All Blog
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 5




ไม้กับเมฆมารอไกรอยู่ในห้องรับแขกบ้านเจ๊กี จนกระทั่งไกรเดินออกมา

“นึกว่าใครมาซะอีก”
“ชั้นจะมาเรียนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ที่คุณไกรบอกจะสอนให้ครับ” ไม้บอก
“หายดีแล้วหรือไง”
“ไม่มีเวลาแล้วครับ ไอ้ทิวามันทำพ่อผมเจ็บ...ที่เจ็บผมทนได้แต่มันทำพ่อเกือบเดินไม่ได้แบบนี้ รอไม่ได้แล้วครับ”
“นี่ลุงเมฆ...”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“มันตีขาข้างที่ดีของพ่อ ตอนนี้พ่อเลยทำงานไม่ได้”
“อะไรทำให้เค้าต้องทำร้ายครอบครัวเธอถึงขนาดนี้ด้วย”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แต่ที่ผมมาวันนี้ ตั้งใจจะเอาเงินค่ารักษาพยาบาลไอ้ไม้มันมาให้” เมฆยื่นเงินปึกนึงให้ไกร
“ค่ารักษาพยาบาลอะไร พอลุงเมฆบอกว่าจะออกเองผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไร”
“มันจะเป็นไปได้ไง ถ้างั้นใครจ่ายค่ารักษาไม้ล่ะ” เมฆถามอย่างแปลกใจ
“อาจจะเป็นเจ๊กีก็ได้ครับ” ไม้บอก
“ไม่น่านะ ม้ายังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
“ถ้างั้นใคร”
ไม้กับเมฆมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
อีกด้านหนึ่งที่บ้านพันเทพ พันเทพกำลังยืนจัดสนามหน้าบ้านเพื่อรับแขก
“เดี๋ยวย้ายตรงนั้นไปมุมซ้ายให้หมด เกะกะขวางทางตลอด”
สมุนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพันเทพแล้วกระซิบบอก
“เรื่องที่เจ้านายให้จัดการ เรียบร้อยแล้วครับ”
“เป็นแบบแกะรอยไม่ได้เลยใช่มั้ย”
“ครับ ผมยัดเงินไปเรียบร้อย” สมุนบอกแล้วเดินออกไป
“ดี... อดทนหน่อย ไม้”
พันเทพพึมพำออกมาคนเดียว แล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีตตอนที่พันเทพยังเป็นหนุ่ม ตอนนั้นพ่อของพันเทพป่วยและนอนอาการหนักอยู่บนเตียงในห้อง มีสายอ๊อกซิเจนระโยงระยางพันเทพเดินเข้าไปหาพ่อ ด้วยท่าทีเศร้าสลด พ่อพันเทพเหมือนรู้จะตายจึงสั่งเสียลูกชาย
“พันเทพ เปิดกล่องไม้บนโต๊ะนั่นสิ”
พันเทพเดินไปเปิดกล่องไม้เห็นไม้ตะพดวางตระหง่านอยู่พร้อมกับหนังเสือชิ้นหนึ่ง
“นี่มันอะไรครับพ่อ”
“ของสิ่งนี้ตกทอดมาตั้งแต่สมัยทวดของลูก มันมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทุกสิ่ง มันเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกมีอำนาจและเอาชนะอุปสรรคทุกอย่างได้ มันคือ ไม้ตะพดเลือด”
“ไม้ตะพดในตำนาน? มีอยู่ที่ครอบครัวเราจริงๆ น่ะเหรอ”
พันเทพหยิบไม้ตะพดขึ้นมาลูบคลำอย่างมีความสุข
“แต่พ่อไม่อยากให้ลูกหยุดแค่นี้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“พ่อน่ะ ใช้เวลาทั้งชีวิตตามหาไม้ตะพดอีกอัน”
“ไม้ตะพดวิญญาณใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แต่จนพ่อใกล้จะตายแล้วก็ยังหาไม่เจอทั้งที่ปู่บอกพ่อเองว่ามันอยู่กับตระกูลของไอ้หมอก พ่อไอ้เมฆ แต่พ่อรื้อบ้านพวกมัน สะกดรอยตามมัน ไม่ว่าด้วยวิธีไหน ก็ไม่เคยเห็นไม้นั่นเลย พ่ออยากให้ลูก...หาไม้ตะพดวิญญาณให้เจอ เอามันมาเป็นของเราให้ได้”
“ทำไมเราจะต้องมีทั้งสองอันด้วย”
“ลูกเห็นตำราหนังเสือที่ขาดครึ่งนั่นมั้ยมันบอกให้เอาไม้ทั้งสองมารวมกัน”
พันเทพอ่านตำราหนังเสือ
“แต่มันไม่เห็นบอกว่ามารวมแล้วจะได้อะไรนี่ครับ”
“เดิมไม้ทั้งสองรวมเป็นหนึ่งก่อนที่จะหักครึ่งกระจัดจายหายไป พ่อคิดว่าการทำให้กลับมารวมกันใหม่ อาจทำให้เราเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” พ่อพันเทพเริ่มหายใจไม่ทัน อาการแย่ลง “ดังนั้น สิ่งเดียวที่พ่ออยากจะขอลูกคือ หาไม้ตะพดวิญญาณให้เจอ”
“พ่อรู้ได้ยังไงว่าอยู่กับบ้านไอ้เมฆ” พ่อพันเทพเริ่มชักตาเหลือก แล้วจากไปในที่สุด “พ่อ พ่อ พ่อไม่ต้องห่วง ผมจะหาไม้ตะพดให้เจอ”
เมื่อพ่อจากไปแล้วพันเทพก็ยืนประจันหน้ากับเมฆท่ามกลางสายฝนและเสียงฟ้าดังเปรี้ยงปร้างตอนนั้นเมฆยังขาไม่เสีย
“ไม้ตะพดอยู่ไหน” พันเทพถามเมฆ
“พ่อชั้นเคยบอกพ่อแกไปแล้วไงว่าไม่มี”
“ชั้นไม่เชื่อ”
“มันก็เรื่องของแก”
“เรามาสู้กัน ถ้าชั้นชนะแกต้องส่งไม้ตะพดวิญญาณมาให้ชั้น”
“ชั้นไม่สู้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสู้”
พันเทพกระชากคอเสื้อเมฆ
“ทิพย์ผู้หญิงที่ชั้นรักแกก็เอาไป ไม้ตะพดที่ชั้นอยากได้ก็อยู่ที่แก แกจะเอาทุกอย่างไปจากชั้นรึไง”
“ทิพย์เป็นคนเลือกชั้น ชั้นไม่ได้เลือก ส่วนไม้ตะพดอะไรนั่นชั้นไม่รู้เรื่อง” พันเทพต่อยสวนเมฆทันที เมฆล้มลงไปแต่ก็ไม่สู้ พันเทพต่อยรัวไม่ยั้งจนเหนื่อย “พอใจรึยังล่ะ ต่อให้แกต่อยจนชั้นตายทุกอย่างก็เป็นไปเหมือนเดิม ทิพย์ก็ไม่รักแก แกก็ไม่ได้ไม้ตะพด”
“ได้ แกบังคับให้ชั้นต้องใช้ไม้แข็งกับแกเองนะต่อไปนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตแก แกจำไว้ว่าแกทำให้มันเกิดขึ้นเอง”
พันเทพมองเมฆอย่างแค้นๆ
จากนั้นพันเทพกับเมฆก็มีเรื่องกันอีกเมื่อพันเทพแย่งทิพย์ไปจากเมฆแล้วเมฆโดนสมุนพันเทพซ้อมจนขาเสียไปข้างนึง พันเทพได้ตัวทิพย์มาอยู่กับเขาได้ไม่นานทิพย์ก็ท้อง
ขณะที่ทิพย์นั่งเหม่อท้องโตอยู่หน้าบ้าน พันเทพถือถาดอาหารมาเสิร์ฟให้
“ทานข้าวกันดีกว่าทิพย์”
“ไม่หิว”
“กินหน่อยนะ ลูกจะได้แข็งแรง เดี๋ยวผมป้อนให้”
พันเทพตักอาหารจะป้อน ทิพย์ปัดทิ้ง
“ก็บอกว่าไม่กินไง”
“นี่จะเอายังไงเนี่ย เอาใจขนาดนี้ก็แล้ว ตามใจทุกอย่างไม่เคยขัดใจ จะให้ทำไงอีกเนี่ย”
“ที่คุณทำทุกอย่าง ก็เพื่อให้ชั้นบอกว่าเมฆเก็บไม้ตะพดไว้ที่ไหน ชั้นบอกว่าไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้เรื่อง ก็ยังถามวนไปวนมาอยู่ได้”
“เรื่องไม้ตะพดก็แค่เรื่องนึง แต่จริงๆ แล้วผมรักคุณนะทิพย์”
“อย่ามาโกหก คุณทำทุกอย่างเพื่อไม้ตะพด เพื่อจะได้มีอำนาจเหนือทุกคน คนอย่างคุณไม่มีทางรักใครนอกจากตัวคุณเองหรอก”
ทิพย์เดินหนีไป พันเทพมองตามพร้อมกับถอนหายใจ
“แต่ผมรักคุณจริงๆ”
และเมื่อทิพย์คลอดลูกเธอก็ปลิดชีวิตตัวเองด้วยการยิงตัวตาย พันเทพเสียใจมาก...พันเทพขับรถมาที่โรงพยาบาลโดยมีเด็กทารก ลูกของเขากับทิพย์นอนอยู่ที่เบาะข้างๆ พันเทพจอดรถมองที่ลูก
“ลูกพ่อ...แม่ลูกทิ้งเราไปแล้ว พ่อไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ลูกต้องช่วยพ่อนะ สัญญาที่พ่อให้ไว้กับปู่ของลูก พ่อต้องรักษา พ่อต้องเอาไม้ตะพดวิญญาณมาให้ได้นี่คงเป็นวิธีเดียว ที่จะทำให้ไม้ตะพดวิญญาณมาอยู่กับคนในครอบครัวเรา พ่อขอโทษนะลูก อย่าให้ทุกอย่างที่พ่อทำมาต้องเสียเปล่าเลย”
พันเทพอุ้มลูกลงจากรถเดินเข้าไปในตึกโรงพยาบาล
พันเทพเดินสะพายกระเป๋าใบใหญ่มาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาล
“คือผมจะมาเยี่ยมเพื่อนที่เพิ่งมาคลอดลูกที่นี่ครับ”
“เชิญชั้น 3 เลยนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
พันเทพสะพายกระเป๋าใบใหญ่เดินไปตามทาง
พันเทพเดินมาตามทางเห็นพยาบาลเข็นรถเข็นมีเด็กทารกมาตามทาง พันเทพเดินเข้าไปถาม
“เพื่อนคุณชื่ออะไรคะ จะได้พาไปหาถูก” พยาบาลถาม
“เมฆครับ ชื่อเมฆ”
“นี่ไงคะลูกคุณเมฆ” พันเทพมองลูกของเมฆอย่างตั้งใจ มีชื่อพ่อติดไว้ที่ข้อมือ “น่าสงสารนะคะ แม่เสียชีวิตตอนคลอด ดีนะที่เด็กรอดมาได้”
เสียงพยาบาลอีกคนเรียก
“นี่เธอๆ มีคนโทรมาถามถึงเคสฉุกเฉินเมื่อวานน่ะ มาตอบหน่อยเร็ว”
“เดี๋ยวฝากเด็กแป๊บนึงนะคะ” พยาบาลบอกพันเทพ
“ได้ครับ”
พอพยาบาลลับสายตาไป พันเทพเปิดกระเป๋าใบใหญ่ อุ้มลูกชายของตนที่ซ่อนเอาไว้ออกมา แล้วก็สลับเด็กทั้งสองคนทันที พร้อมกับย้ายป้ายชื่อพ่อมาติดเรียบร้อย พันเทพพูดกับลูกตนที่นอนอยู่บนรถเข็น
“เอาไม้ตะพดมาให้พ่อนะลูก”
เด็กอ้อแอ้ไม่รู้เรื่อง พันเทพตัดใจเดินจากไปพยาบาลเดินกลับมาไม่เห็นพันเทพแล้ว
ลูกชายของพันเทพที่พันเทพเอาไปเปลี่ยนกับลูกของเมฆก็คือไม้นั่นเอง...ไม้ตั้งใจฝึกท่ากรงเล็บพยัคฆ์กับไกรอย่างเอาจริงเอาจัง สลับกับการฝึกสมาธิกับท่าโยคะ เมฆมองดูไม้ฝึก แววตาเขามีความหวังกับลูกชายตัวเอง
“ลูกพ่อ”
ทางด้านอบเชยหลังจากรับปากจะไปงานเลี้ยงที่บ้านทิวา ทิวาจึงพาอบเชยมาเช่าชุดราตรีโดยที่อบเชยไม่ค่อยเต็มใจซักเท่าไหร่
“จริงๆ ชั้นมีเรื่องต้องทำตั้งเยอะตั้งแยะ ให้มาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“ก็มาหาชุดให้เธอใส่ไปงานของพ่อน่ะสิ”
“จะพิธีรีตองมากไปรึเปล่า”
“ไม่ได้หรอก งานนี้น่ะพ่อตั้งใจจัดมาก แล้วก็มีนักการเมืองมาร่วมงานเต็มไปหมด แล้วเธอก็เข้าไปในนามคู่ควงของทิวาลูกชายคนโตของพันเทพ เธอไปแบบธรรมดาไม่ได้หรอก”
“คราวที่แล้วเธอก็ซื้อชุดให้ชั้นแล้ว ชั้นใส่ชุดเดิมก็ได้”
“นั่นมันธรรมดาไป” อบเชยทำหน้าเบื่อหน่ายมาก ทิวาจับหน้าอบเชยหันมา “เธอน่ะสวยจะตาย แต่งอีกนิดชั้นรับรองว่าเธอไม่อายใครแน่”
“จริงเหรอ” อบเชยยิ้มอย่างภูมิใจ “มีชุดไหนบ้าง เอามาลองให้หมดเลยมา”
หลังจากได้ชุดแล้วทิวาก็ขับรถมาส่งอบเชยที่หน้าบ้าน
“วันงานจะมารับนะ” ทิวาบอกกับอบเชย
“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพ่อว่า เดี๋ยวชั้นไปเอง”
“แน่ใจนะ”
“เออๆ ไปได้แล้วไป” ทิวาขับรถออกไป อบเชยโล่งใจ “นี่ถ้าชั้นไม่หวังจะเข้าบ้านไปเอาร่มอันนั้นละก็ชั้นไม่คุยกับแกหรอกไอ้ทิวาหน้าโง่ แกทำร้ายไม้ของชั้น ชั้นจะเอาคืนให้เจ็บเลยคอยดู...ไม้เป็นไงบ้างเนี่ย
อบเชยนึกถึงไม้จึงไม่เข้าบ้าน แต่เดินไปบ้านเมฆแทน
ทิวาขับรถมาสักระยะจึงหันไปเห็นชุดเช่าที่อบเชยลืมเอาไว้ที่เบาะด้านข้าง
“เอ๊า ลืมชุดไว้อีก แล้ววันงานจะใส่อะไรละเนี่ย”
ทิวามองซ้ายมองขวาแล้วกลับรถไป
ส่วนไม้ขณะนั้นยังอยู่บ้านเจ๊กี ไม้เดินเข้ามาหยิบของห้องทำงานไกร เขาหาจดหมายที่เขาเขียนถึงแพรวาแต่ไม่เจอ ไม้หาจดหมายจนทั่วเดินไปดูที่โต๊ะไกรแต่ก็ไม่เจอจดหมายของเขา เจอแต่จดหมายจากแพรวาที่เขียนถึงไกรแทน ไม้มองซ้ายมองขวาแอบเปิดจดหมายอ่าน
“ไกร ชั้นได้อ่านจดหมายคุณแล้ว แม้คุณจะไม่ตั้งใจจะให้อ่านก็เถอะแต่ชั้นชอบวิธีที่คุณเลือกจะเขียนจดหมายคุยกับชั้น เพราะระหว่างเรามีเรื่องไม่สะดวกใจหลายอย่างที่จะคุยกันอย่างเปิดเผยชั้นตอบตกลงนัดของคุณที่จะไปกินข้าวด้วยกัน ไว้เจอกันตามเวลาที่ตกลงนะคะ...แพรวา”
ไม้ได้ยินเสียงคนเดินมาด้านนอกจึงรีบเอาจดหมายใส่ซองเก็บเหมือนเดิม ไกรเดินเข้ามา
“ทำอะไรอยู่เหรอไม้”
“เก็บของ เดี๋ยวจะออกไปแล้ว”
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเรียนต่อ”
“ครับ ว่าแต่คุณไกรเห็นซองจดหมายของผมบ้างรึเปล่าครับ”
“จดหมายเหรอ จดหมายอะไร”
“จดหมายธรรมดาๆ ครับ”
“ไม่เห็นเลยนะ ชั้นไม่ได้มายุ่งกับของของไม้เลย”
“งั้นเหรอครับ”
ไม้มองไกรอย่างไม่ไว้วางใจ
ทิวาขับรถมาจอดหน้าบ้านศรนารายณ์ แล้วลงจากรถมาตะโกนเรียกอบเชย
“อบเชย อบเชย”
ศรนารายณ์เดินออกมา
“อบเชยไม่อยู่หรอก มีอะไรรึเปล่า”
“อบเชยลืมชุดไว้ที่รถผม ผมเอามาให้” ทิวายื่นชุดให้ศรนารายณ์
“ชุดอะไร” ศรนารายณ์มองชุดอย่างแปลกใจ
“ชุดราตรีที่จะใส่ไปงานเลี้ยงวันเกิดพ่อผม”
“ไม่เห็นอบเชยมันเคยบอก แล้วนี่เธอกับอบเชยไปสนิทกันตอนไหน”
ทิวายิ้มๆ ไม่ตอบ
“แล้วนี่อบเชยไปไหนละครับ”
“ไม่รู้มัน ไม่เห็นกลับซักที สงสัยไปหาไม้ที่บ้านละมั้ง”
“หาไอ้ไม้เหรอ”
ทิวาโกรธขึ้นมาทันที จึงรีบผลุนผลันขับรถออกไป
ขณะนั้นอบเชยเดินวนไปวนมาอยู่หน้าบ้านไม้
“หายไปไหนกันหมดบ้านเลยนะ ท่ารถก็ไม่อยู่เพิ่งหายเจ็บแท้ๆ ไม้นี่ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย”
อบเชยบ่น แล้วก็เห็นไกรขับรถมาส่งไม้กับเมฆอบเชยรีบหาที่ซ่อนทันที ไม้กับเมฆลงจากรถ ไม้พยุงเมฆ
“นั่นลุงเมฆไปโดนอะไรมาน่ะ ทำไมเดินแบบนั้น”
“ขอบคุณคุณไกรมากนะครับอุตส่าห์ขับรถมาส่ง” ไม้ยืนนิ่งไม่ขอบคุณ “ขอบคุณคุณไกรสิไม้”
“ขอบคุณครับ” ไม้บอกอย่างไม่เต็มใจนัก
“ไม่เป็นไร”
ไกรขับรถออกไป อบเชยที่แอบอยู่มีหนูตัวเล็กวิ่งผ่านไป อบเชยสะดุ้งส่งเสียงกุกกักไม้กับเมฆหันมองแต่ไม่เห็นใคร อบเชยคิดว่ารอดแล้วเมื่อไม้กับเมฆเดินผ่านไปแต่แล้วเมฆก็พูดขึ้น
“ไปแอบอะไรอยู่ตรงนั้น เข้ามากินน้ำกินท่าในบ้านก่อนสิ”
ไม้หันมองหาอบเชย อบเชยค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนยิ้มแห้งๆ เมฆเดินเข้าไปในบ้าน อบเชยเดินมาหาไม้
“เป็นไงบ้าง”
“ไม่รอให้ตายไปก่อนล่ะแล้วค่อยมา”
“เอ๊ะนี่ตกลงชั้นผิดใช่มั้ยเนี่ย ไม้เห็นคนอื่นสำคัญกว่าชั้น ชั้นจะอยู่ทำไมให้เกะกะ คนเค้าอุตส่าห์คอยเป็นห่วง”
“ไม่ต้องมาทวงบุญคุณเลย”
“นี่ตกลงโกรธชั้นจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย” ไม้ไม่ตอบ
ทิวาขับรถมาเห็นไม้กับอบเชยคุยกันอยู่จึงจอดรถไกลๆ แอบดู
“ไอ้ไม้ เอาอีกแล้วนะแก”
ขณะนั้นไม้ยังงอนอบเชย
“ไม้ไม่รู้หรอกว่าที่หายไป ชั้นต้องไปเจออะไรมาบ้างยายแพรวาคนสวยของไม้น่ะ มันกับพ่อจับชั้นไปขัง”
“เลิกพูดว่าคนอื่นเค้าซะทีเถอะ ชั้นรู้หรอกเธออิจฉาแพรวาเค้าใช่มั้ยล่ะ ที่เค้าทั้งสวย ทั้งดีกว่า”
“ไม้น่ะโง่ โดนมันหลอกยังไม่รู้ตัวอีก ไม้ก็เห็นว่าไอ้พันเทพเป็นคนยังไง ลูกมันไม่มีทางดีไปได้เลย”
“ถ้าเธอจะว่าคนอื่น ชั้นว่าเธอกลับไปดีกว่า”
“ชั้นเป็นคนเหมือนกันนะ มีหัวใจเหมือนกัน พอไม่มาก็ว่าพอมาก็ไล่ ไม่คิดว่าชั้นจะเสียใจบ้างรึไง”
ไม้รู้สึกเสียใจที่ทำไป แต่เขาเลือกที่จะนิ่งไม่พูดอะไรอบเชยทนไม่ได้เข้ามาทุบตีไม้ไม่หยุด “ไม้น่ะโง่ โง่ที่สุด โง่มาก โง่ โง่ โง่ โง่”
ไม้พยายามปัดป้องมือของอบเชยแต่ทำไม่ได้ ไม้จึงดึงอบเชยมากอดไว้ อบเชยอึ้งกับการกระทำของไม้ หยุดทุกอย่าง
“หยุดได้แล้ว ชั้นขอโทษ”
ทั้งคู่ต่างรู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของกันและกัน โดยไม่รู้เลยว่าทิวาที่แอบดูอยู่และโกรธจัดกับภาพตรงหน้า
“มันจะหยามกันเกินไปแล้ว ไอ้ไม้”
เวลาเดียวกันเมฆกระเผลกออกมาจากบ้าน เห็นรถทิวาพอดี ทิวาเข้าเกียร์แล้วเหยียบรถพุ่งเข้ามาเต็มที่ โดยที่ไม้กับอบเชยก็ยังไม่ทันรู้ตัว เมฆเห็นจึงตะโกนบอกทั้งคู่
“ไม้ ระวังลูก”
เมฆวิ่งปกติไม่เป๋อีก เร็วจี๋มาผลักไม้กับอบเชยล้มหลบรถไป แล้วทิวาก็เหยียบเบรคเอี๊ยดก่อนที่จะชนเมฆ ไม้รีบลุกไปดูพ่อตน
“พ่อ เป็นอะไรรึเปล่า”
“มันจะเป็นอะไร เมื่อกี้เห็นยังวิ่งปร๋อ รถชั้นก็ไม่ได้ชนซักหน่อย”
ทิวาบอกไม้ลุกมากระชากเสื้อทิวาผ่านกระจกที่เปิดจะต่อย อบเชยห้ามไว้
“ไม้อย่ามีเรื่องเลย”
“เธอไม่เห็นเหรอมันจะฆ่าพวกเรา”
“ชั้นว่าทิวาเค้าคงไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นหรอก ใช่มั้ย”
“แค่ขู่แค่นี้แกก็ตกใจหน้าซีดทั้งพ่อทั้งลูกแล้ว แกจะเจอหนักกว่านี้อีกถ้ามาแตะต้องอะไรที่เป็นของชั้นอีก”
“พอแล้ว เธอกลับไปได้แล้วทิวา”
“เจอกันที่งานเลี้ยงนะ”
ทวายิ้มให้อบเชย ไม้ไม่พอใจอบเชยพยุงเมฆเข้าบ้าน
พอเข้ามาในบ้านไม้พาเมฆมานอนบนเตียง เมฆกลับมาเดินกระเผกเหมือนเดิม อบเชยยืนรอไม้
“พ่อพักก่อนนะ ปวดขารึเปล่า” ไม้ถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวชั้นไปหาอะไรให้กินนะ”
อบเชยมองดูเมฆแล้วนึกถึงเมฆวิ่งเมื่อกี้ซึ่งเมฆวิ่งขาปกติ อบเชยคิดว่าตัวเองตาฝาด
“ไม่ใช่หรอก ตาเราคงฝาดไปเอง”
ไม้พาพ่อนอนเสร็จ ไม่คุยกับอบเชย เดินหนีออกมา
ไม้เดินหนีอบเชยเข้ามาในครัว อบเชยก็ตามมาอีก ไม้จัดแจงจะทำกับข้าวให้พ่อ
“จะทำอะไรกินเหรอ ชั้นช่วยมั้ย”
“ไม่ต้อง”
“แต่ชั้นทำกับข้าวอร่อยนะ”
“บอกว่าไม่ต้อง”
“นี่ยังไม่หายโกรธอีกเหรอเนี่ย”
“จะไปงานอะไรกับทิวา”
“งานวันเกิดพันเทพน่ะ แต่ชั้นมีเหตุผลที่จะไปนะ”
“เธอเอาแต่ว่าแพรวาว่าเป็นพวกนั้น เธอน่ะเป็นพวกนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอห้ามชั้นไม่ให้ทำอะไรทิวาทั้งที่มันเกือบจะฆ่าพ่อชั้นแล้ว”
“ชั้นทำทุกอย่างมีเหตุผล เชื่อเถอะ ชั้นไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแน่ๆ”
ไม้มองอบเชยอย่างไม่พอใจ
“เธอกลับไปก่อนเถอะ ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยที่อยู่ใกล้เธอ” อบเชยเดินซึมออกไป “เธอตั้งใจจะทำอะไรของเธอกันแน่ อบเชย”
อบเชยเดินออกมาจากบ้านเมฆเศร้าๆ ที่ไม้ไม่เข้าใจ อบเชยเดินซึมกลับมาบ้านขณะนั้นจันทร์ยืนรออยู่
“ไปไหนมาเนี่ย ชั้นรอตั้งนาน”
“มีอะไร”
“ตกลงเรื่องงานพรุ่งนี้เอายังไง ไม่เคยส่งข่าวบอกความคืบหน้ากันบ้าง”
“ชั้นเข้าไปได้คนเดียว”
“อ้าว”
“เงื่อนไขเยอะไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้ทิวาสงสัย”
“แล้วชั้นทำไงล่ะ”
“ก็รออยู่ซอยติดกันละกัน เพราะถ้าได้ร่มมาแล้วคงมีเวลาไม่นานมากก่อนที่พันเทพจะรู้ตัว”
“ลุยข้างในคนเดียว ไม่อันตรายไปเหรอ”
“ชั้นเอาตัวรอดได้”
“จะให้ไม้มาช่วยมั้ยล่ะ”
“ไม่ต้องหรอก ไม้ยังไม่หายดีเท่าไหร่ ชั้นไม่อยากให้ไม้ไปเสี่ยง”
“แมนจริงเลยนะ เธอเนี่ย”
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ ชั้นเหนื่อย”
“หน้าแบบนี้ เหนื่อยใจละสิ”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย”
วันต่อมาขณะที่จันทร์กำลังเช็คลมยางรถอยู่ ไม้เดินมาหา
“ยุ่งเหรอ”
“นิดหน่อยว่ะ ต้องรีบเคลียร์งาน วันนี้ออกเร็ว”
“ไปไหน”
“ปฏิบัติภารกิจ”
“ภารกิจอะไร”
“วุ้ย ไอ้นี่ ถามซักไซ้จริง แล้วแกล่ะที่ชั้นให้แกไปสืบเรื่องไม้ตะพดน่ะ ได้อะไรคืบหน้ามาบ้าง”
“ได้”
“ว่ามา”
“คุณไกรน่ะไว้ใจไม่ได้”
“หืม?”
“คุณไกรน่ะสวมรอยเอาจดหมายชั้นไปให้คุณแพรวา”
จันทร์ตบหัวไม้
“นี่ชั้นให้แกไปสืบเรื่องไม้ตะพด แกได้อะไรมาเนี่ยไร้สาระชิบเป๋ง”
“ไม่ไร้สาระนะเว้ย คุณไกรน่ะบอกชั้นว่าจะดูแลอบเชยเองแล้วนี่ก็ยังจะเอาคุณแพรวาด้วย”
“ไอ้ไม้…แกนี่นะ แล้วนี่เค้าสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้รึยัง”
“กำลังเรียนอยู่”
“เออ ก็ดีแล้วนี่ เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจเรียนมาให้จบ” ไม้เซ็ง “แกนะแก มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ ยายอบเชยชอบแกลงได้ยังไงวะ ชั้นเห็นเวลาแกเดือดร้อนอบเชยโผล่มาช่วยตลอด แต่พออบเชยเดือดร้อนแกน่ะ มัวแต่คิดเรื่องอะไรไร้สาระอยู่ที่ไหน หายหัวเลย”
ไม้ทำหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่จันทร์พูด

ที่บ้านพันเทพ ราตรีกำลังแต่งหน้าอยู่แต่ต้องหงุดหงิดกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้
“หมายความว่าไง ที่พี่บอกว่าเชิญนังอบเชยอะไรนั่นมางานที่บ้านเรา”
“เค้าเป็นแขกของพี่ แกอย่าไปเฮี้ยวใส่เขาแล้วกัน”
“ชอบมันเหรอ”
“ยุ่ง”
“ได้ยินว่ามันเป็นลูกคนขับบขส.หาที่มันดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ”
“ลูกใครก็ช่าง งานนี้พี่ขอ”
“ก็ตามใจ อยากรู้นัก มันจะโทรมมางานได้แค่ไหน”
ทิวาส่ายหน้าเอือมราตรี
ส่วนไม้กับจันทร์ยังคุยกันอยู่ที่ท่ารถ
“อบเชยไม่เห็นจะเคยเดือดร้อนอะไรนี่”
จันทร์ตบหัวไม้สองที
“แกไม่รู้ไม่ได้แปลว่าไม่เคยนะ เพราะชั้นเพิ่งเป็นคนช่วยอบชยมาจากที่พันเทพเอาไปขังไว้อยู่เลย ถ้าชั้นไม่ไปช่วยป่านนี้ยังติดอยู่ที่เดิมซะละมั้ง”
“อบเชยโดนขังจริงๆ เหรอเนี่ย”
“แกนี่มันบื้อจริงๆ ชั้นร่วมมือจะตามหาไม้ตะพดกับแกตั้งนานไม่ได้เรื่องแต่ชั้นร่วมมือกับอบเชยวันเดียวเนี่ย จะรู้หัวรู้ก้อยอยู่แล้ว”
“ร่วมมือเรื่องไม้ตะพดเหรอ”
“อบเชยจะเข้าไปพิสูจน์เรื่องไม้ตะพดในงานพันเทพวันนี้น่ะสิ ชั้นยังห่วงๆ อยู่เลย ว่าเข้าไปคนเดียวจะเป็นยังไง”
“นี่ทำไมชั้นไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลยเนี่ย”
“ก็มัวแต่ทำอะไรไร้สาระอยู่น่ะสิ ไปปะ ไปเรียนท่ากรงเล็บพยัคฆ์มาให้จบไปจะได้ไม่เสียแรงเปล่า”
เมื่อแยกจากจันทร์ ไม้เดินคิดตามคำพูดจันทร์อยู่ริมถนน คำพูดจันทร์ยังก้องอยู่ในหัว
“แกดูถูกชั้นไปแล้วจันทร์ ชั้นไม่ใช่คนไร้สาระไปวันๆ นะเว้ย”
สีหน้าไม้จริงจังขึ้นมา
พอตกเย็นงานบ้านพันเทพถูกจัดไว้พร้อม ทั้งส่วนเวที ทั้งส่วนแขก ทิวายืนดูกับพันเทพ
“งานวันนี้จะเป็นไงบ้างนะ”
“หวังว่าคงไม่มีปัญหาอะไรอีกนะ”
“ถ้าแกไม่สร้างปัญหา มันก็จะไม่มีปัญหา”
“ผมสร้างปัญหายังไง”
“น้องมันบอกว่าแกติดพันลูกศรนารายณ์ คราวที่แล้วร่มถึงได้หายตามกันให้วุ่น คราวนี้งานใหญ่ของพ่อหวังว่าคงไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอกนะ เอาคนกะโปโลแบบนั้นมาควงในงานท่ามกลางแขกผู้ใหญ่”
ทิวาทำหน้าเซ็ง
พอได้เวลาทิวายืนต้อนรับแขกหน้างานอยู่กับราตรี แขกเหรื่อมากมายล้วนแต่งตัวกันเต็มยศอย่างกับงานเลี้ยงในโรงแรม
“แล้วนี่แพรวาไปไหน”
ทิวาถามเมื่อไม่เห็นแพรวา
“แต่งตัวอะไรมากมายก็ไม่รู้ คงกลัวจะสวยสู้ใครไม่ได้ ชิ”
ทิวากับราตรี ยกมือไหว้แขกเหรื่อในงาน จนถึงคิวของอบเชยที่ค่อยๆ เดินเข้ามา อบเชยแต่งเต็มดูสวยสง่ามากอบเชยเดินเฉิดฉายเข้ามาในงานไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องมอง เพราะอบเชยดูสวยจนแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ทิวากับราตรีถึงกับตะลึง
“อบเชย เธอสวยมาก ว้าว...”
ทิวาบอก ขณะที่ราตรีก็ตะลึงในความสวยของอบเชยแต่ทำปากแข็ง
“ก็งั้นๆ แหละ บ้านๆ”
“ไงล่ะ ที่เธอกับพ่อเธอจับชั้นไปขังไว้ ชั้นก็รอดมาจนได้อย่าคิดว่าชั้นจะปล่อยเธอลอยหน้าลอยตาโดยไม่คิดจะทำอะไรหรอกนะ” อยเชยพูดกับราตรี
“แก...”
อบเชยไม่สนใจราตรี ส่งยิ้มให้ทิวา
“ชั้นนั่งตรงไหนได้บ้างเนี่ย”
“เดี๋ยวผมพาไป”
อบเชยเชิดใส่ราตรี ราตรีหมั่นไส้
ขณะนั้นไม้ยืนแอบดูตรงประตูบ้านพันเทพเห็นมีแต่คนแต่งตัวดีเดินเข้าไปแล้วสมุนก็คุมค่อนข้างเข้ม ไม้มองการแต่งตัวตัวเองและคิดหาวิธีที่จะเข้าไปด้านใน แล้วไม้ก็เห็นเด็กส่งน้ำแข็งเดินแบกน้ำแข็งเข้าไป ไม้คิดอะไรออก
สมุนพันเทพตรวจเข้มคนเข้าออก ไม้ใส่หมวกก้มหน้าก้มตา แบกถุงน้ำแข็งจะเข้าไป สมุนห้ามไว้
“เฮ้ย…เดี๋ยว”
ไม้ตัวแข็ง กลัวถูกจับได้
“มาส่งน้ำแข็งพี่”
“เออ รู้แล้ว หน้าตาเอ็งมันคุ้นๆ นะ”
“หน้าผมโหลมั้งพี่”
“เออเข้าไปแล้วรีบออกมาล่ะ”

ไม้อมยิ้มแล้วเดินเข้าไปในงานจนได้
เมื่อเข้ามาในงานไม้วางถุงน้ำแข็งไว้ข้างลังน้ำแข็งแล้วจะเดินไปแต่มีคนเดินสวนมาพอดี
ไม้รีบหลบ คนนั้นคือราตรีนั่นเอง

“มันเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง นางบ้านนอกนั่น”
ไม้ชะโงกออกมาเห็นราตรี นึกว่าเป็นแพรวา
“คุณ คุณ”
ไม้ออกมาจากที่ซ่อน ราตรีตกใจ
“อะไรไอ้กระจอก แกเรียกชั้นทำไม”
ไม้ถอดหมวก
“ไม้ไง จำได้มั้ย”
“ไม้ไหน...” ราตรีมองหน้าไม้อย่างพินิจ “อ๋อ ชั้นชักจะคุ้นๆ ขึ้นมาละ” ไม้ยิ้ม “นี่แกเข้ามาได้ยังไงเนี่ย”
“คุณท่าทางดูแปลกๆ นะครับ”
“ชั้นก็เป็นของชั้นแบบนี้แหละ เดี๋ยวชั้นจะเรียกคนมาไล่แกออกไป”
แพรวาเดินมาพอดี
“ราตรี พ่อเรียกไปช่วยรับแขกแน่ะ”
ไม้เห็นแพรวากับราตรีพร้อมกันก็นึกได้ตอนที่เจอแพรวากับราตรีครั้งแรกที่โรงน้ำแข็ง
“ถ้าเธอไม่ไล่มันไป ชั้นจะให้คนมาลากตัวออกไป”
“เดี๋ยวชั้นจัดการเอง เธอไปหาพ่อก่อนเถอะ”
ราตรีเดินออกไป
“ผมลืมไปเลยว่าคุณมีฝาแฝด”
“เข้ามายังไงเนี่ย”
“ผมมาหาอบเชยครับ คุณแพรวาเห็นบ้างมั้ย”
“ชั้นเพิ่งลงมา ยังไม่ได้เจอใครเลย”
“คุณแพรวาสวยจังครับ”
“ขอบคุณนะ”
แพรวายิ้มเขิน ไม้เองก็อายที่พูดไป
ขณะนั้นทิวาพาอบเชยเดินอยู่ในงาน แขกในงานต่างมองอบเชยเป็นตาเดียวอบเชยยิ้มภูมิใจ
พันเทพเดินมาหาทิวามองอบเชย
“เราอีกแล้ว”
อบเชยนิ่ง มองมือพันเทพไม่มีร่มพันเทพเดินไป อบเชยก็เริ่มแผนการทันที
“เดี๋ยวชั้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“เดี๋ยวผมพาไป”
“ไม่ต้อง ชั้นไปเองได้”
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเธอไปก่อเรื่องที่ไหนอีก”
“อยากไปด้วยก็ได้ แต่ชั้นเห็นพ่อเธอน่ะเดินคุยกับคนใหญ่คนโตทั้งหลาย ไม่อยากไปยืนกับพ่อเหรอ เธอเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลนะ พ่ออาจจะอยากฝากฝังเธอกับใครก็ได้จริงมั้ย”
“จริงสินะ งั้นชั้นขอไปหาพ่อแป๊บนึงนะ”
“ตามสบายเลย ชั้นไม่ว่าหรอก”
“ขอบใจเธอมาก” ทิวาเดินไปหาพันเทพ อบเชยยิ้ม “หลอกง่ายจริง...ว่าแต่วันนี้ไอ้พันเทพไม่พกร่ม
ร่มมันน่าจะอยู่ที่ไหนนะ”
อบเชยมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครสนใจ เธอจึงเดินเข้าไปด้านใน
ทางด้านไม้ ขณะนั้นยังคุยกับแพรวาอยู่ทางด้านหลังงานเลี้ยง
“ปกติพ่อของคุณแพรวานี่ชอบหมกตัวอยู่ส่วนไหนของบ้านเหรอ”
“ถามทำไมคะ”
“ก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยน่ะครับ”
“พ่อชอบอยู่ที่ห้องทำงานค่ะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วเห็นพ่อหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานทั้งวัน”
“อ๋อ เหรอครับ แล้วนี่คุณแพรวามาคุยกับผมแบบนี้ พ่อจะไม่ตามหาแย่เหรอครับ”
“ใช่สิ ลืมไปเลย คงต้องไปหาพ่อซะหน่อยแล้ว”
“ตามสบายเลยครับ”
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณแพรวาตามสบาย ผมคงไม่ออกไปเพ่นพ่านด้านนอกหรอกครับ”
แพรวาส่งยิ้มให้ไม้ก่อนจะจากไป ไม้ยิ้มดีใจที่ได้เจอแพรวา แต่แล้วเขาก็มองเข้าไปในตัวบ้านแล้วเดินไปทางนั้น
อบเชยเดินเข้ามาในตัวบ้าน มองซ้ายมองขวาไม่รู้ไปทางไหนดี
“บ้านมันจะหลังใหญ่ไปไหน ของหายหาเมื่อไหร่จะเจอเนี่ย”
อบเชยเดินตัวงอๆ หลบๆ กลัวคนเห็น ไปตามห้องต่างๆ ของบ้าน
ไม้เดินเข้ามาในบ้านมองซ้ายมองขวาไม่เห็นใครและไม่รู้ว่าห้องทำงานพันเทพอยู่ตรงไหน
“แล้วห้องทำงานมันห้องไหนละเนี่ย”
อบเชยเปิดดูตามห้องต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของร่มของพันเทพเลย มีร่มคันอื่นๆ ในบ้าน อบเชยลองกางดูก็ไม่ใช่ อบเชยทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นไม้หอม
ไม้เดินเปิดตามห้องต่างๆ สวนกับอบเชยตลอด และไม้ก็ไม่รู้ตัวทำหมวกที่ถอดเหน็บกระเป๋าไว้ร่วงไว้ในบ้าน
อบเชยเปิดเข้ามาในห้องทำงานพันเทพ เธอค้นตามตู้ต่างๆ ทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นหอม
“มีกลิ่นหอม ร่มต้องอยู่ในห้องนี้แน่ๆ”
อบเชยดมกลิ่นไปตามตู้ เธอเปิดไปตามตู้ต่างๆ แล้วก็เจอกล่องไม้กล่องหนึ่งเธอเปิดด้านในเป็นแผ่นตำราหนังเสืออีกครึ่งหนึ่งที่อยู่กับพันเทพ
“หนังเสือเหรอ...เหมือนผ้าของลูกผู้ชายเลยนี่” อบเชยเปิดหนังเสืออ่าน “เมื่อเพลา เลือด วิญญาณมาบรรจบ ถือเป็นวาระครบทุกสิ่งสรร สรรพธาตุ สรรพรส ทุกสิ่งพลัน รวมตัวกันก่อกำเนิดเทิดปฐพี การรวมกันของไม้ตะพดสองอันเหรอ”
ขณะนั้นพันเทพและลูกยืนรับแขกด้วยกัน แขกมากันพร้อมเพรียง
“เดี๋ยวพ่อต้องขึ้นกล่าวอะไรบนเวทีด้วยใช่มั้ยคะ” ราตรีหันมาถาม
“ใช่ แต่เดี๋ยวพ่อเข้าไปเอาของสำคัญหน่อย ฝากลูกๆ ดูทางนี้กันด้วย”
“ได้ครับพ่อ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเลย”
“พ่อไปเถอะค่ะ”
พันเทพยิ้มให้ลูกๆ แล้วเดินเข้าไปในตัวบ้าน
อบเชยยังอยู่ในห้องทำงานพันเทพ เธอกำหนังเสือไว้ในมือแน่นแล้วหาร่มต่อ จู่ๆ อบเชยก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กที่ประตู อบเชยรีบวิ่งหาที่ซ่อนทันทีโดยเข้าไปแอบที่ข้างตู้แต่เป็นไม้เองที่เปิดประตูเข้ามา
“ต้องเป็นห้องนี้แน่ๆ ห้องทำงาน”
ไม้เริ่มเดินดูตามตู้ต่างๆ แล้วก็เห็นชายกระโปรงอบเชยโผล่มาข้างตู้ ไม้เองก็ไม่ไว้ใจอบเชยเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เธอพยายามนิ่งที่สุดแล้วเธอก็เห็นชายกระโปรงเธอแล่บออกไป อบเชยค่อยๆ เอามือรวบมัน ไม้เห็นก็ตกใจ
“นั่นใครแอบอยู่ตรงนั้น ออกมานะ”
อบเชยใจหาย
“ตายแน่คราวนี้”
“นั่นใครน่ะ ออกมานะ” อบเชยนิ่ง แทบไม่หายใจ “ถ้าไม่ออก ชั้นเอาตายแน่”
อบเชยยังนิ่ง ไม้เดินเข้าไปกระชากแขนออกมาอบเชยเสียหลักจากรองเท้าส้นสูงล้มถลาใส่ไม้ ไม้ประคองเธอไว้ในอ้อมกอด ไม้ตะลึงเมื่อเห็นเป็นอบเชยทั้งคู่มองกันซึ้ง
“ไม้ เธอมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” อบเชยถามอย่างตกใจขณะที่ไม้ตาค้างกับความงามของอบเชย “มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ เราไม่มีเวลาแล้วนะ”
ขณะนั้นพันเทพเดินเข้ามาในบ้าน ผ่านห้องรับแขกแล้วก็เจอหมวกของไม้ตกอยู่พันเทพเริ่มเอะใจ รีบเดินเข้าไปในบ้าน
ที่ห้องทำงานพันเทพ ไม้ทำตัวไม่ถูกกับอบเชยในแบบฉบับสวย
“เราต้องรีบหาร่มให้เจอ ไม่รู้ไอ้พันเทพมันเก็บไว้ไหน”
“อือ”
“แต่ชั้นเจอนี่นะ” อบเชยยื่นหนังเสือให้ไม้ดู ไม้หยิบมาดู
“หนังเสืออีกครึ่งนึง ไม้เปิดดู แล้วเสียงฝีเท้าก็เดินใกล้เข้ามา”
“มีคนมา...คราวนี้ไม่มีทางเป็นพวกเดียวกับเราแน่”
“หาที่หลบเถอะ” อบเชยเห็นตู้เก็บของจึงรีบเปิดตู้ “เข้าไปในนี้เถอะ”
อบเชยและไม้รีบเข้าไปหลบในตู้ พันเทพเปิดประตูห้องทำงานเข้ามามองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยแต่ไม่เห็นใคร พันเทพเดินสำรวจห้อง
ขณะนั้นไม้กับอบเชยยืนเบียดกันอยู่ในตู้หน้าแทบจะติดกัน อบเชยยิ้มมีความสุขที่อยู่ใกล้ไม้ พันเทพเดินเข้ามาหน้าตู้เก็บของจะเปิด ทั้งคู่ลุ้นมากแล้วทิวาก็เปิดประตูเข้ามา
“พ่อครับ ตอนนี้ท่านหัวหน้าพรรคเดินทางมาถึงแล้วนะครับเผื่อว่าพ่ออยากจะลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง”
“ได้ลูก เดี๋ยวพ่อไปเลย”
พันเทพเปิดตู้หลังโต๊ะทำงานเค้าหยิบร่มแล้วเดินออกไป ไม้เปิดประตูตู้ออกมา
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
“เสียดาย ไม่น่ารีบไปเลย กำลังมีความสุขเชียว” อบเชยบอก
“อะไรของเธอ”
อบเชยส่ายหน้า
“ตอนนี้ไอ้พันเทพเอาร่มไปแล้ว เราพลาดแล้วล่ะ”
“แต่เราก็ได้หนังเสือมา ยังไงก็ไม่เสียเปล่า” ไม้เก็บหนังเสือใส่กระเป๋า
“รีบไปกันเถอะ ก่อนจะโดนจับได้”
“วันหลังอย่าแต่งตัวแบบนี้อีกนะ” ไม้บอก อบเชยทำหน้างง
“ทำไม”
“ชั้นทำตัวไม่ถูก”
ไม้เดินออกไป อบเชยยิ้มเขินๆ
ไม้กับอบเชยย่องมาด้านล่างกำลังจะออกไปจากบ้านอยู่แล้ว เสียงพันเทพก็ดังขึ้น
“เดี๋ยว...จะรีบไปไหนกันล่ะ” ไม้กับอบเชยสะดุ้ง หันกลับมามองเป็นพันเทพนั่นเองที่เดินออกมา “สงสัยอยู่เชียวว่าเป็นใคร” สมุนเดินออกมาสมทบกับพันเทพมากมาย ทิวาเองก็ด้วย “ทิวา พ่อบอกแล้วใช่มั้ยว่าผู้หญิงคนนี้ไว้ใจไม่ได้ ให้ดูแลดีๆ”
“คือชั้นแค่จะมาหาห้องน้ำเข้า หาไม่เจอเลย กำลังจะออกไปแล้ว”
“แล้วไอ้ไม้ล่ะ มาได้ยังไง ชั้นบอกเธอแล้วใช่มั้ยว่าห้ามพาใครมาด้วย”
“บังเอิญเจอกัน ชั้นไม่รู้เรื่องเลย”
“มันจะบังเอิญมากไปรึเปล่า”
“บังเอิญจริงๆ นะ ชั้นมาส่งน้ำแข็งแล้วก็หาห้องน้ำเข้าเหมือนกัน”
“อย่ามาโกหก”
“พวกเธอเข้ามาในบ้านชั้น ต้องการอะไรกันแน่”
“ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง ทำไมไม่เชื่อกันบ้าง”
“ค้นตัวทั้งสองคน”
พันเทพสั่งสมุน สมุนเข้ารุมค้นตัวทั้งไม้และอบเชย ไม้ลุ้นหนังเสือที่เก็บไว้ในกระเป๋า แต่ยังไม่ทันที่สมุนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าศรนารายณ์ก็ปรากฏตัวขึ้น
“อย่าแตะต้องไม้กับอบเชยนะ”
อบเชยหันไปตามเสียง
“พ่อ”
“พ่อไม่ไว้ใจทิวาที่จะพาลูกมางานที่นี่ ก็เลยแอบตามมา”
“นี่แกปล่อยให้มันเข้ามาได้ยังไงเนี่ย” พันเทพด่าสมุน
“ใจเย็นๆ น่าพันเทพ ชั้นก็เป็นครูสอนมวยให้ทิวามันเองไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน”
“มากันขนาดนี้ พวกแกจะมาพังงานชั้นใช่มั้ย... จับตัวพวกมันไว้ งานเลิกเมื่อไหร่ชั้นจะมาจัดการ”
สมุนเข้าล้อมทั้งสามคน ศรนารายณ์ อบเชย ไม้ ตั้งการ์ดรอรับ
“ถ้าปล่อยให้จับง่ายๆ ก็ไม่ใช่ศรนารายณ์น่ะสิ” พันเทพกับศรนารายณ์จ้องตากัน ต่างคนต่างไม่กลัว “ครั้งนี้ขอให้มันเป็นนัดล้างตาของชั้นที่แพ้แกคราวก่อนเถอะ ชั้นแพ้ชั้นก็ทำตามสัญญาคนแพ้แล้ว คราวนี้ชั้นขอแก้มือกับแกอีกครั้งเถอะ อย่าไปยุ่งกับเด็กๆ มันเลย”
“ได้ แต่ก่อนที่แกจะมาสู้กับชั้น ผ่านสมุนของชั้นมาให้ได้ก่อนเถอะ ได้ผลยังไงเดี๋ยวชั้นจะกลับมาดูอีกที ป่านนี้ที่งานคงรอชั้นแย่แล้ว ... ทิวาดูแลแทนพ่อด้วยอย่าให้เพ่นพ่านออกไปถึงด้านนอก” พันเทพบอกทิวา แล้วหันไปสั่งสมุน “อย่าให้มันรอดไปได้”
พันเทพเดินออกไป ศรนารายณ์ถอยไปที่โล่ง สมุนเข้ารุมศรนารายณ์คนเดียว ศรนารายณ์สู้เหมือนขนม อบเชยมอง
“มันจะตัดกำลังพ่อให้เหนื่อยแล้วค่อยไปสู้กับมัน มันจะได้ชนะอีก ไม้รออยู่ตรงนี้นะ ชั้นต้องไปช่วยพ่อ”
อบเชยกระโดดเข้ากลางวงร่วมสู้กับพ่อตน ในชุดราตรีอบเชยก็ยังสู้ได้ดี โดยอาศัยรองเท้าส้นสูงเป็นอาวุธไปในตัวด้วย
“ลูกมาทำไม ไอ้พวกกระจอกพวกนี้ไม่คนามือพ่อหรอก”
“ถ้าพ่ออยากชนะมันจริงๆ ให้หนูช่วยเถอะ”
อบเชยกับศรนารายณ์ต่อสู้ร่วมกัน ส่วนทิวาก็กำลังจ้องไม้ที่เหลืออยู่คนเดียว
“แกล่ะ ไม่คิดจะล้างมือบ้างเหรอ แพ้ชั้นไปตั้งกี่ครั้งแล้ว เรียนมวยก็เรียนมาแต่ก็ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆมองดูคนแก่กับผู้หญิงสู้ ไม่อายบ้างเหรอวะ”
“นี่แกอย่ามาท้าชั้นนะ”
“ชั้นไม่ได้ท้า ชั้นรอให้แกท้าต่างหาก แต่ชั้นก็เข้าใจนะ คนที่สู้แล้วแพ้มาทุกครั้งมันก็ต้องหมดความมั่นใจเป็นธรรมดา”
“ไอ้...” ไม้เจ็บใจ
“ล่าสุดชั้นเพิ่งกระทืบพ่อแกไปด้วยนี่...ไม่รู้จากไอ้เป๋จะกลายเป็นไอ้ง่อยแล้วรึเปล่า”
“พอได้แล้ว ถ้าแกแน่จริงแกเข้ามาเลย”
อบเชยเห็นท่าทางว่าไม้จะสู้กับพันเทพ อบเชยสู้ไปคุยกับไม้ไป
“ไม้...ยังไม่หายดีเลยนะ”
“ชั้นไม่ปล่อยให้มันมาว่าพ่อหรอก”
“ก็ดี...มีเรื่องสนุกให้ทำแล้วสิ”
“คราวนี้ชั้นจะไม่ยอมแพ้แกหรอก ทิวา”
ไม้บุกเข้าหาทิวาทันที ทิวากับไม้สู้กันอย่างดุเดือด แต่พอทิวาใช้ท่าไม้ตายฮุกซ้ายไม้ก็เสียหลักล้มลงไปถึงกลับเบลอทีเดียว
“ไหนบอกจะไม่ยอมแพ้แล้วไง”
ทิวาหัวเราะเยาะ อบเชยเป็นห่วงไม้ ตะโกนให้ได้สติ
“ที่ไปเรียนกับคุณไกร ได้อะไรมาบ้าง เอามาใช้สิ”
ไม้เบลอๆ นึกถึงคำพูดไกรที่พูดว่าสมาธิทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้และภาพตอนที่ไกรให้ฝึกโยคะไปพร้อมๆ กับท่ากรงเล็บพยัคฆ์ ไม้ค่อยๆ ยืนขึ้นอีกครั้ง มองทิวาอย่างตั้งใจ
“อยากโดนอีกใช่มั้ย...ได้”
ทิวาเคลื่อนที่เข้ามาหาไม้อย่างรวดเร็ว แต่ไม้เห็นการยกหมัดของทิวาไม้เอามือปัดได้ เห็นช่องว่างของทิวา ไม้ปล่อยหมัดสวนไปได้ โดนทิวาเต็มๆ ทิวาถึงกับล้มลง ไม้เองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าทำได้ ทิวายิ่งแล้วใหญ่
“ไอ้ไม้ แกไปเรียนมวยมาจากไหน”
“ก็เรียนมาจากแกที่สอนให้ชั้นเจ็บยังไงล่ะ”
ถึงทีไม้เป็นฝ่ายได้เปรียบบ้างล่ะคราวนี้ ไม้ลุยเข้าไปดวลหมัดกับทิวา ไม้ชกทิวาล้มตึงไปหลายหมัดถึงกับหมอบ ส่วนศรนารายณ์กับอบเชยก็ปราบสมุนเรียบ
“...แกจะมาแก้มือกับชั้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้นะ”
ขณะนั้นพันเทพอยู่บนเวทีกำลังพูดกับคนของพรรคอย่างกันเอง
“งานวันนี้ผมเลี้ยงขอบคุณให้ล่วงหน้าสำหรับหัวคะแนนทั้งหลายที่ จะทำให้ผมได้เป็นสจ.สมัยนี้ เชิญกินกันตามสบาย เดี๋ยวผมไปทำธุระหน่อย”
พันเทพปลีกตัวออกไป
เมื่อจัดการกับทิวาและสมุนได้แล้ว ไม้ อบเชย ศรนารายณ์เตรียมตัวจะหนี
“เรารีบออกไปจากที่นี่ก่อนที่พันเทพจะกลับมาเถอะ”
“แล้วร่มล่ะ”
“มันอยู่ที่พันเทพจะเอาไปได้ยังไงล่ะ”
“ร่มเหรอ...นี่มาที่นี่เพื่อจะมาเอาร่มของพันเทพให้พ่อเหรอ” ศรนารายณ์บอกเพราะอยากได้ร่มจับใจ “ทำไมลูกน่ารักแบบนี้อบเชย”
“ไม่ได้เอาให้พ่อ...ช่างเถอะ ยังไงเราก็ไม่ได้ละ รีบไปดีกว่า”
ทิวาที่กองอยู่ที่พื้นได้ยินเรื่องร่มพันเทพ
“ร่ม...ร่มของพ่อมันมีอะไรกันแน่ ทำไมพวกนี้ถึงเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามาเอา”

ขณะที่ทั้งสามจะหนีไปพันเทพก็เดินกลับมาพอดี พร้อมสมุนอีกชุด
“จะรีบไปไหนล่ะ แกยังไม่ได้แก้มือกับชั้นเลยนะศรนารายณ์”
ทั้งสามคนชะงัก
“ปล่อยให้รอตั้งนาน ไอ้เราก็นึกว่าจะถอดใจหนีไปซะแล้ว”
พันเทพหัวเราะ
“อารมณ์ขันดีนี่ อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า... คุมไอ้สองคนนั่นไว้ อย่าให้เข้ามายุ่ง” พันเทพสั่งสมุน
“พ่อ ระวังร่มให้ดี”
อบเชยบอกศรนารายณ์มองที่ร่มอย่างระวังตัวแล้วพันเทพก็เริ่มต่อสู้ ทั้งคู่ปะมือกันอย่างดุเดือด
แล้วพันเทพก็เสียท่าให้กับหมัดศรนารายณ์เข้าอย่างจัง ถึงกับปากแตกเลือดไหล พันเทพจับปากตนที่เลือดไหลแล้วยิ้ม
“ขอบใจนะสำหรับของหวาน”
พันเทพถุยน้ำลายที่เป็นเลือดลงพื้น แล้วเอาร่มจิ้มลงไป ร่มดูดน้ำลายที่เปื้อนเลือดหายไปในพริบตา
“โชว์มายากลหลอกเด็กรึไง ของแบบนี้ชั้นก็ทำเป็น” เสียงเวตาลลักษณะคล้ายค้างคาวดังแว่วมา ทุกคนได้ยินก็ตกใจ “นั่นเสียงอะไรน่ะ”
“คราวนี้...ถ้าเจ็บหนักกว่าคราวที่แล้วก็อย่าว่ากันนะ”
พันเทพควงร่มอย่างคล่องแคล่วราวกับร่มมีชีวิตขึ้นมาเอง หมัดของศรนารายณ์กี่หมัดร่มก็กันไว้ได้หมด และในที่สุดพันเทพก็ฟาดศรนารายณ์ด้วยร่มทำเอาศรนารายณ์กระเด็นเข้าไปอีกห้องลับตาไป ประตูห้องปิดปัง เหมือนขังศรนารายณ์ไว้ อบเชยวิ่งไปเคาะประตูห่วงพ่อตนแต่ประตูก็เปิดไม่ออก
“แกปล่อยพ่อชั้นออกมาเดี๋ยวนี้นะ พ่อ พ่อ เป็นไงบ้าง พ่อ”
ศรนารายณ์นอนจุกอยู่บนพื้น เห็นเหมือนตัวอะไรวิ่งผ่านหลังไปไวๆ เค้าหันดู แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร
“ใครน่ะ แน่จริงก็ออกมาสิ”
เสียงคล้ายค้างคาวลอยผ่านหัวไป ศรนารายณ์แหงนมองก็ไม่เห็นอะไร ศรนารายณ์เริ่มระแวง ศรนารายณ์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เห็นเงาสะท้อนในกระจกตู้เหมือนมีตัวอะไรบางอย่างสยายปีกอยู่ด้านหลังเขา
ศรนารายณ์ขนลุกเกรียว ค่อยๆ หันไปดู แต่ปรากฏว่าห้องว่างเปล่า
ด้านนอกอบเชยทุบประตูแต่ไม่มีเสียงตอบจากพ่อเลย อบเชยหันหาพันเทพ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
“เธอก็เห็นอยู่ว่าประตูมันปิดไปเอง มันล็อคของมันเอง จะให้ชั้นทำยังไง”
“ไอ้พันเทพ แก…”
อบเชยวิ่งเข้าลุยพันเทพ แต่ก็ถูกพันเทพหวดร่มเข้าใส่กระเด็นออกมาอีกคน ไม้วิ่งเข้าดูอบเชย
“เป็นไงบ้าง” อบเชยเจ็บใจ ทำอะไรไม่ได้ “ถ้าแน่จริงก็วางร่มแล้วมาสู้กันตัวต่อตัวดีกว่า”
“ชั้นไม่สู้กับเธอหรอก”
“ผมสู้เอง”
ทิวาบอกแล้วจะบุกเข้าทำร้ายไม้ แต่พันเทพห้ามไว้
“หยุด!” ทิวาชะงัก
“แต่พ่อ...”
“ถ้าชั้นไม่สั่ง ห้ามใครทำอะไรทั้งนั้น”
“ชั้นจะสู้กับแกไอ้พันเทพ แกไม่อยากสู้แต่ชั้นอยากสู้ แกจะห้ามอะไรชั้นได้” ไม้บุกเข้าไปอย่างไม่กลัว พันเทพเอาแต่หลบไม่สู้กลับแม้แต่นิด ไม้เจ็บใจที่พันเทพไม่สู้ “ทำไมเอาแต่หลบ ปล่อยท่าไม้ตายออกมาสิ มีเท่าไหร่ปล่อยให้หมด”
พันเทพยังเอาแต่หลบ ไม่สู้อยู่ดีจนลูกผู้ชายปรากฏตัวออกมา
“หยุดเถอะ...พันเทพน่ะ ต้องสู้กับชั้น”
ไม้หันไปเห็นลูกผู้ชายยืนเท่อยู่
“ลูกผู้ชาย”
“ดีเลย ชั้นล่ะอยากจะสู้กับแกใจจะขาด อยากจะรู้นักว่าไม้ตะพดของลูกผู้ชายจะทำอะไรชั้นได้มั้ย”
แล้วพันเทพกับลูกผู้ชายก็เริ่มสู้กัน และนาทีที่ร่มและไม้ตะพดของลูกผู้ชายกระทบกันนั้น ก็ส่องแสงประหลาดสะท้อนเข้าตาทุกคนในพริบตา
“นั่นมันแสงอะไรน่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
แสงประหลาดก็แว้บเข้ามายังห้องที่ศรนารายณ์อยู่ด้วยเช่นกันพร้อมกับเสียงหล่นดังตุบที่หลืบห้องอีกด้าน คล้ายกับอะไรร่วงลงมาศรนารายณ์ตกใจ
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”
ศรนารายณ์ค่อยๆ เดินย่องไปที่หลืบห้องอีกด้าน เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีปีกคล้ายค้างคาว ตัวสีเทา ผอมแห้ง หนังติดกระดูก ขดตัวอยู่ที่มุมห้องนั้น ศรนารายณ์สะดุ้ง กล้าๆกลัวๆ
“นั่นตัวอะไรวะน่ะ...”
ด้านนอกพันเทพกับลูกผู้ชายยังสู้กันต่อเนื่อง แต่มีจังหวะหนึ่งที่ลูกผู้ชายกระโดดหลบร่มที่ฟาดมา
เข่าเขาเกิดเจ็บแปลบขึ้นมา เซถลา แล้วก็ไม่สามารถเดินได้ปกติอีกอบเชยเห็น
“เหมือนลูกผู้ชายจะบาดเจ็บที่ขานะ”
“นั่นสิ”
ยังไม่ทันขาดคำลูกผู้ชายก็เสียท่าให้พันเทพเพราะเข่าที่เจ็บ ทำเอาล้มคะมำแล้วพันเทพก็ถือโอกาสจะเข้าไปซ้ำทันที ไม้เห็นรีบตะโกนเตือนลูกผู้ชาย
“ลูกผู้ชาย ระวัง”
แต่ไม่ทันร่มของพันเทพเสียบเข้าทางด้านหลัง ปลายแหลมของร่มทะลุร่างลูกผู้ชายเต็มๆ ลูกผู้ชายพูดไม่ออก พันเทพหัวเราะเสียงดังแล้วชักร่มออก รอยเลือดที่ร่มหายเกลี้ยงเหมือนโดนดูด
“แกน่ะเข้าข้างคนผิดแล้วลูกผู้ชาย ไอ้พวกนี้บุกรุกบ้านชั้น ชั้นแค่ป้องกันตัวเท่านั้น แกน่ะก็ได้แต่ช่วยคนของแกโดยไม่ลืมตาดูว่าใครผิดใครถูก อย่านึกนะว่าชั้นไม่รู้ว่าแกเป็นใคร ถ้าแกไม่อยากให้ชั้นประกาศให้คนทั้งโลกรู้ละก็ส่งไม้ตะพดวิญญาณมาให้ชั้นซะดีๆ”
“ไม่มีทาง”
“งั้นชั้นคงต้องใช้ไม้แข็งสินะ”
พันเทพจะเข้าทำร้ายลูกผู้ชายอีกครั้ง ไม้กระโดดเข้ามาขวาง
“อย่าทำอะไรลูกผู้ชายนะ ถ้าแกจะทำ...แกทำชั้นก่อนนี่”
“ไม้...”
“ไม้...อย่าทำแบบนั้น เธอก็รู้ว่าไอ้พันเทพมันไม่ปราณีใครอยู่แล้ว”
พันเทพจะเข้าทำร้ายลูกผู้ชายไม้ก็ขวางอีก ไม้จ้องหน้าพันเทพหน้าตาจริงจัง
“เดี๋ยวผมจัดการมันให้เองครับพ่อ”
ทิวาบอกแล้ววิ่งเข้าหาลูกผู้ชายที่บาดเจ็บ ลูกผู้ชายโบกไม้ตะพดทำให้ทิวากระเด็นไป
“ไม้นั่น...วิเศษมาก” ทิวาพึมพำแล้วบอกพันเทพ “อย่าไปสนใจไอ้ไม้มัน เอาไม้ตะพดนั่นมาให้ได้”
พันเทพจ้องหน้าไม้ที่มองเขาอย่างเอาจริง พันเทพมองไม้ตะพดในมือลูกผู้ชายก็อยากได้ แต่สุดท้ายเค้าก็ตัดใจ
“ชั้นจะปล่อยพวกแกไปก่อน” พันเทพบอกแล้วมองหน้าไม้ “ไม่อยากขึ้นชื่อว่ารังแกเด็ก...จำไว้ไอ้ลูกผู้ชาย ถ้าคราวหน้าชั้นเจอแกไม้ตะพดวิญญาณจะต้องตกมาเป็นของชั้นแน่”
ลูกผู้ชายมองพันเทพอย่างเจ็บใจ
ส่วนอีกห้องที่ศรนารายณ์ถูกขัง สิ่งมีชีวิตที่อยู่มุมห้องจากนิ่งๆ ก็ค่อยๆ ขยับตัว ศรนารายณ์ตกใจ
มันสยายปีกกว้างที่คล้ายค้างคาวขนาดใหญ่ แล้วค่อยๆ เหยียดตัวขึ้น
“คุณพระคุณเจ้า นี่มัน...ตัวอะไรกันแน่”
เวตาลขยับเนื้อขยับตัว ได้ยินเสียงศรนารายณ์มันค่อยๆ หันหลังกลับมา
“เลือดดดดดด”
พอเวตาลหันมาศรนารายณ์ตกใจ
“ตายแน่ๆ”
“เลือดดดด”

เวตาลบินโฉบศรนารายณ์ล้มลงหัวฟาดกับโต๊ะ สลบแน่นิ่งไป









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:12:50 น.
Counter : 249 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 4 (ต่อ)




ทิพย์อยู่กับพันเทพโดยไม่ได้รัก ดังนั้นเมื่อคลอดลูกแล้วเธอจึงตัดสินใจใช้ปืนปลิดชีพตัวเอง เวลานั้นพันเทพนั่งทำงานอยู่ในห้อง ตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงปืนรีบวิ่งไปดู จึงวิ่งเข้ามาในห้องนอนแล้วต้องตกใจจนถึงกับช็อคเมื่อเห็นทิพย์นอนจมกองเลือด

