหน่อยจ้า” เมธาวีบอก
“ขอสองเลยคร๊าบ” ณภัทรเสริม
“อ้าว..ภัทร หัวเข่าหายเจ็บแล้วเหรอ” อนามิกาถาม
“สบายมาก แล้วเธอล่ะ” ณภัทรถามกลับ
“ก็ถ้าไม่ไปกดโดนข้อเท้า มันก็ไม่เจ็บแล้วหละ” อนามิกาตักเครื่องดื่มที่ใกล้จะหมดให้ณภัทร แล้วหันมาคุยฟุ้งกับณดล “เห็นมั้ย ฝีมือฉัน... ขายดีจนหมดเลย”
“ได้ไงอนามิกา...ทำอร่อยขนาดนี้ มันต้องทำเพิ่มอีก” ณภัทรเชียร์
“ถ้าร้องขอ ขนาดนี้ เดี๋ยวจัดให้” อนามิกาบอก
อนามิกากำลังจะเดินไป เมธาวีก็เอ่ยขึ้น
“งั้นเม ไปเป็นเพื่อนอะนาหยิบของมาทำดีกว่า”
ณภัทรมีแผนบางอย่างอยู่ในหัว
“เราว่าวานพี่ณดลเขาไปเป็นเพื่อนอะนาแทนดีกว่า....คนนี้เรื่องรายละเอียดวัตถุดิบ..ขอบอกว่าสุดยอด...โอเคไม๊ครับพี่ณดล”
“งั้นก็ได้” ณดลตกลง
แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไป ณภัทรยิ้มอย่างมีแผน เมธาวียังตามแผนของณภัทรไม่ทัน

อนามิกาเดินนำณดลลงบันไดห้องเก็บไวน์ที่เป็นชั้นใต้ดินไป
“ก็อยู่ซะลึกลับแบบนี้นี่เอง ฉันถึงไม่เคยรู้” ณดลบอก
“ก็มัวเห่อแต่ขี่ม้า เลยไม่เคยเข้ามาสำรวจข้างในนี่น่ะสิ” อนามิกาว่า
อนามิกาเดินนำณดลลงไปในห้องที่มีแสงสลัว สักครู่ ณภัทรกับเมธาวีจึงย่องตามลงมา
เมธาวีกระซิบถามณภัทร “เราจะตามมาเค้ามาทำไมเนี่ย”
ณภัทรกระซิบตอบ “ก็อยากรู้นี่ว่าเค้าแอบไปทำอะไรกันสองคน”
ณภัทรเดินตามลงไป เมธาวีจำใจเดินตามแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่

อนามิกาเดินนำณดลมาหยุดที่หน้าประตูไม้ของห้องเก็บไวน์ที่ดูเก่าโบราณ
อนามิกาออกแรงดันประตู แล้วหันมาบอกณดล “ช่วยหน่อยสิคุณ”
“ได้...” ณดลออกแรงผลักประตู

ณดลเปิดประตูเข้ามาในห้องเก็บไวน์ที่มีแสงสลัว ขวดไวน์มากมายวางเอียงเก็บเป็นแถว ณดลเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ อนามิกาดันประตูให้ปิดแล้วเดินตาม
“วาว...ไม่เบาเลยนะเนี่ย” ณดลกอดอกและห่อไหล่ “แต่หนาวชะมัด”
“อุณหภูมิห้องเก็บไวน์ก็ราวๆ สิบกว่าองศาหละค่ะ รีบเลือกมาซักขวดสองขวดแล้วรีบออกจากห้องเหอะ” อนามิกาบอก
“เดี๋ยวสิ ขออยู่ชื่นชมหน่อย ดูสิ ฉันนี่นะ เหล้าไวน์แทบไม่แตะ ใครจะไปคิดว่าวันนึงจะกลายเป็นเจ้าของห้องเก็บไวน์”
“งั้นคุณอยู่ชื่นชมไปคนเดียวแล้วกันนะ” อนามิกาเลือกหยิบไวน์มาสองขวด “ฉันหนาว ฉันไปก่อนหละ”
อนามิกาเดินไปที่ประตูแล้วพยายามจะเปิดประตู แต่ก็เปิดไม่ได้ ส่วนณดลยังเพลิดเพลินกับการเดินหยิบขวดโน้นขวดนี้มาอ่านฉลากดู และไม่ได้สนใจอนามิกาที่พยายามเปิดประตูจนหน้าบิดหน้าเบี้ยว ดึงเข้าก็แล้ว ดึงออกก็แล้ว แต่ไม่ว่าจะดันยังไง จะกระชากยังไงก็ไม่เป็นผล
ณดลหันมาเห็นอนามิกา “อ้าว...จะรอฉันทำไม เธอก็ไปก่อนสิ”
“ใครรอคุณ? ฉันเปิดประตูไม่ได้ ช่วยหน่อยสิ”
“ได้ๆ”
ณดลออกแรงทั้งผลัก ทั้งดัน และกระชากยังไงก็ไม่เป็นผลเช่นกัน ณดลหันมาทำตาโตตกใจ
“ฉันก็เปิดไม่ได้”
อนามิกาถึงกับเหวอ