“ทิพย์ ทิพย์ ทำแบบนี้ทำไม ทิพย์”
พันเทพแทบจะขาดใจ
ภาพเหตุการณ์ในอดีตทำให้พันเทพทิ้งตัวลงนั่งแล้วร้องไห้ออกมา
ส่วนเมฆกับศรนารายณ์ยังนั่งคุยกันถึงเรื่องทิพย์
“พี่เมฆทำเหมือนไม่เคยมีทิพย์อยู่ในชีวิตได้ไง”
“ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป ก็แค่นั้น”
เมฆลุกเดินจากไป ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น
เมฆเดินกลับมาบ้าน แต่ยังไม่ทันจะเริ่มทำอะไรเสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกเขาก็ดังขึ้น ชาญวิ่งหน้าตาตื่นมา
“พี่เมฆ พี่เมฆ”
“อะไรของแก โวยวายเสียงดังเชียว”
“เค้าลือกันทั่วตลาดเลยว่าไอ้ไม้ลูกพี่ ไปมีเรื่องกับไอ้พันเทพอาการหนักเลย ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
“อะไรนะ”
เมฆกะเพลกรีบวิ่งไปอย่างสุดชีวิต ชาญมองตาม
“พี่เมฆ รอด้วย”
ชาญวิ่งตามเมฆไป
เมฆรีบมาที่โรงพยาบาลแล้ววิ่งมาที่ห้องฉุกเฉินซึ่งขณะนั้นอบเชยกับไกรนั่งรออยู่
“ไม้ ไม้”
อบเชยรีบเดินมาหาเมฆ
“ไม้อยู่ด้านในค่ะ ยังไม่รู้ยังไง”
เมฆเครียด จันทร์วิ่งมาอีกทางเข้ามาสมทบอีกคน
“ไม้ล่ะ ไม้เป็นไงบ้าง เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เค้าถามเค้าตอบกันไปเมื่อกี้แล้ว เอ็งนี่ยังไง” ชาญบอก
“ก็ชั้นไม่ได้อยู่ด้วยนี่”
“วันหลังก็มาให้มันเร็วๆ เห็นมั้ยเนี่ย ถามสองรอบพี่เมฆก็เครียดสองรอบเลย” เมฆเดินแยกตัวออกไป “นั่นเห็นมั้ย ทนฟังไม่ได้เลย”
“เค้าไม่อยากเห็นหน้าพี่มากกว่ามั้ง”
อบเชยเดินไปหาเมฆที่เดินไปอีกมุม
“ไม่ต้องห่วงนะคะลุงเมฆ ไม้ต้องไม่เป็นอะไร หนูคนนึงล่ะจะไม่ยอมให้ไม้เป็นอะไรเด็ดขาด หนูสัญญา”
พันเทพตามมาที่โรงพยาบาล เขาแอบดูเมฆที่กำลังเครียดแล้วมองไปที่ห้องฉุกเฉินเพราะห่วงไม้เช่นกัน หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินมาคุยรายละเอียดกับเมฆและอบเชย พันเทพชะเง้อหน้าอยากรู้
ทั้งหมดเดินเข้าไปดูอาการไม้ที่สลบยังไม่ได้สติ หมอเดินเข้ามาอธิบายอาการต่อ
“อาการภายนอกก็ฟกช้ำไปตามประสาคนโดนทำร้ายนะครับ ส่วนอาการภายในที่น่าห่วงก็จะมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร”
“แล้วนี่ต้องถึงกับผ่าตัดอะไรมั้ยครับเนี่ย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ เรากินยาดูอาการก่อนยังไงคงต้องให้เค้านอนโรงพยาบาลซักระยะนึงนะครับ”
“ครับ แล้วเรื่องค่ารักษา”
“เดี๋ยวลองไปคุยรายละเอียดกับฝ่ายการเงินดูนะครับ”
“เรื่องค่ารักษาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะครับลุงเมฆ เดี๋ยวผมจัดการให้” ไกรบอก
“ไม่ต้องๆ มันเป็นหน้าที่ของพ่ออยู่แล้ว” เมฆบอก หมอเดินออกไปอบเชยเข้าไปจับมือไม้อย่างเป็นห่วงเป็นใย ไกรมองอบเชยอย่างเศร้าๆ
“ไม่ต้องห่วงไอ้ไม้มันมากหรอก ไอ้นี่อึดจะตาย โดนกระทืบมาทั้งชีวิตแล้ว แค่นี้ไม่เป็นอะไรหรอก” ชาญบอก เมฆมองชาญเคืองๆ
“เฮ้ย...พูดอะไรเกรงใจคนอื่นเค้าบ้าง” จันทร์ต่อว่าชาญ
“อ้าว พูดอะไรผิดวะ”
“นี่ถ้าคุณไกรสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้ไอ้ไม้ มันคงไม่เจ็บหนักขนาดนี้” จันทร์ต่อว่าไกร
“นี่วกมาที่ผมได้ไงเนี่ย”
เมฆสนใจประเด็นนี้
“จริงเหรอ”
“จริงสิ คุณไกรทำท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายได้เคยเห็นกะสองตา”
“ก็เข้าใจว่าหวงวิชา แต่ก็เห็นอยู่ว่าไอ้ไม้น่ะมันเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ไม่ได้เอาไปทำร้ายใครจะได้ไม่ดีแต่แพ้แล้วสภาพนี้ทุกที”
“สอนข้าด้วยสิ”
“เอ่อ...”
“พอเถอะ...ไม่ต้องไปคาดคั้นคุณไกรเค้าหรอก ที่ไม้มันเจ็บตัวเพราะตัวมันเองมากกว่า”
เมฆบอกแล้วมองไม้ที่หมดสติอย่างเวทนา ไม่มีใครกล้าเถียงเมฆซักคน
เวลาผ่านไป...จันทร์กับชาญเดินคุยกันออกมา
“พี่เมฆนี่ห่วงไม้น่าดูเลยนะ”
“พ่อลูกก็ห่วงกันเป็นธรรมดา”
“ตอนที่ข้าไปบอกข่าวพี่เมฆ โอ้โห...วิ่งเป็นม้า”
“คงเหมือนพวกยกโอ่ง ยกตู้เย็นได้เวลาไฟไหม้ละมั้ง”
“ข้าล่ะอยากมีพ่อมีแม่บ้าง”
“จะดึงไปเศร้าทำไมเนี่ย เฮ้ย...นั่นไอ้พันเทพรึเปล่า”
จันทร์หันไปเห็นพันเทพไวๆ
“ไหน”
พันเทพเดินหลังไวๆ มีชาญกับจันทร์ตามไปแต่สุดท้ายก็คลาดกัน
“มันจะมาทำไมของมัน”
“นัดหมอสิวไว้รึเปล่า”
“จะบ้าเหรอ...หรือมาเยี่ยมไม้”
“อันนั้นบ้ากว่าอีกข้าว่า มันจะมาเยี่ยมไอ้ไม้ทำไม มันเป็นคนทำ”
จันทร์ยังไม่คลายความสงสัย
“ชั้นว่าไปดูไม้หน่อยดีกว่า”
ไม้ย้ายออกจากห้องฉุกเฉินมาอยู่ห้องคนไข้รวม พันเทพใส่หมวกใส่แว่นพรางหน้าเดินเข้าไปยืนมองไม้ที่เตียง
“ขอโทษนะ ทุกอย่างมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้”
จันทร์ ชาญ เดินมาที่หน้าห้องคนไข้อบเชยเดินมาสมทบ
“ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”
“พอดีเราเหมือนเห็นพันเทพแว้บๆ ก็เลยเป็นห่วงไม้ขึ้นมา”
ภายในห้องพันเทพได้ยินเสียงทั้งหมดคุยกันรีบมองหาที่หลบ
“จริงเหรอ แค่นี้ไม้ยังเจ็บไม่สาแก่ใจมันใช่มั้ย”
พันเทพมองในห้องคนไข้รวมตามมุมโน้นมุมนี้
“งั้นก็เข้าไปดูไม้ก่อนหมดเวลาเยี่ยมดีกว่า”
ทั้งสามคนเปิดประตูเข้าไปในห้อง
ทั้งหมดเดินเข้ามาในห้องแต่ไม่เจอพันเทพแต่อย่างใด
“แต่ก็ดูปกติดีนะ ไม่น่ามีอะไร” อบเชยบอก
“ห้องคนไข้รวมคนเยอะแยะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก” ชาญบอก
“เธอสองคนกลับไปเถอะ เดี๋ยวชั้นนอนเฝ้าไม้เอง”
“กลับบ้านเถอะอบเชย ลำบากเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ได้ลำบากอะไรอีกอย่างชั้นกับลุงเมฆตกลงกันแล้วจะผลัดกันเฝ้า”
อบเชยยิ้มอย่างจริงใจ จันทร์กับชาญมองไม้อย่างเวทนา พยาบาลเดินเข้ามา
“ญาติคะ หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”
ทั้งสามคนพากันเดินเดินออกไป บนที่นอนเตียงหนึ่งพันเทพลุกขึ้นนั่งถอนหายใจโล่งอก
คืนนั้นบนที่นอนเฝ้าไข้แคบๆ อบเชยนอนขดตัวอยู่อย่างทุลักทุเลนัก ยุงกัด มดกัด ดูลำบาก...ส่วนเมฆเมื่อกลับมาบ้าน เมฆเดินไปหยิบกล่องไม้เก่าๆ แล้วนับเงินที่อยู่ในกล่องซึ่งมีอยู่ไม่มาก สีหน้าเมฆไม่สบายใจนัก
เช้าวันรุ่งขึ้นอบเชยนอนหลับอยู่บนม้านั่งดูทุลักทุเล ไกรมายืนดูอบเชยหลับอบเชยละเมออกมา
“ไม้ ไม้ อย่าเป็นอะไรนะ”
ไกรมองดูอบเชยยิ้มๆ แล้วเวทนาตัวเอง เขาเอาเสื้อคลุมของตัวเองห่มให้อบเชยแล้วมองอบเชยอย่างเวทนา
ส่วนที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้อง สภาพทิวาเหมือนว่าไม่ได้หลับได้นอน ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“พี่ทิวา วันนี้พ่อจะไปหาเสียง ไปมั้ย”
“พ่อให้มาชวนเหรอ” ทิวาถามอย่างดีใจ
“ก็...ราตรีเห็นว่าพี่อยู่ว่างๆ”
“งั้นก็แปลว่าพ่อไม่ได้ให้มาชวน”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า พ่อลงสมัคร สจ. กำลังต้องการกำลังใจนะ ไม่เห็นต้องคิดมากเลยแค่ไปทำหน้าที่ลูก”
“พี่จะไปหรือไม่ไป พ่อไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก”
“โธ่เอ๊ย ขี้น้อยใจเป็นผู้หญิง ที่พ่อว่าพี่ทิวาเมื่อวานคงเพราะไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในบ้านตอนที่แกสมัคร สจ.ละมั้ง”
“เธอรู้เรื่องไม้ตะพดบ้างมั้ย”
“คืออะไร”
“มันคือไม้วิเศษ”
“ไร้สาระ”
“แต่พ่ออยากได้มัน ถ้าพี่หามันมาให้พ่อได้พ่อคงดีใจ แล้วรักพี่มากกว่านี้”
“ตามใจ ถ้าคิดว่าการตามหาสิ่งที่ไม่รู้มีตัวตนรึเปล่า ดีกว่าการช่วยพ่อหาเสียง”
ราตรีเดินออกไป ทิ้งทิวาอยู่คนเดียว
ที่โรงพยาบาลอบเชยเช็ดตัวให้ไม้อย่างอ่อนโยน ไม้ละเมอออกมา
“แพรวา คุณ...”
อบเชยกล้ำกลืนเช็ดตัวให้ไม้ แล้วเดินออกไป
อบเชยเดินเข้ามาในห้องน้ำมองหน้าตัวเองในกระจก พยายามทำท่าทางเรียบร้อย นิ่งๆ เหมือนแพรวา ทำหน้าทำตาเลียนแบบอยู่หน้ากระจกแล้วเธอก็ท้อใจ
“ทำไมชั้นไม่เกิดมาพร้อมแบบนั้นบ้าง”
อบเชยบ่นกับตัวเองอย่างเหงาๆ ไกรยืนแอบดูเธออยู่ ไกรยิ้มปลอบใจตัวเองเช่นกัน อบเชยซักผ้าเช็ดตัวเสร็จเดินออกจากห้องน้ำเห็นไกรพอดี
“มาเยี่ยมไม้แต่เช้าเลยนะ”
อบเชยเดินคุยมากับไกร
“ใครว่าผมมาเยี่ยมไม้ ผมมาเยี่ยมคุณต่างหาก”
“ชั้นไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”
“ดูสภาพตัวเองหน่อยเถอะ นี่ตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ได้ไปไหนเลยใช่มั้ย”
“นี่ชั้นดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย”
“ก่อนจะห่วงคนอื่น น่าจะเริ่มห่วงตัวเองซะก่อน”
“ห่วงตัวเองไป ชั้นก็สวยไปไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
“ใครบอกล่ะ เธอน่ะเวลาร่าเริงสดใสออกจะสวย”
“จริงเหรอ” อบเชยเขิน
“ผมคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อโกหกคุณ”
“ชั้นดีใจจริงๆ ขอบคุณนะ แต่ชั้นคงจะดีใจยิ่งกว่าถ้าหากคุณยอมสอนท่ากรงเล็บพยัคฆ์ให้กับไม้”
“คือ...”
“ไม้คงดีใจมากถ้าคุณสอน และไม้อาจจะไม่ต้องโดนรังแกแบบนี้อีก” ไกรลำบากใจ “ถือว่าชั้นขอร้องละนะ จะให้ชั้นคุกเข่าอ้อนวอนก็ได้”
“มีอะไรในโลกนี้บ้างที่เธอไม่ยอมทำเพื่อไม้”
ไกรลำบากใจและเสียใจกับคำขอร้องของอบเชย
ไกรกับอบเชยเดินกลับมาหาที่ห้องผู้ป่วย เห็นแพรวาถือดอกไม้ยืนอยู่ด้านหน้าอบเชยปรี่เข้าไปโวยวายทันที
“เธอมาทำไม”
“มาเยี่ยมไม้”
“พวกเธอทำให้ไม้เป็นแบบนี้แท้ๆ ยังมีหน้ามาเยี่ยมอีกเหรอ”
“ชั้นเสียใจ”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ มารยาต่อหน้าชั้นหรอก”
แพรวามองไกรที่มากับอบเชย
“ชั้นไม่เกี่ยวด้วยจริงๆ นะ พ่อเองก็เสียใจ”
“พ่อเธอก็น่าจะเสียใจอยู่หรอก เพราะนี่มันช่วงหาเสียงนี่นะคงกลัวแทบแย่ว่าจะเสียคะแนนนิยม”
“พอเถอะอบเชย... ผมว่าคุณเองก็กลับไปก่อนดีกว่า” ไกรบอกแพรวา
“ถ้างั้น ชั้นฝากดอกไม้ไว้ให้ไม้ด้วยละกัน” แพรวาจะยื่นดอกไม้ให้ไกร จังหวะนั้นไม้เปิดประตูออกมาพอดี
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ” ไม้ถามด้วยหน้าตาที่ยังมึนๆ
“ไม้ ฟื้นแล้วเหรอ” อบเชยถามอย่างดีใจ แต่ไม้ไม่ได้สนใจเพราะเห็นแพรวา
“อ้าวคุณ...มานานรึยัง”
อบเชยมองไม้อย่างน้อยใจ
ไม้กลับมานอนบนเตียงโดยมีแพรวายืนอยู่ข้างๆ
“ชั้นต้องขอโทษแทนพี่ทิวาด้วยนะไม้ พี่ทิวาเป็นคนใจร้อน ไม่คิดหน้าคิดหลัง”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง นอนโรงพยาบาลแบบนี้ ยังบอกไม่เป็นอะไรอีกนี่อึดหรือโง่กันแน่” อบเชยต่อว่า
แพรวา
“นี่อบเชย มีมารยาทหน่อย”
“นี่ชั้นไม่มีมารยาทตรงไหน ชั้นนี่เป็นคนนอนเฝ้าไข้เธอทั้งคืนส่วนบ้านนางนี่เป็นคนทำร้ายเธอ มันแค่ถือดอกไม้มาเยี่ยมแค่นี้ ชั้นกลายเป็นคนไม่มีมารยาทไปเลยเหรอ ดีจะได้จำไว้”
อบเชยไม่พอใจเดินออกไป
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนเถอะแพรวา เดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่” ไกรบอก
“ค่ะ...ชั้นขอโทษจริงๆ นะที่เกิดเรื่องแบบนี้”
แพรวาเดินออกไป ไกรและไม้มองตาม
ทางด้านพันเทพกับราตรีขณะนั้นกำลังเดินหาเสียงแจกใบปลิวกับชาวบ้านกันอยู่
“สจ.ปีนี้ เลือกพันเทพ กาเบอร์สี่นะ”
“กาเบอร์สี่ พันเทพ นะคะ”
ชาวบ้านต่างรุมล้อมพันเทพกับราตรี พันเทพถือร่มคู่กายไว้กับตัวด้วย
อบเชยเดินมาหยุดที่ลานวัดเห็นป้ายหาเสียงของพันเทพป้ายเบ้อเริ่ม เธอเดินเข้าไปทั้งเตะ ทั้งทำหลายอย่างกับป้ายหาเสียงจนเป็นรู พันเทพกับราตรีเดินเข้ามาพอดี
“อยากทำอะไรชั้น ก็มาทำกับชั้นนี่ ไปทำกับป้ายจะได้เรื่องอะไร”
“ได้”
อบเชยเดินรี่เข้าไปหาพันเทพหวังจะทำร้าย แต่สมุนก็กรูกันมาห้ามๆ ไว้ พันเทพห้ามสมุนลงมือ
“เรามาเดิมพันกันมั้ยอบเชย ถ้าเธอชนะ เธออยากจะทำอะไรชั้นก็เชิญ แต่ถ้าชั้นชนะ เธอกับพ่อ
ต้องเลือกชั้นเป็น สจ.”
“พ่อคะ แค่สองเสียงกับการเจ็บตัวมันจะคุ้มเหรอ” ราตรีแย้ง
“ถ้าสองเสียงนี้ละก็ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม”
“เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ” อบเชยคุยกับราตรีเพราะเข้าใจว่าเป็นแพรวา
“เธอนี่สติดีรึเปล่า เจอทีไรก็ว่าชั้นอย่างโง้นอย่างงี้” ราตรีต่อว่าอเบชย
“เธอนั่นแหละบ้ารึเปล่า เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
อบเชยมองร่มพันเทพแล้วนึกถึงถึงตอนที่ศรนารายณ์เคยสู้กับพันเทพแพ้
“ชั้นตกลง”
“พูดคำไหนคำนั้นด้วยนะ อย่าคืนคำล่ะว่าจะเลือกชั้นน่ะ”
“ชั้นไม่พูดพล่อยๆ อยู่แล้ว แต่ชั้นมีข้อแม้”
“ว่ามา”
“ชั้นเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ชั้นไม่อยากให้แกถือร่มนั่นสู้กับชั้น”
“เธอกลัวอะไรกับแค่ร่มคันเดียว”
“แต่มันก็เป็นร่มคันเดียวที่ไม่เคยอยู่ห่างจากแกเลยนี่”
“ได้”
“พ่อ จะดีเหรอคะ สู้กับผู้หญิงแบบนี้ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ลูกคิดว่ามันจะยืดเยื้อขนาดนั้นเลยเหรอ อีกอย่างตรงนี้ก็ปลอดคน”
“แกอย่าดูถูกฝีมือชั้นขนาดนั้น พันเทพ”
“เธอก็เหมือนกัน”
อบเชยกับพันเทพมองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ส่วนที่โรงพยาบาลเมฆกำลังป้อนข้าวให้ไม้ที่นั่งอยู่บนเตียง
“พ่อ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรหนักขนาดนั้น กินเองก็ได้”
“อย่ามาดื้อ ดื้อทุกเรื่อง ห้ามไม่ให้เรียนมวยก็จะเรียนไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครก็มีไม่เว้นแต่ละวัน ดูตัวเองบ้างรึเปล่า”
“คนมันเดินเอาเรื่องมาให้ถึงที่ตลอด”
“แล้วไหนว่าเรียนมวยแล้วจะดีขึ้น ก็ไม่เห็นว่าจะสู้เค้าได้”
“อบเชยก็แค่สอนพื้นฐานธรรมดา แม้กระทั่งท่าไม้ตายของอาศรอบเชยยังไม่รู้เลย”
“โทษคนอื่นไปเรื่อย ฝีมือเราน่ะไม่ดี ไม่รู้จักฝึกมากกว่า”
“เดี๋ยวต่อไปนี้ผมจะฝึกให้ไม้เองครับ”
ไกรบอก เมฆกับไม้หันมองไกรพร้อมกัน
“หมายความว่า...”
“ผมจะสอนทุกอย่างที่ผมรู้ให้ไม้ รวมทั้งท่ากรงเล็บพยัคฆ์ด้วย”
“จริงเหรอ ชั้นจะได้เรียนกรงเล็บพยัคฆ์จริงเหรอ”

ไม้ดีใจออกนอกหน้า เมฆมองไกรนึกสนใจในตัวผู้ชายคนนี้
ขณะนั้นอบเชยกับพันเทพมองดูเชิงกันไปมา มีราตรีกับสมุนยืนดูแล้วอบเชยก็บุกเข้าไปด้วยความโมโหที่พันเทพทำร้ายไม้

“แกทำร้ายไม้ได้ แต่ทำร้ายคนอย่างชั้นไม่ได้หรอก”
อบเชยบุกเข้าไปต่อสู้กับพันเทพ พันเทพเก่งและคล่องแคล่วไม่แพ้อบเชย การต่อสู้ของทั้งคู่เหมือนว่ายากที่จะรู้แพ้รู้ชนะ พันเทพเพลี่ยงพล้ำให้อบเชย อบเชยไม่เกรงใจจะเอาหน้าเท้าเหยียบหน้าพันเทพแก้แค้นให้ไม้
“ชั้นจะเหยียบหน้าแก ให้แกรู้ซะมั่งว่าคนที่นอนอยู่ใต้รองเท้าเป็นยังไง”
ราตรีจะวิ่งเข้ามาช่วย
“พ่อ...”
“ราตรี ไม่ต้อง”
แต่จังหวะที่อบเชยเผลอ พันเทพก็หยิบกล่องใส่เข็มที่ใช้สำหรับฝังเข็มออกมาจากระเป๋า แล้วก็ปักเข้าไปตามจุดสำคัญของอบเชย ทำให้อบเชยขยับตัวไม่ได้ยืนนิ่งราวกับโดนสกัดจุด พันเทพลุกขึ้นมาหัวเราะ
“ชั้นบอกแล้วว่าเธออย่าประมาทฝีมือชั้น เธอคงงงสินะว่าทำไมเธอยืนค้างอยู่แบบนี้ ก็เพราะชั้นฝังเข็มในจุดต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเคลื่อนไหว”
“เหมือนการจี้จุดในหนังจีนน่ะเหรอคะพ่อ” ราตรีถาม
“จะว่ายังงั้นก็ได้ แต่มันแค่ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างลำบากก็เท่านั้นแหละ” อบเชยอยากจะด่าพันเทพแต่ก็พูดไม่ได้ “ชั้นหวังว่าชั้นคงไม่ได้ทำผิดกติกาใช่มั้ย ทีนี้ก็อย่าลืมเธอสองคนพ่อลูกต้องเลือกชั้นเป็น สจ. อย่าผิดคำพูดล่ะ”
ราตรีหัวเราะอย่างสะใจ
“สมน้ำหน้า ปากดีนัก”
“เราไปหาเสียงกันต่อเถอะลูก”
“จะปล่อยนางนี่ไว้กลางลานแบบนี้เลยเหรอคะ หนูว่าถ้าทำแบบนี้ เดี๋ยวคนก็มาเจอง่ายๆ มันจะไม่สนุก เอามันไปเก็บไว้ในที่มิดชิด ให้มันหาทางออกมาเองดีกว่า”
“ก็แล้วแต่ลูกก็แล้วกัน”
“พวกแกไปหาที่ลับๆ ในวัดนี่ เอานางนี่ไปซ่อนไว้ไป อย่าให้ใครหาเจอง่ายๆ” ราตรีหันไปสั่งสมุน อบเชยเจ็บใจ แต่ตัวแข็งทำอะไรไม่ได้ “เดี๋ยวพ่อสอนหนูบ้างสิคะ ไอ้การฝังเข็มแบบนี้น่ะ”
“ได้ แต่รอให้งานวันเกิดพ่อที่กำลังจะจัดนี่ผ่านไปก่อนนะ”
“ได้ค่ะ”
พันเทพกับราตรีเดินออกไป สมุนมายกอบเชยที่ตัวแข็งไปจากลานวัด
สมุนมองซ้ายมองขวาเปิดประตูห้องเก็บของวัดแล้วยกอบเชยไปเก็บไว้ข้างใน
“จะออกมาได้ก็คงต้องมีผีมาช่วยแล้วล่ะ”
สมุนปิดประตูห้องเก็บของแล้วเดินออกไป อบเชยเหลือบตามองซ้ายมองขวาดูวังเวงและรก หยากไย่ขึ้นเต็มไปหมด มีหนูวิ่งไปมา ยากที่ใครจะเข้ามาบ่อยๆ
ขณะนั้นจันทร์ถือหนังสือเล่มใหญ่เดินมาหาหลวงพ่อที่กุฎิ
“โยมมีอะไร”
“ผมเพิ่งมาจากห้องสมุดของวัดน่ะครับ”
“แล้วไง”
“ผมไปค้นหนังสือเกี่ยวกับไม้ที่มีกลิ่นหอมมา แล้วทีนี้เค้าบอกว่าไม้จันทน์น่ะ วัดมักจะใช้ในการประกอบพิธีสำคัญหรือทำผอบเก็บของศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ผมก็เลยจะมาถามหลวงพ่อว่าที่วัดนี้มันมีอะไรที่ทำจากไม้จันทร์บ้างมั้ยครับ”
“ไม้จันทน์เหรอ อาตมาไม่ค่อยแน่ใจแต่ที่อาตมาเห็นเค้าก็ไม่ใช้กันแล้วนะ พวกของศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นก็ไม่เคยเห็นมี ส่วนใหญ่ในยุคก่อนๆ น่ะ เค้าถึงจะใช้ โยมสนใจอะไรกับไม้จันทน์ล่ะ”
“อยากลองดมกลิ่นดูน่ะครับ พอดีว่าผมไปได้กลิ่นไม้หอมมาชนิดนึง มันหอมยวนใจจริงๆ ผมเลยอยากรู้ว่าเป็นไม้อะไร เพราะไม้หอมก็มีตั้งหลายชนิด”
จันทร์นึกถึงร่มพันเทพ ที่ไม้มีกลิ่นหอม
“อืม อาตมาไม่แน่ใจหรอกนะ อาจต้องไปรื้อดูในห้องเก็บของของวัด ซึ่งก็ไม่แน่ใจอีกว่าจะมีมั้ย”
“ไม่ลองไม่รู้ ไปดูกันเถอะครับ”
“แต่นี่ก็จะได้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว อาตมาว่าวันหลังโยมค่อยมาเถอะ”
“อ้าว”
“ไม่ต้องอ้าวหรอก บอกวันหลังก็วันหลัง”
จันทร์ทำหน้าเซ็ง กราบลาหลวงพ่อออกจากกุฏิ
ที่ห้องเก็บของของวัดอบเชยพยายามจะขยับตัวแต่ก็ขยับได้น้อยมาก ยากลำบากเหลือเกิน ทั้งหนูทั้งแมลงสาบวิ่งผ่านเท้าเธออย่างไม่เกรงใจ อบเชยเหลือบไปเห็นรูปสมัยเก่าของพระหลายรูปซึ่งดูเก่ามาก รู้เลยว่ามรณภาพไปหมดแล้ว อบเชยกลัวจนน้ำตาไหล
จันทร์ถือหนังสือกำลังจะกลับบ้านแล้วเกิดลังเล
“แค่ห้องเก็บของ ไปหาเองก็ได้นี่ แต่นี่ก็เย็นแล้วนะ เดี๋ยวจะหมดเวลาเยี่ยมไม้พอดี”
จันทร์ลังเล
ส่วนไกรเมื่อกลับมาบ้านก็เจอแพรวายืนรออยู่หน้าบ้าน ไกรจอดรถแล้วลงจากรถมาหาแพรวา
“มาทำอะไรที่นี่”
“ชั้นมารอเจอน่ะค่ะ”
“ถ้าไม่จำเป็นอย่ามาที่นี่ ผมไม่อยากมีปัญหา”
“ชั้นแค่จะมาบอกว่า ชั้นอ่านจดหมายแล้วนะคะ”
“จดหมายอะไร” ไกรทำหน้าแปลกใจ
“จดหมายที่คุณเขียนถึงชั้น”
“ห๊า?”
“ชั้นจะไม่พูดอะไรมาก เอาเป็นว่า...” แพรวาหยิบจดหมายยื่นให้ไกร “นี่เป็นคำตอบค่ะ”
แพรวาเขิน ขึ้นรถแล้วขับออกไปไกรยืนงง
ที่วัดเสียงพระทำวัดเย็นดังแว่วมา อบเชยได้ยินเสียงก๊อกแก๊กเหมือนคนอยู่ตรงนั้นทีตรงนี้ที
อบเชยกลัวตัวสั่นพยายามจะขยับตัวเอาตัวรอด ขณะนั้นจันทร์เดินอยู่ตามอาคารในวัด
“เอาเป็นว่าถ้าผ่านห้องเก็บของ ก็แวะดู ถ้าไม่ผ่าน ก็เอาไว้วันหลังดีกว่า”
จันทร์เดินผ่านตึกต่างๆ เห็นห้องเก่าๆ เงียบๆ อยู่ห้องนึง จันทร์ยืนอยู่หน้าห้องอย่างลังเล
“เค้าจะว่าเรามาขโมยของวัดรึเปล่านะ ...ไม่หรอก ก็เราไม่ได้จะเอาอะไรไปนี่”
จันทร์ตัดสินใจเปิดประตูห้องแต่ปรากฏว่าเป็นห้องเก็บโลงศพ จันทร์ถึงกับวิ่งเตลิด
ที่โรงพยาบาลขณะนั้นเมฆนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไม้ชะเง้อมองไปนอกห้อง
“รอใครอยู่รึไง” เมฆถาม
“อบเชยหายไปเลยนะพ่อ”
“ไปพูดอะไรไม่ดีกับเค้ารึเปล่าล่ะ”
“ก็...ไม่ได้พูดอะไรแรงนะ ไม่น่าจะโกรธนี่”
“นี่ อบเชยมันก็มีหัวใจนะ ไม่ใช่หุ่นยนต์ มันรู้สึกทุกอย่างที่เรารู้สึกนั่นแหละ”
“ไม่หรอกพ่อ นักเลงซะขนาดนั้น”
“ก็คิดซะอย่างงี้ วันไหนไม่มีมันแล้วจะรู้สึก”
ไม้กังวลใจเรื่องที่อบเชยหายไป
หลังจากวิ่งเตลิดมาจากห้องเก็บโลงศพ จันทร์เดินผ่านห้องอีกห้องนึง จันทร์มองซ้ายมองขวาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“จะเป็นห้องโลงศพอีกมั้ยวะ แค่คิดก็สยองแล้วดูเหมือนว่าให้หลวงพ่อมาด้วยจะปลอดภัยกว่านะ”
อบเชยได้ยินเสียงคนพูดอยู่หน้าห้อง เธอพยายามดิ้นรนขยับตัวจนทำให้พานใส่ห่อดอกไม้จันบนโต๊ะหล่นลงมาได้ ดอกไม้จันร่วงกราวอออกมาจากถุง กลิ่นฟุ้งกระจายทั่วห้อง พานส่งเสียงดังไปถึงด้านนอก จันทร์ได้ยินเสียงของตกก็สะดุ้งโหยงถอยห่างจากห้อง
“โดนแล้วไง นั่นเสียงอะไรวะนั่น” จันทร์ส่งเสียงถาม กล้าๆ กลัวๆ “มีใครอยู่ในนั้นรึเปล่า” อบเชยพยายามจะส่งเสียงตอบแต่ไม่ดังออกไป “รอมาพร้อมหลวงพ่อดีกว่า เจอผีแล้วไม่คุ้ม”
จันทร์จะเดินไปแต่กลิ่นดอกไม้จันโชยเล็ดลอดจากห้องมาแตะจมูก จันทร์ทำจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นนี่…ไม่ผิดแน่ กลิ่นไม้จากร่มพันเทพวันนั้น”
จันทร์มองที่ประตูแล้วตัดสินใจเปิดผ่างออกมา เจออบเชยยืนอยู่ จันทร์ถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย…มาทำอะไรที่นี่ ตกใจหมด” อบเชยนิ่งขยับไม่ได้ พูดไม่ได้ จันทร์ทำจมูกฟุดฟิด “หอมมากเลย นี่มันกลิ่นเดียวกับร่มของพันเทพแน่ๆ” อบเชยส่งเสียงอู้อี้ให้ช่วยก่อน “เป็นอะไร ทำไมยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา” จันทร์มองเห็นเข็มที่ปักตามตัวอบเชย “นี่เข็มอะไรเนี่ย” จันทร์ดึงเข็มออกจากบริเวณคออบเชย “เหมือนพวกเข็มสำหรับฝังเข็มของพวกหมอจีนเลย”
พอจันทร์ดึงเข็มออก อบเชยจึงสามารถพูดได้อีกครั้ง
“ดึงออกให้หมดเลย ทั้งตัวนั่นแหละ”
จันทร์ดึงเข็มส่วนไหนออก ส่วนนั้นก็กลับมาขยับได้อีก พอขยับได้ทั้งตัวอบเชยก็โผเข้ากอดจันทร์
“ขอบใจมากเลยนะจันทร์ ไม่ได้เธอชั้นต้องตายอยู่ในนี้แน่”
“แล้วทำไมไม่ออกไปล่ะ”
“ก็ไอ้พันเทพน่ะสิ มันฝังเข็มไม่ให้ชั้นขยับได้แล้วซ่อนชั้นไว้ในนี้ เจ็บใจนัก เลวที่สุด เลวทั้งพ่อทั้งลูก”
“ไอ้พันเทพมันรู้ศาสตร์จีนพวกนี้ด้วยเหรอ น่ากลัวจริงๆ”
“แล้วนี่เธอมาทำอะไรที่นี่”
“มาตามหากลิ่นหอม” จันทร์สูดลมหายใจ “หอมแบบนี้แหละ”
“กลิ่นจากดอกไม้จัน” จันทร์หยิบดอกไม้จันมาดม “นี่คงเป็นดอกไม้จันสมัยก่อนที่ใช้ในพิธีศพ ทำจากเนื้อไม้จันทน์หอมจริงๆ เพื่อให้เกียรติกับผู้ตาย”
“นี่แหละ ที่ชั้นได้กลิ่นจากร่มพันเทพมันน่ะ กลิ่นมันหอมจริงๆ เอากลับบ้านดีกว่า”
จันทร์หยิบดอกไม้จันมาหนึ่งอัน
“ร่มไม้โบราณที่ทำจากไม้จันทน์เหรอ ทำไมต้องพกร่มนั่นไปไหนมาไหนด้วย มันมีอะไรพิเศษงั้นเหรอ”
“นั่นสิ”
อบเชยและจันทร์ต่างสงสัย
พอออกจากห้องเก็บของของวัดอบเชยกับจันทร์มานั่งกินข้าวด้วยกัน อบเชยกินข้าวและกินน้ำด้วยความหิวกระหาย จันทร์ได้แต่มอง
“เธอนี่จริงๆ ก็สวยนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว...รักไม่ลงว่ะ”
“ทำไม ต้องคนอ่อนโยน กินข้าวคำเช็ดปากคำรึไง แหวะ ...สตอทั้งนั้นแหละ”
“จ้ะ แม่คนดี แต่นี่ชั้นอดสงสัยไม่ได้เรื่องร่มไม้จันทน์ของพันเทพ คนที่จะพกร่มตลอดเวลาทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน”
“หรือไม้นั่นมีคุณสมบัติอะไรพิเศษ”
“คุณสมบัติพิเศษเหรอ” จันทร์หยิบตำราเปิด “ไม้จันทน์สามารถสกัดเป็นน้ำมันหอมได้”
“จะสปาตลอดเวลาไปมั้ยน่ะ”
“ไม้จันทร์มักเอาไปทำเป็นที่เก็บสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่นพระธาตุ”
“พันเทพมันคงไม่ศรัทธาในศาสนาขนาดนั้นละมั้ง”
“เป็นไม้ในราชพิธีโบราณ เป็นไม้ประหารชีวิตพระเจ้าตากสิน”
“ชักเถลไถลใหญ่ละ”
“หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร”
“ไม้ตะพด” อบเชยคิดตาม
“ตามที่ตำราไม้ตะพดว่าไว้...”
“ว่าไม้ตะพดทำจากแก่นไม้จันทน์พันปีที่ลากข้ามฝั่งมาจากพม่า”
“จริงด้วย”
อบเชยกับจันทร์มองหน้ากัน

ที่บ้านพันเทพ ขณะนั้นพันเทพอยู่ในห้องทำงานกำลังถอดไม้ตะพดออกจากร่มและสำรวจความเรียบร้อย พันเทพควงไม้ตะพดเป็นอาวุธอย่างคล่องมือแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เสียงเคาะประตูดังขึ้นพันเทพรีบเก็บไม้ตะพด แพรวาเดินเข้ามา
“แพรวานั่นเอง”
“พ่อทำอะไรอยู่คะ”
“ก็แค่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยนั่นแหละ” แพรวาถอนหายใจ “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอลูก”
“เวลาที่พ่อชอบใคร พ่อจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงคะ”
“ใครที่ลูกหมายถึงคือใคร คงไม่ใช่ไม้หรอกนะ”
“ทำไมคะ”
“ไม่ได้ ลูกกับไม้ชอบกันไม่ได้นะ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ไม้...”
พันเทพโล่งอก
“แล้วไม้เป็นไงบ้างแล้ว”
“ก็คงดีขึ้นแล้วล่ะค่ะ หนูไม่อยากจะไปเยี่ยมบ่อยๆ เดี๋ยวจะเป็นปัญหา”
“จริงๆ ไม้กับลูกสนิทกันไว้ก็ดีนะ แต่อย่าชอบ ห้ามชอบไม้เด็ดขาดรู้มั้ย”
“ทำไมละคะ”
“ไม่ต้องถาม มันเป็นคำสั่ง”
แพรวาไม่ค่อยเข้าใจพ่อของตนนัก
ส่วนจันทร์กับอบเชยยังนั่งคุยกันต่อถึงสิ่งที่สงสัย
“เราจะพิสูจน์ได้ว่ามันเป็นไม้ตะพดจริงมั้ย ร่มก็ต้องมาอยู่กับเรา แต่เราจะทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อไอ้พันเทพมันไม่เคยห่างจากร่มเลย”
“ชั้นรู้ละ ชั้นได้ยินว่าไอ้พันเทพน่ะกำลังจะจัดงานวัดเกิดถ้าลอบเข้าบ้านมันตอนงานน่าจะง่ายที่สุด”
“แล้วจะเข้าไปยังไง มันคงเชิญเราหรอก”
“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก คราวนี้ไอ้พันเทพเสร็จชั้นแน่” อบเชยยิ้มอย่างมีแผน แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรออก “ฮัลโหล นั่นทิวารึเปล่า พรุ่งนี้ออกมาเจอชั้นได้มั้ย ชั้นเหงาไม่มีคนคุยด้วยเลย...ตามนี้นะ สวัสดีจ้ะ”
“เฮ้ย...แบบนี้เลยเหรอ”
“แบบนี้แหละ ได้ผลที่สุด”
วันต่อมาทิวาขับรถมาจอดบริเวณป้ายรถเมล์ โดยไม่แคร์ว่าจะขวางทางใคร ทิวาลงจากรถเดินไปที่ร้านดอกไม้ ทิวาเดินเลือกดอกไม้ในร้าน เขาเลือกดอกที่ถูกใจแล้วสั่งให้จัดช่อ
“จัดเป็นช่อ เอาแบบที่สวยที่สุดเลยนะ”
ทิวายิ้มอย่างมีความสุข
เมฆขับรถบขส.แวะมาจอดรถที่ป้ายรถหน้าตลาด แต่มีรถทิวาจอดขวางอยู่
“ไอ้นี่นี่ ไม่เห็นรึไงว่าเป็นป้ายรถ นิสัยเสียจริง” ชาญบอก
“งั้นเดี๋ยวค่อยมาก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกมั้งพี่เมฆ พี่ไปซื้อกับข้าวให้ไอ้ไม้เถอะเดี๋ยวข้าเฝ้ารถให้”
“เอางั้นเหรอ”
“แป๊บเดียวนี่ ไม่เป็นไรหรอก”
“ชั้นฝากด้วยนะชาญ”
“สบายมาก”
เมฆเดินหายเข้าไปในตลาด ชาญนั่งอยู่ที่รถมองเห็นรถขายก๋วยเตี๋ยวซาเล้งขี่ผ่านไป ชาญมองตามแล้วตะโกนเรียก
“ลูกพี่รอเดี๋ยว ลูกพี่ ไม่ได้ยินอีก”
ชาญตัดสินใจวิ่งตามรถก๋วยเตี๋ยวไป
ทางด้านทิวาเมื่อดอกไม้จัดเสร็จ ทิวาเดินถือช่อดอกไม้ออกจากร้าน ทิวาเดินยิ้มมีความสุขกลับมาที่รถ แต่เขาเห็นรถบขส.มาขวางทางเขาอยู่ ทิวาดูนาฬิกา
“จะถึงเวลานัดแล้วด้วย ไอ้รถเลวนี่มาจอดขวางอีก” ทิวาชะโงกดูไม่เห็นใครบนรถ “ โอ๊ย อะไรเนี่ย สันดานแย่จริงๆ อย่าให้เจอเดี๋ยวโดนแน่”
ทิวาออกไปไม่ได้เดินดูนาฬิกาอย่างกระวนกระวายใจ ซักพักนึงเมฆก็เดินถือข้าวของออกมา ทิวาเห็นอารมณ์ขึ้นทันที
“นี่แกเองเหรอ แกตั้งใจจะแกล้งชั้นใช่มั้ย ห๊า”
“เรื่องอะไรกัน”
“ก็แกจอดรถขวางทางชั้น ชั้นรีบ”
“แต่คุณมาจอดรถที่ป้ายรถบขส.นะครับ”
“เถียงเหรอ ตกลงจะไม่ยอมรับผิดใช่มั้ย” ทิวาเดินตามไล่ผลักเมฆ จนเมฆล้มลง “แกรู้มั้ยว่าเวลาของชั้นมีค่าแค่ไหนถ้าเทียบกับแก ไอ้เป๋”
“คุณบอกให้คนเลื่อนรถให้ก็ได้”
“แกแหกตาดูซิ มันมีใครอยู่มั้ย ไอ้เป๋” ทิวาบอกแล้วเหยียบเข่าอีกข้างของเมฆที่ไม่ได้เสีย “ดูซิถ้าเป๋ทั้งสองข้างแล้วจะมีหน้ามาจอดรถขวางชั้นอีกมั้ย”
“โอ๊ยยยยยย”
ทิวากระทืบเข่าของเมฆจนเมฆร้องโอดโอยดังลั่น ชาญวิ่งหน้าเหรอหรามา
“มีเรื่องอะไรกันเนี่ย”
เมฆยื่นกุญแจรถให้ชาญ
“ไปเลื่อนรถ”
“แต่พี่เมฆ”
“ไปเลื่อนรถก่อน ไปเร็ว”
ชาญเอากุญแจไปเลื่อนรถบขส. ทิวามองเมฆอย่างไม่ใยดีแล้วขับรถตัวเองออกไปทันที ชาญรีบวิ่งลงจากรถ
“รถมันเองเหรอ พี่เมฆเป็นอะไรมั้ย”
“ช่างเถอะ”
“น่าจะให้ชั้นจัดการมันก่อน เห็นมั้ยมันหนีไปจนได้เจ็บใจนัก”
“แกนั่นแหละ บอกให้เฝ้ารถ ไปไหนมา”
“แหะ แหะ” เมฆลุกขึ้นยืนไม่ได้ เจ็บขา ชาญพยุง “แย่ละทีนี้ เจ็บกันทั้งพ่อทั้งลูก ไอ้ตระกูลนี้นี่มันเลวไร้ที่ติจริงๆ”
อบเชยนั่งรอทิวาอยู่ในร้านอาหาร ทิวาเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้ให้อบเชย อบเชยรับมาเป็นพิธีไม่ได้ปลื้มนัก
“โทษทีที่มาช้า พอดีมีปัญหานิดหน่อย”
“ไม่เป็นไร”
“ที่นัดมาวันนี้ มีธุระอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
“แหม ทำเป็นรู้ดีนะ”
“ถ้าไม่มีธุระเธอคงไม่เรียกชั้นออกมาหรอก แต่ไม่เป็นไรชั้นอยากเจอเธออยู่แล้ว”
“ได้ข่าวว่าพ่อเธอกำลังจะจัดงานวันเกิด”
“ใช่”
“ท่าทางงานจะน่าสนุกนะ”
“เธออยากไปมั้ยล่ะ”
“ชั้นไปได้ด้วยเหรอ...” อบเชยแกล้งถาม
“ไปได้สิ ไปในนามแขกของชั้น”
“ขอบคุณนะ”
“แต่เธอห้ามพาใครมาด้วยนะ” อบเชยน้ำแทบพุ่งออกจากปาก “ห้ามพาใครมา ไม่ว่าจะไอ้ไม้ หรือใครทั้งนั้น เธอต้องอยู่กับชั้นคนเดียว”
อบเชยยิ้มแห้งๆ
“ได้ เอาแบบนั้นก็ได้”
ส่วนที่โรงพยาบาลชาญพยุงเมฆมาที่โรงพยาบาล ไม้นอนอยู่ที่เตียงลุกขึ้นดูพ่ออย่างตกใจ
“พ่อเป็นอะไร”
“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็โดนไอ้ทิวากระทืบมาเหมือนเอ็งนั่นแหละ”
“ไอ้ทิวาอีกแล้วเหรอ”
“พ่อลูกเป็นเหมือนกัน สบายละ นี่เดี๋ยวจองเตียงนอนข้างๆ กันไปเลย”
“มันชักจะเอาใหญ่แล้ว ทำชั้นชั้นไม่ว่า แต่ทำพ่อชั้น ชั้นไม่ยอมหรอก”
“ช่างมันเถอะ”
“คอยดูเถอะ ถ้าชั้นเรียนกรงเล็บพยัคฆ์กับคุณไกรจบเมื่อไหร่ชั้นจะไปแก้แค้น”
“เฮ้อ ..นี่ก็บอกให้นอนอยู่บ้านก็ไม่เอาจะมารับเอ็งออกจากโรงพยาบาล”
พยาบาลเดินเข้ามา
“เดี๋ยวคุณไม้มาที่ห้องจ่ายยาหมายเลขสองได้เลยนะคะ”
“ผมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ที่ไหน” เมฆถาม พยาบาลดูเอกสาร
“ของคุณไม้จ่ายแล้วนี่คะ”
“เป็นไปได้ยังไง”
“จ่ายแล้วจริงๆ ค่ะ รับยาได้เลย”
“คุณไกรแน่ๆ เลย”
ไม้ยังคิดเรื่องแก้แค้นทิวา ขณะที่เมฆนึกสงสัยว่าใครจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ชาญพาเมฆและไม้กลับมาบ้าน
“พ่อน่ะ น่าจะแวะหาหมอซักหน่อย”
“พ่อไม่เป็นไรมากหรอก”
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะ ขาเสียสองข้างแทบเดินไม่ได้บอกไม่เป็นไร”
“พ่อต้องไปขอบคุณคุณไกรด้วยตัวเอง”
“เดี๋ยวผมจัดการให้ พ่อนอนพักอยู่บ้านเถอะผมล่ะอยากจะเจอคุณไกรจะแย่ จะได้หัดท่ากรงเล็บพยัคฆ์ซะที”
“แล้วเวลาแบบนี้อบเชยมันหายไปไหนเนี่ย ปกติเห็นคอยดูแลกันไม่เคยห่าง นี่เดี้ยงทั้งพ่อทั้งลูก หายตัวเลย”

ชาญบอก ไม้แอบเคืองอบเชยอยู่ในใจ









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:11:32 น.
Counter : 371 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 4




ไกรกับไม้ออกมาประชันฝีมือกันที่สนามหน้าบ้าน ไกรยืนนิ่งส่วนไม้มีท่าทางเอาจริงจะต่อยไกรให้ได้ ทั้งคู่เริ่มสู้กันไม่ว่าไม้จะต่อยไปกี่หมัด ไกรก็รับและหลบหมัดไม้ได้หมด

“ฝีมือมวยใช้ได้เลยนี่”
“แต่ถ้าได้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายมาเสริม ผมจะไม่แพ้ใครอีก”
ไม้ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะให้ได้
“ชนะแล้วได้อะไร”
“ภูมิใจ...”
“มีเรื่องให้ภูมิใจตั้งมากมาย ทำไมต้องไปต่อยตี”
“คุณไกรไม่เคยถูกรังแกมาทั้งชีวิต ไม่รู้หรอกว่าคนที่ขี้แพ้เป็นฝ่ายโดนเหยียบอย่างเดียวเป็นยังไง”
“ก็เลยอยากเหยียบคนอื่นบ้าง”
“มันไม่ใช่ว่าเราได้เหยียบใครหรอก ความภูมิใจมันเกิดจากเราปกป้องตัวเองแล้วก็ปกป้องคนที่เรารักได้ พ่อผมน่ะขาเสียไปข้างนึงเพราะโดนกระทืบนี่แหละ”
“ไม่อยากให้พ่อเสียขาไปอีกข้าง หรือไม่อยากให้ตัวเองเสียขาไปอีกคน”
“ทั้งสองอย่าง”
ไม้เอาจริงเอาจังกับการประชันฝีมือรุกและรับกับไกรมาก แต่ไกรก็ยังรับหมัดไม้ได้ทุกหมัดหลบได้ตลอด
ส่วนที่ท่ารถบขส.จันทร์แอบหลับกลางวันอยู่ใกล้ๆ คันเกียร์ของรถคันของเมฆ จันทร์ทำจมูกฟุดฟิดดมไปทางคันเกียร์แล้วละเมอ
“หอม หอมเหลือเกิน กลิ่นไม้อะไรเนี่ย”
เมฆขึ้นมาเห็นจึงตบกบาลจันทร์ จันทร์ตื่น
“เจ๊กีจ้างมานอนรึไง”
“พ่อไม้...ก็รถมันไม่มีคันไหนเสีย”
เมฆตบกบาลจันทร์อีกที
“ก็ไปไล่เช็คสภาพรถสิ ไม่งั้นจะรู้มั้ยว่ามันเสียรึเปล่า”
“โห...”
“แล้วละเมออะไรหอม หอม ผู้หญิงรึไง”
“เปล่าหรอก พ่อไม้รู้รึเปล่าว่ามีไม้ชนิดไหนที่มีกลิ่นหอมบ้าง”
“ถามไปทำไม”
“ไม่รู้ละสิ”
“จะเอาหอมแบบไหนล่ะ มันมีต้นกฤษณา มีต้นจันทน์”
“หอมแบบ...” จันทร์ทำจมูกฟุดฟิดแล้วดมไปทางคันเกียร์ “กลิ่นคล้ายๆ จะมีอยู่จางๆ แถวนี้”
เมฆรีบกันให้จันทร์ไปไกลจากคันเกียร์
“พอเลยๆ ไปทำงานได้แล้ว ชั้นจะออกวิ่งแล้ว”
“สงสัยจมูกเราจะเพี้ยนไปเอง ยังไงก็ขอบคุณสำหรับชื่อต้นไม้นะครับ”
จันทร์เดินลงจากรถไป เมฆถอนหายใจโล่งออก
ส่วนที่ตลาดแพรวากำลังจะขึ้นรถ อบเชยก็เดินมาชนแพรวาจนเซไป
“อุ๊ย ขอโทษ ไม่เห็น”
“ไม่เป็นไรค่ะ อ้าว…เพื่อนไม้นี่”
“ทำไมเธอต้องมายืนขวางทางด้วย”
“อ้าวเหรอ ขอโทษนะ เราไม่รู้”
อบเชยผิดหวังที่แพรวาไม่ด่าตน
“ขอโทษง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ”
“เธอทำอะไรผิด”
“ก็เธอว่าเรายืนขวางทางไม่ใช่เหรอ”
“แล้วก็ยอมรับด้วย อะไรวะ”
“แล้วจะให้เราทำยังไง”
“ไม่โวยวาย ไม่ตบตีชั้นเหรอ ตบสิ ตบ ชั้นตั้งใจมากวนประสาทเธอเองล่ะ” แพรวางง
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
“แน่ะ ยังจะมาห่วงอีก เธอนี่บ้ารึเปล่าเนี่ย มีคนเคยทักมั้ยว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” แพรวาส่ายหน้า “ทำไมเป็นแบบนี้นะ ชั้นไม่ยอมแพ้เธอหรอกแอ๊บเก่งดีนักใช่มั้ย”
อบเชยไม่พอใจเดินไปขึ้นรถแพรวานั่งข้างคนขับหน้าตาเฉย แพรวางงๆ ขึ้นรถตามไป
แพรวาขึ้นมานั่งบนรถ งงกับพฤติกรรมอบเชย อบเชยกอดอกนั่งนิ่ง ท่าทางกวนประสาท
“จะไปไหน”
“เฮ้ย...ไล่สิ เธอต้องไล่ชั้นลงแล้ว จุดนี้น่ะ”
“ไม่เป็นไร เราไปส่งได้”
“อย่ามาทำมีน้ำใจหน่อยเลย เสแสร้งละสิ”
“ตามใจนะ บอกทางมาแล้วกัน”
“แน่ะ?”
อบเชยพยายามยั่วโมโหแพรวาสุดๆ
ที่สนามหน้าบ้านเจ๊กี เวลาผ่านไปนานแล้วแต่ไม้ยังต่อยหน้าไกรไม่โดนซักหมัด ไม้เริ่มเดินสโลสเล ไม่มีแรงต่อยแล้ว
“คุณไกร นั่นใครมาน่ะ”
ไกรหันตามแต่ก็รับหมัดไม้ได้อีก
“อย่ามาใช้ไม้ตื้นๆ น่า” เสียงนาฬิกาจับเวลาหมด “หมดเวลา ตั้งแต่พรุ่งนี้เธอมาเรียนโยคะกับชั้น” ไม้ทำหน้าเซ็ง “เอาแบบนี้มั้ย ถ้าเธอมาเรียนชั้นจะจ่ายเธอเป็นคำตอบในทุกเรื่องที่เธออยากรู้ ดูมีแรงจูงใจในการเรียนเพิ่มอีก”
“ทุกเรื่องเลยเหรอ”
ไกรยิ้มรับ
ขณะนั้นที่หน้าบ้านเจ๊กี ผู้ช่วยเต็กกงกำลังแอบดูไกรอยู่
“ไอ้เด็กอีกคนนั่นใคร เมื่อไหร่จะไปซะที”
ผู้ช่วยเต็กกงแอบดูการเคลื่อนไหวของทั้งคู่บนสนามหญ้า
อีกด้านหนึ่งระหว่างนั้นแพรวาขับรถวนไปมา โดยมีอบเชยบอกทาง
“ตกลงมันทางไหนกันแน่ นี่เราผ่านแยกนี้สามครั้งแล้วนะ”
“อ้าวเหรอ”
“เธอจำทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้เหรอ”
“ชั้นป่วนเธอก็ไล่ชั้นลงสิ”
“งั้นชั้นรู้ละ” แพรวาขับรถไปอีกทาง
“นี่จะทำอะไรน่ะ จะหามุมสงบ ทำร้ายร่างกายชั้นใช่มั้ยดีเลย ชั้นจะได้มีหลักฐานว่าเธอทำ”
แพรวาไม่ตอบแต่ขับรถไปเงียบๆ
ขณะนั้นสมุนเต็กกงยืนถือรูปแพรวารออยู่ที่หน้าบ้านพันเทพ
“เต็กกงให้รูปมาผิดรึเปล่าจะมาแน่รึ ไม่เห็นจะมีคนหน้าตาแบบนี้กลับมาบ้านเลย”
แพรวาขับรถมาจอดหน้าบ้านตัวเอง
“ระหว่างที่เธอไม่รู้ว่าจะไปไหน ชั้นว่ามานั่งเล่นบ้านชั้นก่อนดีกว่า”
อบเชยมองบ้านพันเทพอย่างแปลกใจ
“นี่พามาถึงถิ่น กะไม่ปล่อยชั้นรอดกลับไปเลยใช่มั้ย แกมันร้ายมาก”
“นี่พูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“ในที่สุดก็เผยธาตุแท้”
“ธาตุแท้อะไร”
“แน่จริงมาสู้กันตัวต่อตัวสิ อย่าเอาสมุนมารุม”
อบเชยร้อนรนขึ้นมาเมื่อเห็นรั้วบ้านพันเทพ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่หน้าบ้านเจ๊กี ผู้ช่วยเต็กกงมองรูปไกรในมืออีกครั้งผ่านรั้ว เห็นไม้กับไกรยังอยู่ที่สนาม
“เอาวะ ไม่รอแล้ว”
ผู้ช่วยเต็กกงเดินไปกดกริ่ง ไม้วิ่งมาดูตามคำสั่งไกร
“สวัสดีครับ”
“เป็นใครน่ะเรา”
“ผมเป็นผู้ช่วยของคุณไกรครับ”
“ชั้นให้เวลาสิบนาที ออกไปจากบ้านไป”
“อะไรกันครับเนี่ย มีอะไร คุณเป็นใครน่ะ นัดไว้รึเปล่า”
“ชั้นก็ไม่อยากทำร้ายคนให้มากเกินคำสั่งหรอกนะ”
“เพี้ยนรึเปล่า”
ไกรเห็นสองคนคุยกันไม่ยอมจบซักทีเลยเดินมาดู
“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”
“คุณคือไกร ลูกชายเจ๊กีรึเปล่าคือผมเป็นเพื่อนเจ๊กี”
“แม่ไม่อยู่บ้านหรอกครับ ต้องไปที่ทำงาน”
“ดีเลย”
ผู้ช่วยเต็กกงเอาปืนยาสลบมายิงเข้าที่หน้าขาของไกร แล้วอีกลูกยิงมาที่ไม้
“อะไรเนี่ย”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรไกรก็ล้มลง
“คุณไกร”
ไม้ล้มลงตาม
“โทษทีวะไอ้น้องที่ต้องมาซวย ชั้นให้มีพยานรู้เห็นไม่ได้จริงๆ...เอาทั้งสองคนขึ้นรถ”
ผู้ช่วยเต็กกงหันไปสั่งสมุน สมุนเปิดประตูบ้านไปขนไม้กับไกรที่สลบออกมา
ส่วนที่หน้าบ้านพันเทพ อบเชยลงมาจากรถ แพรวาลงตามมา
“แน่จริงมาสู้กันตัวต่อตัว โดยไม่ต้องพึ่งคนของพ่อเธอชั้นว่าเธอสู้ชั้นไม่ได้หรอก”
“นี่ไปกันใหญ่แล้ว”
สมุนเต็กกงเดินเข้ามาขัดจังหวะสองคน คนหนึ่งประกบอบเชย อีกคนประกบแพรวา
“เอ่อ ขอโทษนะครับ พวกคุณคือลูกสาวพันเทพรึเปล่า”
อบเชยชี้มือไปที่แพรวา
“คนโน้น แต่ถ้ามีเรื่องอะไรจะเคลียร์ต้องต่อคิวนะ ชั้นกับนางนี่ขอจบรายการก่อน”
“แต่ชั้นรีบ โทษทีนะ”
สมุนทั้ง 2 โป๊ะยาสลบทั้งแพรวาและอบเชยพร้อมๆ กัน ทั้งคู่ดิ้นได้ซักพักก็สิ้นฤทธิ์ สมุนเต็กกงอุ้มขึ้นรถตู้
ไม้ ไกร อบเชย แพรวาถูกพามาที่โกดังร้างทั้งสี่คนยังนอนสลบอยู่กับพ้น เต็กกงตบหัวผู้ช่วยและสมุนอย่างแรง ทั้งหมดก้มหน้ารับผิด
“บอกให้พามา 2 ดันพามา 4 อีก 2 คนนี่ลูกใครก็ไม่รู้ พวกเอ็งนี่มันสมองเต่าจริงๆ”
“พวกมันอยู่ด้วยกันครับ ไม่รู้จะแยกยังไง”
“กลัวชั้นไม่มีเรื่องให้รับผิดชอบใช่มั้ยเนี่ย”
ผู้ช่วยกับสมุนก้มหน้ารับผิด
“เอาไงต่อดีครับ”
“เอาลูกพันเทพกับลูกเจ๊กีแยกกันไว้ ส่วนอีกสองคน เอาไปไว้อีกห้องนึง”
“ครับนาย”
เต็กกงยืนไม่พอใจในผลงานลูกน้องนัก
“เอ๊าไม่ได้ยินรึไง ขนไปสิ”
ผู้ช่วยเต็กกงบอก สมุนเข้ามานำไม้กับอบเชยแยกไปขังอีกห้อง
ไม้กับอบเชยถูกมัดมือไพล่หลัง มัดเท้าทั้งคู่ด้วยกัน ผู้ช่วยเต็กกงยืนดูและออกคำสั่ง
“เดี๋ยวจับตาคอยดูพวกมันไว้นะ”
สมุนพยักหน้ารับทราบ
ส่วนอีกห้องไกรกับแพรวาถูกมัดมือมัดเท้าเหมือนกัน ทั้งคู่ยังไม่ได้สติ ผู้ช่วยเต็กกงยืนออกคำสั่งอีก
“อีคู่นี้เฝ้าไว้ให้ดีเลย ตัวสำคัญเลย”
สมุนพยักหน้ารับ
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นพันเทพออกมายืนดูรถแพรวาที่จอดทิ้งไว้ ประตูทั้งสองข้างเปิด พันเทพมองอย่างกังวล
“มันต้องมีใครลักพาแพรวาไปแน่ๆ” พันเทพเดินไปตบสมุนเรียงตัว “ชั้นบอกแล้วใช่มั้ยว่าถ้าลูกชั้นไปไหนให้คอยประกบนี่ปล่อยให้แพรวาออกไปคนเดียวได้ไง”
“คุณแพรวาบอกออกไปแป๊บเดียวครับ”
“โง่...เดี๋ยวก็ปลดออกหมดนี่หรอก ฮึ่ย...ใครทำกันวะ”
ทางด้านเจ๊กี ขณะนั้นเธอยืนกังวลใจอยู่ในบ้าน เมฆมาถึงเจ๊กีรีบถาม
“ตกลงลูกลื้อกลับบ้านรึยัง”
“ยังครับ”
“อาไกรก็เหมือนกัน ตอนอั๊วกลับมาถึงบ้านนะ ประตูรั้วเปิดไว้ด้วย”
“หรือว่าไอ้พันเทพ”
“อั๊วว่าไม่หรอก ไอ้พันเทพน่ะมันไม่ลอบกัด ถ้ามันจะเล่นงานเรามันก็ทำอย่างที่เห็นๆ กัน”
“แล้วเจ๊มีศัตรูที่ไหนอีกมั้ย”
“ไม่มีนะ”
“ไม่มีเลยเหรอ คนที่ล่าสุดเพิ่งเถียงหรือเพิ่งมีเรื่องกัน”
“ถ้าอย่างงั้น...มีเต็กกง”
“เต็กกงเหรอ”
ที่โกดังร้างขณะนั้นอบเชยเริ่มรู้สึกตัว อบเชยยังเบลอๆ หันไปเห็นไม้
“ไม้ ไม้”
ไม้ค่อยๆ รู้สึกตัว
“เรามาที่นี่ได้ยังไง”
ไม้ถามอบเชยอย่างแปลกใจ
“นั่นสิ พวกไหนกันน่ะ ไอ้พันเทพเหรอ”
“แล้วคุณไกรล่ะ ก่อนหน้าที่ชั้นอยู่กับคุณไกร”
“จะรู้มั้ยล่ะ ชั้นยังเอาตัวเองไม่รอดเลย”
อีกห้องไกรค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น เห็นแพรวานอนอยู่ข้างๆ ไกรปลุก แพรวาเห็นหน้าไกรก็สะดุ้ง
“คุณเป็นใครน่ะ”
“นี่ ดูสภาพผมซะก่อน ผมก็โดนจับมาพร้อมๆ กับคุณนั่นแหละ”
“จับเรามาทำไม”
“อย่าเที่ยวตั้งคำถามได้มั้ย ผมก็งงพอๆ กับคุณ” แพรวาเงียบมองซ้ายมองขวา “เราต้องหาทางออกไปจากที่นี่”
ไกรบอกยังไม่ทันขาดคำ เต็กกงก็เดินเข้ามา
“เป็นไง ฟื้นแล้วหรอ”
“แกเป็นใคร ต้องการอะไรจากพวกเรา”
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกน่า ชั้นไม่เอาพวกแกถึงตายหรอกน่าแค่ให้พ่อกับแม่แกรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวกับชั้นแบบไหน”
“ผมว่าปล่อยผู้หญิงไปเถอะ”
ไกรบอก แพรวามองไกรอย่างประทับใจ เต็กกงหัวเราะ
“อยากรู้จริงๆ คำพูดนี้ถ้าแม่แกมาได้ยินจะรู้สึกยังไงเพราะคนที่แกบอกให้ปล่อยนะคือลูกสาวไอ้พันเทพศัตรูของแม่แกไง” ไกรหันไปมองแพรวาอย่างคิดไม่ถึง “เป็นไง ทีนี้ยังจะบอกให้ปล่อยตัวมันอีกมั้ยล่ะ”
ไกรเริ่มอึกอัก
อีกห้องที่ขังไม้กับอบเชยขณะนั้นทั้งคู่เริ่มมองหาทางหนีทีไล่
“นี่ จับเรามาขังแบบนี้ทำไม เราไปทำอะไรให้”
อบเชยถามแต่สมุนเต็กกงนิ่งไม่ตอบ
“ไม่พูดไม่จาเลยนะ ท่าจะต่อรองยาก” ไม้บอกกับอบเชย
“เดี๋ยวดูชั้น” อบเชยทำท่ากระสับกระส่าย “นี่ ชั้นปวดฉี่จะราดอยู่แล้วพาชั้นไปฉี่หน่อยได้มั้ย”
สมุนเต็กกงเริ่มอึกอักมองหน้ากัน
“ก็ฉี่ไปตรงนั้นแหละ”
“นี่ลูกพี่ ไม่เห็นใจลูกผู้หญิงบ้างเลยเหรอจะให้ชั้นฉี่ต่อหน้าผู้ชายตรงนี้ได้ยังไง” สมุนเต็กกงเริ่มมองหน้ากันลังเล “นี่ พี่ไม่ต้องกลัวชั้นจะแอบหนีหรอกน่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างชั้นจะไปสู้อะไรพี่สองคนได้ นี่ชั้นแทบจะกลั้นไม่ไหวแล้วเนี่ยเร็วสิพี่”
“เออ ก็ได้ แค่ครั้งเดียวนะ ส่วนไอ้ผู้ชายน่ะ ถ้าปวดก็ราดมันตรงนี้แหละ”
อบเชยหันมายิ้มให้ไม้ สมุนเต็กกงเดินมาแกะเชือกให้อบเชยหลุดจากเสา แล้วเดินประกบอบเชยไปสองคน
“พี่สองคนใจดีจังเลย ชั้นจะไม่ลืมพระคุณเลยนะ”
อบเชยบอกแล้วใช้ฝีมือมวย ซัดสองคนนั้นซะหมอบ ไม้มองยิ้มๆ อบเชยวิ่งมาแก้มัดให้ไม้
“เธอนี่เก่งจริงๆ”
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้ นี่ถ้าไม้ไม่มีชั้นจะเป็นยังไงเนี่ย”
“ไม่ต้องมาทวงบุญคุณหรอกน่า”
“รีบหนีกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน แล้วคุณไกรล่ะ คุณไกรอาจจะโดนจับมาด้วยก็ได้”
ห้องที่ขังไกรกับแพรวา เต็กกงมองไกรและแพรวา
“คุณจะทำอะไรกันแน่”
แพรวาถาม เต็กกงเดินเข้ามาใกล้แพรวาเริ่มลูบคลำใบหน้าเธอ
“ลูกสาวไอ้พันเทพนี่มันสวยหมดจดจริงๆ แบบนี้มันน่า...”
“นี่พูดดีๆ นะ แค่ใช้วาจาทำร้ายผู้หญิงก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว” ไกรบอก
“แส่ไม่เข้าเรื่อง สงสัยต้องเริ่มเล่นงานจากลูกชายอีเจ๊กีก่อนซะดีมั้ง... เฮ้ย ลงมือ ให้แม่มันรู้ว่าชั้นไม่ใช่คนที่จะมามองข้ามหัวกันไปได้”
เต็กกงสั่งสมุน สมุนเข้ามารุมอัดไกรที่ถูกมัดอยู่ แพรวามองไกรอย่างเวทนา ขณะที่เต็กกงมองแพรวาด้วยแววตาหื่นๆ
“คราวนี้ไม่มีใครมาขัดแล้ว”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
ไม้กับอบเชยแอบเข้ามาตามเสียงจึงเห็นไกรกับแพรวา
“คุณแพรวา คุณไกร”
ไม้กับอบเชยแอบอยู่ในที่ซ่อน ไม้มองแพรวาด้วยสายตาเป็นห่วง อบเชยมองไม้อย่างหมั่นไส้ที่ไม้ห่วงแพรวา ฝั่งแพรวาก็กำลังจะโดนเต็กกงลวนลาม
“อย่าทำแบบนี้เลย อยากได้อะไรจากพ่อ ชั้นจะลองไปคุยให้”
“สวยๆ แบบนี้ มันก็ต้องฝากรอยรักกันหน่อย”
ไม้ทนดูไม่ได้ออกจากที่ซ่อนทันที
“แกอย่ามาทำแบบนี้นะไอ้เต็กกง ไอ้แก่จอมหื่น”
อบเชยที่แอบอยู่ห้ามไม้ไม่ทัน
“เฮ้ย...จะทำอะไรไม่ปรึกษาเลย”
“ไม้” แพรวาดีใจที่เห็นไม้
“เฮ้ย ใครปล่อยไอ้นี่มาวะเนี่ย”
สมุนผละจากซ้อมไกร กรูตรงไปหาไม้
“แน่จริงก็มาสู้กันซึ่งๆ หน้าซิวะ เล่นโปะยาสลบแล้วลักพาตัวมาแบบนี้ ลอบกัดชัดๆ”
“เฮ้ย สั่งสอนไอ้เด็กนี่หน่อยดิวะ จะได้รู้ว่ามันเล่นอยู่กับใคร” สมุนหลายคนเข้ารุมเล่นงานไม้ “ปากดีนัก บรรยากาศจะได้เงียบลงบ้าง”
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเจ๊กีขณะนั้นเมฆกับเจ๊กีกำลังจะขึ้นรถ ศรนารายณ์วิ่งมาพอดี
“ว่าไงพี่ศร”
“รู้มาจากที่ท่ารถว่าไม้แล้วก็ลูกเจ๊กีหายไปเหรอ”
“ใช่ เรากำลังจะไปดูที่บ้านเต็กกง”
“อบเชยก็หายไปเหมือนกัน”
ศรนารายณ์บอกแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถ เมฆกับเจ๊กีมองหน้ากันแต่เมฆก็ยังไม่ทันได้เอารถออก เพราะพันเทพกับสมุนมาขวางไว้อีก
“นี่มันอะไรกันนักหนาวะเนี่ย” เจ๊กีถามพันเทพ
“พวกแกเอาลูกสาวชั้นไปซ่อนไว้ไหน”
“นี่อาพันเทพ ตั้งแต่ลื้อกับอั๊วเป็นศัตรูกันมา ตั้งแต่ลื้อมาทำกิจการรถตู้เถื่อน วิ่งบนเส้นทางเดียวกับสัมปทานบขส.ของอั๊ว มีซักครั้งมั้ยที่อั๊วเล่นงานลื๊อกลับ มีแต่ลื้อที่เอาแต่หาเรื่องอั๊ว แล้วคิดเหรอว่าครั้งนี้อั๊วจะเป็นคนเอาลูกสาวลื้อไปน่ะ”
พันเทพคิดคล้อยตาม
“อย่ามาขวางทางเราเลยดีกว่า พวกเราทุกคน ลูกต่างก็หายไปเหมือนกัน เรากำลังจะไปตามหา อย่าให้เราเสียเวลาเลย”
“ลูกพวกแกก็หายไปงั้นเหรอ”
ศรนารายณ์ชะโงกหน้าออกจากในรถ
“ยังจะมาถามถึงลูกคนอื่นทำไมอีก หลีกทางไปเถอะ”
“แล้วพวกแกจะไปตามที่ไหน”
“บ้านเต็กกง”
“เต็กกง”
ส่วนที่โกดังร้างหลังจากไม้ทำเป็นเก่งสุดท้ายก็ลงไปนอนโอดโอยอยู่ในกองไม้ สมุนเต็กกงคนหนึ่งจะเดินไปกระทืบซ้ำอบเชยที่แอบดูอยู่ทนดูไม่ได้ รีบกระโดดออกมาช่วยไม้ โดยถีบคนที่จะกระทืบไม้กระเด็นไป
“ชั้นไม่ให้แกทำไม้ของชั้นไปมากกว่านี้อีกแล้ว”
อบเชยออกมาต่อสู้กับพวกสมุนทั้งหลายของเต็กกง ฝีมืออบเชยดีกว่าไม้
“ผู้หญิงคนเดียว ถ้าแกสู้ไม่ได้ ชั้นจะไล่พวกแกออกทั้งหมดเลย”
เต็กกงบอก ขณะที่อบเชยสู้อย่างไม่ลดละและดูท่าทางได้เปรียบเหล่าสมุนทั้งหมดของเต็กกงด้วย
ไกรมองดูอบเชยสู้ แล้วารู้สึกประทับใจ
ศรนารายณ์ เจ๊กี เมฆ มาที่บ้านเต็กกง ทั้งหมดยืนอยู่หน้าบ้านเต็กกง
“บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ กว่าจะหาเจอ”
“มีสมุนคอยเฝ้าด้วย เราจะเข้าไปได้ยังไง”
“เรื่องนี้ปล่อยให้ศรนารายณ์เค้าจัดการเถอะครับ”
ศรนารายณ์พยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
ทั้งหมดแอบเข้าไปในบ้านเต็กกง เจอสมุนเต็กกงวิ่งเข้ามา ศรนารายณ์เป็นคนขจัดสมุน สมุนคนอื่นได้ยินเสียงการต่อสู้จึงกรูกันเข้ามาเล่นงานศรนารายณ์ ขณะที่เมฆกับเจ๊กีแอบเข้าไปในมุมมืด
เมฆกับเจ๊กีเดินหลุดเข้ามาอีกส่วนหนึ่งของบ้าน
“ผมว่าเราแยกย้ายกันหาเถอะครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เจ๊กีกับเมฆ แยกกันไปคนละทาง

ขณะนั้นที่โกดังร้างอบเชยต่อสู้กับสมุนเต็กกงจนหอบแฮ่ก แต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สมุนเต็กกงต่างก็หอบแฮ่กเหมือนกัน
“อบเชย ไม่ต้องสู้เพื่อช่วยพวกเราแล้ว” ไกรบอก
“ถ้าชั้นไม่สู้แล้วใครจะสู้”
อบเชยบอกพร้อมกับลูกผู้ชายปรากฏตัวออกมา
“ให้ชั้นจัดการเอง”
“ลูกผู้ชาย”
“มายังไงวะเนี่ย” ลูกผู้ชายเข้าต่อสู้กับเหล่าสมุนเต็กกงที่ระโหยโรยแรงแล้ว เพียงไม่นานก็ชนะ “ชั้นไม่กลัวแกหรอก ไอ้ลูกผู้ชาย”
เต็กกงคว้าปืนล่าสัตว์ออกมาจะยิงลูกผู้ชาย ทุกคนตกใจ แต่พอลั่นไกลูกผู้ชายก็ควงไม้ตะพดกลายเป็นเกราะใสสามารถสะท้อนลูกกระสุนออกไปได้
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ขณะนั้นพันเทพพาสมุนบุกมาบ้านเต็กกง พอมาถึงทั้งหมดก็บุกเข้าไปในบ้านโดยไม่รอช้า พันเทพเดินหาทั่วบ้าน ไม่เจอแพรวาแต่อย่างใด
“นี่ก็หาทั่วบ้านแล้ว”
สมุนเดินไปหลังบ้านมีประตูเล็กออกไป
“เจ้านายครับ ทางนี้มีทางออกไปด้านนอกด้วยครับ”
พันเทพเดินออกไปตามทางนั้น แล้วก็เห็นโกดังใหญ่มีแสงไฟที่ปลายทาง
“ต้องเป็นที่นั่นแน่ๆ”
ที่โกดังร้างขณะนั้นเต็กกงไม่รู้จะทำยังไง เมื่อเล่นงานลูกผู้ชายไม่ได้จึงจับตัวแพรวาแล้วเอาปืนจ่อ
“เอาซิ ชั้นทำแกไม่ได้ ชั้นทำอีนี่ก็ได้”
“อย่านะ อย่าทำร้ายผู้หญิงเลย ถ้าจะทำก็มาทำผู้ชายด้วยกันเถอะ”
ไม้บอก อบเชยมองไม้อย่างเจ็บใจที่ไม้ออกตัวปกป้องแพรวา
“อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย”
“ชั้นไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”
ระหว่างที่เต็กกงเอาปืนจ่อแพรวา พันเทพได้เดินเข้ามาด้านหลังและเอาปืนจ่อหัวเต็กกงอีกที
“แกปัญญาอ่อนรึเปล่า ที่คิดจะเล่นแง่กับชั้น”
พันเทพขึ้นนกปืนโดยไม่กลัวใคร เต็กกงรีบเอาปืนออกจากแพรวาทันที เต็กกงทิ้งปืนยกมือยอมแพ้
“ชั้นยอมแล้ว”
“แกก็รู้ว่าชั้นเป็นใคร”
“พ่อ อย่าเลยค่ะ หนูขอร้อง” แพรวาบอก
“ชั้นกำลังจะลงเลือกตั้ง ไม่อยากให้มือเปื้อนเลือด” พันเทพบอก
“ปล่อยอั๊วะไป แล้ว...แล้วอั๊วจะเป็นหัวคะแนนให้ลื้อ ดีมั้ย”
“จำคำพูดเอาไว้นะ” พันเทพยอมปล่อยเต็กกง เต็กกงรีบออกไป “เป็นไปได้ยังไงเนี่ย วันนี้ลูกผู้ชายเป็นคนมาอยู่ข้างชั้นเรอะ หึ หึ” พันเทพหันมาทางลูกผู้ชาย
“ชั้นอยู่ข้างความถูกต้องต่างหาก”
“แก้มัดให้ลูกชั้นสิ ยืนทื่อทำไม”
พันเทพหันไปบอกสมุน ไม้วิ่งเข้าไปแก้มัดให้แพรวา พันเทพงงที่ไม้ทำแบบนั้น สมุนพันเทพจะเดินไปแก้เชือกให้ไกร พันเทพตบกบาล
“แกจะไปแก้ให้มันทำไม มันเป็นลูกชั้นรึไง”
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” ไม้ถามแพรวาอย่างเป็นห่วง
“ขอบใจนะ” แพรวาบอกแล้วเหลือบตามองไกรอย่างห่วงๆ
พันเทพมองไม้ที่มาแก้เชือกให้แพรวา ไม่อยากพูดมาก
“กลับได้แล้วแพรวา”
พันเทพพาแพรวาออกไป ไม้ยืนมองแพรวาห่วงๆ อบเชยเดินมาแก้มัดให้ไกรแล้วแอบมองไม้อย่างน้อยใจ ไกรสังเกตเห็น
“แก้มัดให้ชั้นก็มองที่ชั้นนี่” ไกรบอก อบเชยจึงก้มหน้าก้มตาแก้มัดให้ไกรจนเสร็จ “ขอบคุณที่ยอมเจ็บตัวเพื่อผม”
“ชั้นไม่ได้เจ็บตัวเพื่อคุณหรอก ไม่ต้องขอบคุณ”
ไม้หันมามองหาลูกผู้ชาย แต่ลูกผู้ชายหายไปแล้ว
ลูกผู้ชายกำลังจะรีบออกไปแต่พันเทพมาดักไว้
“จะรีบไปไหนล่ะลูกผู้ชาย”
“แกต้องการอะไร”
“เปิดโปงความลับของแกดี หรือเอาของที่แกรักมาดีนะ”
“แกนี่มัน...ไม่รู้จักคำว่าบุญคุณจริงๆ”
พันเทพเข้าบุกหาลูกผู้ชาย ทั้งคู่สู้กันอย่างมีชั้นเชิง ไม้ก็ทะเล่อทะล่าเข้ามา
“นั่นแกจะทำอะไรลูกผู้ชายน่ะ”
ลูกผู้ชายห่วงไม้กลัวจะโดนลูกหลง จึงเสียสมาธิและพลาดท่าให้กับพันเทพ ไม้ตะพดกระเด็นหลุดมือไปลูกผู้ชายกระโดดทิ้งตัวเพื่อคว้าอาวุธให้ได้ก่อนที่พันเทพจะแย่งไป พันเทพก็ทิ้งตัวเพื่อจะเอาไม้ตะพด แต่เพราะพื้นที่ลาดทำให้ไม้ตำพกลิ้งห่างออกไป ทั้งคู่คลุกกับพื้นสู้กั ไม้ตะพดกลิ้งอยู่ที่เท้าไม้ ลูกผู้ชายถูกพันเทพจับล็อคคอไว้ได้ จะถอดหน้ากาก ไม้หยิบไม้ตะพดขึ้นมาเขารู้สึกได้ถึงพลังวิเศษของมัน
“เธออยากรู้มั้ยล่ะไม้ ว่าลูกผู้ชายเป็นใคร”
“อย่านะ”
พันเทพทำท่าจะเปิดหน้ากาก ไม้ยืนนิ่งใจก็อยากช่วยแต่ก็อยากรู้ด้วย แต่แล้วพันเทพก็ไม่เปิดผลักลูกผู้ชายออกไป ลูกผู้ชายรีบคว้าไม้ตะพดมาจากมือไม้ ตั้งท่าพร้อมสู้ พันเทพหัวเราะสะใจ
“ตกใจละสิ ล้อเล่นนิดหน่อยทำกลัวไปได้ ที่นี้เราก็หายกันละนะกับการที่แกช่วยลูกสาวชั้นไว้ ชั้นไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
พันเทพเดินหัวเราะจากไปอย่างมีความสุข ลูกผู้ชายมองไม้ต่างไม่พูดอะไรกัน ลูกผู้ชายหนีหายไปในความมืดขณะที่ไม้ยังยืนนิ่งด้วยความสับสน
พันเทพพาแพรวามาที่รถ แพรวามองเข้าไปด้านในแอบห่วงไกร
“ขึ้นรถสิลูก”
“พวกนั้นเค้าจะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ”
“ไอ้เต็กกงมันไม่กล้ากลับมาทำอะไรตอนนี้หรอก”
“ขอให้มันเป็นแบบนั้น”
“โดนมันทำอะไรรึเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ”
“ลูกรู้จักกับไม้ด้วยเหรอ”
“ไม้เคยมาช่วยตอนรถเสียน่ะค่ะ”