ณภัทรเดินขึ้นบันไดพร้อมกับหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ ส่วนเมธาวีขึ้นบันไดตามมา
“ภัทร...ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอ นายจะขังพี่อะนาไว้กับพี่ณดลอย่างงั้นจริงๆ อ่ะนะ”
ณภัทรหยุดเดิน “ฮ่าๆๆ ก็ไม่ดีเหรอ เราอยากให้พี่ณดลกับอะนาได้อยู่ใกล้ๆ กันอยู่แล้วนี่”
“แต่นั่นมันห้องเก็บไวน์ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่” ณภัทรตอบ
“แล้วไม่หนาวแย่เหรอนั่นน่ะ”
“หนาวสิดี เผื่อว่าเค้าจะได้โหยหาไออุ่นกันไง ฮ่าๆๆ...อุ้ย!”
ณภัทรสะอึกเมื่อเห็นว่าเมธาวีหน้าเครียดและไม่ขำด้วย
“นี่..ซีเรียสไปได้ ให้เค้าอยู่กันแค่ซักสิบนาที เดี๋ยวเราก็มาเปิดให้แล้ว ไม่ได้จะขังไว้ให้หนาวตายซะหน่อย”
“อืม..” เมธาวีคิดตาม แล้วก็ยิ้มออก “ก็ดีเหมือนกันนะ นึกภาพว่าพอพี่อะนาหนาว พี่ณดลก็จะต้องโอบ”
“แต่ตอนนี้ เราควรออกไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่จะถามหาว่าหายไปไหนกัน”
พูดจบณภัทรเดินไป เมธาวีรีบเดินตามออกไป

นลิณากับเกตนิการ์เดินหาณดลจนมาหยุดที่แพรวาที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่คนเดียว
“นี่..ยัยแพร เห็นคุณณดลบ้างมั้ย” นลิณาถาม
“ไม่เห็นเลยค่ะพี่นีน่า”
“แล้วมัวมานั่งกินอะไรอยู่ หน้าที่เธอคืออะไร อยู่ใกล้ๆ นายภัทรไว้ใช่มั้ย”
“นั่นไง นายภัทรมาโน่นแล้ว” เกตนิการ์ชี้ไป
ณภัทรกับเมธาวีเดินผ่านหน้าทั้งสามไปตักเครื่องดื่มเติมแล้วไปนั่งคุยเฮฮากันสองคน นลิณามองอย่างไม่พอใจ
“ฉันหละมึนไปหมดแล้ว เราพยายามกีดกันยัยอะนาออกจากนายภัทร แต่ไหงกลายเป็นว่า เราเจอนายภัทรทีไร ก็อยู่ใกล้ยัยเมทุกที”
“ปล่อยไว้ไม่ได้นะ เธอสองคนต้องจัดการยัยเมนะ” เกตนิการ์ย้ำ
“จัดการเพื่อใครยะ เพื่อเธอหรือเพื่อยัยแพรน้องสาวฉัน” นลิณาถามอย่างไม่ไว้ใจ
“นีน่า เธอไม่ไว้ใจฉันเหรอ”
“ใช่ ฉันรู้นะว่าเธอชอบนายภัทร” นลิณาหันมาหาแพรวา “ยัยแพร เธอจะมัวมานั่งเย็นใจไม่ได้นะ นอกจากยัยอะนา กับยัยเมแล้ว ก็ยังมียัยเกดคอยจ้องนายภัทรอยู่อีกคน”
“นี่...อย่าไปยุน้องสาวเธอแบบนั้นได้มั้ย” เกตนิการ์พูดกับแพรวา “น้องแพรจ๋า พี่ไม่ได้เป็นศัตรูของน้องแพรหรอกนะ”
“ค่ะพี่เกด แพรก็ไม่เคยคิดว่าพี่เกดเป็นศัตรูนะคะ” แพรวาตอบ
“ยัยแพร แกอย่าเชื่อคนง่ายเกิน” นลิณาหันมาหาเกตนิการ์ “ยัยเกด ฉันดูเธอออกนะยะ”
“นี่! แล้วเราจะมัวมาทะเลาะกันเองทำไม ยัยเมควงนายภัทรหายไปแล้วเนี่ย” เกตนิการ์ทัก
นลิณากับแพรวาหันมองไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในบริเวณนั้นแล้ว
“หายไปไหนกันหมด ทั้งนายภัทร ทั้งคุณณดล โอ๊ย...ฉันอยากจะบ้า” นลิณาโวยใส่ทั้งสองคน “เธอสองคนไม่เคยจะช่วยอะไรฉันได้เล๊ย...โธ่เอ๊ย!”
นลิณาเดินกระแทกเท้าออกไป แพรวากับเกตนิการ์มองตามอย่างปลงๆ