พันเทพพยักหน้ารับรู้ ในใจวางแผนอะไรบางอย่าง
หลังจากพันเทพไปแล้ว ศรนารายณ์เดินงงๆ เข้ามาในโกดัง

“พ่อมาแล้ว เป็นไงบ้าง”
ศรนารายณ์บอก อบเชยมองพ่อยิ้มๆ
“อาศรมาหลังจากลูกผู้ชายอีกแล้ว” ไม้บอก ศรนารายณ์ทำหน้าเหรอหรา งงๆ ก่อนจะพูดเฉไฉ
“แหม ของแบบนี้มันพูดยาก...พูดไม่ได้”
“กลับเถอะพ่อ”
“เดี๋ยวสิ แล้วเจ๊กีกับเมฆยังมาไม่ถึงอีกเหรอ หรือหาทางมาที่นี่ไม่ได้นะ”
เมฆพาเจ๊กีเดินเข้ามา เจ๊กีวิ่งโร่ไปหาไกร
“ตายแล้วลื้อทำไมสภาพเป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกม้า”
“เจอเจ๊กีแกหลงอยู่ระหว่างทาง พอแยกกันแกก็หาทางมาที่นี่ไม่ได้”
“ทำไมเราถึงไม่เจอนะ จะได้ฉวยโอกาสนี้ทำคะแนนซะเลย” ศรนารายณ์อยากเอาใจเจ๊กี จึงวิ่งไปหาไกร “ไกรเป็นไงบ้างลูก”
“แน่ใจนะว่าอาศรแกหายดีแล้วน่ะ” ไม้ถาม
“ไม้ เป็นไงบ้างลูก” เมฆถามไม้อย่างเป็นห่วง
“ยังไหวอยู่พ่อ”
“แล้วเป็นไรน่ะเรา ทำไมหน้าเง้าแบบนั้น” เมฆหันไปถามอบเชย
“หนูไปรอข้างนอกนะพ่อ”
อบเชยเดินออกไปโดยไม่มองหน้าใคร ไกรมองตามอย่างสนใจ
“ตามไปดูอบเชยหน่อยไป เดี๋ยวมีอันตรายอะไรอีก” เมฆบอกไม้
“อบเชยดูแลตัวเองได้น่ะพ่อ”
“คนดูแลตัวเองได้ คงไม่ถูกจับมาแบบนี้หรอก ไป”
ไม้ยอมตามอบเชยไป ไกรมองตาม
อบเชยเดินหน้าบูดออกมาแล้วเตะกระป๋องที่วางบนพื้นจนปลิว ไม้ตามมา
“เป็นอะไร”
“ตามมาทำไม”
“พ่อให้ตามมาดู”
อบเชยเข้าทุบไม้ด้วยความโมโห
“พ่อให้มาดูเหรอ เคยคิดเป็นห่วงชั้นแล้วตามมาดูเองบ้างมั้ย”
“ก็เธอดูแลตัวเองได้”
“แล้วคิดว่าชั้นไม่อยากให้คนมาดูแลบ้างรึไง เอาแต่ห่วงคนอื่นไม่เคยห่วงตัวเอง ทำตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาว แล้วเป็นไงก็ต้องเป็นชั้นที่ไปช่วยเธออีกที ดูแลตัวเองไม่ได้ก็ไม่ต้องทำเท่จะไปดูแลคนอื่น ชั้นไม่ได้อยากช่วยลูกไอ้พันเทพนั่นซักหน่อย”
“ใครให้เธอมาคอยช่วยชั้น ชั้นเคยขอร้องเธอรึไงเธอคิดว่าชั้นรู้สึกดีที่มีผู้หญิงมาปกป้องเหรอ ดี ต่อไปนี้ต่อให้ชั้นจะแพ้ จะตาย เธอก็ไม่ต้องมายุ่ง ชั้นไม่อยากได้ยินใครมาคอยทวงบุญคุณหรอก”
ไม้โกรธเดินจากไป
“เออ อยากทำอะไรก็ทำ อยากตายก็ตายไปเลย ชั้นจะไม่สนใจเลยคอยดู”
อบเชยเจ็บใจ โกรธตัวเอง จึงร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็ก ไกรแอบดูมาตั้งแต่ต้น
ทางด้านแพรวาเมื่อกลับมาบ้าน แพรวาก็นั่งนึกถึงไกร โดยเฉพาะตอนที่ไกรพูดปกป้องเธอไม่ให้โดนลวนลามทั้งที่รู้ว่าเธอเป็นลูกของพันเทพ
“พ่อแม่เราไม่ถูกกันแท้ๆ แต่ก็ยังช่วยปกป้อง เขาเป็นคนยังไงกันนะ”
พันเทพเปิดประตูเข้ามาในห้องแพรวาพร้อมกับกาใส่ยาจีน
“นอนไม่หลับรึไง”
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกแปลกๆ ที่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาได้”
“ลูกต้องมารับเคราะห์แทนพ่อจริงๆ”
“สุดท้ายพ่อก็ไปช่วยหนู”
“รู้มั้ยเวลาที่เราเจอเรื่องร้ายๆ มาน่ะ จะมีความเครียดสะสม”
“ค่ะ”
“พ่อเลยเอาสมุนไพรจีนมาให้ลูกดื่ม กลิ่นของมันช่วยผ่อนคลายได้”
“ไม่ได้กินสมุนไพรของพ่อมาตั้งหลายปีแล้ว ดีจังค่ะ” พันเทพยิ้ม “แพรวาขอให้พ่อสอนเกี่ยวกับตำราแพทย์จีนให้ตั้งแต่เด็กพ่อก็ไม่เห็นเคยสอนให้ซักที จนบัดนี้แพรวาก็ยังไม่รู้ต้นไหนเป็นสมุนไพรเลย”
“มันเชยไปแล้วล่ะลูก ตำราแพทย์จีนน่ะ ไปโรงพยาบาลง่ายกว่าเยอะ”
“ใครว่าล่ะ ตอนนี้คนเค้าก็นิยมไปฝังเข็มรักษาโรคกันนะคะ พ่อน่ะฝังเข็มเก่งจะตายแพรวาจำได้ตอนเด็กๆ กลัวเวลาที่พ่อฝังเข็มให้แต่ก็หายทุกที”
คืนเดียวกันนั้นที่บ้านเมฆ ไม้นั่งอยู่ที่โต๊ะมองการ์ดจากอบเชยที่วางตั้งไว้แล้วก็คว่ำมันลงไม่ให้เห็นรูปเขาที่ถ่ายคู่กับอบเชยบนการ์ด จากนั้นไม้หันไปมองผ้าพันคอที่แพรวาถักมาให้แทน
ส่วนอบเชยขณะนั้นเธอเดินเข้าบ้านมากับศรนารายณ์
“กินอะไรร้อนๆ มั้ย เดี๋ยวพ่อทำให้”
อบเชยส่ายหน้า
“นอนละ”
อบเชยทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้าๆ จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาเปียกหมอน
ที่บ้านพันเทพ แพรวาสูดกลิ่นสมุนไพรเข้าจมูกอย่างชื่นใจ เธอค่อยๆ จิบมันคนละแก้วกับพันเทพ
“พ่อ...คนที่ใครๆ เรียกว่าลูกผู้ชายคือใครกัน”
“ก็แค่คนทำตัวเป็นฮีโร่คนหนึ่ง ไม่มีอะไรมาก”
“แต่ดูเหมือนเค้าจะเก่งจริงๆ นะคะ หนูเห็นเค้าควงไม้สะท้อนลูกปืน ถ้าไม่เห็นกับตาหนูไม่มีทางเชื่อ”
“มีไม้ตะพดวิญญาณเป็นตัวช่วยก็แบบนี้”
“ไม้ตะพดอะไรนะคะพ่อ”
“จริงๆ แล้วไม้ตะพดมี 2 อัน อันหนึ่งเป็นอาวุธของลูกผู้ชาย ชื่อว่าไม้ตะพดวิญญาณ ส่วนไม้ตะพดอีกอันชื่อว่าไม้ตะพดเลือด ถ้าใครได้ไม้ตะพดทั้ง 2 ไปครอบครอง จะเกิดบางอย่าง”
“บางอย่างที่ว่าคืออะไรคะ”
“พ่อก็ยังไม่รู้ แต่พ่อเชื่อว่ามันต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดาแน่ๆ”
“มันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล่าปากต่อปาก ที่ไม่มีหลักฐานก็ได้นะคะ”
“เชื่อเถอะ มันไม่ใช่เรื่องเล่าลือกันมาแน่ ว่าแต่เราเถอะรู้จักกับเด็กที่ชื่อไม้ด้วยเหรอ”
“คุยกันแค่ไม่กี่ครั้งเองค่ะ”
“หาโอกาสไปพบเจอ ไปพูดคุยกับเค้าให้มากลูก”
“ทำไมละคะ”
“หรือถ้าลูกอยากรู้เรื่องไม้ตะพด ลองถามเค้าดูสิ เค้าอาจจะตอบคำถามลูกได้”
ทิวายืนแอบฟังมาตั้งแต่แรกนึกอิจฉาที่พันเทพยอมเล่าเรื่องไม้ตะพดกับแพรวา
“ไม้ตะพดเลือดเหรอ ทำไมพ่อไม่เคยเล่าให้เราฟังบ้าง เอาเถอะชั้นจะไปคาดคั้นเอาจากไอ้ไม้เองก็ได้”
พอออกจากห้องแพรวา พันเทพก็กลับเข้ามาที่ห้องทำงาน พันเทพหยิบกล่องโบราณกล่องหนึ่งออกมาด้านในมีหนังเสืออีกครึ่งหนึ่งที่ถูกพับเอาไว้อย่างดี พันเทพหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่าน
“เมื่อเพลา เลือด วิญญาณมาบรรจบ ถือเป็นวาระครบทุกสิ่งสรร สรรพธาตุ สรรพรส ทุกสิ่งพลัน รวมตัวกันก่อกำเนิดเทิดปฐพี...มันไม่มีทางเป็นตำนานไร้สาระแน่ๆ เพียงแต่เรายังไม่รู้เท่านั้นว่าตำราหนังเสืออีกส่วนไปอยู่ไหน ส่วนที่บอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”
วันต่อมาเสียงโอดโอยของไม้ที่ระบมไปทั้งตัวดังขึ้นในตอนเช้า ไม้ลุกขึ้นนั่งแต่ก็ทรุดลงไปนอนอีก เมฆเข้ามายืนดูลูกตัวเอง
“วันที่สองก็ระบมแบบนี้แหละ”
“ทำไมคราวนี้มันปวดไปทั้งตัวแบบนี้”
“เมื่อคืนได้กินสมุนไพรอะไรของอบเชยมันรึเปล่าล่ะ เห็นปกติเวลาน่วมทีไร อบเชยมันจะมาต้มสมุนไพรให้กินไม่ใช่รึไง”
“นั่นสิ ถึงว่าคราวนี้แย่มาก”
“เอาไง ให้พ่อไปหาอบเชยให้เอามั้ย”
“ไม่ต้อง”
“งั้นก็ไปโรงพยาบาล เอายาหมอมากิน” ไม้ขยับตัว แล้วก็ร้องอีก “นี่แหละน้า…อยากจะเป็นนักสู้ดีนัก นับวันยิ่งมีแต่ศัตรู”
“ศัตรูนี่แหละจะทำให้เราเก่งจนได้”
เมฆมองไม้อย่างเวทนา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ไกรต้องมานอนอยู่ที่โรงพยาบาล...ไกรนอนอยู่บนเตียง เจ๊กีถือข้าวต้มจะป้อนให้
“ม้า ไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“อาหารไม่ถูกปากใช่มั้ย เดี๋ยวอั๊วให้เด็กไปซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยในตลาดมาให้”
“ไม่ต้องหรอกม้า”
“ไอ้เต็กกงมันเลวจริงๆ หมาลอบกัดชัดๆ แถมเล่นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”
“ช่างเถอะแม่ ยังไงมันก็เสียหน้าไปแล้ว กว่าจะลุกขึ้นมากล้าอีกทีก็อีกพักใหญ่”
“เดี๋ยวอั๊วต้องเข้าไปออฟฟิศซักหน่อย ลื้ออยากได้อะไรมั้ย” ไกรส่ายหน้า “เดี๋ยวอั๊วจะให้คนไปตามอาไม้มาคอยดูแลลื้อ”
“อย่าเลยม้า ไม้น่ะเมื่อคืนก็โดนไปไม่ใช่น้อย ให้เค้าได้พักเถอะ”
“แต่อั๊วไม่อยากให้ลื้ออยู่คนเดียว”
“งั้นผมขอเป็น ตามคนอื่นมาแทนก็แล้วกัน”
ไกรยิ้มมีแผนบางอย่าง
ที่บ้านศรนารายณ์ขณะนั้นอบเชยต้มสมุนไพรใส่กระติกน้ำร้อนแบบพกพาเอาไว้
“ช่างสิ เค้าจะเดือดจะร้อน จะระบมแค่ไหนก็ช่างไม่มีวันเอาไปให้หรอก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อบเชยนิ่งเงียบลุ้นว่าอาจจะเป็นไม้แต่ก็เงียบไม่มีปฏิกิริยาจากใคร แล้วศรนารายณ์ก็เดินเข้ามา
“อบเชย”
“นี่ถ้าเป็นไม้ บอกเลยนะว่ายาทิ้งไปหมดแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก”
อบเชยผิดหวัง
“คนของเจ๊กีมาบอกให้แกไปพบหน่อย”
“ชั้นเนี่ยนะ”
อบเชยงง
ไม้ยังเจ็บระบมไม่หายจนเมฆต้องพามาโรงพยาบาล
“บอกแล้วว่าไม่ต้องพามาหรอก”
“ใครจะไปรู้ ไม้อาจจะช้ำในตายก็ได้ อย่างน้อยได้ยากลับบ้านไปกินหน่อยดีกว่านอนโอดโอยอยู่อย่างนั้น”
“เฮ้อ อบเชยก็ใจดำ ที่บ้านมีสมุนไพรตั้งเยอะตั้งแยะไม่รู้จักเอามาให้”
“มันหน้าที่เค้าที่ไหน เราสิอยากได้ก็ต้องไปขอเค้าเอง”
เมฆบอก ไม้เห็นอบเชยเดินมาจึงทำหันหลังไม่สนใจ
“ในที่สุดก็อดห่วงไม่ได้ ตามมาจนได้สินะ”
ไม้คิดอยู่ในใจและทำเก็กไม่หันไปมองอบเชย อบเชยไม่เห็นไม้เดินผ่านไป ไม้นั่งรอเก้อทำเก็ก แต่อบเชยก็ไม่มาซักที ไม้หันกลับไปไม่เห็นอบเชยแล้ว
“มองหาอะไรน่ะ” เมฆถามเพราะไม่เห็นอบเชย
“เปล่า”
ไม้ยังมองหาอบเชย แต่อบเชยก็หายไปกับฝูงชน
ขณะนั้นไกรนอนอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก อบเชยเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“ชั้นมาหาเจ๊กี”
“ม้าไม่อยู่ที่นี่หรอก”
“อ้าว แล้วเจ๊กีอยู่ไหน”
“ผมเป็นคนให้คุณมาพบเอง ไม่ใช่ม้าหรอก”
“มีอะไรรึเปล่า” อบเชยทำหน้าแปลกใจ
“ผมอยากจะขอบคุณที่ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในเรื่องของผม”
“คุณขอบคุณไปแล้ว แล้วชั้นก็บอกไปแล้วด้วยว่าชั้นไม่ได้ทำเพื่อคุณ”
“แม้ผมจะเป็นแค่ผลพลอยได้ ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี”
อบเชยมองยาสมุนไพรในมือที่ถือติดมาด้วย
“นี่ยาสมุนไพร แก้ช้ำในได้ดี คุณเก็บไว้กินสิ ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ”
“ให้ผมฟรีๆ เลยเหรอ”
“เก็บไว้ก็ไม่มีใครกินอยู่ดี”
“พาผมไปเดินเล่นหน่อยสิ”
“แต่ชั้น...”
“เอาใจคนเจ็บหน่อยน่า”
อบเชยไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็ยอมพาไกรไปเดินเล่น
อบเชยเข็นรถเข็นที่ไกรนั่ง เดินเล่นในโรงพยาบาล
“คุณก็ไม่ได้เจ็บหนักขนาดที่ต้องนั่งรถเข็นซักหน่อย”
“ผมแค่อยากมีคนเอาใจ”
“ทำไมต้องเป็นชั้น”
“เพราะคุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และที่สำคัญ…น่ารัก” อบเชยเขิน “นั่นคุณกำลังเขินอยู่เหรอ”
“ไม่เคยมีใครชมชั้นแบบนั้นมาก่อน”
“แม้กระทั่งไม้เหรอ”
“อย่าว่าแต่คำชมเลย คำขอบคุณยังไม่มี”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมคุณยัง…มองแต่เขา”
อบเชยตกใจกับคำถามนี้
“คุณ”
“ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว”
อบเชยมองไกรอย่างชั่งใจก่อนจะบอกออกมาว่า
“...ตั้งแต่เด็กมา ชีวิตชั้น นอกจากพ่อแล้วก็ไม่เคยคิดถึงใครอีกนอกจากไม้”
“ผมมาเสนอทางเลือกให้คุณ...มองคนอื่นบ้าง”
“ชั้นไม่มีทางเลือกหรอก”
“ผมนี่ไง”
อบเชยตกใจที่ได้ยินไกรพูดแบบนี้ ไม้เดินผ่านมาเห็นไกรกับอบเชยพอดี ไม้อึดอัดไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง
“ตกลงจะทำแบบนี้ใช่มั้ย ได้ ชั้นก็จะไม่สนใจเธอเหมือนกัน”
พอออกจากโรงพยาบาลไม้จึงมาแอบยืนดูแพรวาอยู่หน้าบ้านพันเทพ สมุนพันเทพเดินขวักไขว่ไปมา ไม้หายถอนใจ
คืนนั้นระหว่างอยู่ที่บ้าน ไม้นั่งที่โต๊ะมองกระดาษเปล่า แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่าง แล้วยัดใส่ซองที่เขียนหน้าซองว่าแพรวา ไม้เหลือบมองผ้าพันคอบนโต๊ะ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นอบเชยกำลังนั่งเหม่อคิดถึงสิ่งที่ไกรพูด
“นี่ชั้นเป็นคนมีทางเลือกด้วยเหรอ”

วันต่อมาไม้ปริ๊นท์งานเป็นเอกสารจัดใส่แฟ้มยื่นให้ไกร ไกรหยิบไปอ่านตรวจดูพร้อมกับรินน้ำสมุนไพรจากขวดที่อบเชยให้ยกขึ้นดื่ม ไม้มองอย่างจำได้
“นั่นสมุนไพร”
“ใช่ แก้ช้ำใน ไม้จะแบ่งไปดื่มมั้ยล่ะ”
“ไม่ละครับ”
“เธอชอบลูกสาวของพันเทพเหรอ”
“คุณไกร”
“ผมสังเกตจากสายตาที่ไม้มองเค้า”
“คือ...”
“คนที่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง มันดีกว่าคนที่รู้จักมาทั้งชีวิตงั้นเหรอ”
“คือ...ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...ผมรู้สึกว่าผูกพันและอยากจะปกป้องเธอ”
“แล้วอบเชยล่ะ”
“เราเป็นเพื่อนกันมานาน นานจนความรู้สึกทุกอย่างมันแยกแทบไม่ออก”
“งั้นก็ดี เพราะต่อไปนี้ชั้นจะดูแลอบเชยเอง”
“ห๊า...” ไม้มองหน้าไกรอย่างตกใจ
“ได้ยินไม่ผิดหรอก”
ไม้เครียดทำตัวไม่ถูก
“ถ้าตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวผมขอแวะไปช่วยพ่อที่อู่หน่อยนะครับ”
“ตามสบาย”
ไม้เดินออกไปโดยลืมของไว้บนโต๊ะ ซึ่งเป็นซองสีชมพูจ่าหน้าซองถึงแพรวา
ไม้เดินอยู่ริมถนนก็เจอทิวามาขวางทางไว้
“อะไรอีกเนี่ย แผลเก่ายังไม่ทันหายเลยนะ” ไม้บอก
“มันเรื่องของแก ชั้นมีบางอย่างที่อยากรู้แกต้องตอบชั้น...พามันขึ้นรถ”
ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนลากไม้ขึ้นรถไม้พยายามดิ้นแต่ก็สู้แรงไม่ได้
ทิวาพาไม้มาที่บ้านและจับไม้มัดติดกับเก้าอี้
“อยากรู้เรื่องอะไรทำไมไม่คุยกันดีๆ”
“แล้วนี่ชั้นคุยไม่ดีตรงไหน”
“แล้วทำไมต้องมัดกันด้วย”
“เพราะชั้นไม่ไว้ใจแกไง”
“มีเรื่องอะไรก็พูดๆ มา”
“แกเล่าเรื่องไม้ตะพดให้ชั้นฟังหน่อย”
“จะบ้ารึไง จับชั้นมาเนี่ยเพื่อถามเรื่องไม้ตะพดเนี่ยนะ หาหนังสืออ่านเอาก็ได้”
“อย่ามาโยกโย้ เล่ามาทั้งหมดที่แกรู้”
ขณะที่ไม้ถูกทิวาจับตัวมาที่บ้าน แพรวาก็ขับรถมาจอดหน้าบ้านเจ๊กี เธอลงไปกดกริ่ง คนใช้วิ่งออกมา
“มาหาใครคะ”
“ชั้นเป็นเพื่อนคุณไกรน่ะค่ะ แวะมาเยี่ยม”
“เชิญด้านในเลยค่ะ”
แพรวาเดินตามคนใช้เข้าไปด้านใน
ไกรนั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
คนใช้เปิดประตูแพรวาส่งยิ้มให้ไกรแล้วเดินเข้าไป ไกรงง
“คุณมีธุระอะไร”
“ชั้นแค่แวะมาเยี่ยม แล้วก็แวะมาขอบคุณที่คุณช่วย”
“คนช่วยมีตั้งเยอะแยะ ผมแทบไม่ได้ทำอะไร”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ”
“เชิญคุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้”
แพรวานั่งที่โต๊ะของไม้ เธอมองเห็นซองสีชมพูของไม้แพรวาหยิบขึ้นดูเห็นชื่อเธอจ่าอยู่ตรงหน้า แพรวาแอบยิ้มทันที ไกรถือน้ำมาเสิร์ฟ
“มีอะไรจะให้ชั้นรึเปล่า”
แพรวาถาม ไกรทำหน้างง
“หึ”
“คุณน่ะ มีอะไรจะให้ชั้นมั้ย”
“ไม่มีนะครับ”
“ไม่มีจริงเหรอ”
“ไม่มีจริงๆ ครับ”
แพรวาอมยิ้ม เอ็นดูไกรมากขึ้น
“โอเคๆ ไม่พูดถึงแล้วก็ได้ ชั้นจัดการเอง”
แพรวาหยิบซองจดหมายใส่ในกระเป๋าโดยที่ไกรไม่เห็น
ที่บ้านพันเทพขณะนั้นทิวายังมัดไม้แล้วขู่จะซ้อมจนไม้ต้องยอมเล่าเรื่องไม้ตะพดเท่าที่ตัวเองรู้
“ทั้งหมดที่รู้ ก็มีแค่นี้แหละ” ไม้บอกหลังจากเล่าจบ
“โกหก แกบอกไม่หมด นอกจากไม้ตะพดที่เป็นอาวุธของลูกผู้ชายแล้ว ยังมีไม้ตะพดเลือดอีกอันใช่มั้ย ตะพดเลือดที่ว่าน่ะอยู่ที่ใคร”
“ตะพดเลือดอยู่ไหนชั้นจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถ้าชั้นรู้ชั้นไปเอาเองไม่ดีกว่ารึไง”
“ไม่จริงหรอก งั้นทำไมพ่อต้องบอกให้มาถามแกด้วยล่ะ”
“ทำไมแกไม่ไปถามพ่อแกล่ะ ว่าทำไมต้องให้มาถามชั้น ชั้นก็อยากรู้เหมือนกัน”
“มีใครอีกที่รู้เรื่องนี้”
“ถ้าแน่จริง แกก็ไปตามหาลูกผู้ชายแล้วถามเค้าเลยสิ”
“ลูกผู้ชายเหรอ? เป็นความคิดที่ดีนี่”
ไม้หัวเราะ
“แกพูดเหมือนรู้ว่าเค้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน”
“ทำไมชั้นต้องรู้ล่ะ ในเมื่อชั้นรู้วิธีทำให้เค้าออกมาได้”
“หมายความว่าไง”
ทิวายิ้ม ไม่ตอบ
ทางด้านไกร ขณะนั้นเขาเดินมาส่งแพรวาที่หน้าบ้าน
“ขอโทษด้วยที่มารบกวนนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ผมว่าอย่ามาบ่อยๆ จะดีกว่าแม่ผมคงไม่ค่อยพอใจ”
“เข้าใจค่ะ ให้ส่งจดหมายเอาใช่มั้ยคะ” แพรวายิ้มอายๆ
“หมายความว่าไง”
“ช่างเถอะค่ะ”
อบเชยมาที่บ้านเจ๊กีพอดี จึงเจอไกรกับแพรวาอยู่ด้วยกัน
“นี่เธออีกแล้วเหรอเนี่ย” อบเชยมองไกรอย่างไม่พอใจนักแล้วคิดต่อว่าแพรวาอยู่ในใจ “นางสตอเบอรี่ กะจะแย่งผู้ชายทุกคนของชั้นเลยใช่มั้ย”
“เค้าแค่แวะมาขอบคุณเรื่องเมื่อวาน” ไกรบอกอบเชย
“บ้านชั้นหายากเหรอ ทำไมไม่เห็นแวะไปขอบคุณบ้าง หรือพอเป็นบ้านผู้หญิงแล้วแรงจูงใจมันน้อย” อบเชยพูดประชดแพรวา
“ชั้นกำลังจะไปขอบคุณเธอที่บ้านพอดี”
“เรื่องยังไม่เกิดขึ้น ใครก็พูดได้ทั้งนั้นแหละ นี่ชั้นก็ว่าจะไปบ้านเธอเพื่อจะไปขอปลากัด ไม่น่าเชื่อเลยจะเจอเธอที่นี่ ไง ชั้นก็พูดได้”
“แต่ชั้นกำลังจะไปจริงๆ”
“ช่างเถอะๆ ชั้นไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธอแล้ว แล้วก็ไม่ต้องไปหาไม้ด้วย ไม้ไม่อยู่บ้านหรอกที่ทำงานก็ไม่อยู่ ไม่ต้องไปตามหาไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้นกลับบ้านตัวเองไปโน่น”
อบเชยต่อว่าแพรวาเป็นชุด
หลังจากแพรวาไปแล้วอบเชยจึงเดินคุยมากับไกร
“ปากจัดจริงๆ”
“ชั้นก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ชอบก็ไม่ต้องชอบ” อบเชยบอกอย่างไม่แคร์
“ไปอารมณ์เสียมาจากไหน”
“แค่เห็นหน้ายายนี่ก็ปรี๊ดแล้ว ชอบทำเสแสร้งแสนดีตลอดเวลา”
“ก็ไม่เห็นว่าเค้าจะเสแสร้งตรงไหน”
“คุณไกรน่ะไม่รู้อะไร ผู้หญิงน่ะร้าย ผู้ชายตามไม่ทันหรอก” ไกรหัวเราะ
“เธอนี่เวลาโกรธแล้วตลกดี”
“จริงเหรอ หน้าชั้นทุเรศหรือว่ายังไง”
“ทำไมไม้ถึงไม่สนใจเธอนะ” อบเชยนิ่งเงียบไป “ขอโทษ ผมพูดตรงเกินไปละสิ แล้วนี่คุณมาหาผม มีธุระอะไร” อบเชยนิ่งหลบตาไกร “เข้าใจละ จริงๆ คงจะมาหาไม้สินะ”
ชาวบ้านเดินสวนมา กำลังเม้าท์กัน
“ลูกชายไอ้พันเทพนี่มันร้ายเหมือนพ่อมันนะ”
“ไอ้ไม้ก็ไม่รู้ไปทำกรรมมาจากไหน โดนรังแกตลอด”
“มันไม่ถูกกับบ้านไอ้พันเทพมาตั้งแต่รุ่นไอ้เมฆแล้วนี่”
“ไอ้พันเทพก็เอาแต่ตามจองล้างจองผลาญบ้านไอ้เมฆอยู่ได้ไม่รู้เพราะอะไร”
อบเชยได้ยินชาวบ้านคุยกันหันขวับทันที
“มีเรื่องอะไร” อบเชยถามชาวบ้าน
“ก็ชั้นเห็นไอ้ทิวาลูกชายพันเทพมาจับตัวไอ้ไม้ขึ้นรถไปน่ะสิ”
“ไปไหน”
“มันขับไปทางบ้านมัน”
“ไม้” อบเชยเป็นห่วงไม้จะวิ่งไป แต่ไกรห้ามไว้ “อย่ามาห้ามชั้น ชั้นจะปล่อยให้ไม้เป็นอะไรได้ยังไง”
“ชั้นจะบอกว่าไปรถชั้นเถอะ เร็วกว่า”
ไกรรีบขับรถพาอบเชยมาบ้านพันเทพ ขณะนั้นไม้ถูกสมุนทิวารุมอัดจนสะบักสะบอม
“เฮ้ย ไอ้ลูกผู้ชาย แกจะปล่อยให้ไอ้นี่ตายรึยังไง”
ทิวาตะโกนบอกแล้วมองหาลูกผู้ชาย
“มันสลบไปแล้วครับ” สมุนบอก
“ขี้แพ้ แล้วยังอ่อนแออีก ไอ้ไม้เอ้ย”
ระหว่างนั้เนพันเทพกลับมาบ้านพอดี พันเทพลงมาจากรถกำลังจะเดินเข้าบ้าน สมุนรีบเข้ามารายงาน
“เจ้านายครับ คุณทิวาพาลูกไอ้เมฆเข้ามาซ้อมในบ้านครับ”
“ห๊า”
พันเทพรีบเดินเข้าบ้านทันที แพรวาขับรถเข้ามาจอดอีกคน
“ทำไมพ่อต้องรีบขนาดนั้น มีเรื่องอะไรกัน”
สมุนทิวาแก้มัดไม้ออก ไม้สลบลงไปกองกับพื้น
“ไหนว่าไอ้ลูกผู้ชายมันหูตาไวนักไง ทำไมวันนี้หายหัวแต่ไม่เป็นไรหรอกชั้นไม่ยอมจบแค่นี้แน่”
พันเทพเปิดประตูห้องซ้อมมวยเข้ามาเห็นไม้สลบอยู่บนพื้น พันเทพเดินเข้าไปตบหน้าทิวาฉาดใหญ่
“พ่อตบผมทำไม”
“ใครให้แกเอาคนมาทำร้ายในบ้านเรา”
“แต่มันเป็นศัตรูของเราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ทีพ่อยังทำร้ายพ่อมันได้”
“บ้านนี้ชั้นเป็นคนตัดสินใจว่าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร น้องสาวแกสองคนเพิ่งย้ายเข้ามาในบ้าน อยากให้เค้ามาเห็นความป่าเถื่อนแบบนี้รึไง”
“พ่อลำเอียง”
“ชั้นไม่ได้ลำเอียง สิ่งที่แกทำเอาคนมาจับมัดโดยไม่ให้เค้ามีทางสู้ มันสมกับที่เกิดมาเป็นผู้ชายรึเปล่าชั้นสอนให้แกทำแบบนั้นรึไง”
แพรวาเปิดประตูตามเข้ามา
“ไม้ มีเรื่องอะไรกัน”
แพรวาถามอย่างตกใจเมื่อเห็นสภาพไม้ ทิวาเสียใจ พันเทพคลายความโมโหลง
“เอาไปส่งโรงพยาบาล”
พันเทพกันไปบอกสมุน แพรวาประคองไม้ไว้บนตัก ไม้รู้สึกตัวลางๆ เห็นหน้าแพรวา เค้ายิ้ม ก่อนที่จะหมดสติไปอีก
รถถูกขับออกไปจากประตูบ้าน พันเทพยืนมองไม้อย่างเวทนา แพรวามองตามอย่างเป็นห่วง จังหวะนั้นรถของไกรกับอบเชยเข้ามาจอด อบเชยรีบลงจากรถโวยวายจะเอาเรื่อง
“เอาไม้คืนมานะ ไอ้ทิวาพาไม้มาทำอะไร”
“ชั้นจะดูแลลูกให้ดีกว่านี้”
พันเทพบอกแล้วหันหลังกลับจะเข้าบ้าน อบเชยดึงแขนไว้
“จะไปไหน บอกมา ไม้อยู่ไหนไอ้ชั่ว”
แพรวาเข้ามาห้ามอบเชย
“ปล่อยพ่อไปเถอะ เรื่องนี้พ่อไม่รู้เรื่องด้วยหรอก”
อบเชยสะบัดมือแพรวาออก
“อย่ามาถูกตัวชั้น พ่อลูกมันก็เลวเหมือนกันหมดแหละ”
“แต่ไม้ไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“ไม้อยู่ไหน”
“โรงพยาบาล”
“คอยดูนะ ถ้าไม้หายดีแล้วชั้นจะกลับมาเอาคืนแน่”
อบเชยกับไกรกลับขึ้นรถแล้วขับออกไป
พันเทพกลับเข้าห้องทำงานกวาดข้าวของลงจากโต๊ะ กระจัดกระจาย
“ไอ้เมฆ...แก เพราะแกคนเดียว ทำให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้”
อีกด้านหนึ่งที่ท่ารถบขส.ศรนารายณ์นั่งคุยอยู่กับเมฆ
“พี่เมฆว่าที่ไอ้พันเทพมันชอบส่งพวกมาทำร้ายที่อู่รถเนี่ยมันแค่เรื่องสัมปทานหรือว่าเรื่องสมัยหนุ่มครั้งโน้นด้วยวะ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว”
“แต่ชั้นยังจำได้แม่นเลยว่ะ ที่พี่เมฆกับมันแย่งผู้หญิงคนเดียวกัน”
“ทิพย์”
เมฆนึกถึงทิพย์ ซึ่งพันเทพก็กำลังนั่งดูรูปทิพย์ ภรรยาของเขาอยู่เหมือนกันพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งทิพย์เคยเป็นคนรักของเมฆ เหตุการณ์วันนั้นพันเทพพาสมุนไปล้อมเมฆเอาไว้ในขณะที่ทิพย์ยืนเกาะแขนเมฆแน่น ทั้งหมดยืนท่ามกลางฝนและเสียงฟ้าร้องคำราม
“พันเทพ อย่าทำอะไรเมฆเลยนะชั้นขอร้อง” ทิพย์บอก
“งั้นเธอก็ไปกับชั้นสิ ชั้นจะไม่มายุ่งกับมันอีก”
“แต่ชั้นไม่ได้รักเธอนะพันเทพ”
“แค่ชั้นรักเธอมันไม่พอรึไง” พันเทพเข้าไปฉุดข้อมือทิพย์ลากมา เมฆจับข้อมือทิพย์อีกข้างไว้อย่างไม่ยอม “จัดการมัน”
พันเทพบอกสมุน สมุนเข้ารุมเมฆจนล้มไปแล้วกระทืบซ้ำโดยเฉพาะขาซึ่งตอนนั้นยังไม่เป๋ ทิพย์เข้าไปช่วยเมฆใจจะขาด เธอจึงคุกเข่าขอร้องพันเทพ
“ชั้นขอล่ะ อย่าทำอะไรเมฆเลย ชั้นยอมทุกอย่าง”
“ต่อไปนี้เธอเป็นของฉัน เลิกยุ่งเกี่ยวกับมันอีกทำได้มั้ยล่ะ” ทิพย์ร้องไห้ฝืนใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับ “พอได้แล้ว”
พันเทพบอกสมุน สมุนหยุด พันเทพจึงพาทิพย์และสมุนเดินออกไป ปล่อยให้เมฆนอนเจ็บขาอยู่กลางสายฝน
เวลาผ่านไป...พันเทพและทิพย์รอฟังผลตรวจของหมอจนกระทั่งหมอเดินออกมา
“ยินดีด้วยครับ คุณกำลังตั้งครรภ์”

พันเทพดีใจมากแต่ทิพย์หน้าตาเฉยเมยไร้อารมณ์










Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:10:29 น.
Counter : 228 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3 (ต่อ)




ก่อนออกไป ไม้ อบเชย และจันทร์ แอบมองไปยังนอกตัวบ้าน

“จันทร์ แกไปดูซิ มันมากันรึยัง”
จันทร์วิ่งมาดูที่รั้วบ้าน เห็นหมอคม พันเทพ ราตรี กำลังเดินเข้าบ้านศรนารายณ์
“มากันครบเลยว่ะ”
“งั้นมาทางนี้”
อบเชยพาไม้กับจันทร์วิ่งไปทางหลังบ้าน อบเชยยืนริมกำแพงก่อนทุกคน
“ไปทางนี้” อบเชยบอกแล้วกระโดดขึ้นกำแพงนำทุกคน
“มันต้องลำบากทั้งตอนเข้าตอนออกเลยเหรอวะ” จันทร์บ่นแต่ก็กระโดดตามไป
“อย่าบ่นมากน่า”
ไม้กระโดดข้ามกำแพงตามจันทร์ไป อบเชยกับจันทร์รออยู่ด้านล่าง ไม้กระโดดตามมาเป็นคนสุดท้าย แต่ลงไม่ถนัดเพราะมือถือร่มทำให้เสียหลักเซล้ม ร่มฟาดกับพื้นอย่างแรง ส่วนไม้เซไปอบเชยเอาตัวขวางไว้จึงล้มกลิ้งไปทั้งคู่ อบเชยกับไม้มองตากันซึ้งเหมือนตกในภวังค์
“จะโรแมนติกอีกนานมั้ย เดี๋ยวเค้าก็จับได้กันพอดี”
จันทร์ถาม ไม้กับอบเชยต่างลุกขึ้นมาตั้งหลัก ต่างก็เขิน ไม้นึกได้ที่ร่มกระแทก
“พังรึเปล่าเนี่ย”
“จะพังก็เรื่องของมันเถอะ อย่าให้รู้ว่าใครเป็นคนทำพังก็พอ”
“ไปเร็ว”
ขณะนั้นหมอคมเดินทางมาหยุดที่หน้าบ้านศรนารายณ์ เพ่งมองรอยเท้าเด็กบนพื้นเห็นมาหยุดที่บ้านศรนารายณ์ เมฆกับศรนารายณ์เดินมาพอดี
“ดูเหมือนว่า...จะเป็นที่นี่นะ”
หมอคมบอกพันเทพ ศรนารายณ์เข้ามาโวยวาย
“นี่มันอะไรกันเนี่ย จะมาทำพิธีอะไรหน้าบ้านชั้น”
“ไอ้ศรนารายณ์ กะแล้วว่าต้องเป็นแก”
พันเทพเข้าไปตั๊นหน้าศรนารายณ์เต็มๆ เมฆเข้ามาห้าม
“มันเรื่องอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ต้องมาต่อยตีกันด้วย”
“ถามไอ้ศรนารายณ์มันดูสิ ว่ามันขโมยของชั้นมารึเปล่า”
ศรนารายณ์กลัวโดนจับได้
“ขโมยอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ร่มของชั้นไง”
“เปล่า ไม่ได้ขโมย” ศรนารายณ์ปฎิเสธเสียงแข็ง
“หนูว่าค้นบ้านมันเลยดีกว่าค่ะ” ราตรีบอก
“อย่านะ”
“เดี๋ยว...ไม่ใช่ที่นี่”
หมอคมบอกแล้วเพ่งดูรอยเท้าเด็กก่อนจะเดินต่อไป พันเทพเจ็บใจที่ไม่ได้ค้นบ้านศรนารายณ์
“ถ้าจบพิธีแล้วไม่เจอ ชั้นจะเข้ามาค้นบ้านแกคนแรกเลย”
พันเทพกับราตรีเดินตามหมอคมไป ศรนารายณ์ถอนหายใจโล่งอก เมฆมองพิรุธของศรนารายณ์
อบเชย ไม้ จันทร์ วิ่งมาที่กองขยะกองใหญ่
“ชั้นว่าโยนทิ้งตรงนี้แหละ ใครๆ ก็มาทิ้งขยะตรงนี้กันทั้งนั้น มันจะได้ไม่สงสัยพ่อชั้น” อบเชยบอก
“ดี”
ไม้ตัดใจโยนร่มทิ้งบนกองขยะ ขณะที่กำลังจะทิ้ง ไม้ตะพดที่ซ่อนอยู่เป็นด้ามร่มก็โผล่ออกมาให้เห็นบางส่วนจากรอยขาด
“แกนในมันเป็นไม้ด้วยเหรอ” จันทร์บอก ไม้ดูร่มที่ฉีกขาด
“สงสัยคงจะพังตอนกระแทกเมื่อกี้แน่เลย”
จันทร์ดึงด้ามร่มไม้มาดม
“นี่ไม้อะไรเนี่ย หอมจัง”
“จะไม้อะไรจะต้องไปสนใจทำไม มันมาโน่นแล้ว” เสียงเอะอะของหมอคมดังแว่วมา ทั้งสามหันไปดู “ไอ้หมอคมนี่ของมันแรงจริง ตามเจอจนได้ไปกันเถอะ” อบเชยบอก
“ร่มอะไร ด้ามไม้หอมอยู่ข้างในวะ” จันทร์ถามไม้
“ของโบราณละมั้ง” ไม้บอก
“ไปเถอะ ไม่งั้นโดนจับได้แน่”
ไม้สองจิตสองใจ มองด้ามร่มอย่างหลงไหล พันเทพ หมอคม ราตรี เดินมาทัน พันเทพเห็นร่มในมือไม้
“ไอ้เด็กขี้ขโมย เอาคืนมา”
“ไม่”
เพื่อนมองอย่างงงๆ ทำไมไม้ดูก้าวร้าว
“ไอ้อ่อนหัดเอ๊ย”
พันเทพเข้าไปต่อสู้แย่งร่มจากไม้ ไม้ยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกพันเทพแย่งร่มไปได้แล้ว
“จับส่งตำรวจเลย” ราตรีบอก
“คุณ...” ไม้เข้าใจว่าราตรีเป็นแพรวา
“ไม่ต้อง สั่งสอนแค่นี้ก็พอแล้ว”
“พ่อ...ทำไม”
“กลับ”
แล้วพวกพันเทพก็เดินกลับไป อบเชยมองไม้ด้วยอารมณ์หึง
“อาวรณ์ร่มหรือว่าแม่นั่นกันแน่”
หลังจากได้ร่มมาแล้วหมอคมหยุดยืน แล้วถามพันเทพอย่างสงสัย
“ร่มนี่คงสำคัญมาก”
พันเทพกำร่มไว้ในมือแน่น
“มันกลับมาหาชั้นแล้ว”
“ไม่น่าปล่อยพวกมันหนีความผิดละสิ”
“ช่างมันเถอะ แค่พ่อได้มันคืน พ่อก็ดีใจแล้ว”
ขณะนั้นไม้ อบเชย จันทร์แอบดูพวกพันเทพอยู่ห่างๆ
“มันได้ไปจนได้”
“แต่แกก็ดูท่าอยากได้ไม่น้อยไปกว่ามันเลยนะ”
“เอาเถอะ อย่างน้อยเรารอดไปอีกครั้ง” ไม้มองร่มอย่างเสียดาย
“กลิ่นหอมของไม้เมื่อกี้...มันติดจมูกดีว่ะ” จันทร์บอก
“เป็นอะไรกันเนี่ยสองคนนี้”
“ร่มนั่นมันทำให้รู้สึกประหลาดจริงๆ” ไม้บอก
“มันเกือบจะทำพ่อชั้นเป็นบ้าได้ ไม่ใช่ร่มธรรมดาแน่ ต้องปลุกเสกอะไรมาแหงๆ”
“ไม้ที่มีกลิ่น...มันมีไม้อะไรบ้างนะ”
“นี่ก็พูดถึงกลิ่นอยู่ได้”
“ถ้ามองตามหลักวิทยาศาสตร์ กลิ่นหอมของมันอาจทำให้คนแย่งกันก็ได้นะ”
“แต่ยังไงมันก็กลับไปอยู่กับพันเทพแล้ว”
ส่วนที่บ้านศรนารายณื ขณะนั้นศรนารายณ์กำลังเดินหาร่มทั่วบ้าน รื้อข้าวของกระจุยกระจาย
“หายไปไหน มันหายไปไหน”
“พี่ศร พี่หาอะไรของพี่น่ะ”
“มันหายไปแล้ว หายไปได้ยังไง”
อบเชย ไม้ จันทร์ เดินเข้ามาไม้กับจันทร์เห็นท่าไม่ดีนัก
“เราสองคนขอไปรอข้างนอกนะ”
อบเชยพยักหน้ารับ ไม้สบตาเมฆ เมฆก็พยักหน้าให้ไม้ไปรอข้างนอก
“หาอะไรอยู่เหรอพ่อ” อบเชยถามศรนารายณ์
“อบเชย มาพอดีเลย เห็นร่มของพ่อมั้ย”
“ร่ม...ที่เรายืมมาจากบ้านพันเทพน่ะเหรอ”
“ใช่ มันไปไหน”
“หลวงพ่อเอาไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ พ่อไปเอากลับมาแล้ว”
“อ๋อ ถ้างั้นชั้นคงคืนเจ้าของเค้าไปแล้วล่ะ”
“ไอ้พันเทพน่ะเหรอ มันได้คืนไปแล้วเหรอ” ศรนารายณ์ถามอย่างตกใจ
“อืม”
ศรนารายณ์มีท่าทางเจ็บใจมาก
“โมโหอะไรพ่อ ของของเค้าก็ต้องคืนเค้าไปน่ะถูกแล้ว”
“เอาของเค้ามาไม่ดีหรอกพี่ศร”
เมฆบอก ศรนารายณ์อดเสียดายไม่ได้
คืนนั้นที่ห้องทำงานพันเทพ พันเทพถอดโครงร่มออกจนเห็นไม้ด้านใน พันเทพลูบคลำมันดังของรัก
“กลับมาอยู่บ้านเราแล้วนะ”
พันเทพเอากริชจิ้มที่ปลายนิ้วมือ เลือดไหลหยดลงหายเข้าไปในเนื้อไม้ พันเทพยิ้มมีความสุข
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านของเมฆ ไม้นอนกระสับกระส่ายไปมาจนเมฆรู้สึกได้
“นอนไม่หลับรึไง”
“ครับพ่อ”
“คิดเรื่องอะไรอยู่ล่ะ”
“พ่อว่า...ถ้าเรามีของวิเศษอยู่ในมือ ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน”
“ทำไมถามแบบนี้”
“แค่คิดอะไรเล่นๆ ไม่มีอะไรหรอก”
“เป็นอย่างที่เราเป็นน่ะดีที่สุดแล้วลูก ถ้าอยากสัมผัสสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็นอนซะจะได้ฝัน”
ไม้ถอนหายใจยังคิดถึงร่มของพันเทพ
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ท่ารถบขส. ผู้ช่วยเจ๊กีเปิดประตูห้องทำงานเจ๊กีเข้ามา
“เจ๊ครับ คนที่นัดไว้มาแล้วครับ”
เต็กกง ท่าทางเจ้าเล่ห์ เดินเข้ามา
“สวัสดีเจ๊”
“อืม”
“กิจการเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็ไปได้ดี”
“แต่อั๊วได้ข่าวว่าท่ารถของลื้อโดนไอ้พันเทพถล่มไม่เป็นท่ามาตลอดไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับลื้อ”
“แบบนี้แหละ ผู้หญิงตัวคนเดียวดูแลท่ารถ ก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้”
“จะพูดอะไรก็ว่ามา”
“อั๊วว่าลื้อไปทำมาหากินอย่างอื่นน่าจะดีกว่านะ การครองสัมปทานรถเนี่ย มันต้องเป็นคนที่มีอำนาจ มีเส้น มีสาย ไม่งั้นน่ะ…”
“อั๊วก็ไม่เห็นว่าไอ้คนมีอย่างที่ลื้อว่าได้ถือสัมปทานซักคน ดูอย่างไอ้พันเทพซิ มีอำนาจ มีคน มีทุกอย่าง ยังได้คุมแค่สายรถตู้เถื่อนที่ขี้โกงวิ่งทับเส้นทางของอั๊ว กิจการรถปอ.ของลื้อมันไม่ดีรึไง อยากครองตลาดเหรอ”
“เจ๊กี อั๊วมาคุยด้วยดีๆ” น้ำเสียงเต็กกงเริ่มไม่พอใจ
“แล้วอั๊วคุยไม่ดีตรงไหน นัดก็รับนัด เจอหน้าก็ไม่ได้ไล่ไป มันไม่ดีตรงไหนวะ”
“เออ ลื้อจำไว้นะ วันนึงอั๊วจะเป็นเจ้าของสัมปทานที่ลื้อถืออยู่ให้ได้”
“คอยดูอยู่”
เต็กกงเดินหน้าเสียกลับไป เจ๊กีมองตามอย่างไม่สนใจ
ทางด้านพันเทพหลังจากได้ร่มคืนมา พันเทพนั่งยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในห้องทำงาน ราตรีเข้ามาในห้องทำงานเห็นพ่อ
“มีความสุขจังเลยนะ”
“อ้าวลูก...พ่อต้องขอบใจลูกมาก ที่เจอร่มของพ่อ เพราะความคิดลูกแท้ๆ”
“เรื่องเล็กแค่นี้ หนูเป็นลูกพ่อนะคะ”
“ลูกไม่เคยถามพ่อซักคำว่าทำไมพ่อถึงรักร่มคันนั้นเหลือเกิน”
“ชีวิตคนเราน่ะ มีหลายอย่างที่เราทำไปโดยไม่มีเหตุผลหนูเข้าใจค่ะ หนูแค่เห็นพ่อมีความสุขก็ดีใจแล้ว”
“ลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวพ่อจะหามาให้ทุกอย่างเลย”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่เวลาที่หนูไม่มีเหตุผลบ้าง ขอให้พ่อเข้าใจและช่วยหนูก็พอ”
“ได้ พ่อจะอยู่ข้างลูกทุกเรื่องเลย”
“นี่พี่ทิวาหายไปไหนคะ ไม่เห็นเลย”
“รายนั้นบอกจะไปตามร่มให้พ่อ แล้วก็เงียบหายไปเลย คงไม่เจอเลยไม่กล้าสู้หน้า”
ขณะนั้นทิวาเดินผ่านห้องทำงานพันเทพ จะเข้าไปแต่สองจิตสองใจเพราะหาร่มไม่เจอ
“เอาไงดี...จะบอกพ่อว่าหาไม่เจอน่ะเหรอ”
ทิวาเครียด ทิวาได้ยินเสียงแว่วการคุยกันของราตรีกับพันเทพเขาจึงยืนฟัง
“พ่ออย่าทำกับหนูเหมือนกับที่ทำกับพี่ทิวานะคะ”
“พ่อทำอะไรกับทิวาล่ะ”
“พ่อไม่ใส่ใจน่ะสิถามได้ พ่อไม่รู้ตัวเลยรึไง ตั้งแต่เด็กๆ มาพ่อไม่เคยถ่ายรูปคู่กับพี่ทิวา ไม่จับตัวด้วยซ้ำ พ่อให้หนูกับแพรวาไปเรียนเมืองนอกในขณะที่พี่ทิวาจมปลักอยู่ที่นี่”
“ใครบอกให้ลูกคิดแบบนี้”
“ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ หนูเพิ่งกลับมาไม่กี่วันยังรู้สึก หนูว่าพี่ทิวาก็รู้ไม่งั้นเค้าคงไม่คอยพยายามเอาใจพ่อตลอดเวลาแบบนี้หรอก เค้าคงกลัวพ่อจะรักเค้าน้อยกว่านี้ละมั้ง”
“แต่พ่อไม่เคยคิดแบบนั้น”
“พ่อไม่คิด แต่พ่อทำน่ะสิ”
ทิวาที่ยืนฟังอยู่หน้าห้อง เสียใจ น้ำตาไหล
ทิวากลับเข้าห้องแล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อตอนเป็นเด็ก วันนั้นราตรีวิ่งหกล้มตามประสาเด็ก พันเทพรีบวิ่งเข้าไปดู
“เจ็บตรงไหนบ้างลูก วันหลังต้องระวังกว่านี้นะ”
ทิวายืนมองพ่อที่สนใจน้อง ตนจึงแกล้งวิ่งหกล้มบ้างแต่พันเทพก็ยังไม่ผละจากราตรี
“ทำไมเดินไม่รู้จักระวัง”
“พ่อ ผมเจ็บ”
“ลุกขึ้นเองสิ เห็นน้องล้มแล้วตัวเองไม่ระวังได้ยังไง”
“พ่อ...”
ทิวาเสียใจที่พ่อไม่สนใจเค้า
ทิวานั่งคิดอยู่คนเดียว เขาเปิดอัลบั้มรูปดูตั้งแต่เด็กจะมีแต่รูปพันเทพอุ้มแต่ราตรีกับแพรวา แต่พันเทพไม่อุ้ม ไม่กอดเค้าเลยด้วยซ้ำ ทิวาอดนึกน้อยใจไม่ได้
เต็กกงแวะมาหาพันเทพที่บ้าน พันเทพกับเต็กกงนั่งคุยกันที่สนามหน้าบ้าน
“เป็นไงมาไง วันนี้ถึงมานี่ได้”
“ก็แวะมาทักทายคุณพันเทพนั่นแหละ ได้ข่าวมาว่าสมัยหน้าจะลงสมัคร สจ.”
“ใช่”
“มีหัวคะแนนรึยังล่ะ”
“คิดว่าคนอย่างผมจะไม่มีใครสนับสนุนรึไง”
“น่าแปลกนะ เจ้าของกิจการวินรถตู้เถื่อนที่เที่ยวไปวิ่งทับเส้นทางเดินรถคนอื่นเนี่ย มีคุณสมบัติพอจะเป็น สจ.ด้วยเหรอ”
“หึหึ พูดแบบนี้เป็นได้ 2 กรณี หนึ่งคือหาเรื่อง สองคือคิดจะฮุบกิจการแทนละสิ
“คิดว่าอย่างไหนล่ะ”
“ไม่ว่าจะเป็นข้อไหน ชั้นตอบคำตอบเดียวกันว่ามันไม่ง่ายหรอก”
“แต่ผมดูแลกิจการเดินรถได้ดี คุณก็เห็นจากธุรกิจผมแล้วนี่ ถ้าคุณยังคิดจะทำมันขณะที่เป็น สจ. มันจะดีเหรอ นักการเมืองมือไม่สะอาด จะไปได้ไกลเหรอ”
“หึหึ ขอบคุณที่เป็นห่วง กลับไปดูแลธุรกิจรถปอ.ของคุณเถอะ อย่ามาล้ำเส้นกัน ไม่งั้นจะหาว่าผมไม่เตือน”
เต็กกงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ พันเทพอ่านหนังสือพิมพ์ไม่แคร์เต็กกงอีก
ขณะนั้นทิวาแอบมองดูพันเทพจากหน้าต่าง ทิวามองพ่อด้วยความน้อยใจ
“ผมจะทำทุกอย่างให้พ่อรักให้ได้”
ที่บ้านเจ๊กี ไม้กับไกรกำลังทำความสะอาดห้องสมุด ตามชั้นหนังสือ
“บ้านคุณไกรมีหนังสือเยอะขนาดนี้เชียว”
“อยากจะยืมอ่านรึเปล่าล่ะ ยืมได้นะ”
“ชั้นคนทำมาหากิน ไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านหนังสือหรอก”
“อ่านเยอะๆ น่ะดีนะ ความรู้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต”
ไม้ค้นชั้นหนังสือชั้นบนสุด เขาหยิบหนังสือลงมาแผ่นหนังเสือก็ตกลงกับพื้น ไม้หันไปเห็น
“นี่มันเหมือนกับ…ผ้าคาดตาของลูกผู้ชายเลยนี่” ไม้หยิบตำราหนังเสือขึ้นมาดู ฝุ่นจับหนา ไม้ปัดฝุ่นออก “นี่อะไรครับคุณไกร”
“อ๋อ ตั้งแต่สมัยบวชเณรแล้ว พระธุดงค์รูปนึงท่านให้มา”
“คงไม่ใช่พระธุดงค์พม่าหรอกนะ”
“ใช่ ไม้รู้ได้ยังไง”
“งั้นคุณไกรคือเณรที่หลวงพ่อพูดถึงสินะ”
“หลวงพ่อพูดถึงผมว่ายังไง”
“เณรที่คัดตำนานไม้ตะพดจากคัมภีร์ใบลาน”
“อ๋อ ใช่ ชั้นเอง”
“ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชาย ที่คุณไกรทำได้ก็เพราะพระพม่าสอนใช่มั้ย”
“อืม”
“ตามหาไปทั่ว ที่แท้ก็อยู่ใกล้ตัวแค่นี้นี่เอง” ไกรยิ้ม ไม่รู้เรื่องด้วย ไม้ชูตำรา “ นี่ก็มาจากพระพม่ารูปนั้นใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ชั้นเคยอ่านแล้ว มันไม่ครบหรอกนะ”
“งั้นชั้นขอยืมไปอ่านหน่อย”
“เอาสิ ได้เลย ถ้ารู้เรื่องยังไงบอกชั้นด้วยนะ มันเป็นปริศนามานาน”
ไม้กำตำราหนังเสือแน่น เหมือนกับเป็นกุญแจเปิดทางบางอย่างให้เค้า
ไม้กลับมาที่โรงน้ำแข็ง นั่งอ่านตำราหนังสือที่ได้มาจากไกร
“เมื่อนำพาสองสิ่งมาประจักษ์…สองสิ่งเหรอ สองสิ่งที่ว่านี่คืออะไรน่ะ” ไม้เพ่งอ่านตำราหนังเสืออย่างตั้งใจ “จะเก็บกักพละ...”
แต่ยังไม่ทันที่ไม้จะอ่านจบ เสียงเอะอะข้างนอกโรงน้ำแข็งก็ดังขึ้น ไม้ละความสนใจจากตำราหนังเสือชั่วคราว เขามองออกไปด้านนอกเก็บหนังเสือเหน็บไว้กระเป๋าหลัง
หน้าโรงน้ำแข็งขณะนั้นสมุนพันเทพกำลังขู่กรรโชกคนงานโรงน้ำแข็งคนหนึ่งอยู่
“จ่ายมาเถอะ เรื่องจะได้ง่าย”
“ปกติก็ไม่ได้มาจ่ายค่าคุ้มครองแถวนี้นี่ ทำไมเราต้องจ่ายด้วย”
“ก็ตั้งแต่วันนี้จะเริ่มเก็บแล้วไง”
“จะเก็บก็ไปคุยกับเถ้าแก่โน่น มาขู่อะไรกับชั้น ชั้นก็แค่คนงานจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย”
ไม้เดินออกมา
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ”
“ก็คนไอ้พันเทพ อยู่ๆ ก็จะมาเก็บค่าคุ้มครอง” คนงานบอกไม้
“ได้ยังไง”
“ไม้ไปตามพี่ศรนารายณ์มาหน่อยสิ ให้แกมาเคลียร์หน่อย”
“เฮ้ย... ชั้นจะคุยกับเถ้าแก่ แกไปเรียกศรนารายณ์มาแทน แบบนี้ก็หาเรื่องกันนี่ จะให้นักมวยมาเจรจาแบบนี้”
“ก็แล้วทำไมต้องมาเก็บค่าคุ้มครองอะไรที่นี่ด้วย ก็รู้อยู่ว่าอาศรเป็นคนดูแลที่นี่ พวกแกไม่เคยมายุ่งยุ่มยาม อยู่ๆ จะมาไถเงินได้ยังไง”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ซัดด้วยด้ามปืนดีมั้ยเนี่ย”
สมุนพันเทพเงื้อมมือจะฟาดไม้ พันเทพเข้ามาขัดจังหวะการสนทนา สมุนรีบทำตัวปกติไม่กร่างทันที
“เธออยู่ที่นี่ด้วยเหรอ ไม้”
“ไอ้พันเทพ นี่แกจะทำเลวไปถึงไหน แกเก็บค่าคุ้มครองคนในตลาดไม่พอ คนทำมาหากินคนอื่นในอำเภอแกก็ยังจะทำอีกเหรอใจแกทำด้วยอะไร”
สมุนได้ยินก็จะเล่นงานไม้ พันเทพห้าม
“พวกแกพอแล้ว เดี๋ยวตรงนี้ชั้นจัดการเอง ช่วยพาไอ้นั่น” พันเทพมองคนงาน “ไปให้พ้นหน้าชั้นด้วย”
สมุนจัดการรวบคนงานออกไปเหลือแต่พันเทพกับไม้ ไม้ไม่ไว้ใจ ตั้งการ์ดรอ
“เอาสิ ชั้นไม่กลัวแกหรอก”
“เธอคิดว่าชั้นจะทำร้ายเธองั้นเหรอ”
“คนอย่างแก ชั้นไม่ไว้ใจ”
“ชั้นก็แค่จะพูดคุยตามประสาคนคุ้นเคยกัน”
“เราสองคนน่ะเหรอ คุ้นเคย” ไม้ถามอย่างไม่ไว้ใจ
“พ่อเธอได้สอนมวยให้เธอบ้างรึเปล่า”
“ตลกน่า แกก็รู้ว่าพ่อชั้นขาเป๋”
“คำตอบคือไม่เคยเลยสินะ ใจดำจริงๆ”
“แกพูดเรื่องอะไรของแก”
“แบบนี้ สงสัยต้องให้พ่อเธอโชว์อะไรซะหน่อยแล้ว”
พันเทพมองหน้าไม้อย่างมีเลศนัย
เมฆเดินจะเข้าไปในโรงน้ำแข็ง เจอคนงานสวนออกมา
“อ้าวพี่ ทำไมวันนี้กลับเร็วจริง”
“เมฆแย่แล้ว”
“มีอะไรพี่”
“ไอ้พันเทพมันจับไอ้ไม้ไว้ที่โรงน้ำแข็งทันทีน่ะสิ”
“ห๊า”
เมฆรีบเข้าไปที่โรงน้ำแข็งทันที เมฆวิ่งมาถึงหน้าโรงงาน มีสมุนพันเทพขวางไว้
“ไม้ ไม้”
“เข้าไม่ได้ นายสั่งไม่ให้ใครเข้าไป”
“พวกแกทำอะไรลูกชั้น” สมุนหัวเราะ
“สงสัย ลูกแกป่านนี้ กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วมั้ง”

เมฆห่วงไม้มาก รุดจะเข้าไปให้ได้ สมุนพันเทพก็จับเหวี่ยงออกมาไม่ให้เข้าจนเมฆโมโห
เหตุการณ์ภายในโรงน้ำแข็งขณะนั้น ไม้โดนมัดแช่อยู่ในเครื่องทำน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่กำลังทำงาน เนื้อตัวของไม้ออกอาการหนาวสั่น มีพันเทพนั่งดูอยู่ เมฆวิ่งถลาเข้ามา