อนามิกาพยายามตะโกนเรียกคนมาช่วย ขณะที่ณดลยืนกอดอกสู้อากาศหนาวในห้อง
“ช่วยด้วย....ช่วยด้วย...มีคนติดอยู่ในห้อง...ช่วยเปิดประตูที...ช่วยด้วย”
ณดลตะโกนสวนขึ้นมา เพราะเริ่มรำคาญ “พอแล้ว!”
อนามิกาหันมาที่ณดลแต่ยังไม่รู้ตัว “เร็วสิคุณ ช่วยกันตะโกนเรียกคนมาช่วยสิ” อนามิกาตะโกนต่อ “ช่วยด้วย”
“พอเถอะ! ไม่มีใครได้ยินหรอก ตะโกนไปก็เจ็บคอเปล่าๆ” ณดลบอก
“แล้วเราจะทำยังไง สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี”
“เดี๋ยวก็ต้องมีคนรู้ว่าเราหายไป แล้วเค้าก็ออกตามหากันเองแหละน่ะ” ณดลพูดอย่างมีความหวัง
“แล้วเค้าจะรู้มั้ยล่ะว่าเราอยู่ห้องนี้”
“นั่นสินะ ขนาดฉันเองเป็นคนซื้อที่นี่ ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีห้องเก็บไวน์ด้วย”
ณดลนั่งยองๆ ปัดพื้นที่ใกล้ริมผนัง
“คุณจะทำอะไรน่ะ” อนามิกาถาม
“หาที่นั่งน่ะสิ” ณดลตอบแล้วลงไปนั่งกอดอดขดตัว
“นั่งด้วยสิ หนาวจะตายอยู่แล้ว”
อนามิกาทรุดตัวลงนั่งเบียดๆ แล้วชันเข่าขึ้นมากอดเข่าตัวกลม
“นี่...ถ้าเป็นในหนังนะ คนเป็นผู้ชายเค้าต้องเสียสละถอดเสื้อให้ผู้หญิงห่มกันหนาว” อนามิกาพูด
“แต่นี่เป็นเรื่องจริง ขืนผมถอดเสื้อให้คุณ ผมก็ปอดบวมตายพอดี”
อนามิกาเอามือมาถูๆ กันให้อุ่น “บรื๋อ หนาวจนจะหายใจเป็นควันอยู่แล้ว ทำไงดีล่ะคุณ”
ณดลพยายามคิดหาวิธี สักพักก็นึกออกจึงลุกพรวดขึ้น
“คุณจะทำอะไรเหรอ” อนามิกาถาม
ณดลหยิบไวน์มาขวดหนึ่ง แล้วหยิบที่เปิดไวน์เก่าๆ ที่วางอยู่มาพยายามจะเปิดขวดไวน์
“อะไรของคุณ จะหนาวตายแล้วยังจะมีอารมณ์มาเปิดไวน์กินเนี่ยนะ”
“ก็เพราะหนาวน่ะสิ เลยจะขอตัวช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นบ้างน่ะ”
ณดลเปิดจุกขวดไวน์ได้สำเร็จ อนามิการีบคว้าคอขวดขึ้นมาจะยกดื่ม ณดลรีบแย่งกลับ
“เฮ้ย..ไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะ ฉันก็หนาวเป็นนะ ขอสักอึกให้ร้อนวูบๆ เผื่อจะอุ่นขึ้นบ้าง”
“จะกินไวน์ได้ยังไง เธอยังท้องอยู่นะ”
“เออ...จริงด้วยแฮะ ลืมไปเลย”
“อะไรของเธอเนี่ย ลืมว่าตัวเองท้องได้ด้วยเหรอ”
“เอ่อ...ก็...” อนามิกาอ้ำอึ้ง
“เอามานี่”
ณดลแย่งขวดไวน์ไปจากมืออนามิกาแล้วมองอนามิกาด้วยสายตาตำหนิ อนามิกาหลบตาจ๋อยๆ ก่อนจะกอดอกกระชับด้วยความหนาว

เมธาวีเปิดประตูห้องพักของณภัทรให้ณภัทรถือชามอ่างเครื่องดื่มเดินเข้าประตูมา
“มาแล้ว...จัดเต็มมาเลยคราวนี้” ณภัทรบอก
“โอ้โห...ไม่เหลือแบ่งคนอื่นเลยเหรอภัทร” เมธาวีถาม
“ก็เห็นไม่มีใครอยู่แล้วนี่ ทิ้งไว้ก็เสียของเปล่าๆ”
ณภัทรวางชามอ่างแก้วที่โต๊ะเตี้ยๆ แล้วนั่งลงที่โซฟา เมธาวีขยับมาตักเครื่องดื่มใส่แก้วแล้วส่งให้ณภัทรแก้วหนึ่ง แล้วตักให้ตัวเองแก้วหนึ่ง
“มา...ชนแก้วกัน ดื่มให้พี่ณดลกับอะนา” ณภัทรบอก
เมธาวียกแก้วขึ้นมา แล้วชะงัก “ไปเปิดประตูให้พวกเค้าก่อนมะ”
“เดี๋ยวสิ ชนแก้วก่อน”
ทั้งสองชูแก้วขึ้นชนกันเหนือศีรษะ
“เอ้า...โชน!”









Create Date : 12 เมษายน 2555
Last Update : 12 เมษายน 2555 15:59:56 น.
Counter : 542 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]