“มาแล้วเหรอ”
“ไม้”
เมฆจะเข้าไปช่วยลูก พันเทพลุกขึ้นมาขวาง
“เดี๋ยวสิ แกคิดว่าชั้นจะปล่อยแกเดินเข้าไปแบบนี้น่ะเหรอ แสดงความสามารถให้ลูกเห็นหน่อยสิ แกเป็นพ่อนะ”
เมฆทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดพันเทพ ดื้อจะเข้าไปให้ได้ แต่ก็ถูกพันเทพขวางและผลักล้มลง เมฆไม่ยอมลุกขึ้นจะไปช่วยลูกอีก พันเทพก็ผลักเมฆล้มอยู่อย่างนั้น
“แกรู้รึเปล่าว่าทำแบบนั้นจะทำให้ไม้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ตายได้นะ”
“แกก็แสดงความสามารถให้สมกับที่เป็นพ่อหน่อยสิ”
ไม้หนาวสั่น ไม่มีแรงแม้แต่จะเรียกพ่อตน เพราะร่างกายมันแข็งสะท้านไปหมด ตาปรือมองพ่อตน พยายามออกเสียงเรียก
“พ่อ...”
ทางฝั่งเมฆกับพันเทพ เมฆก็ไม่เผยฝีมือของตนออกมาตามที่พันเทพต้องการ
“ไม้ พ่อมาช่วยลูกแล้ว”
“ชั้นอยากจะรู้ ว่าแกจะปกปิดฝีมือไว้ แล้วยอมให้ลูกตัวเองต้องตายรึเปล่า”
“แกทำแบบนี้เพื่ออะไรพันเทพ เพื่อเอาชนะในเรื่องไร้เหตุผลแบบนี้น่ะเหรอ”
“แกก็รู้ดี ถ้าชั้นต้องการชนะ ชั้นต้องชนะ”
พันเทพจ้องเมฆไม่มีทีท่าว่าจะยอม เมฆเห็นไม้ราวกับว่าสลบไปแล้ว ถ้าปล่อยไว้จะยิ่งแย่
เมฆวิ่งเข้าไปจะไปช่วยไม้ พันเทพก็ขวางไว้อีกแต่คราวนี้เมฆไม่ยอมล้ม อาศัยแรงเหวี่ยงที่พันเทพเหวี่ยงออกตีลังกาเข้าไปจนได้ พันเทพก็ตามมาขัดขวางอีก เมฆก็ใช้การหลบหลีกที่คล่องแคล่วว่องไวมากกว่าการต่อสู้ เมฆเข้าไปปิดเครื่องทำน้ำแข็งจนได้แล้วใช้ความว่องไวช่วยไม้ที่หมดสติขึ้นมาจากน้ำ
“ไม้ ไม้ ไม้ อย่าหลับสิลูก ไม้”
เมฆปลุกไม้
“ฝีมือแกไม่ธรรมดาเลยไอ้เมฆ อาจดูเหมือนคนไม่เป็น แต่คนเป็นมวยทุกคนดูออกว่าจริงๆ การต่อสู้แบบนี้ใช้ทักษะที่สูงมากกว่า การต่อสู้ทั่วไปซะอีก แกควบคุมพลังทั้งหมดของตัวเองได้ เลือกที่จะปล่อยมันออกมาได้ สิ่งที่ชั้นคิดมันถูกสินะ”
“ชั้นไม่รู้แกพูดเรื่องอะไร แต่ถ้าลูกชั้นเป็นอะไรละก็ชั้นจะฆ่าแก”
“ชั้นรอวันที่แกจะมาฆ่าชั้นใจจะขาด”
พันเทพหัวเราะ เมฆพยายามปลุกไม้
ระหว่างที่ไม้หมดสติ ไม้ฝันว่าตัวเองยืนอยู่กลางป่า เขาหันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครจึงนึกกลัว
“พ่อ...พ่อ...พ่อ”
ไม้รู้สึกเหมือนมีบางอย่างจ้องเขาจากด้านหลัง เสียงหายใจของมันแรงจนได้ยินชัด ไม้ค่อยๆ หันไป เห็นพญาเสือโคร่งตัวใหญ่จ้องเขม็งมาที่เขา ไม้กลัวพยายามค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหนีตาก็จ้องพญาเสือ แล้วเท้าของไม้ก็ไปเหยียบกิ่งไม้หักดังแกรบ พญาเสือโคร่งกระโจนใส่ไม้ ไม้ตกใจ
ไม้สะดุ้งตื่นมาที่โรงน้ำแข็งแววตายังหวาดกลัว เมฆดีใจที่เห็นไม้รู้สึกตัวอีกครั้ง
“ไม้ ไม้เป็นยังไงบ้างลูก”
พันเทพมองไม้ที่ฟื้นขึ้นอย่างโล่งใจ ไม้ยังหวาดระแวง ค่อยๆ ลำดับเรื่องราว ไม้ค่อยๆ เรียกสติกลับมา ไม้มองหน้าเมฆที่ยิ้มดีใจที่ลูกฟื้น เมฆรีบไปหาผ้าอุ่นๆ มาห่อตัวไม้ไว้ ไม้เหลือบไปเห็นพันเทพที่มองเขาแบบเป็นห่วงและดีใจที่ฟื้นเช่นกัน ไม้ไม่เข้าใจสิ่งนั้นแล้วพันเทพก็เดินจากไป เมฆเอาผ้าห่มมาห่อลูกตนไว้อย่างห่วงใย
เมฆชงเครื่องดื่มอุ่นมาให้ไม้ที่อยู่ในผ้าห่มและอาการดีขึ้นแล้ว ไม้รับเครื่องดื่มมาดื่ม
“ดีขึ้นมั้ยลูก”
ไม้พยักหน้า ไม้มองไปที่ที่ควบคุมความเย็นมันเปิดแค่เลเวลแรกไม่ได้เปิดที่เลเวลสูงสุด
“พันเทพไม่ได้ตั้งใจจะให้ชั้นตาย เครื่องนั่นเปิดแค่ระดับที่หนึ่ง มันต้องการอะไรกันน่ะพ่อ”
“คงแค่ต้องการป่วนเราก็แค่นั้น”
ไม้ถอนหายใจ
“ผมจะต้องต่อสู้ให้เก่งกว่านี้ ผมจะต้องสู้ไอ้พันเทพให้ได้คอยดู ผมจะไม่ปล่อยให้มันมารังแกพวกเราอีกแล้ว”
คนงานเดินเข้ามาหาไม้
“ไม้เป็นไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วครับ”
“พี่เมฆทำยังไงน่ะ ถึงได้ปราบไอ้พันเทพให้กลับไปได้ แถมชั้นเห็นสมุนไอ้พันเทพนอนสลบเหมือดอยู่ข้างหน้าพี่เมฆล่ะเจ๋งจริงๆ”
คนงานถามเมฆ ไม้หันมองหน้าพ่อ
“ชั้นก็แค่รอจังหวะเผลอ เอาไม้ฟาดหัวมันก็เท่านั้นแหละ”
เมฆหลบตาไม้กับคนงานกลัวจับได้ว่าโกหก
ระหว่างนั่งรถออกจากโรงน้ำแข็งพันเทพมองดูเนื้อตัวสมุนตัวเองที่โดนอัดซะอ่วมมีรอยฟกช้ำตามร่างกายเต็มไปหมด
“โดนมันเล่นมาซะอ่วมเลยละสิ”
“คราวหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ ฝีมือมันไม่ธรรมดาจริงๆ”
พันเทพมองออกนอกหน้าต่างยิ้มมุมปากอย่างรู้ทันเมฆ
เมฆพาไม้ออกจากโรงน้ำแข็งคนงานเดินตามออกไปส่ง ไม้ไม่รู้ตัวว่าได้ทำตำราหนังเสือตกไว้ในบ่อทำน้ำแข็ง ตำรานอนนิ่งอยู่ก้นบ่อที่ค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
เมื่อกลับมาบ้านไม้เพลียจึงจะเข้านอน แต่ต้องตกใจที่อบเชยบุกเข้ามาในห้องนอน
“ไม้ ไม้เป็นยังไงบ้าง ที่โรงน้ำแข็งเค้าพูดกันใหญ่เลยว่าไอ้พันเทพมันมาทำร้ายไม้”
“ไม่เป็นไรแล้ว ว่าแต่เธอพรวดพราดเข้ามาในห้องผู้ชายแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“ก็ชั้นเป็นห่วงไม้นี่”
“ขอบใจ”
“พ่อน่ะ บ่นใหญ่เลย ว่าทำไมไม่เกิดตอนที่พ่ออยู่ด้วย”
“ก็ถ้าอาศรอยู่ มันก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้น่ะสิ”
“ถ้าชั้นอยู่ก็ไม่เกิดเรื่องแบบนี้เหมือนกันล่ะ”
“ทำยังกับสู้ไอ้พันเทพได้งั้นล่ะ มวยที่เธอสวนชั้น ชั้นก็สู้หมดทุกท่าแล้วก็ไม่รอด”
“ไม้ประยุกต์ไม่เป็นเองต่างหาก นี่เดี๋ยวถ้าชั้นได้เจอลูกผู้ชายอีกซักสองสามครั้งนะ ชั้นจำท่ากรงเล็บพยัคฆ์มาสอนไม้ยังได้”
“กรงเล็บพยัคฆ์... หนังเสือ” ไม้นึกถึงหนังเสือขึ้นมาได้ ไม้คลำหาแต่มันหายไปแล้ว “แย่ละ”
“อะไรแย่เหรอไม้” ไม้รีบออกจากบ้านไป อบเชยงงๆ “ไม้จะไปไหน ไม้ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ ไม้”
ไม้รีบกลับมาที่โรงน้ำแข็งมองหาหนังเสือตามพื้น ตามมุมต่างๆ ก็ไม่เห็น
“ตอนที่สู้กับพันเทพ ถ้าหล่นก็น่าจะแถวๆ นี้นะ หรือว่า...”
ไม้มาดูที่บ่อทำน้ำแข็ง น้ำแข็งล็อตน้ำหายไปแล้วเหลือแต่น้ำธรรมดาอยู่ในบ่อแทน
“เรื่องใหญ่แล้ว”
ไม้มาดูบริเวณที่เก็บน้ำแข็งมีน้ำแข็งก้อนที่ถูกตัดแล้วเรียงรายอยู่ ไม้เดินมองหาหนังเสือที่จะอยู่ในน้ำแข็งแต่ก็ไม่มี ไม้ร้อนใจรีบเดินออกไป
ไม้ออกมาหน้าโรงน้ำแข็งมองซ้ายขวา แล้วรถกระบะขนน้ำแข็งก็ขับเข้ามาโดยศรนารายณ์
“อ้าวไม้ มาทำอะไรที่นี่อีก เธอเพิ่งเกิดเรื่องไปไม่ใช่เหรอ ชั้นฟังเรื่องเธอล่ะเจ็บใจนักที่ชั้นไม่อยู่”
“เออ อาศร ได้ขายน้ำแข็งในบ่อตอนที่เกิดเรื่องไปบ้างรึเปล่าครับ”
“ก็เนี่ย กำลังจะมาขนไปส่ง”
“หมายถึงก่อนหน้านี้”
“อ๋อ มีลุงสมานคนขายน้ำแข็งใสมาซื้อไป แต่แกก็ซื้อไปแค่ 5 ก้อนเองนะ”
“แล้วไอ้ห้าก้อนนั้นมันมีอะไรผิดปกติรึเปล่าครับ เช่น มีอะไรอยู่ข้างใน”
“เอ ไม่ได้สังเกตเลยนะ แต่มันไม่น่าจะมีหรอกมั้ง”
“ลุงสมาน อยู่ที่ไหนครับ”
“ก็คงไปขายของที่ตลาด มีอะไรรึเปล่า”
“ขอบคุณครับ”
ไม้รีบวิ่งออกไป
ไม้รีบมาที่ตลาด ขณะนั้นลุงสมานจอดรถขายน้ำแข็งใสอยู่ริมถนนเด็กๆ แย่งกันซื้อ ลุงสมานยิ้มมีความสุขที่ขายดี ทิวาเดินออกมาจากตลาดพร้อมกับสมุน เด็กวิ่งชนทิวาเพื่อไปซื้อน้ำแข็งใส
“เฮ้ย คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่” ทิวามองตามเด็กเห็นรถเข็นขายน้ำแข็งใสที่คนซื้อเยอะ “ไอ้นั่นมันจ่ายค่าคุ้มครองเราบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยครับ เพราะมันไม่มีแผงขายด้านในตลาด อาศัยขับรถย้ายที่ขายไปเรื่อยๆ ครับ”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ อยากจะขายที่ไหนก็ได้ ถ้าปล่อยไปแบบนี้คนในตลาดหันมาทำแบบมันกันหมด แล้วเราจะเอารายได้ค่าคุ้มครองจากไหน”
“ก็จริงครับ”
“ชั้นจะจัดการเรื่องนี้แทนพ่อเอง ทำแบบนี้พ่ออาจจะหันมาสนใจชั้นบ้างก็ได้” ทิวาเดินลุยเข้าไปที่รถขายน้ำแข็งใส “นี่…คิดจะขายตรงไหนก็ขายได้รึไง” ทุกคนชะงักเมื่อเห็นทิวาเข้ามาโวยวาย “แต่ละที่เค้าก็มีคนดูแลอยู่ ไม่ใช่ว่าจะขายได้ฟรีๆ”
“แต่ปกติ ลุงก็ขายของลุงแบบนี้” ลุงสมานบอก
“งั้นต่อไปนี้มันก็จะไม่ปกติ”
“แต่…”
“คนทั้งตลาดขายของที่นี่ต้องจ่ายค่าคุ้มครอง ถ้ารู้ตัวไม่ใช่เทวดามาจากไหนก็จ่ายมา”
“ที่นี่มันเป็นที่สาธารณะไม่ใช่เหรอ”
“มันเป็นที่ที่ชั้นดูแลอยู่เว้ย”
ทิวาถีบถังน้ำแข็งล้มลง น้ำแข็งในถังล้มระเนระนาดบนพื้นถนนหนึ่งในนั้นมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่มีตำราหนังเสืออยู่ด้วย ทิวาหันไปเห็น
“แล้วดูนั่นสิ แกเอาน้ำแข็งอะไรมาขาย สกปรก” ทิวาหยิบน้ำแข็งก้อนนั้นโชว์ให้คนที่มาซื้อดู “พวกแกแหกตาดูซะว่ามันเอาอะไรให้พวกแกกิน”
ทิวาเขวี้ยงน้ำแข็งก้อนนั้นลงกับพื้นจนแตกกระจาย ทิวาจะก้มไปดูสิ่งที่อยู่ในน้ำแข็ง ไม้เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“แกจะทำอะไรน่ะไอ้ทิวา”
“อ้าว…มีพวกชอบทำตัวเป็นพระเอกโผล่มาอีกแล้ว” ไม้มองไปที่ตำราหนังเสือที่ปนอยู่ในก้อนน้ำแข็งบนถนน อยากได้คืน “คราวที่แล้วแพ้ไปยังไม่เข็ดอีกเหรอ”
“วันๆ แกก็ดีแต่หาเรื่องคนอื่น”
“แล้วแกล่ะ ทำตัวเป็นประโยชน์นักนี่ ไอ้ขี้แพ้ วันนี้ไม่มีผู้หญิงมาคอยตามช่วยเหรอ”
“วันนี้ชั้นจะเอาชนะแกด้วยตัวชั้นเอง”
ทิวากับไม้มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“เข้ามาสิไอ้กระจอก”
“ชั้นไม่ได้กระจอก”
ไม้บุกเข้าหาทิวาด้วยความโกรธ ทั้งสู้ต่อสู้กันทิวาดูเป็นต่อไม้อยู่นิดหน่อย ชาวบ้านต่างก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ในที่สุดไม้ก็พลาดท่าให้ทิวาโดนทิวาขึ้นคร่อมแล้วกดหัวไม้ไว้กับพื้นถนน
“แกมันไอ้ขี้แพ้ แกไอ้ขี้แพ้”
ไม้เจ็บใจกับคำดูถูกของทิวา เขาควานมือไปเจอน้ำแข็งที่แตกอยู่กับพื้นถนน เขากำก้อนขนาดเหมาะมือกระแทกเข้าหัวทิวา ทิวาถึงกับมึน ไม้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ชั้นไม่ใช่คนขี้แพ้”
ทิวากุมหัวตัวเองมึน ทิวาทั้งแค้น ทั้งเจ็บใจไม้แต่ก็มึนด้วย... น้ำสีแดงค่อยๆ ไหลมาจากหัวทิวาเป็นกอง ทิวาจับดูแล้วตกใจ
“เลือด เลือดไหลเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”
ทิวาหน้าเสียตกใจเพราะคิดว่าเป็นเลือดทั้งที่ความจริงแล้วไม้เอาน้ำเฮลบลูบอยสีแดงราดบนหัวทิวา ชาวบ้านที่ยืนดูต่างหัวเราะชอบใจ
“แบบนี้จะได้หวานเย็นสมใจ”
ทิวามองชาวบ้านนึกอาย ลุกจะเอาคืนไม้ แต่ก็เดินเซ สมุนต้องเข้ามาประคอง
“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ไม้”
ไม้ยิ้มเยาะ สมุนพาทิวาออกไป ไม้มองตาม ลุงสมานหันมาขอบคุณไม้
“ขอบคุณมากเลยนะพ่อหนุ่มที่มาช่วยลุง”
“เอ่อ จริงๆ ผมก็แค่จะมาเอาของ”
ไม้ก้มหยิบหนังเสือใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกน่า เธอนี่เก่งจริงๆ”
ไม่ยิ้มภูมิใจกับคำชมที่ได้รับ
ทิวากลับมาบ้านนั่งเจ็บใจอยู่ในห้องด้วยใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ
“ไอ้ไม้ แก...”
ส่วนไม้เมื่อกลับมาบ้านก็เจอเมฆกับอบเชยที่รออยู่อย่างเป็นห่วง
“ไม้หายไปไหนมาน่ะ รู้มั้ยว่าลุงเมฆเป็นห่วงแค่ไหน”
“แล้วหน้านั่น ไปมีเรื่องกับใครมาอีก”
“คือ...ชั้นไปเอาของมาน่ะพ่อ”
“ของอะไร จากใคร ทำไมถึงกลับมาสภาพนี้ บอกให้ชั้นไปเอาให้ก็ได้นี่” อบเชยถามเป็นชุด
“ของสำคัญน่ะ”
“ไม้...อย่าทำแบบนี้บ่อยๆ นะลูก มันทำให้ไม่สบายใจกันไปหมด ลูกเพิ่งมีเรื่องกับพันเทพมาด้วย”
“ผมขอโทษครับพ่อ”
“แล้วชั้นล่ะ ไม่ขอโทษเหรอ ชั้นก็เป็นห่วงนะ” อบเชยบอก
“ขอโทษ”
“แล้วไหนล่ะของที่ไปเอามาน่ะ”
“ความลับ”
ไม้ทำหน้ากวนประสาทอบเชยแล้วเดินเข้าห้องไป อบเชยเจ็บใจ
เมื่อเข้ามาในห้องไม้หยิบหนังเสือออกมาจากกระเป๋า เขาดูมันอย่างพินิจพิเคราะห์
“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ”
วันรุ่งขึ้นไม้มาหาจันทร์ แล้วโยนตำราหนังเสือให้จันทร์ จันทร์มองอย่างงงๆ
“ลองอ่านดู”
จันทร์หยิบตำราหนังสือขึ้นมาเปิดดู
“นี่หนังเสือแท้ๆ เลยนี่”
“ใช่ เหมือนผ้าคาดตาลูกผู้ชาย”
“เมื่อนำพาสองสิ่งมาประจักษ์ จะเก็บกักพละเป็นความหมาย เป็นดั่งผู้ควบคุมทั้งใจกาย ทั้งดีร้ายทบพลังพันทวี” จันทร์อ่านเสียดัง
“แปลด้วยสิ”
“ก็หมายความประมาณว่า เอาสองสิ่งมารวมกันจะมีพลังเป็นทวีคูณ อะไรประมาณนั้น”
“สองสิ่งที่ว่า มันคืออะไร”
“จะรู้มั้ยเนี่ย” จันทร์มองที่รอยขาด “เหมือนตอนต้นมันจะหายไป”
“แล้วช่วยอะไรได้บ้างมั้ย”
“ที่ชั้นสงสัยคืออีกส่วนนึงอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใครคนๆ นั้นจะรู้ว่าสองสิ่งที่พูดถึงคืออะไร แต่ไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบไหน” ไม้ถอนหายใจ “แล้วนี่แกไปเอาหนังเสือนี่มาจากไหน”
“จากเณรที่เป็นคนเขียนตำราไม้ตะพด”
“บ๊ะ...แกหาเจอเหรอ”
ไม้พยักหน้ารับอย่างภูมิใจ
“อืม”
“แล้วไอ้หนังเสือนี่มันพยายามจะบอกอะไรกับเรานะ”
ไม้ จันทร์ มองหนังเสือ
เวลาผ่านไป...ไม้กับจันทร์ยังนั่งคุยกันเกี่ยวกับหนังเสือที่ได้มา
“ถ้าไอ้คุณไกรนี่เป็นเณรที่คัดตำราไม้ตะพดจริงๆ ก็อาจจะรู้อะไรมากกว่าที่อยู่ในหนังสือน่ะสิ”
ไม้พยักหน้ารับ
“คุณไกรน่ะทำท่าไม้ตายของลูกผู้ชายได้ด้วย”
“พูดเป็นเล่น แล้วแกได้ถามเค้าเกี่ยวกับลูกผู้ชายมั่งรึยัง”
“ยังอ่ะ เค้าเป็นเจ้านาย ยังไม่กล้าถามอะไรมาก”
“โอ้โห เรื่องแค่นี้ ถามไปเลย ถ้าแกไม่ถามชั้นจะไปถามเดี๋ยวนี้ล่ะ” จันทร์ลุกขึ้นจะเดินออกไปไม้รั้งไว้
“เออๆๆ ไว้ชั้นถามเอง”
“ว่าแต่ไอ้คุณไกรนี่มันน่าหมั่นไส้จริง ทำเป็นพระเอกตลอดเวลาแล้วนี่อาจจะรู้ความเป็นมาของไม้ตะพดอีก กลัวสาวไม่กรี๊ดมั้งนั่น”
ไม้ยิ้มไม่พูดอะไร
ทางด้านอบเชย ขณะนั้นเธออยู่ที่บ้านและกำลังนั่งทำการ์ดให้ไม้ โดยเอารูปที่เคยถ่ายด้วยกัน มาแปะบนกระดาษแข็งแบบเด็กๆ ไม่ได้สวยงามอะไร อบเชยนั่งทำไปยิ้มไป ศรนารายณ์เดินมึนหัวออกมาจากห้องนอน
“มีอะไรกินบ้างอบเชย”
“พ่อก็ไปดูเองสิ”
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
ศรนารายณ์ดูสิ่งที่ลูกทำ
“ทำการ์ดขอบคุณให้ไม้”
“ขอบคุณอะไรกัน”
“ก็ที่ไม้ช่วยพ่อไว้เมื่อวานไง ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าไอ้พันเทพมันมาเจอร่มที่บ้านเราจะเป็นยังไง น่าแปลก...ทั้งที่เป็นของรักของไอ้พันเทพแท้ๆ มันกลับไม่เอาเรื่องไม้ซะงั้น” ศรนารายณ์นิ่ง เสียดายร่ม “ไม่ต้องทำหน้าเสียดายหรอกน่า มันไม่ใช่ของเราซะหน่อยดีซะอีก พ่อกลับมาพูดรู้เรื่องได้ที่ไม่มีมัน”
“แล้วนี่ต้องถึงกับทำการ์ดเกิ๊ดอะไรด้วยเหรอ พูดเอาก็ได้มั้ง”
“มันไม่ประทับใจน่ะสิ”
“ริจะสร้างความประทับใจกับผู้ชายซะแล้วลูกชั้น”
“ชั้นมาคิดดูแล้วพ่อ ไม้กับชั้นน่ะเหมาะกันที่สุด ชั้นไม่ยอมให้ใครมาแย่งไปได้หรอก”
“หนักเลยทีนี้”
อบเชยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับการ์ดฝีมือตัวเอง
เมื่อทำการ์ดเสร็จแล้วอบเชยเดินยิ้มมาที่ท่ารถ ขณะนั้นไม้กำลังล้างรถบขส.อยู่
“ไม้”
“อ้าว ว่าไง”
“เดี๋ยวช่วยล้าง”
ไม้พยักหน้าอนุญาต ไม้กับอบเชยช่วยกันล้างรถ อบเชยแอบมองไม้ตลอดเวลา
“มีอะไรรึเปล่า ท่าทางแปลกๆ” ไม้ถาม
“เปล่า ไม่มีอะไรนี่ ...”
อบเชยล้างรถไปก็อมยิ้มไปด้วย ไม้เอาผ้าเช็ดน้ำที่เปียกรถตามขอบหน้าต่าง
“ไม้ชอบผู้หญิงแบบไหนเหรอ” จู่ๆ อบเชยก็ถามขึ้นมา
“ถามทำไม”
“ก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยน่ะ”
“คงชอบแบบน่ารัก”
“ผ่านฉลุย”
“เป็นแม่บ้านแม่เรือน”
“ผ่าน”
“ดูแลตัวเองได้”
“อันนี้ก็ผ่านฉลุย”
“อ่อนหวาน”
“ก็ได้อยู่มั้ง”
“เรียบร้อย”
“หืม?”
“ใจเย็น” อบเชยเริ่มเงียบ “จิตใจดี ไม่เที่ยวไปทะเลาะกับใคร”
“พอแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ ยังไม่หมดเลย”
“ไม่มีหรอกผู้หญิงแบบนั้นน่ะ มีก็แต่ในฝันเท่านั้นแหละ”
“มีสิ คนตั้งเป็นล้านจะไม่มีคนแบบนั้นเลยรึไง”
“มีก็ได้ แต่ไม่เหมาะกับไม้หรอก อย่างไม้น่ะต้องหาคนที่ปกป้องดูแล้วไม้ได้ด้วย”
“ชั้นไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องให้ใคร ต้องมาคอยดูแลตลอดเวลานะอบเชย” น้ำเสียงไม้เริ่มไม่พอใจ
“เอ่อ…ชั้นไม่ได้หมายความแบบนั้น ชั้นขอโทษ จริงๆ ที่ชั้นมาวันนี้ก็จะมาขอบคุณไม้นะ” อบเชย หยิบการ์ดยื่นให้ “นี่เห็นมั้ย ชั้นตั้งใจทำมาให้ไม้เลยนะ เมื่อวานถ้าไม่ได้ไม้รู้แกว ตามมาเอาร่มออกจากบ้านไปทัน ชั้นกับพ่อคงแย่แน่ๆ”
ไม้รับมาแกนๆ เดินลงจากรถ อบเชยเดินตาม
ไม้เดินลงจากรถหันไปเห็นแพรวาที่เดินสวยเข้ามาในท่ารถ คนในท่ารถมองแพรวาตาค้าง แพรวาเดินมาหาไม้ อบเชยไม่พอใจ
“ทำไมต้องมองกันขนาดนั้น ทำยังกับไม่เคยเห็นผู้หญิง” อบเชยพึมพำ
“ไม้อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“แอ๊บมาเลย”
“มีอะไรรึเปล่า”
“เมื่อหลายวันก่อนที่ไม้อุตส่าห์เป็นธุระซ่อมรถให้”
“เมื่อวานก็เจอกัน ทำไมทำเป็นไม่รู้จักซะล่ะ หรือกลัวพ่อจอมโหดจะว่า”
“เมื่อวาน? ไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ” แพรวาบอกอย่างงๆ
“โกหก คนเค้าเห็นเธอกันทั่วบ้านทั่วเมือง”
“พอได้แล้วอบเชย”
“ที่ไม้ช่วยซ่อมรถวันนั้น ชั้นยังไม่ได้ขอบคุณเลย”
“ไม่ได้ทำอะไรเลย สุดท้ายก็ไม่เสร็จนี่”
“ไม่ได้ทำอะไรได้ยังไง อุตส่าห์เป็นเดือดเป็นร้อนไปหาอะไหล่ทั้งที่ไม่ใช่ธุระตัวเองแท้ๆ” ไม้ยิ้ม แพรวาหยิบผ้าพันคอออกจากกระเป๋า “นี่ของขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ” แพรวายื่นให้ไม้
“อะไรเนี่ย”
“พอดีว่าอยู่ว่างๆ ก็เลยถักผ้าพันคอมาให้” ไม้หยิบผ้าพันคอออกมาดู สวยมาก อบเชยเห็นก็อายมองการ์ดตัวเองที่อยู่ในมือไม้เทียบกับผ้าพันคอ “ไม่ค่อยสวยหรอกนะ ถักยังไม่เก่ง”
“ใครว่าไม่สวย สวยมากเลย”
“ขอบคุณมาก”
อบเชยมองแล้วยิ่งอิจฉา
“วันก่อนยังเห็นโวยวายลั่นตลาด แถมจะเรียกตำรวจมาจับไม้อีก วันนี้กลายเป็นคุณหนูถักผ้าพันคอ ผู้ชายนี่ก็โง่ มันทำอะไรไว้ก็ไม่รู้จักจำ หลงชื่นชมคนแบบนี้อยู่ได้”

อบเชยคิดอยู่ในใจ









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:09:16 น.
Counter : 272 Pageviews.

0 comment
ลูกผู้ชายไม้ตะพด ตอนที่ 3




ไกรกับอบเชยพาศรนารายณ์มานอนพัก หลังจากทำแผลที่แขนใหม่เรียบร้อยแล้ว

“นอนซะนะพ่อ”
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
“ไม่มีอะไรแล้วละครับ” ไกรบอกพร้อมกับยิ้ม อบเชยมองไกรแล้วยิ้มที่ไกรดีกับพ่อตน “ปกติแล้วลุงศรนี่เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ รึเปล่า”
“เชื่ออะไรง่ายๆ หมายความว่าไง”
“ก็เหมือนเป็นคนหัวอ่อน โน้มน้าวจิตใจได้ง่าย อะไรแบบนั้น”
“ก็อาจจะนะ”
“ผมว่าอาจจะเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่ง”
“หมายถึงว่าพ่อชั้นเป็นบ้าเหรอ”
“เปล่าหรอก อาจจะโดนสะกดจิต หรือไม่ แกอาจไปเห็นอะไรมาแล้วอุปทานหมู่”
“พ่อก็แทบจะไม่ได้ไปเจอใคร ไหงเป็นแบบนี้ไปได้”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ทุกปัญหามีทางออกอยู่แล้ว”
ไกรและอบเชยต่างยิ้มให้กัน ไม้เปิดประตูเข้ามาเห็นอบเชยกับไกรอยู่ด้วยกันไม้นึกน้อยใจเดินออกไป
อบเชยออกมาส่งไม้ ไกร และหลวงพ่อที่หน้าบ้าน ไม้ยังน้อยใจอบเชยจึงไม่มองหน้าเธอ
“เดินทางกันดีๆ นะ” อบเชยบอก
“ปกติไม่เห็นพูดแบบนี้ ตั้งใจจะบอกใครเป็นพิเศษกันแน่” ไม้บอกอย่างน้อยใจ
“อย่ามากวนประสาทได้มั้ย”
“ตอนนี้ชั้นทำอะไรก็ผิดหมดแหละ”
“คอยดูอาการลุงศรไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรโทรหาชั้นได้ตลอดเวลา”
ไม้หันมองไกรขวับ
“ขอบคุณค่ะ”
ไม้หันมองอบเชย น้อยใจหนักกว่าเก่า
“เราไปกันเถอะหลวงพ่อ เดี๋ยวจะไม่ทันเพล”
“อาตมาน่าจะเป็นคนพูดมากกว่านะ”
ไม้ถือร่มเดินนำไป หลวงพ่อกับไกรเดินตาม ขณะนั้นทิวาขับรถผ่านมาพอดี ทิวาเห็นไม้เดินอยู่ริมถนน
“ไอ้ไม้...ไอ้กระจอก” ทิวาเห็นร่มในมือไม้ “นั่นมัน...ร่มของพ่อนี่”
ทิวายิ้มคิดอะไรขึ้นมาได้
พันเทพอยู่กับสมุนภายในห้องทำงาน สมุนก้มหน้างุดกลัวความผิด
“มันจะไม่มีได้ไง ค้นทั่วแล้วรึยัง” พันเทพถามอย่างโมโห
“ค้นทั่วแล้วจริงๆ ครับ ไปค้นบ้านตามรายชื่อแขกทุกคนแล้ว ไม่มีที่ไหนมีเลย”
“มันจะเป็นไปได้ไง มันจะไม่มีได้ไง กลับไปค้นใหม่ทุกบ้านเลย มันต้องอยู่ซักที่ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหาก็ต้องหาให้เจอ”
“คุณพันเทพครับ จริงๆ แค่ร่มอันเดียว”
พันเทพตบปากสมุน
“หุบปาก แกไม่มีสิทธิ์มาออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น ชั้นบอกให้หาให้เจอก็ต้องหามาให้เจอ...ไป ไปหา”
สมุนจ๋อยทยอยเดินออกไป ทิวาเดินสวนเข้ามา
“ยังหาไม่เจออีกเหรอครับพ่อ” พันเทพส่ายหน้า “ท่าทางมันจะเป็นของสำคัญมากนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก”
“เอางี้ดีมั้ยครับพ่อ ถ้าผมหาร่มเจอ พ่อต้องบอกผมเกี่ยวกับเรื่องของร่มนั่น”

พันเทพนิ่งคิด สุดท้ายพยักหน้ารับ

ไม้ ไกร หลวงพ่อ เดินผ่านท่ารถบขส.
“พวกโยมไม่ต้องไปส่งอาตมาหรอก จากนี่เดินไปวัดใกล้แค่นี้”
“งั้นลาแล้วหลวงพ่อ”
“เป็นไง ถือร่มแล้วมีอะไรผิดปกติบ้างมั้ย” หลวงพ่อถามไม้
“ก็ปกตินะ คงไม่ใช่เพราะร่มแล้วมั้ง”
“ยังไงอาตมาขอบิณฑบาตไปเก็บไว้ที่วัด โยมอบเชยจะได้สบายใจ”
“ผมว่าอยู่ที่วัดก็น่าจะดีที่สุดแล้วล่ะ”
ไม้จะยื่นร่มให้หลวงพ่อ แต่มือกลับไม่ยอมปล่อย กำไว้แน่น หลวงพ่อต้องแงะมือไม้
“โยมไม้...ปล่อยมั้ย กำซะแน่นเชียว” ไม้รู้สึกตัว
“โทษที คงเคยมือไปหน่อย”
ไม้ปล่อยร่มให้หลวงพ่อ แต่ก็มองมันอย่างเสียดาย
“เจริญพร อาตมาลาล่ะ”
หลวงพ่อเดินแยกตัวออกไป เจ๊กีเดินเข้ามา
“กลับมากันแล้วเหรอ เป็นไงทำงานกับลูกอั๊ว พอไหวมั้ย”
ไม้มองไกรแอบหมั่นไส้
“ก็ดีครับม๊า”
“เรื่องเงินเดือนลื้อไม่ต้องเป็นห่วงนะอาไม้ อั๊วให้อย่างยุติธรรมที่สุดอยู่แล้ว”
“ครับ แล้วนี่พ่อไปวิ่งรถเหรอครับ”
“ใช่”
เสียงตะโกนจากด้านหลัง ทุกคนหันไปมองจึงเห็นชาญเข็นยางรถยนต์ 3 ล้อมาพร้อมกัน
“เจ๊ เอาไว้ไหนเนี่ย”
“ยางรถยนต์ ลื้อจะให้ตั้งไว้ไหน บนโต๊ะทำงานรึไง”
“อ้าวเจ๊ ถามดีๆ นะเนี่ย”
“แล้วพี่ชาญไม่ไปกับพ่อเหรอ”
“อั๊วให้คนอื่นไปกับอาเมฆแทน เอาอาชาญมาช่วยยกของ”
เจ๊กีบอก ไม้พยักหน้าเข้าใจ
ขณะนั้นทิวากับสมุนเดินมาที่วินมอเตอร์ไซค์ด้วยหน้าตากวนๆ วินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่มองตาขวาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาดีหรือร้าย
“คนไหนชื่อสัก”
“มีปัญหาอะไรกับพวกเรารึไง”
“เปล่า พวกแกเป็นพวกนักรบรับจ้างใช่มั้ย”
“ใช่ มีปัญหาอะไร”
“ชั้นจะจ้างพวกแก”
สักขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอด มองหน้าทิวากับสมุนด้วยแววตากร้าวๆ
“แล้วแกเป็นพวกไหน”
“ชั้นทิวา ลูกชายพันเทพเจ้าของวินรถตู้” สักหัวเราะ
“เลวเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“นี่แกอย่ามาหาเรื่องชั้นนะ ชั้นไม่กลัวพวกแกหรอกพวกรับจ้าง เห็นแก่เงิน ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา”
สักโกรธจอดมอเตอร์ไซค์แล้วถีบด้านข้างรถ แถบหลุดออกมาสักเอาแถบนั้นขึ้นมาด้านในเป็นอาวุธของเขา โซ่ยาวคล้องกับเฟือง สักเหวี่ยงมันเฉียดทิวาไป ทิวาไม่กล้าพูดมากอีก
“อย่านึกว่าคนจ้างปากหมาๆ เราจะไม่กล้าเล่นนะ”
“ไม่ใช่ว่ากลัวนะ แต่ไม่อยากจะเสียเวลามาก เพราะมีงานด่วนมาให้ทำ”
ที่ท่ารถบขส.ขณะนั้นไม้กำลังเช็คลมยางรถที่จอดอยู่ ชาญกำลังเช็ดกระจกรถแล้วทิวาก็ส่งเสียงมาขัดจังหวะ
“สวัสดี ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“ไอ้ทิวา”
“ดูท่าจะเหงาอยู่สิท่า ชั้นหาเรื่องอะไรมาให้ทำมั้ย”
ไม้หันไปมองเห็นสักแล้วแก๊งวินมอไซค์ยืนเรียงเป็นตับ
“พวกแกต้องการอะไรอีก”
“ยืนเรียงเป็นตับแบบนี้ ยังจะถามอีกเหรอ” สักถกแขนเสื้อพร้อมมีเรื่อง
“แกน่ะมันขี้ขโมย” ทิวาบอก
“ชั้นไปขโมยอะไรใครตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังมาตีหน้าซื่ออีก...ค้นให้ทั่ว”
ทิวาหันไปบอกสมุน สมุนกรูเข้ามาช่วยกันลื้อของในอู่กระจัดกระจาย
“ของอยู่ที่ไหน”
“ของอะไรของแก”
“ร่มของพ่อชั้นไง ชั้นเห็นแกถืออยู่”
“ไม่มี”
เจ๊กีกับไกรเดินหน้าตื่นเข้ามา
“มีเรื่องอะไรกัน”
“ทำไมต้องพาคนมามากมายแบบนี้”
“เรื่องของวัยรุ่นเค้าจะคุยกัน แก่ๆ อย่ายุ่ง” ทิวาบอกแล้วมองไม้ “ว่าไง จะยอมรับแล้วคืนมาดีๆ รึเปล่า”
“ก็มันไม่ได้อยู่ที่ชั้น จะให้คืนยังไงเล่า”
“ถ้างั้น...พวกเรา ลุย”
ทิวาวิ่งตรงไปยังไม้ แก๊งวินมอเตอร์ไซค์กระจัดกระจายเข้าไปหาคนต่างๆ ไกรยืนป้องกันแม่ สักพุ่งตรงมายังไกร ไกรปกป้องด้วยวิธีปัดป้องของเขา โดยไม่ต่อยกลับคืนไปซักนิด ส่วนไม้กับทิวาก็สู้กันดุเดือด เจ๊กีพยายามตะโกนห้าม
“อย่าตีกัน อย่าตีกัน”
ชาญซัดคนที่เข้ามาไม่ยั้งมือ แล้วเขาก็วิ่งไปช่วยไกรกับเจ๊กี ไกรปัดป้องไม่ไหวโดนแรงเหวี่ยงจากสักออกมาราวกับนักมวยปล้ำ ชาญรับมือต่อไกรล้มไปตรงกองไม้พอดี เจ๊กีโดนลูกหลงจากโซ่เข้าไป ไกรเห็นก็โกรธเขาหยิบไม้อันหนึ่งขึ้นมาเป็นอาวุธแล้วควงอย่างคล่องแคล่วเข้ามาช่วยชาญ แล้วไกรก็รำเพลงมวยกรงเล็บพยัคฆ์สู้ ชาญเห็นแล้วตกใจ
“นั่นมันท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายนี่”
ชาญตะลึง ไม้หันมามองแล้วทึ่งเช่นกัน แต่เจ๊กีไม่สนใจ
“หมดแล้ว พังหมดแล้ว ไปสู้กันที่อื่นได้มั้ย”
ระหว่างนั้นอบเชยกำลังทำกับข้าวอยู่ที่บ้านแต่อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ
“ทำไมสังหรณ์ใจแปลกๆ นะ หรือว่าไม้จะเป็นอะไร ชิ...จะเป็นอะไรก็ช่างสิ ไม่เห็นจะต้องสนใจเลย”
อบเชยบอกตัวเองแต่ยังไม่คลายกังวลนัก
ที่ท่ารถไม้กับทิวายังสู้กันไม่มีใครยอมใคร
“แกเอาของคืนมาแล้วเรื่องวันนี้จะจบ”
“ของไม่ได้อยู่ที่ชั้นแล้ว”
“แล้วอยู่ที่ใคร”
“ถ้าบอก แกก็เที่ยวไปหาเรื่องเค้าอีก”
“ดี แกจะเจ็บตัวแทนทุกคนก็ตามใจ จำไม่ได้รึไงคราวที่แล้วแกก็แพ้ไม่เป็นท่า”
“วันนี้ชั้นไม่ยอมหรอก”
“เอาเป็นว่าถ้าแกแพ้ แกก็สารภาพมาว่าร่มพ่อชั้นอยู่ไหน”
อีกมุมหนึ่งไกรกับชาญร่วมกันปกป้องเจ๊กีจากตัวพ่ออย่างสัก
“เอ็งทำท่าของลูกผู้ชายได้ไงน่ะ” ชาญถามไกร
“เคยมีคนสอน”
“ใครน่ะ ใครสอน”
ชาญยังไม่ได้คำตอบก็โดนซัดเข้าเต็มๆ ที่หน้า ไกรก็เช่นกัน
“อั๊วไม่สู้ อั๊วยอม”
เจ๊กีบอก จังหวะนั้นไม้พลาดท่าโดนทิวาอัดเข้าเต็มๆ ลงไปนอนกอง
อบเชยทำกับข้าวอยู่ แล้วบังเอิญทำจานหล่นแตก
“ทำไมเป็นงี้นะ มือไม้อ่อนไปหมด หรือมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นจริงๆ”
อบเชยตัดสินใจวิ่งออกจากบ้านไป
ไม้โดนเข่าทิวาล้มกับพื้นอีกรอบ ทิวาเอาเท้าเหยียบอกไม้ไว้
“จะเอาอีกมั้ย” ไม้จุกพูดไม่ออก “ทีนี้บอกได้รึยังว่าร่มอยู่ไหน”
สักเอาเฟืองจี้ที่คอเจ๊กี จับเจ๊กีเป็นตัวประกัน เดินมาทางไม้
“แบบนี้ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นมั้ย”
“ร่มเริ่มอะไร ร่มอันเดียวทำไมต้องมาตีกันให้ตายขนาดนี้ด้วยอั๊วไม่รู้เรื่อง”
เจ๊กีบอก ไกรกับชาญเดินตามมา ทั้งคู่ต่างเจ็บตัว หมดสภาพ
“นั่นสิ ร่มอันเดียวทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย มันมีค่ามากเลยรึไง”
ทิวาอึกอัก ตอบไม่ได้
“พวกแกต้องเป็นคนตอบสิ ว่าเหตุผลอะไรที่แกขโมยมา”
“ตกลงยังไงกันแน่”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ขโมย”
“แต่ชั้นเห็นแกถือ”
“เชือดอีนี่โชว์ก่อนดีมั้ย จะได้พูดกันง่ายขึ้น” สักบอก
“อย่านะ...ชั้นบอกให้ อย่าทำอะไรม๊า” ไกรรีบบอก ทิวายิ้ม
“ในที่สุด”
“อย่า...” ไม้ร้องห้ามแต่ไม่ทัน
“ร่มอยู่ที่วัด หลวงพ่อเก็บไว้”
“ก็แค่นี้ไง ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไมว๊า”
“แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เชือดอีนี่เล่นหน่อยไม่ดีรึไง” สักถาม
“ก็แล้วแต่แก”
“ไม่ได้นะ ชั้นบอกแล้วแกต้องปล่อยแม่ชั้นสิ”
“ทำแบบนั้นก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“อั๊วซวยสุดเลยเนี่ย รู้เรื่องก็ไม่เคยรู้เรื่องด้วยเลย”
สักเอาโซ่แกว่งเป็นวงกันคนเข้ามา แล้วเอาเฟืองจักรยานจ่อคอเจ๊กี กดลงไปให้แรงขึ้น แต่แล้วลูกผู้ชายก็ปรากฏตัวมา เตะพับในสัก หักข้อมือ จนสักปล่อยอาวุธหล่นจากมือ ลูกผู้ชายกระทืบซ้ำ
“จะทำอะไรให้มันสมที่เกิดมาเป็นผู้ชายหน่อย”
“ลูกผู้ชาย”
ไกรงงกับลูกผู้ชายเพราะไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนไม้ยิ้มอย่างดีใจ ลูกผู้ชายพอจัดการกับสักเสร็จก็เข้าไปจัดการทิวา แค่กรงเล็บพยัคฆ์ท่าเดียวก็ซัดทิวาหมอบสนิท
“เป็นเด็กเพิ่งหัดมวย รีบทำตัวเป็นนักเลงไปมั้ย กลับใจดีกว่าทิวาเธอยังมีโอกาส”
ทิวานอนหมอบแต่ยังพยายามดันตัวเองขึ้นมา และยังปากดี
“ไอ้คนที่เอาแต่หลบซ่อนอยู่ใต้หน้ากากอย่างแก ไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนชั้น”
“เดี๋ยวกระทืบให้ตายซะดีมั้ยเนี่ย”
“คนอย่างแกหลอกได้แต่คนโง่ๆ เท่านั้นแหละ สำหรับชั้นแกมันก็แค่คนที่มีอาวุธดี คอยดูเถอะ วันนึงชั้นต้องชนะแกได้ คอยดู”
ไม้ส่ายหน้าระอาใจกับคำพูดทิวา
“ชั้นจะรอวันนั้น พวกแกกลับไปให้หมดแล้วอย่าเที่ยวมารังแกคนไม่มีทางสู้อีก” ลูกผู้ชายบอก
“คนไม่มีทางสู้ ใช้คำแรงไปนะ” ชาญบอก
“วันนี้พอแค่นี้ พวกเรากลับ”
ทิวา สักและคนอื่นๆ ทยอยกลับ ก่อนไปทิวามองไม้ดังคนไม่ยอมแพ้
“ขอบคุณมากเลยนะลูกผู้ชาย โคตรเท่ ๆ” ชาญบอก ลูกผู้ชายยิ้มรับ
“ถ้าไม่ได้ลูกผู้ชายเราคงแย่”
ลูกผู้ชายยิ้มส่งท้าย แล้วเดินหายไป
อบเชยวิ่งมาถึงหน้าท่ารถเห็นทิวากับพวกเดินออกมา อบเชยตกใจ
“ไม้”
ทิวาหันมาเห็นอบเชย
“จะมาเชียร์เหรอ เสียดายนะมาไม่ทัน”
“แกทำอะไรไม้” ทิวายิ้มเยาะ
“ชั้นว่าเธอเลิกสนใจคนอ่อนแอแบบนั้นเถอะ ชั้นน่ะดีกว่ามันเป็นไหนๆ”
“ไม่มีวันหรอก”
อบเชยรีบวิ่งเข้าไปดูด้านใน
“ไม่มีวันเหรอ คอยดูก็แล้วกัน”
ทิวาบอกอย่างคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ไกรเป็นห่วงเจ๊กีที่เพิ่งโดนจับเป็นตัวประกันจึงรีบเข้ามาดู
“ม้าเป็นอะไรมั้ย”
“ทำไมจะไม่เป็น ลื๊อดูสิพังหมดแล้ว”
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ของพวกนี้เรามีประกัน”
“จะไม่มีบริษัทไหนรับทำประกันอยู่แล้ว”
“นี่ถามหน่อยเถอะ แกไปฝึกท่าของลูกผู้ชายมาจากไหน” ชาญถามไกร
“ก็ไหนว่าสู้ใครไม่เป็น” ไม้ถาม
“พระธุดงค์เคยสอนให้ตอนบวชเป็นเณรน่ะ ไม่เคยใช้เลย”
“บ๊ะ...เอ็งนี่มันมีอะไรมาให้ข้าตื่นเต้นได้ตลอด”
“คุณไกรเคยบวชเณรด้วยเหรอ” ไม้ถามอย่างแปลกใจ ไกรพยักหน้า
อบเชยเข้ามาเห็นคนล้มนอนโอดโอย อบเชยเห็นไม้ที่กำลังเดินกระเผลก ไกรกับชาญก็เช่นกัน อบเชยวิ่งเข้ามา ชาญหันไปเห็น
“นั่นอบเชยนี่” ไม้อมยิ้ม ชาญเอาศอกกระทุ้งแซว “มีคนคอยดูใจตลอดเลยนะ”
ไม้ยิ้มเขินๆ อบเชยวิ่งมาถึง มองไม้อย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องพูดมากหรอกน่า ชั้นไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ไม้บอกอบเชยหมั่นไส้ เลยหันไปหาไกรแทน
“คุณไกรเป็นอะไรมากรึเปล่า ชั้นเป็นห่วงแทบแย่”
ไม้เสียหน้า ชาญหัวเราะ
“เก้อเลยไอ้ไม้ข้า”
“เก้ออะไร เปล่าซะหน่อย”
“ชั้นว่าคุณไกรกับเจ๊กีไปนั่งพักก่อนดีกว่า เดี๋ยวชั้นดูแผลให้”
อบเชยทำเป็นไม่แคร์ไม้ พาไกรกับเจ๊กีไปนั่ง ไม้ถึงกับเซ็ง เมฆขับรถเข้ามาพอดี เมฆรีบลงจากรถมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“จะอะไรซะอีกลูกพี่ นอกจากว่าพวกแก๊งค์วินมาบุก เวลาคับขันทีไรไม่เคยได้อยู่ซักทีนะพี่น่ะ”
“ก็ไปทำงานที่เอ็งอู้ไง”
“แหะ แหะ”
คืนนั้นไม้กับเมฆเดินกลับบ้านด้วยกัน
“ทำไมลูกไม่บอกมันไปตั้งแต่แรกว่าร่มอยู่ที่ใคร”
“คงเพราะชั้นไม่อยากให้พวกมันไปวุ่นวายอะไรที่วัด”
“ทำไมใช้คำว่าคงเพราะล่ะ”
“ก็...ชั้นก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน ชั้นว่าร่มนั่นมันทำให้รู้สึกแปลกๆ”
“แปลกๆ ที่ว่านี่แบบไหน”
“จริงๆ ชั้นก็อธิบายไม่ถูกนะพ่อ มันเหมือนไม่อยากให้มันไปเป็นของใคร อยากจะให้เป็นของเรา คล้ายๆ แบบนั้น”
“มันเป็นร่มอะไรกันนะ มันทำให้คนต้องยอมเจ็บตัวเพื่อมันขนาดนี้เลยเหรอ”
เมฆทำหน้าแปลกใจ
ส่วนที่ท่ารถชาญกำลังจะกลับบ้าน แต่ไกรเรียกชาญไว้
“ชาญ ผมขอถามอะไรหน่อยสิ”
“โห่...ไม่เคยจะรู้เวล่ำเวลาเลย คนทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย”
“ไม่นานหรอก คือผมอยากรู้เกี่ยวกับฮีโร่ที่ปรากฏตัววันนี้”
“ลูกผู้ชายน่ะเหรอ เขาน่ะโคตรเก่ง โคตรเท่ แล้ว...”
“อาวุธที่เขาถืออยู่น่ะ”
“ไม้ตะพดไง ไม้ตะพดที่เอ็งเล่าตำนานจากคัมภีร์ใบลานที่เอ็งเคยอ่านให้ฟังไง”
“มีจริงๆ เหรอ ไม้ตะพดนั้นน่ะ”
“เอ็งเห็นลูกผู้ชายถือป่ะล่ะ ถ้าเห็นก็แปลว่ามี เอ็งเห็นใช่มั้ยว่ามันไม่ธรรมดาเลย”
“แต่ในตำนานเล่าว่าตะพดหักเป็น 2 ท่อน แล้วอีกอันอยู่ไหนล่ะ ผมเห็นลูกผู้ชายถือแค่อันเดียว”
“ใครจะบ้าถือสองอัน มีหวังขวาซ้ายตีกันเอง”
“อีกอันอยู่ที่ลูกผู้ชายรึเปล่า”
“ไม่รู้...ข้าจะไปตรัสรู้จากไหนล่ะ ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย นี่ วันหลังสอนข้ามั่งสิ ไอ้ท่ากรงเล็บพยัคฆ์ของลูกผู้ชายน่ะ นะ” ไกรยิ้ม “ว่าแต่วันนี้มันไม่น่าจะมีเรื่องเลยว่ามั้ย เพราะแค่ไอ้ร่มบ้าบออะไรนั่นแท้ๆ ถ้าเปลี่ยนจากร่มเป็นไม้ตะพดอีกอันที่เอ็งถามถึงก็ว่าไปอย่าง ค่อยน่าแย่งหน่อย”
ชาญพูดอย่างไม่ใส่ใจแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ไกรยืนเหม่อคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งเป็นเณร...พระพม่าสูงอายุกำลังสอนเณรไกรฝึกท่ากรงเล็บพยัคฆ์อยู่
“ท่าทางเอ็งมันได้เรื่องจริงๆ ช่างสงสัย อยากเรียนรู้”
“มันเป็นท่าอะไรเหรอครับ”
“มันเป็นท่าของอาจารย์ปู่ของอาตมาเอง ท่านเป็นฤาษีในป่า”
“ทำไมต้องมีท่าต่อสู้ด้วยละฮะ”
“ก็เพราะในป่ามีแต่อันตรายน่ะสิ เจ้าฝึกไว้ป้องกันอันตรายนะ”
“ครับ”
“ท่านี้มันจำเป็นต้องใช้กับไม้...แต่ไม้มันหายสาบสูญไปนานแล้วล่ะ”
ไกรยืนคิดอยู่คนเดียว
“นั่นมันเป็นเรื่องจริงสินะ”
ไกรพึมพำออกมา
คืนนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังสวดมนต์กับโต๊ะหมู่บูชา ทิวาเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมสมุน หลวงพ่อหยุดสวดมนต์ค่อยๆ หันมาอย่างสงบ
“ก็ไม่ได้อยากจะขัดจังหวะหรอกนะหลวงพ่อ”
“โยมมีธุระอะไรกับอาตมารึ”
“ผมมาเอาร่มของพ่อผมคืน”
“แค่ร่มอันเดียว ทำไมต้องพาคนมาตั้งมากตั้งมาย”
“ก็หลวงพ่อจะทำให้มันเป็นเรื่องง่ายหรือเรื่องยากล่ะ”
“เจ้าของมาขอคืน ทำไมอาตมาจะต้องทักท้วงด้วย”
“ถ้างั้นอยู่ไหนล่ะร่ม”
หลวงพ่อพาทิวาและสมุนมาที่โบสถ์
“อาตมาเก็บร่มไว้ที่นี่แหละ”
หลวงพ่อบอก ทิวาจึงหันไปสั่งสมุน
“ไปดูซิ” สมุนเดินหาร่มจนทั่ว แต่ก็ไม่เห็น “ไม่เห็นจะมีเลยหลวงพ่อ โกหกรึเปล่าเนี่ย”
“อาตมาเป็นพระ จะทำผิดศีลได้ยังไง...ลองดูที่ฐานพระสิ” ทิวาหงุดหงิดเดินไปดูเอง แต่หาไม่เห็นเลย
“ไม่มี ไม่มีนี่หลวงพ่อ”
“ถ้าเช่นนั้นก็คงมีใครหยิบไปแล้ว”
“พูดง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ ไม่รับผิดชอบเลย”
“จะให้อาตมารับผิดชอบยังไง ในเมื่อมีคนอยากฝากให้เก็บไว้ที่วัดอาตมาก็นำมา หากมันจะหายมันเป็นเรื่องใหม่ที่อยู่นอกเหนือ สิ่งที่อาตมาทำแล้ว”
“มันวิเศษอะไรนักหนา ถึงมีแต่คนอยากได้”
ทิวาพึมพำออกมา
ศรนารายณ์แอบเปิดประตูเข้ามาในบ้านเบาๆ หวังจะไม่ให้อบเชยรู้แต่อบเชยนั่งรอพ่ออยู่
“พ่อ”
ศรนารายณ์สะดุ้ง
“สวัสดีจ้ะลูก”
“พ่อหายไปไหนมา”
“พ่อไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอก”
“ชั้นบอกให้พ่อพักผ่อนเยอะๆ ไง ไปเดินเล่นอะไรค่ำๆ มืดๆ”
“ก็มันเบื่อนี่ ให้พ่อนอนอยู่กับบ้านเฉยๆ งานการก็ไม่ได้ไปทำ”
“ก็ถ้าพ่อไม่เป็นบ้าเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ชั้นคงไม่ห้ามพ่อไปไหน”
“พ่อไม่ได้บ้า”
“ไม่ได้บ้าอะไร ทำร้ายทั้งไม้ ทั้งลูกตัวเองขนาดนั้น นี่พ่ออย่าไปยุ่งกับไอ้ร่มบ้านั่นอีกเลยนะ ชั้นว่ามันต้องทำของไว้แน่ๆ พ่อจำได้มั้ย ตอนที่มันมาท้าสู้กับพ่อเพื่อให้ไปเป็นครูสอนมวยมันก็ถือร่มนี่มาด้วย เพราะร่มเนี่ยอาจจะทำให้พ่อแพ้ก็ได้”
“บ้า คิดมากไปใหญ่แล้ว แค่ร่มอันเดียว ไม่มีเรื่องอะไรพวกนั้นหรอก ไปนอนเถอะ”
อบเชยไม่ติดใจอะไรจึงไม่ได้สังเกตว่าศรนารายณ์เหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
ที่บ้านพันเทพ พันเทพนั่งเครียดหยิบกล่องไม้โบราณที่ใส่ไม้ตะพด เปิดดูภายในที่ว่างเปล่า
“ไม่ว่าไม้ตะพดเลือดจะไปอยู่ที่ไหน ชั้นจะตามมันคืนมาให้ได้ ใครขวางชั้นจะฆ่ามันให้หมด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พันเทพเก็บกล่องไม้ ราตรีเปิดประตูเข้ามา
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะพ่อ”
“นอนไม่ค่อยหลับ”
“กังวลเรื่องของที่หายใช่มั้ยคะ” พันเทพพยักหน้ารับ “ก็เห็นว่าพี่ทิวาออกตามหาแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ทิวาน่ะ…ไม่ใช่จะไว้ใจได้หรอกนะ” พันเทพส่ายหน้าอย่างระอา
“พ่อทำท่าเหมือนกับพูดถึงสมุนของพ่อคนอื่นๆ เลย เหมือนไม่ได้สนใจใยดีพี่ทิวา”
“ไม่ใช่ เคยได้ยินมั้ยลูกว่า ของบางอย่าง…ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป มันยากที่จะได้กลับคืน”
“แต่พ่อของราตรีน่ะ อยากได้อะไรก็ต้องได้ทุกอย่างเหมือนกัน ราตรีเชื่อว่ายังไงพ่อก็ต้องได้คืนค่ะ”
“ขอบคุณใจมากลูก”
“ถ้าพ่อกังวลใจ ลองหาวิธีอื่นดูมั้ยคะอาจจะช่วยได้บ้าง”
“วิธีอะไรไหนลองพูดมาให้พ่อฟังซิ”
“ก็อย่างเช่น ให้หมอดูช่วย ราตรีก็ไม่รู้หรอกว่าช่วยได้จริงๆ มั้ย แต่อาจจะช่วยให้พ่อสบายใจขึ้นก็ได้”
“หมอดูเหรอ…”

พันเทพคิดตามที่ราตรีบอก
วันต่อมาพันเทพกับราตรีมาที่สำนักดูดวง ซึ่งมีคนนั่งอยู่ในสำนักมากมาย หมอคมท่าทางเคร่งขรึมดูน่าเกรงขามนั่งอยู่สูงกว่าคนอื่น ชาวบ้านยกมือไหว้ พันเทพกับราตรีมาทีหลังมองอย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาเท่าไหร่นัก

“คนเยอะจังเลยพ่อ”
“ก็เพราะเป็นหมอดูที่เก่งที่สุดน่ะสิ”
“พ่อเคยมาเหรอ”
“ครั้งแรก แต่เคยได้ยินชื่ออยู่บ่อยๆ”
หมอคมรู้สึกได้ถึงการมาของพันเทพและราตรี เขาจึงหันขวับไปหาทั้งสอง
“เจ้าสองคนมาตามหาของ...ที่นี่ไม่มีหรอก”
ชาวบ้านฮือฮาหันตามไปมองพันเทพกับราตรี
“พ่อ เค้ารู้ว่าเราคิดอะไรได้ยังไง น่ากลัวไปนะแบบนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนลูก...ท่านช่างเก่งกล้าสมคำร่ำลือ รู้แม้กระทั่งผมคิดอะไรอยู่” หมอคมหัวเราะ
“ข้ารู้ยิ่งกว่านั้น”
ลูกศิษย์หมอคมเชิญทั้งคู่มานั่งหน้าสุด ราตรีมองหน้าพันเทพไม่ค่อยเข้าใจนัก
หมอคมนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยควัน ไร้ซึ่งสิ่งของได้ยินเสียงร้องจางๆคล้ายค้างคาว หมอคมกำลังเดินตามเสียงแต่มันช่างจางและไกลเหลือเกินจนเดินไปไม่ถูกทาง หมอคมได้ยินเสียงกระซิบจางๆ
“เลือดดด เลือดดด”
หมอคมลืมตาจากการนั่งทางใน พันเทพ ราตรี รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เป็นยังไงบ้าง” พันเทพถาม
“มองไม่เห็น มืดไปหมด แปลกมาก”
“อ้าว แล้วแบบนี้จะต้องทำยังไงละคะ”
“ถ้าไปหามันไม่ได้ ก็ให้มันมาหาเรา”
“แล้วต้องทำยังไง”
“เลือด พวกเจ้าไปหาเลือดมาให้ข้า”
“เลือดอะไรกัน ต้องถึงเลือดเลยเหรอ” ราตรีถามอย่างแปลกใจ
“เลือดหมู เลือดไก่ เลือดสดๆ อะไรก็ได้ รึเจ้าจะเอาเลือดของเจ้าล่ะ”
“มันก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”
“น่ากลัวรึไม่ ไม่ลองถามพ่อเจ้าดูล่ะ ว่าทำไมต้องใช้เลือด”
ราตรีหันมองพ่อรอคำตอบ
“อย่าเสียเวลาเลยน่า ราตรีออกไปหาเลือดที่ตลาดให้พ่อหน่อยไป”
ราตรีหน้างอ ไม่ค่อยพอใจนัก
“ก็ได้ค่ะ”
ราตรีลุกออกไป หมอคมมองหน้าพันเทพอย่างรู้ทัน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ท่ารถบขส.เมฆกำลังเก็บซากข้าวของที่โดนแก๊งวินมอเตอร์ไซค์มาทำลาย กวาดทำความสะอาดด้วย โดยมีคนอื่นๆ มาช่วยทำความสะอาดคนละไม้ละมือ ศรนารายณ์ก็มาช่วยด้วย
“พี่เมฆ พี่เมฆ อยากฟังนิทานมั้ย ชั้นฟังมาหลายเรื่องเลยนะ”
“อะไรเนี่ยพี่ศร อายุปูนนี้แล้วยังจะมาเล่านิทานอะไร”
“ไม่อยากฟังเหรอ สนุกนะ”
“เอ้าอยากเล่าก็เล่ามา...”
“งั้นเริ่มละนะ สมัยก่อนที่เมืองพาราณสี อันเป็นที่ประทับขององค์ประศิวะ...”
“เดี๋ยวๆๆ นี่คงไม่ได้กำลังจะเล่านิทานเวตาล 25 เรื่องหรอกใช่มั้ย”
“พี่เมฆรู้ได้ยังไง”
“จะไม่รู้ได้ยังไง ชั้นก็อ่านเหมือนกัน อ่านก่อนนอนทุกวันเลยจนท่องขึ้นใจแล้ว”
“อ้าว ไม่สนุกเลย”
“แล้วทำไมอยู่ๆ ก็จะมาเล่านิทานเวตาลขึ้นมาล่ะ”
“ไม่รู้...นั่นน่ะสิ...ทำไมนะ”
“ไปฟังมาจากไหนล่ะ”
“ฟังจากไหน ฟังจากไหนนะ ทำไมนึกไม่ออก”
ศรนารายณ์เดินนึกแยกตัวจากเมฆไป เมฆมองตามไม่เข้าใจพฤติกรรมศรนารายณ์
ขณะนั้นไม้กับจันทร์ช่วยกันทำความสะอาดอยู่อีกมุมหนึ่ง
“ขอบใจมากนะที่มาช่วย” ไม้บอกกับจันทร์
“ตอนไม่มีเรื่องเดือดร้อนไม่เคยจะไปหา”
“ไม่ต้องมาประชดหรอกน่า”
“แล้วเรื่องที่ให้ตามหาคนที่น่าจะเป็นลูกผู้ชายน่ะ ไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ชั้นบอกแล้วไงว่าอาศรน่ะเป็นลูกผู้ชาย แกไม่สังเกตเหรอ เวลาที่ลูกผู้ชายปรากฏตัวทีไร อาศรไม่เคยอยู่ตรงนั้นซักที”
“มีหลายคนที่ไม่อยู่ อาแปะร้านกาแฟก็ไม่เคยอยู่ น้าแอ๋วร้านขายปลาก็ไม่เคยอยู่ แกสังเกตแบบนี้ไม่ได้ ที่แกทำอยู่น่ะคือการพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่แกคิดทำแบบนี้ไม่มีทางเจอตัวลูกผู้ชายหรอก”
“แต่อาศรน่ะมีแน้วโน้มจริงๆ ชั้นมั่นใจ”
ศรนารายณ์เดินตาลอยเข้ามาในวงพอดี
“ไปฟังมาจากไหน ทำไมถึงจำไม่ได้นะ”
“บ่นอะไรอาศร” จันทร์ถาม
“นิทานน่ะสิ...ชั้นไปฟังมาจากไหน”
“นิทานอะไรเหรอ”
“อยากฟังเหรอ มาสิจะเล่าให้ฟัง”
“หึหึ คนอะไร จู่ๆ ก็จะมาเล่านิทาน หน้าตาพวกชั้นเหมือนคนชอบฟังนิทานรึไง”
“นิทานเวตาลเชียวนะ”
“โอ้โห...โบราณขนาดนั้นเลย” จันทร์หัวเราะ
“อาศรหายดีรึยังเนี่ย ทำไมยังทำท่าทางแปลกๆ อยู่เลย แล้วอบเชยไปไหนเนี่ยทำไมไม่ดูแล” ไม้ถาม
“หายดีอะไร ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ไอ้ไม้นี่ ท่าจะเพี้ยน”
ศรนารายณ์เดินแยกตัวออกไป ไม้มองตามอย่างเป็นห่วง
“นี่น่ะเหรอ ลูกผู้ชายของแก” จันทร์หัวเราะ “ไม่มีทางเลยว่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้ซักนิด ต่อให้ลูกผู้ชายจะปิดบังอำพรางตัวยังไงตัวจริงของเค้าก็คงไม่มีทางจะเดินเล่านิทานให้ใครฟังแน่ๆ”
“แต่...”
“หรือแกว่าไม่จริง”
ไม้เถียงไม่ออก ได้แต่มองตามศรนารายณ์อย่างเป็นห่วง
“อบเชยนะ บอกให้ดูแลอาศรดีๆ แท้ๆ”
ขณะนั้นอบเชยกำลังเดินซื้อผักในตลาด อบเชยจามเสียงดัง
“นี่ใครนินทาเนี่ย”
ราตรีเดินเข้ามาในตลาด ทำท่าขยะแขยงพื้นที่เปียกแฉะ
“อี๋...ทำไมพ่อไม่มาเองนะ ที่สกปรกแบบนี้ก็รู้ว่าชั้นไม่ชอบ”
อบเชยเห็นราตรีเดินเข้ามา จี๊ดขึ้นมาทันที จึงเดินเข้าไปหา
“ไง...ไหนว่าเป็นผู้ดีไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจ่ายตลาดเองละจ้ะ”
“นอกจากจะสกปรกแล้วยังต้องมาเสวนากับพวกคนชั้นต่ำอีก”
“เฮ้ย...ว่าใครชั้นต่ำ”
“คนที่มาคุยกับชั้นก็มีแต่เธอคนเดียว ชั้นจะว่าใครอีกล่ะ”
“ปากอย่างงี้เดี๋ยวก็โดนตบเหมือนวันก่อนหรอก”
“ชั้นเนี่ยนะโดนเธอตบ ประสาท ชั้นไม่เสียเวลามาคุยกับคนบ้าๆ อย่างเธอหรอก ชั้นรีบ”
ราตรีจะเดินไป อบเชยดึงแขนไว้
“นี่เธอ...อย่าคิดว่าจะแอ๊บอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแล้วจะไม่มีใครรู้หรอกนะ ชั้นนี่แหละจะหาหลักฐานมาแฉเธอให้หมดเลย”
“ชั้นเนี่ยนะแอ๊บ” ราตรีหัวเราะ
“เธอไม่มีวันได้แย่งไม้ไปจากชั้นได้หรอก ไม้เป็นของชั้น”
“นี่ หุบปากซะทีได้มั้ย ชั้นไม่สนหรอกนะว่าเธอจะเป็นใครมาจากไหน แล้วเรื่องที่เธอพูดอยู่หมายถึงอะไร แต่จะบอกอะไรให้ฉลาดขึ้นหน่อยนะ ถ้าไอ้ไม้อะไรนั่นที่เธอพูดถึงเป็นผู้ชาย ใครเค้าจะเลือกผู้หญิงบ้านๆ อย่างเธอ ถ้าชั้นจะเอาขึ้นมาจริงๆ เนี่ย เธอไม่มีทางชนะได้หรอก จำไว้”
ราตรีเดินเชิดๆ ผ่านอบเชยไป ปล่อยให้อบเชยยืนเจ็บใจอยู่คนเดียว
“ไม่ได้ ปล่อยให้ไม้ไปหลงผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้ ไม้ต้องตาสว่างซะที”
ช่วงสายของวันเดียวกันนั้นขณะที่หลวงพ่อกำลังกวาดลานวัดอยู่ ไม้กับจันทร์เดินเข้ามาทั้งคู่ยกมือไหว้หลวงพ่อ
“หลวงพ่อ”
“มาแต่เช้าเลยนะ”
“ผมจะมาถามเรื่องร่มกับหลวงพ่อน่ะครับ”
“นี่แกจะมาขอยืมร่มพระเหรอ ยืมชั้นก็ได้”
“เฉยๆ เหอะน่า”
“ร่มอีกแล้วเหรอ มันสำคัญอะไรนักหนานะ อาตมาไม่ได้ว่างเว้นจากเรื่องนี้เลย”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ก็เมื่อคืนก็มีคนพาพวกมาบุกถึงกุฏิอาตมา เพื่อจะเอาร่มนี่แหละ”
“ไอ้ทิวา...แล้วมันเอาไปรึยังครับ”
“ไม่ได้เอาไปหรอก มันหายไปซะก่อน”
“หาย”
“ใช่ อาตมาก็วางมันไว้ในโบสถ์นั่นแหละ มาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว”
“ใครเอาไป หลวงพ่อพอจะรู้มั้ยครับ”
“อาตมาก็ถามพระลูกวัด แล้วก็เด็กวัดทั่วแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เลย”
“หรือจะเป็นอาศร”
“โยมศรน่ะรึ?”
“ครับ ผมเห็นอาศรมีอาการประหลาดๆ เที่ยวเล่านิทานให้ใครฟังไปทั่ว ผมเลยร้อนใจมาหาหลวงพ่อ”
“นี่แกอย่าบอกนะว่าแกคิดว่าอาศรผีเข้า แล้วจะเรียกพระไปไล่ผี เฮ้ยวิทยาศาสตร์หน่อยสิวะ”
“แกฟังก่อนได้มั้ยวะ”
“แล้วโยมศรจะรู้ได้ยังไงว่าร่มอยู่ที่วัดล่ะ”
“ไม่น่ายากนะครับ อาศรก็รู้ว่าหลวงพ่อไปที่บ้าน พระเอามามันก็ไม่น่าจะไปอยู่ที่ไหนได้”
“แกนี่ฉลาดเหมือนกันนะ” จันทร์ชมไม้
“ก็จริงของโยม”
“งั้นผมลาหลวงพ่อละครับ คงต้องไปจัดการเรื่องนี้ซะหน่อย” ไม้ยกมือไหว้ลาหลวงพ่อ หลวงพ่อพยักหน้ารับ “ไปจันทร์”
ไม้เดินนำไป จันทร์ยกมือไหว้หลวงพ่อแล้วเดินตาม
ส่วนราตรีเธอกลับมาที่สำนักดูดวงพร้อมกับเลือด หมอคมจึงเริ่มทำพิธีโดยมีชามเลือดตั้งอยู่ตรงหน้า หมอคมสวดคาถามีพันเทพกับราตรีนั่งอยู่ด้วย พิธีดูขลัง น่ากลัว แล้วหมอคมก็นิมิตอยู่ท่ามกลางควันมากจนมองแทบไม่เห็นทางเหมือนเดิม
“เจ้าได้กลิ่นเลือดมั้ย ข้ามีเลือดมาให้ ออกมากินสิ” เสียงโหยหวนของสัตว์คล้ายค้างคาวดังมากขึ้น
“ถ้าเจ้ามาหาข้าไม่ได้ จงนำทางข้าไป”
เสียงคล้ายค้างคาวร้องโหยหวนโต้ตอบ
หมอคมลืมตาจากทางใน พันเทพกับราตรีลุ้น
“เป็นไงบ้าง”
พันเทพถาม หมอคมหยิบตุ๊กตาไม้แกะดูคล้ายกุมารทองคู่ใจของตน จุ่มส่วนเท้าตุ๊กตาไม้ลงในเลือดแล้วชูขึ้น
“มันจะนำทางเราไป”
ราตรีมองการกระทำของหมอคมอย่างสะอิดสะเอียน
ที่บ้านศรนารายณ์ขณะนั้นตู้เสื้อผ้าของศรนารายณ์มีเสียงดังก๊อกแก๊ก ราวกับมีสิ่งใดถูกขังอยู่ด้านใน...ไม้กับจันทร์ ยืนอยู่หน้าบ้านศรนารายณ์ ไม้ตะโกนเรียกอบเชย จันทร์เดินไปดูที่ประตู
“อบเชย อบเชย”
“ไม่ต้องเรียกแล้ว กุญแจล็อคขนาดนี้ ไม่มีใครอยู่หรอก”
“ถ้างั้นก็ปีนเข้าไปเลย”
“เฮ้ย”
ไม้ปีนข้ามรั้วบ้านศรนารายณ์เข้าไป จันทร์จำเป็นต้องเออออปีนตามไปด้วย
ไม้กับจันทร์ ปีนข้ามรั้วมายืนหน้าประตู แต่กุญแจล็อคอยู่
“กุญแจล็อค โธ่เว้ย”
“คนไม่อยู่บ้านก็ต้องล็อคกุญแจอยู่แล้ว แกจะหงุดหงิดอะไรเนี่ย”
“แกไม่รู้อะไร ร่มนั่นน่ะไม่ใช่ร่มธรรมดา ใครได้จับมันจะรู้สึกถึงพลังดึงดูดอะไรบางอย่าง ที่อยากจะเก็บเอาเป็นของตัวเองตลอดไป แกดูอาศรสิ เพี้ยนใหญ่แล้ว ต้องเป็นเพราะร่มนั่นแน่ๆ”
“มันจะเป็นไปได้ไงวะ หรือถ้ามันมีพลังดึงดูดอย่างแกว่าจริงแกแน่ใจได้ยังไงว่าแกอยากช่วยอาศร มากกว่าอยากได้เก็บไว้เอง”
“แกว่าชั้นเป็นคนยังไงวะ”
“เออ...แกไม่ใช่คนเลวหรอก แต่ก็ไม่เห็นจะต้องรีบเลยนี่ รออบเชยกลับมาก่อนก็ได้”
“เราจะรู้ได้ไงว่าอาศรจะไม่กลับมาก่อนอบเชยน่ะ ถ้าอาศรกลับมาก่อนเอาร่มออกไปยากแน่ๆ แกไม่มีวันบอกหรอกว่าเอาร่มซ่อนไว้ที่ไหน แล้วยิ่งถ้าแกรู้ว่าเราสงสัยก็จะยิ่งยากขึ้น”
“เอาก็เอา...” จันทร์หยิบคลิปออกมาจากกระเป๋า ง้างออกให้เป็นลวดเส้นเดียวแล้วสอดเข้ารูกุญแจ “ที่ชั้นช่วยแกน่ะ เพราะชั้นอยากรู้ว่าไอ้ร่มนั่นมันวิเศษยังไง”
จันทร์ไขกุญแจออกแล้วไม้ดีใจ
“แกไปเรียนวิธีพวกนี้มาจากไหนวะเนี่ย”
จันทร์เอานิ้วเคาะหัว บอกเป็นนัยว่าเก่ง ยิ้มภูมิใจ
พันเทพ ราตรี เดินตามหมอคมมาตามถนนเปลือกตาหมอคมมีเลือดแต้มอยู่
“พ่อแน่ใจนะว่าเราไม่ได้โดนหลอกอ่ะ มาเดินตามคนทรงแบบนี้ราตรีอายเค้านะพ่อ ราตรีจบนอกนะ” ราตรีกระซิบกับพันเทพ
“โดนหลอกรึเปล่า เดี๋ยวก็รู้เอง”
“กลับก่อนได้รึเปล่า”
“เราน่ะตัวต้นคิดเลย จะปล่อยให้พ่ออายคนเดียวได้ไงล่ะ”
ราตรีมีสีหน้าไม่พอใจนัก พันเทพก็อายไม่ค่อยกล้ามองชาวบ้านที่ดูเท่าไหร่ อบเชยเดินออกจากตลาดมาเห็นราตรีพอดีเธอจึงเดินตีคู่ราตรี
“ไงจ้ะแม่ชนชั้นสูง เรียนจบเอกไสยศาสตร์มาเหรอจ้ะเรียนเมืองไทยก็ได้ ไม่เห็นต้องไปเมืองนอกเลย”
“พ่อชั้นตามหาของ ชั้นแค่มาเป็นเพื่อน”
“นี่คนรวยเค้าตามหาของกันด้วยวิธีนี้เหรอเนี่ย ถ้างั้นก็ไม่เห็นต้องมาดูถูกคนจน”
“อย่าพูดมากหน่อยเลย ถ้าหากบังเอิญว่าของมันไปอยู่กับพ่อเธอละก็ ชั้นเอาตายแน่”
พันเทพบอก อบเชยหวั่นใจเมื่อนึกถึงร่ม
“ของบ้านแกจะมาอยู่บ้านชั้นได้ยังไง เพ้อเจ้อ” อบเชยรีบเดินนำไป “ไม่ใช่ว่ามันตามหาร่มกันอยู่หรอกนะ”
อบเชยพึมพำออกมา อบเชยจะไปอยู่แล้วแต่เสียงหมอคมก็รั้งเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนนางตัวดี”
อบเชยชะงักค่อยๆ หันไปมองหมอคม
“มีอะไร”
“เจ้าเกี่ยวข้องกับของที่หายไปของชายผู้นี้ใช่มั้ย”
“เกี่ยวอะไรล่ะ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“ทำไมข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งของของชายผู้นี้จากมือเจ้า”
“อย่ามามั่วไอ้หมอดูบ้า แกมีหลักฐานอะไรมาปรักปรำชั้น”
“ของแบบนี้แค่เชื่อก็พอ”
“งมงายกับอะไรบ้าๆ น่ะสิ”
อบเชยจะเดินจากไป หมอคมรั้งไว้
“จะรีบไปไหนล่ะ มาให้ข้าพิสูจน์ก่อน”
“งั้นก็พิสูจน์ให้ได้ละกัน”
อบเชยไม่ยอมจึงเกิดการปะทะฝีมือกับหมอคม แต่สุดท้ายหมอคมก็พลาดท่า อบเชยเลยหลุดไปได้
“สมกับเป็นลูกแชมป์โลกจริงๆ” พันเทพบอก
“นางบ้านนอกนี่มันใครคะ ตามราวีราตรีแล้วยังมาอวดเก่งอีก”
“ลูกคนแถวนี้น่ะ อย่าไปสนใจเลย”
ราตรี พันเทพ เดินตามหมอคมต่อไป
ขณะนั้นไม้กับจันทร์เข้ามาในบ้านศรนารายณ์และกำลังค้นหาร่มกันตามมุมต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นมี
“ไม่เห็นจะมีเลยวะ”
“อาศรซ่อนไว้ไหนเนี่ย”
“หรือเค้าไม่ได้เอามารึเปล่า อาจเป็นคนอื่นก็ได้”
เสียงดังก๊อกแก๊กจากในตู้เสื้อผ้า เหมือนมีอะไรอยู่ในนั้นกำลังเคาะเรียก ไม้และจันทร์สะดุ้งมองหน้ากัน
“แกได้ยินเปล่าวะ” จันทร์ถาม ไม้พยักหน้า
“มาจากในตู้ว่ะ”
“เสียงเหมือนมีตัวอะไรอยู่ในนั้นเลยนะ”
“คนหรือผีวะ แกว่า”
“อาจจะแค่ตัวอะไรละมั้ง”
ไม้และจันทร์ต่างมีอาการกล้าๆ กลัว
“ตัวอะไรล่ะ”
“หนู หรือแมว อะไรพวกนั้น”
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นอีก
“เอาไง”
ระหว่างนั้นอบเชยเดินมาถึงบ้านพอดีด้วยท่าทางเป็นกังวลกับเรื่องพันเทพ
“ร่มไม่ได้อยู่ที่บ้านเราแล้ว จะกลัวทำไม มันทำอะไร เราไม่ได้หรอก”
อบเชยเปิดประตูรั้วเข้าไปในบ้าน
ภายในบ้านขณะนั้นไม้กับจันทร์ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เสียงกุ๊กกักดังจากด้านใน
“บอกมา เอาไง”
ไม้ถามจันทร์อย่างกล้าๆ กลัวๆ จันทร์พยักหน้า
“เปิด”
ไม้กับจันทร์เปิดตู้เสื้อผ้าคนละฝั่งประตูพร้อมกัน ร่มหล่นมาจากตู้ ไม้หยิบขึ้นมา
“นี่ไง ร่มอันนี้ไง”
“งั้นรีบไปกันเถอะ” เสียงก๊อกแก๊กดังจากด้านนอก “เฮ้ยคนมา หลบเร็ว”
“หลบไหนล่ะ”
ไม้กับจันทร์เข้าไปในตู้เสื้อผ้า ไม้ถือร่มอยู่ด้วย
อบเชยถือข้าวของมาหน้าประตูบ้านจะไขกุญแจแต่กุญแจถูกไขแล้ว
“อ้าว พ่อกลับมาแล้วเหรอ แล้วทำไมปิดประตูเงียบเชียบเชียว”
อบเชยเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน อบเชยเดินเข้ามาในบ้านมองหาศรนารายณ์
“พ่อ พ่อ”
ไม้กับจันทร์เบียดกันอยู่ในตู้ ในมือไม้ถือร่มอยู่ด้วย
“อบเชย ไม่ใช่อาศร ไม่เป็นไรหรอก” ไม้กระซิบกับจันทร์
“ชู่ววว”
ทั้งคู่แอบดูอบเชยผ่านช่องประตูตู้เสื้อผ้า อบเชยเรียกหาพ่อ
“พ่อ อยู่ไหนเนี่ย”
ไม้กับจันทร์อยู่กันเงียบๆ จู่ๆ ร่มก็สั่นขึ้นมาเอง โดนตู้กึ๊กกั๊ก
“ไอ้ไม้ แกจะยุกยิกทำไมเนี่ย” จันทร์กระซิบถาม
“ไม่ได้ทำ ร่มมันทำ” ไม้กระซิบบอก
อบเชยได้ยินเสียงแปลกๆ เดินไปหยิบมีดในครัว ภายในตู้ร่มสั่นขึ้นมาเองอีก
“อะไรของแกเนี่ย”
“ร่มมันเขย่าเองเว้ย”
ด้านนอกขณะนั้นพันเทพกับราตรีเดินตามหมอคมมาตามทางมาบ้านศรนารายณ์
“ใกล้ถึงแล้ว ข้าได้ยินเสียงมันชัดขึ้นแล้ว” หมอคมบอก
“เค้าพูดถึงเสียงอะไรน่ะพ่อ”
“ไม่ต้องไปฟังมากหรอก แค่หาเจอก็พอ”
“โอ๊ยเมื่อยจะแย่แล้ว ร้อนก็ร้อน”
“เค้าบอกใกล้แล้ว อดทนอีกนิดนึงลูก” ราตรีเดินตามหน้าเซ็ง พันเทพถามหมอคม “แน่เหรอ หน้าไม่แหกนะ” หมอคมมองพันเทพเคืองๆ “เดาสุ่มรึเปล่า”
“กุมารทองนำข้ามา”
“ไหนล่ะ กุมาร”
หมอคมเอาเลือดที่แช่อยู่ในขวดกุมารทอง แต้มที่เปลือกตาพันเทพ พันเทพเห็นคราบเลือดเป็นรอยเท้าเด็กเดินนำไป พันเทพหันกลับไปดูที่พื้นที่เดินมาเห็นรอยเลือดถูกทิ้งไว้ด้านหลังเช่นกัน หมอคมนิ่งขรึม ไม่พูดอะไร
ภายในบ้านศรนารายณ์เสียงกุกกักดังจากในตู้เสื้อผ้าศรนารายณ์ อบเชยเดินมาที่ตู้
“นั่นไง ซวยแล้ว”
จันทร์กระซิบกับไม้ อบเชยมองที่ตู้ทำหน้าเข้ม
“ใครอยู่ในตู้ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ไม้กับจันทร์เงียบกริบ “จะนับหนึ่งถึงสาม ไม่งั้นชั้นจะเอามีดเสียบเข้าไป หนึ่ง...สอง...”
จันทร์ถีบประตูเปิดตู้ออกมาก่อน
“ชั้นเองจ้ะ คนสวย”
ไม้ถีบประตูตามออกมา
“แหะ แหะ”
“นี่มาทำอะไรกันในบ้านชั้นเนี่ย” อบเชยเห็นร่มในมือไม้ “ร่มอันนั้นนี่”
“ที่เข้ามาก็เพราะร่มนี่แหละ” ไม้บอก
“ก็เมื่อวาน...หลวงพ่อเอาไปแล้วนี่”
“อาศรแอบไปขโมยกลับมาน่ะสิ ชั้นเลยจะเอากลับไป”
“แย่แล้ว ร่มอยู่ที่นี่ ไอ้พันเทพก็อาจจะกำลังมาที่นี่น่ะสิ”
“ซวยละ”
“ถ้าร่มอยู่ที่นี่ พวกมันก็จะรู้ว่าพ่อเอามา มันเล่นงานพ่อหนักแน่ๆ”
“งั้นก็เอาไปทิ้งที่อื่นเถอะ”
“กับแค่ร่มอันเดียว มันอะไรนักหนา”

อบเชย ไม้ และจันทร์ รีบออกไปนอกบ้าน









Create Date : 13 มีนาคม 2555
Last Update : 13 มีนาคม 2555 14:08:13 น.
Counter : 324 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

มิกัง
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]